foto1
foto1
foto1
foto1
foto1
ช่วงนี้อากาศแปรปรวนนะครับ ฤดูหนาวแต่ร้อน และมีฝนตกกระจายทั่วประเทศเลยทีเดียว และตอนนี้ก็ฤดูเก็บเกี่ยวของชาวนาซึ่งไม่ได้เก็บเกี่ยวด้วยมือแบบดั้งเดิมแล้ว แต่หันมาใช้รถเกี่ยวข้าวแทนซึ่งทำได้รวดเร็วกว่ามากๆ แต่ก็มีปัญหาตามมาคือข้าวเปลือกมันยังไม่แห้งเก็บเข้ายุ้งฉางไม่ได้ ต้องมีการตากแดดให้แห้งก่อนสัก 2-3 วัน พอมีฝนมาแบบนี้ก็แย่เลย บางรายก็เอาไปตากบนถนนหนทางซึ่งอันตรายมากๆ อย่าหาทำเด้อพี่น้อง มันผิดกฎหมาย...😭🙏😁

: Our Sponsor ::

adv200x300 2

: Facebook Likebox ::

: Administrator ::

mail webmaster

: My Web Site ::

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net200x75

e mil

No. of Page View

paya supasit

ju juคันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า

        ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ##

mp3

sunareeสุนารี ราชสีมา

สียงเพลง... "กราบเท้าย่าโม" และ "โคราชบ้านเอ็ง" ที่ สุนารี ราชสีมา ขับขานเรื่องราวทุกข์ สุข เศร้า ของหนุ่มสาวแห่งท้องทุ่ง บ่งบอกบางสิ่งบางอย่างให้เราทราบได้ว่า นักร้องสาวเสียงทองผู้นี้ ก็เป็นหนึ่งในลูกหลานย่าโม...เมืองโคราช แม้ว่าชีวิตเธอต้องระหกระเหินออกจากบ้านหนองหอย ตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาวดังเปรี๊ยะๆ

สุนารี ราชสีมา มีชื่อจริงว่า ทิม สอนนา (ชื่อเล่น: สุ) เป็นชาวอำเภอโนนไทย (ปัจจุบันได้ถูกแบ่งออกเป็น อำเภอพระทองคำ) จังหวัดนครราชสีมา จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนบ้านทำนบพัฒนา เป็นบุตรของนายเทียม และ นางยม สอนนา เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2511 เริ่มเข้าสู่การประกวดร้องเพลงลูกทุ่งเมื่ออายุ 13 ปี เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ขณะมีอาชีพคนงานโรงงานเย็บผ้า จนได้เข้าประกวดร้องเพลงในรายการ "ชุมทางคนเด่น" โดยใช้ชื่อ "สุนารี ราชสีมา" ซึ่งเป็นชื่อของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ได้รับตำแหน่งสูงสุดเป็นรองชนะเลิศประจำปีฝ่ายหญิง พ่ายแพ้ให้กับ น้ำอ้อย พุ่มสุข แต่ สุขสันต์ หรรษา นักจัดรายการวิทยุ มีความชื่นชอบในน้ำเสียงของสุนารี แม้ว่าจะมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่สวยดีนัก จึงชักชวนให้เข้ามาเป็นนักร้องอัดแผ่นเสียงในที่สุด

สุนารีบันทึกเสียงเพลงชุดแรกคือ "ลาโคราช" (แก้กับเพลง น้ำตาหล่นที่โคราช ของ แสนสุข แดนดำเนิน) และชุดที่สอง "กลับโคราช" โดยใช้ชื่อ "ทับทิม นิยมทอง" แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะเป็นเพลงเร็ว เมื่อมาอยู่ในสังกัดชัวร์ออดิโอ โดยกลับมาใช้ชื่อ สุนารี ราชสีมา จากการแนะนำของ ชลธี ธารทอง จึงเริ่มบันทึกเสียงเพลงชุด "มือถือไมค์ไฟส่องหน้า" จนกระทั่งเพลง "กลับไปถามเมียดูก่อน" ซึ่งเป็นเพลงจังหวะช้า กลับได้รับการตอบรับเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับเพลง "กราบเท้าย่าโม" และ "สุดท้ายที่กรุงเทพ" ทำให้สุนารีครองตำแหน่ง ราชินีลูกทุ่งนับแต่นั้นมา และเป็นนักร้องต้นแบบให้กับผู้สมัครเข้าประกวดร้องเพลงลูกทุ่งรุ่นหลัง โดยที่สุนารียังคงมีผลงานเพลงออกมาสม่ำเสมอ และสามารถร้องได้หลากหลายแนว นอกจากนี้ยังมีผลงานการแสดงละคร และภาพยนตร์อีกด้วย

sunaree bw 1ชีวิตที่โลดแล่นอยู่กับคณะดนตรีลูกทุ่งมากว่า 30 ปี ของ สุนารี ราชสีมา เริ่มจากวันที่ก้าวขึ้นเวทีประกวดเสียงร้องตั้งแต่อายุ 13 เพื่อเติมเต็มความความพร่องทางเศรษฐกิจให้ครอบครัว นับว่าน่าสนใจพอดู และจากก้าวนั้นเองที่ทำให้สาวโคราชคนนี้ต้องจากบ้านเกิดมานานเต็มที

สุนารี ราชสีมา ผู้หญิงนิ่งๆ ที่ดูซื่อๆ แต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว ในขณะเดียวกันก็ดูอ่อนโยน และใจดี ปนเปไปกับมาดสาวสมัยในเสื้อผ้าแบบเท่ เข้ากันดีกับรูปร่างสูงใหญ่ของเธอ จะมาเล่าถึงเรื่องราวของสาวโคราชอีกคนบนเวทีแห่งชีวิต

เอาคำว่า "ราชสีมา" มาใช้เพื่อให้รู้ว่าเป็นคนโคราชใช่ไหม?

คงอย่างนั้นมั้งคะ เพราะว่าสมัยก่อน คนที่เป็นนักร้องเขาจะใช้ชื่อกันแบบว่า ศรเพชร ศรสุพรรณ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ แสนสุข แดนดำเนิน เหมือนกับว่าเป็นคนจากไหนก็เอาชื่อบ้านเกิด ชื่อจังหวัดมาใช้ อะไรทำนองนี้

ชื่อนี้สุใช้มาตั้งแต่ตอนที่ประกวดในรายการ ชุมทางคนเด่น ก็ไม่รู้นะว่าจะชนะ หรือจะได้เป็นนักร้องจริงๆ กับเขาหรือเปล่า แต่เราอยากเหมือนนักร้องมากที่สุด เลยใช้ชื่อนี้ แล้วจริงๆ ชื่อของสุก็ไม่ใช่ชื่อนี้นะ ชื่อนี้เป็นชื่อที่ขอยืมเพื่อนสนิทมาใช้ เพราะรู้สึกว่าเราชอบ อยากมีชื่อแบบนี้บ้าง พอขึ้นร้องเพลงเลยใช้ชื่อนี้เลย แต่ขนาดว่าเรานามสกุลแบบนี้ ร้องเพลงย่าโม ร้องเพลงที่เกี่ยวกับโคราชตั้งหลายเพลง ยังมีคนเคยมาถามว่าเป็นคนโคราชจริงๆ หรือเปล่า...

ในฐานะที่เป็นชาวโคราชคนหนึ่ง พูดถึงโคราชให้ฟังกันหน่อย

"สุออกจากโคราชมาตั้งแต่อายุ 13 เพราะพอจบ ป.6 พี่สาวก็ไปรับมาทำงานที่กรุงเทพฯ เพราะที่บ้านมันค่อนข้างจะแล้งน่ะ ทำอะไรไม่ได้ ถ้าจะถามว่ารู้จักที่ไหนบ้างในโคราชนี่บอกได้เลยว่ารู้น้อยมาก นอกจากที่บ้านเกิดแล้วก็ไม่เคยไปไหนเลย"

สุเกิดที่บ้านหนองหอย เป็นหมู่บ้านที่ไกลจากตัวเมืองไปอีก 50 กิโลฯได้ แต่ก่อนอยู่ในอำเภอโนนไทย แต่ปัจจุบันแยกมาเป็นกิ่งอำเภอพระทอง สมัยก่อนที่นั่นลำบากมาก น้ำไฟไม่มี เพิ่งมาเจริญจริงๆ เมื่อสัก 15 ปีก่อนนี่เอง สมัยนั้นจะใช้น้ำต้องเอาปี๊บไปตักน้ำบ่อเข็นใส่รถมาจากหมู่บ้านอื่นไกลๆ

แล้วเชื่อไหมว่ามันแล้งอยู่แต่อีตรงบ้านเรา (หนองหอย) ที่เดียวนะ หมู่บ้านรอบๆ ไม่เห็นมีใครแล้ง ฝนตกเป็นปกติ ญาติพี่น้องที่ตำบลอื่น หมู่บ้านเขามาเยี่ยมไม่เห็นมีใครบ่น แถมมีนั่นนี่หิ้วมาฝากอุดมเชียว ยังสงสัยเหมือนกันว่าทำมั้ย ! (เสียงสูง) ต้องมาเจาะจงที่หมู่บ้าน เคยคิดว่าที่หมู่บ้านมันคงมีตัวแล้งหรือเปล่า และไอ้ตัวแล้งนี่จะเป็นเราซะเองก็ไม่รู้ เพราะพอมากรุงเทพฯ แล้วพ่อแม่เล่าว่าก็ไม่แล้งเท่าไหร่นะ แล้วแปลกด้วย ตอนหลังนี่มาเป็นนักร้องแล้วกลับบ้านทีไรฝนตกทุกที แม่ยังบอกอีนางมาบ่อยๆ นะลูกมาแล้วฝนตกดี" (หัวเราะขันตัวเอง)

sunaree 7

ฝนแล้งอย่างนั้นกระทบความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง?

“มันก็ลำบากเหมือนกัน แต่ลำบากอย่างนั้นมันแค่ไม่ได้กินดีอยู่ดี เทียบกับคำว่าลำบากในกรุงเทพฯ แล้วมันคนละอย่างกัน เพราะคนบ้านนอกลำบากอย่างไรก็ยังมีอยู่มีกิน เราพอหาเก็บพริกเก็บผักกินได้ ปีไหนฝนดีมีน้ำมีปลาก็จะวิดปลามาทำปลาร้าเก็บไว้กินข้ามปีได้ แต่ลำบากในกรุงเทพฯนี่ ถูกตัดน้ำตัดไฟ เวลาอยากอาบน้ำก็ต้องไปอาบที่คลอง น้ำก็ไม่สะอาด อาบแล้วยังมาคันเนื้อคันตัว ต้องซื้อเทียนมาจุดอยู่กันในตึกแถว นอนมองเพดานไป

สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามองเห็นได้คือเพดานใช่ไหม แต่ในใจนี่เห็นเป็นภาพชีวิตสมัยอยู่บ้านนอกทั้งนั้นเลยนะ อยู่บ้านทำไร่ทำนา ขี่ควาย เลี้ยงควายให้พ่อแม่ ตกเย็นกินข้าว คืนไหนเดือนหงายพ่อจะพาออกมานอนนอกชานเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง ใครอยากกินของหวานก็เดินไปหักข้าวโพดในไร่มาต้มกิน มีตังค์หน่อยไปซื้อน้ำตาลมาคลุกกินกับมะพร้าวขูด เพราะบ้านนอกมีมะพร้าวติดบ้านกันอยู่แล้ว พูดถึงความลำบากของเราสมัยนั้นคือ การที่เราต้องไปตระเวนหาแลกหาซื้อกล้าที่จะเอามาปลูกข้าว คือต้นข้าวอ่อนนั่นล่ะ

พูดจริงๆ เราก็ชินกับมันเหมือนกันนะ รู้สึกผูกพันกับมันถึงเราจะค่อนข้างลำบาก ไม่อยากมาเท่าไหร่หรอกกรุงเทพฯน่ะ ออกจากบ้านมาเหมือนใจจะขาดรอนๆ เลย ช่วงมาใหม่ๆ เวลาเช้าๆ ค่ำๆ จะนั่งร้องไห้ทุกวัน เวลาพ่อแม่มาเยี่ยมจะตามติดแจ ด้วยความคิดถึง จะไปไหนหรือเข้าส้วมก็แทบจะขอตามเข้าไปด้วยเลย"

sunaree 2เข้ากรุงเทพฯมาตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ...คิดว่าจะมาทำงานอะไร?

"แรกเลยมาอยู่ช่วยที่บ้านพี่สาวก่อน เพราะตอนที่มานั่นหัวโล้น ก็อยู่ช่วยพี่สาวขายส้มตำ ขายของไปก่อน แต่เขาว่า จะให้ไปทำงานที่โรงงานเย็บผ้า กรุงเทพฯ เป็นอย่างไรเราไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าเราเองเมื่อ 20 กว่าปีก่อนนี่ มากรุงเทพฯ แล้วไม่มีความมั่นใจเลย รู้สึกว่าตัวเองเป็นอีเสี่ยว เป็นอีเด็กบ้านนอก เพราะตอนนั้นมาก็ยังพูดภาษาโคราชอยู่ แล้วสมัยนั้นคนกรุงเทพฯ เห็นคนอีสานก็จะล้อแล้ว ว่าเสี่ยวบ้าง...อะไรบ้าง ตัวเราเองยังมาพูดเหน่อ เป็นภาษาโคราชอีก แถมยังนุ่งผ้าถุง หัวโล้นมาอีก เขาก็มองเราเป็นลาว"

ทำไมหัวโล้น...?

"โกนเหาทิ้งค่ะ (นึกภาพเปิ่นๆ ของตัวเองแล้วนึกขันจนต้องหัวเราะยกใหญ่) พอดีโกนก่อนพี่สาวไปรับนิดเดียว แล้วพี่เขาจะมารอเราก็ไม่ได้ เลยต้องมาทั้งโล้นๆ อย่างนั้น

มาถึงพวกเด็กๆ ผู้ชายในซอยมันก็คงแปลกตามัน ก็จะชอบมาล้อ แบบว่าพยายามให้เราพูดเหน่อๆ ของเราออกมา จะทำเป็นมาป้วนเปี้ยนหน้าร้านให้เราถาม พอเราถามว่า ซื่ออ๊ะไหร ปั๊บ ก็จะเฮหัวเราะเยาะสนุกกันใหญ่ จริงๆ แค่มาซื้อน้ำขวดเปิดตู้เย็นหยิบเอาเองแล้ววางตังค์ไว้ก็ได้ เพราะเขารู้ราคากันดีอยู่แล้ว แต่จะต้องมาทำเป็นให้เราต้องพูด"

"รู้สึกเจ็บปวดนะว่า โอ๊ย ! ทำไมช่างเห็นเราเป็นตัวตลก แค้นด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเขา ตอนหลังๆ พี่สาวเขารู้ก็บอกว่าถ้าอายก็หัดพูดกลาง แต่ถ้าจะพูดโคราชก็ไม่ต้องอาย เพราะเราพูดอย่างบ้านเรา ไม่ต้องอาย"

แล้วไปไงมาไงสาวโรงงานเย็บผ้าถึงกลายเป็นนักร้องไปได้ "ยังไม่ได้เย็บผ้าเลยค่ะ ตอนนั้นเขาให้ไปหัดตัดด้ายอยู่ก่อน ทำอยู่ได้สัก 2 เดือน รู้สึกว่านั่งทำงานที่พื้นปูนนี่มันเย็น ทำให้เราปวดขา พอบอกพี่สาวเขาก็พาไปฝากงานใหม่ เผอิญเขามีเพื่อนเป็นคนรับเหมาทำกับข้าวให้คนในโรงงานกิน เราก็ไปเป็นลูกมือหั่นผัก ล้างผักให้เขา ได้ค่าตัววันละ 20 บาทเท่ากับไปตัดด้าย แต่อันนี้ดีกว่าหน่อยตรงที่วันไหนกับข้าวเขาเหลือเขาให้เอากลับมากินที่บ้านได้ อยู่มาวันหนึ่ง ก็มีคนไปตามถึงบ้านพี่สาว บอกว่าจะตามให้ไปร้องเพลงอัดแผ่น ! ...

"เขาเป็นนักจัดรายการ ชื่อคุณสุขสันต์ หรรษา หรือจ่าประจวบ เสริมสุข เขาไปบอกว่า อยากปั้นเรา เห็นเราจากการประกวด ตอนนั้นที่สุมากรุงเทพฯ แล้วเราก็ได้มาประกวดอีกรอบ เป็นรอบที่หลังรวมแชมป์จากจังหวัดต่างๆ มาประกวดรอบในกรุงเทพฯ อีกที คราวนี้ได้แค่รองชนะเลิศ เลยเซ็งๆ อยู่ ผิดหวังที่เราไม่ได้เงินแสนไปให้พ่อแม่ ให้ถ้วยมาใบเดียวเท่านั้น"

แล้วคราวชนะที่โคราชได้รางวัลเท่าไหร่?

"ตอนนั้นได้ร้อยหนึ่ง โอ๊ย! ดีใจมากเลยนะตอนนั้น เพราะต้องนั่งรถจากหนองหอยมาประกวดกับเขา ทั้งที่ไม่มีเงินค่ารถอะไรหรอก ด้วยความอยากไปเลยขโมยข้าวเปลือกแม่ขายไป 2 ปี๊บ ได้เงินมาสัก 37 บาทได้ ก็เอามาเป็นค่ารถไปประกวด

พอมาถึงโคราช รถจะวิ่งเข้า บขส. ต้องเดินออกมาที่เวทีประกวดก็จะผ่านอนุสาวรีย์ย่าโม นั่นคือวันที่ได้ไหว้ย่าโมครั้งแรก ยกมือไหว้ไกลๆ ขอย่าว่า ให้ลูกชนะด้วยเถิด ไม่ได้มีดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปจุดไหว้อะไร ตอนหลังจะเข้ากรุงเทพฯ ถึงได้เข้าไปไหว้ลาจริงๆ

sunaree 8

ที่ขออย่างนั้น เพราะว่าวันนั้นเราต้องชนะให้ได้นะ คิดดูสิ ชั่วโมงนั้นถ้าไม่ชนะก็ไม่รู้ว่าจะกล้ากลับบ้านหรือเปล่า เพราะขโมยข้าวแม่ขายเอาตังค์มาเป็นค่ารถ จึงต้องชนะให้ได้รางวัลไปใช้คืนแม่น่ะ จำได้เลยว่าข้าวก็ไม่มีตังค์ไปกิน เพราะพาน้องชายไปเป็นเพื่อนเลยให้น้องกินคนเดียว ตัวเองตอนหิวออกมาเปิดน้ำก๊อกที่ข้างหลังเวทีกิน ไม่ได้กินอะไรเลย

หกโมงเย็นเขาถึงจะตัดสินก็พอดีรถคิวบ๊วยหมด เดินมาหน้า บขส. หอบข้าวของรางวัลมาพะรุงพะรัง แฟ้บ ยาสีฟัน สบู่ ตอนนั้นได้ยี่ห้อนกแก้วนะ แล้วก็แป้งสปริงซอง...พวกสามล้อเห็นก็เวียนมาถามไปไหมๆ แต่เราไม่ขึ้นหรอก ไม่อยากจะจ่ายเงิน ก็เลยเดินกลับกันเอง

พอเขาไปบอกว่าจะปั้นให้เป็นนักร้องดีใจไหม?

"ไม่เลย ตกใจมากกว่าว่าเขามาได้อย่างไร ยิ่งพอเขาบอกว่าจะเอาไปปั้นเป็นนักร้องยิ่งไม่สนใจเลย"

ทำไมอย่างนั้น

"เนื่องจากว่าเราเป็นคนที่สนใจวงการลูกทุ่งอยู่ไง ก็จะติดตามอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับแวดวงนี้ แล้วจะเจอว่าเขามีคำฮิตๆ พูดกันอยู่ว่า เป็นนักร้องนี่ต้องถูกปล้ำก่อนถึงจะถูกปั้น ...เป็นอะไรที่ฝังใจเราอยู่ ทำให้ไม่เคยคิดอยากเข้าไปเป็นนักร้องเลย ยิ่งเรื่องมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งไม่เคยคิด (กลัวถูกปล้ำ?) ใช่ (หัวเราะ...แซวตัวเอง) คิดว่าตัวเองสวยน่ะ"

กลัวอย่างนั้นแล้วไปประกวดร้องเพลงทำไมล่ะ

"...สำหรับสุ นี่คือวิธีที่ทำให้เราหาเงินช่วยครอบครัวได้"

sunaree 9

ตกลงว่าอย่างไรกัน

"ก็ถามเขาว่าต้องเป็นเมียคุณก่อนหรือเปล่าถึงจะมีแผ่นเสียงออกมา... โอ๊ย ! พอพูดอย่างนั้น เขายกพระในคอขึ้นมาสบถสาบานวุ่นวาย ถ้าเป็นคนอย่างนั้นขอให้ฉิบหายอย่างโน้นอย่างนี้ แต่เรายังไม่ไว้ใจ เลยบอกว่าต้องถามพ่อแม่ก่อน พอไปหาพ่อแม่ๆ ก็บอกแล้วแต่เรา แต่พี่สาวเขาเชียร์เต็มร้อย เลยคิดว่า เออ...ลองดูก็แล้วกัน ตกลงเขาไปเพราะแรงยุของพี่สาว

แรกๆ ที่ไป บริษัทอยู่ปากคลองตลาด พี่สาวก็จะพานั่งรถเมล์สาย 60 มีนบุรี-ปากคลองตลาดทุกวัน แต่กว่าจะถึงก็เมารถอย่างแรงจนอ้วกแตกไปทุกวัน พอถึงบริษัทก็สลบไสลไม่มีแรงทำอะไรแล้ว อาเขาเลยให้ไปอยู่ที่บ้านเขา

แรกๆ ก็ระแวงเหมือนกัน แต่พี่สาวให้หลานไปนอนเป็นเพื่อน แล้วอยู่ไปๆ ก็เห็นว่าจริงๆ แล้วเขาก็คนบ้านนอกเหมือนเรานี่ล่ะ กินอยู่กันอย่างไร มีความเป็นอยู่แบบไหน นอกจากลูกเมีย ก็มีลูกน้องในบ้านอีกหลายคน เพราะตอนนั้นอาเขาทำวงชาตรี ศรีชล กับแสนสุข แดนดำเนิน อยู่แล้ว สักพักก็วางใจ..."

อยู่บ้านนี้นานไหมกว่าจะได้ออกเทป?

ไม่นานค่ะ ไปพอมีเพลงก็ได้ร้อง แต่ว่ายังไม่ได้เป็นหัวหน้าวง ไปเป็นลูกวงเขาก่อน แต่ได้อัดแผ่น มีเพลงของเราร้อง แต่ว่าไม่ได้โด่งดัง ไม่ใช่เพลงเชียร์

เพลงแรกที่ได้บันทึกแผ่นเสียงชื่ออะไร...?

"ลาโคราช   นั่งรถทัวร์ด้วยใจคะนึง ร้องแก้กับเพลง น้ำตาหล่นที่โคราช ของนักร้องชาย

ซึ่งตอนนั้นเพลงนี้ดัง เลยทำให้มีคนรู้จัก แต่เรายังไม่ดัง ช่วงที่อยู่กับอาจวบก็จะร้องไปเรื่อย บางทีไปอัดเพลงแลกข้าวสารก็มี เพราะว่าเขาไม่มีเงินให้ ได้อะไรต้องเอา เพราะที่บ้านอยู่กันเยอะ ทำอะไรได้ก็ช่วยๆ กัน พอชุดที่สองชื่อ กลับโคราช ...กลับโคราชเถอะ เรามันเซอะอยู่ไปมันก็เซ็ง..."

เป็นเพลงที่เกี่ยวกับโคราชทั้งนั้นเลย ตั้งใจปั้นที่ความเป็นคนโคราชกันเลยหรือ?

"ยังไงไม่ทราบเหมือนกัน เพราะเป็นความคิดของอาเขากับอาจารย์ชลธี ธารทอง นักแต่งเพลง เราไม่ประสีประสาอะไรเขาให้ร้องก็ร้อง มานึกสมัยนี้ยังขำเลยว่ารถไฟอะไรของเขาแล่นปราดๆ เขาเขียนมาให้ร้องนะ ...รถไฟแล่นปราดๆ กลับโคราชบ้านเอ็ง... คิดว่าเขาคงจะให้เข้าสัมผัสกับโคราชนะ เพราะถ้ารถไฟแล่นฉึ่กฉั่กคงไม่เข้าโคราชแน่เลย" (ยิ้มอารมณ์ดี)

ชุดไหนถึงดัง? "หลังจากนั้นอีกหลายชุด ตอนไปอยู่กับบริษัทชัวร์ออดิโอ ซึ่งตอนที่มาอยู่กับชัวร์ฯ นี่เขาบอกต้องเปลี่ยนไปใช้ชื่อเดิม คือสุนารี ราชสีมา หลังจากที่อาเขาเคยให้ใช้ ทับทิม นิยมทอง นายห้างชัวร์ฯ เขาบอกว่าไม่งั้นคนจะไม่รู้จักเลยว่า เราเป็นนักร้องชนะการประกวดมา แต่เปลี่ยนชื่อแล้วก็ยังไม่ดัง !"

sunaree r1

จับจุดได้ไหมว่าทำไมถึงไม่ดังสักที ทั้งที่แต่ละเพลงที่พูดถึงก็เพราะและทุกวันนี้ก็คือเพลงดังเพลงหนึ่ง

"ค่ะ ตอนที่มาทำชุด สุดท้ายที่กรุงเทพฯ นี่ มีเพลงในชุดชื่อ กลับไปถามเมียคุณดูเสียก่อน เพลงนี้คนฟังแล้วเขาฟีดแบกมาที่บริษัทว่า ดี เขาชอบ ทำให้รู้สึกว่าเขาชอบเพลงช้าของเรา ตอนหลังก็เลยทำเพลงช้าออกมาอย่าง รายงานหัวใจ ทางสายใหม่ พวกนี้ เริ่มดังแล้ว

จริงๆ แล้วกี่ชุดๆ ที่ทำออกมาจะเป็นเพลงเร็ว เพลงเต้น เพราะตอนนั้นตลาดลูกทุ่งเป็นของพุ่มพวง เพลงกระแซะกำลังดัง เลยตามตลาดพุ่มพวง เฮทำเพลงเต้น เพลงเร็วกัน เราก็หลงทางไปกับเขาด้วย บังเอิญว่าในชุดที่เราทำเพลงเร็วมันก็มีเพลงฟังอยู่บ้าง ชุดละ 2-3 เพลง แต่ไม่ได้โปรโมท ต้องคนที่ซื้อเทปถึงจะได้ฟังเพลงช้าของเรา ซึ่งเขาฟังแล้วชอบก็บอกทางบริษัทว่าเขาชอบสุนารีแบบนี้มากกว่า

ทีนี้พอเริ่มดังของเราเอง เพลงเก่าๆ ที่ร้องไว้ชุดก่อนๆ เลยได้ทยอยมาดังตามน้ำทีหลัง กราบเท้าย่าโม ก็เหมือนกัน ทำไว้ตั้งแต่ชุดที่ 3 หรือที่ 4 ถึงมาดังทีหลัง"

sunaree 4เคยถามคุณสุขสันต์ หรรษา (ผู้ชักนำมาเป็นนักร้อง) ไหมว่า ทำไม? ถึงเลือกที่จะไปตามเรามาปั้น

"อืมห์ ! ไม่เคยนะ แต่รู้สึกว่าอาเขาจะเชื่อมั่นในตัวสุมาก (ว่าจะดังได้?) ใช่ เพราะสมัยที่อยู่กับแกแล้วก็ไม่ดังสักที จนเราท้อนะ บอกแกว่าอาหนูคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้านแล้วล่ะ อยากกลับไปทำไร่ทำนาอย่างเก่า อาเขาบอกว่าอย่าเพิ่งเลย อดทนไปก่อนเถอะ แกว่าถ้าคิดถึงบ้านจะไปเยี่ยมก็ไป เจอพ่อแม่หายคิดถึงแล้วกลับมานะ ...เขาไม่ยอมให้เลิก ถามว่าทำไมล่ะอา แกเคยบอกว่า วันหนึ่งเอ็งต้องดัง สักวันหนึ่งแม้นั่งอยู่ในส้วมก็จะมีคนร้องเพลงของเอ็งให้ได้ยิน แล้วจริงๆ นะ มีอยู่วันหนึ่งกำลังเดินสาย แล้วแวะเข้าห้องน้ำที่ปั๊มน้ำมัน ขณะที่เรากำลังคร่ำเคร่งกับธุระของเรา ไอ้ห้องข้างๆ ก็เสียงแจ๋วขึ้นมาเลย ...สองมือกราบลงที่ตรงเหนืออาสน์ แทบบาทย่าโม... โอ๊ย ! นึกถึงคำพูดอาเขาแล้วขนลุกขึ้นมาเลย"

จากท้องนาสู่ฉายาราชินีลูกทุ่งยุคนี้ ถึงจุดสูงสุดของสุนารีแล้วหรือยัง?

"ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะไปอย่างไร ขนาดไหน แต่เท่าที่ผ่านมาสุพูดได้ว่าในหน้าที่การงาน ในสายอาชีพของสุ รู้สึกว่าเป็นเกียรติสูงสุด มีบุญที่สุด ที่ได้ร้องเพลง ส้มตำ พระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพฯ แล้วต่อมาก็ได้ร้องในชุดมณีพลอยร้อยแสง ที่พระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงแต่งร่วมกับสมเด็จพระเทพฯ

แล้วก็วันที่ร้องเพลงส้มตำถวายหน้าพระที่นั่ง พระราชินี ในงานกึ่งศตวรรษลูกทุ่งไทยที่ศูนย์วัฒนธรรม ร้องเสร็จ ผู้จัดเขาก็มาบอกว่า ทรงให้เข้าเฝ้า ซึ่งไม่มีใครรู้มาก่อน ร้องเสร็จลงมาก็ไปเข้าเฝ้าตื่นเต้นมาก คลานเข้าไปนี่รองเท้าหลุดเลย พอเข้าไปใกล้ๆ พระเทพฯท่านก็บอกแม่ท่านนะว่า นี่ไง คนที่ร้องเพลงที่หม่อมฉันแต่งอะไรทำนองนี้ พระราชินีท่านก็คุยสุภาพมาก ประทับใจไม่ลืมเลย ทุกวันนี้ยังเล่าให้ลูกฟังอยู่เลย ว่าแม่นี่ได้เข้าเฝ้าพระราชินีมาแล้วนะลูก"

sunaree 5นอกจากเหตุการณ์ครั้งนี้ มีครั้งไหนที่ประทับใจคุณสุอีก

"เคยไปร้องเพลงถวายในงานปาร์ตี้ของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ สมัยที่ท่านยังอยู่ที่อเมริกา เขาบอกว่างานเริ่ม 6 โมงเย็น สามทุ่มจะเลิก แต่ร้องไป 60 เพลง ตีสามยังไม่เลิกเลย โอโห ประทับใจมาก งานนี้ไปไม่ได้ค่าตัวนะคะ แต่ว่าการบินไทยที่เป็นคนจัดงานเขาอัพเกรดที่นั่งขากลับให้เป็นชั้นเฟิร์สคลาส นอนตีลังกากลับมาเลย"

"เขาเชิญไปงานวันเกิดของหลวงพ่อวัดไทยที่อเมริกา พระเทพประสิทธิมนต์ วัดพุทธาราม หลวงพ่อองค์นี้ท่านชอบเพลงสุชุดคุณแม่ยังสาว ประมาณเพลงเก่าเอามาร้องใหม่น่ะ เขามาว่าให้ไปงานนี้ ซึ่งการไปงานนี้ทำให้เรารู้ว่ามีช่องทางทำกินได้เงินดีมากเลยที่เมืองนอกน่ะ พอเราเล่นงานของหลวงพ่อเสร็จ เขาให้ไปต่อที่งานปาร์ตี้ของทูลกระหม่อม ไปแล้วก็ทำให้มีคนอยากให้ราไปโชว์อีกหลายที่เลย แต่ทีนี้เราไม่ได้เตรียมตัวไป มีงานรออยู่ที่เมืองไทย เลยนัดกันว่ารับงานไว้ที่ไหนบ้างว่ามา แล้วอีก 6 เดือนเคลียร์งานที่เมืองไทยเสร็จเราจะไป คราวนี้พอไปอีกที โอโห ! รับเงินกันไม่หวาดไม่ไหว เที่ยวเดียว 3 เดือน ได้เงินกลับมา 8 ล้านบาท"

มาถึงตรงนี้อย่างทุกวันนี้ เคยมองย้อนกลับไปคิดถึงชีวิตแบบเก่าๆ ที่ยังไม่เป็นนักร้องบ้างไหมว่าเราได้อะไรจากสิ่งที่ทำอยู่

"อย่างน้อยที่สุด สุว่าตัวเองได้เข้ามาฝึกความอดทน ได้ประสบการณ์ ได้เพื่อนแม้ว่าบางคนอาจจะดีไม่ดีไม่เท่ากัน ทั้งที่จริงใจและไม่จริงใจ แต่เราก็มีความสุขกับงานนี้ จากเดิมที่ไม่คิดอยากเป็นนักร้องอาชีพโชคชะตาก็ได้พาเราเข้ามา แล้วเราก็รักงานนี้ เหมือนมันซึมเข้าไปเป็นครึ่งหนึ่งในตัวเราแล้ว

อีกอย่างจากที่เคยถูกล้อว่าพูดโคราชออกเสียงเหน่อๆ สุเห็นว่าเดี๋ยวนี้คนกรุงยอมรับคนอีสานกันมากขึ้น ตอนนี้กลายเป็นว่า คนกรุงเทพฯ เองก็สนุกที่จะพูดอีสาน ใครที่ฟังอีสานไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักคำอีสาน เหมือนว่าคุณไปอยู่ที่ไหนมา เพราะใครๆ เขาก็พูดกัน ตัวสุเองบางทีไปออกรายการก็พูดโคราชเลย รู้สึกภูมิใจด้วยซ้ำ ที่อาจจะเป็นเราก็ได้ที่ทำให้ภาษาบ้านเราได้เผยแพร่เป็นที่รู้จัก"

มีอะไรอีกที่เป็นของดีโคราชที่คุณสุรู้สึกภาคภูมิใจ

ถ้าเป็นสถานที่ สุว่า ปราสาทหินพิมาย ที่นี่สวยงามมีความน่าสนใจดี ตั้งแต่เกิดมาเป็นคนโคราชจนป่านนี้ สุเพิ่งเคยได้ไปที่นี่เมื่อสัก 2 ปีที่ผ่านมานี่เอง ไปถ่ายรายการท่องเที่ยวรายการหนึ่ง เขาหาข้อมูลมาให้เราอ่านแล้วพูดแนะนำให้ผู้ชมทราบ ก็ทำให้เราได้รู้จักสถานที่แห่งนั้นไปด้วยเป็นครั้งแรก แล้วก็ติดใจตั้งแต่นั้นมา ส่วนอย่างอื่นที่เป็นโคราช สุว่า หมี่โคราช ของเราก็ขึ้นชื่อนะคะ หมี่โคราชนี่จริงๆ แล้วมันมีลักษณะเป็นเส้นเล็ก ตากแห้ง เวลาปรุง ตามแบบคนโคราชจริงๆ นี่เขาจะเอามาผัดกับไก่บ้าน แบบนี้จะเข้ากันที่สุด

ยังมีความฝันสูงสุดอะไรที่อยากไปให้ถึงอีกบ้าง

"คิดว่าไม่มีอะไรแล้วในชีวิตนี้ ถ้าจะมีก็คงมีอยู่อย่างเดียวที่อยากให้พ่อแม่ของสุมีอายุยืนนานได้มากๆ ที่สุด เพื่อที่จะอยู่กับสุไปอีกน้าน...นาน เพราะในบั้นปลายของตัวเอง ได้คิดไว้แล้วว่าจะกลับไปอยู่กับพ่อกับแม่ที่บ้าน ตอนนี้ก็เริ่มเตรียมที่ทางเอาไว้แล้ว มะม่วง ขนุนอะไรก็ลงไว้บ้างแล้ว เตรียมจะไปทำสวนที่บ้าน ให้พ่อขุดบ่อเก็บน้ำไว้รอบๆ ที่ของเราแล้ว จะได้เอาไว้เก็บน้ำฝนไว้ใช้เพาะปลูกของเรา

ถ้าเป็นในสายงานถ้าไม่ร้องเพลงแล้ว อยากจะถอยไปทำงานเบื้องหลังบ้าง อย่างการแต่งเพลงหรืออะไรทำนองนี้ ซึ่งได้พยายามฝึก พยายามลองทำดูบ้างเหมือนกัน แต่ยังไม่สำเร็จเลยนะ คิดว่าจะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ในวันหนึ่ง ก็แค่นี้..."

sunaree 0

ชีวิตครอบครัว

เคยสมรสครั้งแรก มีลูกชาย 2 คน คือ อาร์เธอร์ และ ฮีโร่ แต่เลิกรากันในที่สุด ต่อมาได้คบหากับฝรั่ง แฟนหนุ่มรุ่นน้อง ชื่อ วาวเตอร์ เดราฟ ชาวเนเธอร์แลนด์วัย 27 ปี มาเป็นเวลา 2 ปี แม้ทั้งคู่จะมีอายุห่างกันถึง 20 ปี ปัจจุบันได้จดทะเบียนสมรสกันแล้ว เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา

อาร์เธอร์ และ ฮีโร่

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1003417

 sunaree 1

เกียรติยศ

สุนารี ราชสีมา ได้รับรางวัลพระราชทานในงาน "กึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย" ทั้ง 2 ครั้ง จากเพลง "กราบเท้าย่าโม" แต่งโดย เลิศ ศรีโชค เมื่อปี พ.ศ. 2532 และเพลง "สุดท้ายที่กรุงเทพ" แต่งโดย จิตรกร บัวเนียม ในปี พ.ศ. 2534 และยังได้รับโอกาสสูงสุดในชีวิต จากการขับร้องบทเพลงพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี "ส้มตำ" ในงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ปี พ.ศ. 2534 ต่อมาได้ขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อีกหลายเพลง เพื่อบันทึกเสียงในชุด "มณีพลอยร้อยแสง"

sunaree r3

ขอแสดงความยินดีกับ นางทิม สอนนา ในโอกาสที่ได้รับการยกย่องเชิดชูเป็น "ศิลปินมรดกอีสาน ประจำปี 2565" จาก มหาวิทยาลัยขอนแก่น

redline

backled1

isan word tip

isangate net 345x250

ppor blog 345x250

adv 345x200 1

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)