pra tam tesana header

ต่อไปพากันตั้งใจฟังธรรม การฟังธรรม ฟังให้เกิดประโยชน์ ฟังเพื่อให้เข้าอกเข้าใจให้มันเป็นประโยชน์ สำรวมอายตนะทั้งหลายให้เหลือไว้แต่จิต พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ฟังธรรม

mai mee arai dai

การปฏิบัติธรรม ให้สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย อายตนะ ของเรามีหก ปิดไว้ห้า เหมือนบุรุษจะจับเหี้ย เหี้ยมันอยู่ในโพรงจอมปลวก จอมปลวกมีรูอยู่หกรู ปิดไว้ห้ารู เหลือไว้รูเดียว คอยดักจับ เหี้ยมันจะออกมา ปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย เหลือไว้แต่ใจ ท่าใจให้เป็นหนึ่งไว้คอยจับอารมณ์ อาการกิเลสทั้งหลายมันจะเข้าไป

cha 1จิตใจมนุษย์เราทั้งหลาย มันไม่แปลกอะไรกับเทป ถ้าเราเปิดเครื่องบันทึก เสียงอะไรต่างๆ มันจะเข้าไปวุ่นวายในเทปนั้น เปิดฟังก็ไม่รู้เรื่อง ใจเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าต่างคนต่างพูดเสียงอึงคะนึง เลยไม่รู้เรื่อง ว่าท่านเทศน์อะไร ถ้าเราเงียบๆ ทำจิตให้เป็นหนึ่ง นั่งหลับตาดีๆ สำรวมไว้ มันก็จะเหมือนกันกับเราอัดเทปในที่เงียบๆ มันจะไม่มืเสียงอะไรเข้าไปปะปนในเทปนั้น จะมืความรู้สึกสงบระงับ ธรรมก็จะเข้าถึง จิตใจของเรา เหมือนเทปอัดไว้ในที่ไม่มืเสียงรบกวน เวลาเราต้องการจะเปิดฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะชัดเจนน่าฟัง จิตมนุษย์เรานี้ก็เหมือนกันฉันนั้น เมื่อเราฟังถึงยังไม่รู้เรื่องก็ฟังให้จิตเป็นหนึ่ง มันจะป้อนเนื้อธรรมเข้าไปอัดเข้าไว้ บางคนก็ไม่รู้จักไม่เข้าใจ ได้แต่ความสงบ ค่อยฟังไป ค่อยบำเพ็ญไป ค่อยปฏิบัติไป ค่อยศึกษาไปเรื่อยๆ ต่อไปอนาคตข้างหน้า มันจะปรากฏเหตุการณ์ขึ้นมาในมโนภาพเหมือนกันกับม้วนเทป การพิจารณาธรรมจะเกิดขึ้นมาเพราะความสงบเป็นเหตุ เป็นนิสัยเป็นปัจจัย ปฏิบัติไปมันจะพ้นขึ้นมา

พระบรมศาสดาตรัสว่า “นิสัยปัจจัย” ค่าที่ว่า นิสัยปัจจัย นั้นไม่รู้มันอยู่ที่ไหน? ไม่เห็น แต่มันก็มือยู่ บางคนสอนได้ง่ายๆ บางคนฟังยาก สอนยาก มันก็ใจเหมือนกัน ทำไมมันไม่เหมือนกัน นิสัยปัจจัยมันไม่เหมือนกัน เหมือนกันกับเรื่องอัดเทป ถ้าอัดในที่สงบมันก็อย่างหนึ่ง อัดในที่วุ่นวายมันก็อย่างหนึ่ง อัดเหมือนกันแต่ก็ไม่เหมือนกัน คนเราก็เช่นเดียวกัน ฟังเทศน์กัณฑ์เดียวกัน แต่มืความเห็นต่างกัน มีความเข้าใจต่างกัน ฉะนั้นการฟังธรรมในครั้งพุทธกาลกับในสมัยนี้ก็ไม่แปลกกัน พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายท่านให้เคารพในการฟังธรรม ทำไมท่านจึงให้เคารพในการฟังธรรม เพราะสมัยปัจจุบันนี้ พุทธบริษัทเราก็ยังอยู่ ข้ออรรถข้อธรรมก็ยังมีอยู่ ธรรมที่ให้สำเร็จมรรคผลนิพพานก็ยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ถ้าพวกเราตั้งใจฟ้งให้ดีแล้วนำมาพิจารณา ก็เกิดมรรคเกิดผลได้ในปัจจุบันนี้เอง ไม่ต้องสงสัย

sit stickแต่ว่าโดยมากพวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจผิดอยู่อย่างหนึ่งว่า การประพฤติธรรม การปฏิบัติธรรม การท่ากรรมฐาน การท่าภาวนาให้บรรลุธรรม เข้าใจว่าเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องของพระสาวกก่อนโน้น พากันเข้าใจไปอย่างนั้น ดังนั้น การฟังเทศน์ฟังธรรมในสมัยนี้จึงไม่เป็นกิจลักษณะ ฟังเพื่อตลกคะนองต่างๆ นานา เลยไม่เข้าใจ จะเอาคุณงามความดี เอามรรคเอาผลอันเกิดขึ้นจากการฟังไม่ได้ เหมือนกับการฟังเทศน์บุญมหาชาตินั่นแหละ ใครว่าได้อะไรบ้าง? ไม่เห็นได้อะไร ฟังไปๆ อย่างนั้นเอง พระก็เทศน์เรื่องนก พรรณนา ไป... “นกกก นกแกง ชุมแซง คอถ่าน ห่านฟ้าและสังกา” ว่าไป อย่างนั้นไม่รู้เรื่อง ไปพูดเรื่องนก เรื่องต้นไม้ เรื่องภูเขาเลากา ไปโน้น สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร เปลืองข้าวต้มขนมเปล่าๆ ไม่ได้การไม่ได้งาน มาถึงบ้านแล้วจะปฏิบัติอย่างไรบ้าง วันนี้ฟังเทศน์แล้วได้อะไรบ้าง เข้าใจอะไรบ้าง? เงียบ (มิดสี่หลี่) ยิ่งฟังยิ่งไม่รู้เรื่อง มีแต่ความประมาท ฝนโบกขรพรรษ ก็หว่านข้าวตอกข้าวสาร หว่านกันไปกันมา กลายเป็นกะลาเป็นก้อนอิฐขว้างไปขึ้นศาลา เลยเป็นเรื่องทำเล่น เอาคำพระพุทธเจ้าไปทำเล่น เอาเรื่องท่านไปพูดเล่น...บาป สร้างบาปกันขึ้นตรงที่ทำบุญนั้นแหละ ทำไม? เพราะไม่รู้เรื่องในการฟังธรรม ว่าการฟังธรรมคืออะไร?

การฟังธรรมก็คือเรื่องท่านสอนเราโดยตรงนี้แหละ ท่านสอนเราให้รู้จักบาป ให้รู้จักบุญ ให้รู้จักคุณ ให้รู้จักโทษ รู้จักผิด รู้จักถูก เราพากันฟังแต่ก็ไม่รู้เรื่อง เมื่อไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ฟังแล้วกลับไปถึงบ้านก็ทำอย่างเก่า การประพฤติทางกาย ทางวาจา ทางใจ ในครอบในครัว ในบ้านในเมือง ก็อย่างเก่า เคยแช่งเคยด่า ก็แช่งก็ด่าอย่างเก่า เคยโลภก็โลภอย่างเก่า เคยโมโหก็โมโหอยู่อย่างเก่า เคยเป็นผีก็เป็นผี เคยเป็นเปรตก็เป็นเปรตอยู่อย่างเก่า ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่รู้จักบาป บาปเป็นอย่างไร.... ไม่รู้บาป ทางกาย ทางวาจาก็ไม่เท่าไหร่หรอก ใจของเรานั่นซิ วันหนึ่งบาปหลายครั้งนะ คราวใดใจมันโกรธไม่พอใจ นั่นแหละบาป เกิดขึ้นแล้วที่ใจของเจ้าของ

มาวัดทำไม? มาวัดก็มาทำบุญนั่นแหละ มาเห็นพระเจ้า พระสงฆ์ ได้ฟังเทศน์ฟังธรรมใจมันก็สบาย ไม่ขุ่นไม่มัว เรียกว่า มาสร้างบุญ ใจสบายไม่ขุ่นมัวได้ทั้งบุญและกุศล ถ้าทางใจมันเป็นบุญแล้ว ทางวาจาก็ไม่ต้องไปพูดมันมากหรอก ไม่ต้องไปควบคุมมัน ท่านจึงว่า มาวัดเพื่อสร้างบุญสร้างกุศล บางคนอาจจะคิดว่าเอาของมาถวายพระนั่นแหละจึงเป็นบุญ ไม่ใช่อย่างนั้น ตาเราได้มาเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น เห็นครูบาอาจารย์ เห็นพระเจ้าพระสงฆ์ หูก็ได้ฟังเทศน์ฟังธรรม ใจก็สบาย ถ้าอยู่บ้านเดี๋ยวลูกตีกันแล้ว หมาขโมยกินของในครัวแล้ว ควายกินต้นกล้วยแล้ว เดี๋ยวก็หมูร้อง เดี๋ยวก็เป็ดร้อง เราเลยตกนรกขุมเล็กขุมใหญ่อยู่ตลอดเวลา ท่านจึงว่าอยู่ที่บ้านบาปมันเยอะ ใจของเรามันเป็นบาป มันขุ่นมัว นรกขุมเล็กๆ เรียกได้ว่าตกเป็นนิจกาล แต่ไม่รู้ตัวเองตกนรก ถ้าใจเศร้าหมองเมื่อไรเวลาใดนั่นแหละ ท่านเรียกว่า บาป ใจไม่ผ่องใส

arjhan cha 10

ถ้าเรามาวัดได้ฟังเทศน์ฟังธรรม รู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ ท่านประกาศธรรม ประกาศศีลธรรมไว้ ก็ล้วนแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้นล่ะ ท่านไม่ให้เบียดเบียนกัน ไม่ให้อิจฉาพยาบาทกัน ให้สามัคคีกัน ไม่ให้นอกใจกัน ท่านสอนเราแต่เรื่องดีๆ แต่เราฟังไม่ชัด ฟังไม่เข้าใจเฉยๆ ถ้าฟังเป็นมีแต่เรื่องดีๆ มีแต่เรื่องถูกๆ ทั้งนั้น ผู้รู้จักธรรม รู้จักอดรู้จักกลั้น รู้จักข้อประพฤติปฏิบัติ แม้ว่าจะทำไร่ทำนาทำสวน ไร่นาสวนของคนนั้นก็เจริญ แม้จะปฏิบัติในครอบครัวหรือในบ้าน บ้านคนนั้นก็สะอาดสะอ้าน อยู่กันด้วยความสงบสุขเป็นมงคล รู้จักผิดรู้จักถูก มันจะทะเลาะกัน จะเถียงกันขึ้นมาก็รู้จัก ไม่ทำอย่างนั้นไม่คิดอย่างนั้น มันก็ เป็นการตัดบาปตัดกรรมเท่านั้นแหละพวกเราทั้งหลาย

ถ้าหากว่าพวกเราทั้งหลายไม่พากันฝึก ไม่พากันหัด พวกเราจะไม่แปลกอะไรกับพวกสัตว์ทั้งหลาย มนุษย์เราทั้งหลาย จะต่างจากสัตว์ก็ตรงที่รู้จักอาย ถ้าไม่มีความอายความกลัวต่อความชั่วแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ ถ้าพูดถึงความคิดอยากเป็นโน่นเป็นนี่ อยากได้โน่นได้นี่ มันก็เหมือนกันนั่นแหละกับสัตว์ทั้งหลาย ไม่ได้แปลกกัน ถ้ารู้จักอดไว้ กลั้นไว้ ยับยั้งไว้ มีความละอาย มันอยากได้อยู่ แต่ก็อายไม่เอา หาอะไรแลกเอาเปลี่ยนเอา มนุษย์เราล้าไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่ผิดอะไรกับไก่ พอเห็นข้าวสารก็กินเลย ไม่รู้ข้าวสารใคร มันไม่รู้จัก ควายก็เหมือนกัน เข้านาเข้าสวนใครก็กินเลย ไม่รู้จัก มันจึงมืความรู้สึกต่างกันกับมนุษย์อย่างนี้

cha 3พูดถึงคนไม่รู้เรื่อง ก็ไม่รู้เรื่องจริงๆ อยากให้เป็นอย่างโน้น อยากให้เป็นอย่างนี้ จะไม่ให้บาปได้อย่างไร ก็ไม่รู้เรื่องนี่ ของมันเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ จะร้องไห้กับสิ่งเหล่านั้นมันก็ใช้ไม่ได้ ของมันเป็นอยู่อย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรมา เราก็ไม่รู้จัก นี้ของฉัน นั่นของคุณ นี่ของเรา นั่นของเขา นึกว่าเป็นอย่างนี้ จริงๆ ถึงเวลามันจากไปเลยไม่มืที่พื่ง ไม่มีพระพุทธเป็นที่พึ่ง ไม่มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ก็ร้องไห้โฮ เท่านั้นแหละ บางคนข้าวก็ไม่กิน มันทุกข์ มันจะตายไปด้วยกัน ก็ยังไม่รู้จัก นี่แหละคือคนโง่...รู้จักไหม

สมัยก่อนธรรมะยังไม่เปิดหูเปิดตาของสัตว์ทั้งหลาย ทุกวันนี้ชาวบ้านก่อ-บ้านนํ้าคำเหล่านี้สบาย คนตายก็ตายไป ช่วยกันทำเมรุ หัวเราะกันได้ อยู่ง่ายอยู่สบายไม่มีอะไร คนเราก็มาอย่างนี้ ก็ไปอย่างนี้แหละ ถ้าไม่ไปอย่างนั้นจะได้มาอย่างนี้ หรือ มาอย่างนี้ก็ไปอย่างนั้น ก็เพราะหนทางมันเป็นอยู่อย่างนี้ จะไปห้ามโลกไม่ให้เป็นอย่างนั้น จะไปห้ามอย่างไร พวกเราไม่ได้คิดกันอย่างนี้ นี่แหละการฟังธรรมให้รู้เรื่องสิ่งเหล่านี้ ให้รู้เรื่องความเป็นจริงอย่างนี้ ใครรู้เรื่องอย่างนี้ ผู้นั้นก็เข้าใจธรรม ใครเข้าใจธรรมก็เข้าใจเรื่องนี้ มาฟังเทศน์ฟังธรรมกันทุกวันพระก็เพื่อให้รู้จักสิ่งเหล่านี้ ถ้าเข้าใจดีแล้ว ทุกข์ไม่มีทุกข์ไม่เกิด ถ้าเราพลัดจากกันก็ให้นึกเสียว่า มันเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านที่ละไป ท่านได้สร้างคุณงามความดีไว้ ท่านสบายแล้ว ยังเหลือแต่พวก เรานี่แหละยังสาละวนอยู่กับ เป็ดกับไก่ กับหมูกับหมา กับวัวกับควายอยู่เดี๋ยวนี้ ท่านที่เสร็จแล้วท่านสบายแล้ว ยังเหลือแต่พวกเรานี่แหละ จะให้สร้างคุณงามความดี ก็บอกว่ายุ่งกับสิ่งนั้นสิ่งนึ้

พระพุทธเจ้าก็ดี พระสาวกทั้งหลายก็ดี ท่านตรัสรู้ธรรม ก็คือ มารู้เรื่องสิงเหล่านี้ตามความเป็นจริง มารู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มารู้เรื่องวิมุตติ สมมุติ เหล่านี้ มารู้เรื่องสมมุติสังขารเหล่านี้ มารู้จักสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา สังขารคือสกนธ์ร่างกาย ของเรานี้ไม่ใช่ของเราตามธรรมชาติ เพราะเราบอกมันไม่ได้ ใช้มันไม่ฟัง เป็นไปตามธรรมชาติของมัน ถึงเราจะร้องไห้กับมัน มันก็เป็นอย่างนั้น ถึงเราจะหัวเราะกับมัน มันก็เป็นอยู่อย่างนั้นของมัน...เป็นอยู่อย่างนั้น

ดังนั้นพวกเราจึงมาเรียนให้มันรู้จัก พูดถึงเรื่องนี้ต่างกันมากกับญาติโยม จะให้มาวัด บอกว่าโลภหลาย โกรธหลาย หลงหลาย บาปหลาย มายังไม่ได้หรอก ไม่ได้เข้าใจว่ามาวัดเพื่ออะไร มาเพื่อศึกษาให้มันรู้ความจริงตามธรรม ถ้ารู้แล้วมันจะหมดทุกข์ รู้แล้วมันจะหมดอยาก รู้แล้วมันจะหายลำบาก จะไม่โศกาปริเทวนารำพัน มันจะรู้เสมอภาคว่า สภาพทั้งหลายของสังขาร ที่มันเป็นอยู่นี้ตามความเป็นจริง ถ้ารู้ตามความเป็นจริงแล้ว พวกเราจะไม่พากันเป็นทุกข์ จะพากันสบาย ของมันได้มาก็ได้มาอย่างนี้ ได้มาอย่างนี้มันก็ไปอย่างนั้น ใจเราก็จะไม่ยึด ไม่มั่น มีลูกก็ให้รู้ว่า สมมุติ นะนี่นะ มีบ้านมีเรือนก็รู้แต่ว่ามันเป็น เพียง สมมุติ เลยไม่มีของเราจริงๆ มันก็จะได้คิด

arjhan cha 09

ถ้าคนไม่รู้จักก็มีแต่ของกูๆ ลูกกู เมียกู หลานกู กู๊...กู ๆ ๆ อยู่อย่างนั้น เหมือนกันกับนกเขาอยู่บนต้นมะขาม ร้องกู ๆ กู ๆ มีแต่ของกู ของกู หรือเหมือนบ่างตาโตกินมะขาม จะว่าของกูอยู่นั้นเหรอ... พากันดูหน่อย ดูข้างหน้าข้างหลังหน่อย ดูข้างล่างดูข้างบนหน่อย โยมไม่เคยเห็นหมอลำเขาลำหรือ โยมพ่อออกแม่ออก หมอลำเขาว่าอย่างไร? เขาว่า “เอา...จึ๊ก เข้าไป ข้างใน ข้างนอก” ได้ยินไหมล่ะ ไม่รู้อะไร? ไม่รู้ข้างใน ไม่รู้ข้างนอก รู้ไหมล่ะ ข้างในก็เหมือนข้างนอก ข้างนอกก็เหมือนข้างใน เขาก็เหมือนเรา เราก็เหมือนเขา มันไม่ได้แปลกอะไรกัน ลูกท่านหลานท่านก็เหมือนกับลูกเราหลานเรา พ่อท่านแม่ท่าน ก็เหมือนพ่อเราแม่เรา ของเราก็เหมือนของท่าน นี่แหละท่านจึงว่า ให้รู้เข้าไปข้างในข้างนอก ยังจะพูดเล่นอยู่นั้นหรือ อย่าว่าของเราของเขา ต้องมีเมตตากรุณา ดูให้มันทั่วให้มันถึง

ถ้าเรามีธรรมรู้จักธรรมแล้ว เราจะสบายกันมาก จะพากันถอนความโลภออก ถอนความโกรธออก ถอนความหลงออก หลงว่าของคนโน้น หลงว่าของคนนี้ หลงว่าของกู หลงว่าของมึง หลงยึด หลงหมาย หลงทุกข์หลงยาก หลงลำบาก แต่ที่สุดก็ไม่มีอะไร ให้พากันเข้าใจเอาไว้ ให้พากันรู้เรื่องเอาไว้ ถ้ารู้เรื่องสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ข้างนอกก็ดีข้างในก็ดี ข้างนอกคือต้นไม้ ภูเขา เครือเขา เถาวัลย์ก็ดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเป็นของไม่แน่นอน เกิดมาแล้วก็สลายไปเป็นธรรมดา เห็นไหมล่ะ? ต้นไม้บ้าง ดินบ้างมันมีที่สูงที่ต่ำ ต้นไม้ก็มีต้นคดต้นงอ เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น เป็นธรรมชาติของสังขาร ข้างในเราก็เหมือนกัน ตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ก็ไม่เหมือนกัน เป็นของไม่แน่นอน เป็นไปตามสภาพของมัน หูมันอยากหนวกวันไหนมันก็หนวก ตามันอยากบอดวันไหนมันก็บอด กายมันอยากเจ็บ ตรงไหนมันก็เจ็บ อยากพิการตรงไหนมันก็พิการ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น จะไปร้องขอยอมือกับมันก็ไม่ได้ ถึงคราวมันจะเป็นมันก็เป็น อันนั้นมันเป็นของเขาแท้ๆ เป็นสังขารแท้ๆ ไม่ใช่เป็นของเราตามเป็นจริง เป็นของเราโดยฐานสมมติ

cha 15ดังนั้น พระพุทธเจ้าก็ดี สาวกทั้งหลายก็ดี ท่านพ้นจากทุกข์ จากความยากลำบาก ก็เพราะท่านมารู้ตามความเป็นจริง รู้อะไร? ก็คือรู้เจ้าของ รู้ว่ามันไม่แน่ "อัชฌัตตา ธัมมา, พหิทธา ธัมมา" อัชฌัตตา ธัมมา ก็คือภายใน พหิทธา ธัมมา ก็คือ ภายนอก “จึ๊กเข้าไป ข้างใน ข้างนอก” ภาษาพระพุทธเจ้าว่า อัชฌัตตา ธัมมา, พหิทธา ธัมมา ธรรมภายในก็ดี ภายนอกก็ดี ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นของไม่แน่นอน มีความเกิดเป็นเบื้องต้น มีความแก่เป็นท่ามกลาง มีความตายเป็นที่สุดเหมือนกันหมด จะเป็นข้างในก็ดี ข้างนอกก็ดี หนุ่มก็ดี แก่ก็ดี จนก็ตาม รวยก็ตาม จะเป็นเจ้าพระยาไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ก็ตาม ก็เป็นอยู่อย่างนี้ เวลาจะไป (ตาย) ใครมีมากก็ทิ้งไว้มาก ใครมีน้อยก็ทั้งไว้น้อย ตายก็เหม็นหมดทุกคนนั่นแหละ ไม่เว้นใคร นี้ท่านเรียกว่า ข้างในก็เหมือนข้างนอก ข้างนอกก็เหมือนข้างใน...เหมือนกัน

เราทั้งหลายต้องมาเรียนธรรมไว้ในปัจจุบันให้มันรู้จัก ถ้ารู้จักแล้วมันสบาย... สบายอย่างไร? เหมือนเราเห็นรังต่อ เราก็ไม่เข้าไปใกล้ ตรงนั้นมีเสือ ตรงนั้นมืงู เรารู้จักอย่างนี้ เราก็หนี ไม่เข้าไปใกล้ ถ้าคนไม่รู้จักก็เดินสวบๆ ตกลงไปหลุมต่อ มันก็ต่อยหัวเอาเท่านั้นแหละ คนไม่รู้จักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เสกคาถาว่าของกูๆ อยู่อย่างนั้น ถ้าคราวไม่ใช่ของกู ก็ร้องไห้โก๊กๆ เท่านั้นแหละ นั่นเป็นเครื่องหมายของคนบาป ถ้ามาฟังธรรมแล้ว มันก็จะหายบาปแล้วก็ดีด้วย เป็นผู้มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อยู่ใกล้กันไม่ทะเลาะกัน ไม่ทุ่มเถียงกัน สงเคราะห์กัน... สบาย นั้นท่านเรียกว่า คนมีบุญ คนมีบุญอยู่ที่ไหนก็เป็นบุญ กุศลอยู่ที่ไหนก็เย็น ก็เป็นสุคโต อยู่ก็เป็นสุข ไปก็เป็นสุข มีแต่เรื่องเป็นสุข มีแต่เรื่องสบาย

ถ้าเราฟังธรรมพิจารณาถูกต้องแล้ว รู้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้ว ตรัสรู้ธรรม พระพุทธเจ้าท่านว่า “ตรัสรู้ธรรม” ตรัสรู้ซึ่ง อริยสัจจ์ นี้เรียกว่า เรารู้ความจริง รู้ตามความเป็นจริงว่า โลกมันเป็นอยู่อย่างนี้หลายชาติ หลายตระกูลมาแล้ว ปู ย่า ตา ยาย ของเรา ท่านก็เป็นมาเหมือนเรานี่แหละ ผลที่สุดท่านก็ไป ไปในรูปนี้แหละ เราเกิดมาก็จะไปในรูปเดียวกันนี้แหละ ไม่มีใครอยู่ ฉะนั้นควรศึกษาธรรม ศึกษาให้มันพ้นทุกข์

ทุกวันนี้เราทั้งหลายถ้ามาวิจัยตามเหตุการณ์แล้ว ถึงเรากินก็กินเพื่อความพ้นทุกข์ ถึงเราเดินก็เดินเพื่อความพ้นทุกข์ ถึงแม้จะนอนก็นอนเพื่อความพ้นทุกข์ จะไปในที่ไหนๆ ก็ไปเพื่อความพ้นทุกข์ ถ้าดูให้ดีแล้วถึง แม้กินข้าวก็กินเพื่อจะไม่กินอีก ถึงแม้เดินก็เดินเพื่อจะไม่เดินอีกนั่นแหละ คืออยากให้มันเสร็จ แต่มันก็ไม่เสร็จ เดินแล้วก็เดินอีก นั่งแล้วก็นั่งอีก นอนแล้วก็นอนอีก กินแล้วก็กินอีก พูดแล้วก็พูดอีก อยู่อย่างนี้ ความเป็นจริงก็ไปตรงที่มันหมดนั่นแหละ มุ่งไปที่มันจริง ดังนั้นท่านจึงให้ พิจารณาซึ่งอนัตตา...เอามันจนหมดเนื้อหมดตัวโน้นแหละ ถ้ามันมีของกูของมึง ไม่หมดล่ะ เอาให้หมดเนื้อหมดตัว หมดอัตตา ไม่มีใคร ดิน น้ำ ไฟ ลม เท่านั้น ถ้ามันแตกก็พวกดิน พวกนํ้า พวกไฟ พวกลม มันแตกไป ตัวสัตว์ตัวบุคคลนั้นไม่มี ถ้าไม่มี ก็ไม่มีอะไรเสีย ถ้าไม่มี ก็ไม่มีอะไรได้ เลยเป็นคนผู้ไม่ได้ไม่เสีย เป็นคนที่ไม่รวย เป็นคนที่ไม่จน เป็นคนผู้ไม่สุข เป็นคนผู้ไม่ทุกข์ อย่างนี้ อยู่ตรงที่มันหมดเหตุหมดผล ท่านจึงให้พิจารณา พวกเราทั้งหลายก็จะมุ่งไปตรงนั้นแหละ

cha 10แต่ว่าความรู้สึกของปุถุชนเราทั้งหลาย เหมือนกันกับเด็กน้อย มันชอบเล่นอะไรที่มันเปรอะเปื้อน ที่ไหนสกปรกชอบเล่น ตอนเย็นแม่จับไปอาบนี้า... มันกลัวน้ำ... วิ่งหนี แม่ตามไปจับมา มันร้องไห้ มันกลัวจะสะอาด ให้หน้ามันมอมอยู่อย่างนั้น ให้ขี้มูกมันย้อยอยู่อย่างนั้น ให้มันเหม็นอยู่อย่างนั้น เด็กมันเป็นอย่างนั้น... มันกลัวความสะอาด (ซั่นแหลว)

พวกเราก็เหมือนกันนั่นแหละ พระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณา สิ่งเหล่านี้ให้ดี ไม่อยากพิจารณา... หัดพิจารณากันหน่อย ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย นั่น มรณสติ คือความตาย ยิ่งคนมีสุขมากๆ ยิ่งไม่รู้จัก พอมีใครพูดถึงความตาย อย่าพูด อย่าพูด... ฉันไม่อยากได้ยิน ฉันไม่อยากทำอะไรแล้วถ้าพูดถึงความตาย เหมือนกับว่าเขาจะหนีไปพ้น... งานของเรายังไม่เสร็จ น่าจะมาทำให้มันแล้วให้มันเสร็จ อันนี้งานยังไม่เสร็จ กลัวแต่งานมันจะเสร็จ ทุกข์ดองใจตัวเองอยู่ ควรมาศึกษาให้มันรู้จัก ไม่อยากศึกษา เหมือนเราเป็นไข้หนัก แพทย์จะช่วยรักษา ไม่ยอมให้รักษา อยากให้มันหายเหมือนกัน แต่ไม่อยากรักษา ไม่อยากกินยา มันเป็นเรื่องอย่างนี้ ความจริงเป็นเรื่องทุกข์ใหญ่ที่เราจะต้องศึกษา เพราะเราจะต้องพบ ทุกคนเกิดมานี้จะต้องพบทุกคน จะไปในรูปนี้เหมือนกันทุกคน ถ้าใครไม่รู้สิ่งเหล่านี้ในปัจจุบัน เป็นคนที่ขาดทุนเหลือเกิน ไม่รู้เรื่อง

พระศาสดาท่านตรัสว่า จำเป็นจะต้องศึกษา ศึกษาธรรมให้รู้จัก ถ้าศึกษาให้รู้จัก เหมือนอย่างสกนธ์ร่างกายสังขารของเรา นื้ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สมมุติบัญญัติ สมมุติ วิมุตติ ศึกษา ให้รู้จัก บางคนไม่รู้จักนะ ถ้าว่าของเราก็ของเราจริงๆ อะไรๆ ก็ของเราจริงๆ ความเป็นจริงไม่มีอะไรหรอก มันเป็นสมบัติของโลก เราอยู่นี่ก็อยู่ชั่วคราว เมื่อเราไปก็เป็นสมบัติของโลก มีใครได้อะไร อะไรก็เอาไปไม่ได้ อยู่กับโลกนี้แหละ ไม่ไดใปไหน พิจารณาดูให้ดีซิ ใครหาบอะไรไปได้ ใครหามอะไรไปได้ ถ้าได้ ถ้าดี ถ้ามี ถ้าเป็น ก็สร้างขึ้นในปัจจุบันนี้ มีทรัพย์สินเงินทอง ก็ซื้อความชั่วออกจากเราเสีย ซื้อบาป ซื้อกรรมออกจากเรา ด้วยการสร้างน้ำทำบุญให้เจ้าของ พยายามเอาตัวเข้ามาฟัง มาฝึกหัดจิตใจ ให้มันอยู่ให้มันนึ่งใหได้ จะรอให้มันเสร็จเสียก่อน มันไม่เสร็จหรอก มันไม่พอหรอก อยาก...มันหยุดอยากไม่เป็น แต่อิ่มมันอิ่มเป็นเหมือนกัน อิ่ม...นั่นเป็นเรื่องของท้อง แต่คำว่า “อยาก”...มันไม่มีท้องใส่ ไม่มีที่ใส่ ไปตั้งที่ไหนก็อยาก มีมันก็อยาก ไม่มีมันก็อยาก รวยมันก็อยาก อยากนี้ไม่มีที่ “พอ”

ท้อง เรามันอิ่มเป็น อย่างกินข้าวเมื่อเข้านี้....อิ่ม แต่อยากมันยังมีอยู่นะ อิ่มมันอิ่ม เหมือนกันกับสุนัข เอาข้าวให้มันกินปั้นหนึ่งก็หมด สองปั้นก็หมด สามปั้น สี่ปั้น หลายปั้นเข้ามันก็อิ่ม ท้องมันตึงที่เหลือกินไม่ได้... ก็ดม... ยิกแย๊กๆ อยากไม่หยุด แต่ท้องมันเต็มแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไร นอนเฝ้าอยู่นั่นแหละ ไม่หนี ทำตาปริบๆ อยู่นั่นแหละ สุนัขตัวอื่นจะมากินก็ขู่ โฮ่ง ไม่ให้เพื่อนกิน หวงไว้ ไก่จะมากิน ก็....โฮ่ง จะกัดไก่ ท้องจะแตกตายอยู่แล้ว อิ่มแล้วแต่อยากมันก็ยังอยาก หวงอยู่อย่างนั้น นี้แหละท่านว่า อิ่มอันหนึ่งมันเรื่องของท้อง อยากมันเป็นของไม่มีท้อง เอาจักรวาลมาใส่มันก็ไม่พอ

คำที่ว่า “อยาก” นี้ เดี๋ยวบัดนั้นก่อน เดี๋ยวบัดนี้ นี่ล่ะตัวสำคัญ จะผลัดไปถึงไหน หือ.... ประเดี๋ยวบัดนั้น ประเดี๋ยวบัดนี้ ถึงเวลามันเฒ่า มันแก่ มันเจ็บ มันไข้ ทีนี้ไม่เอาแล้ว ไม่อยากจะได้อะไรแล้ว น้ำก็บ่แซ่บ ข้าวก็บ่แซ่บ ไม่เอาอะไรสักอย่าง เอาแต่ทุกข์ เอามือปิดหูยังกะลิงถุงแล้วทีนี้ กินอะไรก็ไม่อร่อย ไม่เอา อะไรก็ไม่เอา เอาไปให้บ่อยๆ เดี๋ยวก็อารมณ์เสียเท่านั้นแหละ มันกลับกันอย่างนี้นะ เรื่องของมัน

lp cha 06

ฉะนั้น ให้เราพิจารณา เรื่องของคนรู้กับเรื่องของคนไม่รู้มันต่างกันมาก ถึงแม้ทุกข์มี มันก็ไม่ทุกข์ เมื่อมาถูกท่านผู้รู้ทั้งหลายแล้ว มันจะละลายหายไปหมด เรื่องสิ่งทั้งหลายจะจากเราไป เรื่องเราจะจากเพื่อนฝูงไป เหล่านี้...ไม่มีปัญหา เพราะพิจารณาแล้ว เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ลูกจะพรากจากเรา เราจะพรากจากลูก พ่อแม่จะพรากจากเรา เราจะพรากจากพ่อแม่ เพื่อนฝูงจะพรากจากเรา เราจะพรากจากเพื่อนฝูง พิจารณาแล้วทุกอย่าง ใครจะไปก็ไป ใครจะมาก็มา สบาย... ไม่มีทุกข์ ทำไม? เพราะไม่ไปมั่นหมายมัน นายพรานเขาดักแร้วอยู่ตรงนั้น เห็นแล้วไม่เอาคอยื่นเข้าไปใส่ แร้วก็ไม่หนีบคอเรา

ทุกข์ฉันพิจารณาแล้ว เห็นทุกข์ รู้จักเหตุที่ทุกข์จะเกิด ไม่ไปท่าเหตุตรงนั้น ทุกข์มันก็ไม่เกิด ทุกข์มันก็ไม่มี เราก็ไม่ทุกข์ ภายนอกก็ตาม ภายในก็ตาม ที่ใกล้ก็ตาม ที่ไกลก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม มันเป็นอยู่อย่างนี้ ใจข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว เพราะเห็นว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้ เอามันพอควรพออยู่ก็สบาย มีน้อยก็ใช้น้อย มีมากก็ใช้มาก อยู่อย่างไรก็อยู่ได้ มันสบาย สงบระงับ มีมากก็ไม่เป็นไรให้รู้เรื่องของมัน มีน้อยก็ไม่เป็นไรถ้ารู้เรื่องของมัน นี่แหละเรื่องคนจะสบาย คือมีปัญญา เรื่องคนจะไม่สบาย เรื่องคนจะสำบากนั้น โอ๊ย! มันยาก ทุกอย่าง ถึงท่างานอยู่มันก็ยาก ให้อยู่เฉยๆ มันก็ยาก ถึงแม้จะให้นอนมันก็ยาก ให้ทำก็ยาก ไม่ให้ทำก็ยาก มันไม่แน่สักอย่าง จะว่าอย่างไร แม้จะรวยมันก็ทุกข์ แม้จะจนมันก็ทุกข์อยู่อย่างนั้น เรื่องมันทุกข์

ท่านอุปมาเหมือนกับลิงตัวน้อยๆ ก็เรียกลิงน้อย ใหญ่ก็เรียกลิงใหญ่ เฒ่าก็เรียกลิงเฒ่า ตายก็เรียกลิงตาย เหลือแต่กระดูกก็ไม่พ้นเรียกว่ากระดูกลิง มันจะไปที่ไหน ก็เพราะมันเป็นอย่างนั้น ถ้าเรารู้สิ่งเหล่านี้ มันจะไปไหน จะหอบจะหาบอะไรไปไหน? ให้รีบสร้างคุณงามความดีไว้ในใจเจ้าของ “สวรรค์ในอก นรกในใจ” ใจใครไม่ทุกข์ไม่โศก ใจคนนั้นแหละ เป็นใจสงบเป็นใจระงับ เพราะพิจารณาเห็นแล้ว อัชฌัตตา ธัมมา, พหิทธา ธัมมา ธรรมทั้งภายในก็ดี ภายนอกก็ดี ทั้งที่ใกล้ก็ดี ทั้งที่ไกลก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี มันรวมลงที่เดียว คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นของไม่แน่นอน

สังขารทั้งหลายเหมือนกันกับอาหาร อาหารที่เราบริโภคทุกวันนี้ อันไหนมันดีมันชั่ว แม้เราจะแบ่งไว้ อันนั้นดี อันนี้ไม่ดี เวลารวมลงไปในท้อง อันไหนดีกว่ากันมืไหม? อันไหน... ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ มีไหม? ใครจะรวมคะแนนให้ได้ หือ... เหมือนกัน... มันเหมือนกันอย่างนั้น “สามัญลักษณะ” มันเหมือนกันอย่างนั้น

relax2ฉะนั้น พวกเราทั้งหลายที่อยู่ด้วยกันนี้เป็นญาติกันนะ ญาติความเกิด ญาติความแก่ ญาติความเจ็บ ญาติความตาย ฉะนั้น พวกเราอย่าเอารัดเอาเปรียบกัน ให้มีธรรมไว้ในใจ มีธรรมอย่างไร? คนรวยอย่าดูถูกคนจน นี้คือหลักใหญ่ของมัน คนจนก็อย่าไปอิจฉาคนรวย เท่านี้ก็พอ....มันพอ

เหมือนกันกับผลไม้ ผลที่มันหวานก็ให้มันหวานไป ผลที่มันเปรี้ยวก็ให้เปรี้ยวไป คงไม่มืใครอยากกินหวานอย่างเดียวหรอก บางครั้งแดดเผาหัวนึกอยากกินเปรี้ยวๆ ก็มืเยอะแยะไป อย่าเพิ่งไปโทษว่ามันเปรี้ยว เดี๋ยวจะเรียกหามันหรอก เปรี้ยวมันก็ดี หวานมันก็ดี ของมันดีอยู่อย่างนั้น เวลาเราต้องการเราต้องการอย่างเดียวหรือเปล่า จริงๆ แล้วเราต้องการหลายอย่าง นี้ก็เหมือนกันให้พิจารณาอย่างนั้น แล้วจะเอาตอนไหน... พวกเรา? เอาตอนนี้แหละ ตอนที่ยังไม่เจ็บไม่ไข้นี้แหละ ควรมาวัด หรือจะรอจนมันเจ็บไขโน้นหรือถึงจะเข้ามาวัด รอจนหัวเข่ามันบวม คอเหลือเท่าแขนโน้นหรือถึงจะให้เขาพาไป หาครูบาอาจารย์ เอามาทำไมอย่างนั้น? เอาไปทิ้งปาช้าโน้น.... อย่างนั้นไม่ต้องเอามา....หือ....ดูซิ

ควรฝึกไว้แต่ไกลๆ ให้มันรู้จัก จะอยู่ที่ไหนก็ตามพวกเราทุกสิ่งเป็นของไม่แน่นอน มันจะมือะไรก็ช่างมัน มันจะเป็นเพชรก็ช่างมัน มันจะเป็นพลอยก็ช่างมัน จะเป็นทองคำก็ช่างมัน ก้อนดิน....ก้อนดินมันเหลือง มันเขียว มันแดง ก้อนขี้ดิน ทั้งหมด... ไม่มีอะไร มันเป็นสมมุติ อันนี้สมมุติว่าเพชร อันนี้เป็นพลอย อันนี้เป็นแก้ว อันนี้เป็นทอง ก็พูดกันไปอย่างนั้น อันไหนเหลืองก็ว่ามันเหลือง อันไหนเขียวก็ว่ามันเขียว ก็อยู่ตามเรื่องของมัน อันนี้มันมีราคามากราคามันก็มาก อันนี้ไม่มีราคา มันก็ไม่มีราคา ก็เราไปว่ากันเอาเอง ผลที่สุดก็คือขี้ดินนั้นแหละ พูดง่ายๆ เหมือนกับขุยขี้ไส้เดือนนั่นแหละ

เราก็เหมือนกัน จะดี จะเลิศ จะประเสริฐขนาดไหน มันก็ไม่พ้นไปจากธรรม ไม่พ้นไปจากอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่พ้นไปหรอก เป็นหนุ่มก็ดี เป็นสาวก็ดี เป็นเด็กก็ดี มาถึงตอนนี้ เป็นอย่างไร แต่ก่อนไม่เป็นอย่างนี้หรอก เต้นสามศอก ออกสามวา ถ้าพูดถึงกำลังสนุกสนานมาก ดูตัวเองเนี้อหนังมังสาก็งามทุกส่วน เหมือนกับว่าความไม่งามจะไม่มื แต่พอแก่มาๆ สิ่งเหล่านี้ไม่รู้มันแอบหนีไปตอนไหน ทิ้งไว่ให้เราแต่ของไม่ดี ดีๆ ไม่รูไปไหนหมด นี้เรียกว่ามันเปลี่ยนไป แปรไป มันไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอน ผลที่สุดก็เป็นขี้ดินเหมือนเดิม ให้เราพิจารณาไว้แต่ไกล รู้หลักความจริงอย่างนี้ก็คือรู้ธรรม ผู้ที่รู้ธรรมแม้จะมืชีวิตอยู่ก็ไม่แก่งแย่งกัน ไม่อิจฉากัน...สบาย โยม พ่อออก (ผู้ชาย) ก็สบาย โยม แม่ออก (ผู้หญิง) ก็สบาย พูดรู้เรื่องกัน อันไหนทุกข์จะเกิดขึ้น ไม่ไปพูดไม่ไปทำมัน มันก็เลิกจากสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น

เรื่องการประพฤติปฏิบัติในพระศาสนาไม่มือะไรมากมาย ดังนั้น การมาฟังธรรมให้รู้เรื่อง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่มันยังละไม่ได้ ก็ให้พากันอดกลั้น มันอยากจะด่าลูก อยากจะด่าหลาน อยากจะด่าใครคนใดคนหนึ่งก็ให้ด่าตัวเองก่อน แต่งตัวเองให้ดีเสียก่อนจึงพูดจึงทำ ถึงจะพูดแรงหน่อยก็ได้ จะพูดหนักหน่อยก็เป็น แต่ให้รู้จักเสียก่อน ให้ดูเราเสียก่อน ให้เราดีเสียก่อน ให้เรารู้เสียก่อน สอนเราเสียก่อน ให้มันเป็น เผื่อว่ามันสะท้อนกลับมาก็ไม่มือะไร จะทำไร่ทำนาก็ได้ มีแก้วก็ได้ มีแหวนก็ได้ มีเพชรนิลจินดาก็ได้ ให้มันอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น เมื่อสิ่งเหล่านี้มันวิบัติไปก็ให้เราสบาย เราได้มาก็ให้สบาย มันจากเราไปก็ให้สบาย เพราะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายมันเป็นอย่างนั้น นี้เรียกว่าผู้เห็นธรรมในที่ไกล แล้วก็มาเห็นในที่ใกล้ เห็นข้างนอกเห็นข้างใน ผู้อื่นก็เป็นอย่างนี้ เราก็เป็นอย่างนี้ ข้างนอกเป็นอย่างนี้ ข้างในก็เป็นอย่างนี้ มันเหมือนกัน

cha kamson 8

ดังนั้น ถ้าหากรู้ธรรมก้อนเดียวเท่านี้เอง ไม่ไปทำเหตุให้ทุกข์เกิด ทุกข์ก็เกิดขึ้นมาไม่ได้ เมื่อฟังธรรมเข้าใจธรรมอย่างนี้ เข้าใจสิ่งทั้งหลายที่อธิบายมานี้ ทุกกาลทุกเวลา ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นผู้มีสติอยู่สม่ำเสมอ พิจารณาเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ให้มันเสมออยู่ที่ใจของเจ้าของ ให้รู้เท่าสิ่งทั้งหลายว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้ จะไปใต้ใปเหนือก็เป็นอย่างนี้ คนรวยคนจนก็ต้องเป็นอย่างนี้ ไปที่ไหนก็เป็นอย่างนี้ ตามเรื่องของมัน อันนี้ล่ะ...ให้เราทำสัญญาเอาไว้

ให้ถามตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่า ขาที่เดินอยู่นึ่เป็นของเราจริงหรือเปล่า บ้านของเราจริงหรือเปล่า เรานอนอยู่ทุกวัน...แม่นบ่ วันไหนเขาจะหามหนี ให้พากันคิดไว้หน่อยเน้อ! นอนลงไป ก็ให้ถามตัวเองด้วยว่า “จะนอนได้กี่วัน” “เข้าใจไหมล่ะ คนแก่ๆ กลุ่มนั้น” (มีเสียงตอบว่า เข้าใจ) เออ! ให้เข้าใจไว้ อย่านอนกรน อยู่เฉยๆ จะอยู่ได้กี่วันน้อ! ให้ถามตัวเองอย่างนั้น “วันไหนหนอ เขาจะหามหนี” พูดแค่นี้ก็ได้ภาวนา ภาวนาแค่นี้ก็ได้นะ ไม่ต้องพูดมาก แค่นี้ก็เกิดอานิสงส์แล้วล่ะ เอวัง.

redline

backled1