Co Kwid 09

กลๆ จากเรื่องเครียดๆ โควิด-19 มาเรื่องดินฟ้าอากาศกันหน่อย ช่วงนี้อากาศจะร้อนสุดๆ ทางกรมอุตุนิยมวิทยา ได้พยากรณ์อากาศ ในช่วงวันที่ 30 เมษายน – 2 พฤษภาคม 2564 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางของประเทศไทย มีกำลังอ่อนลง ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้ และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าว มีฝนฟ้าคะนอง กับมีลมกระโชกแรง และมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับภาคใต้มีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย ที่ไหนฝนตกบ้างดูได้จากเครือข่ายเรดาร์ตรวจอากาศ กดที่นี่ แล้วเลือกจังหวัดที่มีเครื่องวัดใกล้เคียงที่เราอาศัยอยู่ได้เลยในเมนู TMD Radar Loop

Co Kwid 06

ข้อมูลของวันนี้ (1 พฤษภาคม) สถานการณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อเดือนก่อน ตรวจพบผู้ติดเชื้อภายในประเทศเฉียด 2 พันคน สำหรับการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่นี้ เป็นการติดเชื้อที่รุนแรง รวดเร็ว แพร่กระจายตัวได้เร็วมาก และมียอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นกว่าเดิม จากการที่มีอาการทรุดหนักอย่างรวดเร็ว กอร์ปกับเป็นผู้มีความเสี่ยงในโรคประจำตัวอยู่เดิม ประเภทเบาหวาน ความดัน โรคปอด โรคอ้วน แม้แต่ในผู้ที่มีอายุน้อยก็เสี่ยงจากการเสียชีวิตเช่นกัน และมีเด็กทารกอายุน้อยๆ ก็ติดโควิด-19 จากครอบครัวเพิ่มมากขึ้น

นอกจากสถานการณ์ที่ต้องต่อสู้กับโควิด-19 แล้ว "การขาดแคลนโลหิตทุกหมู่" ในการรักษาพยาบาลก็เป็นปัญหาใหญ่ที่สืบเนื่องมาเช่นกัน สภากาชาดไทย ได้ออกประกาศเชิญชวนพี่น้องไทยที่มีร่างกายแข็งแรงได้ช่วยกันออกมาบริจาคโลหิต

Co Kwid 07

เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ก็พยายามกักตัวกันอยู่ที่บ้าน ก็เลยไม่ค่อยมีใครออกมาบริจาคโลหิตกันเช่นเคย แต่การเจ็บป่วยที่ต้องทำการรักษา การผ่าตัดต่างๆ ก็ยังมีอยู่ตลอดเวลา "โลหิตทุกหมู่" จึงมีความจำเป็นทางการแพทย์ การรักษา เพราะไม่อาจผลิตขึ้นมาได้ด้วยการสังเคราะห์ทางเคมีได้ จึงขอกราบเรียนเชิญพ่อ-แม่ พี่น้อง ญาติมิตร ได้ออกมาช่วยกันบริจาคโลหิตช่วยกันหน่อยครับ ขอบพระคุณทุกท่านที่มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์

Co Kwid 01

ถานการณ์ของการระบาดไวรัสโควิด-19 ในวันนี้ เป็นระลอกใหญ่ครั้งที่สามที่รวดเร็ว รุนแรง ครบทุกจังหวัดกระจายทั่วประเทศในเวลาเพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น การระบาดระลอกแรกมาจากเชื้อการนำเข้ามา ซึ่งประเทศไทยเราก็ตั้งรับได้ดีพอสมควร แม้จะไม่เคยรู้จักกับโรคร้ายนี้มาก่อน แต่ก็ใกล้เคียงกับการระบาดของโรคซาร์ และไข้หวัดนกเมื่อในอดีต พอรอบที่สองระบาดจากภายในจากแรงงานข้ามชาติ และแหล่งอบายมุข (บ่อนการพนัน) เราก็ต่อสู้ควบคุม ป้องกันรวดเร็วพอสมควร แต่... ในรอบที่สามนี่อาการหนักมากกว่า เพราะกระจายมาจากแหล่งมั่วสุมของบรรดาผู้ดี ไฮโซ มีสตางค์ จากผับบาร์ แล้วก็บังเอิญว่าเป็นตัวเชื้อกลายพันธุ์ที่ไม่แสดงอาหาร และแพร่กระจายรวดเร็วมาก พอมาเจอกับหน้าเทศกาลที่ผู้คนเดินทางกลับบ้าน "สงกรานต์" คราวนี้การระบาดเลยกระจายไปทั่วประเทศดังที่ทราบๆ กันในข่าวทุกวันนี้

ด้วยอัตราของการค้นพบ "ผู้ติดเชื้อรายใหม่" เพิ่มเป็นจำนวนหลักสองพันคนต่อวันต่อเนื่องมาหลายวันแล้ว ทำให้ความเสี่ยงในการดูแลรักษามีเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่ปริมาณของเตียงเพื่อรับคนป่วยในโรงพยาบาล แพทย์ พยาบาล ที่ต้องรับงานหนักจนไม่มีเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอ อุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างเริ่มขาดแคลน เช่น ชุดป้องกันในการตรวจหาเชื้อ หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ และอื่นๆ ถ้ามีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น และมีอาการหนัก เราอาจจะขาดแคลนเครื่องช่วยหายใจที่จำเป็นต้องใช้ร่วมกันกับผู้ป่วยหลายคน ดังที่เป็นข่าวอยู่ในต่างประเทศ พวกเราประชาชนต้องหาทางป้องกัน ช่วยเหลือกันให้มาก เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงดังกล่าว

ตั้งแต่การหยุดการออกไปสัมผัสกับผู้คนในที่ชุมชน ซึ่งเข้าใจละว่า ทุกคนก็ต้องทำมาหากิน มันก็หลีกเลี่ยงที่จะออกจากบ้านไปทำงาน ต้องเจอผู้คนจำนวนมากในแต่ละวัน แต่ท่านก็สามารถช่วยกันป้องกันตนเอง และป้องกันการติดเชื้อจากอีกคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งด้วย การสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา เว้นแต่ช่วงรับประทานอาหารและดื่มน้ำ แต่พอกิจกรรมเสร็จก็ควรสวมทันที (ก็เข้าใจนะ ว่ามันอึดอัดบ้าง หายใจไม่ค่อยเต็มปอด แต่ใส่เหอะ ดีกว่าถูกเจาะคอสวมเครื่องช่วยหายใจในวันหลังแน่ๆ) หมั่นล้างมือบ่อยๆ เว้นการสัมผัสบริเวณใบหน้าให้มากไว้ ไอ้ที่ใส่แล้วดึงมาไว้ใต้จมูก ใต้คาง มันไม่ได้เท่ ช่วยอะไรไม่ได้อย่าหาทำ

Co Kwid 02

ที่อาวทิดหมูเป็นห่วงที่สุดคือ "ผู้ที่ปกปิดข้อมูล" ต่อบุคลากรทางการแพทย์ เช่น การไปพบแพทย์ในโรงพยาบาล หรือในคลีนิคเอกชน ก็ควรบอกความจริงเมื่อมีการสอบถามถึงความเสี่ยงต่อโรค อย่างเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมามีญาติจากพื้นที่เสี่ยง (จังหวัดที่มีการระบาดรุนแรง) หรือไม่? ก็ควรตอบไปตามความจริง เพราะเราไม่มีโอกาสรู้ได้เลยว่าเราติดเจ้าโควิด-19 นี่หรือเปล่า (เนื่องจากคราวนี้มันกลายพันธุ์ไป บางคนติดหลายวันกว่าจะแสดงอาการให้เห็น) ถ้าเราเกิดติดแล้วไม่บอกความจริงกับคำถามนี้ หมอ พยาบาลที่เราไปพบก็มีโอกาสติดไปจากเราด้วย ผลก็คือ หมอ พยาบาลเหล่านั้นก็ต้องกักตัว 14 วัน เผลอๆ คนอื่นๆ ที่มาพบหมอ พยาบาลเหล่านั้นก็ต้องกักตัวไปด้วย รวมแล้วนับร้อยๆ ราย แล้วใครจะมาดูแลสุขภาพให้พี่น้องบ้านเราได้ คิดให้ลึก ให้ละเอียดรอบคอบครับ ต้องช่วยกันจริงจัง

อีกเรื่องหนึ่งตามข่าวที่อยากให้ท่านช่วยกันพิจารณา การเข้าอยู่ใน "โรงพยาบาลสนาม" มีคำถามว่า "ทำไมต้องใช้โรงพยาบาลสนาม ในเมื่อเตียงในโรงพยาบาลก็ยังมีอยู่" เรื่องนี้ มีเหตุผลอธิบายได้นะครับ เตียงในโรงพยาบาลขอสงวนไว้สำหรับคนไข้ที่มีอาการหนัก ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือพิเศษช่วยชีวิต ส่วนคนที่ต้องกักตัวสังเกตอาการในโรงพยาบาลสนามนั้น บุคคลนั้นยังไม่ป่วยเพียงแต่สงสัยว่ามีเชื้อในร่างกาย ถ้าให้อยู่บ้านหรือไปทำงานอาจจะนำเชื้อไปแพร่ให้คนอื่นๆ จึงต้องทำการกักตัวในสถานที่ที่มีการดูแลเข้มงวดนั่นเอง แล้วบางคนยังมีการขออยากอยู่ห้องแอร์ อยากอยู่ห้องเดี่ยวเพียงคนเดียว มันเป็นไปไม่ได้ดอกเด้อ แค่สถานที่รวมๆ เฉพาะแบบนี้นั้นก็ต้องใช้งบประมาณ การบริจาคมาจากหลายภาคส่วนแล้ว มันคงไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่บ้านแหละ

Co Kwid 03

มันก็มีที่ดีๆ นะคือที่เขาเรียกว่า Hospitel มันคือ Hospital (โรงพยาบาล) รวมกับ Hotel (โรงแรม) (หรือ หอผู้ป่วยเฉพาะกิจ COVID-19 เป็นที่พักรูปแบบใหม่ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยที่อาศัยอยู่ในโรงพยาบาลในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 โดยปรับเปลี่ยนโรงแรมให้เป็นพื้นที่เฝ้าระวังอาการโควิด-19 เพื่อให้ทางโรงพยาบาลสามารถรองรับผู้ป่วยหนักได้อย่างเต็มที่) ในกรุงเทพฯ หรือจังหวัดท่องเที่ยวใหญ่ๆ เป็นความร่วมมือของทางโรงพยาบาลเอกชน และโรงแรมหลายๆ แห่ง ทำขึ้นเพื่อเป็นที่กักกันตัวสำหรับกลุ่มผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ แต่มันไม่ได้ฟรีนะครับต้องจ่ายรายหัว ถ้าคนในประเทศต้องการเข้าพักในสถานที่นี้แทนโรงพยาบาลสนาม (เพราะฉันรวย ฉันมีเงินจ่ายได้) ก็ต้องเข้าหลักเกณฑ์ข้างล่างเหล่านี้ และได้รับการพิจารณาอนุมัติจากทางสาธารณสุขก่อนนะครับ

  • ผู้ป่วยยืนยันที่ไม่มีอาการ หลังนอนโรงพยาบาล 4-7 วัน เมื่อไม่มีภาวะแทรกซ้อนให้พักต่อที่ Hospitel จนครบ 10 วัน (และครบ14 วันในกรณีสงสัยเชื้อกลายพันธุ์)
  • ผู้ป่วยยืนยันที่มีอาการ ไม่มีภาวะเสี่ยง/ภาวะร่วม หลังนอนโรงพยาบาล 4-7 วันเมื่ออาการดีขึ้นให้พักต่อที่ Hospitel จนครบ 10 วัน (และ14 วันในกรณีสงสัยเชื้อกลายพันธุ์)
  • ผู้ป่วยยืนยันโควิดที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปี ที่ไม่มีอาการ หรือ ไม่มีภาวะเสี่ยง/ภาวะอื่นร่วม เข้าพัก รักษา สังเกตอาการที่ Hospitel จนครบ 10 วัน (และ 14 วันในกรณีสงสัยเชื้อกลายพันธุ์)
  • ทั้งนี้ผู้ป่วยที่ข้ารับการรักษา ในหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ แนะนําให้ เอกซเรย์ปอดทุกราย หากปอดผิดปกติควรอยู่โรงพยาบาล

Co Kwid 04

ค่าใช้จ่ายก็หลายหมื่นอยู่นะ เพราะรวมค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ค่าที่พัก + ค่าอาหาร + ค่าบริการอื่นๆ และยังมีค่าตรวจหาโควิดอีก 2 ครั้งรวมอยู่ด้วย สำหรับคนที่ไม่ได้มีอาการหนักอะไรอยู่โรงพยาบาลสนามไปเถอะ กินฟรี อยู่ฟรี มีคนคอยดูแล ถือว่าไปเข้าค่ายลูกเสือก็แล้วกัน อย่าทำเป็นหัวสูงติดหรู อยู่ร่วมกับคนอื่นเบียดเสียดไม่ได้ ที่ออกไปเย้วๆ ในผับ บาร์ คาราโอเกะ ตัวติดกันจนเหยียบตีนมีเรื่องชกต่อย จนติดโรคมาไม่เห็นบ่นกันสักนิดเลย หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่อื่นๆ เขาอดตาหลับขับตานอนเพื่อพวกเรา เขายังทนได้ และที่ที่เขานอนก็ไม่ใช่เตียงสักหน่อย แต่ที่เขาต้องหลับก็เพราะความเมื่อยล้า ออมแรงเพื่อมาช่วยพวกเรานั่นแหละ น่าเห็นใจกว่าเยอะ

Co Kwid 05

ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเราคนไทยต้องร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ จะหวังเพียงแต่จะให้เพียงคนใดคนหนึ่งเสียสละคงไม่ได้แล้ว วัคซีนยังมาฉีดได้ไม่ครบ ไม่ทั่วถึง จนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ สิ่งที่จะช่วยป้องกันได้ดีที่สุดตอนนี้คือ ทุกคนป้องกันตัวเองด้วยหน้ากากอนามัย ล้างมือ ล้างหน้า อาบน้ำให้บ่อยขึ้น ไม่ออกไปเสี่ยงในที่สาธารณะโดยไม่จำเป็น เพื่อลดภาระของหน่วยงานด้านสาธารณสุขลง

ก็หวังว่า "ทุกคนจะได้ไม่ต้องไปใช้บริการโรงพยาบาลสนาม โดยเฉพาะโรงพยาบาลสนามที่หลวงพ่อสนับสนุนนั้น ถ้ารักษาไม่หายก็สามารถปรับสถานที่ใหม่เป็นศาลาสวดอภิธรรมได้เลยเชียวนะนั่น" คงไม่ต้องใช้บริการกันนะครับพี่น้อง