อยู่ในปัจจุบันแม้นจะโหยหาอดีตเพียงใดก็ควรครุ่นคิดว่า "อีสานวานนี้-วันนี้ ที่ไม่เหมือนเดิม" อีกแล้ว ไม่ต้องไปกู่ก้องเรียกร้องอะไรกับใคร เพราะสิ่งที่เราเห็นมันคือปัจจุบันที่ทำลายอดีตไปแล้ว ด้วยน้ำมือของพวกเราเองนี่แหละ จะไปโทษใครได้เล่า ที่หยิบเรื่องนี้มาเขียนมาพูดก็เพราะด้วยความรู้สึกจากการที่ได้พบเห็นในข่าว ทั้งจากสื่อวิทยุโทรทัศน์ สื่อสังคมออนไลน์ และจากปากพวก "ขี้กลากกินเมือง" (เรียกตัวเองโก้ๆ ว่า "นักการเมือง") ทั้งหลายนั่นแหละ ที่คอยหยิบเอาประโยชน์ส่วนตนทำเป็นโปรยข้าวเปลือกไปทั่วสภา เรียกร้องรัฐให้เหลียวแล ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่มีทางออกช่วยชาวบ้านได้ ไอ้กระจอก!
สินค้าเกษตรราคาถูก
รู้ล่ะว่า "ทุกคนเดือดร้อน" ไม่สินะ แค่บางคนเท่านั้นเอง เราต้องแยกผู้คนในสังคมออกเป็นสามฝ่าย "ผู้ผลิต, ผู้บริโภค และพ่อค้าคนกลาง" ถ้ามองแบบนี้เมื่อสินค้าเกษตรราคาถูกหรือราคาตกต่ำ คนที่เดือดร้อนคือ ผู้ผลิต นั่นคือ เกษตรกร หรือชาวนา ชาวไร่ ชาวสวนนั่นแหละ แต่ผู้บริโภคทั้งหลายดีใจเพราะได้กินอิ่มในราคาที่ถูกลง จริงหรือ? ก็ไม่จริงแหละ เพราะผู้บริโภคซื้อมาในราคาที่สูงกว่าเกษตรกรขายมาก ผู้ที่ลอยตัวเหนือปัญหานี้คือ พ่อค้าคนกลาง ซึ่งได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่ว่าราคาสินค้าการเกษตรจะตกต่ำหรือมีราคาเพียงใด พวกเขาก็ได้ส่วนต่างเหล่านั้นอย่างคงเส้นคงวาเสมอ และมีอำนาจต่อรองเหนือกว่าคน 2 กลุ่มแรกด้วย เพราะเขามีทุนที่ครอบงำทุกสิ่งอย่างอยู่นั่นเอง ตั้งแต่ปัจจัยการผลิตที่ผู้ผลิตต้องมาหยิบยืมจากเขา ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ อาหารสัตว์ เผลอๆ ยังมาเช่าที่ดินจากเขาอีก เมื่อลงแรงเหนื่อยยากน้ำตาแทบกระเด็น มีผลผลิตออกมาเท่าไหร่ก็จำใจให้เขายึดเอาไปใช้หนี้ตามที่เขากำหนดราคา เถียงไม่ได้สักแอะเลยใช่ไหม?
มีเสียงแว่วๆ มาจากครูวีระ สุดสังข์ เมื่อวานนี้ (04-11-2564) คำถามสำหรับชาวนา
เพราะคำว่า "ชาวนา" อย่างนั้นหรือ? มีนาจึงทำแต่นา,
มีนาจึงปลูกแต่ข้าว ที่นานั่นแบ่งทำอย่างอื่นบ้างไม่ได้เลยหรือ?
- นาลุ่มแบ่งออกมาปลูกผักบุ้ง, ผักขะแญง, ผักกระเฉด ฯลฯ
- นาโคกแบ่งออกมาปลูกหญ้า, ปลูกกล้วย, พริก, พืชผักสวนครัว ฯลฯ
พากันปลูกแต่ข้าวจนข้าวล้นประเทศแล้วก็บ่นกัน
คำถามนี้แหละที่ทำให้ผมต้องหยิบยกมาเขียน มาบ่นกันในวันนี้ ไม่ได้มาซ้ำเติมใครนะครับเพราะผมก็ลูกชาวนา แม้ทุกวันนี้จะไม่ได้ทำนาแต่น้องชายและญาติคนอื่นๆ ก็ยังทำกันอยู่ เพียงแต่จะมาบอกว่า พวกเราเปลี่ยนความคิดชาวนาเมื่อครั้งปู่ย่าตายายในอดีตมาไกลมาก ไกลแค่ไหน? ถ้าย้อนกับไปก็คงตั้งแต่สมัยเพลง "ผู้ใหญ่ลี" โน่นแหละครับ [ อ่านบทความย้อนหลังได้ อาชีพ-เครื่องมือทำมาหากิน | อีสานกับความเปลี่ยนแปลง ] เราเชื่อในแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ต้องการเปลี่ยนให้คนไทยเลิกทำอาชีพเพื่อการพอมีพอกิน มาทำเพื่อขายให้มีรายได้มากขึ้น รวย รวย รวย แล้วสำเร็จไหมครับ?
จากคำถามข้างต้นนั้นก็มีผู้มาให้ความเห็นหลายคนรวมทั้งผมด้วย ทุกคนต่างก็มีเหตุผลในบริบทของความรู้ความเข้าใจที่ตนมี ไม่มีใครผิดเพียงแต่เราอาจจะมองกันคนละมุมเท่านั้น ถ้าเป็นมุมมองของ 'ความเกลียดชังทางการเมือง' ไม่ขอกล่าวถึงนะ เพราะตั้งแต่ผมรู้จักเติบโตมาจนเลยวัยเกษียณนี่ ยังไม่มีนักการเมืองที่ยื่นความรักจริงใจให้ราษฎรที่เลือกเขามาจริงจังเสียที "ไม่มีรัฐบาลชุดใดช่วยทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นได้" ยกเว้น เอาภาษีของประชาชน (รวมชาวนา) ประกันราคาข้าวของชาวนา ให้ราษฎรเป็นหนี้เป็นสินบานตะเกียง มีคนติดคุกติดตะรางกันให้เห็นๆ อยู่
เราจะแก้ไขปัญหานี้กันอย่างไร?
ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ ด้านเกษตรกรรมแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นคนชอบอ่านชอบศึกษาเรื่องราวต่างๆ ในสังคมไทยของเรา จึงรวบรวมวิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ มานำเสนอเป็นแนวทาง โดยมีตัวอย่างของผู้ประสบผลสำเร็จในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ที่ปรับเปลี่ยน "วิถีเกษตรกรรมจากบรรพบุรุษ" มาสู่ "ยุคนวัตกรรม 4.0" ในทศวรรษนี้
- เปลี่ยนจากการปลูกเพื่อขายมาเป็นปลูกเพื่อการบริโภคในครัวเรือน มีเกษตรกรมากมายในหลายท้องถิ่น ที่หันมาทำอาชีพ "เกษตรผสมผสาน" ปลูกข้าวเพื่อกินในครัวเรือน เหลือก็นำไปแลกเปลี่ยนเป็นอาหารหรือเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งอาจจะเป็นการแลกเปลี่ยนโดยตรงเช่น เอาข้าวไปแลกเกลือ แลกปลาในท้องถิ่นอื่น หรือขายเป็นเงินเพื่อนำเงินไปซื้อในเครื่องอุปโภค-บริโภคที่ต้องการ เสริมรายได้ด้วยการทำเกษตรผสมผสานตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
- การใช้ที่ดินอย่างมีประโยชน์และคุ้มค่า หมายถึง การจัดสรรปันส่วนในที่ดินออกเป็นส่วนต่างๆ สำหรับการปลูกข้าว ปลูกพืชอาหาร เลี้ยงสัตว์ เป็นแหล่งเก็บกักน้ำที่สามารถนำมาในการเกษตรได้ตลอดทั้งปี มีที่อยู่อาศัยตามความเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องทำนาปลูกข้าวจนเต็มพื้นที่ทั้งหมด เราก็จะมีอาหารเลี้ยงครอบครัว เหลือมากก็ขายแลกเปลี่ยนได้ทั้งปี เมื่อมีพอเพียงก็อยู่ได้สบายไม่ต้องดิ้นรนไปขายเททิ้งในราคาถูกๆ มีที่เหลือๆ นิดๆ ก็ทำเป็นลานเอนกประสงค์ทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ เช่นตากข้าวให้แห้งเพื่อให้เก็บได้นานมีราคาขายที่ดี ทำคันนาใหญ่ๆ ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งการสัญจร ขนพืชผลทางการเกษตร ปลูกพืชผักตามฤดูกาลสั้นๆ ตากพืชผลได้ อย่าลืมทำ "เล้าข้าว" หรือ ยุ้งฉาง ไว้เก็บข้าวเปลือกด้วย มีประโยชน์เพราะข้าวที่เก็บคงคุณภาพได้นาน ขายตอนมีราคา
- เปลี่ยนมาทำการเกษตรประณีต หมายถึง การทำการเกษตรแบบดั้งเดิมที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปลอดจากสารเคมีต่างๆ ไม่ไปเป็นหนี้ค่าปุ๋ย ค่ายาจากพ่อค้าคนกลาง รวมกลุ่มกันเพื่อทำตลาดบ้านใกล้ภายในท้องถิ่น ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากๆ ไปยังที่ห่างไกล ผลผลิตที่ได้ทำการจำหน่ายตรงสู่ผู้บริโภคในท้องถิ่น เรียนรู้และใช้ตลาดออนไลน์เข้าช่วย เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือที่เล่นแค่เฟซบุ๊ค ไลน์ ให้เป็นตลาดขายตรงไปยังผู้ซื้อ เพื่อตัดพ่อค้าคนกลางออกไป ผู้ผลิตได้ราคาที่สมเหตุสมผล ผู้บริโภคได้บริโภคในราคาที่เป็นธรรมและปลอดภัย
ตัวอย่าง เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในหลายๆ จังหวัดได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มปลูกข้าวอินทรีย์ สีเป็นข้าวสารและนำมาบรรจุถุงขายเอง จากโรงสีของกลุ่มชาวบ้าน ขายผ่านช่องทางต่างๆ ประสบผลสำเร็จกันมากมาย ลองศึกษาแล้วรวมกลุ่มกันทำดูสิครับ
ชาวนาสุรินทร์รวมกลุ่มสีข้าวหอมมะลิเอง
- ต้องออกจากกับดักหนี้ให้ได้ "หนี้" คือปัญหาหลักๆ ของเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นหนี้กับนายทุนท้องถิ่น พ่อค้าคนกลาง และหนี้รัฐ (ธกส.) เพราะมันเป็นวัวพันหลักที่ไม่มีสิ้นสุดต้องทำงานใช้หนี้แต่มันไม่หมดสักที ด้วยการลงทุนกับสิ่งที่แทบจะไร้ค่า ตั้งแต่ ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช พันธุ์พืช ฯลฯ เพราะเราไม่ทำใช้เอง (ข้ออ้าง! ไม่มีเวลา จะเชื่อดีไหม) ชาวนายุคใหม่ที่หันไปใช้เครื่องจักรแทนแรงงานสัตว์ด้วยข้ออ้างว่ามันชักช้าไม่ทันการ แต่...
เครื่องจักรกลการเกษตร นั่นมีค่าใช่จ่ายสูงกว่า ทั้งค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าซ่อมบำรุง (ซึ่งเกษตรกรเองนั้นมักจะไม่มีความสามารถดูแลซ่อมแซงเองได้) มีควันไอเสียทำลายสุขภาพ ในขณะที่สัตว์ใช้แรงงานอย่างควาย แทบจะไม่มีค่าใช้จ่าย (นอกจากค่าตัวตอนที่ซื้อมา) อาหารเราก็สามารถเกี่ยวหญ้าตามทุ่งนา หรือทำแปลงปลูกหญ้าไว้ให้กิน และเก็บฟางข้าวแห้งไว้ให้กินในหน้าฝนได้ ในขณะที่ขี้ควายถ่ายออกมาเป็นปุ๋ยบำรุงดิน รวมทั้งเป็นแหล่งอาหารของแมลงอย่างกุดจี่ให้คนบริโภคได้ด้วย
รวมทั้งต้องศึกษาหาความรู้เรื่อง "การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์พืชที่ดี" เอาไว้ใช้ในฤดูกาลถัดไปโดยไม่ต้องไปซื้อหาจากพ่อค้า ศึกษาการทำปุ๋ยอินทรีย์ไว้ใช้เองจากมูลสัตว์เลี้ยง ใบไม้ ใบหญ้า ฟางข้าวด้วยการไถกลบ (ไม่เผาตอซัง เพราะทำลายทั้งดินและสัตว์อาหารตัวเล็กตัวน้อย) ศึกษาการทำน้ำหมักบำรุงพืชผล ทำน้ำยาไล่แมลงจากสารอินทรีย์ในท้องถิ่น
พ่อเลี่ยม บุตรจันทา : ปราชญ์ชาวบ้านผู้หักดิบหนี้
ตัวอย่างที่ดีมีค่ามากกว่าคำสอนนะครับ "ปราชญ์ชาวบ้าน" ผู้สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เกษตรกรประเทศไทยได้ ผมได้รวบรวมมาไว้เป็นบทความประวัติน่ารู้ให้ท่านอ่านแล้ว คลิกไปอ่านที่เมนูด้านข้างซ้ายมือ "ปราชญ์ชาวบ้านการเกษตร" ลองศึกษาดูครับ
ในปัจจุบันมี 'ชาวนา' ตัวจริงมากเท่าไหร่ เพราะ... ที่เห็นนั้นเป็นเพียงมีที่ดินสักหน่อย
- ฝนตกมาก็โทรศัพท์เรียกรถไถให้มาทำงานไถพรวนดิน
- ไถนาเสร็จแล้วก็ยกโทรศัพท์เรียกคนมาหว่านข้าวลงในนา
- ทิ้งช่วงไปสักเดือนเศษๆ โทรเรียกคนหรือให้คนใช้ 'โดรน' บินมาพ่นยา ใส่ปุ๋ย
- ครบเวลารวงข้าวเหลืองเรียกรถเกี่ยวมาจัดการ ปั่นข้าวเปลือกใส่กระสอบทั้งเปียกๆ ไปส่งโรงสี
- โรงสีบอกข้าวมีความชื้นเกินไป 'ราคาตก' แหกปาก 'ชาวนาเดือดร้อน'
ผมยังมองไม่เห็นว่า "ใคร" คือ "ชาวนา" ในห่วงโซ่นี้เลยจริงๆ เมื่อไม่ใส่ใจในผลผลิตที่ตัวเองลงมือปลูก คุณภาพที่ได้ก็สะท้อนถึงราคาที่จำหน่ายนั่นแหละ เรามาทำนาเพื่อยังชีพด้วยการทำนาอย่างประณีตเถอะครับ ไม่ต้องใช้ที่นาผืนใหญ่มหาศาล จัดสรรที่ดินที่มีให้เกิดประโยชน์ปลูกพืชได้หลากหลายหมุนเวียนตามฤดูกาล แนะ! เห็นผักชีกิโลละ 400 บาท จะทิ้งที่นาแห่ไปปลูกผักชี เดี๋ยวก็ล่มจมอีกหรอก #ลุง นั่นก็เหมือนกัน ชาวสวนเขาเพิ่งจะขายได้แพงกิโลละ 400 จะมาสั่งให้ทหารปลูกเพื่อแทรกแซงราคา มันไม่ถูกนะ เข้าใจไหม? กลไกตลาด
ฝนตกน้ำท่วม ปีนี้ฝนน้อยกว่าปี '62 ทำไมท่วมมากและนานจัง
คำถามจากหัวข้อข้างต้นนี้มีกระหึ่มทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสานเลยทีเดียว จากสถานการณ์น้ำท่วมในช่วงฝนชุกๆ ที่ผ่านมา เราจะโทษใครได้ล่ะ! นอกจากตัวเราเองนี่แหละ "มนุษย์" ที่เป็นผู้กระทำทุกสิ่งให้เกิดขึ้นและยิ่งรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ พวกเราต่างมีข้ออ้างในเรื่องความเจริญ ความศิวิไลซ์กันมากเกินขอบเขต มันจึงสร้างปัญหาไม่สิ้นสุด มาดูกันเป็นข้อๆ เลยว่ามีอะไรบ้าง
1. ที่อยู่อาศัย ที่ลืมกำพืด
นี่ผมพูดจริงๆ นะ เราลืมกำพีดในที่นี้คือถิ่นที่อยู่อาศัยของนั่นเอง โบราณนานมาเราจะสร้างบ้านใต้ถุนสูงอยู่อาศัยกันด้วยเหตุผลที่ว่า น้ำจะไม่ท่วมในหน้าฝน ในหน้าแล้งจะใช้เป็นที่ทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น การทอผ้า การทำเครื่องจักสาน เป็นที่เก็บอุปกรณ์ในการทำไร่นา บ้างก็เป็นคอกสัตว์ แต่สมัยผมเป็นเด็กบ้านนอกคอกวัว คอกคายเราจะสร้างไว้บนเนินสูงมีหลังคาคลุมอยู่นะ
แต่ในปัจจุบันนี้ไปเห็นชาวเมืองใหญ่เขามีบ้านทรงโมเดิร์นมันสวยดี เลยเอาบ้างตามเขาด้วยวัสดุหาง่าย (เหล็ก, คอนกรีต, ไม้เทียม, หลังคาเมทัลชีท) ราคาถูกกว่าในปัจจุบัน โดยลืมไปว่า บ้านเรานั้นมันที่ราบลุ่มต่ำ มีน้ำท่วมในหน้าฝนน้ำหลาก เมื่อน้ำมาจึงไม่รอด และอีกสาเหตุหนึ่งคือ การประชาสัมพันธ์เรื่องการสร้างฝาย สร้างเขื่อน ที่คุยขโมงว่า "มีเขื่อน มีฝายแล้ว เก็บกักน้ำได้ไว้ใช้ประโยชน์ในหน้าแล้ง ช่วยแก้น้ำท่วมในหน้าฝน" แต่ลืมคิดไปว่า ถ้าฝนมามากๆ น้ำล้นเขื่อน ล้นฝาย ควบคุมไม่ได้จะเป็นอย่างไร
ก็เป็นดังภาพบนนี่แหละครับ "ธรรมชาติ" ก็เป็นของมันเช่นนั้น น้ำย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำ พลังของมันนั้นยากจะต้านทาน ถ้าเราไม่ปรับตัวให้ดำรงชีวิตอยู่กับมันให้ได้มันก็ลำบาก ฝนฟ้าอากาศ "ฤดูกาล" ก็เปลี่ยนแปลงไม่เหมือนเดิมแล้วจากสภาวะโลกร้อนที่เป็นไปทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยแห่งเดียวดอกนะ ถ้าชอบความง่ายวัสดุราคาถูก การทำบ้านใต้ถุนสูงยุคใหม่ก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิดนะ ลองปรับเปลี่ยนดูครับ
ไม่แค่การสร้างเขื่อน สร้างฝายที่สร้างปัญหา การถมที่ทำสิ่งปลูกสร้าง บ้านเรือนสมัยใหม่ ก็เป็นปัญหาเช่นเดียวกัน ต่างคนต่างถมให้สูงขึ้นกว่าเดิมจนคนที่สร้างและอยู่อาศัยมาก่อนต้องอยู่ในแอ่งกระทะ ลองหันไปดูรอบๆ หมู่บ้านที่ท่านอาศัยในทุกวันนี้นั้นต่างจากเมื่อสามปีก่อนอย่างไร?
2. การสร้างเส้นทางคมนาคม
เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย เพิ่มความรวดเร็วในการเดินทาง จึงมีการก่อสร้างเส้นทางคมนาคมทั้งถนนรถยนต์ ทางรถไฟ ซึ่งต่างก็พยายามถมให้สูงกว่าเดิมเพื่อป้องกันน้ำท่วม โดยขาดการพิจารณาว่า บริเวณนั้นเป็นแก้มลิง เป็นทุ่งรับน้ำในอดีตหรือไม่ ในช่วงสิบปีให้หลังมานี้มีการก่อสร้างถนนวงแหวนรอบตัวเมืองต่างๆ กันแทบทุกจังหวัด จนเกิดปรากฏการณ์น้ำท่วมกันแทบทุกจังหวัด สาเหตุจากการสร้างถนนขวางการไหลของน้ำนั่นเอง ซึ่งผู้ออกแบบถนนก็ไม่เคยอยู่ในพื้นที่นั้นๆ จึงทำเพียงท่อลอดให้น้ำไหลผ่านท่อเล็กๆ และห่างกันมาก แต่ในความจริงบริเวณนั้นในฤดูน้ำหลากน้ำจะไหลท่วมทุ่งมาเร็วและรุนแรง จึงเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมเมืองติดต่อกันในแทบทุกจังหวัด
คงพอจะตอบคำถามได้นะครับว่า ด้วยเหตุใดฝนตกนิดตกหน่อยน้ำจึงท่วมกันกระจายในหลายพื้นที่ ทางแก้ล่ะ! ก็ย้อนรอยทางวิศวกรรมนั่นแหละครับทำอะไรไปขวางก็ต้องไปแก้ไขให้มันระบายได้อย่างรวดเร็ว ถนนอาจจะออกแบบให้เป็นถนนระบายรถกันในหน้าแล้ง เปลี่ยนเป็นระบายน้ำในหน้าฝนที่น้ำมามากก็ได้นี่ มีภาพความคิดหรือไอเดียอันล้ำลึกจากเนเธอร์แลนด์มาฝากให้คิดกันต่อว่า สยามประเทศของเราจะใช้วิธีการอย่างไร?
Velueemeer Aqueduct คือ การออกแบบถนนและทางน้ำจากเนเธอร์แลนด์
ช่วยให้การสัญจรทางน้ำและทางบกสามารถเดินทางได้สะดวก