คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
คนเราเกิดมาย่อมมีการตั้งชื่อเรียกเพื่อให้รู้ว่าเป็นใคร เป็นลูกเต้าเหล่าใด ผู้เป็นพ่อ-แม่คนย่อมแสวงหาชื่ออันเป็นมงคลให้กับบุตรของตน โดยการขอให้ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ มีความรู้เรื่องโหราศาสตร์ ฤกษ์ผานาที หรือพระสงฆ์ผู้คงแก่เรียน ในการตั้งชื่อให้เหมาะสมกับดวงชะตา พาให้ชีวิตรุ่งเรืองไปในภายภาคหน้า ซึ่งในอดีตนั้นมีตำราของโบราณอีสานกำหนดเป็นแนวทางไว้
นาม หรือ ชื่อ ในปฐมสมันตปาสาทิกาอรรถกถาของพระวินัยปิฎก กล่าวถึงชื่อว่าไว้จำนวน 4 ชื่อ คือ
นามที่ 3 คือ อธิจจสมุปปันนนาม นี้ เป็นนามที่หาตั้งกันขึ้นตามโลกนิยมว่า เป็นมงคล ซึ่งเรียกว่า มงคลนาม ก็ได้ เพราะผู้ตั้งอยากให้เป็นเช่นนั้น ส่วนนามที่ 4 นั้น สำหรับชาวบ้านที่ประสบผลสำเร็จทางการเงินหรือฐานะ ก็มักจะเป็นชื่อ "เศรษฐี" แต่ก็คงไม่มีโอกาสเป็นไปได้สำหรับคนจน ดังนั้น การตั้งชื่อทั้งหลายทั้งปวงจึงเป็นไปเฉพาะตามข้อ 3 เป็นหลัก
การตั้งชื่อที่อยากจะให้เป็นไปเช่นนั้น จะต้องให้เว้นตัวอักษรที่เป็นกาลกิณี อย่าให้มีในชื่อจึงจะเป็นมงคลนาม เป็นสิริมงคลแก่เจ้าของ วิธีหาชื่อให้เป็นมงคล ให้ดูความหมายของทักษาในวันดังนี้ (ดูตาราง)
1 วันอาทิตย์ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ (กาลกิณี) |
2 วันจันทร์ ก ข ค ฆ ง (บริวาร) |
3 วันอังคาร จ ฉ ช ฌ ญ (อายุ) |
8 วันศุกร์ ศ ษ ส ห ฬ ฮ (มนตรี) |
4 วันพุธ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ (เดช) |
|
7 วันราหู (พุธกลางคืน) ย ร ล ว (อุตสาหะ) |
6 วันพฤหัสบดี บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม (มูละ) |
5 วันเสาร์ ด ต ถ ท ธ น (ศรี) |
ใครเกิดวันอะไรให้เริ่มนับบริวารจากช่องนั้น เวียนขวาไป ไม่ว่าหญิงหรือชาย เรียงลำดับเป็น บริวาร, อายุ, เดช, ศรี, มูละ, อุตสาหะ, มนตรี และกาลกิณี จากตัวอย่างในตาราง คนเกิดวันจันทร์ เริ่มนับที่ช่องที่ 2 เวียนขวาไปตามลำดับ ตัวอักษรที่เป็นกาลกิณีจะตกในวันอาทิตย์ ชื่อของบุคคลที่เกิดในวันจันทร์จึงไม่มีสระอยู่ในชื่อจึงจะเป็นมงคล เช่น ชยกร หมายถึงชื่อของผู้มีอายุยืนนาน (อักษร ช) บริวารมากมาย (อักษร ก) และมีความอุตสาหะเป็นเลิศ (อักษร ย, ร)
บริวาร | หมายถึง เพื่อนฝูง พวกพ้อง มีบริวารมาก บริวารช่วยงานดี บริวารให้คุณ |
---|---|
อายุ | หมายถึง อายุ การมีอายุยืน สุขภาพดี |
เดช | หมายถึง อำนาจวาสนา หน้าที่การงาน จะเป็นหัวหน้างาน คนเกรงขาม |
ศรี | หมายถึง ทรัพย์สินเงินทอง โชคลาภ ความมั่งคั่ง |
มูละ | หมายถึง หลักฐานบ้านช่อง มรดก |
อุตสาหะ | หมายถึง ความขยันหมั่นเพียร ผลสำเร็จ ความคิดริเริ่ม |
มนตรี | หมายถึง ผู้อุปถัมภ์ค้ำชู ทำอะไรมัคนคอยช่วยเหลือ |
กาลกิณี | หมายถึง ความชั่วร้าย ศัตรูคู่อาฆาต ความไม่ดี การถูกตำหนิ |
ดังนั้น การตั้งชื่อหากต้องการให้เป็นไปเช่นไร ก็ให้นำทักษานั้นมาตั้งเป็นชื่อตัวแรก และเลือกสิ่งที่ต้องการให้เป็นไปลำดับถัดจากนั้นมาผสม โดยเว้นอักษรที่เป็นกาลิกิณีในชื่อ การนำอักษรมาผสมต้องคำนึงถึงการอ่านได้เป็นคำที่มีความหมาย เป็นที่รู้จักกัน เข้าใจกันโดยทั่วไปได้ มิใช่นำมาผสมกันสะเปะสะปะเพียงต้องการให้ได้ทักษาที่ดี แต่ไม่มีความหมายใดๆ ได้
นะ ชัจจา วะสะโล โหติ นะ ชัจจา โหติ พราหมโณ กัมมุนา วะสะโล โหติ กัมมุนา โหติ พราหมโณ "
แปลว่า
ไม่มีชั่วโดยกำเนิด ไม่มีดีโดยกำเนิด ชั่วอยู่ที่ทำเอา และดีก็อยู่ที่ทำเอา เท่านั้น
ดังนั้น เมื่อท่านเลือกเกิดในดวงดีไม่ได้ ท่านก็จงมุ่งทำดีเอาเถิด แล้วท่านจะได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน อย่าให้หมอดูมาทำนายทายทักกุมชะตาชีวิตของคุณ จงกำหนดวิถีชีวิตของท่านเองเถิด
คนที่เกิดวันอาทิตย์ ถ้าอยากมีบริวารมากให้เอาสระมาขึ้นต้นชื่อ เช่น อุดร ซึ่งแปลว่า ยอด หรือเหนือคน โดย "อุ" เป็นบริวาร "ด" เป็นมูละ "ร" เป็นมนตรี ได้บริวาร มูละและมนตรีรวมกัน ชื่อ อุดร จึงเป็นชื่อที่ดี ถ้าเป็นหญิงให้ใช้ อาภรณ์ แปลว่า ผ้า หรือ คนงาม โดย "อา" เป็นบริวาร "ภ" เป็นอุตสาหะ "ร" เป็นมนตรี "ณ" เป็นศรี คือได้ทั้งบริวาร อุตสาหะ มนตรี และศรี พรั่งพร้อม
เพื่อนบางคนอยากไปเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล แก้ดวง แก้ปีชงห่าเหวอะไรของมันก็ไม่รู้ แถมเสือกอยากได้ตัวอักษรอะไรแปลกๆ ตามสมัยนิยมกับเค้าบ้าง แบบพวกดาราอย่าง ณ ฎ ฐ ฤ ภ ก็เลยพาเพื่อนไปที่วัดหาพระอาจารย์ ท่านก็ใจดีตั้งชื่อมาให้ว่า "คฤจภัค คิศถฤงคิธแคท" ดังภาพ
คนได้ชื่อใหม่ถึงกับเหวอถามพระอาจารย์ว่า "ท่านอาจารย์ครับ ผมอ่านไม่ออกขอรับ" ท่านเลยเมตตาอ่านให้ฟังว่า "คิด-จะ-พัก คิด-ถึง-คิทแคท"
แต่ได้โปรดอย่าตั้งชื่อตามคำทำนายทายทักของหมอดู จนได้ชื่อประหลาดๆ ทั้งเขียนก็ยาก ให้อ่านก็ยาก เอาไปปักชื่อบนอกเสื้อก็ยาว จะกรอกลงในแบบฟอร์มก็อาจผิดพลาดไม่ครบถ้วน ยิ่งถามชื่อทางโทรศัพท์แล้วกรอกลงแบบฟอร์มมีเหวอ จนคนไทยหรือฝรั่งก็งงงวยไม่แพ้กัน ชื่ออะไรฟร่ะ! เขียนและอ่านไม่ถูกกันเลย ดูคลิปนี้ประกอบเลยครับ
ชื่อไทยเริ่มยาก คนพากย์เริ่มฉิบหาย
แต่ก็พบเห็นได้ในสมัยปัจจุบันที่มักจะไม่เชื่อว่า พ่อ-แม่ ตั้งชื่อให้มาดี ไปเชื่อหมอดูคู่กับหมอเดา ที่ไม่ใช่ญาติเพียงต้องการเงินค่าคาย (ค่าครู) เลี้ยงชีพ จึงได้ชื่อที่พิกลพิสดารจนไม่มีความหมายใดๆ อ่านออกเสียงก็ยาก คนอื่นฟังก็เขียนตามไม่ถูก บางชื่อยาวมากกว่า 6 พยางค์ก็มี ยาวเสียจนป้ายชื่อติดหน้าอกไม่สามารถจะเขียนได้พอ เช่นนี้ก็ไม่น่าจะเป็นมงคล มีเรื่องราวของการไปเปลี่ยนชื่อจากที่พ่อแม่ตั้งให้ แล้วไม่สำเร็จเป็นตัวอย่างดังนี้
"นายฮวด เป็นลูกคนจีน เรียนหนังสือเก่งที่สุดในรุ่นเดียวกัน จนจบคณะรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยมีชื่อ จึงได้ไปสอบบรรจุเป็นปลัดอำเภอ ก่อนสมัครสอบได้ข่าวว่า ปีก่อนนั้นเวลาเรียกบรรจุปลัดอำเภอได้เรียกตามลำดับจากชื่อ ก. ไก่ ขึ้นต้น จึงได้ไปเปลี่ยนชื่อใหม่จาก "ฮวด" เป็น "เกรียงไกร" ด้วยหวังจะได้บรรจุอย่างรวดเร็วก่อนเพื่อน ปรากฏว่าสอบได้ดังใจหมาย แต่ปีนี้เรียกบรรจุจากชื่อ ฮ. นกฮูก ขึ้นมาก่อน ไม่มีใครชื่อขึ้นต้นด้วย ฮ. เลย จึงเริ่มที่ นายอำนวย เป็นคนแรก อนิจจาเพราะไม่เชื่อชื่อที่พ่อ-แม่ตั้งให้แท้ๆ เชียว"
คนต่างชาติสงสัย คนไทยตั้งชื่อเล่นแปลกๆ?
ความรักและความผูกพันที่มีต่อสายใยรัก สายโลหิตของชาวอีสานนั้น ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นบทเพลงกล่อมลูกที่น่าประทับใจ เมื่อยามที่แม่ต้องอุ้มกระเตงลูกออกไปทำไร่ไถนา ผูกอู่นอนของลูกใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือเถียงนา หรือเมื่อยามที่อยู่ในหมู่บ้าน ใต้ถุนบ้านของชาวอีสานจะเป็นที่รวมของการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งการงานทอผ้า จักสาน และเลี้ยงลูกหลาน เสียงเพลงกล่อมลูกที่ดังแว่วออกมาจากแต่ละถิ่นที่ ย่อมแสดงถึงความรักความผูกพันของแม่ที่มีต่อลูก
เพื่อสืบสานตำนานรักของบรรพบุรุษให้ยังคงอยู่สืบไป จึงขอนำเสนอเนื้อหาบทเพลงกล่อมลูก จากศิลปินพื้นบ้าน 3 ท่าน คือ จากจังหวัดอุบลราชธานี 2 สำนวนได้แก่ เพลงแม่หม้ายกล่อมลูก ของ หมอลำฉวีวรรณ ดำเนิน และเพลงแม่หม้ายกล่อมลูก ของ นางบุปผา สีตะวัน และจากจังหวัดนครราชสีมา เพลงกล่อมลูกโคราช ของนางรำไพ เสริมรำ ถ้าท่านใดมีสำนวนจากจังหวัดอื่นๆ ในอีสานโปรดแนะนำด้วยครับ
โดย นางฉวีวรรณ ดำเนิน (พันธุ)
นอนสาหล่าหลับตาแม่สิกล่อม นอนอู่แก้วนอนแล้วแม่สิกวย นอนสาหล่ากัลยาน้อยอ่อน แม่สิสอนลูกแก้วจอมสร้อยให้ค่อยฟัง เป็นคนนี่ยำเกรงผู้ใหญ่ คารวะละผู้เฒ่าผ่านใกล้หมอบคลาน หย่างใกล้เผิ่นให้เจ้าเอิ้นขอทาง เผิ่นเอิ้นขายเจ้าอย่าได้เว้าหยาบ เป็นคำบาปบ่จบบ่งาม กริยาเลวทรามขายหน้าพ่อแม่ ลูกขี้แพ้พ่อแม่อยากอาย เกิดเป็นชายวิชาเป็นทรัพย์ เผิ่นจั่งนับถือหน้าถือตา บรรพชาสมบทคือบวช ให้หมั่นกวดศึกษาเล่าเรียน การทำเพียรกำจัดกิเลศ บ่เป็นเหตุเสียชาติตระกูล ลูกหล่าแม้ให้มีใจกรุณา ใจเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คนดีแม่ให้มีใจก้วงขวง คนทั้งปวงละสิยอยกเจ้า ยามกินเข้าให้คิดถึงคุณควาย พระอิศวรเผิ่นจึงมาผายโผด บ่เป็นโทษกายวาจาใจ เว้านำไผเผิ่นก้อชมชื่น ไปบ้านอื่นสิมีผู้บูชา เทวดารักษาปกป้อง ฝูงพี่น้องยอย่องสรรเสริญ อื้อ ฮือ อือ อื้อฮือ อือ ฮือ อื้อ อือ ...
เจ้าหากแม่นหลานปู่ละคนฮู้ผู้ดี แนวเศรษฐีลังกามาเกิด ผู้ประเสริฐโตเจ้าจงนอน ให้เจ้าฟังคำสอนละพุทโธโอวาท ฝูงนักปราชญ์เอิ้นผู้ฟังธรรม รัตนังอุควรคำมาก เหตุยุ่งยากนอนแล้วบ่หนี สวัสดีนอนหลับคนตื่น คันบวชเข้าในศาสนา เป็นบุญญาถมคุณพ่อแม่ พ่อแม่เฒ่าให้เลี้ยงรักษา ยามเพิ่นมรณาทำบุญส่งให้ ลูกจึงได้ซื่อว่าคนดี เอ่อ เอ้อ เออ เอ้อ เอ่อ เออ... อื้อ อือ อือม์
นอนสาเด้อหล่าหลับตาแม้สิกล่อม แม่สิไปเข็นฝ้ายเดือนหงายเว้าผู้บ่าว แม่สิเอาพ่อน้ามาเลี้ยงให้ใหญ่สูง แนวโตเป็นกำพร้าอนาถาบ่มีพ่อ ทุกข์แท้น้อลูกแก้วแนวเจ้าพ่อบ่มี พ่อตายแล้วซิ่นแม่ขาดคาขา พ่อตายแล้วนาก็ขาดเข้าบ่มีเสาสิค้ำขื่อแม่เด้ ความทุกข์มาสู่มื้อลุงป้าบ่ว่าดี ตั้งแต่ก่อนก่อนกี้ตั้งแต่พ่อเจ้ายังมี ไผก็ดีปานหยังหมู่ฝูงลุงป้า อาว์อาพร้อมถนอมดีเกื้อกล่อม พ่อบ่มีเพิ่นบ่เว้าลุงป้าบ่ว่าหลาน
พริกกะอยู่เฮือนเหนือ เกลือกะอยู่เฮือนใต้ หัวสิงไคอยู่บ้านเผิ่น ขึ้นเฮือนลุงเพิ่นก็เว้า ขึ้นเฮือนอาว์เพิ่นก็เว้า ขึ้นเฮือนย่ากะบ่ได้กลัวย่านแต่แก่มกิน นอนสาหล่านอนอู่สายปอ นอนกะทอ ยาฮ้างสงนางบ่มีพ่อ เชือกอู่ขาดฮ้อยต่อบ่ติดกัน แม่นไผน้อสิมาฝั้นเลนปอเป็นเชือกอู่ ลูกแม่เอย นอนสาหล่าหลับตาแม่สิกล่อม นอนอู่ฝ้ายป้ายใส่อู่ไหม นางสายใจนอนสาเจ้าอย่าตื่น ฮอดมื้ออื่นยามเซ้าแม่สิไป แม่สิไปหาไม้หลัวฟืนคั่นมาผ่า เพราะแม่เป็นแม่ฮ้างผัวสิเลี้ยง... แม่นบ่มี ผัวซิซ้อน แม่นบ่มี... เอ้ย.... นอ
โดย นางบุปผา สีตะวัน
เอ่อ... เออ... เออ... นอนสาหล่า หลับตาแม่สิกล่อม นอนตื่นแล้วสิเอาแก้วใส่มือ อือ.. อือม์.. เออ ฮือ อือ... นอนสาหล่า หลับตาแม่สิกล่อม แม่ไปไฮ่สิปิ้งไก่มาหา แม่ไปนาสิปิ้งปลามาป้อน แม่เลี้ยงม่อนให้นอนอู่สายไหม อือ.. อือม์.. เออ ฮือ อือ... นอนสาหล่าหลับตาอย่าฟ้าวตื่น แม่สิขึ้นโคกคอยเก็บผักหวานมาแลกเข้า เอาหน่อไม้แลกเข้าเผิ่น สิหาเงินมาเลี้ยงเจ้า ถนอมไว้ให้ใหญ่สูง อาว์ อา ลุง น้า ป้า เหลียวหาบ่เอิ้นใส่ ย้อนนางทุกข์ยากไฮ้ ลุงป้าเผิ่นกะซัง เสียใจเด้เฮือนกะเพพอลี้อยู่ มีบ่มีเข้าอยู่ท้องสินอนลี้อยู่จั่งใด๋ เหลือใจเด้นอหล้า คำแพงบ่มีพ่อ มีแต่แม่ค้อม่อ ทอนท่อพ่อบ่มี สี่ปีนอหล่าพ่อไปค้าบ่คืนหลัง ไปหวั่งๆ ตายยังบ่ได้ข่าว ถิ้มนางเลี้ยงลูกน้อย ถิ้มนางเลี้ยงลูกน้อย ทอนท่อพ่อบ่มี... นอ
เอ้อ เหอ เออ กะ เหอ เอ้อ เหอ เออ นอนสาหล่า หลับตาแม่สิกล่อม แม่ไปไฮ่กะเห็นไก่เขี่ยยา แม่ไปนากะเห็นกาเขี่ยม้อน ต้อนติแต้นกะนอนอู่ตั๊กแตน ตักแตนโมกะสิโตห้าล้าน ยาดตาปาดกะโตสี่ตำลึง เอ้อ เหอ เออ กะ เหอ เอ้อ เหอ เออ โอนสาลูไขปักตูกะให้อ้ายคำเปะ อ้ายคำเปะกะขี้ม้าแม่หมัน ไปบ่ทันกะมันเตะมันถีบ ขาลีบๆ กะทั้งกีบทั้งเต ขาเป๋ๆ กะเตะลงป่างหง่าง เอ้อ เหอ เออ กะ เหอ เอ้อ เหอ เออ แกนแวนเอยกะเห็นควยเฮาบ่ เห็นละแหม่กะอีตู้ไปก่อน อีด่อนนำหลังกะอีดำนำก้น แขนโค้นไม่ยาง แขนขางไม้บวก ขวกอันนี้กะลีลับลีลับ แมงคับบินกะไจับกกแต้ ตั้งขี้แท้เขาว่าดอกอีลุม จูมจีเขาว่าดอกคัดเค้า นั่งเค้าเม้ากะตาเหลียกหลากลาน เอ้อ เหอ เออ กะ เหอ เอ้อ เหอ เออ
โดย นางรำไพ เสริมรำ
เออ... เออ อือม์ แมวขาวเอย ไต่ไม้ราวหางยาวโยนเยิ่น ไต่ไม้เป็นโยนไปโยนมา เออ เอ่อ เออ แม่กาเอย อือม์ แม่กาเหว่า เอาไข่ไปฝากรังเขา แล้วเจ้าก็บินหนีมา เอย... เอย อือม์.... ว่านางแม่พระธรณีเอย... เอย อือม์.... แม่ธรณีเจ้าขา ลูกขอฝากหลานน้อยกลอยตา เอย ให้แม่ช่วยดูแล ด้วยเทอญ เอ่อ เออ...
ไม่ทราบผู้ขับร้องและที่มา อีกสำนวนอัพโหลดโดยคุณ wisanu sagolla
กล่อมลูกภาคอีสาน
โดย : หมอลำวันดี พลทองสถิตย์ (หมอลำอุดมศิลป์)
คลิปเพลงกล่อมลูกนี้ฉบับเดิมเจ้าของลบออกไป จึงนำเอาประวัติหมอลำมาแทน
หมอลำอุดมศิลป์เป็นศิลปินหมอลำ ทำนองขอนแก่น เป็นหมอลำอีกท่วงทำนองหนึ่ง ด้วยวาดลำที่เป็นเอกลักษณ์ ฟังรื่นหู ไม่เยิ่นเย้อ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลาย โดยพัฒนามาจากลำพื้น กลอนลำกล่อมลูก มีดังนี้ครับ
เอ่อ เอ้อ เออ เอ่อ เอ้อ เออ...
นอนเด้อหล่าหลับตาแม่สิกล่อม นอนอู่แก้วหลับแล้วแม่สิกวย สวยพอเพลจั่งสิมากินเข้า กินเข้าแล้วจั่งค่อยแอ่วกินนม กินนมไผกะบ่คือนมแม่ นมแปส้ม นมแม่จั่งหวาน กินนมป้า นมอา เพิ่นกะหว่า กินนมแม่จั่งได้แผ่ตู่หลู
นอนสาหล่าหลับตาซ่วยๆ เผิ่นมาขายกล้วยแม่สิซื้อให้กิน เพิ่นมาขายซิ่นแม่สิซื้อให้อยู่ เพิ่นมาขายอู่แม่สิซื้อให้นอน เพิ่นมาขายกลอนแม่สิซื้อให้เล่น
นอนสาหล่าแมวโพงมาแม่สิไล่ เป็ดไก่ฮ้องไผสิป้อนเหงี่ยเกีย แม่ไปไฮ่กะขี่ควยเขาลา แม่ไปนากะขี่ควยเขาตู้ ขาหนึ่งคู้ขาหนึ่งเหยียดซอย ลมวอยวอยกะขี่ควยคอนกล้า
นอนสาหล่าหลับตาแม่สิกล่อม แม่ไปไฮ่สิปิ้งไก่มาหา แม่ไปนาสิปิ้งปลามาต้อน แม่เลี้ยงม้อนอยู่ในป่าสวนมอน เอ่อ เอ้อ เออ เอ่อ เอ้อ เออ... เอ่อ เอ้อ เออ เอ่อ เอ้อ เออ... นอนเอย
ขอแถมบทเพลงกล่อมลูกจากทางฝั่งเพื่อนบ้าน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ดังนี้ครับ
เพลงกล่อมลูก บ้างก็เรียก เพลงอื่อ หรือ แม่ฮ้างกล่อมลูก บ้างก็เรียก อ่านหนังสือง้อม ทำนองที่ใช้เป็นทำนองอ่านหนังสือ ที่พระมเหสีของของเจ้ามหาชีวิตองค์สุดท้ายแห่งพระราชอาณาจักรลาวคือ เจ้านางคำผุยสว่างวัฒนา ใช้กล่อมพระนัดดา ต่อมาได้ถ่ายทอดให้ นางบัววัน คำมาลาวง เมื่อครั้งอยู่ประจำพระราชวังเจ้ามหาชีวิต
เพลงอื่อ หรือ แม่ฮ้างกล่อมลูก (อ่านหนังสือง้อม)
สถานที่บันทึกเสียง : โรงแรมพูสี วันที่ 26 สิงหาคม 2542 ดนตรีภาคสนาม ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว บันทึกเสียงภาคสนามโดย คณะนักศึกษาปริญญาโทและคณาจารย์วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ขับกล่อมลูกลาว เมืองหลวงพะบาง ຂັບຫຼວງພະບາງ Khab Luang Prabang
ขอปิดท้ายด้วยเพลงกล่อมลูกรวมทั้ง 4 ภาคของไทยเรา จัดทำโดย สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ครับ
เพลงกล่อมลูก 4 ภาคของไทย
เรื่องของการมีคู่ครองเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเป็นการเอาคนต่างครอบครัว ต่างนิสัยมาอาศัยอยู่ร่วมกัน ซึ่งต้องมีการปรับตัวเข้าหากันเพื่อสร้างครอบครัวที่มั่นคง ประเพณีโบราณอีสานจึงถือว่า "การเลือกคู่ครอง" เป็นเรื่องสำคัญ ตั้งแต่การเลือกดูดวงชะตาราศีให้สมพงษ์กัน หาเลือกงามยามดีในการแต่งงาน
สมพงษ์นาค เป็นวิธีการหนึ่งของการเลือกคู่ครอง ถ้าอยากรู้ว่า ชายหญิงที่ชอบพอกันนี้ชะตาจะสมพงษ์กันหรือไม่ ให้ดูที่สมพงษ์นาค (ดังรูปด้านล่าง) ผู้ชายให้นับปีชวดจากหัวนาคไปหางนาค นับไปจนถึงปีเกิดของตน ถ้าเป็นหญิงให้เริ่มนับปีชวดจากหางนาคไปจนถึงปีเกิดของตน นอกจากนับปีเกิดแล้วยังมีการนับเดือน และวันด้วย โดยการนับเดือนให้นับจากเดือนอ้าย ส่วนวันให้นับวันจากวันอาทิตย์ ใช้วิธีการเดียวกับการนับเดือน (ชายเริ่มจากหัวนาค หญิงเริ่มจากหางนาค) แต่ที่นิยมกันคือการนับปีเกิด ซึ่งจะทำนายผลดังนี้
โบราณประเพณีได้กำหนดวันสมพงษ์เป็นมิตร และเป็นคู่ครองกันไว้ดังนี้
อธิบายว่า วันพุธคู่กับวันจันทร์ วันพฤหัสบดีคู่กับวันอาทิตย์ วันศุกร์คู่กับวันอังคาร วันเสาร์คู่กับวันราหู (คือวันพุธกลางคืน) ถ้านอกจากคู่นี้ชื่อว่าไม่สมพงษ์
ดูดวงเนื้อคู่ ดวงสมพงศ์นาคคู่ จาก ตำราพรหมชาติ
ในตำรา "หนังสือใบลานหมอดูอีสาน" นั้น พบเฉพาะหลักการสมพงษ์ปี และวัน ไม่พบเห็นการจับคู่สมพงษ์เดือน ในตำราการจับคู่สมพงษ์ปีที่จะเป็นมิตรและเป็นคู่ครองที่ดีนั้น มีกำหนดไว้ดังนี้
ปีชวด - ปีมะโรง | เทวดาผู้ชาย | ปีมะเมีย - ปีมะแม | เทวดาผู้หญิง |
ปีวอก - ปีระกา | ยักษ์ผู้ชาย | ปีจอ - ปีขาล | ยักษ์ผู้หญิง |
ปีมะเส็ง - ปีฉลู | มนุษย์ผู้ชาย | ปีเถาะ - ปีกุน | มนุษย์ผู้หญิง |
การแต่งงานจึงควรจับคู่ให้สมพงษ์กัน คือ เทวดาผู้ชายคู่กับเทวดาผู้หญิง ยักษ์ผู้ชายคู่กับยักษ์ผู้หญิง มนุษย์ผู้ชายแต่งกับมนุษย์ผู้หญิง ถ้าจับคู่นอกเหนือจากนี้ถือว่าไม่ดี
อย่างไรก็ตาม หากทั้งสองคนบ่าวสาวมีความรักใคร่ ใจบริสุทธิ์ใสซื่อต่อกัน ก็ไม่ต้องใส่ใจต่อการสมพงษ์ แต่ให้มุ่งมั่นทำความดีปฏิบัติตามฆราวาสธรรมอย่างเคร่งครัด มีจิตใจเป็นพระ สงบเย็น มีขันติธรรม ให้อภัยแก่กัน ครอบครัวก็จะร่มเย็นเป็นสุข มั่นคงยั่งยืนตลอดไป โดยไม่ต้องไปสนใจว่าคู่เราจะเป็นเทวดา ยักษ์ มนุษย์ชายหรือหญิง แต่อย่างใด
"สีประจำวัน" ที่สมพงษ์กับคนเกิดวันต่างๆ ซึ่งสามารถสร้างความพึงพอใจแก่คนที่เราคบหา หากเลือกของขวัญของฝากให้ตรงกับสีประจำวันของผู้ที่เราคบหา ก็จะได้รับความรัก ความเมตตาจากผู้นั้น หากเราแต่งตัวให้มีสีตรงกับสีประจำวันของเรา ก็อาจจะได้รับผลดีเช่นกัน สีที่ต้องโฉลกหรือเป็นศิริมงคลประจำวัน ดังนี้
วันอาทิตย์ | สีแดง |
วันจันทร์ | สีขาว หรือ สีเทา |
วันอังคาร | สีชมพู |
วันพุธ | สีแสด หรือ สีเหลือง |
วันพฤหัสบดี | สีเขียว หรือ สีเหลือง |
วันศุกร์ | สีม่วง หรือ สีเทาแก่ |
วันเสาร์ | สีดำ หรือ สีครามแก่ |
นอกจากเรื่องของดวงสมพงษ์และสีแล้ว เมื่อตกลงปลงใจจะร่วมชีวิตใหม่ร่วมกันแล้ว ก็ต้องหาฤกษ์งามยามดีในการประกอบพิธีกรรมแต่งงาน ควรเลือกฤกษ์ยามตามแนวปฏิบ้ติดังนี้
อ่านมาถึงตรงนี้ บางท่านอาจจะวิตกกังวล เพราะตรวจสอบดูแล้วพบว่า ตนได้จัดการงานแต่งงานไปในวัน หรือฤกษ์ต้องห้ามข้างต้น โบราณท่านว่าแก้ไขได้ ด้วยการไหว้พระสวดมนต์ทุกเช้าเย็น หม้่นตักบาตรทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร จะพ้นทุกข์ มีสุขทุกคืนวันแล...
ศึกษาเรื่อง ดวง โหราศาสตร์ กันแล้ว ก็มาดูรายละเอียดในทัศนะของหมอ (จิตวิทยา) ปัจจุบันกันบ้าง โดยทั่วไปทั้งชายแลหญิงมักจะมีความคิดในเรื่องการมีคู่ครองเมื่อถึงวัยอันควร แต่มักจะมีคำถามว่า "ควรจะเลือกคู่ครองอย่างไรจึงจะถูกใจ" ซึ่งไม่มีคำตอบที่เฉพาะเจาะจงและตายตัว แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงวิธีการเลือกคู่ครองเราควรที่จะทราบเกี่ยวกับความจริง 7 ข้อ ดังนี้
ที่กล่าวมาแล้วเป็นเพียงความจริงบางส่วนของการมีชีวิตคู่ ซึ่งนอกเหนือไปจากความสุขและความอบอุ่นในชีวิตของการมีคู่ครอง ดังนั้น ถ้าคุณคิดที่จะเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ครอง ก็คงต้องพิจารณาว่าคุณยอมรับความจริงเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะแก่การแต่งงานหรือเป็นพ่อแม่แต่ก็สามารถที่จะมีชีวิตที่ดีตามปกติได้เช่นกัน
สำหรับท่านที่คิดว่า พร้อม (หรือยังไม่พร้อม แต่สนใจ) ลองมาดูว่าหลักเกณฑ์ทั่วไป ที่มักจะใช้ในการเลือกคู่มีอะไรบ้าง
ทั้งหมดเป็นเพียงหลักเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งก็ไม่จำเป็นจะต้องมีทุกข้อ คิดว่ามีข้อที่สำคัญหลายๆ ข้อ น่าจะได้คนที่ดีเพียงพอที่จะเป็นคู่ครองของเราได้ แล้วอย่าลืมปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนที่ดีและมีค่าในตัวเอง เพื่อที่ว่าคุณจะได้เป็นคนที่มีค่าอีกคนหนึ่งในสังคม
ที่มา : ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : การเลือกคู่ครอง | การแต่งงานแบบอีสาน | แซนการ์ แต่งงานอีสานใต้ | ซัตเต แต่งงานชาวกุย
หนุ่ม-สาวชาวอีสาน เมื่อได้แต่งงานกันแล้ว ตามปกติฝ่ายชายจะต้องไปอยู่บ้านพ่อตา-แม่ยาย ต่อเมื่อมีลูกแล้วจึงขยับขยายไปอยู่ที่ใหม่เรียกว่า "การออกเฮือน" แล้วไปหักล้างถางพงหาที่ทำนา (หากพ่อตา-แม่ยายไม่มีทรัพย์ไว้ให้) ดังนั้น ที่นาของคนชั้นลูกชั้นหลานจึงมักไกลออกจากหมู่บ้านไปทุกที และเมื่อบริเวณที่เหมาะสมจะทำนาหมดไป เพราะพื้นที่ราบที่มีแหล่งน้ำจำกัด คนอีสานชั้นลูกหลานก็มักจะชักชวนกันไปตั้งบ้านขึ้นใหม่อีก หรือถ้าที่ราบในการทำนาบริเวณใดกว้างไกลเดินทางไปมาลำบาก ก็จะชักชวนกันไปตั้งหมู่บ้านขึ้นใหม่ใกล้เคียงกับที่นาของตน ทำให้เกิดการขยายตัวกลายเป็นหมู่บ้านใหม่ขึ้น
ในการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของคนอีสาน มักเลือกทำเลที่เอื้อต่อการยังชีพ ซึ่งมีองค์ประกอบทั่วไปดังนี้
สิ่งที่ต้องต้องพิจารณาสถานที่อันดับแรก ก่อนที่จะสร้างบ้านเรือนนั้น โดยปกติจะต้องเลือกเอาสถานที่มีความปลอดโปร่ง ไม่มีหลุมบ่อ ไม่มีจอมปลวก ไม่มีหลุมผี ไม่มีตอไม้ใหญ่ และต้องดูความสูงต่ำ ลาดเอียงของพื้นดินว่า ลาดเอียงไปทางทิศใด และจะเป็นมงคลหรือไม่ ดังนี้
เมื่อเลือกได้พื้นที่ปลูกเรือนแล้ว จะมีการเสี่ยงทายพื้นที่นั้นอีกครั้งหนึ่ง โดยจัดข้าว 3 กระทง คือ ข้าวเหนียว 1 กระทง, ข้าวเหนียวดำ 1 กระทง และข้าวเหนียวแดง 1 กระทง นำไปวางไว้ตรงหลักกลางที่ดินเพื่อให้กากิน ถ้ากากินข้าวดำ ท่านว่าอย่าอยู่เพราะที่นั้นไม่ดี ถ้ากากินข้าวแดง ท่านว่าไม่ดียิ่งเป็นอัปมงคลมาก ถ้ากากินข้าวขาว ท่านว่าดีหลี จะอยู่เย็นเป็นสุข ให้รีบเฮ็ดเรือนสมสร้างให้เสร็จเร็วไว
การเลือกพื้นที่ที่จะปลูกเรือนอีกวิธีหนึ่งคือ การชิมรสของดินโดยขุดหลุมลึกราวศอกเศษๆ เอาใบตองปูไว้ก้นหลุม แล้วหาหญ้าคาสดมาวางไว้บนใบตอง ทิ้งไว้ค้างคืนจะได้ไอดินเป็นเหงื่อจับอยู่หน้าใบตอง จากนั้นให้ชิมเหงื่อที่จับบนใบตอง หากมีรสหวาน เป็นดินที่พออยู่ได้ มีรสจืด เป็นดินที่เป็นมงคล จะอยู่เย็นเป็นสุข มีรสเค็ม เป็นอัปมงคล ใครอยู่มักไม่ยั่งยืน มีรสเปรี้ยว พออยู่ได้แต่ไม่ใคร่ดีนัก จะมีทุกข์เพราะเจ็บไข้อยู่เสมอ
นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อเรื่องกลิ่นของดินอีกด้วย โดยการขุดดินลึกราว 1 ศอก เอาดินขึ้นมาดมกลิ่นว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเชื่อกันว่า ถ้าดินมีกลิ่นหอม ถือว่าดินนั้นอุดมดี เป็นมงคลอยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้าดินมีกลิ่นเย็น กลิ่นเหม็น กลิ่นคาว ถือว่าดินนั้นไม่ดี ใครปลูกสร้างบ้านอยู่เป็นอัปมงคล
การดูพื้นที่ก่อนการสร้างเรือน ชาวอีสานแต่โบราณถือกันมาก แต่ในปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต โดยยังใช้คติเดิมแต่มีการเลี่ยงหรือแก้เคล็ด เช่น การชิมดิน หากเป็นรสเค็มหรือเปรี้ยว ก็แก้เคล็ดโดยการบอกว่าจืด ส่วนการดมกลิ่นดิน หากมีกลิ่นเหม็นคาวก็จะบอกเอาเคล็ดว่าหอม เป็นต้น
ปัจจัย 4 ที่สำคัญของมนุษย์ย่อมมี ที่อยู่อาศัย หรือ บ้าน เฮือน เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ไม่ว่าเราจะไปทำมาค้าขาย ทำกิจการงานที่ใดก็ตาม เมื่อเสร็จกิจการงานแล้วก็จะกลับมายังบ้านพักอาศัยเสมอ เพราะบ้านเป็นที่ที่เราภาคภูมิใจ เป็นสิ่งที่รักและหวงแหน ความอบอุ่นเกิดภายในบ้าน นอนหลับสบายใจไร้ความกลัว และความหวาดระแวง แต่ถ้าปลูกบ้านไม่ถูกโฉลกกับเจ้าของ ความทุกข์ความเดือดร้อนก็จะเกิดขึ้นกับเรา ดังนั้น จึงควรเลือกวัน เวลา เดือน ปี โสกหรือโฉลก และวิธีปลูกบ้าน ให้ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมโบราณณ
อุกาสะ ผู้ข้าขออัญเชิญแม่ธรณีเจ้าได้ออกจาก (หยับย้ายออกจาก) ที่ปลูกบ้าน เพราะที่ปลูกบ้านลูกหลานย่อมทิ้งสิ่งสกปรก ขอย้ายแม่ออกไปอยู่ข้างบ้าน แล้วขอให้แม่คุ้มครองปกป้องรักษาบ้าน และลูกหลานในบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข ขอให้แม่นำสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย หมายมีกระดูกเป็นต้น ขอให้แม่โยนทิ้งไปให้ไกล เอาเหลือไว้แต่สิ่งอันเป็นมงคลแก่ข้าเทอญฯ "
เดือน | สีธง | เดือน | สีธง |
---|---|---|---|
เดือนอ้าย | สีขาว | เดือนยี่ | สีขาว |
เดือนสี่ | สีเหลือง | เดือนหก | สีเหลือง |
เดือนเก้า | สีดำหรือสีนิล (เขียวแก่) | เดือนสิบสอง | สีแดง |
วิธีขุดเสา เมื่อเราทำเครื่องบูชาเสร็จแล้ว ให้ลงมือขุดหลุมเสาแฮก คนที่ถือเคร่งจริงๆ เวลาขุดหลุมเสาแฮกนั้น เขาจะเอาไม้คูณ หรือไม้ยอทำด้ามเสียมก่อน คนขุดก็จะตั้งชื่อให้ว่า "ท้าวเงิน ท้าวคำ ท้าวแก้ว ท้าวค้ำ ท้าวคูณ" ชื่อใดชื่อหนึ่งตามความเหมาะสม ให้เป็นผู้ขุดเสาแฮก แต่ถ้าจะตั้งชื่อคนขุดทั้ง 8 หลุม (เรือน 3 ห้องสมัยโบราณมีเสา 8 ต้นต่อเกย หรือเฉลียงอีก 4 ต้น จึงรวมเป็น 12 ต้น เกยไม่นับเป็นเรือน) ก็ให้ตั้งเพิ่มอีก 3 ชื่อ คือ ท้าวสุข ท้าวดี ท้าวมี แล้วให้ขุดเสาคนละเสา
สำหรับเสียมขุด นอกจากเสาแฮกแล้วจะเอาด้ามอะไรก็ได้ เฉพาะเสาเอกหรือเสาแฮก ให้ใช้เสียมไม้คูณ หรือไม้ยอ โดยให้ท้าวเงินเป็นคนขุด ในเวลาขุดหลุมเสาย่อมจะพบสิ่งที่เป็นมงคลและไม่เป็นมงคล ดังนั้นเมื่อพบแล้วให้แก้นิมิตแก้อาถรรพ์ ดังนี้
มีหลายคนได้ยินแต่คนพูด แต่ไม่รู้ว่า เสาแฮก เป็นต้นไหน เสาขวัญเป็นต้นไหน มันอยู่ตรงไหนของบ้าน ทำไมจึงเรียกอย่างนั้น? ตอนจะปลูกบ้าน โบราณอีสานมีเคล็ดวิธีผูกของเป็นมงคลที่เสาแฮกเสาขวัญอย่างไร และตอนก่อนจะเอาเสาลงหลุม เอาอะไรผูกเสาแฮก และเอาอะไรผูกเสาขวัญ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจก็ปฏิบัติไม่ถูก ขอแนะนำเพื่อความเข้าใจถูกต้อง ดังนี้
เพื่อจะให้ผู้อ่านและเยาวชนรุ่นหลังได้รู้ว่า เสาแฮกเป็นต้นไหน เสาขวัญเป็นต้นไหน จะแสดงตำแหน่งที่ตั้งของเสาดังกล่าวให้ทราบ โดยยกตัวอย่างบ้านโบราณอีสาน ซึ่งเป็นบ้าน 3 ห้อง เสา 8 ต้น ถ้ามีเฉลียงก็ 12 ต้น
จะเสากี่ต้นก็ตาม ก็ให้เอาเสาต้นที่ 3 แถวที่หนึ่งทางหัวนอน นับจากซ้ายไปขวาเป็นเสาแฮก เอาเสาต้นที่ 3 แถวที่สองเป็นเสาขวัญ นับจากซ้ายมาทางขวา โดยผู้นับหันหน้าขึ้นไปทางหัวนอน
ในการยกเสาลงหลุม นอกจากจะเขียนคาถาลงใส่ในหลุม และเอาของมุงคุลผูกที่เสาแล้ว ถ้ามีพระพอที่จะนิมนต์มาได้ ก็นิมนต์มาสวดชยันโต รดเสาตอนยกเสาลงหลุมด้วย แต่ถ้าไม่มีพระ ก็ให้พ่อใหญ่ประเพณีสวดคาถา พร้อมเอาน้ำมนต์รดเสาไปด้วย คาถาสวดรดให้ว่าดังนี้
ตอนที่เรายกเสาไปวางที่ปากหลุมนั้น นอกจากการสวดคาถาแล้ว โบราณอีสานท่านให้หันปลายเสาไปในทิศทางที่เป็นมงคล ซึ่งจะสอดคล้องกับเดือนต่างๆ ดังนี้
เดือนที่ปลูกบ้านเฮือน | ทิศที่ดีในการหันปลายเสา |
---|---|
เดือนอ้าย - ยี่ | ให้หันปลายเสาไปทางทิศอีสาน เจ้าของบ้านจะอยู่เย็นเป็นสุข |
เดือนสี่ - หก | ให้หันปลายเสาไปทางทิศอาคะเนย์ เจ้าของบ้านจะมีโชคแล |
เดือนเก้า | ให้หันปลายเสาไปทางทิศหรดี จะเกิดความสงบสุขภายในบ้าน |
เดือนสิบสอง | ให้หันปลายเสาไปทางทิศพายัพจะเกิดความรุ่งเรือง |
เดือนสาม, ห้า, เจ็ด, แปด, สิบ, สิบเอ็ด | ไม่แนะนำให้ปลูกเฮือนเพราะเป็นเดือนต้องห้าม |
ถ้าปลูกเฮือนปีวอก หรือ ปีระกา | ให้เอาเทียน 3 เล่มไปผูกต้นเสาทางหัวนอนต้นใดก็ได้ จึงยกเสาลงหลุม |
บันไดทางขึ้นบ้านนั้น เราอาจจะเลือกทิศทางตั้งไม่ได้ตามทิศที่ดีตามโหราจารย์ท่านระบุ ด้วยสาเหตุของที่ดิน ทิศทางเข้าออก แต่ถ้าเลือกได้ควรจะเลือกให้อยู่ในทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้) ทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) ทิศอุดร (ทิศเหนือ) และทิศอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) แต่ถ้าเลือกไม่ได้ ในวันขึ้นบ้านใหม่ให้หาบันไดสำรองพาดตัวบ้านตามทิศที่ดีนั้น แล้วกระทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ เมื่อเสร็จพิธีก็ให้รื้อบันไดสำรองออกเสีย
เมื่อสร้างบ้านเฮือนสำเร็จเสร็จสิ้น โบราณอีสานจะต้องมีพิธีกรรมในการขึ้นเฮือนใหม่ เอาฤกษ์เอาชัยเพื่อความเป็นสวัสดิมงคล ซึ่งต้องคำนึงถึงทิศ และวันที่เหมาะสม พร้อมทั้งการถือสิ่งของอันเป็นมงคลขึ้นบ้านดังนี้
วันขึ้นบ้านใหม่ตามโบราณนิยมจะเป็นวันพุธ พฤหัสบดี และวันศุกร์ จะอยู่เย็นเป็นสุข และอย่าลืมดูยามที่เป็นมงคลประกอบด้วย ก่อนเวลาจะขึ้นบ้านใหม่จะแบ่งกลุ่มคนที่มาร่วมงานออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 มีจำนวนมากจะทำหน้าที่เป็นเจ้าของบ้านอยู่กับบ้าน ให้เตรียมตุ่มใส่น้ำพร้อมกระบวย เอาใบกล้วยมาวางไว้ที่ดินตรงทางขึ้นบันได เอาหินมาทับไว้แล้วคอยดูอยู่ อีกกลุ่มหนึ่งมีประมาณ 3 คน เป็นชายหนึ่ง หญิงสอง ผู้ชายเป็นหัวหน้าใหญ่ใส่กุบเกิ้ง (หมวกงอบใหญ่) พายถงย่ามใบใหญ่ ในถงนั้นจะมีสิ่ว ฆ้อน ของค้ำคูณที่เป็นมงคลเช่น คุด เขา นอ งาช้าง เป็นต้น ส่วนผู้หญิงสองคนนั้นจะหาบกระบุงสายยาว หรือกระต่า แต่งตัวด้วยผ้าถุงใส่งอบ และใส่เสื้อดำจุบคาม ในกระบุงที่หาบมาจะมีเงิน ทอง เสื้อ และของกินทุกอย่าง
พอได้เวลาหัวหน้าจะถือไม้เท้าและใส่กุบเกิ้งพายถงเดินออกหน้า พอมาถึงบ้านแล้วจะยืนมองดูนิดหนึ่ง แล้วพาลูกหาบหญิงทั้งสองเดินเวียนขวา (ให้บ้านอยู่ด้านขวามือ) 3 รอบ มาหยุดยืนอยู่ที่บันได ยังไม่ขึ้น พวกที่เป็นเจ้าของบ้านซึ่งคอยจ้องอยู่แล้ว ก็ทำท่าขึงขังร้องถามออกไปว่า
เจ้าของบ้าน | เฮ้ย แม่นไผ หาบกระดอนคอนกระต่า ขนข้าวของสิไปไส? | |
---|---|---|
พ่อพราหมณ์ | โอย พวกข้าน้อย มาแต่เมืองหมั่นคำทองพุ้นดอก ได้ยินข่าวว่า ลูกหลานปลูกเฮือนใหม่ใส่หญ้าเต็ม ว่าสิมาค้ำมาคูณให้ ความเจ็บบ่ให้ได้ ความไข้บ่ให้มี ให้อยู่ดีมีแฮง บ่ให้ทุกข์ บ่ให้ยาก บ่ให้อึดให้อยาก บ่ให้ขาด บ่ให้เขิน จักอันจักแนว | |
เจ้าของบ้าน | เออ คันสิมาค้ำมาคูณ ให้ลูกหลานคือว่านั่นได้หยังมาแหน่? | |
พ่อพราหมณ์ | ได้มาพร้อมเหมิดสู่อย่างสู่แนวนั่นหล่ะ | |
เจ้าของบ้าน | กุบส่องฟ้า ผ้าส่องดาว ได้มาบ่? | |
พ่อพราหมณ์ | ได้มา | |
เจ้าของบ้าน | ข้อยข้าหญิงชายได้มาบ่? | |
พ่อพราหมณ์ | เออ ข้อยข้า หญิงชาย เครื่องใช้ไม้สอย เงินคำ ถ้วย บ่วง ข่วง จอง ข้าวน้ำ ถ้ำปลา (ไหปลาแดก) แก้วแหวนแสนสิ่ง แม่นได้มาเหมิด | |
เจ้าของบ้าน | ของอยู่ของกินได้มาบ่? | |
พ่อพราหมณ์ | ได้มา | |
เจ้าของบ้าน | เหล้ายา ปลาปิ้ง ได้มาบ่? | |
พ่อพราหมณ์ | ได้มา | |
เจ้าของบ้าน | ความบ่อึด บ่อยาก บ่ทุกข์ บ่ยาก บ่ไข้ บ่หนาว ได้มาบ่? | |
พ่อพราหมณ์ | ได้มา | |
เจ้าของบ้าน | เออ คันเพิ่นมาค้ำมาคูณบ่ให้เจ็บ บ่ให้ไข้ บ่ให้อึด บ่ให้อยาก บ่ให้ทุกข์ บ่ให้ยากหยังจักแนวกะเชิญขึ้นมาพี้ |
จากนั้นพวกแขก หรือพ่อพราหมณ์ที่มาแต่เมืองมั่นคำทอง ก็จะเหยียบหินและล้างเท้า แล้วจึงก้าวขึ้นบ้าน เอาถงไปห้อยไว้ที่เสาแฮก ถงนี้จะเอาไว้ 7 วันจึงจะเอาออกได้ แต่ก่อนห้อยพ่อพราหมณ์จะหยิบเอาสิ่วกับฆ้อนออกมาจากถงย่าม แล้วเอาฆ้อนตีสิ่วเพื่อห้อยถง 7 ครั้ง และว่าคำค้ำคูณแต่ละครั้งดังนี้
"ตอกบาดหนึ่ง ให้ได้ฆ้องเก้ากำ ตอกบาดสอง ให้ได้คำเก้าหมื่น ตอกบาดสาม ให้ได้เล้าข้าวหมื่นมาเยีย ตอกบาดสี่ ให้ได้เมียสาวมานอนพ่างข้าง ตอกบาดห้า ให้ได้ช้างมาเทียมโฮง ตอกบาดหก ให้ได้ชายโถงมานอนเฝ้าเล้าข้าว ตอกบาดเจ็ด ให้ได้ผู้เฒ่ามานอนเฝ้าเฮือน โอมอุอะมุมะมูนมามหามูลมังสวาหุม" ตอกแล้วกะเอาถงห้อยไว้
ต่อจากนั้นทางฝ่ายเจ้าของบ้านก็จะบอกฝ่ายตนว่า "ไปเอาสาดเอาหมอนมาปูที่นอนต้อนรับพ่อใหญ่และพี่น้องที่แต่เมืองมั่นคำทองแม้สู" แล้วก็เอาสาดเอาเสื่อมาปูใกล้เสาห้อยถง และหันหัวไปทางห้อยถง ปูเสร็จแล้วกะเชิญพ่อใหญ่เมืองมั่นคำทองพักนอน
พ่อใหญ่ฯ จะนอนเอาผ้าคลุมหัวตลอดเท้า เจ้าของบ้านก็นอนเอาผ้าคุมหัวจดเท้าเช่นเดียวกัน แล้วทุกคนต้องทำเป็นล้มตัวลงนอนหลับพักผ่อน นอนกรน คร๊อกๆ สักครู่ให้คนใดคนหนึ่งส่งเสียงขันเช่นดังไก่ขัน 2 - 3 ครั้ง พ่อใหญ่และเจ้าของบ้าน รวมทั้งคนอื่นๆ ก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกัน
เจ้าของบ้านจะแก้ความฝันว่า "ฝันคืนนี้ฝันดีมีลาภ ฝันว่า พ่อใหญ่เอาไข่มาป้อนปันให้แต่เฮา เบิดกระบวน แล้วคนเมือเหมิดอ่อนฮ่อย ฝันว่านางนารถน้อยจูงแขนเข้าบ่อนนอน" เมื่อแก้ความฝันแล้วพ่อใหญ่มาแต่เมืองมั่นคำทอง ก็จะให้พรว่า "เออ นอนหลับให้เจ้าได้เงินพัน นอนฝันให้เจ้าได้เงินหมื่น นอนตื่นให้เจ้าได้เงินแสน มือแปนให้เจ้าได้แก้วมณีโชติ โทษฮ้ายอย่ามาพาน มารฮ้ายอย่ามาเบียน โอมสหมฯ"
คำว่า “บ้าน" กับ “เฮือน” (ความหมายเช่นเดียวกับ “เรือน”) สำหรับความเข้าใจของชาวอีสานแล้วจะต่างกัน คำว่า “บ้าน” มักจะหมายถึง “หมู่บ้าน” มิใช่บ้านเป็นหลังๆ เช่น บ้านโนนสมบูรณ์ บ้านนาคำแคน หรือบ้านดงมะไฟ เป็นต้น ส่วนคำว่า “ เฮือน” นั้นชาวอีสานหมายถึงเรือนที่เป็นหลังๆ นอกจากคำว่า “เฮือน“ แล้ว อีสานยังมีสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะการใช้สอยใกล้เคียงกัน แต่รูปแบบแตกต่างกันไป เช่น คำว่า “โฮง” หมายถึงที่พักอาศัยใหญ่กว่า “เฮือน” มักมีหลายห้อง เป็นที่อยู่ของเจ้าเมืองหรือเจ้าครองนครในสมัยโบราณ
คำว่า “คุ้ม” หมายถึง บริเวณที่มี “เฮือน” รวมกันอยู่หลายๆ หลัง เป็นหมู่อยู่ในละแวกเดียวกัน เช่น คุ้มวัดเหนือ คุ้มวัดใต้ และคุ้มหนองบัว เป็นต้น คำว่า “ตูบ” หมายถึง กระท่อมที่ปลูกไว้เป็นที่พักชั่วคราว มุงด้วยหญ้าหรือใบไม้
ชาวอีสานมีความเชื่อในการสร้างเรือนให้ด้านกว้างหันไปทางทิศตะวันออกและตะวันตก ให้ด้านยาวหันไปทางทิศเหนือและใต้ ซึ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่า วางเรือนแบบ “ล่องตาเว็น” (ตามตะวัน) เพราะถือกันว่า หากสร้างเรือนให้ “ขวางตาเว็น” แล้วจะ “ขะลำ” คือเป็นอัปมงคลทำให้ผู้อยู่ไม่มีความสุขบริเวณรอบๆ เรือนอีสานไม่นิยมทำรั้ว เพราะเป็นสังคมเครือญาติมักทำยุ้งข้าวไว้ใกล้เรือน บางแห่งทำเพิงต่อจากยุ้งข้าว มีเสารับมุงด้วยหญ้าหรือแป้นไม้ เพื่อเป็นที่ติดตั้งครกกระเดื่องไว้ตำข้าว ส่วนใต้ถุนบ้านซึ่งเป็นบริเวณที่มีการใช้สอยมากที่สุด จะมีการตั้งหูกไว้ทอผ้า กี่ทอเสื่อ แคร่ไว้ปั่นด้วย และเลี้ยงลูกหลาน นอกจากนั้นแล้ว ใต้ถุนยังใช้เก็บไหหมักปลาร้า และสามารถกั้นเป็นคอกสัตว์เลี้ยง ใช้เก็บเครื่องมือเกษตรกรรม ตลอดจนใช้จอดเกวียน
พิธีการยกเสาเอกของบ้าน เป็นความเชื่อที่สืบทอดกันจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อมีการก่อสร้างบ้าน อาคาร สำนักงาน และอื่นๆ อีกมากมาย คนไทยเรามักจะหาผู้มีความรู้ในพิธีการขึ้นเสาเอกมาช่วยในการทำพิธี ซึ่งก็มีหลายตำรับตามแต่ละท้องถิ่น เราสามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมได้ (ทุกตำรับล้วนแต่มีเคล็ลับ ความเชื่อดีๆ ทั้งนั้น) ทำไมต้องทำ ถ้าจะทำมีวิธีการ หรือต้องเตรียมการอย่างไร ไม่ยากครับทำตามนี้เลย
ให้นำหน่อกล้วย และอ้อย อย่างละหน่อ พร้อมผ้าสามสี และ/หรือผ้าขาวม้า มาผูกติดกับเสาต้นที่จะทำพิธีขึ้นเสาเอก ซึ่งอาจให้ช่างหรือคนงานเป็นคนจัดการให้ แต่บางที่เจ้าของบ้านก็จะทำการผูกเองขั้นต้นเพื่อความเป็นมงคล ซึ่งต้องผูกให้เสร็จเรียบร้อยก่อนฤกษ์ขึ้นเสาเอก ไม่งั้นจะไม่ทันหลังจากนี้ จะเป็นพิธีที่จะทำในวันขึ้นเสาเอก ซึ่งเราอาจเชิญพราหมณ์มาทำพิธีให้ ซึ่งเราก็เพียงตั้งโต๊ะรอ ของพิธีในส่วนของพราหมณ์ ท่านจะนำมาเอง หรือเราอาจเชิญพระที่วัดใกล้บ้านมาช่วยทำพิธี ซึ่งถ้าเชิญพระมา เราต้องตั้งโต๊ะและจัดจตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระ 1 ชุด และอาจจัดหาอาหารสำหรับฉันก่อนเพล แจ้งให้ท่านทราบ หรืออาจให้ผู้ใหญ่ที่เรานับถือมาเป็นประธานในพิธีก็ได้ หรือตัวเจ้าของบ้านเองเป็นหลัก และผู้อยู่อาศัย ถ้าครบทุกคนก็จะดีมาก
การตอกไม้มงคล 9 ชนิดในหลุมเสาก่อสร้างบ้าน
ซึ่งในพิธีของทางพราหมณ์ อาจมีลำดับขั้นตอนที่เพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงจากนี้ โดยให้ทางพราหมณ์เป็นผู้กำหนด ของที่ใส่ลงไปในหลุม สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์ทั่วไป อย่างไรก็ดี การขึ้นเสาเอก อาจถือเพียงฤกษ์ของวันและเวลาที่เป็นมงคล ส่วนการเตรียมของนั้น อาจไม่ต้องครบมากก็ได้ หาได้เท่าไหร่ ก็เท่านั้น และทำตามพิธีได้มากน้อยแค่ไหน ก็แค่นั้น อย่างน้อยที่สุดให้ถือฤกษ์วันและเวลา พร้อมไม้มงคลทั้งเก้าชนิด ตอกลงไปในหลุมสาเอกแค่นี้ก็พอได้
กระท่อมน้อยของอ้ายทิดหมู มักม่วน ตอนกำลังก่อสร้าง (ปี พ.ศ. 2554)
กระท่อมน้อยของอ้ายทิดหมู มักม่วน เสร็จเรียบร้อยต้นปี พ.ศ. 2555
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)