attalak isan

ปราสาทหิน

ปราสาทหิน เป็นศิลปะของชนชาติขอมหรือเขมร ซึ่งได้แผ่อิทธิพลเข้ามาเหนืออาณาจักรทวารวดีในดินแดนอีสาน ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 12 ศิลปะเขมรเกิดขึ้นภายใต้อิทธิพลศิลปะอินเดีย ในภาคอีสานพบศิลปะเขมรหลายแห่งและหลายยุคสมัย คือ กำแพงพระ พระโค บาแค็ง เกาะแกร์ บาปวน นครวัด และบายน จึงอาจกล่าวได้ว่า อารยธรรมเขมรมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต คติความเชื่อ และการสร้างศาสนาคารในอีสานอย่างยิ่ง

ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม วัสดุที่ใช้สร้างปราสาท ได้แก่ อิฐ ศิลาแลง หินทราย และไม้ เป็นเทวสถานที่คงทนอยู่ได้นาน ฝีมือการแกะสลักหินเป็นงานชั้นครู

ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและเป็นสัญลักษณ์ในการปกครองของเทวราชาที่กษัตริย์เป็นสมมติเทพ

ปราสาทหินพนมรุ้ง

ปราสาทหินถิ่นอีสาน

ปราสาทเขมร หรือ ปราสาทขอม เป็นศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ ที่สร้างขึ้นโดยอาณาจักรเขมร ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 เป็นต้นมา พบมากในประเทศกัมพูชา และในเขตอีสานใต้ของประเทศไทย ปราสาทขอมก่อสร้างด้วยวัสดุอิฐ หินทราย และศิลาแลง ด้วยศิลปะเขมร

จากหลักฐานทางโบราณคดีทำให้ทราบว่า ชนชาติเขมรเริ่มรวมตัวเป็นอาณาจักรหรือรัฐ มาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 6 โดยพัฒนามาจากเมืองท่าที่ติดต่อค้าขายกับอินเดีย มีความเจริญภายใต้พื้นฐานของอารยธรรมอินเดีย ใช้ชื่อว่า อาณาจักรฟูนัน มีอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง (เวียดนามตอนใต้) และแม่น้ำโขงตอนใต้ (กัมพูชา) จนถึงบางส่วนในบริเวณของภาคอีสานตอนใต้ของประเทศไทย โดยมีเมืองออกแก้ว (ตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนาม) เป็นเมืองท่าในการติดต่อค้าขาย และมีราชธานีนามว่า “วยาธปุระ” ใกล้เขาบาพนมในประเทศกัมพูชา

ต่อมาในปี พ.ศ. 1350 พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ได้ยกทัพขึ้นมาประกาศเอกราชจากอาณาจักรชวา และยังรวมอาณาจักรเจนฬาบกและเจนฬาน้ำที่แตกแยกเข้าด้วยกัน สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับอาณาจักรเขมรใหม่ และขนานนามใหม่ว่า เมืองกัมโพชน์ตะวันออก โดยแยกตัวมาจากอาณาจักรลโวทยหรือละโว้ หรือปัจจุบันเรียกว่า ลพบุรี พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ทรงตั้งราชธานีของเมืองกัมโพชน์ในบริเวณทางเหนือของทะเลสาบเขมร พระองค์ทรงขยายพระราชอำนาจเข้าไปถึงบริเวณลุ่มแม่น้ำบริเวณอีสานใต้ของประเทศไทยในจังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์และศรีสะเกษ

ปราสาทหินพิมาย

พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ทรงสถาปนา ลัทธิเทวราชา คือ ยกฐานะกษัตริย์ให้เป็นเทพเจ้า หรือเทวาราชาเป็นกษัตริย์สูงสุด เป็นการปูพื้นฐานระบบเทวราชาให้อาณาจักรอื่นๆ เป็นแบบอย่าง รวมถึงสยามซึ่งรับระบบนี้มาใช้ด้วยเช่นกัน ระบบเทวราชานี้มีส่วนทำให้พราหมณ์เข้ามามีบทบาทในราชสำนัก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญศิลปศาสตร์ต่างๆ และประกอบพิธีราชาภิเษกให้กับกษัตริย์

ลัทธิเทวราชา หรือ ระบบเทวราชา ต่างจากลัทธิไศวนิกายและไวษณพนิกาย คือ ก่อนหน้านั้นกษัตริย์เป็นเพียงมนุษย์ที่นับถือเทพเจ้า แต่ลัทธิราชานั้นถือว่ากษัตริย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเทพเจ้า คือเทพเจ้าแบ่งภาคลงมาจุติเป็นกษัตริย์นั่นเอง เมื่อกษัตริย์เสวยราชย์แล้วต้องกระทำ 3 สิ่ง คือ

  1. ขุดสระชลประทาน หรือที่เรียกว่า บาราย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขมรมีความยิ่งใหญ่ เพราะเนื่องจากเขมรก็ไม่นิยมตั้งถิ่นฐานใกล้แม่น้ำเท่าใดนัก ที่เมืองพระนครมีบารายขนาดใหญ่หลายบาราย เช่น บารายอินทรฏกะ
  2. กษัตริย์ต้องสร้างศาสนสถานบนฐานเตี้ยๆ อุทิศถวายบรรพบุรุษ หรือ ปราสาทสร้างบนฐานเตี้ยๆ เพียงชั้นเดียว เช่น ปราสาทพะโค ที่พระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับบรรพบุรุษของพระองค์
  3. ต้องสร้างศาสนสถานบนฐานเป็นชั้น หรือ ปราสาทแบบยกฐานเป็นชั้นสูงหลายชั้น เพื่อเป็นที่สถิตของเทพเจ้า หากเป็นศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย จะประดิษฐานศิวลึงค์เป็นสัญลักษณ์แห่งองค์พระอิศวร หรือ ศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกาย ก็จะประดิษฐานเทวรูปพระวิษณุ และมีความเชื่อว่าเมื่อกษัตริย์สิ้นพระชนม์ วิญญาณของพระองค์จะไปเสด็จรวมกับเทพเจ้า ณ ปราสาทที่พระองค์สร้างไว้นั่นเอง เช่น พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงสร้างปราสาทนครวัด อุทิศถวายแด่องค์พระวิษณุ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ก็มีพระนามว่า บรมพิษณุโลก

จากเหตุผล 2 ข้อหลังนี้เองที่เป็นประเพณีที่กษัตริย์เขมรทุกพระองค์ จะต้องสร้างปราสาทอย่างน้อยที่สุด 2 หลัง ส่วนรูปแบบของปราสาทขอมนั้นก็พัฒนารูปแบบมาจากศาสนสถานในประเทศอินเดีย ที่เรียกกันว่า ศิขร เป็นศาสนสถานของศิลปะอินเดียในภาคเหนือ และ วิมาน เป็นศาสนาสถานของอินเดียภาคใต้ นอกจากนี้ก็ยังได้รับอิทธิพลของ จันฑิ ศาสนาสถานในศิลปะชวาเมื่อครั้งที่อาณาจักรเจนฬาตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรชวา

ปราสาทหินพนมรุ้ง

ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้จึงก่อให้เกิดรูปแบบงานศิลปกรรมเขมรที่เรียกกันว่า ปราสาทขอม หรือ ศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ ที่มีความสวยงามและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดีเป็นอย่างยิ่ง และเนื่องด้วยปราสาทขอมเหล่านี้สร้างด้วยวัสดุที่เป็นอิฐ ศิลาทราย และศิลาแลง ซึ่งเป็นถาวรวัตถุจึงทำให้มีความคงทนจนถึงในปัจจุบัน

แต่ว่าปราสาทเขมร ก็มิได้มีเพียงในเขตแดนของประเทศกัมพูชาเท่านั้น ยังพบในบริเวณของประเทศลาว และประเทศไทย ซึ่งมีปราสาทเขมรอยู่มากมายเช่นกัน เนื่องจากในบางช่วงที่อาณาจักรเขมรมีความเข้มแข็ง ทำให้สามารถขยายอำนาจและดินแดนได้อย่างกว้างขวาง ด้วยเหตุนี้จึงมีปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นในดินแดนของประเทศอื่นๆ ด้วย

ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-17 จะพบว่า มีปราสาทหินในประเทศไทยมีรูปแบบคล้ายกับปราสาทในกัมพูชา เป็น ศิลปะขอมแบบคลัง (หรือเกลียง) - บาปวน สมัยเมืองพระนคร (พ.ศ. 1550 - 1630) และเป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ที่จัดเป็นศาสนสถานประจำเมือง มีโครงสร้างที่สำคัญ คือ ปราสาทประธานที่อยู่ตรงกลางอาจมีหลังเดียว เช่น ปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง หรือเป็นหมู่ 3 หลัง 5 หลัง หรือ 6 หลัง เช่น ปราสาทเมืองต่ำ ปราสาทสระกำแพงใหญ่ ปราสาทศีขรภูมิ

การกำหนดอายุของปราสาทในช่วงระยะเวลานี้ พิจารณาจากแผนผังของอาคารโดยรวม รวมทั้งรูปแบบของปราสาท เช่น มีการเพิ่มมุม และยอดปราสาทเป็นทรงพุ่ม สิ่งสำคัญที่ใช้ในการกำหนดรูปแบบ และอายุ ได้แก่ ลวดลายประดับที่ทับหลัง หน้าบัน และเสาประดับกรอบประตู ลักษณะที่จัดเป็นศิลปะแบบคลัง-บาปวน ซึ่งปรากฏอยู่มาก ได้แก่ ทับหลังที่ประกอบด้วยลายหน้ากาล คายท่อนพวงมาลัยอยู่ตรงกึ่งกลางด้านล่าง หน้ากาลมีลิ้นเป็นสามเหลี่ยม มีมือมายึด ท่อนพวงมาลัย มีภาพเล่าเรื่องเล็กๆ อยู่เหนือหน้ากาล เหนือท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้หรือลายกระหนกม้วนออกทั้ง 2 ข้าง ใต้ท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้ม้วนเข้า หากมีลายเฟื่องอุบะมาแบ่งท่อนพวงมาลัยออก เป็น 4 ส่วน จะจัดเป็นแบบคลัง แต่ถ้าไม่มี จะจัดเป็นแบบบาปวน

ส่วนใหญ่ของปราสาทขอมในประเทศไทยในสมัยนี้ จะพบลายดังกล่าวปะปนกันในศาสนสถานแหล่งเดียวกัน หรือในปราสาทหลังเดียวกัน ทำให้อาจกำหนดได้ว่า ศิลปะแบบคลัง-บาปวน ที่พบในประเทศไทยนั้น เป็นศิลปะต่อเนื่องสมัยเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ที่ปราสาทเมืองต่ำ ปราสาทสระกำแพงใหญ่

ไปเที่ยวนครวัด กัมพูชา

ภาพเมื่อคราวเว็บมาดเซ่อนำนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS ไปเยือนปราสาทนครวัด ที่เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา

ทับหลังในศิลปะแบบนครวัดส่วนใหญ่ จะนิยมสลักภาพเล่าเรื่อง ประกอบด้วยรูปบุคคลเล็กๆ เต็มพื้นที่ เช่น ที่ปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทศีขรภูมิ นอกจากนี้ ยังใช้หลักฐานของงานประติมากรรมประดับศาสนสถาน เป็นตัวกำหนดรูปแบบทางศิลปะ เช่น ประติมากรรมรูปบุคคลในศิลปะแบบบาปวน จะสังเกตได้จากทรงผมที่ถัก และเกล้าขึ้นไปเป็นมวยอยู่เหนือศีรษะ คางเป็นร่อง ชายผ้านุ่งด้านหน้าเว้าใต้พระนาภี ด้านหลังสูงขึ้นมาถึงกึ่งกลางหลัง ในขณะที่ศิลปะแบบนครวัดนิยมมงกุฎทรงกรวย มีเทริด (กระบังหน้า) และประดับเครื่องทรง

มีข้อสังเกตที่สำคัญทางด้านรูปแบบของปราสาทขอม ศิลปะแบบนครวัด ที่พบในดินแดนไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 ที่มีลักษณะเฉพาะเกิดขึ้น โดยอาจถือเป็นงานที่พัฒนาขึ้นในท้องถิ่น ได้แก่ การทำยอดปราสาทที่เป็นทรงพุ่ม เช่น ที่ปราสาทหินพิมาย และปราสาทพนมรุ้ง โดยเปลี่ยนการประดับชั้นหลังคาจากปราสาทจำลอง เป็นการประดับแผ่นหินที่อยู่ในรูปสามเหลี่ยม ที่เรียกว่า นาคปักแทน ซึ่งในปัจจุบันพบว่า ลักษณะดังกล่าว เกิดขึ้นในประเทศกัมพูชาก่อนแล้ว

หลักฐานที่น่าสนใจในช่วงระยะเวลานี้คือ ได้พบว่า มีการสร้างปราสาทที่มีความสำคัญ และมีขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมทั้งได้พบหลักฐานเกี่ยวกับการก่อสร้าง เช่น ศิลาจารึกที่กล่าวถึงพระนามผู้สร้าง ทำให้ได้ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ได้ในระดับหนึ่งว่า บริเวณภาคอีสานตอนล่างนี้เป็นดินแดนสำคัญของอาณาจักรขอม โดยในบางสมัยอาจมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวงที่มีบุคคลสำคัญมาปกครอง หลักฐานจากจารึกได้กล่าวถึง พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ซึ่งทรงสร้างปราสาทในแคว้นรอบนอกเมืองพระนคร หรือ "ดินแดนนอกกัมพุช" เช่น ปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทตาเมือนธม พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 ซึ่งทรงสร้างปราสาทหินพิมาย และนเรนทราทิตย์ ซึ่งสร้างปราสาทพนมรุ้ง

ปราสาทสำคัญในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 - 17 ที่ควรกล่าวถึง มีดังต่อไปนี้

  • ปราสาทเมืองต่ำ จังหวัดบุรีรัมย์ อยู่ที่ตำบลจระเข้มาก อำเภอประโคนชัย ปราสาทแห่งนี้ไม่พบประวัติการก่อสร้างและศิลาจารึก แต่จากรูปแบบศิลปกรรมจัดอยู่ในสมัยของศิลปะแบบคลัง-บาปวน ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 16 - ต้นพุทธศตวรรษที่ 17 มีรูปเล่าเรื่องที่ปรากฏบนทับหลังเป็นเรื่องในศาสนาฮินดู โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพระอิศวร เช่น พิธีสยุมพรพระอิศวร พระอุมามเหศวร (พระอิศวรและพระอุมาทรงโค) และเรื่องรองลงมา ได้แก่ พระกฤษณะ และเทพเจ้าประจำทิศ นอกจากนี้ได้ค้นพบศิวลึงค์ และประติมากรรมเทวสตรี (พระอุมา) จึงทำให้สันนิษฐานได้ว่า ศาสนสถานแห่งนี้สร้างขึ้นในลัทธิไศวนิกาย
    ปราสาทเมืองต่ำ
  • ปราสาทสระกำแพงใหญ่ จังหวัดศรีสะเกษ อยู่ที่อำเภออุทุมพรพิสัย จัดเป็นปราสาทขอมสำคัญแห่งหนึ่งที่พบในประเทศไทย มีอายุในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 16 มีหลักฐานการก่อสร้างจากศิลาจารึกที่กรอบประตูใน พ.ศ. 1585 กล่าวถึงการสร้างและอุทิศเทวาลัยแห่งนี้เพื่อถวายพระอิศวร ลักษณะแผนผังและลักษณะศิลปกรรม โดยเฉพาะลวดลายบนหน้าบันและทับหลัง จัดอยู่ในศิลปะขอมแบบคลัง-บาปวน เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย
    ปราสาทหินวัดสระกำแพงใหญ่
  • ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา อยู่ที่อำเภอพิมาย จัดเป็นศาสนสถานขอมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ชื่อ "พิมาย" มาจาก "วิมาย" ตามที่ปรากฏในจารึกที่กรอบประตูปราสาทว่า "กมรเตงชคตวิมาย" และ "พิมาย" เป็นชื่อของเมืองโบราณที่ปรากฏในศิลาจารึกมาแล้วตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 ที่กล่าวถึงเมือง "ภีมปุระ" และจารึกรุ่นหลังที่ปราสาทพระขรรค์ (พุทธศตวรรษที่ 18) กล่าวถึงเมือง "วิมายะปุระ" ดังนั้นปราสาทหินพิมาย และเมืองพิมายจึงเป็นศูนย์กลางทางศาสนา และเป็นเมืองที่สำคัญในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ที่ศิลปะขอมแพร่หลาย ในดินแดนไทย จากหลักฐาน ได้พบจารึก ที่กรอบประตูโคปุระด้านทิศใต้ระบุ พ.ศ. 1651
    แม้ว่าปราสาทหินพิมายจะเป็นพุทธสถานนิกายมหายาน แต่ภาพเล่าเรื่องที่ประกอบอยู่โดยรอบ กลับเป็นเรื่องเล่าของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ยกเว้นภาพเล่าเรื่องที่ประดับรอบห้องครรภคฤหะ ที่เป็นส่วนสำคัญของศาสนสถาน จึงเป็นเรื่องของพุทธประวัติในนิกายมหายาน
    ปราสาทหินพิมาย
  • ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ บางทีเรียกว่า "ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง" ตั้งอยู่ที่ตำบลตาเป็ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ตัวปราสาทตั้งอยู่บนภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว ดังนั้นจึงมีปากปล่องภูเขาไฟที่เป็นสระน้ำธรรมชาติ สำหรับปราสาทด้วย คำว่า "พนมรุ้ง" มาจากศิลาจารึกที่กล่าวถึงชื่อศาสนสถานแห่งนี้ว่า "วนํรุง" ซึ่งหมายถึง ภูเขาอันกว้างใหญ่ หรือรุ่งเรือง มีแสง
    ปราสาทพนมรุ้งเป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ประจำเมือง บริเวณรอบๆ ปราสาทแต่เดิม น่าจะเป็นที่ตั้งของชุมชนขนาดใหญ่ เพราะมีลำน้ำไหลผ่านหลายสาย และด้านล่างยังมีปราสาทเมืองต่ำ ที่มีบารายขนาดใหญ่สำหรับหล่อเลี้ยงชุมชน จัดเป็นศาสนสถานที่อยู่ในเส้นทางจากเมืองพระนครของเขมรมายังเมืองพิมาย เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย
    เรื่องราวที่ปรากฏอยู่บนทับหลังและหน้าบันที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ได้แก่ ทับหลังรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ ซึ่งครั้งหนึ่งได้ถูกลักลอบนำไปยังสหรัฐอเมริกา รัฐบาลไทยได้ติดตามทวงคืนกลับมาได้ และนำกลับมาติดตั้งในที่เดิม จากรูปแบบศิลปกรรมปราสาทพนมรุ้งจัดอยู่ในศิลปะแบบนครวัดตอนต้น (ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 17) ช่วงที่ยังมีการรักษารูปแบบของศิลปะแบบบาปวนอยู่ แต่คงสร้างขึ้นหลังปราสาทหินพิมายเล็กน้อย เพราะปราสาทหินพิมายยังมีลวดลายของศิลปะแบบบาปวนปรากฏอยู่มากกว่า
    ปราสาทหินพนมรุ้ง

มีการตามรอยเส้นทางซึ่งปรากฏอยู่ในบทประพันธ์เลื่องชื่อ La Voie royale ของ อ็องเดร มาลโรซ์ (Andre Malraux) นักเขียนหนุ่มชาวฝรั่งเศส ผู้ซึ่งหลงไหลศิลปะในดินแดนแห่งอารยธรรมขอมโบราณแถบนี้ ได้เดินทางเข้ามาสู่เมืองเสียมเรียบ ตามรอยเส้นทางที่แปลเป็นไทยว่า "ราชมรรคา" จากดินแดนปราสาทขอมในเขมรถึงปราสาทหินพิมายในประเทศไทย (จุดประสงค์จริงๆ ของเขานอกจากการเดินทางท่องเที่ยวก็คือ การเสาะหาศิลารูปนางอัปสรเพื่อนำกลับไปขายในยุโรป)

prasart hin 09

ภาพแสดงเส้นทาง "ราชมรรคา" จากเมืองพระนครในเขมร ถึง เมืองพิมาย ในประเทศไทย

บ้านมีไฟ คือ "ธรรมศาลา"  "ราชมรรคา" คือถนน เชื่อมถิ่นฐาน
ชัยวรมัน สร้างไว้ เป็นตำนาน  ยุคโบราณ อาณาจักร นครธม

จากศูนย์กลาง แยกทาง เป็นห้าสาย  มีเสาราย เรียงสลัก งามสวยสม
ถนน สะพาน สเปียนใหญ่ ข้ามสายชล  เป็นที่คน ชนสัญจร รอนเดินทาง

ราชมรรคา เชื่อมโยง สองแผ่นดิน  จากพื้นถิ่น โตนเลสาบ เมืองศูนย์กลาง
ผ่านช่องจอม มีตาเมือน เรือนพักทาง  พอรุ่งสาง ผ่านบ้านบุ ลุพิมาย

ธรรมศาลา มีไว้ ให้คนพัก  เป็นบ้านหลัก มีไฟ ไล่อันตราย
เป็นจุดตรวจ ป้องกันภัย มิกล่ำกลาย  ตั้งเรียงราย ตามถนน "ราชมรรคา"

คัดลอกและสำเนาจาก : คุณวรนัย, http://oknation.nationtv.tv/blog/voranai

"เส้นทางสายราชมรรคา" ทั้ง 5 สายที่สร้างขึ้นในรัชสมัย พระเจ้ายโศวรมันที่ 1 แผ่ขยายออกไปทุกทิศทางจาก "นครธม" หรือ "เมืองพระนคร" เป็นเส้นทางสายสำคัญดังนี้

  1. จากเมืองพระนคร - ปราสาทพิมาย  ประเทศไทย
  2. จากเมืองพระนคร - ปราสาทวัดภู แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว
  3. จากเมืองพระนคร - สวายจิก
  4. จากเมืองพระนคร - ปราสาทพระขรรค์  กำปงสวาย
  5. จากเมืองพระนคร – กำปงธม

เส้นทางจาก เมืองพระนคร หรือ นครธม มายัง เมืองพิมาย หรือ วิมายะปุระ ประเทศไทย ถือเป็นเส้นทางที่ยาวและไกลที่สุด สาเหตุที่ต้องมีการเดินทางไกลขนาดนั้น ข้อมูลส่วนหนึ่งระบุชัดเจนว่า "ไม่ใช่การขยายหรือเผยแพร่อาณาจักร แต่เป็นไปเพื่อเสาะแสดวงหาและแลกเปลี่ยนทรัพยากรเหล็กและเกลือ" ซึ่งมีมากในแถบอีสานบ้านเราในปัจจุบัน นอกจากนี้ อีกหนึ่งความเชื่อที่สำคัญคือ การสร้างบารมีและความยิ่งใหญ่ด้วยการทำนุบำรุงพระศาสนา ก็เป้นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เราพบ ความเชื่อมโยง พุทธ และ ฮินดู บนเส้นทางสายปราสาทนี้เสมอแบบแยกกันไม่ขาด

prasart hin 10

การเดินทางที่ไกลนี้เอง กษัตริย์ขอมในสมัยนั้น จึงให้ปลูกสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกตลอดรายทาง สำหรับผู้ที่ต้องสัญจรบนถนนทั้ง 5 สาย สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นมีทั้งศาสนสถาน โรงพยาบาลหรือเรียกว่า "อโรคยาศาลา" และบ้านพักคนเดินทาง เรียกว่า "ธรรมศาลา"

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : จากพิมายถึงชายแดนเขมร ตามรอยเส้นทางราชมรรคา (The Royal Route)

ถนนโบราณ สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จากเมืองพระนคร สู่พิมาย I ประวัติศาสตร์นอกตำรา

redline

backled1