- Details
- Written by: ทิดหมู มักหม่วน
- Category: Drama Acting
- Hits: 21883
ในการทำเครื่องดนตรีอีสานประเภทเครื่องเป่าอย่าง "แคน" หรือ "โหวด" จะมีการนำท่อเสียงที่ทำจากไม้ไผ่ หรือที่เรียกกันว่า "ลูกแคน" มารวมกันเป็นมัดสอดเข้าไปใน "เต้าแคน" จะอุดด้วยวัสดุธรรมชาติที่เรียกว่า "ขี้สูด" เพื่อไม่ให้ลมเล็ดลอดออกมาตามช่องว่างระหว่างเต้าแคน บังคับให้ลมไหลผ่านลิ้นแคนให้เกิดเสียงต่างๆ "ขี้สูด" นี้จะมีความเหนียว ชุ่มชื้น ไม่แห้ง เป็นกาวธรรมชาติที่หาได้ไม่ยาก เป็นภูมิปัญญาของคนอีสานโบราณ
มาทำความรู้จักกับแมลงที่ทำหน้าที่ผลิตขี้สูดกัน
ชื่อ : แมงสูด , แมงขี้สูด (นักพรตแห่งโพนปลวก)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tetragonisca ,Trigona apicalis และ Trigona Collina
วงศ์ : Stingless bee
แมงสูด เป็นชื่อของแมลงชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในตระกูลผึ้ง มีขนาดลำตัวเล็กๆ และไม่มีเหล็กในในตัวเอง นิสัยเป็นมิตร ไม่ดุร้าย มีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกับผึ้ง มีวรรณะ เช่น มี นางพญา (แม่รัง) สูดงาน (ไม่มีเพศ) และ สูดสืบพันธุ์ (มีทั้งตัวผู้ตัวเมีย) สามารถผลิตน้ำหวาน และขยายเผ่าพันธุ์ได้ ทางภาคเหนือจะเรียกว่า “แมลงขี้ตึง” แปลว่า แมลงที่ผลิตหรือเก็บน้ำยางได้ ทางภาคอีสานเรียก "แมงขี้สูด” นิยมนำมาอุดแคน หรือถ่วงเสียงเครื่องดนตรีเกือบทุกชนิด ทำให้เกิดเสียงไพเราะ ส่วนภาคใต้เรียกตัว “อุง” สำหรับภาคกลาง รู้จักในชื่อตัว “ชำมะโรง" หรือ “ชันโรง”
บางครั้งทำรังในระดับทางเดินของคน มีชื่อเรียกภาษาอีสานว่า "สูดเพียงดิน” หมายถึง แมลงชนิดนี้ทำรังระดับเดียวกันกับพื้นดิน แล้วทำท่อขึ้นมาจากพื้นดินครับ ซึ่งปกติแล้วแมลงชนิดนี้มักจะทำรังในที่สูงครับ เช่น โพรงไม้หรือจอมปลวกครับ ”สูดเพียงดิน” นี้ค่อนข้างจะหายากครับ ถ้าใครเจอให้เก็บไว้เลยนะครับเป็นของดีเอามาใส่เครื่องดนตรีชนิดใด ก็ไพเราะจนคนไหลหลง อีกทั้งผู้ร่ำเรียนไสยศาสตร์ มักจะนำไปปลุกเสกเป็นมหานิยม แล
ขี้สูด คือ อะไร (ทำไมต้องสูด)
ขี้สูด เป็นแมลงสังคม (Social insect) กลุ่มเดียวกับผึ้ง ลักษณะที่สำคัญแตกต่างกันไปจากผึ้ง คือ เป็นผึ้งขนาดเล็กที่ไม่มีเหล็กใน เป็นแมลงที่เชื่อง ไม่ดุร้ายกับศัตรู บางชนิดขี้อาย ชอบหลบอยู่ในรูหรือโพรงไม้ อยู่ในวงศ์ผึ้ง กลุ่มนี้ว่า "Stingless bee" สามารถสร้างน้ำหวานได้เช่นกัน คำว่า "ขี้สูด" เป็นชื่อเรียกพื้นเมือง (Verrnacular name) ทั่วไปของภาคอีสาน ที่มาของคำนี้สันนิษฐานว่า น่าจะมาจากลักษณะการสร้างรัง เนื่องจากแมลงกลุ่มนี้ได้เก็บหา ยาง (gum) ชัน (resin) ของต้นไม้ แล้วนำมาอุดยาชันรอบๆ ปากรังและภายในรัง เพื่อป้องกันน้าไหลซึมเข้าไปภายในรัง และยังเป็นการป้องกันศัตรูบริเวณปากรัง
ตัวอ่อนเมื่อกินน้ำหวานแล้ว จะขับถ่ายเกสร หรือยางไม้ออก พวกวรรณะงาน (ตัวสูดไม่มีเพศ) จะขนถ่ายเศษเหล่านั้นไปสะสมไว้ใต้รัง ส่วนนี้เองที่เรียกว่า ”ขี้สูด” เนื่องจากมีกลิ่นหอมแปลกๆ จากยางไม้ดอกไม้นาๆ ชนิด หากจับต้องแล้วเป็นต้องดมสูดกลิ่นอันนี้ ประหลาดแท้ จึงเรียกว่า ขี้สูด อีกอย่าง สมัยโบราณ ไม่มีส้วม จึงอาศัยตื่นแต่เช้า ไปขี้ (ขับถ่าย) อยู่ข้างโพน บังเอิญเจอแมงอันนี้ จึง โก่งโก้ย ไปสูดดมปล่องรัง ได้ทั้งกลิ่นขี้ได้ทั้งกลิ่นน้ำหวาน แมงอันนี้ จึงตั้งชื่อว่า "แมงขี้สูด" นั่นเอง
ลักษณะสัณฐานวิทยาของ แมงขี้สูด
สำหรับขนาดตัวของแมงขี้สูดโดยเฉลี่ยมีขนาดเล็กกว่าผึ้งพันธุ์ประมาณ 2-3 เท่า เป็นแมลงที่รวมกันอยู่เป็นสังคมเช่นเดียวกับ ผึ้งรวง (ผึ้งมิ้ม ผึ้งหลวง และผึ้งเลี้ยง) ภายในสังคมแบ่งออกเป็น 3 วรรณะ คือ นางพญา (Queen) ตัวงาน (Worker) และตัวสืบพันธุ์ (Male) โดยที่ขนาดลำตัวระหว่างนางพญา กับตัวงานมีขนาดแตกต่างกันมาก ตัวสืบพันธุ์มีขนาดใกล้เคียง หรือเล็กกว่านางพญาเล็กน้อย
ลักษณะทั่วไปของนางพญา
ส่วนหัวมีตารวม มีหนวด 1 คู่ ตาเดี่ยว 3 ตา ช่วงท้อง (Metasoma) ไม่เป็นรูปปิระมิดมีลิ้นเป็นงวงยาว ขา3 คู่ ขาคู่หน้าและคู่กลาง ค่อนข้างเล็กขาหลังเรียวไม่แผ่แบน ไม่มีเหล็กใน
ลักษณะทั่วไปของแมงสูดงาน
ตัวของ”สูดงาน”ตัวงานมีจำนวน 12 ปล้อง มีคล้ายนางพญาแต่ขนาดลำตัวเล็กกว่า กรามพัฒนาดีต่อการใช้งาน ขาคู่หลังแผ่กว้างเป็นใบพายมีขนจำนวนมาก รูปร่างคล้ายหวีสำหรับใช้เก็บละอองเรณูของดอกไม้ มีปีกปกคลุมยาวเกินส่วนท้อง และไม่มีเหล็กใน
ลักษณะทั่วไปของแมงขี้สูดสืบพันธุ์
ลำตัวมีจำนวน 13 ปล้อง คล้ายนางพญา มีขนาดเล็กกว่า หรือใกล้เคียงกัน ตารวมเจริญพัฒนาดี กรามพัฒนาไม่ดีพอต่อการใช้งาน หนวดยาวกว่า วรรณะทั้งสอง โค้งเว้าเป็นรูปดัวยู ปลายส่วนท้องปล้องสุดท้ายมีครีบสำหรับผสมพันธุ์ (genitalia) ส่วนของขาคล้ายกับ “สูดงาน“ แต่ขาคู่หลังของชันโรงตัวผู้เล็กกว่า
รังและพฤติกรรมการสร้างรัง
ลักษณะรัง การสร้างรังในป่าธรรมชาติเกิดจากการที่สูดวรรณะงานบางตัว เสาะหาแหล่งที่จะสร้างรังใหม่ เนื่องจากประชากรในรังเก่ามาก แออัด และมีนางพญารุ่นลูก (daughter queen) เกิดขึ้นมา ทำให้ต้องแยกรังออกไปสร้างใหม่ ซึ่งพฤติกรรมนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ฤดูผสมพันธุ์ของมัน การสร้างรัง ขึ้นอยุ่กับแต่ละชนิด แต่ละชนิดเลือกสถานที่สร้างรังต่างกัน สามารถแยกลักษณะของการสร้างออกได้ 4 กลุ่มมีดังนี้
- กลุ่มที่สร้างอยู่รูอยู่ตามชอกหลืบต้นไม้ที่มีโพรงของต้นไม้ขนาดใหญ่ ทั้งที่ยืนต้นมีชีวิตอยู่ และยืนต้นตาย (Trunk nesting) เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดที่พบในบ้านเรา เช่น “แมงขี้สูดโกน” (Trigona apicalis)
- กลุ่มที่สร้างรังอยู่ในโพรงใต้ดิน (Ground nesting) โดยรังจะถูกสร้างอยู่ใต้ดินบริเวณจอมปลวก ชนิดที่พบในบ้านเรา คือ ”ขี้สูดโพน” (Trigona Collina)
- กลุ่มที่สร้างรังอยู่ในโพรงตามพื้นดิน เรียกว่า “สูดเพียงดิน“
- กลุ่มที่ทำรังตามหลืบ รอยแตกของต้นไม้ กิ่งไม้ หรือ รูเล็กๆ ตามต้นไม้ ตามธรรมชาติ หรือทำรังในโพรงต้นไม้ กลุ่มนี้มีตัวเล็กกว่า ชนิดที่ผ่านมา เรียกว่า "แมงน้อย"
แมงขี้สูดนี้จะสร้างปากรังออกมาเป็นหลอดกลม หรือแบนที่สร้างด้วยยางหรือชันไม้ โดยที่แมงสูดแต่ละชนิดจะมีรูปร่างปากรูใกล้เคียงกัน หรือแตกต่างกันไปตามชนิดของมัน ภายในรังมีการสร้างเป็นเซลล์ หรือ หน่วยๆ เพื่อให้นางพญาวางไข่ และตัวงานเก็บ ละอองเรณู น้ำหวาน เพื่อใช้เลี้ยงตัวอ่อน เซลล์เรียงตัวเป็นชั้นๆ ไปตามแนวนอน ตามพื้นที่ภายในรังจะอำนวย วกวนไปมาหลายๆ ชั้นโดยที่ผนังเซลล์แต่ละหน่วยถูกสร้างเป็นผนังบางๆ จากชันยางไม้ผสมไขที่ชันโรงสร้างเคลือบเอาไว้ ภายในรังสามารถแยกเซลล์ออกเป็น หลอดนางพญา หลอดตัวงาน หลอดเก็บเกสร และหลอดเก็บน้ำหวาน และท้ายสุดหลอดที่เก็บขี้สูด
การเกี่ยวข้องในวิถีชีวิตชาวอีสาน
สมัยผู้เขียนยังเป็นเด็กน้อยเวลาไปทุ่งนากับพ่อ ชอบไปดูตามจอมปลวกเหนือโพนด้วยความอยากรู้ ไปเจอรังของแมลงเล็กๆ ถามพ่อว่าเป็นรังอะไร พ่อบอกว่าเป็นรังของแมงสูด หรือตัวขี้สูด พ่อบอกว่าเมื่อออกพรรษาแล้ว ชาวบ้านจะมาหาขุดหาเอาน้ำหวานจากรังของมัน รวมทั้งเอา “ขี้สูด” เพื่อเอาไปทำประโยชน์ต่างๆ เช่น อุดเต้าแคน อุดเต้าโหวด ใช้ยึดติดขั้น (Frets) ของพิณ หรือซุง ซึ่งจะสามารถเลื่อนไปมาได้ ตามความต้องการของผู้ดีดที่ประสงค์จะให้เสียงลายพิณตรงกับเสียงที่ต้องการในแต่ละลายที่ดีด (ไม่ตายตัวเหมือนกีตาร์ฝรั่ง)
พอโตขึ้นได้เที่ยวไปตามหมู่บ้านต่างๆ ไปเจอชาวบ้านใช้คุไม้ใส่น้ำ ที่สานจากไม้ไผ่เอาชันยามาทาเคลือบไว้ ทำให้บรรจุน้ำได้ไม่รั่ว เมื่อใช้ไปนานๆ อาจมีรูรั่วก็จะใช้ขี้สูดอุดไว้กันน้ำรั่ว เวลาเล่นว่าวจุฬา เอาขี้สูดติดตรงรอยต่อของ ”สะนูว่าว” ปล่อยว่าวลอยลมขึ้นฟ้า เสียง "สะนู" ดังก้องท้องทุ่งทั้งคืน แคนที่เป็นเครื่องดนตรีดึกดำบรรพ์ของโลก ก็เอาขี้สูดติดที่เต้าแคนกับลำแคนที่ทำมาจากต้นไม้ไผ่เหี้ย โหวตเครื่องเป่าก็ใช้ขี้สูดติด รวมทั้งการทำหน้ากลองยาว กลองกิ่ง ชาวบ้านก็เอาขี้สูดติดเพื่อถ่วงเสียงให้ได้ตามที่ต้องการ
กลิ่นของขี้สูดมักมีกลิ่นหอมแปลกๆ ของยางไม้หรือเกสร อนึ่งบนหิ้งพระของปู่ มีก้อนขี้สูดเพียงดิน ปั้นเป็นรูปพระ แกเล่าว่า ผ่านการปลุกเสกมาแล้ว เอาไว้ทำมาค้าขาย เมตตามหานิยม เป็นของดี
ทำแคนดีต้องมีขี้สูด : ซีรีย์วิถีคน
จะเห็นได้ว่า “ขี้สูด” ข้องเกี่ยวทางวิถีอีสานหลายอย่าง ยกแคนขึ้นมาเป่า เอากลองมาตี เอา “โตดโต่ง “ (พิณ) มาดีด ก็จะได้กลิ่น "ขี้สูด” เอา “สะนู” มาเล่นยามลมห่าว ก็มีขี้สูดติด นับว่าเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม หลายอย่าง อีกทั้งแมลงชนิดนี้ช่วยในการผสมเกสร ดอกไม้ต่างๆ ทำให้ผลไม้ติดผลดี นิสัยก็ไม่ดุร้าย ไม่เคยทำลายใคร ดังนักพรตแห่งจอมปลวก เครื่องดนตรีของภาคอีสาน ล้วนต้องมีขี้สูดข้องเกี่ยวทั้งนั้น เสมือนจะบอกว่า
ดนตรีมิเคยทำร้ายใคร มีแต่เอิบอิ่มเติมเต็ม ดังเช่นนิสัยแมงขี้สูด... "
รายการ Foodwork ThaiPBS : น้ำผึ้งชันโรง
- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Drama Acting
- Hits: 38954
ซอกันตรึม หรือ ตรัวกันตรึม เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสีที่มีบทบาทสำคัญในวงกันตรึมของอีสานใต้มาช้านาน คันทวน หรือ ตัวซอ ทำจากไม้หลากชนิดที่หาได้ในท้องถิ่น กล่องเสียง ขึงด้วย หนังงูเหลือม หรือหนังจำพวกตะกวด มีช่องเสียง อยู่ด้านตรงข้ามหน้าซอ ใช้สายลวดมี 2 สาย คันชักอยู่ระหว่างสาย คันซอยาวประมาณ 60 เซนติเมตร มีลูกบิดอยู่ตอนนอกซอใช้รัดด้วยเชือก มีคันชักผูกเชือกหางม้า หรือไนล่อนทำหน้าที่ถูลงบนสายโลหะจำนวน 2 สาย ที่พาดขึงในลักษณะเดียวกันกับซอในภาคกลาง เพื่อให้เกิดเสียงดังกังวาล บางครั้งจะเห็นมีการดัดแปลงประยุกต์กะโหลกซอ โดยใช้กระป๋องหรือปี๊บ ซึ่งอาจเรียกแทนว่า ซอกระป๋องหรือซอปี๊บได้
ซอกันตรึม นั้นมีขนาดที่แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้งาน โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ขนาด คือ
- ตรัวจี้ เป็นซอที่มีขนาดเล็กที่สุด เทียบเสียงเป็น คู่ 5
- ตรัวเอก เป็นซอขนาดกลาง เทียบเสียงเป็นคู่ 4
- ตรัวทม เป็นซอขนาดใหญ่ เทียบสายเป็นคู่ 5
วงดนตรีกันตรึมพื้นบ้านแบบเดิม มีเครื่องดนตรีครบชุด ประกอบด้วย กลองกันตรึม 2 ลูก ซอตรัวเอก 1 คัน ปี่อ้อ 1 เลา ขลุ่ย 1 เลา ฉิ่ง 1 คู่ กรับ 1 คู่ ผู้เล่นมีประมาณ 6 - 8 คน และมีนักร้องชาย - หญิง โดยทั่วๆ ไป มักนิยมให้มีชาย 2 คน หญิง 2 คน ถ้าเครื่องดนตรีไม่ครบตามที่กล่าวไว้ วงกันตรึมบางคณะก็อาจจะอนุโลมให้มีเครื่องดนตรีดังนี้ กลองกันตรึม 1 ลูก ซอกันตรึม 1 คัน ฉิ่ง 1 คู่ ซึ่งก็จะมีนักดนตรี เพียง 4 คน และอาจจะมีนักร้องฝ่ายชาย 1 คน และฝ่ายหญิง 1 คน ซึ่งถ้าฝีมือคนเล่นซอมีความสามารถเป็นพิเศษ บรรเลงได้ไพเราะก็จะได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน ถือว่าครบชุดเป็นวงดนตรีพื้นเมืองได้

การใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านของชาวอีสาน มักจะประดิษฐ์ขึ้นให้สอดคล้องกับธรรมชาติของเสียง ในการบรรเลงที่มีเสียงต่ำ ก็จะใช้ซออู้แทน เพื่อให้คล้ายคลึงกับเสียงผู้เฒ่า ใช้ซอด้วงแทนเสียงหนุ่มสาว ซออี้ แทนเสียงธรรมชาติ เช่น สายลมพัดพลิ้ว
บรรเลงซอกันตรึมซิ่ง โดย อาจารย์กิ่ง ไพโรจน์ซาวด์
ลักษณะของซอกันตรึม
ซอกันตรึม เป็นซอ 2 สาย มีช่วงเสียงกลาง มีขนาดเล็กกว่าซออู้ มีคันชักติดอยู่กึ่งกลางระหว่างสายทั้ง 2 ที่เรียกว่า สายเอก และสายทุ้ม กะลามะพร้าวที่นำมาแกะและขึ้นหน้าซอกันตรึมนั้น มักนิยมใช้กะลาชนิดพิเศษ รูปร่างกลม รี ขนาดใหญ่ ตัดปาดกะลาออกเสียด้านหนึ่ง แล้วใช้หนังแพะ หรือหนังลูกวัวขึงขึ้นหน้า กว้างประมาณ 9-10 เซนติเมตร เจาะกะโหลกทะลุตรงกลาง ทั้ง 2 ข้าง สอดคันทวนเข้าไปในรูผ่า ทะลุออกมา คันทวนทำด้วยไม้จริง เช่น ไม้ประดู่ ไม้ชิงชัน ขนาดยาวประมาณ 80 เซนติเมตรขึงสายไหมหรือเอ็นที่ปลายลูกบิด 2 เส้น สายเสียงต่ำอยู่ด้านบน สายเสียงสูง (สายเอก) อยู่ด้านล่าง ลูกบิดยาวประมาณ 17-18 เซนติเมตร นำเชือกหรือด้ายป่าน ผูกตรงกึ่งกลางคันทวน เรียกว่า "รัดอก" ที่ด้านหน้าซอ ใช้ไม้ที่มาตัดประมาณ 3 เซนติเมตร เรียกว่า หย่อง
ซอกันตรึม นั้นมีลักษณะออกแนวหวานซึ้ง อ้อยอิ่ง มักใช้เป็นเครื่องดนตรีนำของเพลงต่างๆ สำหรับส่วนประกอบของซอกันตรึมนั้น มีดังนี้
- กะโหลกซอ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ไม่ต่างจากเครื่องดนตรีประเภทซอชนิดอื่นๆ กะโหลกซอของซอกันตรึมจะทำจากกะลามะพร้าว ตัดส่วนที่เรียกว่า "พู" ออก แล้วขึงด้วยแผ่นหนังงูเหลือม ด้านหลังกะโหลกเจาะรูให้เสียงผ่าน ใช้เป็นตัวสะท้อนของเสียงให้ซอมีความกังวาน กะโหลกซอทำหน้าที่เป็นตัวกำหนดคุณภาพของเสียงที่มาจากสายซอ ตรงหน้ากะโหลกส่วนที่ขึงด้วยหนัง ติดหย่องทำจากไม้เหลาบาง สำหรับรองหนุนสาย
- คันซอ บ้างเรียก ทวนซอ เป็นลักษณะของไม้เหลายาวเรียว ขนาดเหมาะมือ สำหรับเสียบทะลุกับกะโหลกซอ ทำเป็นโครงของซอ ส่วนบนของคันซอแกะเป็นร่องสำหรับเสียบลูกบิด ถัดจากส่วนของลูกบิด มักเหลาให้โค้ง หรือสลักลวดลายต่างๆ รวมถึงประดับวัสดุบางชนิดเพี่อความสวยงาม
- คันชัก เป็นส่วนที่ทำให้เกิดเสียง โดยการนำเอาไปเสียดสีกับสายซอ ส่วนของคันชัก ทำจากไม้เหลายาวเรียว แกะด้ามจับให้เหมาะมือ ตรงกลางดัดให้โก่งคล้ายคันธนู แล้วขึงด้วยเส้นเอ็นจำนวน 250 – 300 เส้น ส่วนนี้เรียกว่า หางม้า ใช้เป็นส่วนที่เสียดสีทำให้เกิดเสียง คันชักของซอกันตรึมจะถูกพาดอยู่ภายในสายซอเป็นชุดเดียวกันไปเลย ไม่สามารถแยกออกจากันได้
- รัดอก เป็นส่วนของเส้นเอ็น หรือไนล่อน ที่มัดสายซอเข้ากับคันซอ เป็นส่วนที่ใช้มือกดเพื่อคุมโน้ตเสียงตามคีย์ต่างๆ ของเพลงแต่ละเพลง
- ลูกบิด เป็นส่วนของไม้เหลา ปลายแหลม สำหรับเสียบทุลุคันซอที่แกะไว้ เพื่อขึงสายซอ เป็นส่วนที่ใช้ควบคุมความหย่อนหรือตึงของสายซอ โดยมากลูกบิดทำจากไม้ธรรมดา แต่อาจแกะเป็นลวดลายต่างๆ เพื่อความสวยงามได้
- สายซอ ทำจากสายเอ็นหรือไนล่อน มี 2 สาย สายเอ็น คือส่วนกำเนิดเสียงของซอโดยการเสียดสีกับคันชัก จากนั้นเสียงที่เกิดขึ้นจะไปสะท้อนที่กะโหลกซอ ทำให้เสียงที่ได้มีลักษณะกังวาน
กันตรึมดนตรีวิถีอีสานใต้
หนุ่มสุรินทร์ "อนุชา ทวีเหลือ" ผลิต ซอกันตรึม ขายรายได้ดี
[ อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง : ซออีสาน ]
- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Drama Acting
- Hits: 39657
"กันตรึม" เป็นรูปแบบของการละเล่นดนตรีพื้นบ้าน ของชาวไทยเชื้อสายเขมรในเขตอีสานใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดชายแดนติดต่อกับประเทศกัมพูชา คือ จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ เป็นดนตรีที่ใช้ประกอบการร่ายรำพื้นเมือง ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีอันเป็นเอกลักษ์คือ ซอ ปี่ สก๊วล (กลองโทนกันตรึม) และใช้คำร้องเป็นภาษาเขมร โดยในยุคหลังๆ จะมีเครื่องดนตรีอีเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่เข้ามาประสมด้วย เช่น กีตาร์ คีย์บอร์ด และกลองชุด บ้างก็ใช้คำร้องเป็นภาษาอีสานเข้าผสมด้วย เพื่อสื่อให้เข้าถึงผู้ฟังในถิ่นอื่นๆ กันตรึมถือเป็นแม่บทของเพลงพื้นบ้าน และการละเล่นพื้นบ้านอื่นๆ ในแถบอีสานใต้
นักร้อง นักดนตรี แนวกันตรึมที่มีชื่อเสียง เช่น เฉลิมพล มาลาคำ, คง มีชัย (หรือ ร็อคคงคย), ดาร์กี้ กันตรึมร็อค, น้ำผึ้ง เมืองสุรินทร์, เจน สายใจ เป็นต้น
ตามประวัติแต่โบราณนั้นใช้สำหรับการขับร้องประกอบการร่ายรำ บวงสรวง รำคู่ และรำหมู่ ต่อมามีวิวัฒนาการของการเล่น คล้ายกับการเล่นเพลงปฏิพากย์ในภาคกลาง เป็นดนตรีพื้นบ้านทีมีโทน (สก๊วล หรือกลอง) ที่เรียกว่า “กลองกันตรึม” เป็นหลัก เมื่อตีเสียงโทนจะออกเป็นเสียง "โจ๊ะ-คะครึม-ครึม" จึงเรียกดนตรีนี้ว่า กันตรึม หรือ โจ๊ะกันตรึม การเล่นจะเริ่มด้วยบทไหว้ครูเพื่อระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระวิศวกรรม ครูบาอาจารย์ และเริ่มทักทายกัน เล่นได้ทุกโอกาส ไม่กำหนดว่าเป็นงานมงคลหรืออวมงคล กล่าวกันว่า ท่วงทำนองของเพลงกันตรึมมีกว่า 100 ทำนอง บทเพลงจะเกี่ยวกับเรื่องเบ็ดเตล็ด ตั้งแต่เกี้ยวพาราสี โอ้โลม ชมธรรมชาติ แข่งขันปฏิภาณถาม-ตอบปัญหา สู่ขวัญ เล่าเรื่อง ฯลฯ
กันตรึม เป็นการละเล่นที่มีดนตรีประกอบเป็นตัวนำคำร้อง ถือว่าดนตรีประกอบมีความสำคัญและมีบทบาทมากที่สุด ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ส่วนคำร้องเป็นของชาวเขมรสูง (ในทีนี้หมายถึงในสามจังหวัด คือ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ ส่วนชาวเขมรในกัมพูชาจะเรียกว่า เขมรต่ำ) จากการสืบประวัติการเล่นกันตรึมไม่ค่อยได้รายละเอียดมากนัก ทราบแต่เพียงว่า การเล่นแบบนี้ได้รับการถ่ายทอดมาแต่ขอม แต่เดิมการเล่นใช้ สำหรับประกอบการบวงสรวง เวลามีการทรงเจ้าเข้าผี หรืองานพิธีกรรม ก็ใช้ดนตรีกันตรึมบรรเลงกันเป็นพื้นบ้าน ซึ่งต่างกันในจังหวะ ลีลา จะแตกต่างกันไปตามพิธีแต่ละงาน กล่าวคือ งานแต่งงานก็บรรเลงอย่างหนึ่ง งานศพอย่างหนึ่ง และเครื่องดนตรีที่นำมาบรรเลงก็ต้องให้เหมาะสมกับงาน แต่ถ้าเป็นงานศพก็มักจะใช้ปี่อ้อ (แป็ยออ) มาบรรเลง แต่ถ้าเป็นงานแต่งงานมักใช้ปี่เตรียงหรือ ปี่เญ็นแทนปี่อ้อ เป็นต้น
รายการที่นี่บ้านเรา ThaiPBS : จังหวะกันตรึม
ปัจจุบัน "กันตรึม" มีการสืบทอดแบบมุขปาฐะ (Oral Tradition) ไม่มีการจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร จึงทำให้ปัจจุบันหลงเหลืออยู่น้อย ใช้เป็นการละเล่นเพื่อความบันเทิงโดยทั่วไป มีการสืบทอดตามแบบการละเล่นพื้นบ้านแบบรุ่นสู่รุ่น คือ เมื่อผู้เล่นกันตรึมคณะเดิมชราภาพ หรือย้ายถิ่นที่อยู่ ก็จะถ่ายทอดให้แก่ผู้สนใจเพื่อสานต่อกันไป ปัจจุบันคณะกันตรึมบางคณะที่ยังเล่นอยู่ก็มีแบบการรำที่ไม่แน่นอน เนื่องจากกันตรึมไม่เน้นทางด้านการรำ แต่จะเน้นที่ความไพเราะของเสียงของผู้ร้อง และความสนุกสนานของท่วงทำนองเพลงกันตรึมที่มีหลากหลายมากกว่า กอร์ปกับมีรูปแบบใหม่ที่นำเอาเครื่องดนตรีตะวันตกในรูปแบบสตริงมาผสม เรียกใหม่ว่า "กันตรึมร็อค" มีรูปแบบบรรเลงเพลงอย่างลูกทุ่ง มีหางเครื่องนุ่งน้อยห่มน้อยมาเสริม ก็ยิ่งทำให้ "กันตรึม" ต้นฉบับดั้งเดิมค่อยๆ เลือนหายไปเพราะขาดความสนุกสนาน
ในประเทศกัมพูชาไม่พบว่ามี วงดนตรีกันตรึม แต่มีวงดนตรีที่บรรเลงอย่างใกล้เคียงกับกันตรึม เรียกว่า เพลงอาเรียะ หรือเพลงอารักษ์ (ចម្រៀង អារ៉ាក់ or Phleng Arak) ในพิธีเลี้ยงผีและแก้บน เป็นการเข้าทรงรุกขเทวดาประจำหมู่บ้าน การนี้จะมีวงดนตรีประกอบเรียกอย่างชาวบ้านว่า อารักษ์ มีท่วงทำนองคล้ายกับกันตรึมมาก แต่เครื่องดนตรีที่ใช้ต่างกันไปตามท้องถิ่น แต่จะมีลักษณะง่ายๆ น้อยชิ้น เช่น ปี่สไล ซอ กับกลอง เป็นหลัก ปัจจุบันพบว่ายังมีการเล่นอยู่ในเขตนอกเมืองเสียมเรียบ
เครื่องดนตรี
เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการเล่นกันตรึม ดั้งเดืมมีเครื่องดนตรีหลักอยู่ 3 ชนิด คือ ปีอ้อ ตรัว (ซอ) และสก๊วล (กลอง) โดยในการบรรเลงนั้น ปี่อ้อจะทำหน้าที่ประธาน เป็นหลักในการเทียบเสียงและบรรเลง มีตรัว (ซอ) ทำหน้าที่เดินทำนอง และสก๊วล (โทน) คุมจังหวะ ไม่มีฉิ่งและฉาบเล็ก ที่ถูกนำมาช่วยกำกับจังหวะในภายหลัง ยุคปัจจุบันวงกันตรึมส่วนใหญ่จะใช้เครื่องดนตรี ประกอบด้วย กลองกันตรึม (สก็วล) 2 ลูก ซอ (ตรัวเอก) 1 คัน ปี่อ้อ 1 เลา ขลุ่ย 1 เลา ฉิ่ง กรับ และฉาบ อย่างละ 1 คู่ แต่ถ้ามีเครื่องดนตรีไม่ครบก็อาจจะอนุโลมใช้เครื่องดนตรีเพียง 4 อย่าง คือ กลองกันตรึม 1 ลูก ซอ 1 คัน ฉิ่ง และฉาบ อย่างละ 1 คู่ ในปัจจุบัน วงกันตรึมบางคณะได้นำเอาเครื่องดนตรีสากลมาใช้ เช่น กลองชุด กีตาร์ และไวโอลิน เพื่อปรับให้เข้ากับยุคสมัยนิยมของผู้ชม
การแต่งกายและการเล่น
การแต่งกายทั้งของนักดนตรีและนักร้องชายหญิง ของวงดนตรีพื้นบ้านแบบกันตึมนั้น ไม่มีแบบแผนกฎเกณฑ์ที่แน่นอน จะแตกต่างตามความสะดวกสบาย ทันสมัยและถูกใจผู้ชม เช่น ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่นไหมพื้นเมือง (ซำป๊วด) ซึ่งเป็นผ้าไหมพื้นเมืองขึ้นชื่อ เช่น ผ้าโฮล ผ้าอัมปรม ผ้าสาคู เสื้อแขนกระบอก จะมีผ้าสไบเฉียงห่มทับก็ได้หรือไม่มีก็ได้ ผู้ชายนุ่งโจงกระเบน เสื้อคอกลมแขนสั้น สวมเครื่องประดับเงิน ที่เรียกว่า ปะเกือม (ปะคำ) นำมาร้อยเป็นสร้อยหรือต่างหู มีผ้าไหมคาดเอว และมีผ้าขาวม้าไหมพาดไหล่ทั้งสองข้าง โดยชายผ้าทั้งสองจะห้อยอยู่ทางด้านหลังทั้งสองชาย
ส่วนการแต่งกายตามสมัยนิยมปัจจุบัน ทั้งชายและหญิงจะแต่งชุดสากลหรือชุดสุภาพทั่วไป โดยผู้ชายสวมกางเกงขายาว เสื้อแขนยาว ผูกเนคไท สวมร้องเท้าถุงเท้าครบชุด ผู้หญิงสวมชุดติดกัน หรือชุดคนละท่อน เสื้อตัวหนึ่ง กระโปรงตัวหนึ่ง คาดเข็มขัด กระโปรงยาวครึ่งน่อง สวมรองเท้าส้นสูง ทั้งนี้การแต่งกายนักดนตรีและนักร้องหญิงชายไม่มีแบบแผนเป็นกฎเกณฑ์ นิยมแต่งตามสะดวกสบาย ทันสมัยและถูกใจผู้ชทในยุคสมัยนั้นๆ
เวทีการแสดง
การเล่นดนตรีพื้นบ้านกันตรึม แต่เดิมไม่มีเวที เจ้าภาพในงานจะจัดให้มีที่นั่งให้วงกันตรึมบรรเลงบนบ้าน หรือหาที่บนศาลา โดยมีแขกห้อมล้อมฟังอยู่รอบๆ ข้าง แต่ในสมัยต่อมามีการปลูกโรงเรือน หรือยกเวทีสูง ไม่มีฝาปล่อยโล่งทั้ง 4 ด้าน ผู้ชมจะสามารถดูได้รอบเวที นักดนตรีนั่งเป็นวงที่พื้นเวทีค่อนไปทางด้านหลัง นักร้องจะยืนอยู่ด้านหน้า หรือด้านข้างวง ร้องและรำประกอบทำนอง สลับกันชาย-หญิงเป็นคู่ๆ หรือชายหนึ่งคนร้องโต้ตอบกับนักร้องหญิงสองคน แล้วแต่เนื้อและทำนองที่นักดนตรีสีซอขึ้นทำนองเพลง
หากเป็นการบรรเลงประกอบการแสดงบนเวที จะมีที่นั่งบนตั่งหรือเก้าอี้ตามแต่เจ้าภาพจะจัดหาให้ อยู่ตรงกลางหรือด้านข้างเวทีตามความเหมาะสมสวยงาม ครั้นในยุคปัจจุบันนี้ มีการใช้ระบบไฟ แสง เสียงสี สวยงาม ก็จะมีเวทีเฉพาะให้แสดงได้สะดวก ยกเวทีขึ้นสูงให้มองเห็นในระยะไกลได้ แยกส่วนนักดนตรี นักร้อง และผู้รำ (หางเครื่องประกอบ) เป็นสัดส่วน เน้นให้ผู้ชมชมการแสดงทางด้านหน้าเวทีเป็นหลัก
การเล่นกันตรึม ใช้ผู้เล่นประมาณ 6-8 คน ผู้ร้องเป็นชายและหญิง อาจจะมี 1-2 คู่ หรือชาย 1 คน หญิง 2-3 คน แต่โดยทั่วไปนิยมให้มีชาย 2 คน หญิง 2 คน การเล่นกันตรึมจะเล่นในโอกาสต่างๆ ทั้งในโอกาสเฉลิมฉลอง งานมงคล เช่น งานแต่งงาน งานโกนจุก งานบวชนาค เทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ และลอยกระทง เป็นต้น หรืองานอวมงคล เช่น งานศพ นอกจากนี้ยังใช้เล่นในพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อพื้นบ้าน
วิธีการเล่นกันตรึม
วงกันตรึมจะเล่นที่ไหน ก่อนเริ่มการแสดงจะต้องมีพิธีไหว้ครูเพื่อเป็นสิริมงคล ทั้งผู้ดูและผู้เล่น เมื่อไหว้ครูเสร็จก็จะเริ่มบรรเลงเพลง เป็นการโหมโรงเพื่อปลุกใจให้ผู้ดูรู้สึกตื่นเต้น และผู้แสดงก็จะได้เตรียมตัว จากนั้นจะเริ่มแสดง โดยเริ่มบทไหว้ครูตามธรรมเนียมโบราณดั้งเดิม วิธีการร้องจะขับร้องโต้ตอบกันระหว่างชาย หญิง มีการรำประกอบการร้อง ไม่ต้องใช้ลูกคู่ช่วยร้องรับบทเพลง
บทเพลงกันตรึมไม่มีเนื้อร้องเป็นการเฉพาะ แต่มักคิดคำกลอนให้เหมาะสมกับงานที่เล่น หรือใช้บทร้องเก่าๆ ที่จดจำสืบต่อกันมามีประมาณ 200 กว่าทำนองเพลง ไม่มีใครสามารถจดจำได้ทั้งหมด เพราะไม่มีการจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร มีเพียงการจดจำบอกต่อๆ กันมาเท่านั้น
การแบ่งประเภทบทเพลงกันตรึม
- บทเพลงชั้นสูงหรือเพลงครู จัดเป็นเพลงที่มีความไพเราะ แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ รำลึกถึงครูอาจารย์ เป็นเพลงสูงชั้นครูใช้บรรเลงนำก่อนบทเพลงอื่นๆ อันมีท่วงทำนองส่วนใหญ่เป็นทำนองที่ช้า โหยหวนใช้เป็นเพลงเริ่มฝึกหัด ได้แก่ สวายจุมเวือด แซร็ยประเซอร แซร็ยสะเตือร ละลืย ร่ำเป็อย–จองได มโหรี เป็นต้น
- บทเพลงสำหรับขบวนแห่ ใช้บรรเลงในขบวนแห่จต่างๆ เป็นเพลงที่มีท่วงทำนองจังหวะที่สนุกสนาน ครึกครื้น มีการฟ้อนรำประกอบการขับร้อง มีหลายทำนอง ใช้ในงานมงคล มีความเร็วปานกลาง ได้แก่ ซมโปงเซาะทม รำพาย ตร็อบตุม อันซองซเนญนบ กะเปือมเปง ปรีอีเกิด เกาะกรอก ออกยุม พนมซรุจ (ซร็วจ) เป็นต้น
- บทเพลงเบ็ดเตล็ดต่างๆ เป็นบทเพลงที่มีทำนองจังหวะลีลารวดเร็ว เร่งเร้า ให้ความสนุกสนาน มักใช้บรรเลงบนเวทีการแสดง ใช้เป็นบทขับร้องในโอกาสทั่วๆ ไป เช่น เกี้ยวพาราสี สั่งสอน สู่ขวัญ และรำพึงรำพัน เป็นต้น ทำนองเพลงจะมีหลายทำนอง เช่น จองนารี กัญจัญเจก ตำแร็ยยูลได นอรแกล คเมาแม (เขมาแม) อมตูก กัจปกาซาปาดาน กันเตรยโมเวยงูดตึก กะโน้ปติงต้อง และมลบโดง ฯลณ กลุ่มอายัย เช่น อาไยลำแบ อาไยพิมพวง อาไยสาระยัง อาไยกลาย อาไยจ๊ะ
- บทเพลงประยุกต์ (ปัจจุบันเป็นการแสดง) ใช้ประกอบการละเล่นทั่วๆ ไป เช่น เรือม (รำ) กระโน้บติงตอง ใช้เพลงกระโน้บติงตอง (ที่สะท้อนถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ใกล้ชิดธรรมชาติ ลีลาท่าทางเลียนแบบท่าของตั๊กแตน) เรือมอายัย ใช้เพลงแซร็ยสะเตือร เพลียง ปันแซร กาบเป มลบโดง อันซองชแนญนบ ตำแร็ยยูลได แล้วจบด้วยเพลง กัตปกา และซาปดาน หรือพิธีบายศรี ใช้เพลง มงก็วลจองได ใช้ประกอบการละเล่นเรือนกันตรึม รวมทั้งเป็นบทเพลงที่ใช้ทำนองเพลงลูกทุ่งสมัยใหม่ เข้ามาประยุกต์เป็นทำนองเพลงกันตรึม เช่น ดิสโก้กันตรึม สัญญาประยุกต์ และเตียแขมประยุกต์ เป็นต้น
รายการพันแสงรุ้ง ตอน กันตรึม ดนตรีแห่งชีวิต
กันตรึมประยุกต์ร่วมสมัย
วงดนตรีกันตรึม ก็มีวงจรและพัฒนาการเช่นเดียวกับดนตรีพื้นบ้านอื่นๆ ที่ต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อให้คนยุคใหม่รับได้กับวัฒนธรรมของบรรพบุรุษ สืบสานให้คงอยู่ได้ด้วยการพัฒนาให้ร่วมสมัยมากขึ้น นำเอาดนตรีกันตรึมไปผสมผสานกับเครื่องดนตรีตะวันตกเพื่อให้มีจังหวะที่กระชับ เร้าใจ มีกลิ่นอายที่ทันสมัยมากขึ้น ผู้ที่บุกเบิกคนแรกคือ สมชาย คงสุขดี หรือ ดาร์กี้ กันตรึมร็อค ที่มีสายเลือดกันตรึมมาจากพ่อ-แม่ ที่เป็นบรมครูเพลงเจรียงและเพลงกันตรึมของเมืองสุรินทร์ ด้วยการนำเครื่องดนตรีฝรั่ง นำจังหวะเพลงตะวันตกมาใช้ แต่ทำนอง-คำร้องเป็นของกันตรึมทั้งหมด เนื้อหาจะประยุกต์ของดั้งเดิม มีทั้งเนื้อหาที่แต่งขึ้นมาใหม่ แต่ทำนองจังหวะยังยืนทางเก่าไว้อยู่ จะผสมเครื่องดนตรีฝรั่ง เช่น กลองชุด กีต้าร์ เบส แต่เครื่องดนตรีของเก่าจะขาดไม่ได้เป็นอันขาด คือ “ซอ” และ "ปี่อ้อ" ที่นับวันจะหาคนสืบสานได้ยากแล้ว และผลงานเพลงชุด “เปิดกรุอีสานใต้” เป็นผลงานที่ทำให้คนรู้จักศิลปินชื่อ "ดาร์กี้" เป็นอย่างดี เพลงชุดนี้ได้ดังระเบิดเถิดเทิงไปทั่วภาคอีสาน อย่างไม่เคยมีกันตรึมประยุกต์คณะใดเคยได้รับมาก่อน และอีกหลายๆ ผลงานเพลงต่อมาหลังจากนั้นไม่นาน
รายการพันแสงรุ้ง ตอน กันตรึมประยุกษ์
แล้วก็มีคณะอื่นๆ ประยุกต์กันตรึมเดิมให้มีความทันสมัยมากขึ้นติดตามมาอีก เช่น คณะกันตรึมน้ำผึ้ง เมืองสุรินทร์ คณะกันตรึมสมานชัย คณะก้องสุรินทร์ คณะกันตรึมยอดรัก โคกนาสาม คณะกันตรึมร็อคคงคย ล้วนเป็นวงกันตรึมยุคหลังที่ได้รับความนิยมมาก เพราะมีจังหวะที่รวดเร็ว สนุกสนาน มีการแสดงที่หลากหลายดึงดูดผู้ชมได้ดี นอกจากนั้น ยังมีการเพิ่มคำร้องจากที่เป็นภาษาเขมร มาเป็นภาษาไทยที่เยาวชนยุคใหม่รับได้รวดเร็วมากกว่า เช่น เพลงเจรียง "ยิ่งยงสอนน้อง" ของ ยิ่งยง ยอดบัวงาม มีนักร้องเพลงกันตรึมที่ได้รับความนิยมไม่เฉพาะในเขตอีสานใต้ แต่โด่งดังไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา เอาชนะนักร้องท้องถิ่น และมีชื่อเสียงไปถึงอเมริกา แคนาดา ที่มีคนเขมรอพยพไปอาศัยอยู่ นั่นคือนักร้องหญิงจากจังหวัดสุรินทร์ที่ชื่อ เจน สายใจ
- Details
- Written by: Webmaster
- Category: Drama Acting
- Hits: 23373
ท่วงทำนองแคน หรือ ลายแคน
ท่วงทำนองของแคนที่ถูกเป่าออกมานั้น ชาวอีสานเรียกว่า ลายแคน ซึ่งก็คือ จังหวะ ทำนองแคน นั่นเอง ลายแคนเป็นการสืบต่อกันมาจากความทรงจำหมอแคนในอดีต ไม่มีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ลายแคนถูกประดิษฐ์ขึ้น จากการเลียนลีลา และท่วงทำนองหรือเสียงจากธรรมชาติ ซึ่งให้ความไพเราะจับใจ
"ลาย" ในความหมายของดนตรีอีสาน หมายถึง สิ่งที่มีมากกว่า 1 ขึ้นไปผสมผสานอยู่ในสิ่งเดียวกัน จะอยู่ในแนวเดียวกันหรือตัดกันก็ได้ เรียกว่า ลาย หรือ ลวดลาย สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- ลายที่สามารถสมผัสได้ด้วยตา เช่น ลายของอุปกรณ์เครื่องใช้ที่เกิดจากการถักทอจักสาน เช่น ผ้า ตระกร้า กระด้ง ฝาผนังบ้านโบราณ หรือลายที่เกิดจากการวาด เป็น ต้น
- ลายที่สามารถสัมผัสได้ด้วยตาและหู คือลายที่ใช้สำหรับดนตรีอีสาน ดนตรีอีสาน หมายถึง เพลงหรือท่วงทำนองและลีลาการบรรเลงดนตรีอีสาน
คำว่าลาย ต่างจาก เพลง คือ
- เพลง มีความสั้นยาวของวรรคตอนที่ชัดเจน เช่น เพลงลูกทุ่ง เพลงไทยเดิม มี 1- 4 ท่อน เป็นส่วนใหญ่ เมื่อบรรเลงครบแล้วจะย้อนจากท่อน 1 หรือท่อนใดก็ได้จนจบเพลง
- ลาย จะมีความสั้นยาวไม่แน่นอนและอยู่กับความสามารถบวกกับความเชี่ยวชาญของผู้บรรเลง จะยาวสั้นเท่าไหร่ก็ได้
ประวัติและที่มาของลายดนตรี ขึ้นอยู่กับชนิด และความเหมาะสม ในการบรรเลงของเครื่องดนตรีที่ใช้ดำเนินทำนอง ตามความหมายของคำว่าลาย ผู้เชี่ยวชาญการเป่าแคนหรือหมอแคน ยังไม่สามารถแยกคำว่า ลาย และระดับเสียง ออกจากกันได้เนื่องจากมีการปลูกฝังและสืบทอดกันมายาวนาน แต่เท่าที่รับฟังคำบอกเล่าของผู้รู้และหมอแคนพอจะกล่าวได้ว่า
ดนตรีอีสานสามารถแยกระดับเสียงได้โดยยึดแคนเป็นหลัก มี 2 กลุ่มระดับเสียง คือ กลุ่มทางยาว และกลุ่มทางสั้น
- ทางยาว หมายถึง การบรรเลงประกอบการลำที่มีท่วงทำนองเชื่องช้า เหมาะสำหรับการลำในบทเล่าเรื่อง บทพรรณา บทโศกเศร้า หวนหา
- ทางสั้น หมายถึง การบรรเลงประกอบการลำที่มีท่วงทำนองกระชับ สนุกสนาน ร่าเริง
แคน มีลายหลักๆ อยู่ 6 ลายโดย แยกตามกลุ่มทางยาวและทางสั้นได้ดังนี้
ลายกลุ่มทางยาวมี 3 ระดับ คือ | ลายกลุ่มทางสั้นมี 3 ระดับ คือ |
---|---|
เสียงต่ำ หมอแคนเรียกว่า ทางใหญ่ หรือ ลายใหญ่ เสียงกลาง หมอแคนเรียกว่า ทางน้อย หรือ ลายน้อย เสียงสูง หมอแคนเรียกว่า ทางเซ หรือ ลายเซ |
เสียงต่ำ หมอแคนเรียกว่า สุดสะแนน เสียงกลาง หมอแคนเรียกว่า ลายโป้ซ้าย (หัวแม่มือซ้าย) เสียงสูง หมอแคนเรียกว่า ลายสร้อย |
การเสวนาวิชาการ “แคน” มนต์เสน่ห์ศิลปวัฒนธรรมอีสาน-ลาว
ลายแคน
ลายแคน มีดังนี้
- ลายสุดสะแนน คำว่า "สะแนน" คงจะเพี้ยนมาจากคำอีสานคำหนึ่งคือ "สายแนน" มีความหมายว่า ต้นตอ หรือสายใย เช่น ถ้าคนเราเคยเกิดเป็นพ่อแม่ลูกกันหรือผัวเมียกันในอดีต ชาตินี้ได้เกิดมาเป็นดังอดีตอีก เขาเรียกว่าคนเกิดตามสาย "แนน" เนื่องจาก ลายสุดสะแนน เป็นลายครูของแคน มีความไพเราะเป็นพิเศษ จังหวะกระชับและมีลีลาท่วงทำนองตื่นเต้นเร้าใจตลอดเวลา หมอแคนทราบดีว่าจะต้องเป่าลายสุดสะแนนให้เป็นก่อน จึงจะก้าวไปสู่ลายแคนอื่นๆ ได้
ดังนั้นคำว่า สุดสะแนน ในเรื่องของลายแคนนี้จึงหมายถึง ความไพเราะจับใจ ใครได้ฟังลายนี้แล้วมักจะคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน คิดถึงบิดามารดา ญาติพี่น้อง หรือต้องใช้คำว่าเกิดความออนซอน ขึ้นมาอย่างที่สุด นั่นก็คือเขาคิดหวนกลับไปถึง สายแนน ดั้งเดิมของเขานั่นเอง
สะแนน เป็นภาษาอีสาน หมายถึง เตียง (สำหรับผัวเมียนอน) หรือแคร่สำหรับนอนย่างไฟ (ของหญิงเมื่อคลอดบุตร) จึงหมายถึง ความยากลำบาก คนอีสานมักใช้คำนี้ หลังจากที่ผู้หญิงคลอดลูกแล้วอยู่ไฟ คนอีสานเรียกว่า อยู่กรรม ต้องอาบน้ำร้อน กินน้ำร้อน นอนผิงไฟบนไม้กระดานแผ่นเดียว ซึ่งเป็นความยากลำบากของผู้หญิง
- ลายอ่านหนังสือใหญ่ หรือลายใหญ่ ในความหมายที่เข้าใจกันโดยทั่วไปของคนอีสานหมายถึง "ภาษาบาลี" เช่น คนที่จะเป็นมหาเปรียญต้องเรียนหนังสือใหญ่นั้น มีความศักดิ์สิทธิ์และยุ่งยากต่อการศึกษา จะต้องเรียนกันหลายปี และมีสติปัญญาดี จึงจะเล่าเรียนได้สำเร็จ "ลายอ่านหนังสือใหญ่" เป็นลายแคนที่นิ่มนวล เสียงโหยหวล ทำนองลำยาว แสดงถึงความอบอุ่นมีเมตตา การเป่าลายนี้ผู้เป่าจะต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษไม่ให้มีเสียงเพี้ยนเลย
ความหมายทางด้านทำนอง หมายถึง การพรรณาชีวิตของคนอีสาน ที่มีทั้งความรักและความผูกพัน ความห่วงใยหวนหา ความอดทนต่อสู้อย่างมีความหวัง และความเพลิดเพลิน บางท่วงทำนองบ่งบอกถึงความรัก และความผูกพันที่มีต่อความรักของชายหนุ่มหญิงสาว ตลอดทั้งความรักที่มีต่อครอบครัว เครือญาติ และผู้ที่รู้จักมักคุ้นที่อาศัยอยู่ด้วยกันในท้องถิ่นตนเอง และใกล้เคียง
บางท่วงทำนองบ่งบอกถึงความผูกพัน กับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต ทั้งในด้านการประกอบอาชีพ ด้านขนบธรรมเนียมประเพณีและศาสนา จนสร้างสมให้เกิดความสามัคคีกลมเกลียวกันในสังคม บางท่วงทำนองบ่งบอกให้เห็นถึงความอดทนต่อสู้กับสิ่งต่างๆ ที่รุมเร้าเป็นปัญหาในการดำเนินชีวิต บางเรื่องก็หาวิธีแก้ไขได้ บางเรื่องก็ต่อสู้ไปตามยถากรรม ให้วันเวลาผ่านพ้นไป
บางท่วงทำนองแสดงถึงการพลัดพรากจากกัน ทั้งที่จากไปแล้วไม่มีวันกลับ บางท่วงทำนองแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ความสนุกสนาน เพลิดเพลินอย่างบริสุทธิ์ เสียงแคนลายใหญ่ หรือ ลายอ่านหนังสือพิมพ์ จะทำให้ผู้ฟังนึกถึงภาพคนอีสานกำลังทำงาน เช่น ทำไร่ ทำนา บางครั้งเหงื่อไหลเข้าตา บางครั้งเหงื่อค่อยๆ ไหลผ่านใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยอันเหี่ยวย่น แลดูแก่เกินวัยลงสู่พื้น มองดูแววตาเหน็ดเหนื่อย แต่มุ่งมั่นอดทน เพื่อความหวังและการรอคอย
- ลายอ่านหนังสือน้อย คล้ายคลึงกับลายอ่านหนังสือใหญ่ แต่มีจังหวะที่เร็วกว่า เสียงไม่ทุ้ม ให้ความไพเราะ ท่วงทำนองไม่สลับซับซ้อนเท่าลายอ่านหนังสือใหญ่
ความหมายทางด้านทำนอง หมายถึงการพรรณาชีวิตของคนอีสานเช่นกัน แต่จะมีเนื้อหาน้อยกว่าลายใหญ่ เนื่องจากมีเสียงจำกัด ไม่สามารถดำเนินทำนองได้เต็มรูปแบบเหมือนลายใหญ่
- ลายเซ เป็นลายที่สามารถเป่า นอกเหนือจากทางใหญ่ ทางน้อยได้ เป็นทางแยกออกมาและบรรเลงได้เช่นกัน ใช้เป่าประกอบลำยาว
ความหมายทางด้านทำนอง หมายถึง การพรรณาชีวิตของคนอีสานเช่นกัน แต่ไม่สามารถเก็บราย ละเอียดได้เท่าลายน้อยและลายใหญ่ เนื่องจากมีขีดจำกัดของเสียงมากขึ้นอีก
- ลายแมงภู่ตอมดอก เป็นลายที่ลอกเลียนธรรมชาติได้ดีเป็นพิเศษ คำว่า แมงภู่ ก็คือ แมลงภู่ตัวใหญ่ๆ สีน้ำเงินแก่มองดูจนเขียว เวลาบินตอมดอกไม้มีเสียงดังหึ่งๆ ลักษณะเสียงของแมงภู่จะมีทำนองลีลาช้าๆ ก่อนแล้วเร็วกะชั้นเข้าตามลำดับ ลีลาของเสียงแคนจะฟังได้เป็นเสียงเล็กเสียงน้อย สมกับเสียงของแมงภู่ตอมดอกไม้จริงๆ
- ลายโปงลางขึ้นภู ลายแคนนี้ก็เป็นลายดัดแปลงจากธรรมชาติเช่นกัน โปงลางนิยมทำไว้แขนคอวัวต่างๆ ซึ่งนายฮ้อย (พ่อค้า) นิยมเทียมเกวียนเที่ยวไปขายของในที่ต่างๆ เวลาวัวเดินข้ามภูเขา จะมีเสียงขึ้นๆ ลงๆ เป็นทำนอง เพราะวัวแต่ละตัวแขวนโปงลางขนาดที่แตกต่างกัน วัสดุมีความหนาบางต่างกัน เสียงประสานกันของโปงลางจากวัวแต่ละตัวผสมเข้ากับเสียงกีบวัวกระทบก้อนกรวด ก้อนหิน รวมทั้งเสียงออดแอดของล้อเกวียน ฟังแล้ววิเวกวังเวงชวนให้คิดถึงบ้านที่จากมาเป็นที่สุด หมอแคนจะดัดแปลงเลียนเสียงเหล่านี้ขึ้นเป็นลายแคน เรียกกันว่า ลายโปงลางขึ้นภู นั่นเอง
- ลายแม่ฮ้างกล่อมลูก ลายแคนนี้เป็นเสียงพิลาปรำพันของหญิงหม้ายที่ว้าเหว้เดียวดายของนาง สะท้อนออกมาในการกล่อมลูกในเปล นางรำพันถึงความหลังและประชดประชันในชีวิตที่ถูกสามีทอดทิ้งไป หมอแคนถอดเอาความรู้สึกนี้มาสู่ลายแคนได้อย่างน่าฟัง เป็นลายเอกอีกลายหนึ่งที่มีคนรู้จักมากหลาย
"...นอนสาหล่าหลับตาแม่สิกล่อม นอนอู่แก้วสาแล้วแม่ซิกวย
แม่สิไปเข็นฝ้ายเดือนหงายเว้าผู้บ่าว สิไปหาพ่อน้ามาเลี้ยงให้ใหญ่สูง
ลุงและป้าอาวอาเพิ่นบ่เบิ่ง เพิ่นก็เพิ่งบ่ได้เฮือนใกล้เพิ่นก็ซัง"
การประกวดเดี่ยวแคน งานไหมนานาชาติ ประเพณีผูกเสี่ยว จังหวัดขอนแก่น
- ลายลมพัดไผ่ เป็นลายแคนที่เลียนแบบเสียงธรรมชาติอีกลายหนึ่ง ต้นไผ่ในอีสานมีมากมาย และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ตั้งแต่หน่อถึงลำต้น เวลาลมพัดมาแต่ละครั้ง กิ่งไผ่จะลู่ไปตามลมเสียดสีกันดังออดแอด กอร์ปกับลักษณะการหล่นหลุดของใบไผ่จากต้นที่มีลักษณะพิเศษ เนื่องจากใบเล็กเรียวแหลม เมื่อตกลงยังพื้นดินจะเกิดการหมุนเหมือนกังหัน เมื่อตกลงมาพร้อมๆ กันจำนวนมากจะมีความสวยงามเป็นพิเศษ หมอแคนได้จินตนาการเอาลักษณะของใบไผ่ร่วงผสมกับเสียงเสียดสีของกิ่งไผ่ยามลู่ลมมาเป็นลายแคนที่ไพเราะ หวีดหวิวน่าฟัง เรียกกันว่า ลายลมพัดไผ่ นั่นเอง
- ลายลมพัดพร้าว เป็นลายแคนที่จำลองแบบของใบมะพร้าวเมื่อต้องลมซึ่งผิดกันกับใบไผ่ ใบมะพร้าวเมื่อถูกลมจะโยกไหวอย่างเชื่องช้า คราใดที่พายุพัดโบกมาก็จะเอนตัวไปตามสายลมพร้อมกับสะบัดใบเสียงดังเป็นจังหวะ หมอแคนได้ถอดเสียงธรรมชาติออกมาเป็นลายแคนที่ไพเราะน่าฟัง ท่วงทำนองจะช้ากว่าลายลมพัดไผ่
- ลายล่องของ คำว่า ล่องของ เป็นคำเดียวกับคำว่า ล่องโขง หมายถึงท่วงทำนองลำยาว เอื่ยๆ เรื่อยๆ แต่รัญจวนใจเปรียบเหมือนกับการปล่อยเรือให้มันล่องลอยไปตามกระแสน้ำตามลำน้ำโขงโดยไม่ต้องพาย ทำนองล่องของนี้จะเป่าแคนเดี่ยวๆ ก็ไพเราะน่าฟัง จะเป่าประกอบหมอลำตอนลำกลอนยาวล่องของก็ม่วนอีหลีเด้อ
- ลายโป้ซ้าย เป็นลายทางสั้น มีทำนองเดียวกันกับลายสุดสะแนน จะแตกต่างก็ลายสุดสะแนนที่ความยากง่ายของการเล่น มีการติดสูดที่ลูกแคนที่อยู่ตรงตำแหน่งหัวแม่มือซ้าย หรือโป้ซ้าย จึงได้ชื่อลายว่าอย่างนั้น
- ลายเต้ย เป็นลายแคนที่มีจังหวะกระชับ เร็ว การลำตามปกติจะต้องมาจากลำสั้นโต้ตอบกัน ระหว่างหมอลำฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย เมื่อค่อนรุ่งก็จะเป็นลำลาแบบลำยาวเช่นลำล่องของ จึงจะถึงการเต้ย จังหวะเต้ยเป็นจังหวะกระชับเพื่อให้ผู้ลำได้ออกท่าฟ้อน ฉะนั้นเวลาเต้ยหมอลำจะต้องฟ้อนตลอด ไม่ยืนเฉยเหมือนการลำสั้นลำยาว คนไหนเต้ยได้ดี ฟ้อนได้สวย จะได้รับความนิยมมาก ฉะนั้นเวลาเป่าลายเต้ย หมอแคนจะเป่าเป็นตอนๆ ตามคนเต้ยแล้วมีที่ลง แต่ละตอนไม่ยาวนัก เพื่อให้เกิดความสนุกสนานน่าฟัง อาจสลับด้วยเต้ยหัวโนนตาล แล้วเป็นเต้ยพม่า ตามลำดับก็จะน่าฟังมากขึ้น
- ลายเซิ้ง เป็นลายง่ายๆ เป่าให้คนฟ้อนในลักษณะเซิ้ง เบื้องต้นจริงๆ มาจากเซิ้งแม่นางด้ง ซึ่งต้องใช้แคนเป่าคลอไป ภายหลังได้ดัดแปลงเป็นเซิ้งต่างๆ เช่น เซิ้งสวิง เซิ้งกะหยัง เซิ้งกระติบข้าว แต่ทำนองก็คล้ายคลึงกัน
มาม่วนๆ นำกันกับลีลาการเป่าแคนของ "เทพแห่งแคน" อาจารย์สมบัติ สิมหล้า | ||
ไล่งัวขึ้นภู | ลายน้อย | ลายสร้อย |
ลายเต้ย | ลายใหญ่ | ลำเพลิน |
ลำซิ่ง | ลมพัดพร้าว | แมงภู่ตอมดอก |
นกไซบินข้ามท่ง | ลายโป้ซ้าย | ลำภูไท |
ลายสุดสะแนน | เต้ยพม่า |
เดี๋ยวแคนลายหนังสือใหญ่ - พ่อเปลื้อง ฉายรัศมี
เดี๋ยวแคนลายหนังสือน้อย - พ่อเปลื้อง ฉายรัศมี
การพัฒนาของลายแคนยังมีเพิ่มเติมมาอีกหลายลาย ทั้งที่พัฒนามาจากลายดั้งเดิม และลายใหม่ๆ ที่เลียนแบบมาจากเสียง หรือเหตุการณ์ของสังคมที่อยู่รอบข้าง เช่น ลายรถไฟไต่ราง ลายสาวหยิกแม่ ลายสาวสะกิดแม่ ลายภูไทครวญ เป็นต้น
เสียงแคน หรือ โน๊ตแคน
แคน เป็นเครื่องดนตรีที่มีเสียงครบ 7 เสียง แคน 1 เต้าสามารถเล่นได้ประมาณ 3 คีย์เสียงเป็นอย่างน้อย เราจึงเห็นหมอแคนมีการเปลี่ยนเต้าแคนใหม่ เมื่อเป่าลายที่แตกต่างกัน เท่าที่สอบถามจากผู้รู้ และหมอแคนพบว่าที่นิยมใช้กัน จะมีเสียงคีย์หลักๆ ดังนี้
![]() | แคนแบบที่ | ลายใหญ่ | ลายน้อย | ลายเซ |
---|---|---|---|---|
1 | Am | Dm | Em | |
2 | Gm | Cm | Fm | |
3 | Bm | Em | F#m | |
4 | Dm | Gm | Am |
ลายแคนม่วนๆ หมอลำม่วนๆ
ประวัติความเป็นมาของแคน | แคนเครื่องดนตรีชิ้นแรกของโลก | แคนที่กล่าวถึงในพงศาวดาร | ทำนองแคน หรือลายแคน