Subcategories
Paya & Soi
รวมผญา สุภาษิต และคำสอย
Klonlum
กลอนลำ
Song
เพลงลูกทุ่งอีสาน มาเข้าใจความหมายของคำภาษาอีสานในเพลงลูกทุ่ง
Alphabet Group
ภาษาอีสานแยกตามหมวดอักษร
Klon Pasit Boran Isan
กลอน ภาษิตโบราณอีสาน
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Word
- Hits: 9294
นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่อง นกกระจอกน้อย หรือ นกจอกน้อย หรือ ท้าววรจิต-นางจันทะจร เป็นวรรณคดีเก่าแก่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะแต่งขึ้นในสมัยใด ใครเป็นผู้แต่ง ไม่มีหลักฐานปรากฎ เป็นมรดกทางวรรณกรรมพื้นบ้านอีสานอีกเรื่องหนึ่งที่มีการบันทึก (จาร) บนใบลาน แล้วเอามาเล่า (เทศน์) โดยพระสงฆ์ ตลอดถึงนำมาแสดงขับลำแบบพื้นบ้าน ทั้งโดยหมอลำกลอน และลำเรื่องต่อกลอนมาหลายยุคหลายสมัย เป็นหนึ่งในวรรณกรรมพื้นบ้านอีสานคลาสสิคอีกเรื่องหนึ่ง ที่พบหลักฐานมีมาหลายฉับบที่ถูกปริวรรตจากคำกลอนในใบลานมาเป็นร้อยแก้ว ที่ผู้เขียนนำมาเรียบเรียงใหม่ในครั้งนี้ 4 สำนวน คือ
- นกกระจอก อักษรธรรม ๑ ผูก วัดนาเจริญ ตำบลโพธิ์ศรี อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
- นกกระจอก (ท้าววรกิต-นางจันทะจร) ปริวรรตโดย พระอริยานุวัตร (อารีย์) เขมจารี วัดมหาชัย จังหวัดมหาสารคาม ได้ต้นฉบับมาจากวัดเกษรเจริญผล บ้านมะค่า อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม
- นกจอกน้อย จากเอกสารใบลานฉบับวัดโพธิ์ศรี บ้านลาด ตำบลศรีสุข อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ปริวรรตและเรียบเรียงโดย สมัย วรรณอุดร
- นกจอกน้อย โครงการปริวรรตหนังสือใบลานสืบสานวัฒนธรรม จากอักษรธรรมมรดกอีสานเป็นอักษรไทย โดย โสรัจ นามอ่อน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตอุบลราชธานี เอกสารวิชาการ ลำดับที่ ๕/๒๕๕๔ หน้า ๔๒ และหน้า ๔๘, หนังสือผูกใบลาน ผูก ๓.
ในอดีตกาล ยังมีนกกระจอกน้อยผัวเมียคู่หนึ่ง ทำรังอาศัยอยู่ในหนวดเคราของพระฤาษีอย่างมีความสุข ทุกวันนกตัวผู้จะออกไปหาเหยื่อ ส่วนตัวเมียจะกกไข่อยู่ในรัง วันหนึ่งแม่นกฟักไข่ ส่วนพ่อนกก็ออกไปหาเหยื่อตามปกติ และได้บินไปที่สระบัวแห่งหนึ่ง พ่อนกมัวแต่หาเหยื่อในดอกบัวเพลินลืมเวลาจนพลบค่ำ ดอกบัวก็หุบกลีบลง ทำให้พ่อนกออกมาจากดอกบัวไม่ได้ ต้องรอดอกบัวบานในเช้าวันรุ่งขึ้นจึงออกมาได้ และรีบบินกลับรังในทันที ฝ่ายแม่นกนั้นคิดว่า ผัวนอกใจไปมีเมียใหม่ จึงได้ทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นเพราะความหิวและหึงหวง ตัวผู้ได้สาบานแสดงความซื่อสัตย์ของตนต่อนกตัวเมียว่า "หากตนคิดมีชู้นอกใจเมีย ขอให้เป็นบาปเป็นกรรมอันร้ายแรงตัวเท่ากับพระฤาษี ขอให้ตกนรกอยู่ในอเวจี"
ฤาษีได้ยินนกสองตัวทุ่มเถียงกันเช่นนั้นจึงโกรธ ได้ถามนกออกไปว่า "ทำไมตนจึงมีบาป ทั้งๆ ที่บำเพ็ญเพียรมีตบะแก่กล้าดังนี้" นกตัวผู้บอกว่า "เป็นเพราะฤาษีไม่มีลูกสืบสกุล ตายไปก็ตกนรก" * ท่านฤๅษีได้ฟังก็โกรธมากในตอนแรก แต่เมื่อพิจารณาอย่างถ่องแท้ตามคติโบราณของชาวอินเดียและจีนแล้วจึงเห็นด้วย และตัดหนวดเคราออกพร้อมรังนก บอกให้ทั้งคู่ไปทำรังอาศัยอยู่ที่ป่าเลา (ป่าแขมป่าเลา) ส่วนพ่อฤๅษีจึงลาศีล สึกออกไปเป็นฆราวาส มีครอบครัวมีลูกหญิงชายจะได้ขึ้นสวรรค์พ้นนรกขุมปุตตะเสียที
* เป็นคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ตามคติความเชื่อของชาวอินเดียโบราณว่า หญิงชายที่ไม่แต่งงานพระเจ้าไม่รับขึ้นสวรรค์ และหนักยิ่งไปอีกว่า ถ้าชายที่แต่งงานแล้วถ้าไม่มีบุตร "ลูกชาย" สืบสกุลก็ยังตกนรกขุม "ปุตตะ" อยู่ดี ส่วนชาวจีนโบราณถือว่า "หญิง" เท่านั้นที่ไม่แต่งงานแล้วพระเจ้าไม่รับขึ้นสวรรค์ ผลกระทบด้านสังคมในป๎จจุบันทำให้ประเทศจีนและอินเดียมีประชากรมากกว่าพันล้านคน ประเทศอินเดียนั้นประเพณีแต่งงาน ฝ่ายหญิงจะต้องเสียค่าสินสอดทองหมั้นและค่าใช้จ่ายทุกอย่างแก่ฝ่ายชาย ส่วนประเพณีจีนฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายแสวงหาคู่ (ชาย) มาแต่งงานกับลูกสาวของตน ทั้งอินเดียและจีนจะมีประเพณีที่ตรงข้ามกับของไทยโดยสิ้นเชิง
นกสองผัวเมียได้อพยพพาลูกไปอาศัยอยู่ในป่าเลา จนอยู่มาวันหนึ่งเกิดไฟไหม้ป่า และลุกลามมาจนใกล้รังนกกระจอกคู่นี้ แม่นกได้ขอคำสัญญาจากพ่อนกว่า "ถ้าไฟไหม้มาถึงรัง ทั้งคู่จะไม่ยอมไปไหน จะยอมตายด้วยกันที่รังแห่งนี้พร้อมลูกน้อย ถ้าใครผิดคำมั่นสัญญาไม่ว่าชาติไหนจะไม่ยอมพูดกับเพศตรงข้ามอีกต่อไป" พ่อนกรับคำตามสัญญานั้น ในที่สุดไฟป่าก็ลุกลามมาถึงรังนก แต่เมื่อไฟมาถึงรัง พ่อนกทำผิดสัญญาบินออกจากรัง ส่วนแม่นกตั้งจิตอธิษฐานใจแน่วแน่ว่า "เกิดชาติหน้าขอให้เป็นคนพ้นจากกำเนิดเดียรัจฉาน (สัตว์) จะไม่ขอพูดกับผู้ชายอีก" แม่นกถูกไฟครอกตายคารังพร้อมลูกๆ ฝ่ายพ่อนกแม้จะบินออกจากรัง แต่ก็ไม่สามารถบินผ่านเปลวไฟอันโหมกระหน่ำอย่างแรงไปได้ ถูกไฟป่าไหม้ตายเช่นกัน และก่อนจะขาดใจตั้งสัจจะอธิฐานว่า "เกิดชาติหน้าขอให้เป็นคนพ้นจากกำเนิดสัตว์ จะขอพูดกับผู้หญิงตลอดไป"
คำสัตย์อธิษฐานเป็นจริงในภพชาตินี้แล้ว จากนั้นพ่อนกได้เกิดเป็นเจ้าชายชื่อ "ท้าววรจิต" ส่วนแม่นกก็ได้เกิดเป็นเจ้าหญิงชื่อ "จันทะจอน" หรือ จันทะจร พระนางจันทะจอนสาวแสนสวยก็ไม่เคยออกปากพูดกับชายใดๆ แม้แต่กับพระราชบิดา ทำให้พระราชบิดาเป็นทุกข์เป็นหนักหนา จึงได้ป่าวประกาศออกไปว่า "ถ้าผู้ใดสามารถทำให้ธิดาของตนพูดกับผู้ชายได้ หรือว่านางพูดกับชายใดก็จะยกนางให้ และยกเมืองให้ปกครอง" แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถทำได้
ท้าววรจิตได้ยินกิตติศัพทฺ์ความงามของนาง และทราบข่าวที่บิดาของนางจะยกนางให้กับผู้มีความสามารถทำให้นางพูดได้ จึงได้ไปร่ำเรียนวิชาถอดจิตกับพระฤาษีจนสำเร็จ แล้วจึงกลับไปอาศัยอยู่กับย่าจำสวน แล้วจึงให้ย่าจำสวนพาไปพบกับเจ้าเมือง เพื่ออาสาพูดกับนางจันทะจร ท้าววรจิตได้ถอดจิตไว้กับหมอนและเครื่องใช้ต่างๆ ในห้องนอนของนางจันทะจร ทำให้เครื่องใช้นั้นๆ พูดได้ และเล่านิทานให้หมอนฟัง ตอนสุดท้ายได้พูดถึงผู้หญิงต้องเสียเปรียบและพ่ายแพ้ผู้ชายตลอด แต่นางจันทะจรก็ยังไม่ยอมเอ่ยวาจาใดๆ ออกมา
ตัวท้าววรจิตนั้นจำเรื่องราวในอดีตชาติเมื่อครั้งเป็นนกกระจอกได้ จึงได้นำเรื่องนกกระจอกในอดีตชาติของตนมาเล่าให้หมอนฟัง แต่ตอนจบเรื่องแกล้งเล่าให้ผิดไปว่า "นกตัวเมียบินหนีไฟป่าไปเสียก่อน ปล่อยให้ตัวเองกับลูกน้อยถูกไฟคลอกตาย" คำพูดดังกล่าวแทงใจดำของนางจันทะจรซึ่งระลึกชาติได้เช่นกัน ทำให้นางโกรธมาก จึงพูดโต้แย้งออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า "เรื่องที่ท้าววรจิตพูดนั้นไม่เป็นความจริง" เมื่อพูดเพียงเท่านั้นเหล่าเสนาอำมาตย์ที่แอบดูเหตุการณ์อยู่ ก็เอาฆ้องกลองมาตีเสียงดังสนั่นก้องเป็นสัญญาณว่า นางจันทะจรได้พูดกับผู้ชายแล้ว
เจ้าเมืองทรงพอพระทัยที่เห็นลูกสาว นางจันทะจร พูดกับ ท้าววรจิต แล้ว ซึ่งท้าววรจิตก็เป็นเจ้าชายหนุ่มรูปงามจากต่างเมือง จึงมีรับสั่งให้อภิเษกสมรสท้าววรจิตกับเจ้าหญิงจันทะจรให้ครองเมืองแทนพระองค์ตามสัญญา ทั้งสองปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรม อย่างสุขเกษมสำราญ ในบั้นปลายชีวิตพระเจ้าวรจิตได้สละราชสมบัติออกผนวช แบบสันยาสีคตินิยม ของคนอินเดีย บำเพ็ญบารมีตามแบบฉบับของพระโพธิสัตว์จนสิ้นอายุขัย แม้พ่อฤๅษีก็สละเพศฆราวาส ออกบวชบำเพ็ญสมณะธรรม จนได้บรรลุโมกขธรรมเบื้องต้น เมื่อสิ้นอายุขัยได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์
ลำเรื่องต่อกลอน เรื่อง นกกระจอกน้อย - คณะเพชรอุบล (โดย ป.ฉลาดน้อย ส่งเสริม และคณะ)
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Word
- Hits: 15649
นิทานพื้นบ้าน เรื่อง ท้าวกำพร้าผีน้อย เป็นชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้าที่จุติลงมาเกิดที่เมืองอินทปัตถ์ เป็นเด็กที่กำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเล็ก เป็นเด็กขอทานเพื่อเลี้ยงชีพ ชาวบ้านบางคนก็เมตตาให้ทาน บางคนก็รังเกียจหาทางกลั่นแกล้งเสมอ และนิทานเรื่อง "ท้าวกำพร้าผีน้อย" ยังเป็นวรรณกรรมพื้นบ้านของทางฝั่ง สปป.ลาว และในภาคอีสานของไทย ที่มีต้นตำรับจากใบลาน มีการเรียบเรียงเป็นคำกลอน และสำนวนต่างๆ เรื่อง "ท้าวกำพร้าผีน้อย" เป็นเรื่องเก่าที่เล่าปากต่อปากเรื่อยมา ต้นฉบับนี้มาจากใบลาน อักษรธรรม ๑ ผูก วัดโนนกุง ตำบลนาคำ อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี มีเรื่องโดยย่อดังนี้
นิทานพื้นบาน - กำพร้าผีน้อย
ที่เมืองอินทปัตถ์ มีเด็กน้อยคนหนึ่งกำพร้าพ่อและแม่ ได้เที่ยวขอทานเขากินจนโตเป็นหนุ่ม จนเป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน และยังถูกไล่ออกไปทำไร่ทำนาบริเวณที่มีผีดุ แต่ยังดีที่เด็กกำพร้ายังมีวาสนา มีผีเป็นเพื่อน จีงได้ชื่อว่า "กำพร้าผีน้อย"
แล้วจึงออกจากเมืองมาทำนาทำไร่ ณ ที่แห่งหนึ่ง เมื่อข้าวพืชงอกงามขึ้น ได้มีสัตว์ต่างๆ มากิน แม้จะไล่อย่างไรก็ไม่ไหว เอาอะไรมาทำเครื่องดักก็ยังขาดหมด จึงไปขอเอาสายไหม จากย่าจำสวน (คนสวนของพระราชา) มาทำจึงจับได้ช้าง ช้างเมื่อถูกจับได้กลัวตายจึงร้องขอชีวิต และบอกว่าจะให้ของวิเศษถอดงาข้างหนึ่งให้ ท้าวกำพร้าผีน้อย จึงปล่อยไปแล้วเอางาช้างมาไว้ที่บ้าน
ต่อมาท้าวกำพร้าดักได้เสือ เสือก็ยอมเป็นลูกน้อง โดยบอกว่าถ้ามีเรื่องเดือดร้อนจะมาช่วย ต่อมาจับได้อีเห็น อีเห็นก็ยอมเป็นลูกน้อง เช่นเดียวกันกับเสือ ต่อมาจับพญาฮุ้ง (นกอินทรีย์) พญาฮุ้งก็ยอมเป็นลูกน้อง และตัวสุดท้ายจับได้คือ "ผีน้อย" ที่มาขโมยกินปลาที่ไซ ผีน้อยก็ยอมเป็นลูกน้อง
เมื่อตอนที่ได้งาช้างมานั้น ท้าวกำพร้าได้เอางาช้างมาไว้ที่บ้าน ในงาช้างนั้นได้มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ "นางสีดา" อาศัยอยู่ โดยที่ท้าวกำพร้าไม่รับรู้เรื่องนี้ คราใดที่ท้าวกำพร้าออกไปไร่นา นางสีดาได้ออกมาทำอาหารไว้รอท้าวกำพร้าทุกครั้งไป จนท้าวกำพร้าสงสัยว่า เป็นผู้ใดหนอมาทำอาหารมารอเราทุกวัน
ต่อมาท้าวกำพร้าได้แอบดูจนรู้ความจริง จึงจับนางไว้แล้วจึงทุบงาช้างนั้นเสีย เพื่อจะไม่ให้นางหลบเข้าไปอยู่อีก นางจึงได้อยู่กินเป็นภรรยากับ้าวกำพร้ามาตั้งแต่บัดนั้น ความสวยงามของสีดา เป็นที่เลื่องลือ ข่าวนี้ได้ยินไปถึงหูพระราชา จนพระราชาเห็นแล้วก็มีความรักใคร่ จึงคิดจะยึดเอาตัวนางสีดามาเสีย แต่ก็กลัวผู้คนจะติเตียน จึงได้ท้าทายท้าวกำพร้าให้พนันขันแข่งต่างๆ โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าท้าวกำพร้าแพ้ ก็จะยึดนางสีดามาเป็นของพระองค์ แต่ถ้าพระองค์แพ้จะยอมยกเมืองให้ครึ่งหนึ่ง
การแข่งขันในคราวนั้นคือ การชนวัว การชนไก่ การแข่งเรือ แต่ปรากฏว่า ท้าวกำพร้าชนะในการแข่งขันทุกครั้ง เพราะในการชนวัวนั้น เจ้าเสือแปลงเป็นวัวมาช่วยท้าวกำพร้า พอถึงการชนไก่ อีเห็นก็แปลงเป็นไก่มาช่วยกัดไก่ของพระราชาตาย ในการแข่งขันเรือนั้นพญาฮุ้งมาเป็นเรือและได้ทำให้เรือพระราชาล่มแล้วกินคนจนหมดทั้งลำรวมทั้งพระราชา
เมื่อพระราชาตายแล้วได้รวมหัวกับ "บ่างลั่ว" ตัวหนึ่ง โดยให้บ่างลั่วร้องเรียกวิญญาณของนางสีดามา โดยร้องครั้งแรกนางก็ไม่สบาย ร้องครั้งที่สองสลบไป ร้องครั้งที่สามนางจึงตาย วิญญาณของนางสีดาจึงได้มาอยู่กับพวกผีพระราชา
ส่วนท้าวกำพร้าปรึกษากับผีน้อย ผีน้อยบอกว่า "อย่าเพิ่งเผาจะตามไปดูวิญญาณของนางอยู่ที่ใด?" เมื่อผีน้อยตามจึงรู้เรื่องทั้งหมด ได้วางแผนจับบ่างลั่วตัวนั้น เข้าไปตีสนิทกับบ่างลั่วแล้ว สานข้อง (ที่ใส่ปลา) ครั้งแรกสานด้วยไม้ไผ่แล้วให้บ่างลั่วเข้าไปข้างใน แล้วให้ออกแรงยันดู ปรากฏว่า ข้องแตก
จึงสานใหม่ด้วยลวด แล้วบอกให้บ่างลั่วเข้าไปดูแล้วบอกให้ยันดูใหม่ ปรากฏว่า ข้องไม่แตกจึงรีบหาฝามาปิดขังบ่างลั่วไว้ แล้วรีบเอาข้องมาให้ท้าวกำพร้า เพื่อบังคับให้บ่างลั่วร้องเรียกเอาวิญญาณนางสีดากลับคืนมา ไม่เช่นนั้นจะฆ่าเสีย บ่างลั่วกลัวจึงร้องเรียกเอาวิญญาณนางสีดากลับมา โดยร้องครั้งแรกร่างของนางสีดาก็เคลื่อนไหว ร้องครั้งที่สองฟื้นขึ้น เมื่อร้องครั้งที่สามก็หายเป็นปกติทุกอย่าง
พอทุกอย่างปกติแล้ว ท้าวกำพร้าจึงหลอกว่า "ขอดูไอ้ที่ร้องเอาวิญญาณคนได้ไหม" บ่างลั่วจึงแลบลิ้นออกมาให้ดู ท้าวกำพร้าจึงตัดลิ้นบ่างลั่วนั้นเสีย เพราะกลัวมันจะร้องเอาวิญญาณไปอีก บ่างลั่วจึงร้องไม่ชัดตั้งแต่นั้นมา
เมื่อเจ้าเมืองอินทปัตถ์สิ้นชีพไปแล้ว ชาวเมืองจึงเชิญ "ท้าวกำพร้า" และ "นางสีดา" ปกครองบ้านเมืองสืบต่อมา ทั้งนี้เพราะความดีของท้าวกำพร้าจึงปกครองบ้านเมืองอยู๋เย็นเป็นสุขตลอดมา
นิทานลาว เรื่อง กำพร้าผีน้อย ນິທານລາວ ກຳພ້າກັບຜີນ້ອຍ
และเพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรสแห่งนิทานเรื่อง ท้าวกำพร้าผีน้อย นี้ให้มีความงดงามทางวรรณศิลป์จึงขอเอาลำเรื่องต่อกลอน ของ คณะเพชรอุบล ของศิลปินแห่งชาติ ป.ฉลาดน้อย ส่งเสริม และชาวคณะมาปิดท้ายนิทานเรื่องนี้ เชิญฟังลำกันม่วนๆ ได้เลยครับ
ลำเรื่อง กำพร้าผีน้อย โดย คณะเพชรอุบล (นำโดยหมอลำ ป.ฉลาดน้อย)
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Word
- Hits: 30166
นิทานพื้นบ้านอีสานเรื่อง "ท้าวก่ำกาดำ" นี้ เป็นวรรณกรรมย้ำสอนให้คนเห็น "คุณค่าของคน" ไม่ได้อยู่ที่รูปร่างหน้าตา แต่ให้มองที่ความสามารถ ความช่างพูด กตัญญูรู้คุณ และได้พรรณนาความไพเราะของเสียง "แคน" ดนตรีมหัศจรรย์ไม้ไผ่ของไทอีสาน เรื่องย่อมีดังนี้
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองอินทปัตย์ มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง หลังจากอยู่กินร่วมชีวิตกันมาเป็นเวลานานหลายปี แต่หาได้มีบุตรไว้สืบสกุลไม่ สามีจึงปรึกษากับภรรยาว่า “แม่นอีนางเอย อ้ายเห็นว่าเฮาก็อยู่ฮ่วมกันมาดนนานหลายปีแล้ว แต่ก็ยังบ่มีวี่แววได้ลูกน้อยจักเทื่อ อ้ายคืออยากมีลูกแท้ล่ะ แล้วน้องคึดจั่งใด๋” สามีถามทิ้งท้าย “คือกันนั่นแหล่วอ้าย การไม่มีลูกก็ส่ำกับขาดคนสืบเชื้อหน่อสายแนนแม่นบ่?” ภรรยาพูดเป็นเชิงถาม “ถ้าจั่งซั้นเฮาไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอลูกกันดีบ่นาง” สามีชวนเมื่อรู้ว่าภรรยาเห็นดีด้วยที่จะมีบุตร “ไปกะไปอ้าย เผื่อเทวดาฟ้าดินเพิ่นสิเวทนาสองเฮาได้สมใจ” ภรรยาตอบตกลง… เมื่อมีความเห็นตรงกัน และตกลงร่วมกันเช่นนั้น ทั้งสองจึงไปบนบานต่อศาลเทพารักษ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน
จากนั้นไม่นาน ภรรยาก็ตั้งครรภ์ และคลอดลูกออกมาเป็นลูกชาย แต่... แม้จะมีบุตรสมใจแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้เป็นมารดามีความสุขเลย เพราะกุมารน้อยที่เกิดมานั้นมีผิวดำเหมือน "อีกา" จนชาวบ้านเอาไปซุบซิบนินทานางว่า “มันต้องไปสมสู่กับอีกาแน่ๆ ลูกจึงเกิดมาดำอย่างนั้น”… “ข้าว่าในอดีตมันต้องเป็นคนใจดำ อาจทำชั่วมาก่อนจึงได้ลูกดำมากขนาดนั้น” คำพูด คำนินทามีมากขึ้น ยิ่งนานวันการซุบซิบปากต่อมากกระทั่งพูดกันทั่วบ้านทั่วเมือง ทำให้ผู้เป็นมารดารู้สึกอับอาย
เมื่อผู้เป็นมารดาก็รู้สึกละอายที่ต้องมีลูกชายรูปชั่วตัวดำ จนนางอดทนไม่ไหวถึงกับเอ่ยปากกับผู้เป็นสามีว่า “อ้ายเอย.. นางคือสิเลี้ยงลูกคนนี้บ่ไหวแล้ว เลี้ยงมันไว้ยิ่งนับวันก็ยิ่งอับอายขายหน้า ผู้คนในหมู่บ้านหาว่าน้องไปสมสู่กับอีกาจึงมีลูกตัวดำปี๋อย่างนี้ บางคนก็บอกว่าชาติก่อนน้องคงใจดำ ทำบ่ดีไว้หลายจนชาตินี้ได้ลูกดำคืออีกา” สามีไม่ปริปากว่าอะไร ได้แต่นั่งคิด ภรรยาเห็นสามีไม่พูดจาจึงปรึกษาว่า “นางว่าเอาลูกเฮาไปลอยแพถิ่มเสียดีบ่อ้าย”
เมื่อได้ยินคำว่า “เอาลูกไปทิ้ง” สามีก็เริ่มปริปากพูด “เขาจะพูดกันก็ช่างปะไร แกจะไปเดือดร้อนทำไม ถึงตัวมันดำ ก็มีแขนขาหูตาครบส่วนทุกอย่าง ถึงอย่างไรก็เป็นลูกเรา นี่แกคิดจะลอยแพลูกทิ้งเชียวเหรอ” ผู้เป็นสามีติงอยางไม่เห็นด้วยกับฝ่ายภรรยา
เมื่อเห็นสามีไม่เห็นด้วย จึงคิดกลอุบายหาทางกำจัดกุมารน้อยรูปชั่วตัวดำ โดยไปให้สินบนกับโหรทำนายทายทักไปในทางไม่ดี เพื่อให้สามีของนางเชื่อตามนั้น “อย่ากระนั้นเลย ข้าอายคนมาก ข้าต้องหาหาเอาลูกไปทิ้งให้ได้ เมื่อเขาไม่ยอมเราก็ควรหาวิธีอื่น วิธีที่ดีที่สุดก็คือให้โหรช่วยทำนายว่าลูกจะทำภัยพิบัติมาให้ แล้วเขาก็จะเชื่อ” นางวางแผน “อ้าย นางว่าเฮาไปปรึกษาพ่อโหรดีบ่” นางชวนสามี สามีคิดนิดหนึ่งแล้วตอบว่า “เออ…..ก็ดี เพราะโหรเขาจะรู้อนาคตได้ดี” แล้วทั้งสองก็ไปให้โหรทำนาย
เมื่อพ่อโหรถูกว่าจ้างติดสินบนไว้แล้ว ดังนั้นเมื่อมาที่บ้านของสามีภรรยา ก็บอกให้นำกุมารน้อยมาไว้ตรงหน้า แล้วถามถึงเดือน/ปี/เกิด/เวลาตกฟาก ซึ่งฝ่ายผู้เป็นภรรยาก็บอกให้โหรทราบทุกประการ ส่วนผู้เป็นสามีคอยนั่งฟังโหรทำนายด้วยใจจดใจจ่อ เพราะเขารักและสงสารลูกชายตัวดำของเขามาก ผู้เป็นบิดาไม่เคยรังเกียจลูกเลย แม้จะเกิดมาตัวดำปี๋เหมือนอีกา หรือเหมือนถ่านก็ตามที ฝ่ายโหรเมื่อได้เวลาเกิดและยามตกฟากของกุมารผิวถ่านแล้ว ก็ทำทีขีดเขียนกระดานเพื่อคำนวณถึงดวงชะตาราษี
เขาจึงทำนายไปตามที่ได้รับสินบนตามต้องการของหญิงผู้เป็นแม่… “โอ้… กุมารน้อยตัวดำเกิดมาในฤกษ์เป็นกาลกิณีแท้ๆ จะนำภัยพิบัติมาสู่พ่อแม่ ขืนเลี้ยงไว้มีแต่จะทำให้ทุกข์ยากถึงขนาดพ่อแม่จะอายุสั้น ต้องพรากจากกันเลยทีเดียว กุมารน้อยช่างเกิดมามีกรรมน่าสงสารแท้ๆ” ตอนท้ายโหรแกล้งบีบเสียงให้สมจริงสมจัง
“นี่… พ่อโหรคำนวณไม่ผิดพลาดแน่นะ” ผู้เป็นพ่อสงสัย สงสารและเป็นห่วงลูกชายตัวดำ “รับรองว่าตรวจทานตามวันเวลาเกิด และเวลาตกฟากถูกต้องทุกประการ” โหรยืนยันตามเดิม
ผู้เป็นพ่อถึงจะรักและสงสารลูกน้อยตัวดำมากมายเพียงใด ก็มิอาจจะเลี้ยงได้แล้ว คำว่า “ภัยพิบัติ” และ “กาลกิณี” หมายถึงสิ่งชั่วร้ายจะต้องเกิดกับครอบครัว ไหนอายุพ่อแม่จะต้องสั้น ลูกอัปมงคลอย่างนี้คงเลี้ยงไว้ไม่ได้แล้ว กุมารน้อยตัวดำปี๋จึงลูกลอยแพทิ้งให้ลอยไปตามสายน้ำ แล้วแต่บุญกรรมนั่นแล้ว…
ร้อนไปถึงเทวดาบนสรวงสวรรค์ที่ทิพยอาสน์เคยอ่อนนุ่ม ก็กลับมาแข็งกระด้างร้อนดังไฟ ท่านจึงสอดส่องลงมายังโลกมนุษย์เบื้องล่าง ก็เห็นกุมารน้อยถูกลอยแพไหลไปตามกระแสน้ำ จึงได้ดลบันดาลให้แพลอยไปเกยตื้นใกล้กับอุทยานของพระราชา
บ่ายวันนั้น ย่าจำสวน (คนเฝ้าอุทยานของพระราชา) ลงมาอาบน้ำที่ท่าน้ำ ได้พบแพลอยน้ำใกล้เข้ามา ครั้นย่าจำสวนเพ่งมองลงไปในแพ เห็นกุมารน้อยตัวดำนอนดินกระแด่วอยู่ก็ดีใจ เพราะตัวเองก็ยังไม่มีลูก ทั้งที่อยู่กินกับสามีมาหลายปีแล้ว “โอ้…เจ้านี่เกิดมาตัวดำ ดำเหมือนอีกา แม่จะเลี้ยงเจ้าไว้ และจะตั้งชื่อให้นะ”… ย่าจำสวนนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ควรจะตั้งชื่ออย่างไรจึงจะสมรูปสมร่าง ในที่สุดก็คิดได้จึงร้องออกมาว่า…. “เออ…ข้าคิดออกแล้ว เจ้าเกิดมาตัวดำ ดำเหมือนกา ดำเหมือนถ่าน ชื่อว่า “ท้าวก่ำกาดำ” ก็แล้วกัน”
ท้าวก่ำกาดำเจริญเติบโตขึ้นมา เพราะคนเฝ้าอุทยานของพระราชาเลี้ยงดู จนกลายเป็นหนุ่มใหญ่ เขาเป็นคนขยันขันแข็ง ช่วยงานปลูกต้นไม้ ดูแลต้นไม้ในอุทยานอย่างเอาใจใส่ จนต้นไม้ในอุทยานไม่ว่าจะเป็นไม้ดอกไม้ผลก็ออกดอกติดผลจนกิ่งห้อยระดิน ท้าวก่ำกาดำจึงเป็นที่รักใคร่ของครอบครัวคนเฝ้าอุทยานของพระราชยิ่งนัก…
วันหนึ่ง พระธิดาทั้งเจ็ดของพระราชาเสด็จมาชมสวนพร้อมสาวสนมในวัง ท้าวก่ำกาดำแอบดูความสวยงามของพระธิดาทั้งเจ็ด ซึ่งแต่ละนางล้วนมีความสวยงามมิได้ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่ท้าวก่ำกาดำมีความสนใจในพระธิดาน้องนุชสุดท้องคนที่เจ็ด มีชื่อว่า “นางลุน”
ท้าวก่ำกาดำนั้นมีความสามารถหลายอย่าง ตั้งแต่การดูแลปลูกต้นไม้ให้เจริญงอกงาม การร้อยมาลัยดอกไม้ (ตามที่ย่าจำสวน แม่เลี้ยงของเขาสอนมาแต่เด็ก) และอีกอย่างหนึ่ง คือ ความสามารถในการเป่า "แคน" ได้ไพเราะเพราะพริ้งมาก หากใครได้ยินเสียงแคนของท้าวก่ำกาดำก็จะหลงใหลจนลืมตัว
หลังจากแอบดูนางลุนในวันนั้น เขาก็เลยอาสาร้อยพวงมาลัยดอกไม้สด เป็นรูปหนุ่มชมเชยสาว บรรยายในความรักที่มีต่อนางลุน แล้วให้ย่าจำสวนนำไปถวายนางลุนในวัง นางลุนได้รับพวงมาลัยบรรยายเป็นความรัก จึงเกิดความหลงใหลใคร่อยากเห็นหน้าผู้ร้อยมาลัยมาถวาย ตอนค่ำทุกวัน ท้าวก่ำกาดำจะเป่าแคนให้เสียงแคนลอยตามลมไปจนถึงวัง
ครั้นพระราชาได้ฟังเสียงแคนที่ไพเราะ จึงมีรับสั่งให้คนเฝ้าอุทยานนำท้าวก่ำกาดำไปเป่าแคนถวายในวัง จนเป็นที่โปรดปรานของพระราชา หากวันใดพระองค์ไม่ได้ฟังเสียงแคนของท้าวก่ำกาดำ พระองค์จะบรรทมอย่างไรก็ไม่หลับ ดังนั้นท้าวก่ำกาดำจึงต้องเข้าไปเป่าแคนถวายพระราชาในวังทุกค่ำคืน…
ครั้นเมื่อพระราชาบรรทมหลับด้วยมนต์เสียงแคนของท้าวก่ำกาดำ จึงเป็นโอกาสให้หนุ่มรูปกายดำราวกับอีกาถือโอกาสไปพบกับนางลุน ด้วยความเมตตาของพระอินทร์จึงช่วยให้ท้าวก่ำกาดำถอดรูปเป็นชายหนุ่มรูปงาม และลักลอบได้เสียกับพระธิดาองค์เล็ก คือ นางลุน
ท้าวก่ำกาดำได้ขอให้ย่าจำสวนไปสู่ขอนางลุนมาเป็นคู่ชีวิตของตน พระราชาไม่รังเกียจ แต่ก็เรียกค่าสินสอดเป็นเงินทองมากมาย รวมทั้งให้ท้าวก่ำกาดำสร้างสะพานเงิน สะพานทองจากในอุทยานมาจนถึงวังของนางลุน ถ้าท้าวก่ำกาดำทำได้ตามรับสั่ง จึงจะยกธิดานางลุนให้…
ท้าวก่ำกาดำเป็นคนมีบุญญาธิการลงมาเกิด เป็นโอรสจากสวรรค์ พระอินทร์จึงลงมาช่วยอีกครั้งหนึ่ง โดยเนรมิตเงินทองสินสอดทองหมั้น พร้อมสร้างสะพานทองจากอุทยานถึงวังของนางลุนได้สมกับความต้องการของพระราชา ท้าวก่ำกาดำจึงได้แต่งงานกับพระธิดานางลุนและอยู่อย่างมีความสุข
ท้าวก่ำกาดำได้รับพ่อแม่ (ย่าจำสวน) และได้ออกสืบหาพ่อแม่ที่แท้จริงของตน พร้อมทั้งได้รับทั้งหมดเข้ามาเลี้ยงดูในวัง เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณทุกคน ท้าวก่ำกาดำจึงอยู่กับคนรักและพ่อแม่อย่างมีความสุขสมหวังดังประสงค์ทุกประการสืบมา
ลำเรื่อง "ท้าวก่ำกาดำ" โดย ป.ฉลาดน้อย ส่งเสริม - อังคนางค์ คุณไชย
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Word
- Hits: 17063
นิทานวรรณคดีที่เด่นๆ ของ สปป. ลาว ที่เป็นที่นิยมมานานกว่าสามร้อยปี เป็นนิทานสุภาษิตที่คนลาวให้ความสำคัญหลาย ก็คือ วรรณคดีเรื่อง “ท้าวเสียวสวาด” หรือ “ศรีเสลียว เสียวสวาด” มีการแยกย่อยออกมาเป็น “ปัญหาเสียวสวาด” “ผญาเสียวสวาด”
"ท้าวเสียวสวาด" ฟังชื่อผิวเผิน อาจจะเข้าใจว่า "เป็นนิทานตลกโปกฮาไปในทางลามก สองแง่สามง่าม" แต่จริงๆ แล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องลามกทำนองนั้นเลย ท้าวเสียวสวาด เป็นคนมีปัญญาฉลาดหลักแหลม แล้วก็ใช้ปัญญาอันฉลาดนั้นช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ เป็นที่ปรึกษาของพระราชา จนเป็นที่ยอมรับของคนทั้งหลาย ถ้าจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ "ท้าวเฉลียวฉลาด" นั่นเองแหล่ะ
จากวรรณคดีเรื่อง ท้าวเสียวสวาด นั้นมีผญาสุภาษิตคำสอนต่างๆ มากมาย ชาวบ้านชาวเมืองทั้งชาวลาวและชาวไทยภาคอีสาน ได้นำมาเป็นคำสอนและหลักปฏิบัติสืบต่อมาดนนานแล้ว แต่ปัจจุบัน คนที่ฮู้ "ผญาเสียวสวาด" มีน้อยแฮง บางเทื่อผญาที่เอามาเว้ากัน กะมาจากผญาเสียวสวาด แต่กะบ่ฮู้ว่ามาจากผญาเสียวสวาด เลยกะมี ดังเช่น
นกอีเอี้ยงกินหมากโพธิ์ไทร แซวแซว เสียง บ่มีโตฮ้อง แซวแซวฮ้อง โตเดียวเหมิดหมู่.."
..คำปากพ่อแม่นี้ หนักเกิ่งธรณี
ใผผู้ยำแยงนบ หากสิเฮืองเมื่อหน้า
ในให้เสมอน้ำ คุงคาสมุทรใหญ่
ให้เจ้าคึดถี่ถ้วน ดีแล้วจึงค่อยจา
อย่าได้เฮ็ดใจเพี้ยง เขาฮอขมขื่ม
ความคึดเจ้าอย่าตื้น เสมอหม้อปากแบน
สิบตำลึงอยู่ฟากน้ำ อย่าได้อ่าวคนิงหา
สองสะลึงแล่นมามือ ให้เจ้ากำเอาไว้
มีเงินล้นเต็มถง อย่าฟ้าวอ่งหลายเน้อ
ลางเทื่อ ทุกข์มอดไฮ้ เมื่อหน้าส่องบ่เห็น
เงินหากหมดเสียแล้ว ขวัญยังดอมไถ่
อันว่าผ้าขาดแล้ว แซงนั้นหากยัง
ฮักผัวให้ มีใจผายเผื่อ
ฮักผัวให้ฮักพี่น้อง แนวน้าแม่ผัว
ฟักเฮือไว้ หลายลำแฮท่า
หม่าข้าวไว้ หลายบ้านทั่วเมือง.. "
นิทานเรื่อง "ท้าวเสียวสวาด" ในยุคหลังๆ ที่นำมาตีพิมพ์เผยแพร่ในไทยจึงเขียนใหม่เป็น "ท้าวเสียวสวาสดิ์" เป็นวรรณกรรมประเภทปรัชญาธรรมคําสอน และคติธรรม ความเชื่อ มีเนื้อเรื่องแทรกนิทานสลับคําสอนที่เป็น ปรัชญาธรรมแนวคิด และคติธรรมความเชื่อสลับกันไปตลอด เรื่องที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตประชาชนชาวลาวและชาวไทยอีสานส่วนใหญ่ เรื่องมีอยู่ว่า...
ในเมืองพาราณสี มีกุฎุมพีชราสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง มีบุตร 2 คน ผู้พี่ชื่อ "ศรีเฉลียว" นิสัยเงียบขรึมหนักแน่น ผู้น้องชื่อ "เสียวสวาสดิ์" นิสัยประเปรียว วํองไว ต่อมาพ่อแม่สร้างบ้าน 2 หลัง สร้างเสร็จแล้วหลังหนึ่ง อีกหลังหนึ่งยังไม่เสร็จ พ่อได้เรียกลูกทั้ง 2 มาให้เลือกเอาเรือนคนละหลัง เพื่ออยากทดสอบว่า ลูกชายทั้งสองคน "ผู้ได๋ฉลาดกว่ากัน สิได้อยู่นำกันบ่"
พ่อก็เลยถามปัญหาปริศนาว่า "มีเฮือนอยู่สองหลัง หลังหนึ่งสร้างเป็นเฮือนเสร็จเรียบร้อยเข้าอยู่ได้เลย อีกหลังหนึ่ง ยังบ่ทันได้สร้าง แต่ว่ามีไม้ มีอุปกรณ์ทั้งหลายครบเหมิดแล้ว เจ้าสองคน สิเลือกเอาเฮือนหลังได๋”
ท้าวศรีเฉลียวผู้พี่กะตอบว่า “ข้อยเลือกหลังแรก ที่สร้างเสร็จเรียบร้อยพร้อมอยู่”
ส่วนท้าวเสียวสวาสดิ์ผู้น้องกะตอบว่า “ข้อยเลือกเฮือนหลังที่ยังบ่ทันสร้าง”
พอฟังคำตอบที่บ่คือกัน ผู้พ่อกะฮู้ทันทีว่า "ลูกชายทั้งสอง สิบ่ได้อยู่นำกัน... ผู้พี่ สิอยู่กับที่ ตั้งหลักปักฐานอยู่บ้านหม่องนี้ เพราะชอบบ้านที่สร้างเสร็จแล้ว.. ส่วนผู้น้อง สิร่อนเร่พเนจรไปตั้งหลักปักฐานอยู่หม่องอื่น เพราะชอบบ้านหลังที่ยังบ่ทันสร้าง สิเอาไปปลูกหม่องได๋กะได้ เพราะมีไม้มีอุปกรณ์ครบเหมิดแล้ว..."
ต่อมาพ่อแม่ก็ถึงแก่กรรม แต่ก็ได้สั่งสอนให้ลูกได้มีความโอบอ้อมอารี ต่อผู้อื่น อย่าขี้เกียจ หมั่นศึกษาหาความรู้ อย่าหูเบาใจน้อย ให้เชื่อฟังคําพ่อสั่งไว้ มีหลายประการด้วยกัน เช่น "อย่าคบคนโลเล อนึ่ง เจ้าจะมีคู่ครองให้เว้น สตรีสามผัว เจ้าหัวสามโบสถ์" หมายความว่า อย่าคบคนโลเล อย่านำมาเป็นคู่ครอง อนึ่ง "ให้เจ้าฟันเฮือไว้หลายลำ แฮท่า ให้เจ้าหม่าข้าวไว้หลายบ้านแขกสิโฮม" หมายความว่า ให้เป็นคนมีใจกว้าง เผื่อแผ่แก่ญาติพี่น้อง และเตรียมทําไว้คอยจุนเจือ ชํวยเหลือสงเคราะห์หมู่คนชาวบ้าน และทั้งสองพี่น้องได้ปฏิบัติตามคําสอนของพระพุทธเจ้าที่ให้เว้นความชั่วสามประการ คือ
- เพิ่นบ่เอิ้นอย่าขาน หมายถึง เพื่อนไม่เรียกอย่าขาน
- เพิ่นบ่วานอย่าช่วย หมายถึง เพื่อนไม่ออกปากวานอย่าช่วย
- เพิ่นบ่ย่องกลับยกยอตนเอง หมายถึง เพื่อนไม่ยกย่องชมเชย แต่กลับยกย่องตัวเอง เป็นคนจัญไร
ยกนิทานนกกระแดดเด้าจะถูกเหยี่ยวรุ้งจับกิน เพราะไม่เชื่อคําสั่งสอนพ่อแม่ แทบเอาตัวไม่รอด เมื่อเอาตัวรอดได้ด้วยอุบายก็ได้ปฏิบัติตามคําสอนของพ่อแม่ เหยี่ยวรุ้งประมาทบินถลาโฉบลงจะจับนกกระแดดเด้ากินเป็นอาหาร เลยตกลงปะทะโขดหินตาย นกกระแดดเด้าเลยเอาตัวรอดมาได้
พระพุทธองค์ทรงสอนวํา "ปราชญ์ยํอมไมํหวั่นไหวฟูขึ้น จมลง ตามอิฐารมย์ และอนิฐารมณ์ ของโลกธรรม 8" คือ ได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์
นักปราชญ์ ไม่ส้องเสพสิ่งแวดล้อมที่เลว เพราะสิ่งแวดล้อมกําหนดวิถีชีวิตไดั คนจึงควรอยูํในที่ที่เป็นมงคล เช่น นิทานช้างพลายที่ได้ฟังเรื่องโจรพูดเรื่องปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ มีความประพฤติเลวเหมือนโจร ม้าสงครามของพระยาที่คนขาเป๋เลี้ยงจูง ม้าก็เดินเหมือนคนเลี้ยง นกแขกเต้าที่โจรเลี้ยงก็เหมือนโจร แต่ที่ฤๅษีเลี้ยงก็เหมือนฤๅษี นิทานการตัดสินคดีไม่เป็นธรรม เพราะ อคติ 4 เป็นต้น
ท้าวเสียวสวาสดิ์ คิดถึงคําปรัชญาชาวบ้านข้อว่า บ่ออกจากบ้าน บ่ฮู้ฮ่อมทางไป บ่เฮียนวิชา บ่มีความฮู้ หมายความว่า คนเราถ้าไม่สามารถไปไหนมาไหนเลย ก็จะไม่รู้อะไร เห็นอะไร ไม่รู้เหนือใต้ก็มืดมน คนเราถ้าไม่สนใจศึกษาหาประสบการณ์ ก็ไม่มีความรู้เป็นคนโง่เง่า เต่า ตุ่น ไทยอีสานว่า หมากินความคึด
วันหนึ่ง มีพํอค้าสําเภาจากเมืองจําปา (เมืองจาม) มาจอดพักที่ท่าน้ำ ท้าวเสียวสวาสดิ์ได้ขอโดยสารไปกับนายสําเภา ระหวํางเดินทางผํานสถานที่ต่างๆ ตลอดเวลา ท้าวเสียวสวาสดิ์ ก็ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นปริศนาว่า
- แก่งที่เราผ่านมานั้น มีหิน หรือบ่ ? (หินแร่เงิน, ทองคํา)
- บ้านที่เราผ่านมานั้น มีคนเฒ่าสามขา หรือบ่ ? (ผู้เฒ่าจําศีล)
- ดงที่เราผ่านมานั้น มีไม้ บ่ ? (ไม้จันทน์หอม, ไม้กฤษณา)
- เมืองที่เราผ่านนั้น มีเจ้าครองนคร บ่ ? (พระราชทรงทศพิธราชธรรม)
- ในวัดนี้มีพระเจ้าอยู่เฝ้ารักษา บ่ ? (พระสงฆ์ผู๎ทรงศีล)
นายสําเภาไม่เข้าใจปริศนาธรรม คิดว่า ท้าวเสียวสวาสดิ์เป็นอะไรไป เป็นคนบ้องหรือเปล่า? ทำให้บรรดาลูกเรือทีได้ยินคำถามที่ท้าวเสียวสวาสดิ์ถามนายสำเภา ก็เกิดหัวเราะเยาะกันอย่างสนุกสนาน เห็นเป็นเรื่องตลกขบขัน บ้างก็คิดว่าเป็นคำถามที่โง่ที่สุด นายสำเภาจึงเตือนท้าวเสียวสวาสดิ์ว่า "เราล่องเรือมาเพื่อค้าขาย ควรพูดแต่เรื่องกำไร ขาดทุน หรือสิ่งที่เป็นมงคลเท่านั้น อย่าพูดในเรื่องที่ไร้สาระ และอย่าพูดนอกเรื่องนอกราว" แตํใจหนึ่งก็คิดจะได้เป็นลูกเขยเพราะขยันขันแข็งกว่าคนอื่นๆ การเดินทางผ่านไปหลายวัน
จนกระทั่งเดินทางมาถึง "เมืองจำปา" อันเป็นบ้านเมืองของนายสำเภา บรรดาลูกเรือทั้งหลายต่างก็แยกย้ายกันกลับไปบ้านเรือนของตน ส่วนท้าวเสียวสวาสดิ์ได้ไปพักอาศัยอยู่กับบ้านนายสำเภา ซึ่งนายสำเภาได้เล่าเรื่องราวการไปค้าขายให้ลูก-เมียของเขาฟัง และเล่าว่า "ครั้งนี้โชคดีกว่าครั้งที่ผ่านๆ มาคือ ได้ลูกชายจากเมืองพาราณสีมาด้วยคนหนึ่ง นับเป็นชายหนุ่มที่ขยันขันแข็ง เอาการเอางาน หนักเอาเบาสู้ ที่สำคัญคือเป็นคนซื่อสัตย์และมีบุคลิกดี แต่เสียอยู่อย่างเดียวคือ ชอบพูดชอบถามในเรื่องไร้สาระ"
ในขณะที่นายสำเภาเล่าเรื่องท้าวเสียวสวาสดิ์อยู่นั้น นางสีไว ธิดาสาวสวยของนายสำเภาก็นั่งฟังอยู่ด้วย จึงสนใจอยากทราบว่า ชายหนุ่มคนนี้ถามว่าอย่างไร บิดาของนางจึงเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ นางจึงขอให้บิดาเล่าให้ฟัง เมื่อนางได้ฟังโดยตลอดแล้ว จึงพูดกับบิดาของนางว่า
- ที่เสียวสวาสดิ์ถามว่า ในเมืองมีเจ้ามืองไหม เขาหมายถึง มีผู้ปกครองบ้านเมืองที่มีคุณธรรมในการปกครองบ้านเมืองหรือไม่
- ที่ถามว่า ในป่ามีต้นไม้ไหม หมายความว่า มีต้นไม้ที่มีค่ามีราคาหรือไม่ เช่น ไม้หอม ไม้แก่นจันทน์ เป็นต้น
- ที่ถามว่า มีบ้านคนอยู่ไหม หมายความว่า มีนักปราชญ์ราชบัณฑิตที่ฉลาดรอบรู้หรือไม่
- ที่ถามว่า ในวัดมีพระไหม หมายถึง พระสงฆ์ผู้ทรงศีล รอบรู้พระธรรมวินัย
- ที่ถามว่า หาดทรายมีหินไหม หมายความถึง หินที่มีคุณค่ามีราคา อันได้แก่ เพชรนิลจินดา แก้วมณีไพฑูรย์ต่าง ๆ
- ที่ถามว่า เมืองนี้มีคนแก่ไหม หมายถึง คนแก่ที่มีศีลธรรมที่น่าเคารพนับถือ
เมื่อนางสีไวได้อธิบายคำถามของท้าวเสียวสวาสดิ์ให้บิดาฟัง ทำให้บิดา-มารดาของนาวสีไวมีความพอใจที่ธิดาของตนมีความเฉลียวฉลาด สามารถล่วงรู้ถึงปัญหาที่ท้าวเสียวสวาสดิ์ซักถามเป็นอย่างดี ส่วนตัวท้าวเสียวสวาสดิ์เองก็เป็นคนที่มีปัญญาหลักแหลมสมชื่อ และมิได้โง่เง่าดังที่คนอื่นเข้าใจ ดังนั้นบิดามารดาของนางสีไวจึงรักและพอใจท้าวเสียวสวาสดิ์ จนได้ตัดสินใจจัดการแต่งงานให้ท้าวเสียวสวาสดิ์กับนางสีไวอย่างสมเกียรติ
ต่อมา "เจ้าเมืองจำปา" ปกครองบ้านเมืองอย่างไร้คุณธรรม ทำให้ประชาชนเกิดความระส่ำระสาย ไม่มีความสุขไปทุกหย่อมหญ้า ประชาชนต่างก็หวาดระแวงว่า จะไม่ได้รับความปลอดภัยทั้งแก่ตนเองและครอบครัว ตัวเจ้าเมืองจำปาเองนั้น ก็ระแวงว่าภัยจะเกิดแก่ตน จึงเกณฑ์ชาวเมืองให้มานอนเฝ้าระวังภัยให้แก่พระองค์คืนละห้าร้อยคน ครั้นตกดึกบรรดาพวกเวรยามต่างก็พากันนอนหลับสนิท เจ้าเมืองจำปาจะเดินออกมาและใช้ดาบตัดคอพวกเวรยามเหล่านั้นให้ตายไปทุกคืน
เหตุการณ์ เช่นนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้วสามคืน มีคนถูกฆ่าตายจำนวนหนึ่งพันห้าร้อยคน ในคืนที่สี่จะถึงเวรของ "นายสำเภา" พ่อตาของเสียวสวาสดิ์นั่นเอง นายสำเภารู้ตัวดีว่าจะมีชีวิตอยู่อีกเพียงวันเดียวเท่านั้น หลังจากที่ไปเฝ้าเวรยามแล้ว เขาคงต้องถูกฆ่าตายและไม่ได้กลับมาพบลูกเมียอีกต่อไป นายสำเภาจึงเรียกลูกสาว เมียและลูกเขยมาพร้อมกัน พร้อมกับสั่งลา และมอบทรัพย์สมบัติให้
แต่ท้าวเสียวสวาสดิ์ไม่ยอมให้พ่อตาไปเฝ้าเวรยาม และรับอาสาจะไปเฝ้าเวรแทนให้ได้ แม้พอตาจะห้ามก็ไม่ยอม เพราะจะไปเข้าเวรยามแก้ปัญหาเจ้าเมืองฆ่าคนเข้าเวรมามากแล้ว โดยกล่าวเป็น ปรัชญาปริศนาว่า "ซิ้นบ่ขาด อย่าให้คุงเขียง เรื่องการเมือง ลูกขอแทนให้" หมายความว่า เนื้อไมํขาด อยําให้มีดถึงเขียง เรื่องการเมือง ลูกขอแทนพ่อ ลูกเขยขอตายแทนพ่อตา นายสำเภาเห็นความกตัญญูของท้าวเสียวสวาสดิ์ และไม่อาจจะทัดทานได้จึงยินยอม ดังนั้นท้าวเสียวสวาสดิ์จึงไปเฝ้าเวรแทนพ่อตาในคืนที่สี่นั้นเอง
ครั้นถึงเวลาท้าวเสียวสวาสดิ์ได้เลือกนั่งยามตรงทางผ่านขึ้นลง พร้อมทั้งนั่งบริกรรม ภาวนา พระคาถาอยู่นานจนกระทั่งเที่ยงคืน เวรยามคนอื่นหลับหมดแล้ว ซึ่งก็เป็นขณะเดียวกับที่เจ้าเมืองจำปาถือดาบออกมา และกำลังจะยกดาบขึ้นฟันคอคนที่นอนหลับเหล่านั้น ท้าวเสียวสวาสดิ์ก็ท่องคาถาให้เกิดเสียงดังขึ้น "ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงกะระณาอะหังปิ ตัง ชานามิ ฯ..." ภาวนาไม่หยุดยั้ง หมายความว่า ท่านทำอะไรอยู่ๆ แม้เราก็รู้ๆ...
เจ้าเมืองจำปาได้ยินเสียงที่ท้าวเสียวสวาสดิ์ท่องบ่นก็เดินกลับเข้าไป สักครู่หนึ่งก็เดินถือดาบออกมาอีก ท้าวเสียวสวาสดิ์จึงกล่าวเป็นปริศนาอีก เจ้าเมืองจำปาได้ยินเสียงเดินกลับไปอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งจวนสว่างจึงถือดาบออกมาอีก ท้าวเสียวสวาสดิ์จึงกล่าวเป็นปริศนาอีก เจ้าเมืองจึงเดินกลับเข้าไปอีก เป็นอันว่า ตลอดคืนที่สี่นั้นไม่มีใครถูกฆ่า
พอรุ่งเช้า พวกเวรยามต่างก็พากันกลับบ้านเรือนของตน พอตกเย็นวันนั้นเอง เจ้าเมืองจึงเรียกเวรยามทั้งหมดมาประชุม แล้วถามว่า "เมื่อคืนที่ผ่านมามีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น" พร้อมกับถามว่า "เป็นเสียงพูดของใคร"
ท้าวเสียวสวาสดิ์จึงรับว่าตนเป็นคนพูด เจ้าเมืองจึงถามเสียวสวาดว่า "คเตสิ คเตสี กิงการณา คเตสิ" หมายความว่าอย่างไร
ท้าวเสียวสวาสดิ์จึงกราบทูลเล่าเรื่องให้ฟังว่า "หมายถึงชายสองคนเป็นเพื่อนกัน คนหนึ่งชอบทอดแห อีกคนหนึ่งชอบฟังธรรม วันหนึ่งคนที่ชอบทอดแห ไปทอดแหทั้่งวันไม่ได้ปลาสักตัวจึงคิดอยากไปฟังธรรม ส่วนคนที่ชอบฟังธรรม ฟังธรรมตลอดมาทั้งวันแต่ก็จำอะไรไม่ได้เลย จึงคิดอยากไปทอดแหดูบ้าง ในลักษณะเช่นนี้ผลบุญที่ได้นี้ได้แก่ คนทอดแห"
เจ้าเมืองถามต่ออีก คำว่า "อหังปิตัง ชานามิ ชานามิ" หมายความว่าอย่างไร
ท้าวเสียวสวาสดิ์กราบทูลว่า "มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ กุททาละมีจอบกับเสียมเป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน ถึงแม้ว่าไปบวชก็ยังคิดถึงจอบกับเสียม ครั้นสึกออกมาแเล้วก็บวชอีกเป็นเช่นนี้จนครบเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายเขาตัดสินใจโยนจอบกับเสียมลงในน้ำ แล้วหันมาตั้งใจบำเพ็ญเพียรภาวนาจนกระทั้งบรรลุผล"
แล้วคำว่า "อัศจรรย์ใจโอ้ โอนอสังเวช สังมาเป็นดังนี้ เป็นน่าอยากหัว" หมายความว่าอย่างไร
ท้าวเสียวสวาสดิ์ก็กราบทูลว่า "มีหญิงสาวคนหนึ่งไปเที่ยวหาหน่อไม้ในป่าได้แล้ว จึงเอามาปอกกาบที่แข็งๆ ออก แล้วนำไปแยงยังโยนีของตน เผอิญหน่อไม้นั้นหักคา ขณะนั้นมีพระภิกษุชราภาพมากรูปหนึ่งเดินไปหาเปลือกไม้มาย้อมจีวรเดินมาพบเข้า หญิงสาวจึงขอร้องให้ท่านช่วย โดยตกลงกันว่า ถ้าท่านช่วยจนสำเร็จจะให้ท่านร่วมประเวณี ท่านก็ช่วยจนสามารถดึงหน่อไม้นั้นออกมาได้ แล้วหญิงสาวคนนั้นก็เดินทางกลับบ้านไปเพื่อแต่งตัว พระสงฆ์รูปนี้รอนางอยู่นานเกิดความกำหนัด จึงจับองคชาตสอดเข้าในโพรงไม้ ตุ๊กแกที่อยู่ในโพรงจึงคาบองคชาตของท่าน หญิงสาวกลับออกมาพบเข้า จึงได้ช่วยเหลือจนท่านปลอดภัย เป็นอันว่าทั้งหญิงสาวและพระสงฆ์ชรานั้นต่างก็ไม่เป็นหนี้บุญคุณซึ่งกันและกัน"
แล้วคำว่า "เพิงจา บ่เพิงจา" หมายความว่าอย่างไร
ท้าวเสียวสวาสดิ์กราบทูลว่า "มีพระราชาองค์หนึ่งออกไปเที่ยวชมสวน เผอิญพบฤาษีแสดงธรรมเทศนาอยู่ที่ศาลาริมฝั่งน้ำ พระราชาถือว่าพระฤาษีล่วงล้ำอธิปไตยของตน จึงสั่งให้จับพระฤาษีมาตัดตีนตัดมือ และพระราชาได้ถีบเตะพระฤาษีจนถึงแก่ความตาย เมื่อพระราชาเดินต่อไปได้เพียงสามสี่ก้าวก็ถูกธรณีสูบ"
ฯลฯ
เมื่อเจ้าเมืองจำปาได้ขอให้ท้าวเสียวสวาสดิ์อธิบายคาถา และปริศนาเหล่านั้น เขาก็สามารถอธิบายได้โดยตลอด เจ้าเมืองจำปาเห็นว่า ท้าวเสียวสวาสดิ์เป็นคนฉลาดคู่ควรแก่ตำแหน่งสำคัญ ที่จะช่วยชาติบ้านเมืองได้ในคราวคับขันเช่นนี้ จึงได้แต่งตั้งให้เสียวสวาสดิ์เป็น "อัครมหาเสนาบดี" มีหน้าที่สอนและอบรมศีลธรรม จารีตประเพณีแก่ประชาชน พร้อมทั้งได้ประทานเงินทองและข้าทาสชายหญิงให้แก่ท้าวเสียวสวาสดิ์อีกจำนวน 500 คน
อยู่มาวันหนึ่งเจ้าเมืองจำปา อยากจะทดลองจิตใจของเสนาอำมาตย์ว่าจะซื่อสัตย์ต่อพระองค์เพียงใด จึงมีรับสั่งให้หา ผลขี้กา (หมากขี้กา เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีรสขมมาก) มาแจกให้หมู่เสนาอำมาตย์รับประทาน ต่างคนต่างก็รับประทานผลขี้กานั้นแล้ว เจ้าเมืองจำปาจึงกล่าวว่า "ผลขี้กานี้กานี้มีรสชาติหวานดี?" แล้วจึงหันไปถามเหล่าเสนาอำมาตย์ ทุกคนในที่นั้นตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "หวาน" ยกเว้นอยู่เพียงคนเดียวที่ตอบว่า "ขมและไม่หวาน" ก็คือท้าวเสียวสวาสด์นั้นเอง พระองค์จึงตรัสถามเสียวสวาสดิ์ว่า "ทำไมบรรดาเสนาอำมาตย์เหล่านั้นจึงตอบว่า 'หวาน' เป็นเสียงเดียวกันว่าเช่นนั้น กรณีอย่างนี้จะถือว่ากล่าวคำเท็จได้หรือไม่"
ท้าวเสียวสวาสดิ์จึงกราบทูลเจ้าเมืองจำปาว่า "คนเหล่านี้กราบทูลไปเนื่องจากความกลัว เมื่อพระองค์บอกว่าหวาน เขาก็เลยตอบว่าหวานไปด้วย จะว่าโกหกโดยเจตนาก็ไม่ใช่"
เจ้าเมืองจึงยกโทษให้ ต่อมาจึงได้มีคำเรียกเสนาอำมาตย์เหล่านี้ว่า "พวกเสนาหมากขี้กา" ภาษิตสมัยปัจจุบันก็คงเปรียบได้กับ "นายว่า ขี้ข้าพลอย" นั่นเอง
วันเวลาผ่านไปอีกจนกระทั่งเจ้าเมืองจำปาเห็นว่า โอรสของพระองค์ ลุ่มหลงมัวเมาติดการพนันและสุรา ไม่ค่อยสนใจการศึกษาและราชการงานเมืองมากนัก จึงได้มอบให้ท้าวเสียวสวาสดิ์เป็นผู้อบรมสั่งสอน จนกระทั่งสามารถทำให้โอรสของเจ้าเมืองจำปาสำนึกในคุณธรรม และกลับกลายเป็นคนดี เจ้าเมืองจำปายอมรับนับถือท้าวเสียวสวาสดิ์ โดยการยกย่องให้เป็นครูอีกคนหนึ่งของพระองค์อีกด้วย
นอกจากนี้ท้าวเสียวสวาสดิ์ยังได้อบรมสั่งสอนเหล่าเสนาอำมาตย์ ไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดินเมืองจำปาตลอดมา ด้วยคุณลักษณะพิเศษที่ท้าวเสียวสวาสดิ์เป็นคนดี มีปัญญาเฉลียวฉลาดไม่ลืมตัว เคารพอ่อนน้อมถ่อมตนต่อคนทั่วไป และปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยความขยันหมั่นเพียร จึงเป็นที่รักใคร่โปรดปรานของเจ้าเมืองจำปายิ่งนัก หลังจากที่เมืองจำปาผ่านพ้นภัยพิบัติถึงขั้นยุคเข็ญมาได้ ก็ด้วยความฉลาดหลักแหลมของท้าวเสียวสวาสดิ์ จนกระทั่งเมืองจำปาเจริญรุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์ ด้วยทรัพย์สินเงินทอง ทั้งนี้เนื่องจากเจ้าเมืองกลับมีศีลธรรมปกครอง บ้านเมืองโดยสุจริตยุติธรรม ประชาชนขยันหมั่นเพียรถือศีลฟังธรรม เคารพในจารีตประเพณีและกฎหมายอันดีงามของบ้านเมือง
ที่มา : หนังสือเรื่องเสียวสวาด พระอริยานุวัตร (อารีย์ เขมจารี น.ธ.เอก , ป.ธ. ๕)
อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาชัย ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม
ส่งท้ายบทความ : คำว่า "เสียวสวาด" หากมีการนำไปเขียนว่า "เสียวสวาท" ก็มักจะมีเรื่องให้ถกเถียง ตีความกันมากมายวุ่นวายไปหมด และยิ่งนำเอาคำว่า "เสียวสวาท" ไปตั้งเป็น "ชื่อวัดวาอาราม" ก็ยิ่งมีปัญหาหนัก บรรดาคนเมือง (ที่มักอ้างตนว่าศิวิไลซ์เสมอ) รวมทั้งนักเลงคีย์บอร์ดทั้งหลายต่างอ้างว่า "เป็นชื่อที่ไม่เหมาะสม ชาวบ้านจะไม่กล้ามาทำบุญ ควรเปลี่ยนชื่อใหม่เลย!!!" ขุ่นพระ!!! อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ : เสียวสวาทหรืออีโรติกในวัฒนธรรมอีสาน