Subcategories
Paya & Soi
รวมผญา สุภาษิต และคำสอย
Klonlum
กลอนลำ
Song
เพลงลูกทุ่งอีสาน มาเข้าใจความหมายของคำภาษาอีสานในเพลงลูกทุ่ง
Alphabet Group
ภาษาอีสานแยกตามหมวดอักษร
Klon Pasit Boran Isan
กลอน ภาษิตโบราณอีสาน
- Details
- Written by: ทิดหมู มักหม่วน
- Category: Word
- Hits: 5821
ภาษาพูดของผู้คนในภาคอีสานนั้นมีหลายสำเนียงที่แตกต่างกันไป ไม่มี "ภาษาอีสาน" นะครับ มีแต่เป็นภาษาพูดดั้งเดิมของชนเผ่าต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ซึ่งมีหลายกลุ่มชาติพันธุ์ [ เรื่องที่เกี่ยวข้อง : ชาติพันธุ์ชนเผ่าไทยในอีสาน ] ดังนั้น เมื่อท่านเดินทางไปท่องเที่ยวอีสาน ท่านจะได้ฟังสำเนียงเสียงพูดที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละจังหวัด คำที่เสนอในที่นี่รวบรวมมาจากที่กระผมอาวทิดหมู มักหม่วน ได้ตอบไว้ใน Facebook Fanpage มาแล้วแต่ค้นหาย้อนหลังยาก ท่านเว็บมาดเซ่อเลยขอร้องแกมบังคับให้นำมารวบรวมไว้ที่นี่อีกครั้งหนึ่ง แฟนนานุแฟนที่ต้องการทราบความหมายของคำ หรือประโยคใดก็สอบถามเพิ่มเติมมาได้นะขอรับ ยินดีนำมาตอบให้ทราบทั้งในเว็บไซต์และเฟซบุ๊คต่อไป
หน้าที่ : 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14
คำที่น่าสนใจนำมาเสนอในวันนี้คือ...
อาดลาด-ยิ่งแข้ว-มาบมาบ-เจ้าหัวและจัวน้อย
อาดลาด
ภาษาอีสานวันละคำ มื้อนี้เสนอคำว่า "อาดลาด"
ได้รับปี้น้อยมาจากน้องสาวหล้าทางเมืองเลย ถามมาว่า "อาวทิดหมู แม่ทวดนางเพิ่นถามนางว่า 'ผู้บ่าว' ที่พามาไหว้พ่อ-แม่มื้อนั้นคนทางใด๋ คือ 'สูงใหญ่อาดลาด' เป็นตาออนซอนแท้" น้องนางฟังแล้วกะบ่เข้าใจปานใด๋ อาวทิดหมูขยายความให้น้องฟังแหน่เด้อ
อาดลาด ว. ต้นไม้ที่สูงและตรง เรียก ซื่ออาดหลาด ยาวอาดหลาด ก็ว่า. tall and straight (tree).
อันนี้กะแสดงว่า หนุ่มผู้โชคดีผู้นั้น เพิ่นเป็นคนรูปร่างดี สูงใหญ่กว่าไทบ้านแถวนั้น จนถืกใจยายคักล่ะแหม... ยินดีนำเด้อน้องหล้า
แต่ขอให้รักกันมั่นแก่น เข้าตามตรอกออกตามประตูแบบนี้ ให้ผู้ใหญ่รับรู้ว่าคบหากันดีแล้ว แต่ให้ระมัดระวังอย่าสิให้เขากล้ำกรายก่อนเวลาอันควร ก่อนได้กินดองตามทำนองคลองธรรมเด้อ อาวทิดหมูย้านว่า "เลาสิ 'เปิดอาดลาด' ไปสาก่อน ที่ยายทวดสิได้เห็นค่าดอง สินสอด ซั่นดอกวา" 😢😭😱
ยิ่งแข้ว
ภาษาอีสานวันละคำ มื้อนี้ขอเสนอคำว่า "ยิ่งแข้ว"
มีอีแมว เอ้ย! อีเมล์ส่งมาเมื่อสายๆ วันนี้ว่า "ผมคนชลบุรีครับ มีเพื่อนเป็นคนอีสาน มาทำงานโรงงานด้วยกันที่สมุทรปราการ ในระหว่างพูดคุยกันตอนพักเที่ยงวัน เพื่อนถามว่า "เป็นหยังคือ 'ยิ่งแข่วกีกซีก' ผมไม่เข้าใจก็ได้แต่ยิ้ม ไม่มีคำตอบ" แอดมินขยายความให้ผมได้รู้หน่อยครับ จะได้ไม่อายเพื่อนเพราะกำลังเล็งสาวอีสานคนหนึ่งไว้ในใจอยู่"
ได้เลยครับ อาวทิดหมูไม่ขัดศรัทธาและมีความเห็นใจในคนมีรัก โดยเฉพาะ "มัก ฮัก สาวอีสาน" บ่ผิดหวังแน่นอน อย่าไปหลอกเขานะ คนอีสานฮักจริงหวังแต่ง มีคำเกี่ยวข้อง 2 คำที่อาจจะเจอ
ขิ่ง ก. ยิงฟัน ยิงฟันเรียก ขิ่งแข้ว ยิ่งแข้ว ก็ว่า อย่างว่า โขนยิ่งแข้วตาโหลอกสาว (สังข์). to bare ones teeth.
ยิ่งแข้ว ก. เปิดปากให้เห็นฟัน เรียก ยิ่งแข้ว อย่างว่า โขนยิ่งแข้วตากะโล้หยอกสาว (กาไก). to bare teeth.
ยิ่งแข้วกีกซีก (แข้ว หมายถึง ฟัน ใช้ไม้โทนะครับ) ความหมายของคนอีสานคือ ยิ้มแฉ่ง, ยิงฟันกว้างๆ, ยิ้มจนเห็นฟัน แสดงความจริงใจ
หรืออาจจะเป็นแบบอย่างที่ฝรั่งเว้าลาว นายมาร์ติน วีลเลอร์ ที่มาอยู่ไทยโดยเฉพาะในอีสานจะสามสิบปีแล้ว ได้พูดไว้ว่า "สมัยผมมาอยู่ขอนแก่นใหม่ๆ ได้เมียคนไทย ฟังชาวบ้านคำป่าหลายเขาพูดภาษาอีสานกัน ก็ไม่เข้าใจ ได้แต่ 'ยิ่งแข้วกีกซีก' พยักหน้างึกๆ ทำเป็นรู้เรื่องไป เพื่อให้ทุกคนสบายใจ" ความหมายเป็นอย่างนี้ก็ได้
มาบมาบ
ภาษาอีสานวันละคำ มื้อนี้ขอเสนอคำว่า "มาบมาบ"
อ้ายอาวทิดหมู เฉลยคำภาษาอีสานให้นางฮู้แหน่ เมือบ้านไปงานกินดองผู้เฒ่าเพิ่นว่า "สินสอดค่าดองกะหลาย สร้อยคอ กำไลแขน แหวนทองกะเลื่อมมาบมาบ เป็นตาสะออนน้อ" อันคำว่า "มาบมาบ" มันแปลว่าอีหยังอ้าย?
มาบมาบ ว. ประกายแสง แสงที่เลื่อมมาบมาบ เช่น แสงจุดบั้งไฟ อย่างว่า นับบ่ได้ตะไลม้ามาบแสง (ผาแดง) มาบมาบเหลื้อมผาแก้วส่องเงา (ขุนทึง). flashing, flash-flash!.
การที่เรามองเห็นแสงสะท้อนจากวัตถุใดๆ เข้าตา คนอีสานจะบอกว่า เลื่อมมาบมาบ เช่น สวมแหวนเพชรเลื่อมมาบมาบ หริอ เบิ่งแมวโตนั้นตามันเลื่อมมาบมาบ หรือ สาวผู้นี้คือตาคมจนเลื่อมมาบมาบแท้ เป็นต้น
เจ้าหัวและจัวน้อย
ก่อนที่พุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองในแดนอีสาน สมัยเก่าก่อนนั้น "ฅนอีสาน" นับถือผี ซึ่งมีทั้งผีในป่าช้า ป่าเขา ถ้ำ ในที่รกร้าง หัวไร่ ปลายนา ซึงเป็น "ผีฝ่ายอธรรม" ซึ่งต้องเลี้ยงดูตามกาล กับอีกผีหนึ่งคือผีที่มีบุญคุณ คือ "ผีบ้านผีเรือน" ที่จะคอยดูแลปกปักรักษาคนในครอบครัว ต้องมีการเซ่นสรวงบูชา ตอนแรกจะอยู่ตามมุมบ้านเรือน หรือ "แจเฮือน" ต่อมาก็ทำหิ้งบูชายกขึ้นสูงเหนือหัว มีขันดอกไม้ บูชาในวันสำคัญๆ ที่กำหนดในแต่ละถิ่น
ต่อมาเมื่อหันมานับถือพุทธศาสนา จากหิ้งผีก็กลายเป็นหิ้งพระบูชา นำเอาพระพุทธรูปที่แกะจากไม้ หรือที่ปั้นด้วยดินเผา ไปวางบนหิ้งแทนการบูชาผี จึงเรียกว่า หิ้ง "พระเจ้าอยู่หัว" ตอนหลังคำนี้ก็กร่อนสั้นลงเป็น "เจ้าหัว" และนำไปใช้เรียกพระสงฆ์ในวัดว่า "เจ้าหัว" และเรียกสามเณรน้อยว่า "เจ้าหัวน้อย" แล้วกร่อนคำเหลือแค่ "จัวน้อย"
นี่จึงเป็นที่มาของการเรียก พระภิกษุสงฆ์-สามเณร ในอีสานว่า "เจ้าหัว กับ จัวน้อย"
หน้าที่ : 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14
- Details
- Written by: อารีย์ ทองแก้ว
- Category: Word
- Hits: 6518
นืทานพื้นบ้านของชาวกูย เรื่อง หมาขี้เรื้อน (อาจอคีเฮือน) ที่ให้แง่คิดและคติธรรมที่น่าสนใจ โดย อารีย์ ทองแก้ว
กาลครั้งหนึ่ง มีหมาขี้เรื้อนอาศัยอยู่กับฤาษีในอาศรมแห่งหนึ่ง ธรรมชาติของหมาขี้เรื้อนจะมีอาการคันเป็นประจํา และชอบนอนอยู่ตามใต้ถุนที่มีอากาศเย็นหรือขี้เถ้า วันหนึ่งขณะที่หมาขี้เรื้อนนอนอยู่ที่ใต้ถุนอาศรม เจ้าหมาขี้เรื้อนก็มองเห็นเมฆไหลเรื่อยๆ พลันมันก็คิดว่า "ก้อนเมฆคงจะมีความสุขมาก เพราะลอยไปเรื่อยๆ ตามกระแสลมคงจะเย็นสบายดี"
จึงเอ่ยปากกับท่านฤาษีว่า "การเกิดเป็นหมาขี้เรื้อนมีแต่คนรังเกียจ คันก็คัน ร้อนก็ร้อน หนาวก็หนาวไม่ได้หลับได้นอน มันอยากจะเป็นก้อนเมฆแทนคงจะสนุกดี ขอให้ฤาษีเสกให้มันเป็นก้อนเมฆด้วยเถิด"
ฤาษีตกลงและกล่าวเป็นคาถาว่า “โอม มะรูๆๆ เพี้ยง”
หมาขี้เรื้อนก็กลายเป็นก้อนเมฆตามต้องการ เมื่อหมาขี้เรื้อนกลายเป็นก้อนเมฆก็ถูกความกดอากาศ ลม แดด ฝน พัดกระจายไปหลายทิศทาง ไม่ได้หลับได้นอน และสุขสบายอย่างที่คิดไว้ มันก็เลยลอยกลับมาบอกฤาษีว่า "มันอยากเป็นลม เพราะลมได้พัดต้นไม้และคนพังระเนระนาดอย่างมีความสุข ขอให้ฤาษีเสกเป็นลมอีกครั้งหนึ่ง"
ฤาษีก็ตามใจเสกก้อนเมฆให้กลายเป็นลมตามความต้องการ ลมได้พัดไปเรื่อยๆ พัดใส่บ้านคน และต้นไม้พังระเนระนาดอย่างมีความสุข แต่เมื่อลมพัดภูเขาและจอมปลวกให้ล้มไม่ได้อย่างที่คิด จึงสร้างความโกรธแค้นให้กับลมเป็นอย่างมาก จึงไปบอกฤาษีว่า "มันอยากเป็นจอมปลวก เพราะลมพัดไม่พัง" ฤาษีก็ตกลงเช่นเคย จึงเสกลมให้กลายเป็นจอมปลวกตามความต้องการของหมาขี้เรื้อน
แต่เมื่อถึงฤดูฝนน้ําท่วมทุ่ง ชาวบ้านได้จูงควายมาผูกใกล้จอมปลวก ควายทั้งขี้ เยี่ยว ขวิด และเหยียบย่ําจอมปลวกจนกระจุยกระจาย จอมปลวกไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงบอกฤาษีว่า "มันอยากเป็นควายแทน เพราะควายสามารถทําลายจอมปลวกได้" ฤาษีก็ตกลงเช่นเดิม พร้อมกับเสกหมาขี้เรื้อนให้ได้เป็นควายตามต้องการ
อยู่มาวันหนึ่ง ชาวนาได้จูงควายไปไถนา เมื่อปลดจากไถนาก็พาควายไปลากเกวียนต่อ ทําให้ควายเหนื่อยล้ามาก จึงบอกฤาษีว่า "ตนอยากเป็นหนังควาย เพราะได้ขี่ช้าง" เนื่องจากขณะนั้นได้มีควาญช้างเอาหนังควาย ขึ้นหลังช้างพอดี จึงเป็นเหตุให้ควายอยากเป็นหนังเพื่อจะได้ขี่ช้าง ฤาษีก็ตกลงอีกเช่นเคย
แต่อยู่มาวันหนึ่งฝนตกหนักทําให้หนังเปียก ควาญช้างได้เอาหนังไปตากแดดให้แห้ง หนังตากแดดอยู่นานก็มีหมามากินหนัง หนังจึงบอกฤาษีว่า "มันเป็นหนังก็ไม่ดีเพราะถูกหมากิน"
ฤาษีจึงถามว่า "แล้วอย่างนั้นเจ้าจะเป็นอะไรดีล่ะ" มันบอกว่า "ขอเป็นหมาขี้เรื้อนอย่างเดิมดีกว่า"
ว่าแล้วฤาษีก็เสกคาถาให้ "หนัง" กลายเป็น "หมาขี้เรื้อน" เหมือนเดิม
จาก วารสารศิลปะวัฒนธรรม ลุ่มน้ำมูล
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลายท่านเห็นไหมว่า เมื่อตอนเย็นวันนี้ หมาป่าตัวหนึ่งมันเดินอยู่ที่นี่... เห็นไหม มันจะยืนอยู่มันก็เป็นทุกข์ มันจะวิ่งไปมันก็เป็นทุกข์ มันจะนั่งอยู่ก็เป็นทุกข์ มันจะนอนอยู่ก็เป็นทุกข์ เข้าไปในโพรงไม้มันก็เป็นทุกข์ จะเข้าไปอยู่ในถ้ำก็ไม่สบายมันก็เป็นทุกข์ เพราะมันเห็นว่าการยืนอยู่นี้ไม่ดี การนั่งไม่ดี การนอนไม่ดี พุ่มไม้นี้ ไม่ดี โพรงไม้นี้ไม่ดี ถ้ำนี้ไม่ดี มันก็วิ่งอยู่ตลอดเวลานั้น ความเป็นจริงหมาป่าตัวนั้นมันเป็นขี้เรื้อน มันไม่ใช่เป็นเพราะพุ่มไม้ หรือโพรงไม้หรือถ้ำ หรือการยืน การเดิน การนั่ง การนอน มันไม่สบายเพราะมันเป็นขี้เรื้อน”
พระภิกษุทั้งหลายนี้ก็เหมือนกัน ความไม่สบายนั้นคือ ความเห็นผิดที่มีอยู่ ไปยึดธรรมที่มีพิษไว้มันก็เดือดร้อน ไม่สำรวมสังวรอินทรีย์ทั้งหลาย แล้วก็ไปโทษแต่สิ่งอื่น ไม่รู้เรื่องของเจ้าของเอง ไปอยู่วัดหนองป่าพงก็ไม่สบาย ไปอยู่อเมริกาก็ไม่สบาย ไปอยู่กรุงลอนดอนก็ไม่สบาย ไปอยู่วัดป่าบุ่งหวายก็ไม่สบาย ไปอยู่ทุกๆ สาขาก็ไม่สบาย ที่ไหนก็ไม่สบาย นี่ก็คือความเห็นผิดนั้นยังมีอยู่ในตัวเรานั่นเอง มีความเห็นผิด ยังไปยึดมั่นถือมั่นในธรรมอันมีพิษไว้ในใจของเราอยู่ อยู่ที่ไหนก็ไม่สบายทั้งนั้น นั่นคือเหมือนกันกับสุนัขนั้น ถ้าหากโรคเรื้อนมันหายแล้ว มันจะอยู่ที่ไหนมันก็สบาย อยู่กลางแจ้งมันก็สบาย อยู่ในป่ามันก็สบายอย่างนี้ ผมนึกอยู่บ่อยๆ แล้ว ผมก็นำมาสอนพวกท่านทั้งหลายอยู่เรื่อย เพราะธรรมตรงนี้ มันเป็นประโยชน์มาก
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
- Details
- Written by: ทิดหมู มักหม่วน
- Category: Word
- Hits: 8894
กะเดิบโดง กะเดิบซลา
นิทานพื้นบ้าน (ไทยกูย) โดย อารีย์ ทองแก้ว
จาก วารสารศิลปะและวัฒนธรรม ลุ่มน้ำมูล มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ 2547
มีครอบครัวหนึ่งฐานะยากจน ประกอบด้วยแม่และลูกสาวคนหนึ่ง ชื่อ “นางกะเดิบโดง” พ่อของนางกะเดิบโดงได้ตายจากไปนานแล้ว ฐานะของครอบครัวนี้ยากจนข้นแค้น แต่ก็มีความซื่อสัตย์ไม่คิดคดโกงใคร ตั้งใจในการประกอบสัมมาอาชีพ แต่ชาวบ้านก็รังเกียจด้วยความยากจนของครอบครัวนาง
วันหนึ่ง 'แม่' ของนางกะเดิบโดง ไปขุดหน่อไม้ในป่าและทําเสียมหลุดจากด้ามไปติดอยู่ในกอไผ่ นางพยายามดึงยังไงก็ดึงออกไม่ได้สักที จนตะวันบ่ายคล้อยใกล้ค่ํา ก็หมดปัญญา นางจึงพูดบนบานว่า "ถ้าใครสามารถเอาเสียมของนางออกมาจากกอไผ่ได้ นางจะยกลูกสาวคนเดียวให้"
นางพูดยังไม่ทันขาดคํา ก็มีเสียงหนึ่งถามว่า “พูดจริงใช่ไหม?” นางก็ตอบว่า "ใช่"
ทันใดนั้นก็ปรากฏมี 'งู' ตัวใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยออกมา และเอาเสียมออกจากกอไผ่มาให้ แม่นางกะเดิบโดงตกใจมาก ที่เห็นงูใหญ่ขนาดเท่าต้นมะพร้าว แต่ก็ไม่รู้จะทําอย่างไร เพราะได้ลั่นวาจาออกไปแล้วจึงถือเอาความสัตย์
ฝ่ายงูถามแม่นางกะเดิบโดงว่า "เราจะไปบ้านนางได้อย่างไร" นางก็บอกให้ไปตามเปลือกหน่อไม้ ที่นางจะแกะทิ้งไว้เป็นระยะๆ ตามรายทางจนถึงบ้านของนาง
เมื่อกลับนางถึงบ้านแล้ว นางก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ลูกสาวฟัง นางกะเดิบโดงนั้นตกใจมาก แต่ก็ยอมทําตามความประสงค์ของแม่ด้วยความกตัญญู พอตกกลางคืน 'งูใหญ่' ก็ไปที่บ้านของนางกะเดิบโดงจริงๆ และเข้าไปอยู่ในห้องของนางกะเดิบโดง
'งูใหญ่' นี้ ที่จริงเป็นงูเทพ จําแลงกายมาเพื่อลองใจแม่นางกะเดิบโดงว่า จะรักษาคําสัตย์หรือไม่?
เมื่อเข้าไปในห้อง งูจึงคืนร่างเป็นเทพรูปงาม และบอกความจริงแก่นางกะเดิบโดง และได้นางเป็นภรรยาในคืนนั้น พร้อมกับเนรมิตทรัพย์สินเงินทอง สร้างความร่ํารวยให้ครอบครัวนี้ จนเป็นที่ร่ําลือไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
ยังมีอีกครอบครัวหนึ่ง มีลูกสาวชื่อ นางกะเดิบซลา และน้องชายอีกหนึ่งคน เมื่อแม่ของนางกะเดิบซลาได้ยินเรื่องความร่ำรวยนี้เข้า ก็เกิดความอิจฉาและอยากร่ํารวยกับเขาบ้าง จึงแวะเวียนไปบ้านนางกะเดิบโดง เพื่อถามแม่ของนางกระเดิบดงถึงสาเหตุของความร่ำรวยในครั้งนี้ ฝ่ายแม่ของนางกะเดิบโดงก็เล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง โดยไม่ปิดบังแต่อย่างใด
แม่ของนางกะเดิบซลา เมื่อกลับมาถึงบ้านก็คว้าเสียม ตะกร้า เพื่อไปหาหน่อไม้ ในใจก็คิดถึงแต่ความร่ํารวยตลอดทาง อยากได้เขยรูปงามเพื่อให้ผู้คนร่ําลือเหมือนแม่นางกะเดิบโดงบ้าง
เมื่อไปถึงป่าไผ่ นางก็เอาเสียมไปเสียบไว้กับกอไผ่กอเดิม ที่แม่นางกะเดิบโดงทําเสียมติด แล้วนางก็ทําทีร้องหาคนช่วยว่า "เอาเสียมออกจากกอไผ่ไม่ได้ ใครสามารถเอาออกมาให้ได้ แล้วนางจะยกลูกสาวให้" นางร้องเกือบทั้งวันก็ยังไม่มีใครมาช่วย
จนใกล้ค่ํา นางเกือบหมดความอดทนแล้ว จู่ๆ ก็มี 'งูใหญ่' ตัวหนึ่งอาสาจะเอาเสียมให้นาง นางดีใจมากบอกว่า ให้รีบไปบ้าน นางจะทิ้งเปลือกหน่อไม้ไว้เป็นที่สังเกตตลอดจนถึงบ้าน
แม่นางกะเดิบซลาดีใจรีบกลับบ้าน แล้วบอกแก่นางกะเดิบซลา ให้เตรียมตัวรับว่าที่ผัวงู นางกะเดิบซลาเป็นคนดี แต่ขัดใจแม่ไม่ได้ จึงจําใจต้องทําตามที่ผู้เป็นแม่บอกมา
คืนนั้น 'งูตัวใหญ่' มาที่บ้านนางกะเดิบซลา แม่ของนางดีใจรีบพาเข้าห้องลูกสาว กําชับให้ปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อย ส่วนตัวเองจะเข้านอนคอยเงี่ยหูฟังสถานการณ์
สักพักหนึ่ง ได้ยินเสียงนางกะเดิบซลาร้องบอกว่า "งูใหญ่ได้กลืนข้อเท้าตนเองแล้ว" แม่นางกะเดิบซลาได้ยินดังนั้น ก็ให้ขัดเคืองยิ่งนัก นางตะคอกให้ลูกเงียบ เพียงสามีหยอกเล่นนิดหน่อย ก็ทํากระโตกกระตากให้คนอื่นรู้
สักครูหนึ่งนางกะเดิบซลา ก็ร้องดังขึ้นอีกว่า "งูได้กลืนมาถึงเอวแล้ว" แม่นางก็บอกให้เงียบ สักพักนางกะเดิบซลา ก็ร้องอีกว่า "งูกลืนนางถึงคอแล้ว" แม่ของนางก็บอกให้เงียบ
รุ่งเช้าแม่นางกะเดิบซลาตื่นขึ้นมาหุงหาอาหาร จนสายก็ยังไม่เห็นลูกสาวและลูกเขยออกจากห้อง จึงเอะใจ เคาะประตูไม่มีใครตอบ จึงลงเดินไปหารอบๆ บ้าน เห็นงูใหญ่ท้องป่อง เนื่องจากกลืนกินนางกะเดิบซลา ไปนอนขดตัวอยู่ในสวนหม่อนหลังบ้าน
นางตกใจสุดขีดร้องให้ชาวบ้านมาช่วยฆ่างู ผ่าท้องช่วยนางกะเดิบซลาออกมาได้ เนื้อตัวของนางเต็มไปด้วยเมือกงูที่ล้างไม่ออก ผิวหนังด่างดำหลุดลอกและเปื่อยเป็นจุดๆ เรื่องนี้เป็นที่ซุบซิบนินทาของคนในหมู่บ้าน ทั้งเรื่องหยิบยื่นความตายให้ลูกสาวเพราะความโลภของตนเอง รวมทั้งผิวพรรณด่างดำของลูกสาวที่คล้ายดังเกล็ดงูลอกคราบ ไม่สวยงามดังเดิม สร้างความอับอายแกนางกะเดิบซลาเป็นอย่างมาก นางจึงบอกกับแม่ของนางว่า "ขอตัวไปอาบน้ําล้างเมือกงูที่กลืนนางออก" แม่นางให้น้องชายคนเดียวของนางตามไปเป็นเพื่อนด้วย
นางกะเดิบซลาคว้าขันน้ำ และเตรียมผ้าไปผลัดเปลี่ยน เดินออกจากหมู่บ้านหาแหล่งน้ำชําระล้างร่างกาย ผ่านหนองน้ำใหญ่ น้องชายของนางให้นางลงอาบล้างที่หนองนั้น แต่นางว่าน้ำน้อยไปล้างเมือกออกไม่หมดหรอก จึงพากันเดินต่อไป ผ่านอีกห้วย บึง แม่น้ำ ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของนาง บุกป่าฝ่าทุ่งหลายวัน หลายคืน จนมาถึงมหาสมุทรใหญ่ นางบอกให้น้องชายหยุดรอที่ชายฝั่ง ส่วนนางจะลงไปอาบน้ำล้างคราบเมือกงูออก นางคว้าขันเดินลงไปในน้ําเรื่อยๆ จนลึกถึงคอ เมื่อนางเดินลึกถึงปลายคาง นางเอาขันครอบหัว แล้วมุดน้ําหายไป ไม่ยอมโผล่มาอีกเลย
น้องชายของนางรออยู่เป็นนาน ก็ไม่เห็นพี่สาวโผล่มาสักที จึงเดินร้องให้กลับบ้าน พร้อมกับบอกเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ของนางกะเดิบซลาฟัง นางเสียใจและรู้สึกผิด แต่ก็ทําอะไรไม่ได้เพราะสายเกินไปเสียแล้ว
นางกะเดิบซลา ที่หายไปในมหาสมุทร ได้ลายเป็น 'นางเงือก' อาศัยอยู่ในมหาสมุทร ไม่ยอมพบผู้คนด้วยความอับอาย ตราบเท่าทุกวันนี้ นิทานเรื่องนี้สอนใจให้เรารู้ว่า...
ความโลภ ย่อมนำมาสู่ความวิบัติ "
ตำนานนางเงือก นิทานพื้นบ้านของชาวกูย
ในนิทานจากทางฝั่งเขมรแถบลุ่มน้ำโขง (จังหวัดกระแจะ ประเทศกัมพูชา) ก็มีเรื่องราวคล้ายคลึงกันกับเรื่องนี้ แต่นางกะเดิบชลาไม่ได้เดินทางไปล้างตัวไกลถึงทะเล หรือมหาสมุทร แต่ลงไปล้างตัวในแม่น้ำใหญ่ (แม่น้ำโขง) ที่เป็นวังวนน้ำลึก (คล้ายกับแถบหลี่ผี ใน สปป.ลาว หรือสี่พันดอน) เรียกนิทานนี้ว่าประวัติ "ไตร เพสาด ប្រវត្តិ ត្រីផ្សោត" หรือ "ปลาโลมาน้ำจืด" หรือ “โลมาอิรวดี” หรือโลมาหัวบาตร หรือที่ชาวลาวเรียกขานว่า “ปาข่า” หรือ “ปลาข่า” อาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง เขตมหานทีสี่พันดอน ตอนใต้ประเทศลาว ชายแดนติดต่อตอนเหนือของกัมพูชา ซึ่งโลมาอิรวดีน้ำจืด หรือ ปลาข่า ตัวสุดท้ายที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำโขงบริเวณพรมแดน สปป.ลาว และกัมพูชา ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือได้เสียชีวิตลงแล้ว เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา หลังจากติดอวนจับปลาของชาวประมงในพื้นที่ ซึ่งเท่ากับโลมาน้ำจืดได้สูญพันธุ์จาก สปป. ลาว อย่างเป็นทางการแล้ว
การสูญเสียปลาข่าตัวสุดท้ายใน สปป.ลาว
- Details
- Written by: อารีย์ ทองแก้ว
- Category: Word
- Hits: 6672
ตํานานพระมอเฒ่า (กานายหวาวอูเดิ๋มมออาจีง)
เรื่องเล่านี้โดย นายเถา แสนดี ชาวบ้านตากลาง อายุ 75 ปี เป็นหมอช้างที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือ พระหมอเฒ่า ซึ่งเป็นตําแหน่งสูงสุด
ในบรรดาหมอช้างทุกคน เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2537 ได้เล่าตำนานพระหมอเฒ่าให้หลวงพี่หาญ หลานชาย ที่บวชจําพรรษา
อยู่ที่วัดในหมู่บ้านตากลาง ตําบลกระโพ อําเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ บันทึกไว้โดย อารีย์ ทองแก้ว
พระหมอเฒ่า คนสุดท้ายของชาวส่วยหรือชาวกูย ที่มีอาชีพคล้องช้างป่า มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุกสารทิศ ในความสามารถเกี่ยวกับการจับช้างป่าตั้งแต่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้แต่งงาน ต่อมาได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวบ้านใกล้เคียง อยู่กินกันมาจนมีลูกชายหนึ่งคนชื่อ “ก่อง” หรือภาษาส่วยเรียกว่า “อาหก่อง” เป็นที่รักและห่วงใยของพ่อแม่เป็นอย่างมาก เมื่อเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่มก็ได้รับตําแหน่ง “กํารวงปืด” (ครูบาใหญ่) ตามประเพณีที่มีพ่อเป็น พระมอเฒ่า โดยไม่ต้องไต่เต้าตามลําดับ โดยประเพณีที่สืบทอดกันมาได้กําหนดไว้ว่า
ผู้มีตําแหน่งสูงสุดในบรรดาหมอช้าง ถ้ามีลูกคนแรกเป็นผู้ชาย ให้หมอช้างทั้งหลายนําเอาเปลือกต้นกระโดนมารองรับตัวเด็กให้นอน พร้อมกับประกาศยกฐานหรือตําแหน่งหมอช้าง คือ “กํารวงปีด” ให้ โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนใดๆ แต่ถ้าลูกคนแรกเป็นผู้หญิงก็จะไม่มีสิทธิพิเศษดังกล่าว "
ก่อง หรือ อาหก่อง เป็นทายาทสืบทอดมรดกทุกอย่างต่อจากพระมอเฒ่า ที่พ่อแม่ภาคภูมิใจมาก เพราะตั้งแต่เล็กจนโตก่องเป็นเด็กดี มีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่และขยันขันแข็ง พระมอเฒ่าจึงคิดที่จะถ่ายทอดวิชาทุกอย่างให้กับลูกชาย ให้มีความสามารถทุกอย่างโดดเด่นเหนือชายหนุ่มทุกคนในหมู่บ้าน
วันหนึ่ง พระมอเฒ่า ได้พาลูกและภรรยาออกไปเรียนรู้การคล้องช้างป่า โดยไม่บอกใครเลย เพราะต้องการตามใจลูกที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ หรืออาจเป็นเพราะความประมาทของพระมอเฒ่าด้วย ประกอบกับความเย่อหยิ่งในความสามารถของตนเองที่ไม่มีใครเทียบเท่า จึงคิดว่าจะทําอะไร หรือทําอย่างไรก็ได้
ย้อนกลับไปในอดีต “อาหก่อง” เคยเกิดเป็นลูกช้างป่า ถูกพระมอเฒ่าคล้องมาได้ เมื่อนํามาฝึกอย่างหนักในหมู่บ้าน ก็ทนกับสภาพสิ่งแวดล้อมที่ยากลำบากไม่ได้จึงตรอมใจตาย แล้วได้กลับชาติมาเกิดเป็นลูกชายของพระมอเฒ่า อาหก่องสามารถจําชาติก่อนได้ทุกอย่าง จึงคิดถึงแม่ช้างป่าอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลาที่เห็นบรรดาหมอช้างออกไปคล้องช้างในป่า ก็ยิ่งคิดถึงแม่มากยิ่งขึ้น
เมื่อกลับชาติมาเป็นคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เกิดมาเป็นลูกของพระมอเฒ่าแล้ว ก็ได้โอกาสเหมาะที่รอคอยมานาน ในตอนที่พระมอเฒ่าจะพาภรรยาและตนออกไปคล้องช้าง ซึ่งตามธรรมเนียมแล้ว การออกไปคล้องช้างในป่านั้น ได้ห้ามนําภรรยาไปด้วย นอกจากนี้ก็ห้ามให้ลูกนั่งบนช้างเชือกเดียวกันกับพ่อด้วย แต่พระมอเฒ่าก็ละเลยไม่ปฏิบัติตาม ซึ่งถือว่าผิดธรรมเนียมประเพณีอย่างร้ายแรง
ทั้งนี้อาจเนื่องจากเชื่อว่า ตนเองเป็นผู้มีตําแหน่งสูงสุด มีความสามารถที่จะดูแลภรรยาและลูกได้ นอกจากนี้ ยังต้องการให้อาหก่องไม่ต้องลําบากในการหุงหาอาหารให้ ที่สําคัญคือ ต้องการฝึกลูกชายให้เป็นคนเก่งโดยไม่ต้องการให้ใครรู้
ก่อนออกไปคล้องช้างป่า และระหว่างการเดินทางไปคล้องช้างในป่าลึก อาหก่องได้ขอร้องให้พ่อคล้องเอาช้างผู้เป็น 'แม่ช้าง' โดยให้เหตุผลว่าเมื่อคล้องได้แม่ช้างแล้ว ลูกช้างก็จะต้องติดตามผู้เป็นแม่ช้างมาด้วย แต่พระมอเฒ่าผู้เป็นพ่อได้บอกว่า "โดยธรรมเนียมการคล้องช้างนั้น จะไม่คล้องเอาแม่ช้าง การคล้องช้างจะคล้องเอาเฉพาะลูกช้าง เพราะต้องการให้แม่ช้างอยู่ในป่าเพื่อผลิตลูกช้างให้อีกต่อๆ ไป และถ้าคล้องเอาแม่ช้างไปด้วย จะทําให้การฝึกลูกช้างเป็นไปด้วยความยากลําบาก ลูกช้างจะคลอเคลียกับแม่ช้าง และไม่สนใจการฝึกซ้อม" ความขัดแย้งระหว่างพ่อกับลูกเป็นอยู่เรื่อยๆ เพราะต่างคนต่างยืนยันความเห็นของตน ไม่มีใครยอมใคร เมื่อถึงบริเวณดงช้าง พระมอเฒ่าได้นำภรรยาพร้อมด้วยสัมภาระต่างๆ ไปไว้ที่จันรมย์ (ที่พัก) ใกล้ต้นหว้าใหญ่ เพื่อให้ภรรยาคอยหุงหาอาหารไว้ให้ตนกับลูกชาย โดยให้ภรรยาอยู่ตามลําพังเพียงผู้เดียว
พิธีกรรมคล้องช้าง ของชาวกูย แบบโบราณ
ต่อจากนั้น พระมอเฒ่าก็เริ่มทําพิธีเบิกไพร (เปิดป่า) จัดหนังปะกํามาวางบนหลังช้าง ไม้คันจามและอุปกรณ์ที่จําเป็น โดยให้อาหก่องเป็น 'มะ' นั่งท้ายบนช้างต่อ เสร็จแล้วก็พากันขับช้างเข้าสู่ป่าทึบที่ช้างอาศัยอยู่ เดินทางไปได้สักครู่ใหญ่ พระมอเฒ่าก็มองเห็นโขลงช้างใหญ่กําลังกินอาหารอย่างเงียบๆ พระมอเฒ่าจึงได้ขับช้างอาสาเข้าใกล้โขลงช้างทันที บังเอิญว่าช้างโขลงนั้นมี 'แม่ช้าง' ซึ่งในอดีตเคยเป็นแม่ของอาหก่อง พร้อมน้องๆ และเพื่อนๆ อีกมากมายอยู่ด้วย อาหก่องเมื่อเห็นดังนั้น ก็ตะโกนบอกพ่อให้คล้องเอาแม่ช้างโดยเร็วหลายๆ ครั้ง แต่พระมอเฒ่าไม่สนใจเพราะต้องการคล้องลูกช้างเท่านั้น
อาหก่อง ได้เห็นพ่อไล่กวดลูกช้าง เห็นภาพที่แม่ช้างพยายามปกป้องลูกช้างให้วิ่งหนีโดยเร็ว ได้เห็นสภาพแม่ช้างที่ตกใจ เห็นแม่ช้างเหนื่อยหอบ เพราะแม่ช้างแก่มากแล้ว จึงตัดสินใจกระโดดขี่หลังแม่ช้างไป ฝ่ายแม่ช้างเมื่อเห็นคนกระโดดขี่หลังก็ตกใจกลัวสุดขีด จึงเร่งความเร็วในการวิ่งสุดชีวิต ทําให้ห่างออกไกลจากพระมอเฒ่าเรื่อยๆ ฝ่ายช้างต่อเมื่อไม่มีผู้ขับขี่หรือบังคับก็ไม่ใส่ใจที่จะวิ่งไล่กวดโขลงช้างต่อไปอีก
ทางด้าน พระมอเฒ่า ก็ตกใจที่เห็นอาหก่องกระโดดขี่หลังแม่ช้างไป และด้วยความเป็นห่วงลูก พระมอเฒ่าก็ได้ร้องเรียกหา อาหก่องๆๆๆ ไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจฝูงลูกช้างอีกต่อไป แต่กลับให้ช้างวิ่งตามแม่ช้างเพื่อติดตามหาอาหก่อง ได้ยินเสียงอาหก่องร้องตอบมาว่า "กู๊กๆๆๆ" แต่เสียงนั้นก็ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ เพราะแม่ช้างเองก็รีบหนีให้เร็วสุดชีวิตเพราะมีคนขี่อยู่บนหลังของตนเอง จนในที่สุด แม่ช้างที่ อาหก่อง กระโดดขึ้นขี่ก็หายลับไป พร้อมกับความมืดที่เริ่มปกคลุมป่า พระมอเฒ่าเสียใจมาก และได้พยายามค้นหาอาหก่องลูกชายท่ามกลางความมืด แต่ก็ไม่มีวี่แววและเสียงขานตอบจากลูกชายเลย เมื่อดึกมากแล้ว พระมอเฒ่าก็ตัดสินใจกลับไปหาภรรยาพร้อมช้างคู่ใจ ระหว่างทางก็ตัดพ้อว่า "ลูกทิ้งพ่อแม่ที่แท้จริงไปได้ลงคอ ทั้งที่ตนเองหวังดีอยากให้อาหก่องเก่งกว่าคนอื่นๆ ทําไมลูกถึงไม่เข้าใจพ่อแม่เลย"
พระมอเฒ่าได้แต่ร่ำไห้มาตลอดทาง เมื่อมาถึงต้นหว้าใหญ่ก็ได้ร้องเรียกภรรยา แต่ไม่มีเสียงใครตอบรับ ก็เข้าใจว่าภรรยาคงนอนหลับ แต่เมื่อเดินเข้าไปหาก็ไม่เห็นภรรยานอนอยู่ จึงเดินเรียกหาภรรยาไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่พบ ด้วยความเหนื่อยล้าและความมืดปกคลุมไปทั่ว พระมอเฒ่าจึงตัดสินใจว่า จะตามหาภรรยาในตอนกลางวันแทน
เมื่อถึงเวลาเช้า พระมอเฒ่าจึงเดินตามหาภรรยาตนเองอีกครั้ง ปรากฏว่าเจอเลือดและเศษเนื้อชิ้นน้อยกระจายอยู่เป็นบริเวณกว้าง พระมอเฒ่าเกิดความสงสัยจึงเดินตามหาไปทั่ว ในที่สุดก็พบแขนข้างหนึ่งของภรรยาอยู่บนพื้น ที่มีเลือดกระจายอยู่ทั่วบริเวณจึงเข้าใจว่า เสือได้กัดกินภรรยาของตนไปแล้ว พระมอเฒ่าทั้งตกใจและเสียใจเป็นเท่าทวีคูณ ได้แต่ร้องไห้จวนจะขาดใจตายตามลูกและภรรยาไป ด้วยความเสียใจบวกกับความเหนื่อยล้าของพระมอเฒ่า ทําให้หมดกําลังที่จะคิดทําอะไรต่อไป จึงได้นําแขนข้างหนึ่งของภรรยาขึ้นหลังช้าง และนอนนิ่งๆ อยู่บนหลังช้างเพื่อให้ช้างพากลับบ้าน
เมื่อถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างสงสัยว่า พระมอเฒ่าหายไปไหน ภรรยาและอาหก่องหายไปไหน เมื่อถูกชาวบ้านถามมากๆ ยิ่งไปตอกย้ําความเสียใจให้กับพระมอเฒ่ามากยิ่งขึ้น พระมอเฒ่าไม่ตอบชาวบ้านแต่อย่างใด ได้แต่บอกว่า ตนเองไม่เหลืออะไรแล้ว จะเหลือก็เพียงแค่แขนนางเท่านั้น ทุกคนต่างดูสัมภาระของพระมอเฒ่าที่อยู่บนหลังช้าง เมื่อเห็นแขนข้างหนึ่งและอุปกรณ์อื่นๆ แต่ไม่เห็นภรรยาและอาหก่องลูกชายของพระมอเฒ่า ก็คาดเดากันพอเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้บ้าง พระมอเฒ่าได้ฝากส่วนแขนของนาง (หมายถึงแขนของภรรยา) ให้ทุกคนจัดการแล้วแต่ความเหมาะสมด้วย ส่วนคนที่จะไปคล้องช้าง หรือทําอะไรเกี่ยวกับช้างก็ให้ขอ 'อาหก่อง' ทุกครั้ง เพราะอาหก่องถือว่าเป็นเจ้าของช้างในป่าทั้งหมดไปแล้ว และก่อนพระมอเฒ่าสิ้นใจ พระครูปะกํา (เป็นตําแหน่งรองจากพระมอเฒ่า) ได้เข้าไปกอดพระมอเฒ่าพร้อมกับจับหนังปะกําไว้ เป็นการรับมอบพิธีการคล้องช้างไว้ต่อจากพระมอเฒ่า โดยให้สัญญาว่า จะรักษาประเพณีการคล้องช้างไว้มิให้สูญหายชั่วลูกชั่วหลาน จะรักษาให้สุจริตและรักษาให้เคร่งครัด แต่ไม่ขอรับตําแหน่งเทียบเท่าพระมอเฒ่า จะขอรับเพียงตําแหน่งพระครูปะกําเท่านั้น
ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันไม่มีตําแหน่ง พระมอเฒ่า จะมีเพียงตําแหน่ง ครูบาใหญ่ หรือตําแหน่ง กํารวงปีด ซึ่งเป็นตําแหน่งที่รองลงมาเท่านั้น ต่อมาก็มีการประชุมหารือและตกลงกันในบรรดาหมอช้างว่า จะเอาแขนนางไว้ในบ่วงบาศก์ ทุกครั้งที่ทําหนังปะกําจึงเรียกบ่วงบาศก์ว่า “แขนนาง” และกิจกรรมที่เกี่ยวกับช้างทุกครั้งก็จะพูดถึงหรือ เรียกหา “อาหก่อง” มาจนถึงปัจจุบัน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การคล้องช้าง ก็จะไม่มีการนําภรรยาหรือผู้หญิงติดตามไปด้วยเลย มีการบัญญัติว่า เป็นข้อห้ามที่ต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด รวมทั้งห้ามไม่ให้พ่อกับลูกขี่ช้างเชือกเดียวกันเด็ดขาด ก่อนออกไปคล้องช้าง ทุกคนต้องผ่านการทําพิธีใหม่อีกครั้ง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ถ้าไม่ได้ช้างก็ต้องหาสาเหตุว่า ใครทําผิดข้อห้าม หรือข้อปฏิบัติใดบ้าง ถ้าไม่มีใครยอมรับก็จะถือว่า ผู้ที่ทําผิดข้อห้ามนั้นจะมีอันเป็นไปเอง บางครั้งก็จะมีอาการเจ็บปวด หรือมีอันเป็นไปต่างๆ นานา ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีมาจนถึงทุกวันนี้
จากเรื่องเหล่านี้พอสรุปว่า ในการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มชนหรือการทํางานเป็นกลุ่มนั้น ทุกคนจะต้องเคารพกฎ ระเบียบ กติกาของหมู่คณะอย่างเคร่งครัด ทุกคนจะต้องสามัคคีกัน มีจิตใจบริสุทธิ์ ถ้าไม่เคารพกฎระเบียบ กติกา หรือเห็นแก่ตัว เอาเปรียบผู้อื่น ก็จะได้รับผลร้ายตอบแทนทั้งกับตนเองและครอบครัว
การทำเชือกปะกำ คล้องช้างอันศักดิ์สิทธิ์
เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง : ชนเผ่ากูย กวย โกย