Subcategories
Paya & Soi
รวมผญา สุภาษิต และคำสอย
Klonlum
กลอนลำ
Song
เพลงลูกทุ่งอีสาน มาเข้าใจความหมายของคำภาษาอีสานในเพลงลูกทุ่ง
Alphabet Group
ภาษาอีสานแยกตามหมวดอักษร
Klon Pasit Boran Isan
กลอน ภาษิตโบราณอีสาน
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Word
- Hits: 60798
ฟ้อนภูไท
ฟ้อนภูไท เป็นฟ้อนที่งดงามและเก่าแก่ ถือว่าเป็นนาฏศิลป์ที่ขึ้นหน้าขึ้นตาของชาวภูไท เนื่องจากชาวภูไทอาศัยกระจัดกระจายหลายพื้นที่ในอีสาน จึงจำแนกประเภทการฟ้อนภูไทตามพื้นที่ เช่น การฟ้อนภูไทของเขตจังหวัดสกลนคร การฟ้อนภูไทเขตเรณูนคร (รำภูไทภูพาน รำภูไทสามเผ่า) การรำภูไทของเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะมีลีลาการฟ้อนที่แตกต่างกัน การฟ้อนภูไทจะฟ้อนในงานมงคลและงานบุญ เช่น บุญมหาชาติ ในการทำบุญแต่ละครั้งหลังวันทำบุญจะมีการแห่ปัจจัยไปวัด การแห่ขณะไปทำบุญและการแห่หลังทำบุญนี้เองที่ทำให้เกิดฟ้อนภูไทขึ้น
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม ผู้ฟ้อนแต่งกายชุดพื้นเมืองของชาวภูไท คือนิยมนุ่งห่มดำ สีเข้ม หรือสีคราม เป็นผ้าที่ทอด้วยฝ้ายพื้นเมือง แขนยาว เครื่องตกแต่งร่างกายอาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยตามกลุ่มต่างๆ ของชาวภูไท
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม เป็นการฟ้อนที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและการทำบุญ
ชาวผู้ไท เป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย แต่เดิมนั้นชาวผู้ไทตั้งบ้านเรือนอยู่แถบสิบสองจุไทย คือ บริเวณลาวตอนเหนือ บางส่วนของเวียตนามเหนือ และทางตอนใต้ของจีน มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองไล เมืองแถง เรียกว่า ผู้ไทดำ ชาวผุ้ไทสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ถึงแม้จะมีผู้แบ่งเป็นกลุ่มผู้ไทแดงและผู้ไทลาย แต่ก็ไม่มีประวัติชัดเจน (ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ. 2526 : 2) ชาวผู้ไทยที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยนั้นส่วนใหญ่มาจากเมืองวัง และเมืองตะโปน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองสวันเขต ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปัจจุบัน และแยกย้ายกันตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณเทือกเขาภูพานในเขต 3 จังหวัด คือ
- ชาวผู้ไทจังหวัดกาฬสินธุ์ อาศัยอยู่ในเขตอำเภอเขาวง อำเภอกุฉินารายณ์ อำเภอสหัสขันธุ์ อำเภอคำม่วง
- ชาวผู้ไทจังหวัดสกลนคร อยู่ในอำเภอพรรณานิคม อำเภอวาริชภูมิ
- ชาวผู้ไทจังหวัดนครพนม อยู่ในอำเภอเรณูนคร อำเภอคำชะอี อำเภอหนองสูง
การฟ้อนผู้ไทนั้น เริ่มมีมาในสมัยที่เริ่มสร้างพระธาตุเชิงชุม จังหวัดสกลนคร ผู้ไทเป็นชนเผ่าที่รับอาสาที่จะเป็นผู้ปฏิบัติรักษา หาเครื่องสักการะบูชาพระธาตุทุกๆ ปีเมื่อถึงฤดูข้าวออกรวงกำลังแก่ จะมีการเก็บเกี่ยวข้าวบางส่วนมาทำข้าวเม่า ชาวผู้ไทจะนำข้าวเม่ามาถวายสักการะบูชาพระธาตุเชิงชุม การนำข้าวเม่ามาถวายพระธาตุนั้น เรียกว่า "แห่ข้าวเม่า" จะมีขบวนฟ้อนรอบๆ พระธาตุ ผู้ฟ้อนเป็นหญิงล้วน ผู้หญิงแต่งตัวพื้นเมือง ใส่เล็บยาว ผู้ชายเล่นดนตรี เช่น กลองเส็ง กลองยาว ตะโพน รำมะนา ฉิ่งฉาบ เป็นต้น (พนอ กำเนิดกาญจน์. 2519:38)
การฟ้อนภูไทกาฬสินธุ์
การฟ้อนภูไทเรณูนคร
เป็นการฟ้อนประเพณีที่มีมาแต่บรรพบุรุษ ที่สร้างบ้านแปลงเมือง การฟ้อนภูไทนี้ถือว่าเป็นศิลปะเอกลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรม ประจำเผ่าของภูไทเรณูนคร ถือว่าฟ้อนภูไทเป็นการฟ้อนที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดนครพนม
ในคราวที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จมานมัสการพระธาตุพนม ในปี พ.ศ. 2498 นั้น นายสง่า จันทรสาขา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมในสมัยนั้น ได้จัดให้มีการฟ้อนผู้ไทถวาย นายคำนึง อินทร์ติยะ ศึกษาธิการอำเภอเรณูนคร ได้อำนวยการปรับปรุงท่าฟ้อนผู้ไทให้สวยงามกว่าเดิม โดยเชิญผู้สูงอายุที่มีประสบการณ์ในการฟ้อนผู้ไทมาให้คำแนะนำ จนกลายเป็นท่าฟ้อนแบบแผนของชาวเรณูนคร และได้ถ่ายทอดให้แก่ลูกหลานสืบทอดต่อจนปัจจุบัน
ลักษณะการฟ้อนภูไทเรณูนคร ชาย-หญิงจับคู่เป็นคู่ๆ แล้วฟ้อนท่าต่างๆ ให้เข้ากับจังหวะดนตรี โดยฟ้อนรำเป็นวงกลม แล้วแต่ละคู่จะเข้าไปฟ้อนกลางวงเป็นการโชว์ลีลาท่าฟ้อน
หญิงสาวที่จะฟ้อนภูไทเรณูนครต้อนรับแขก จะได้ต้องเป็นสาวโสด ผู้ที่แต่งงานแล้วจะไม่มีสิทธิ์ฟ้อนภูไทเรณูนคร เวลาฟ้อนทั้งชายหญิงจะต้องไม่สวมถุงเท้าหรือรองเท้า และที่สำคัญคือในขณะฟ้อนภูไทนั้น ฝ่ายชายจะถูกเนื้อต้องตัวฝ่ายหญิงไม่ได้เด็ดขาด (มิฉะนั้นจะผิดผี เพราะชาวภูไทนับถือผีบ้านผีเมือง อาจจะถูกปรับไหมตามจารีตประเพณีได้)
เครื่องดนตรี แบบดั้งเดิม ประกอบด้วย แคน กลองสองหน้า กลองหาง ฆ้องโหม่ง พังฮาด และกั๊บแก๊บ ส่วนในวงโปงลาง ก็ใช้เครื่องดนตรีครบชุดของวงโปงลาง ลายเพลง ใช้ลายลมพัดพร้าว
ท่าฟ้อนภูไทเรณูนคร มี 16 ท่า ดังนี้คือ
- ท่าโยกหรือท่าเตรียม (ท่าเตรียมโยกตัวไปมาเป็นการอุ่นเครื่องเพื่อจะไปท่าบิน)
- ท่าบิน หรือท่านกกะทาบินเลียบ
- ท่าเพลิน หรือท่าลำเพลิน
- ท่าเชิด หรือ ท่ารำเชิด
- ท่าม้วน หรือท่ารำม้วน
- ท่าส่าย หรือท่ารำส่ายเปิด
- ท่าลมพัดพร้าว
- ท่ารำเดี่ยว หรือฟ้อนเลือกคู่
- ท่าเสือออกเหล่า
- ท่ากาเต้นก้อนข้าวเย็น
- ท่าเสือลากหาง
- ท่าม้ากระทืบโฮง
- ท่าจระเข้ฟาดหาง
- ท่ามวยโบราณ
- ท่าถวายพระยาแถน หรือท่าหนุมานถวายแหวน
- ท่ารำเกี้ยว
[ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม : การฟ้อนพื้นบ้านภูไท ]
- Details
- Written by: วีระพงศ์ มีสถาน
- Category: Word
- Hits: 20364
"บักหำ" คำของผู้ใหญ่เรียกผู้น้อย อย่างเอ็นดู
คำอีสานเรียก คนผู้ชาย ว่า “บัก” และเรียก ผู้หญิง ว่า “อี่” หรือ “อี” ซึ่งเป็นการเรียกเพื่อจำแนกเพศอย่างกว้างๆ เด็กผู้ชายคลอดใหม่ที่ครบอาการสามสิบสอง แน่นอน ต้องมีบัก โดยคำว่าบักนั้น มีแนวเทียบ (analogy) กับอวัยวะสืบพันธุ์ที่ติดตัวต่องแต่งมาแต่เมื่อแรกคลอด
ยุคที่ไม่มีระบอบตรวจสอบลูกในครรภ์ด้วยเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยอย่างในปัจจุบัน กว่าจะรู้ว่าลูกเป็นเพศอะไร ก็ต้องรอตอนคลอด แม้ขณะที่โผล่หัวออกมาจากช่องคลอด บางคนก็ยังจำแนกไม่ออก ด้วยว่าเป็นตัวแดงๆ มีขนติดหัวมากระหย็อมหนึ่ง ต้องดูกันจะจะก็ตรงเครื่องเพศนั่นเองว่า จะเป็น "อี" หรือเป็น "บัก"
ฐานเดิมของคำว่า "บัก" ถ้าเป็นกริยา หมายถึง บาก/ฟัน/ควั่น/ทำให้คอด/หรือทำให้กิ่วโดยรอบ เช่น เวลาจะผูกด้ายที่ปลายไม้คันเบ็ด ถ้าใช้ด้ายผูกแล้วดึงทบให้แน่นๆ ก็พอใช้การได้ แต่คนมีประสบการณ์ท่านสอนให้บักปลายคันเบ็ดเสียก่อน คือ การใช้มีดควั่นบริเวณปลายคันไม้นั้นโดยรอบ เพื่อให้เป็นร่องหรือเป็นแนวเล็กๆ เมื่อผูกด้าย จะทำให้ด้ายไม่เคลื่อนหรือเลื่อนหลุดโดยง่าย บักที่เป็นวิเศษณ์ ก็หมายถึง (สิ่ง) ซึ่งมีสภาพคอดหรือกิ่วโดยรอบ
แล้วอะไรเล่าที่ทำให้ผู้ชายได้รับการเรียกขาน ว่า บัก ในขณะที่ผู้หญิงไม่ได้รับการเรียกเช่นนั้น อีกทั้งเป็นเครื่องจำแนกเพศชายกับเพศหญิงที่เด่นชัด
คำตอบที่ทำให้เข้าใจง่ายที่สุดก็คือ "อวัยวะเพศ" นั้นแหละ
ส่วนที่จะเรียกว่า บัก หาใช่หมดทั้งพวงไม่ แต่เป็นเพียงส่วนปลายซึ่ง “มีสภาพคอดโดยรอบ” และนี่เป็นฐานความหมายพาดพิงถึงการเรียกว่า บัก ซึ่งถ้าพูดเรื่องง่ายๆ ให้ยุ่งๆ ขึ้นมาอีกนิด คำว่า บัก ในภาษาอีสานที่ใช้เรียกเพศชาย/เพศผู้ ก็ต้องแปลว่า “ผู้ซึ่งมีสภาพคอดโดยรอบ (ติดตัวมาแต่กำเนิด)” นั่นเอง
จริงอยู่ มนุษย์นั้นมีส่วนที่คอดเหมือนๆ กัน คือ ที่คอบ้าง ที่ข้อมือข้อเท้าบ้าง แต่เมื่อมีแล้วไม่สามารถจำแนกหาลักษณะพิเศษที่แตกต่างอย่างเด่นชัด จึงต้องมองหาส่วนอื่นๆ เรียกว่าเป็นการจำแนกหาความต่าง
ภาษาแขกเรียกชุดเครื่องเพศชายออกเป็นสองอย่าง
ส่วนที่เป็นลำหรือท่อ หรือแท่งนั้นเรียกว่า ลิงค หรือลึงค์
ส่วนที่เป็นก้อนเหมือนกับไข่นั้น เรียกว่า อัณฑะ
คำอีสานก็มีวิธีจำแนกชุดเครื่องเพศด้วยเหมือนกัน กล่าวคือ
เรียก ลึงค์ ว่า โค็ย หรือ โคย
เรียก อัณฑะ ว่า หำ ไข่หำ หมากไข่หำ หรือไข่ลอน ก็มี
คำว่า โค็ย นี้ ความหมายหลักก็อยู่ตรงที่เป็นท่อนแท่งแห่งอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศชาย หรือสัตว์เพศผู้
แล้วก็มีการใช้ในความหมายที่ขยายตัวออก หมายถึงวัตถุที่ให้สอดใส่ในช่องของวัตถุอื่น เช่น
โค็ยกง = เดือยระวิง
โค็ยเกวียน = เพลาเกวียน ซึ่งเป็นความหมายโดยปริยาย
การโพล่งคำว่า “โค็ย” ออกคำเดียวดังๆ ก็เป็นการผรุสวาท หรือบริภาษ รวมทั้งหมายถึงอาการแสดงความไม่พอใจอะไรบางอย่างได้ด้วย แต่คนอีสานจะบอกลูกสอนหลานว่า "หากหนุ่มคนไหนกินเหล้าเมาแอ๋ แล้วแจกอวัยวะดังว่าเสียงดังลั่น เจ็ดบ้านแปดเรือน ท่านว่าไม่ควรเอามาสืบหน่อต่อแนว ด้วยถือว่าเป็นคนไม่ดี"
ภาพประกอบและบทกวีบรรยายทั้งหมดได้จากหนังสือ เดินทาง-บันทึก-ศึกษา “เบิ่งฮูป-แต้มคำ” ของวิโรฒ ศรีสุโร
แม้โค็ยจะแสดงออกถึงความไม่สุภาพในบางวาระ แต่คำอีสานก็มีชื่อเรียกสิ่งของอื่นๆ อีก อย่างเป็นสามัญธรรมดา เช่น โค็ยงู = ต้นควยงู, โค็ยตาล = งวงตาล, โค็ยมอน = หางไหล เป็นอาทิ
ชาวอีสานพูดคำว่า "หำ" โดยไม่กระเดียมเหนียมปาก เพราะมันเป็นคำสามัญจริงๆ เช่น เรียกปมรากที่เกิดกับเถามันป่าและมันปลูกบางชนิด ปมดังกล่าวนี้ทรงกลม บางชนิดก็แป้นเล็กน้อย ขนาดย่อมกว่าลูกปิงปอง มักเรียกกันว่า "หำมัน" สามารถนำมาเผาไฟ ต้ม หรือนึ่งกินก็ได้ นำไปปลูกก็ได้, เรียกเห็ดชนิดหนึ่ง ทรงกลม สีเหลืองๆ เนื้อเหนียวว่า เห็ดหำฟาน, เรียก ส่าขนุน หรือ ผลขนุนอ่อน ที่เพิ่งติดลูกว่า หำมี้, หำหมากมี้
ชาวฝรั่งนำต้นมะฮอกกานีไปปลูกที่เวียงจันทน์ เป็นเพราะเหตุที่ไม่ใช่ต้นไม้ท้องถิ่นที่เคยมีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เรียกเป็นคำฝรั่งก็ไม่สะดวกปาก ชาวลาวกำหนดเรียกไม้ดังกล่าวนี้ว่า หำงัว ด้วยว่าผลของต้นมะฮอกกานี มีสัณฐานคล้ายกับอัณฑะของวัว แถมยังมีสีน้ำตาลเหมือนกับสีหนังวัวอีก เป็นการนิยามคำศัพท์ได้เด็ดขาดเฉียบคมมาก
ชื่อโรคก็มีที่พาดพิงถึงเรื่อง "หำ" คือคำว่า หำโปง หมายถึง ไส้เลื่อนลงถุง (อัณฑะ) ทำให้อัณฑะโตขึ้นและปวดหนึบๆ ทรมานสิ้นดี บางทีก็เรียกว่า "ไส้ลงหำ"
สำนวนว่า "หำหด" ใช้เรียกภาวะกลัวหรือหวาด หรือขยาดเกรงขาม เช่น การเรียกหน้าผาแห่งหนึ่งในจังหวัดชัยภูมิว่า "ผาหำหด" ก็หมายถึง เมื่อใครไปยืนที่ริมหน้าผานั้นแล้ว จะเกิดอาการกลัวจนหำหด นั่นเอง
นั่นว่าด้วยเรื่องหำ
ส่วนคำว่า "บัก" ไม่จำกัดเฉพาะคนเพศชายเท่านั้น ยังใช้เรียกสัตว์เพศผู้อย่าง วัว ควาย เช่น บักคำดี บักทองคูน บักด่อน บักตู้ เรียก สุนัข ว่า บักก่าน บักดำ รวมถึงสัตว์อื่นๆ แม้หา “รอยบักที่อวัยวะเพศ” ไม่ได้ แต่ก็ถูกจำแนกให้เป็นบักไปโดยความเข้าใจ เช่น เรียกแมลงกว่างตัวผู้เขาสั้นว่า บักกิ เรียกตัวผู้ที่เขายาวว่า บักโง้ง เรียก ไก่ตัวผู้ เป็น บักโอก บักโจ้น เรียก ม้าตัวผู้ขนาดเล็ก ว่า บักจ้อน เป็นอาทิ
มีสำนวนอีสานเกิดใหม่ คือคำว่า บวชล้างบัก ใช้เรียก “เหน็บ” คนยุคสมัยหลังๆ ที่มักจะบวชกันไม่กี่วัน ไม่ทันได้ศึกษาอบรมเรื่องมารยาทหรือฝึกจิตใจในทางพุทธธรรมสักเท่าใด แล้วก็ด่วนลาสิกขาออกมา จากที่เคยเรียกบักนำหน้าชื่อ ก็เรียก "ทิด" นำหน้าแทน แต่ถ้าทำตัวเกกมะเหรกเกเรเหมือนเคย ชาวบ้านก็มักจะพูดประเทียดเอาว่า บวชล้างบัก
คำว่าบัก มีปรากฏใช้ที่หน้าคำอื่น เป็นลักษณะของการใช้พยางค์เสริมหน้า (pre syllable) เช่น
บักใหญ่ หมายถึง ใหญ่ (พิเศษ)
บักเอ้บ หมายถึง (ลักษณะรูปร่างที่ปรากฏทางสายตา) ใหญ่เป็นพิเศษ
อย่างไรก็ดีคำพ้องรูปและพ้องเสียงกับ “บัก” ที่ปรากฏในคำเรียกผลไม้ บักอึ (ฟักทอง) บักโต่น (ฟักเขียว ผลใหญ่) บักขาม บักแตง คำเหล่านี้เป็นการเลื่อนเสียงกัน ระหว่างหน่วยเสียง /m/ หรือเสียง /ม/ กับหน่วยเสียง /b/ หรือเสียง /บ/ เพราะเป็นหน่วยเสียงที่เกิดริมฝีปากทั้งสอง (เราจะออกเสียง ม หรือ บ โดยไม่เอาริมฝีปากทั้งสองแตะกันก่อนไม่ได้) คือคำว่า หมาก เลื่อนเป็น หมัก และถ้าบังคับลมไม่ให้ออกทางจมูก เสียง หมัก ก็จะเป็นเสียง บัก ได้โดยง่าย บางคนยังถนัดปากที่จะเรียก หมักอึ หมักแตง อยู่เลย คำว่า หมาก/หมัก/บัก ในที่นี้ หมายถึงผลของพรรณไม้ ไม่เกี่ยวกับรอยบัก แต่ประการใด
ในภาษาอีสานจำแนกเพศเป็นสองอย่าง คือเพศผู้ กับเพศแม่ ต่อเมื่อมีคนประเภท “มีบัก” แต่จริตจก้านกระเดียดไปทางเพศหญิง ก็จึงเกิดมีคำว่าคนผู้แม่ (คำนี้เก่าเต็มที หาคนพูดน้อยแล้ว) ซึ่งก็หมายถึง 'กะเทย' ในความหมายที่เราสื่อความกันในปัจจุบัน หรือเช่นเรียก ไก่ตัวผู้ที่ไม่ขัน (แม้อายุของไก่จะล่วงเลยเข้าสู่วัยที่ควรขัน และไก่ลักษณะนี้ก็หายาก) ว่า ไก่ผู้แม่ เป็นต้น
บัก เมื่อใช้กับคนเพศชาย ใช้ได้ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ แต่จะไม่ใช้กับผู้อาวุโสกว่า เว้นเสียแต่ว่าจะใช้ในความหมายที่เป็นสามัญ และเป็นภาษาพูดไม่เป็นทางการ เช่นเรียกนักร้องชายที่เป็นซูเปอร์สตาร์ว่า บัก…(ตามด้วยชื่อ) หรือใช้ในความหมายที่ดูถูก ไม่ยำเกรง เช่น เรียกรัฐมนตรีที่มีข่าวพฤติกรรมที่โกงกินว่าบัก…(ตามด้วยชื่อ) หรือเรียกชาวตะวันตกว่า บักดังโม (ไอ้จมูกโต) เป็นต้น และมักจะเรียกในฐานะเป็น บุรุษที่สาม คือ เรียกลับหลัง ไม่ได้เรียกต่อหน้าในฐานะที่เป็นบุรุษที่สอง
ดังที่เกริ่นมาแต่ต้น คำว่า "บัก" นั้นเป็นการจำแนกผู้ชาย ซึ่งมีความต่างจากผู้หญิงแล้ว บักก็ถูกนำไปผนวกกับคำอื่น เช่น บักหำ เป็นคำที่ผู้ใหญ่เรียกเด็กชายด้วยความเอ็นดู บางคราวก็ประสมกับความเสแสร้งแกล้งใช้เด็ก เช่น ถ้าผู้ใหญ่พูดว่า “มึงไปตักน้ำให้กูสักขัน” กับ “บักหำ…ไปตักน้ำมาให้จั๊กขันแด่” ข้อความหลังนี้ นุ่มหูและน่าไปตักน้ำให้มากกว่าข้อความแรกเยอะเลย
เรียก บักหำ แค่นี้ยังไม่พอ บางคนเรียก บักหำน้อย ยิ่งระคนความน่ารักน่าเอ็นดูเจืออยู่ในน้ำคำเข้าไปใหญ่ แต่อย่าริไปพูดเอาคำว่า ใหญ่ ไปแทนคำว่า น้อย นั่นเชียว เป็นการล้อเลียนที่ไม่น่าให้อภัย
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมกราคม 2547
ผู้เขียน : วีระพงศ์ มีสถาน, สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล
- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Word
- Hits: 14564
การเรียนรู้ภาษาอีสานจากเพลง น่าจะเป็นหนทางที่ผู้เรียนจะเข้าใจได้ง่ายกว่า เพราะได้ยินสำเนียงเสียงอีสานจากนักร้อง บางเพลงก็ยังเรียนรู้ความหมายของคำได้ จากละครในมิวสิกวีดิโอได้อีกด้วย ตามคำขอครับสำหรับแฟนๆ ที่ชอบเพลงอีสานแต่ฟังแล้วเข้าใจความหมายได้ไม่หมด ก็ทำให้ความรู้สึกซาบซึ้งในดนตรีนั้นลดน้อยลง อยากจะทราบเนื้อหาเพลงใด ของนักร้องคนใด ก็บอกกันมาครับ ส่งอีเมล์ไปที่ webmaster (@) isangate.com จะได้นำมาเสนอเป็นลำดับต่อไป ขอแจ้งให้ทราบว่า ผู้จัดทำไม่ได้มีความต้องการโปรโมทเพลงนักร้องคนใด ค่ายใดทั้งสิ้น เพลงที่ถูกคัดเลือกมานำเสนอ จะต้องมีภาษาอีสานแทรกอยู่จำนวนหนึ่ง ที่แฟนเพลงบางท่านอาจไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง ฟังแล้วม่วนแต่บ่เข้าใจ จึงจะได้รับการคัดเลือกมาลงในหน้านี้ครับ
โลกยังมีผู้ชายแบบอ้ายคำร้อง/ทำนอง : ศราวุธ ทุ่งขี้เหล็ก ห้ามฝนบ่ให้ตกจังใด๋ ห้ามใจบ่ให้คึดฮอด ถึงบ่ได้กอด ได้แค่พาใจมาจอดความเหงา เป็นแขกประจำ ที่น้องมองข้ามได้ชมเพียงเงา หลบมุมโต๊ะเดิมที่เก่า ให้ความปวดร้าวเข้าสิง บ่โทษผู้ใด๋ อ้ายตั้งใจมาเจ็บ บ่เผื่อบ่เซฟ เพราะใจยังโสดซิงซิง ส่งสายตาเหงามาซอมเบิ่งเจ้าบ่เคยซูนคิง คืนไหนมีเสี่ยตบดริ๊งก์ อ้ายนั่งกลืนก้อนความอกหัก * ปากอ้ายมันหนัก แต่ใจฮักเบาคือบักนุ่น หมดโอกาสลุ้น นับว่าโชคดีมีเจ้าให้ฮัก คนบ่มีไผได้มาอยู่ใกล้ก็สุขใจนัก เจ็บหลายยามถูกเธอทัก ว่าอ้ายมาถ่าผู้ใด๋ ** บอกให้รับฮักมาจากไผ พบเจ้าก็ถูกชะตา อย่าฟ้าวรำคาญเด้อหล่า ยามที่สายตาเทียวส่งกด LIKE บ่ได้ครอบครอง แต่คิดฮอดน้องจนเป็นนิสัย โลกยังมีผู้ชายแบบอ้าย ฮักไปวันวันก็พอ (ซ้ำ * และ **) โลกยังมีผู้ชายแบบอ้าย ได้ฮัก ได้มองก็พอ มีคำที่เป็นภาษาอีสานหลายคำที่น่าสนใจดังนี้
|
- Details
- Written by: มนัส สุขสาย
- Category: Word
- Hits: 19848
เฮือน ๓ คำสอนโบฮาณเฮา
เฮือน 3 น้ำ 4 เป็นคำสอนของคนโบราณอีสานได้อบรมสั่งสอนให้ลูกหลานได้ประพฤติปฏิบัติ เพื่อความเป็นอยู่ที่สะอาด สุขภาพอนามัยที่ดี ผู้ใดนำไปประพฤติปฏิบัติครอบครัวก็จะอยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งปราชญ์โบราณท่านได้สอนเป็นคำกลอนดังนี้
เฮือน 1 นั้นได้แก่ เฮือนครัว ของในครัวให้เรียบร้อยบายเมี้ยนแจบจม อย่าประสมประเสบ่วงจองไหหม้อ ให้มีทอเก็บถ้วยสวยดีมีตู้ใส่ อย่าสุเก็บไขว่ไว้ดูได้บ่งาม ชามหรือหม้อเกลือไหปลาแดก หม้อแตกและบ่วงซ้อนบายได้ให้หม่อมือ อย่าให้ดำปื้อๆ ถ้วยบ่วงเป็นกะหลืน เวลากลืนอาหารโรคสิไหลลงท้อง ของแนวใช้ในครัวให้เกลี้ยงหมื่น อย่าให้ปลาแดกจื้นแมงวันสิแตกวื้นมาขี้ใส่ครัว อย่าให้หมาไก่กั้วเข้าอยู่เฮือนไฟ ถืกห่าหมาจังไฮสิคาบไหเลียซ้อน อย่าให้หนอนไปคั้วแมงวันเข้าคั่ว รักษาครัวให้เรียบร้อยดูละห้อยสู่ทาง อย่าให้มีกระดูกก้างค้างอยู่ในครัว คนสิหัวขวนนางว่าบ่เคยบายเมี้ยน เฮาต้องเพียรปัดแพ้วเฮือนครัวอย่าให้เก่า เป็นดั่งคำเพิ่นเว้า เบิ่งวัดให้เบิ่งฐานเบิ่งบ้านให้เบิ่งครัว หากว่าครัวสะอาดแล้ว ไผก็ย่องว่าดี
เฮือน 2 นั้นได้แก่ เฮือนนอน ทั้งแพรหมอนเสื่อเตียงเพียงพื้น อย่าให้เฮือนเอาจื้นหมองมัวลั้วขี้ฝุ่น เฮาต้องปุนกวาดแผ้วทั้งพื้นนอกใน ให้เจ้าปัดหาดไว้เกลี้ยงหมื่นงามตา ทั้งแจฝานอกในใสเกลี้ยง เตียงหมอนมุ้งสนานอนฟูกเสื่อ เสื้อและผ้าบายเมี้ยนคล่องมือ ให้เจ้าเฮ็ดคู่มื้อปัดกวาดเฮือนนอน ตอนกลางคืนให้แต่งแปลงหมอนมุ้ง อย่าให้ผัวเฮายุ่งยามแลงแต่งบ่อน นอนตื่นแล้วบายเมี้ยนเช็ดถู โต๊ะตั่งตู้อย่าให้ไขว่เกะกะ อย่าให้ของเฮาซะทั่วเฮือนเบียนด้ง ให้เจ้าจงใจเมี้ยนเฮือนนอนให้สง่า สะอาดหูสะอาดตาหาอันใดกะได้ เวลาหายกะฮู้เวลาดูกะโก้เป็นน่านั่งนอน จ่อและแค่งม้อนอย่าให้กีดขวางเฮือน บุง เบียน เขิง ตาทอ บอเมี้ยน อย่าสิได้เอาสิ่นไปวางเทิงหัวบ่อน ผัวสินอนบ่ได้สิสูนขึ้นหยั่งคืน ของต่ำพื้นอย่าไปพาดเทิงหัว มันสิผิดครองคูบ่แม่นแนวเด้เจ้า ให้เจ้าเอาใจเมี้ยนจัดเฮือนนอนให้เป็นบ่อน จังสินอนฮอดแจ้งสิแฝงซอดเซ้าคันเจ้าแต่งดี
เฮือน 3 นั้นได้แก่ เฮือนกาย ให้มีความละอายอย่าสิป๋านมโต้น คนสิเห็นผางฮ้ายเฮือนกายน้องฮั่ว รักษากายให้กุ้มกายหุ้มห่อแพร เสื้อกะอย่าสิแก้ปะปล่อยไว้หลาย ให้รักษาเฮือนกายอย่าให้เฮือนเฮาฮ้าง ให้เจ้าปุนปองล้างเฮือนกายให้สะส่วย ให้มันสวยอยู่เรื่อยดูได้สู่ยาม ให้เจ้าหมั่นอาบน้ำชำระตนโต หัวของนางให้หมั่นสระสรงน้ำ ให้มันงามเหลือล้ำดำดีอยู่คือเก่า ผมให้งามฮอดเฒ่าหวีเรื่อยอย่าเซา อย่าว่าเป็นผู้เฒ่าขายขาดมีผัว ปะให้หัวแดงหยองกะบ่งามเด้เจ้า ว่าโตมีผัวแล้วบ่สระหัวจักเถื่อ เกิดขี้คร้านนุ่งเสื้อแนวนั้นบ่ดี ครั้นพิถีพิถันไว้รักษากายให้โก้คล่อง ผัวกะมองอยู่เรื่อยเห็นหน้ากะว่างาม เฮือน 3 นี้ นารีควรฮ่ำ ธรรม 3 ข้อนี้ จำไว้อย่าหลง
น้ำ ๔ นั้นให้หมั่นเพียรทำ จำคำสอนฮ่ำฮอนเด้อเจ้า
- น้ำ 1 นั้นแม่น น้ำอาบสรงศรี อย่าให้มีทางอึดให้หมั่นหามาไว้ เมื่อเวลาเฮาใช้สระสีล้างส่วย อย่าให้มวยขาดแห้ง อย่าให้แอ่งขาดเกลี้ยง เมืองบ้านสิกล่าวขวัญ
- น้ำ 2 นั้นแม่น น้ำดื่มเฮากิน ขอให้ยินดีหาใส่เติมเต็มไว้ รักษาไห หรือหม้อ ถัง ออม อุแอ่ง อย่าให้แมงง้องแง้งลงเล่นแอ่งกิน ขัดให้เกลี้ยงอย่าให้เกิดมีไคล ดูให้ใสซอนแลนแอ่งกินดูเกลี้ยง อย่าให้มีกะหลึนเหมี่ยงสนิมไคลใต้ก้นแอ่ง อย่าให้น้ำขอดแห้งแลงเช้าให้เกื่อยขน ก้นแอ่งน้ำอย่าให้เกิดมีตม อย่าให้มีแนวจมอยู่เนาในน้ำ อย่าให้ไผเอาข้าว ของไปหว่านใส่ บาดมันไข่พุขึ้นสิปานน้ำฮากหมา ให้รักษาแอ่งน้ำยามดื่มอย่ามีอึด คึดอยากกินยามใด๋ก็เล่าตักกินได้ มีแขกไปไทยค้าคนมาเซาแหว่ ก็ได้แวใส่ได้เอาน้ำรับรอง
- น้ำ 3 นั้นได้แก่ น้ำเต้าปูน ผู้ที่เป็นแม่เฮือนให้เหล่าหามาพร้อม ให้คอยดอมเด้อหล่า หาปูนใส่กระบอก อย่าให้ซอกขาดแห้งหาไว้ใส่ขัน พันพลูพร้อมพันยาไว้ถ้าพี่ พันดีๆ ให้เรียบร้อยคอยต้อนแขกคน
- น้ำ 4 นั้นแม่น น้ำกลั่นอมฤต คือน้ำจิตน้ำใจแห่งนางหนูน้อย ให้เจ้าคอยหาน้ำในใจใสแจ่ม เพียงดั่งน้ำเต้าแก้วใสแล้วบ่ขุ่นมัว อย่าให้มีหมองมัว ผัวว่าอย่าโกรธา รักษาน้ำใจดีอย่าให้มีแข็งกระด้าง ขอให้นางคานน้อยใจดีอยู่อ่องต่อง คือดั่งน้ำหมากพร้าวบ่มีเปื้อนแปดตม อย่าให้มีคำขมต่อไผพอน้อย อย่าได้คอยหาข้องอแงฮ้อยแง่ เคียดข่อหล่อแข่แหล่แนวนั้นบ่ดี คันเฮ็ดได้จั่งสี้สิมีแต่ความสุข ผัวกะสุขเมียกะสุขสิค่อยมีเงินล้าน ผัวกะหวานเมียกะอ้อยออยกันเข้าบ่อน เมียกะนอนอยู่ใกล้ผัวได้ผ่างพา ขอให้นางคานหล้าทำตามโบราณเก่า จังสิมีขึ้นได้ความไฮ้บ่แล่นเถิง
เพลง "เฮือน ๓ น้ำ ๔" โดย พรศักดิ์ ส่องแสง
ถ้าผู้ใดนำไปประพฤติปฏิบัติจักมีชีวิตที่รุ่งเรือง แม้ว่าบางสิ่งจะพ้นสมัยไปแล้วก็ตาม แต่เราก็ยังสามารถประยุกต์นำมาใช้ได้อยู่เสมอ อย่าพึ่งไปคิดว่านี่เป็นของโบราณไม่เห็นจะต้องไปตักหาบน้ำ หรือเตรียมเต้าปูนกินหมากแต่อย่างใด เราก็ยังสามารถประยุกต์ของใหม่ให้รับกับคำสอนของเก่าได้อยู่มิใช่หรือ?
เฮือน ๓ น้ำ ๔ คุณสมบัติผู้หญิงพึงมี
เฮือน ๓ น้ำ ๔ ยุคสมัยปัจจุบัน
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ได้เสริมความหมายของ "เฮือน 3 น้ำ 4" ยุคปัจจุบันว่า ในสมัยก่อนเมื่อหญิงชายจะแต่งงานกัน พ่อแม่หรือผู้เฒ่าผู้แก่ มักจะสอนให้ฝ่ายหญิงรู้จักประพฤติปฏิบัติตนด้วย "เรือน 3 น้ำ 4" ซึ่งเรือน 3 ก็ได้แก่ เรือนผม, เรือนกาย และเรือนที่อยู่ หรือบางแห่งก็ว่าหมายถึง เรือนผม, เรือนไฟ และเรือนนอน ส่วนน้ำ 4 ก็ได้แก่ น้ำมือ, น้ำใจ, น้ำคำ และน้ำเต้าปูน แต่บางแห่งก็ตีความว่า น้ำกิน, น้ำใช้, น้ำใจ และน้ำเต้าปูน
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะมีความหมายอย่างไหนข้างต้น การประพฤติปฏิบัติด้วยเรือน 3 น้ำ 4 นี้ แท้ที่จริงก็คือ การอบรมให้หญิงสาว ที่จะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา รู้จักหน้าที่ของความเป็นแม่บ้านแม่เรือน เพื่อผูกใจสามีให้รักใคร่เอ็นดู ผู้เป็นภริยานั่นเอง
สำหรับเรือนแรก อันได้แก่ เรือนผม ก็คือ การรู้จักดูแลรักษาผมเผ้าให้สะอาดหมดจด ปราศจากกลิ่น โดยคอยหวีให้เรียบร้อย ไม่ปล่อยเป็นกระเซิง มิใช่พอตื่นขึ้นมา หันมาอีกที อ้าว! สามีคิดว่าสิงโตที่ไหนมานอนด้วย การจัดทำทรงผมให้ดี จะช่วยให้บรรดาเมียๆ น่ามองยิ่งขึ้น อีกทั้งตอนหวีผม คนเราก็ต้องดูกระจก จะได้ใช้เวลานั้นผัดหน้าทาแป้ง ให้สดชื่นสวยงาม ซึ่งสาวๆ พอได้แต่งหน้าทาปาก ก็จะรู้สึกว่าตัวสวยขึ้น เกิดความมั่นใจ ขณะเดียวกันเมื่อสามีเห็น ก็พลอยสบายตาไปด้วย
เรือนที่สอง คือ เรือนกาย หมายถึง การรักษาทรวดทรงองค์เอว ให้น่ามองอยู่เสมอ มิใช่พอได้แต่งงาน มีสามี คิดว่าไม่ต้องอยู่คานทองนิเวศน์แล้ว ก็เลยสบายใจ กินตามใจปาก ยิ่งพอมีลูก ยิ่งเลี้ยงยิ่งเหนื่อย ยิ่งกิน เผลอแผล่บเดียวหุ่นเพรียวลมที่เขาเคยโอบได้รอบ กลายเป็นตุ่มสามโคกโอบไม่มิด หรือเป็นโอ่งลายมังกร ให้สามีมองด้วยความสะท้อนใจ จริงอยู่ การครองรักครองเรือน มิใช่จะอยู่ที่รูปร่างหน้าตาเพียงอย่างเดียว แต่หากภริยาจะรู้จักดูแลรูปทรงตัวเองให้ดี ไม่ปล่อยปละละเลย จนเป็นยายเพิ้งหรือนางผีเสื้อสมุทร ตอนยังไม่แปลงกาย ก็น่าจะเป็นเสน่ห์ผูกใจสามีได้อีกทางหนึ่ง เพราะเวลาพาเมียไปไหนๆ คนชมว่าเมียว่าหุ่นดี ภริยาก็หน้าบาน สามีก็ภูมิใจ
เรือนที่สาม เรือนที่อยู่ ก็คือ การรู้จักดูแลบ้านช่อง จัดข้าวของในเรือนให้ดูสะอาดเรียบร้อย ไม่สกปรกรกรุงรัง เพราะบ้านที่สกปรก และไม่เป็นระเบียบ แสดงว่าเมียบ้านนั้นมีนิสัยขี้เกียจ ไม่เป็นแม่บ้านแม่เรือน หากมีแขกใครไปมา ก็จะขายหน้าถึงสามี อีกทั้งสุขอนามัยของบ้านนั้นๆ ก็จะไม่ดีไปด้วย ทำให้คนในบ้านเจ็บป่วยได้ง่าย ข้อสำคัญ สามีบางบ้านอาจเกิดอาการ "ภูมิแพ้เมีย" ต้องออกไปหาอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก ก็จะมีปัญหาตามมา ทางที่ดี เมียทั้งหลาย จึงควรปัดกวาดบ้านช่องให้น่าอยู่น่าอาศัย
ส่วนบางแห่งที่เขียนว่า เรือนไฟ ก็คือ ครัว ที่หญิงสาวจะต้องใช้ประกอบอาหารให้ครอบครัว คนโบราณเขาก็สอนให้รู้จักใช้ รู้จักเก็บกวาดอุปกรณ์ในครัวให้เรียบร้อย ไม่ปล่อยให้รก หรือสกปรก จนมีสัตว์ไม่ได้รับเชิญอย่างหนู หรือแมลงสาบมาเยี่ยมเยียน
ส่วนเรือนนอน ก็คือ ห้องนอน ก็เช่นเดียวกัน ก็ต้องรู้จักปัดกวาดเช็ดถูให้สะอาดอยู่เสมอ อย่างสมัยนี้ ถึงแม้ไม่ได้ทำเอง มีคนรับใช้ เมียหรือแม่บ้านก็ต้องรู้จักกำกับ และควบคุมดูแลเป็นระยะๆ มิใช่ปล่อยให้ทำตามยถากรรม ไม่งั้นวันดีคืนร้าย เกิดสามีเห็นความดีของผู้ช่วยแม่บ้านมากกว่า อาจเลื่อนขั้นเราขึ้นเป็น "เมียหวง" ถึงตอนนั้น จะเสียใจก็ยังไม่ทัน
ในส่วนของน้ำสี่ นั้น น้ำแรก ได้แก่ น้ำมือ หมายถึง ต้องรู้จักหัดทำข้าวปลาอาหารอร่อยๆ ให้สามีรับประทาน ซึ่งสมัยโบราณ หญิงสาวไม่ว่าจะชาวบ้าน หรือชาววังต่างก็ทำอาหารเป็นทั้งนั้น เพราะสมัยก่อนไม่มีร้านอาหารสำเร็จรูปให้ซื้อ มีแต่วัตถุดิบที่ต้องนำไปปรุงเอง ดังนั้น หญิงสาวส่วนใหญ่ จึงถูกฝึกให้ทำกับข้าวกับปลามาแต่เด็กๆ เสมือนหนึ่งหัดวิชาชีพติดตัว ที่สำคัญ คนรุ่นก่อนมีคติว่า "เสน่ห์ปลายจวัก ผัวรักจนตาย"
หญิงสาวทั้งหลายจึงต้องมี "น้ำมือ" ในการทำอาหารด้วยประการฉะนี้ แต่สำหรับสาวๆ ยุคเตาไมโครเวฟหรือแม่บ้านถุงพสาสติก แม้จะทำอาหารไม่เป็น แต่ก็ควรจะรู้จักเลือกซื้ออาหาร จากร้านเจ้าอร่อยและสะอาด และหากมีเวลาว่างก็ลองหัดทำอาหารง่ายๆ ให้สามีกินบ้าง เพราะจะทำให้เขารู้สึกซึ้งใจที่เราอุตส่าห์ทำในสิ่งที่ยาก สำหรับเราเพื่อเขา (แน่นอนว่า สามีคงทนกินอาหารแกะไปจนตายไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น ป่นแกะ ต้มแกะ แกงแกะ ยำแกะ แกะจากถุงพลาสติกทุกวัน)
น้ำที่สอง คือ น้ำใจ คือ การมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ และโอบอ้อมอารี ไม่เห็นแก่ตัว หรือทำใจดำ รู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลสามี ทั้งในหน้าที่การงาน และจิตใจ ซึ่งการมีน้ำใจนี้ มิใช่มีต่อสามีคนเดียว แต่ควรเผื่อแผ่ถึงญาติพี่น้องของสามีด้วย เพราะนอกจากจะทำให้สามีสบายใจแล้ว ยังช่วยให้ภริยาเป็นที่รักใคร่ และเป็นเกรงใจอีกด้วย และหากมีปัญหากับสามี ญาติพี่น้องของเขาก็จะเห็นใจและช่วยเรา นอกจากนี้ เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงก็ต้องมีน้ำใจต่อเขาด้วย เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
น้ำที่สาม คือ น้ำคำ ได้แก่ การใช้คำพูดที่สุภาพไพเราะหู ไม่กระโชกโฮกฮากหรือด่าทอ รู้จักเจรจาปราศรัย รู้ว่าเมื่อไรควรพูด เมื่อไรควรเงียบ เมื่อไรควรให้กำลังใจหรือปลอบประโลม อันที่จริงแล้ว การพูดจาดีต่อกันโดยไม่ด่าทอ บ่นว่าหรือจู้จี้จุกจิก จะทำให้รู้สึกว่าบ้านร่มเย็นน่าอยู่ ไม่ร้อนหูร้อนใจ ซึ่งการพูดจาไม่ระคายหูนั้น จริงๆ แล้วควรจะใช้พูดกับทุกคนทั้งในบ้านและนอกบ้าน ไม่เฉพาะแต่กับสามีเท่านั้น เพราะนอกจากผู้ฟังจะรู้สึกสบายหูแล้ว ยังจะรู้สึกดีๆ กับผู้พูดด้วย
และน้ำสุดท้าย คือ น้ำเต้าปูน หมายถึง การดูแลคอยเติมน้ำในเต้าปูนมิให้แห้ง ในสมัยก่อนคนกินหมาก จึงต้องมีเต้าปูน เป็นภาชนะใส่ปูนแดงไว้ป้ายใบพลู เพื่อกินกับหมาก ซึ่งถือว่าเป็นของรับแขก ดังนั้น หากแม่บ้านบ้านไหนปล่อยให้น้ำในเต้าปูนแห้ง จนไม่สามารถควักออกมาป้ายได้ แสดงว่าทำหน้าที่บกพร่อง แม่บ้านที่ดีจึงต้องคอยดูแลเติมน้ำในเต้าปูนอยู่เสมอ
เช่นเดียวกับคำว่า น้ำกิน น้ำใช้ ที่หมายถึง หญิงสาวที่เป็นแม่บ้านแม่เรือนจะต้องดูแลให้มีน้ำกิน น้ำใช้ในบ้านพร้อมเสมอสำหรับสามี ลูก และญาติๆ อันแสดงถึงการเอาใจใส่ต่อหน้าที่ภริยาที่ดี เรือน 3 น้ำ 4 แม้จะเป็นเรื่องที่คนโบราณสอน แต่ถือได้ว่าเป็น "เคล็ดลับการครองเรือน" ที่สาวๆ สมัยนี้สามารถนำไปใช้ได้ และยังเป็นวิธี "ผูกใจ" สามีที่ไม่ล้าสมัยหากจะรู้จักประยุกต์ใช้
ลำล่อง เรือนสามน้ำสี่ โดย จินตหรา พูนลาภ
นอกจากสามีที่ต้องคอยผูกใจแล้ว หญิงผู้ครองเรือนยังต้องทำหน้าที่ "แม่" คอยดูแลบุตร โดยเฉพาะการอบรมสั่งสอนให้พวกเขาเป็นคนดีของพ่อแม่ และสังคม ดังประโยคที่คนสมัยก่อนบอกว่า "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" การรักลูกให้ตีนี้ พ่อแม่ยุคนี้อาจจะคัดค้านเพราะได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมตะวันตกว่า สมัยนี้ต้องพูดกับลูกด้วยเหตุด้วยผล ไม่ควรใช้ไม้ขนาบเด็ก ก็เลยส่งผลให้ครูต้อง "หักไม้เรียว" ทิ้งกันเป็นแถวๆ แล้วลูกๆ ทั้งหลายก็เลยกลายเป็น "ลูกบังเกิดเกล้า" ที่พ่อแม่ยุคใหม่ไม่กล้าตี จะด้วยสงสารหรือรักจนหลงก็ตาม แต่ก็ทำให้เด็กๆ เหลิงจนเอาไม่อยู่ ดังตัวอย่างที่เห็นกันอยู่มากมายในปัจจุบัน
เด็กๆ สมัยก่อน หลายคนเมื่อกลับถึงบ้าน พอทำการบ้านเสร็จ ต้องไปช่วยพ่อแม่ขายของหรือช่วยกวาดบ้านถูบ้าน เมื่อกินข้าวเสร็จก็ต้องช่วยล้างถ้วยชาม หรือเก็บโต๊ะ กว่าจะได้ของอะไรสักชิ้น พ่อแม่มักจะให้ค่อยๆ เก็บจากเงินออม เพื่อให้เห็นค่าของเงิน เมื่อทำผิดก็จะถูก "ตี" และดุว่าสั่งสอนเพื่อให้หลาบจำ ซึ่งเด็กๆ ส่วนใหญ่จะยอมรับผิดโดยดุษฎี ไม่กล้าโต้เถียง และระมัดระวัง ที่จะไม่ผิดซ้ำให้ถูกทำโทษอีก
ส่วนเด็กสมัยนี้ จำนวนไม่น้อยที่พ่อแม่จะสงสารลูกไม่ยอมให้ช่วยงานบ้าน ให้อ่านแต่หนังสือ ให้เรียนอย่างเดียว ทำให้เด็กไม่มีส่วนร่วมในงานบ้านจึงขาดความรับผิดชอบ บางคนลูกขออะไรก็มักให้โดยง่าย เพราะกลัวลูกอายเพื่อน อยากได้มือถือรุ่นใหม่ก็ซื้อให้ อยากได้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ทั้งๆ ที่ยังไม่จำเป็นก็ซื้อให้ ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กไม่เห็นคุณค่าของเงิน และปลูกนิสัยใช้จ่ายเกินตัว พ่อแม่บางคนยอมไปกู้หนี้ยืมสินเพื่อซื้อของฟุ่มเฟือยให้ลูก ด้วยกลัวลูกจะไม่เทียมหน้าเทียมตาเพื่อนฝูง เมื่อลูกทำผิด ก็ไม่กล้าตี กลัวลูกโกรธ น้อยใจ กลัวลูกฆ่าตัวตาย ดังนั้น เด็กรุ่นใหม่ ถึงแม้จะเป็นเด็กฉลาด เพราะมีสื่อให้เรียนรู้มากมาย รู้จักโต้เถียงอย่างฉาดฉาน แต่ก็อ่อนแอเปราะบาง ขาดความอดทน และเอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่ ทั้งนี้ เพราะขาดสิ่งที่เรียกว่า "รักลูกให้ตี" นี่เอง
การ 'รักลูกให้ตี" ในที่นี้มิได้หมายถึง การใช้ไม้ตีเด็กอย่างเดียว แต่หมายถึง การที่พ่อแม่ต้องทำหน้าที่ อบรมสั่งสอนลูกให้รู้จักหน้าที่ ต้องกวดขัน และเข้มงวดต่อการเคี่ยวกรำให้ลูกประพฤติปฏิบัติตนให้ดี ผิดก็ต้องทำโทษ ไม่ปล่อยละเลยจนเหมือนส่งเสริมให้ลูกทำผิด จนกลายเป็น "พ่อแม่รังแกฉัน" พ่อแม่จะต้องเคร่งครัด แต่ไม่เคร่งเครียดกับลูก
ต้องทำเหมือนช่างปั้นหม้อ ที่ต้องคอยตีดินที่ปั้นให้เข้าที่เข้าทาง จนกลายเป็นหม้อที่สวยงาม ที่สำคัญคือ พ่อแม่ต้องเป็น "แบบอย่างที่ดี" ให้แก่เด็กด้วย ก็หวังว่าเรื่อง "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" นี้ จะเป็นแนวปฏิบัติอีกทางหนึ่ง ที่ช่วยเสริมสร้างความอบอุ่นในครอบครัว และเพิ่มสมาชิกที่มีคุณภาพของสังคมต่อไป
อักษรขอม | อักษรธรรมโบราณอีสาน | อักษรไทยน้อย | วรรณกรรมอีสาน | เฮือน ๓ น้ำ ๔