Subcategories
Paya & Soi
รวมผญา สุภาษิต และคำสอย
Klonlum
กลอนลำ
Song
เพลงลูกทุ่งอีสาน มาเข้าใจความหมายของคำภาษาอีสานในเพลงลูกทุ่ง
Alphabet Group
ภาษาอีสานแยกตามหมวดอักษร
Klon Pasit Boran Isan
กลอน ภาษิตโบราณอีสาน
- Details
- Written by: ทิดหมู มักหม่วน
- Category: Word
- Hits: 1036
การเรียนรู้ภาษาอีสานจากเพลง น่าจะเป็นหนทางที่ผู้เรียนจะเข้าใจได้ง่ายกว่า เพราะได้ยินสำเนียงเสียงอีสานจากนักร้อง บางเพลงก็ยังเรียนรู้ความหมายของคำได้ จากละครในมิวสิกวีดิโอได้อีกด้วย ตามคำขอครับสำหรับแฟนๆ ที่ชอบเพลงอีสานแต่ฟังแล้วเข้าใจความหมายได้ไม่หมด ก็ทำให้ความรู้สึกซาบซึ้งในดนตรีนั้นลดน้อยลง อยากจะทราบเนื้อหาเพลงใด ของนักร้องคนใด ก็บอกกันมาได้เลยครับ ส่งอีเมล์ไปที่ webmaster (@) isangate.com จะได้นำมาเสนอเป็นลำดับต่อไป ขอแจ้งให้ทราบว่า ผู้จัดทำไม่ได้มีความต้องการโปรโมทเพลงนักร้องคนใด ค่ายใดทั้งสิ้น เพลงที่ถูกคัดเลือกมานำเสนอ จะต้องมีภาษาอีสานแทรกอยู่จำนวนหนึ่ง ที่แฟนเพลงบางท่านอาจไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง ฟังแล้วม่วนแต่บ่เข้าใจ จึงจะได้รับการคัดเลือกมาลงในหน้านี้ครับ
ขุนแผนแค้นเฟืองคำร้อง/ทำนอง : ลูกโด่ง ห้าร้อยตัน
ขับร้อง : กิ๊ฟ โกมินทร์
กะว่าสิคุยเล่น แต่บ่เป็นคือคึดเอาไว้ * หลงคำเว้าเล่ห์เหลี่ยมมารยา ** ให้เขาป้อนเขายองเฟืองแห้ง *** บักขุนแผนที่คนเอิ้นคนส่า กะว่าสิคุยเล่น แต่บ่เป็นคือคึดเอาไว้ (ซ้ำ *, **, *** ) ถืกเวรกรรมนำต้อนนำไหล โอ๊ย จนว่าไปบ่เป็น มีคำภาษาอีสานที่น่าสนใจดังนี้
|
ได้รับจดหมายน้อยจากหนุ่มโรงงานทางบางปะกงส่งถึง อาวทิดหมู มักหม่วน ว่า "อาวเอยจั่งแม่นเพลงถืกใจหลาย ขุนแผนแค้นเฟือง เพลงใหม่ที่บรรดาหนุ่มโรงงานส่งต่อกันมา หลายๆ คำกะแปลความหมายบ่ได้ พอหมู่ทางภาคอื่นถามกะเลยอธิบายให้ฟังบ่ได้ หวังเอาอาวทิดหมูนี่แหละเป็นที่พึ่งยามนี้ จัดให้ด่วนๆ เด้อครับ" อาวทิดหมูกะบ่เคยฟังต้องค้นหาใน Youtube มาฟังและแปลให้ฟังแล้ววันนี้ อยากให้แปลเพลงหยังกะบอกมาเด้อ เดี๋ยวจัดให้...
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Word
- Hits: 728
เมื่อได้ยินคำว่า 'ทุ่งกุลาร้องไห้' หลายคนก็อาจคิดถึงทุ่งที่กว้างใหญ่ไพศาลดุจทะเลทราย ซึ่งเป็นอีกภูมิประเทศในไทยเมื่อหลายล้านปีก่อน หรือบางคนอาจจะคิดถึงพื้นที่แห่งความแห้งแล้ง แต่สำหรับผมเองยังนึกถึงประวัติศาสตร์ที่เล่าขานกันมาอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือ นิทาน หรือ ตำนานเรื่อง "ปู่ป๋าหลาน" หรือ "ปู่ปะหลาน" สำหรับคำว่า "ป๋า" หรือ "ปะ" เป็นภาษาลาวที่คนในภาคอีสานใช้พูดกัน มีความหมายว่า ทิ้ง, ทอดทิ้ง หรือแยกทางกัน ดังนั้นคำว่า "ปู่ป๋าหลาน" จึงมีความหมายว่า ปู่ทิ้งหลานไว้ หรือแยกทางกับหลานไป นั่นเอง ความน่าสนใจของตำนานปู่ป๋าหลาน ในทุ่งกุลาร้องไห้บริเวณอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม คือ อิทธิพลที่ทำให้เกิดลายพิณ ชื่อว่า ลายปู่ป๋าหลาน ผู้ที่เล่นพิณได้นั้นจำเป็นจะต้องเรียนรู้ลายพิณนี้ เพราะเป็นลายแรกๆ ที่ใช้เล่นเวลาเดี่ยวพิณหรือการแสดงของมือพิณ หากเทียบกับการเดี่ยวโปงลาง ก็จะเป็น 'ลายกาเต้นก้อน' ที่มือเดี่ยวโปงลางต้องฝึกเล่นนั่นเอง
"เดี่ยวพิณปู่ป๋าหลาน" บรรเลงพิณ : ทองเบส ทับถนน
ทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นทุ่งกว้างใหญ่ของภาคอีสาน มีพื้นที่กว้างประมาณ 2 ล้านไร่ และมีอาณาเขตครอบคลุมถึง 5 จังหวัด คือ จังหวัดสุรินทร์ ในเขตอำเภอชุมพลบุรี และอำเภอท่าตูม จังหวัดยโสธร ในเขตอำเภอมหาชนะชัย จังหวัดมหาสารคาม ในเขตอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดบุรีรัมย์ ในเขตอำเภอพุทไธสง และจังหวัดร้อยเอ็ด ในเขตอำเภอปทุมรัตต์ อำเภอเกษตรวิสัย อำเภอสุวรรณภูมิ และ อำเภอโพนทราย ซึ่งกินเนื้อที่ทุ่งกุลาร้องไห้มากที่สุดประมาณ 3 ใน 5 อาจกล่าวได้ว่า ทุ่งกุลาร้องไห้ ป็นที่ราบที่มีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน ส่วนพื้นที่ที่ต่อเนื่องกันมากที่สุด กว้างยาวที่สุดนั้น เริ่มตั้งแต่อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคามเรื่อยขึ้นไปทางตะวันออก ส่วนกว้างที่สุดอยู่ในท้องที่อำเภอปทุมรัตต์ อำเภอเกษตรวิสัย อำเภอสุวรรณภูมิ อำเภอโพนทราย มีเนื้อที่ประมาณ 847,000 ไร่
สำหรับลายพิณ ปู่ป๋าหลาน นิยมบรรเลงโดยพิณสองสาย คือ สาย 1 และสาย 2 ที่ตั้งโน้ตตัว ลา ทั้งสองสาย โดยในลายปู่ป๋าหลาน เล่าตำนานแห่งทุ่งกุลาออกมาเป็น 3 องค์ คือ 1. บทพรรณา 2. บทจ่ม 3. บทหย่าว
นิทานพื้นบ้านอีสาน : ปู่ป๋าหลาน
ส่วนตำนานหรือนิทานเรื่องนี้สันนิษฐานว่า เกิดในเขตจังหวัดมหาสารคาม เรามาเล่านิทานกันดีกว่า เรื่องย่อๆ เหมือนกันหลายสำนวน ผมเลยเอามายำรวมกันใหม่ ใส่บทสนทนาเข้าไปอีกนิดเพื่อเพิ่มอรรถรสของนิทานพื้นบ้านไทย เรื่องมีดังนี้
พิณบทที่ 1 บทพรรณนา จะเล่นในจังหวะตีสายคู่พร้อมกัน ซึ่งบรรยายอารมณ์ในลักษณะปู่กับหลานคู่หนึ่ง ที่กำลังเดินผ่านทุ่งกุลาร้องไห้ในท้องที่ของจังหวัดมหาสารคาม ในปัจจุบันมีหมู่บ้านหนึ่งชื่อ บ้านปะหลาน ใน อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว แดดยามสายแผดเผาราวกับจะต้มเลือดคนเดินเท้าให้เดือด ทุ่งที่ทอดยาวไร้จุดจบนี้คือ “ทุ่งกุลาร้องไห้” ดินแดนแห้งแล้งทุรกันดารที่ยาวนักกว้างนัก ยังมีชายชรากับหลานน้อยสองคนเดินลัดเลาะไปท่ามกลางความร้อนที่ไม่มีร่มไม้ให้พิง ไม่มีเงาใดให้พัก สู้ทนฝ่าแดด ฝ่าลม ฝ่าความเหนื่อยอ่อน ทั้งสองเดินเรื่อยไปด้วยใจที่มีเพียงคำว่า “ต้องไปให้ถึงอีกฟากฝั่งของทุ่งกว้างนี้” แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปใกล้จะถึงเที่ยงวัน ความเหนื่อยล้าเริ่มครอบงำโดยเฉพาะกับหลานน้อย
เด็กน้อยร่างเล็กเริ่มซวนเซ ดวงตาพร่ามัว ปากแห้งแตกระแหง น้ำเสียงงัวเงีย เริ่มกลายเป็นเสียงสะอื้น “ปู่… มื้อใด๋สิฮอดบ้าน…” เสียงเบาๆ ดังขึ้นจากปากเด็กที่แทบจะไม่เหลือแรงพูด ปู่เหลียวมองหลานด้วยใจสั่น มือเหี่ยวย่นลูบหัวเด็กเบาๆ แต่ก็รู้ดีว่า หากหยุดเดินตอนนี้ จะไม่มีน้ำให้หลาน และเขาเองก็อ่อนแรงเกินกว่าจะเดินย้อนกลับ
จึงจำต้องตัดสินใจ ปู่นำผ้าขาวม้าเก่าผืนเดียวที่ติดตัวมาห่อร่างหลานให้แน่นหนา แล้วอุ้มไปวางไว้ใต้พุ่มไม้ต้นหนึ่งที่พอมีร่มเงารับแดดจ้าได้บ้าง เขาก้มลงกระซิบเบาๆ ข้างหูเด็กน้อย “หลานเอ้ย หลับพักก่อนเด้อ ปู่สิไปหาน้ำมาให้… อย่าตื่นหนีปู่เด้อ”
จากนั้นปู่ก็หันหลังเดินจากไป ตาไม่กล้ามองย้อน เสียงฝีเท้าแผ่วเบา รอยเท้าทิ้งไว้บนผืนดินแตกระแหง เวลาผ่านไปเนิ่นนานไม่รู้กี่นาที หรืออาจเป็นชั่วโมง เด็กน้อยก็ตื่นขึ้นมาด้วยความกระหาย ตาเล็กๆ มองไปรอบๆ ตัว ไม่มีเงาปู่ ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีแม้แต่คำสัญญาใดๆ “ปู่… ปู่ไปไส…” เด็กน้อยร้องเรียกเสียงสั่น พลางขยับตัวช้าๆ ออกจากผ้าขาวม้าที่ห่อไว้ ความกลัว ความหิว ความร้อน และความเข้าใจผิด เริ่มเกาะกินใจดวงเล็ก
“ปู่บ่ฮักหลานแล้วบ้อ… ปู่คือป๋าหลานไว้… ปู่ป๋าหลาน… ปู่ป๋าหลานไว้…”
เสียงเด็กพร่ำคร่ำครวญซ้ำๆ เหมือนคนละเมอ ดวงตาเริ่มแดง ร่างเล็กเดินโซซัดโซเซออกจากพุ่มไม้ ดวงอาทิตย์ยังอยู่กลางฟ้า แต่แสงแดดตอนนี้ไม่เหมือนเดิม มันเหมือนมีน้ำหนักที่กดตัวเขาไว้กับพื้นทุกฝีก้าว เขาเดินไปตามทิศทางที่ไม่แน่ใจ เพียงเพื่อหวังว่าปู่จะอยู่ตรงหน้า หรือตรงข้าง หรือแม้แต่ตรงหลัง แต่... มันไม่มีเลย ปู่อยู่ไหน???
บางช่วง เขาหยุดเพื่อสะอื้น บางช่วงก็ล้มลงกับพื้น บ่นเบาๆ กับลม “ปู่… หลานเจ็บ หลานบ่ไหวแล้วเด้อปู่”
จนกระทั่งขาเล็กๆ หยุดเดินเองโดยที่สมองไม่ได้สั่ง เด็กน้อยล้มลงกลางดินแห้ง ดวงตาค้างมองฟ้า ริมฝีปากแห้งไม่มีแรงขยับเสียงอีกต่อไป เสียงพร่ำ “ปู่ป๋าหลาน” ยังค้างอยู่ในลม… แม้เจ้าของเสียงจะเงียบไปแล้วก็ตาม
อีกด้านหนึ่งของทุ่ง ปู่เดินเร่งเท้าเต็มกำลัง แม้หลังจะโก่ง แม้เท้าจะสั่น พอเห็นหลังคาเรือนปลายตีนบ้าน น้ำตาที่อั้นไว้พลันรื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เขาเข้าไปในหมู่บ้าน ร้องขอน้ำจากชาวบ้านด้วยเสียงที่แหบพร่า คนในหมู่บ้านเมื่อเห็นชายชราเต็มไปด้วยฝุ่นดิน ก็เร่งนำบั้งทิง (กระบอกไม้ไผ่) มาตักน้ำให้อย่างไม่รีรอ ปู่ก้มลงซดน้ำเพียงคำเดียว แล้วรีบตักใส่บั้งทิงจนเต็ม ก่อนจะหอบกลับด้วยสองมือที่สั่นระริก ใจคิดเพียงอย่างเดียว ให้ทัน ให้เร็ว ให้ถึงหลานก่อนที่แสงแดดจะกินแรงเขาทั้งหมด
พิณบทที่ 2 บทจ่ม จะเป็นการเล่าความเศร้าของปู่ เมื่อพบกับหลานของตนโดยไม่มีลมหายใจแล้ว เพราะหลานได้สลบและสิ้นใจ เพราะความกระหายน้ำ ประกอบกับอากาศที่ร้อนระอุ ปู่แทบขาดใจ น้ำตาร่วง ที่ทำให้หลานมาพบชะตากรรมเช่นนี้ ในขณะเดียวกันก็โทษตัวเองที่ให้หลานอยู่คนเดียวจนหลานสิ้นลมหายใจ
แต่เมื่อเขากลับมาถึงพุ่มไม้ที่เคยวางหลานไว้ใต้ร่ม ไม่มีเสียง ไม่มีร่าง ไม่มีรอยใดที่เคยมี หัวใจปู่หายวาบ มือที่ถือบั้งทิงหลุดจากแรงจับจนเสียงน้ำกระเซ็นใส่พื้น “หลาน… หลานเอ้ย…” เสียงปู่สั่นสะท้านขณะตะโกนออกไปทั่วทุ่ง เขาออกเดินหาอย่างไร้ทิศทาง สายตากวาดไปตามแนวพุ่ม ตามรอยเท้า ตามเงาแดดที่ไหว จนในที่สุด เขาก็เห็นร่างเล็กๆ นอนแน่นิ่งอยู่กลางแดดร้อนเปรี้ยง
“หลานเอ้ยยยยย…” เสียงปู่กึกก้องกว่าลม เสียงสะอื้นดังยิ่งกว่าเสียงทุ่งที่เงียบสนิท เด็กน้อยนอนแน่นิ่ง ใบหน้าเล็กมีรอยมดไต่ แมลงไชเข้าไปตามรูจมูก ตามหู และมุมปาก ร่างเล็กที่เคยร้อน กลับเย็นเฉียบเหมือนไร้ลมหายใจ ปู่ทรุดลงข้างๆ อุ้มร่างนั้นขึ้นมาช้าๆ เหมือนกลัวจะทำให้แตกสลายยิ่งไปกว่านี้ ดวงตาของชายชราไม่เหลือหยดน้ำใดจะร้องอีก มีเพียงหัวใจที่เต้นช้าลงทีละน้อย คล้ายจะแตกตามไปด้วย
ปู่ค่อยๆ อุ้มร่างหลานกลับไปยังตีนบ้าน น้ำหนักนั้นแม้เบา แต่หัวใจของเขาหนักจนแทบเดินไม่ไหว คนในหมู่บ้านเมื่อเห็นต่างพากันนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดเอื้อนคำ มีเพียงสายตาที่มองปู่กับร่างหลานอย่างรู้ว่าควรเงียบไว้ ปู่ไม่กล่าวโทษใคร ไม่ร่ำร้อง ไม่ร้องขอ เพียงแต่ขุดดินตรงชายบ้านแห่งหนึ่ง ฝังหลานน้อยไว้ใต้เงาไม้ ใต้พุ่มไม้ที่อ่อนกว่าแดด แต่ไม่อ่อนกว่าใจคนที่จากไป
เมื่อวันเวลาผ่านไป หมู่บ้านนั้นจึงเริ่มเรียกพื้นที่ตรงนั้นว่า “บ้านป๋าหลาน” คำว่า “ป๋า” ภาษาอีสานนั้น แปลว่า ทิ้ง และ หลาน ก็คือผู้ถูกทิ้ง แม้ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดจึงทิ้ง แต่เสียงร่ำไห้ของวันนั้นยังไม่จางไปจากลม ชื่อจึงค่อยเพี้ยนเป็น “บ้านปะหลาน” และยังคงอยู่จนถึงวันนี้ ในท้องที่ใกล้ๆ กับอำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคามในปัจจุบัน
พิณบทสุดท้าย บทที่ 3 หย่าว ของลายปู่ป๋าหลาน เมื่อความเจริญได้เข้ามาถึงเขตทุ่งกุลา มีการสร้างระบบชลประทาน ทำให้มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์กลายเป็นทุ่งปลูกข้าวมะลิเลื่องชื่อของประทศ พิณก็จะเล่นใน "จังหวะเต้ย" ที่เป็นจังหวะสนุกสนานเฮฮา ครื้นเครง
ปัจจุบันนี้ ด้วยพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ต้องการให้ประชาชนของพระองค์พึ่งพาตนเองได้ ด้วยระบบชลประทานเพื่อการเกษตร รัฐบาลได้เร่งจัดทำแหล่งน้ำ ปลูกข้าวหอมมะลิได้ผลดี ประชาชนอยู่ดีกินดี มีถนนหนทาง มีการปลูกป่าเพิ่มเติม ทำให้ชื่อด้านความเลวร้ายของทุ่งกุลาจางหายไป "ไม่มีใครจำหน้าปู่ ไม่มีใครจำเสียงหลาน แต่ทุกคนจำได้ว่า เคยมีคนหนึ่งแบกความรักไว้ทั้งชีวิต แล้วเสียมันไปเพียงเพื่อจะกลับมาพร้อมน้ำหนึ่งบั้ง"
ลายพิณปู่ป๋าหลาน บรรเลงโดย ทองใส ทับถนน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความรักแม้จะจริงแท้เพียงใด หากเดินช้ากว่าความเปราะบางของชีวิต ก็อาจไม่ทันให้ใครรับรู้ ปู่ไม่ได้ทอดทิ้งหลานเพียงแค่กลับมาช้ากว่าความตายเล็กน้อย และหลานก็ไม่ได้โกรธปู่เขาแค่อยากให้คนที่เขารักอยู่ข้างเขาในวันที่กลัวเกินจะเข้าใจเหตุผล
รักที่แท้… ถ้ามาช้าเพียงก้าวเดียว ก็อาจกลายเป็นความเจ็บที่ไม่มีใครรอฟัง”
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Word
- Hits: 663
เจ้าหัวกับจัวน้อย หรือ หลวงพ่อกับเณรน้อย เป็นนิทานพื้นบ้านอีสานที่เล่าสืบต่อกันมาแบบปากต่อปาก เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความฉลาดแกมโกงของสามเณรที่ชอบแกล้ง และอยากเอาชนะหลวงพ่อที่รู้ไม่เท่าทัน มีหลายตอนหลายสถานการณ์ ไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้แต่งหรือใครเล่าเป็นคนแรก เป็นการเล่าเพื่อให้เกิดความสนุกสนานครื้นเครง หรือผ่อนคลายในโอกาสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในงานบุญ งานสังสรรค์ หรือเป็นนิทานก่อนนอนเล่าให้เด็กๆ ฟัง เนื้อเรื่องจึงอาจมีความเหมือนและแตกต่างกันไปตามแต่อารมณ์ของผู้เล่าและผู้ฟัง
นิทานเรื่องหลวงพ่อกับเณรน้อย นั้นเป็นนิทานตลกขบขัน มีหลายสำนวนที่แตกต่างกันด้วยบริบท สถานที่ กิจกรรม มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยเพื่อให้ผู้ฟังสามารถจินตนาการเข้าใจในเนื้อหาได้ง่าย ในที่นี้จะยกมานำเสนอเป็นตัวอย่าง เรื่อง
1. หลวงพ่อบ่มักของหวาน
นิทานเจ้าหัวกับจัวน้อยตอนนี้ กล่าวถึงความเฉลียวฉลาดของสามเณรที่สามารถเอาชนะหลวงพ่อในการได้ฉันขนมหวานก่อนหลวงพ่อ เรื่องมีอยู่ว่า
ในวัดแห่งหนึ่งของอีสาน มีพระสงฆ์และสามเณรจำนวน 11 รูป เมื่อมารับบิณฑบาตรหรือฉันอาหารเช้า-เพล ก็จะเรียงลำดับตามอาวุโสจากเจ้าอาวาส (หลวงพ่อ) ถัดมาตามด้วยพระที่เรียงตามอาวุโสการบวช จนสุดท้ายจบที่สามเณร (จัวน้อย) การถวายอาหารและจตุปัจจัยก็จะเรียงตามลำดับอาวุโสด้วย
วันหนึ่ง ได้รับนิมนต์ให้ไปรับบิณฑบาตรและฉันภัตตาหารเช้า ที่งานขึ้นบ้านใหม่ของโยมในหมู่บ้าน เมื่อนั่งบนอาสนะที่เจ้าภาพจัดให้ก็จะมีการตักบาตร และถวายภัตตาหารเช้ากับพระสงฆ์
เมื่อถึงช่วงถวายอาหาร เณรน้อยเหลือบไปเห็นว่า อาหารคาว ข้าว แกงต่างๆ มีครบองค์คณะ แต่ๆๆๆ... ของหวานนับได้แค่ 10 ถ้วย เมื่อโยมถวายต้องมาไม่ถึงเณรน้อยเป็นแน่แท้ ปากไวดังความคิดเอ่ยออกไปว่า "หลวงพ่อเพิ่นบ่มักของหวานเด้อโยม"
โยมได้ยินก็ชะงักเล็กน้อยจึงขยับมาถวายที่พระรูปที่ 2 เรื่อยมาจนถึงเณรน้อยดังหวัง เจ้าภาพได้กล่าวนำถวายภัตตาหาร หลังจากนั้นพระสงฆ์ให้ศีลให้พรแก่ญาติโยม ฉันภัตตาหารจนเสร็จสิ้นก็บอกลากลับวัด
ลงจากบ้านงาน เณรน้อยรีบจำอ้าวกลับวัดโดยไว หลวงพ่อต้องตะโกนเรียกตามว่า "บักใด๋มันบอกว่า หลวงพ่อบ่มักของหวาน มานี่..."
ความขบขันในเรื่องนี้ คือ การที่เณรชิงไหวชิงพริบจนได้ของหวานที่ญาติโยมมาถวาย เพราะนับตามอาวุโสแล้ว ขนมหวานมีไม่ครบองค์ต้องแห้วแน่นอน เลยถือโอกาสเบรกการถวายที่หัวแถวลดลงมาอีกเล็กน้อย สำเร็จดังใจหมาย...
2. หวานปานขี้ไก่
นิทานเรื่องนี้ เป็นเรื่องความฉลาดแกมโกง ผสมความขี้เกียจของเณรน้อย
ในตอนเช้ามื้อหนึ่ง หลวงพ่อได้รับกิจนิมนต์เข้าไปฉันภัตตาหารเช้าที่บ้านโยม กะได้สั่งเณรน้อยว่า “น้อย น้อย หลวงพ่อสิไปในหมู่บ้านตามกิจนิมนต์เด้อ อยู่วัดอยู่กุฏิกะให้เบิ่งดีๆ อย่าให้ไก่มาขี้ใส่เด้อ คันไก่มาขี้ใส่ได้สิลงโทษอย่างหนัก” สั่งแล้วกะเข้าไปในหมู่บ้าน
เณรน้อยนั้นกะเป็นคนขี้คร้าน บ่อยากเฮ็ดตามหลวงพ่อบอก แต่กะอยากฮู้ว่า คันบ่ทำตามสั่งสิเกิดอีหยังขึ้น เลยวางแผนอุบายแกล้งหลอกหลวงพ่อ ด้วยการไปเอาน้ำอ้อยไปหยอดไว้หม่องนั้นหม่องนี่ เริ่มตั้งแต่บ่อนหัวคันไดขึ้นมา หยอดให้คือกองขี้ไก่ หยอดแล้วกะคอยเฝ้าไล่ไก่บ่ให้ขึ้นกุฏิ พอประมาณเวลาว่าหลวงพ่อสิกลับมา เณรน้อยกะทำท่าบ่ได้อยู่เฝ้ากุฏิ ไปหย่างเล่นทางอื่นเสย
หลวงพ่อกลับมาเห็นกองน้ำอ้อย ว่าแม่น "กองขี้ไก่" เลากะสูนวะสั่นฮ้องหาเณรน้อยว่า “น้อยเอ้ยน้อย เจ้าไปเฮ็ดหยังอยู่ไส เป็นหยังจั่งบ่มาเฝ้ากุฏิ ปล่อยให้ไก่มาขี้ใส่เต็มเลยเนี่ย” พอเณรน้อยมาเถิงแล้ว หลวงพ่อกะสั่งลงโทษให้กินขี้ไก่ให้เบิดสู่กองอย่าให้เหลือ
เณรน้อยกะทำท่าเป็นอิดออดบ่อยากกิน แต่ในที่สุดกะเอามือต้วยกองขี้ไก่ใส่ปาก จากกองนั้นไปกองนี่ พร้อมทั้งเว้าในลำคอว่า "ฮู้แซบๆ ฮู้หวานดีแซบ" พอหลวงพ่อเห็นเณรน้อยกินเป็นตาแซบกะถามว่า "มันแซบอิหลีติน้อยมันบ่เหม็นติ"
เณรน้อยกะบอกว่า "แซบอิหลีหลวงพ่อลองซิมเบิ่ง" หลวงพ่อกะเลยเอามือต้วยมาซิม "โฮ้... หวานหอมแซบดี ขี้ไก่มันแซบจั่งซี่ปล่อยให้ไก่มาขี้ใส่กุฏิดนแล้ว มื้ออื่นบ่ต้องไล่มันเด้อน้อย" เณรน้อยกะหัวอยู่ในใจ
มื้อต่อมากะสั่งเณรน้อยว่า น้อยๆ มื้อนี่ปล่อยให้ไก่มันขี้ใส่หลายๆ เด้อ เณรน้อยเลยหนีไปหาเล่นหม่องอื่น พอหลวงพ่อกลับมาเห็นไก่อยู่กุฏิกะดีใจ เลาติดใจรสชาติขี้ไก่ ลาวกะเอามือต้วยขี้ไก่มาเลียกิน เอ๊ะ กองนี่มันคือบ่แซบว่ะ เป็นเหม็นๆนำ สงสัยกะไปหาซิมกองอื่น เณรน้อยฮ้องถามหลวงพ่อว่า "เป็นจังใด๋หลวงพ่อแซบบ่" "หื้อ! มันเป็นเหม็นๆ ส้มๆ" หลวงพ่อเบ๋ปากตอบ เณรน้อยกะหัวย่ามๆ บอกไปว่า "ไผว่าขี้ไก่มันแซบ ขี้ไก่มันบ่แซบเดิก กั้กๆๆๆ" หลวงพ่อเสียท่าเสียฮู้เณรน้อยเสียแล้วมื้อนี้
ความขบขันของเรื่องนี้ คือความรู้ไม่เท่าทันของหลวงพ่อทำให้เสียรู้ให้แก่เณรน้อย
3. ไฟไหม้หัวแม่ตีนหลวงพ่อ
หลวงพ่อกับเณรน้อย
4. โลภมากมักลาภหาย
นิทานเรื่องนี้สอนเรื่อง อย่าคาดเดา มโนเอาเอง บางอย่างก็จำเป็นต้องใช้วาจาหลีกเลี่ยงบ้าง ต้องพิจารณาให้ดี
เดือนสี่ฤกษ์ดีของชาวบ้าน ในการหาแรงงานเพิ่มในครอบครัวช่วยเหลือการทำไร่นา ด้วยการแต่งดองหาเขยให้ลูกสาว หรือหาสะใภ้ให้ลูกชาย การจัดงานแต่งดองก็ต้องมีการทำบุญเลี้ยงพระเป็นสิริมงคล เจ้าภาพงานก็ต้องไปนิมนต์พระที่วัด แน่นอนว่า "ฤกษ์ดีมักจะเป็นวันเดียวกัน ไม่ปรึกษาทางวัดเลยน้อ"
วันนี้มีเจ้าภาพมานิมนต์สองงานตรงกันในวันเดียวกัน หลวงพ่อก็ไม่ขัดข้องได้รับกิจนิมนต์เจ้าภาพไว้ทั้งสองงาน เมื่อเจ้าภาพทั้งสองมาพบกันก็พูดคุยถึงการจัดงาน งานแรกเป็นพ่อเจ้าสาวมานิมนต์ไปงานแต่งเอาเขยเข้าบ้าน และหลวงพ่อจึงถามว่า "มีอะไรเลี้ยงฉลองบ้างล่ะโยม" ได้รับคำตอบว่า "มีคั่วงาฉลอง"
งานที่สองเป็นพ่อเจ้าบ่าวมานิมนต์หลวงพ่อไปงานแต่งเอาสะใภ้เข้าบ้าน หลวงพ่อถามว่า "ได้อะไรเลี้ยงฉลองล่ะโยม" ได้รับคำตอบว่า “มีบักแดงเขาโขงฉลอง” หลวงพ่อจึงได้บอกโยมทั้งสองว่า เดี๋ยววันงานจะแบ่งพระแยกกันไปทั้งสองงานแน่นอน
เมื่อโยมทั้งสองกลับไปแล้ว จึงเรียกพระเณรมาปรึกษาเรื่องไปงานกิจนิมนต์ทั้งสองงาน โดยแยกเป็นสองชุด ชุดที่หนึ่งมีหลวงพ่อเป็นหัวหน้าคณะ อีกชุดให้รองเจ้าอาวาสไปเป็นประธานอีกคณะโดยให้เณรน้อยไปกับชุดที่สอง โดยหลวงพ่อก็ชิงตัดหน้าพูดไปก่อนว่า งานของพ่อเจ้าสาวให้เณรน้อยไป ส่วนงานพ่อเจ้าบ่าวหลวงพ่อจะไปเอง
พอถึงวันงาน เจ้าภาพทั้งสองมารับคณะของหลวงพ่อและคณะของเณรน้อยไปงาน จนได้เวลาสมควรขากลับเจ้าภาพงานหลวงพ่อมาส่งหลวงพ่อก่อน ถึงวัดหลวงพ่อแสดงสีหน้าผิดหวัง ส่วนเจ้าภาพของเณรน้อยมาส่งเณรน้อยทีหลัง แต่เณรน้อยแสดงสีหน้ายินดี หลวงพ่อจึงถามเณรน้อยว่า เณรน้อยได้ฉันอะไรในงานแต่ง เณรน้อยบอกว่า “ได้ฉันลาบวัวน้อยตั่วล่ะหลวงพ่อ” และเณรน้อยจึงถามหลวงพ่อกลับไปว่า “หลวงพ่อได้ฉันอะไรในงานแต่ง” หลวงพ่อตอบด้วยความโมโหว่า “ได้ฉันพริกกับมะขาม”
ความตลกขบขันในเรื่องนี้เกิดจากการใช้ภาษาของเจ้าภาพ ที่ใช้คำผวนว่า “คั่วงา” ก็คือ “ฆ่าวัว” เพื่อไม่ให้ดูผิดศีลข้อ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และการตีความผิดของหลวงพ่อเองที่เข้าใจว่า “บักแดงเขาโขง” คือ ควายสีแดงตัวโต แต่แท้จริงแล้ว บักแดง คือ พริก ส่วน เขาโขง คือ มะขาม ในภาษาอีสานนั่นเอง งานนี้หลวงพ่อได้ฉัน "เข้ากับแจ่วบักขาม" เต็มคราบ ความขบขันจึงเกิดขึ้นจากการที่หลวงพ่อเสียเปรียบเณรน้อยเพราะ "ความละโมบ" ของตัวเอง
5. หลวงพ่อก่ำ
วัดในชนบทห่างไกลมักจะมีพระน้อยรูป หาคนบวชยาก ส่วนใหญ่จะบวชชั่วคราวเพื่อแก้เคล็ด แก้บน หรือบวชหน้าไฟในงานศพคนในครอบครัว วัดนี้ก็เช่นกัน มีเพียงหลวงพ่อชื่อ ก่ำ อยู่กับ เณรน้อยชื่อว่า อี๋ หลวงพ่อบวชตอนแก่จึงไม่ได้เรียนหนังสือ ส่วนเณรน้อยได้ไปเรียนหนังสือชั้นประถมศึกษาภาคบังคับอยู่โรงเรียนในตัวเมืองจึงพอมีความรู้อยู่บ้าง
วัดนี้ญาติโยมไม่ค่อยศรัทธาก็เพราะหลวงพ่อไม่ได้หนังสือ ไม่มีความรู้พอที่จะถ่ายทอดให้การศึกษาอบรมให้กับชาวบ้าน การขบฉันจึงอัตคัตขาดแคลน ไม่ค่อยมีการถวายอาหารดีๆ ในวันศีลวันพระ
วันหนึ่งหลวงพ่อจึงปรึกษาเณรน้อยว่า "มีอุบายให้โยมมาศรัทธาเลื่อมใสหรือไม่" เณรน้อยจึงคิดอุบายอย่างหนึ่งให้ โดยออกไปข้างวัดเห็นไถชาวนาวางไว้จึงแอบเอาไปซ่อนไว้ ชาวนากลับมาไม่เห็นไถจึงถามเณรน้อย แต่เณรน้อยจึงบอกให้ไปถามหลวงพ่อก่ำท่านเป็นพระหมอดู พอชาวนาจึงไปถามหลวงพ่อที่วัด หลวงพ่อจึงทำทีบวกลบคูณหารแล้วบอกว่า “นับจากที่วางไถไปสิบก้าวจะเห็นไถ” ชาวนาได้พบไถตามที่หลวงพ่อบอก ทำให้ชื่อเสียงหลวงพ่อก่ำขจรไปอีก จนชาวบ้านเกิดศรัทธานำอาหารมาถวายมากมาย
ต่อมามีหลวงพ่อรูปหนึ่งชื่อ ผาง อยู่วัดในหมู่บ้านใกล้กัน และมีเด็กวัดคนหนึ่งชื่อ แหมบ เด็กวัดคนนี้ขโมยเงินหลวงพ่อผาง ท่านจึงให้เด็กวัดคนนั้นไปตามหลวงพ่อก่ำมาช่วย ในขณะที่กำลังเดินทางไปวัดนั้นเด็กวัดชื่อ แหมบ เดินนำหน้า หลวงพ่อขี่ม้าอยู่กลาง เณรน้อยเดินตามหลังหลวงพ่อพร้อมกับบ่นว่า “ตายแน่ไอ้แหมบคราวนี้” เด็กชายแหมบได้ยินเข้าก็คิดว่า "หลวงพ่อรู้ว่าตนเป็นคนขโมยแน่ๆ" จึงรับสารภาพว่า ตนเอาเงินไปซ่อนไว้ใต้อาสนะ หลวงพ่อก่ำจึงได้บอกหลวงพ่อผางว่าเงินอยู่ใต้อาสนะ หลวงพ่อผางเห็นเงินจึงดีใจ ได้กล่าวถึงหลวงพ่อก่ำต่อญาติโยมอยู่เนืองๆ ทำให้ชื่อเสียงหลวงพ่อก่ำจึงขจรไกลไปอีก
ต่อมามีทหารคนหนึ่งทำปืนหาย มาขอร้องให้หลวงพ่อก่ำให้ช่วย หลวงพ่อไม่ทราบจึงขอผลัดให้ทหารมาอีกสามวัน เมื่อครบวันที่สาม หลวงพ่อคิดว่าตัวเองต้องถูกเปิดโปงแน่ จึงคิดฆ่าตัวตายและไปปรึกษาเณรน้อย เณรน้อยได้ทีจึงแนะให้ไปกระโดดน้ำตายหน้าวัด ในขณะที่หลวงพ่อกระโจนลงน้ำไปมือบังเอิญคว้าถูกปืนในน้ำได้พอดี จึงบอกเณรน้อยให้รีบไปช่วยดำน้ำเอาปืนขึ้นมา วันรุ่งขึ้นทหารมาพร้อมเพื่อนฝูง พบว่า เป็นปืนของตัวเองจริง ๆ ทำให้ชื่อเสียงของหลวงพ่อก่ำขจรไปอีก
ต่อมาเจ้าเมืองทำบุญประจำปีอยากนิมนต์พระดังมาเทศน์ จึงมานิมนต์หลวงพ่อก่ำมาเทศน์ หลวงพ่อได้ข่าวแทบเป็นลมเพราะอ่านหนังสือไม่ออก ปรึกษาเณรน้อย เณรน้อยจึงออกอุบายให้ว่า พอออกจากวัดไปให้จำชื่อต้นไม้ให้ได้มากๆ พอขึ้นเทศน์ให้ไล่เรียงชื่อต้นไม้ บอกว่าเป็นตอนหนึ่งในกัณฑ์มัทรีของพระเวสสันดรชาดก ส่วนที่เหลือบอกว่าจะให้เณรน้อยเทศน์ต่อ หลวงพ่อทำตามที่เณรน้อยบอก เณรน้อยมีไหวพริบเทศน์เก่งมากจนชาวบ้านชอบใจถามชื่อเสียงเรียงนาม หลวงพ่อได้ทีจึงบอกชาวบ้านว่า ที่เณรน้อยเทศน์เก่งนั้นเป็นเพราะตัวเองสอนให้ แต่บัดนี้ตัวเองแก่แล้วต่อไปจะให้เณรน้อยจะเทศน์แทน เพื่อป้องกันไม่ให้โยมนิมนต์ไปเทศน์ครั้งต่อไป
ขากลับโยมถวายเกลือ เณรน้อยเป็นคนหาบ หลวงพ่อขี่ม้าตามหลัง เณรน้อยรู้สึกหนักจึงแสร้างทำเป็นหลับเดินเซไปมา หลวงพ่อจึงเห็นว่าเณรน้อยสบายจึงขอเปลี่ยนกับเณรน้อย เณรน้อยพอได้ม้าก็รีบควบกลับวัด ส่วนหลวงพ่อหาบแล้วจึงรู้สึกว่ามันหนักจึงคิดว่าจะเอาเกลือไปซ่อนในบ่อน้ำก่อนแล้วกลับวัดไปบอกเณรน้อยวันหลัง เณรน้อยจึงชวนหลวงพ่อกลับมาเอาเกลือแต่พอยกขึ้นจากบ่อน้ำไม่มีเกลือแล้ว เณรน้อยจึงแกล้งกล่าวโทษหลวงพ่อว่า เอาเกลือไปขาย หลวงพ่อจึงบอกว่าคงจะเป็นปลากินเกลือหมด ทั้งคู่จึงช่วยกันวิดน้ำออกเห็นปลาดิ้นไปมา เณรน้อยเห็นปลาช่อนตัวเล็กก็ตบหูมันให้มันตาย แต่พอเห็นปลาดุกตัวใหญ่ เณรน้อยบอกให้หลวงพ่อตบหูมัน แต่เงี่ยงปลาดุกเสียบมือ หลวงพ่อเจ็บปวดทรมานมาก หลังจากที่ได้ปลาแล้วหลวงพ่อสั่งให้เณรน้อยเอาไปปลาไปต้ม เสร็จแล้วตนก็นอนพักผ่อน พอต้มสุกเณรน้อยก็กินเนื้อปลาจนหมด และเปิดฝาหม้อให้แมลงวันบินเข้าไปแล้วปิดฝาเอาไปวางไว้ใกล้ที่นอนหลวงพ่อ พอหลวงพ่อตื่นนอนมาหิวจึงบอกให้เณรน้อยเอาต้มปลามาให้ พอเปิดหม้อดูเห็นแมลงวันบินออกจึงถามเณรน้อยว่า “ต้มปลาไปไหน” เณรน้อยจึงบอกว่า “แมลงวันกินหมดแล้ว” หลวงพ่อโกรธมากจึงใช้ไม้ตะพดวิ่งไล่ตีแมลงวัน บังเอิญมีแมลงวันตัวหนึ่งบินมาจับที่จมูกท่าน หลวงพ่อจึงบอกให้เณรน้อยใช้ไม้สี่เหลี่ยมที่บันไดฟาดที่จมูกจนท่านสิ้นใจตาย
ความขบขันในเรื่องเกิดจากความบังเอิญ การที่หลวงพ่อทายเรื่องไถหายถูกเพราะหลอกชาวบ้าน การที่หลวงพ่อทายเรื่องเงินหายถูกโดยความบังเอิญ การที่หลวงพ่อทายเรื่องปืนหายถูกโดยความบังเอิญ การที่หลวงพ่อเทศน์ได้โดยการจำชื่อต้นไม้ และบอกว่าเป็นตอนหนึ่งในกัณฑ์มัทรีเป็นอุบายหลอก การที่เณรน้อยหลอกให้หลวงพ่อหาบเกลือเพราะหนัก การที่หลวงพ่อซ่อนเกลือในน้ำด้วยความโง่เขลา การที่เณรน้อยหลอกหลวงพ่อตบเงี่ยงปลาดุกการที่เณรน้อยหลอกหลวงพ่อว่าแมลงกินปลาหมด การที่หลวงพ่อถูกตีจมูกจนตาย เพราะความโง่เขลาของตัวเอง ทั้งหมดนี้ความขบขันเกิดจากทฤษฎีการผิดฝาผิดตัว ทฤษฎีข่มท่าน
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Word
- Hits: 1968
ระวังพายุฤดูร้อน 9-10 มีนาคม
บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีน ได้แผ่ลงมาปกคลุมด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทะเลจีนใต้ ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนหลายพื้นที่ ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยและทะเลจีนใต้เข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออกจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ จึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย
สำหรับภาคอีสานบ้านเฮา พี่น้องที่อยู่ในจังหวัดเลย ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา และบุรีรัมย์ ให้ระมัดระวังเป็นพิเศษนะขอรับ