Subcategories
Paya & Soi
รวมผญา สุภาษิต และคำสอย
Klonlum
กลอนลำ
Song
เพลงลูกทุ่งอีสาน มาเข้าใจความหมายของคำภาษาอีสานในเพลงลูกทุ่ง
Alphabet Group
ภาษาอีสานแยกตามหมวดอักษร
Klon Pasit Boran Isan
กลอน ภาษิตโบราณอีสาน
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Word
- Hits: 19
เจ้าหัวกับจัวน้อย หรือ หลวงพ่อกับเณรน้อย เป็นนิทานพื้นบ้านอีสานที่เล่าสืบต่อกันมาแบบปากต่อปาก เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความฉลาดแกมโกงของสามเณรที่ชอบแกล้ง และอยากเอาชนะหลวงพ่อที่รู้ไม่เท่าทัน มีหลายตอนหลายสถานการณ์ ไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้แต่งหรือใครเล่าเป็นคนแรก เป็นการเล่าเพื่อให้เกิดความสนุกสนานครื้นเครง หรือผ่อนคลายในโอกาสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในงานบุญ งานสังสรรค์ หรือเป็นนิทานก่อนนอนเล่าให้เด็กๆ ฟัง เนื้อเรื่องจึงอาจมีความเหมือนและแตกต่างกันไปตามแต่อารมณ์ของผู้เล่าและผู้ฟัง
นิทานเรื่องหลวงพ่อกับเณรน้อย นั้นเป็นนิทานตลกขบขัน มีหลายสำนวนที่แตกต่างกันด้วยบริบท สถานที่ กิจกรรม มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยเพื่อให้ผู้ฟังสามารถจินตนาการเข้าใจในเนื้อหาได้ง่าย ในที่นี้จะยกมานำเสนอเป็นตัวอย่าง เรื่อง
1. หลวงพ่อบ่มักของหวาน
นิทานเจ้าหัวกับจัวน้อยตอนนี้ กล่าวถึงความเฉลียวฉลาดของสามเณรที่สามารถเอาชนะหลวงพ่อในการได้ฉันขนมหวานก่อนหลวงพ่อ เรื่องมีอยู่ว่า
ในวัดแห่งหนึ่งของอีสาน มีพระสงฆ์และสามเณรจำนวน 11 รูป เมื่อมารับบิณฑบาตรหรือฉันอาหารเช้า-เพล ก็จะเรียงลำดับตามอาวุโสจากเจ้าอาวาส (หลวงพ่อ) ถัดมาตามด้วยพระที่เรียงตามอาวุโสการบวช จนสุดท้ายจบที่สามเณร (จัวน้อย) การถวายอาหารและจตุปัจจัยก็จะเรียงตามลำดับอาวุโสด้วย
วันหนึ่ง ได้รับนิมนต์ให้ไปรับบิณฑบาตรและฉันภัตตาหารเช้า ที่งานขึ้นบ้านใหม่ของโยมในหมู่บ้าน เมื่อนั่งบนอาสนะที่เจ้าภาพจัดให้ก็จะมีการตักบาตร และถวายภัตตาหารเช้ากับพระสงฆ์
เมื่อถึงช่วงถวายอาหาร เณรน้อยเหลือบไปเห็นว่า อาหารคาว ข้าว แกงต่างๆ มีครบองค์คณะ แต่ๆๆๆ... ของหวานนับได้แค่ 10 ถ้วย เมื่อโยมถวายต้องมาไม่ถึงเณรน้อยเป็นแน่แท้ ปากไวดังความคิดเอ่ยออกไปว่า "หลวงพ่อเพิ่นบ่มักของหวานเด้อโยม"
โยมได้ยินก็ชะงักเล็กน้อยจึงขยับมาถวายที่พระรูปที่ 2 เรื่อยมาจนถึงเณรน้อยดังหวัง เจ้าภาพได้กล่าวนำถวายภัตตาหาร หลังจากนั้นพระสงฆ์ให้ศีลให้พรแก่ญาติโยม ฉันภัตตาหารจนเสร็จสิ้นก็บอกลากลับวัด
ลงจากบ้านงาน เณรน้อยรีบจำอ้าวกลับวัดโดยไว หลวงพ่อต้องตะโกนเรียกตามว่า "บักใด๋มันบอกว่า หลวงพ่อบ่มักของหวาน มานี่..."
ความขบขันในเรื่องนี้ คือ การที่เณรชิงไหวชิงพริบจนได้ของหวานที่ญาติโยมมาถวาย เพราะนับตามอาวุโสแล้ว ขนมหวานมีไม่ครบองค์ต้องแห้วแน่นอน เลยถือโอกาสเบรกการถวายที่หัวแถวลดลงมาอีกเล็กน้อย สำเร็จดังใจหมาย...
2. หวานปานขี้ไก่
นิทานเรื่องนี้ เป็นเรื่องความฉลาดแกมโกง ผสมความขี้เกียจของเณรน้อย
ในตอนเช้ามื้อหนึ่ง หลวงพ่อได้รับกิจนิมนต์เข้าไปฉันภัตตาหารเช้าที่บ้านโยม กะได้สั่งเณรน้อยว่า “น้อย น้อย หลวงพ่อสิไปในหมู่บ้านตามกิจนิมนต์เด้อ อยู่วัดอยู่กุฏิกะให้เบิ่งดีๆ อย่าให้ไก่มาขี้ใส่เด้อ คันไก่มาขี้ใส่ได้สิลงโทษอย่างหนัก” สั่งแล้วกะเข้าไปในหมู่บ้าน
เณรน้อยนั้นกะเป็นคนขี้คร้าน บ่อยากเฮ็ดตามหลวงพ่อบอก แต่กะอยากฮู้ว่า คันบ่ทำตามสั่งสิเกิดอีหยังขึ้น เลยวางแผนอุบายแกล้งหลอกหลวงพ่อ ด้วยการไปเอาน้ำอ้อยไปหยอดไว้หม่องนั้นหม่องนี่ เริ่มตั้งแต่บ่อนหัวคันไดขึ้นมา หยอดให้คือกองขี้ไก่ หยอดแล้วกะคอยเฝ้าไล่ไก่บ่ให้ขึ้นกุฏิ พอประมาณเวลาว่าหลวงพ่อสิกลับมา เณรน้อยกะทำท่าบ่ได้อยู่เฝ้ากุฏิ ไปหย่างเล่นทางอื่นเสย
หลวงพ่อกลับมาเห็นกองน้ำอ้อย ว่าแม่น "กองขี้ไก่" เลากะสูนวะสั่นฮ้องหาเณรน้อยว่า “น้อยเอ้ยน้อย เจ้าไปเฮ็ดหยังอยู่ไส เป็นหยังจั่งบ่มาเฝ้ากุฏิ ปล่อยให้ไก่มาขี้ใส่เต็มเลยเนี่ย” พอเณรน้อยมาเถิงแล้ว หลวงพ่อกะสั่งลงโทษให้กินขี้ไก่ให้เบิดสู่กองอย่าให้เหลือ
เณรน้อยกะทำท่าเป็นอิดออดบ่อยากกิน แต่ในที่สุดกะเอามือต้วยกองขี้ไก่ใส่ปาก จากกองนั้นไปกองนี่ พร้อมทั้งเว้าในลำคอว่า "ฮู้แซบๆ ฮู้หวานดีแซบ" พอหลวงพ่อเห็นเณรน้อยกินเป็นตาแซบกะถามว่า "มันแซบอิหลีติน้อยมันบ่เหม็นติ"
เณรน้อยกะบอกว่า "แซบอิหลีหลวงพ่อลองซิมเบิ่ง" หลวงพ่อกะเลยเอามือต้วยมาซิม "โฮ้... หวานหอมแซบดี ขี้ไก่มันแซบจั่งซี่ปล่อยให้ไก่มาขี้ใส่กุฏิดนแล้ว มื้ออื่นบ่ต้องไล่มันเด้อน้อย" เณรน้อยกะหัวอยู่ในใจ
มื้อต่อมากะสั่งเณรน้อยว่า น้อยๆ มื้อนี่ปล่อยให้ไก่มันขี้ใส่หลายๆ เด้อ เณรน้อยเลยหนีไปหาเล่นหม่องอื่น พอหลวงพ่อกลับมาเห็นไก่อยู่กุฏิกะดีใจ เลาติดใจรสชาติขี้ไก่ ลาวกะเอามือต้วยขี้ไก่มาเลียกิน เอ๊ะ กองนี่มันคือบ่แซบว่ะ เป็นเหม็นๆนำ สงสัยกะไปหาซิมกองอื่น เณรน้อยฮ้องถามหลวงพ่อว่า "เป็นจังใด๋หลวงพ่อแซบบ่" "หื้อ! มันเป็นเหม็นๆ ส้มๆ" หลวงพ่อเบ๋ปากตอบ เณรน้อยกะหัวย่ามๆ บอกไปว่า "ไผว่าขี้ไก่มันแซบ ขี้ไก่มันบ่แซบเดิก กั้กๆๆๆ" หลวงพ่อเสียท่าเสียฮู้เณรน้อยเสียแล้วมื้อนี้
ความขบขันของเรื่องนี้ คือความรู้ไม่เท่าทันของหลวงพ่อทำให้เสียรู้ให้แก่เณรน้อย
3. ไฟไหม้หัวแม่ตีนหลวงพ่อ
หลวงพ่อกับเณรน้อย
4. โลภมากมักลาภหาย
นิทานเรื่องนี้สอนเรื่อง อย่าคาดเดา มโนเอาเอง บางอย่างก็จำเป็นต้องใช้วาจาหลีกเลี่ยงบ้าง ต้องพิจารณาให้ดี
เดือนสี่ฤกษ์ดีของชาวบ้าน ในการหาแรงงานเพิ่มในครอบครัวช่วยเหลือการทำไร่นา ด้วยการแต่งดองหาเขยให้ลูกสาว หรือหาสะใภ้ให้ลูกชาย การจัดงานแต่งดองก็ต้องมีการทำบุญเลี้ยงพระเป็นสิริมงคล เจ้าภาพงานก็ต้องไปนิมนต์พระที่วัด แน่นอนว่า "ฤกษ์ดีมักจะเป็นวันเดียวกัน ไม่ปรึกษาทางวัดเลยน้อ"
วันนี้มีเจ้าภาพมานิมนต์สองงานตรงกันในวันเดียวกัน หลวงพ่อก็ไม่ขัดข้องได้รับกิจนิมนต์เจ้าภาพไว้ทั้งสองงาน เมื่อเจ้าภาพทั้งสองมาพบกันก็พูดคุยถึงการจัดงาน งานแรกเป็นพ่อเจ้าสาวมานิมนต์ไปงานแต่งเอาเขยเข้าบ้าน และหลวงพ่อจึงถามว่า "มีอะไรเลี้ยงฉลองบ้างล่ะโยม" ได้รับคำตอบว่า "มีคั่วงาฉลอง"
งานที่สองเป็นพ่อเจ้าบ่าวมานิมนต์หลวงพ่อไปงานแต่งเอาสะใภ้เข้าบ้าน หลวงพ่อถามว่า "ได้อะไรเลี้ยงฉลองล่ะโยม" ได้รับคำตอบว่า “มีบักแดงเขาโขงฉลอง” หลวงพ่อจึงได้บอกโยมทั้งสองว่า เดี๋ยววันงานจะแบ่งพระแยกกันไปทั้งสองงานแน่นอน
เมื่อโยมทั้งสองกลับไปแล้ว จึงเรียกพระเณรมาปรึกษาเรื่องไปงานกิจนิมนต์ทั้งสองงาน โดยแยกเป็นสองชุด ชุดที่หนึ่งมีหลวงพ่อเป็นหัวหน้าคณะ อีกชุดให้รองเจ้าอาวาสไปเป็นประธานอีกคณะโดยให้เณรน้อยไปกับชุดที่สอง โดยหลวงพ่อก็ชิงตัดหน้าพูดไปก่อนว่า งานของพ่อเจ้าสาวให้เณรน้อยไป ส่วนงานพ่อเจ้าบ่าวหลวงพ่อจะไปเอง
พอถึงวันงาน เจ้าภาพทั้งสองมารับคณะของหลวงพ่อและคณะของเณรน้อยไปงาน จนได้เวลาสมควรขากลับเจ้าภาพงานหลวงพ่อมาส่งหลวงพ่อก่อน ถึงวัดหลวงพ่อแสดงสีหน้าผิดหวัง ส่วนเจ้าภาพของเณรน้อยมาส่งเณรน้อยทีหลัง แต่เณรน้อยแสดงสีหน้ายินดี หลวงพ่อจึงถามเณรน้อยว่า เณรน้อยได้ฉันอะไรในงานแต่ง เณรน้อยบอกว่า “ได้ฉันลาบวัวน้อยตั่วล่ะหลวงพ่อ” และเณรน้อยจึงถามหลวงพ่อกลับไปว่า “หลวงพ่อได้ฉันอะไรในงานแต่ง” หลวงพ่อตอบด้วยความโมโหว่า “ได้ฉันพริกกับมะขาม”
ความตลกขบขันในเรื่องนี้เกิดจากการใช้ภาษาของเจ้าภาพ ที่ใช้คำผวนว่า “คั่วงา” ก็คือ “ฆ่าวัว” เพื่อไม่ให้ดูผิดศีลข้อ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และการตีความผิดของหลวงพ่อเองที่เข้าใจว่า “บักแดงเขาโขง” คือ ควายสีแดงตัวโต แต่แท้จริงแล้ว บักแดง คือ พริก ส่วน เขาโขง คือ มะขาม ในภาษาอีสานนั่นเอง งานนี้หลวงพ่อได้ฉัน "เข้ากับแจ่วบักขาม" เต็มคราบ ความขบขันจึงเกิดขึ้นจากการที่หลวงพ่อเสียเปรียบเณรน้อยเพราะ "ความละโมบ" ของตัวเอง
5. หลวงพ่อก่ำ
วัดในชนบทห่างไกลมักจะมีพระน้อยรูป หาคนบวชยาก ส่วนใหญ่จะบวชชั่วคราวเพื่อแก้เคล็ด แก้บน หรือบวชหน้าไฟในงานศพคนในครอบครัว วัดนี้ก็เช่นกัน มีเพียงหลวงพ่อชื่อ ก่ำ อยู่กับ เณรน้อยชื่อว่า อี๋ หลวงพ่อบวชตอนแก่จึงไม่ได้เรียนหนังสือ ส่วนเณรน้อยได้ไปเรียนหนังสือชั้นประถมศึกษาภาคบังคับอยู่โรงเรียนในตัวเมืองจึงพอมีความรู้อยู่บ้าง
วัดนี้ญาติโยมไม่ค่อยศรัทธาก็เพราะหลวงพ่อไม่ได้หนังสือ ไม่มีความรู้พอที่จะถ่ายทอดให้การศึกษาอบรมให้กับชาวบ้าน การขบฉันจึงอัตคัตขาดแคลน ไม่ค่อยมีการถวายอาหารดีๆ ในวันศีลวันพระ
วันหนึ่งหลวงพ่อจึงปรึกษาเณรน้อยว่า "มีอุบายให้โยมมาศรัทธาเลื่อมใสหรือไม่" เณรน้อยจึงคิดอุบายอย่างหนึ่งให้ โดยออกไปข้างวัดเห็นไถชาวนาวางไว้จึงแอบเอาไปซ่อนไว้ ชาวนากลับมาไม่เห็นไถจึงถามเณรน้อย แต่เณรน้อยจึงบอกให้ไปถามหลวงพ่อก่ำท่านเป็นพระหมอดู พอชาวนาจึงไปถามหลวงพ่อที่วัด หลวงพ่อจึงทำทีบวกลบคูณหารแล้วบอกว่า “นับจากที่วางไถไปสิบก้าวจะเห็นไถ” ชาวนาได้พบไถตามที่หลวงพ่อบอก ทำให้ชื่อเสียงหลวงพ่อก่ำขจรไปอีก จนชาวบ้านเกิดศรัทธานำอาหารมาถวายมากมาย
ต่อมามีหลวงพ่อรูปหนึ่งชื่อ ผาง อยู่วัดในหมู่บ้านใกล้กัน และมีเด็กวัดคนหนึ่งชื่อ แหมบ เด็กวัดคนนี้ขโมยเงินหลวงพ่อผาง ท่านจึงให้เด็กวัดคนนั้นไปตามหลวงพ่อก่ำมาช่วย ในขณะที่กำลังเดินทางไปวัดนั้นเด็กวัดชื่อ แหมบ เดินนำหน้า หลวงพ่อขี่ม้าอยู่กลาง เณรน้อยเดินตามหลังหลวงพ่อพร้อมกับบ่นว่า “ตายแน่ไอ้แหมบคราวนี้” เด็กชายแหมบได้ยินเข้าก็คิดว่า "หลวงพ่อรู้ว่าตนเป็นคนขโมยแน่ๆ" จึงรับสารภาพว่า ตนเอาเงินไปซ่อนไว้ใต้อาสนะ หลวงพ่อก่ำจึงได้บอกหลวงพ่อผางว่าเงินอยู่ใต้อาสนะ หลวงพ่อผางเห็นเงินจึงดีใจ ได้กล่าวถึงหลวงพ่อก่ำต่อญาติโยมอยู่เนืองๆ ทำให้ชื่อเสียงหลวงพ่อก่ำจึงขจรไกลไปอีก
ต่อมามีทหารคนหนึ่งทำปืนหาย มาขอร้องให้หลวงพ่อก่ำให้ช่วย หลวงพ่อไม่ทราบจึงขอผลัดให้ทหารมาอีกสามวัน เมื่อครบวันที่สาม หลวงพ่อคิดว่าตัวเองต้องถูกเปิดโปงแน่ จึงคิดฆ่าตัวตายและไปปรึกษาเณรน้อย เณรน้อยได้ทีจึงแนะให้ไปกระโดดน้ำตายหน้าวัด ในขณะที่หลวงพ่อกระโจนลงน้ำไปมือบังเอิญคว้าถูกปืนในน้ำได้พอดี จึงบอกเณรน้อยให้รีบไปช่วยดำน้ำเอาปืนขึ้นมา วันรุ่งขึ้นทหารมาพร้อมเพื่อนฝูง พบว่า เป็นปืนของตัวเองจริง ๆ ทำให้ชื่อเสียงของหลวงพ่อก่ำขจรไปอีก
ต่อมาเจ้าเมืองทำบุญประจำปีอยากนิมนต์พระดังมาเทศน์ จึงมานิมนต์หลวงพ่อก่ำมาเทศน์ หลวงพ่อได้ข่าวแทบเป็นลมเพราะอ่านหนังสือไม่ออก ปรึกษาเณรน้อย เณรน้อยจึงออกอุบายให้ว่า พอออกจากวัดไปให้จำชื่อต้นไม้ให้ได้มากๆ พอขึ้นเทศน์ให้ไล่เรียงชื่อต้นไม้ บอกว่าเป็นตอนหนึ่งในกัณฑ์มัทรีของพระเวสสันดรชาดก ส่วนที่เหลือบอกว่าจะให้เณรน้อยเทศน์ต่อ หลวงพ่อทำตามที่เณรน้อยบอก เณรน้อยมีไหวพริบเทศน์เก่งมากจนชาวบ้านชอบใจถามชื่อเสียงเรียงนาม หลวงพ่อได้ทีจึงบอกชาวบ้านว่า ที่เณรน้อยเทศน์เก่งนั้นเป็นเพราะตัวเองสอนให้ แต่บัดนี้ตัวเองแก่แล้วต่อไปจะให้เณรน้อยจะเทศน์แทน เพื่อป้องกันไม่ให้โยมนิมนต์ไปเทศน์ครั้งต่อไป
ขากลับโยมถวายเกลือ เณรน้อยเป็นคนหาบ หลวงพ่อขี่ม้าตามหลัง เณรน้อยรู้สึกหนักจึงแสร้างทำเป็นหลับเดินเซไปมา หลวงพ่อจึงเห็นว่าเณรน้อยสบายจึงขอเปลี่ยนกับเณรน้อย เณรน้อยพอได้ม้าก็รีบควบกลับวัด ส่วนหลวงพ่อหาบแล้วจึงรู้สึกว่ามันหนักจึงคิดว่าจะเอาเกลือไปซ่อนในบ่อน้ำก่อนแล้วกลับวัดไปบอกเณรน้อยวันหลัง เณรน้อยจึงชวนหลวงพ่อกลับมาเอาเกลือแต่พอยกขึ้นจากบ่อน้ำไม่มีเกลือแล้ว เณรน้อยจึงแกล้งกล่าวโทษหลวงพ่อว่า เอาเกลือไปขาย หลวงพ่อจึงบอกว่าคงจะเป็นปลากินเกลือหมด ทั้งคู่จึงช่วยกันวิดน้ำออกเห็นปลาดิ้นไปมา เณรน้อยเห็นปลาช่อนตัวเล็กก็ตบหูมันให้มันตาย แต่พอเห็นปลาดุกตัวใหญ่ เณรน้อยบอกให้หลวงพ่อตบหูมัน แต่เงี่ยงปลาดุกเสียบมือ หลวงพ่อเจ็บปวดทรมานมาก หลังจากที่ได้ปลาแล้วหลวงพ่อสั่งให้เณรน้อยเอาไปปลาไปต้ม เสร็จแล้วตนก็นอนพักผ่อน พอต้มสุกเณรน้อยก็กินเนื้อปลาจนหมด และเปิดฝาหม้อให้แมลงวันบินเข้าไปแล้วปิดฝาเอาไปวางไว้ใกล้ที่นอนหลวงพ่อ พอหลวงพ่อตื่นนอนมาหิวจึงบอกให้เณรน้อยเอาต้มปลามาให้ พอเปิดหม้อดูเห็นแมลงวันบินออกจึงถามเณรน้อยว่า “ต้มปลาไปไหน” เณรน้อยจึงบอกว่า “แมลงวันกินหมดแล้ว” หลวงพ่อโกรธมากจึงใช้ไม้ตะพดวิ่งไล่ตีแมลงวัน บังเอิญมีแมลงวันตัวหนึ่งบินมาจับที่จมูกท่าน หลวงพ่อจึงบอกให้เณรน้อยใช้ไม้สี่เหลี่ยมที่บันไดฟาดที่จมูกจนท่านสิ้นใจตาย
ความขบขันในเรื่องเกิดจากความบังเอิญ การที่หลวงพ่อทายเรื่องไถหายถูกเพราะหลอกชาวบ้าน การที่หลวงพ่อทายเรื่องเงินหายถูกโดยความบังเอิญ การที่หลวงพ่อทายเรื่องปืนหายถูกโดยความบังเอิญ การที่หลวงพ่อเทศน์ได้โดยการจำชื่อต้นไม้ และบอกว่าเป็นตอนหนึ่งในกัณฑ์มัทรีเป็นอุบายหลอก การที่เณรน้อยหลอกให้หลวงพ่อหาบเกลือเพราะหนัก การที่หลวงพ่อซ่อนเกลือในน้ำด้วยความโง่เขลา การที่เณรน้อยหลอกหลวงพ่อตบเงี่ยงปลาดุกการที่เณรน้อยหลอกหลวงพ่อว่าแมลงกินปลาหมด การที่หลวงพ่อถูกตีจมูกจนตาย เพราะความโง่เขลาของตัวเอง ทั้งหมดนี้ความขบขันเกิดจากทฤษฎีการผิดฝาผิดตัว ทฤษฎีข่มท่าน
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Word
- Hits: 17
๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๘ จะเป็นวันที่ก้าวผ่านเข้าสู่ปีที่ ๒๘ ของเว็บไซต์ สะออน อีสาน sa-on isan ที่ url : http://www.geocities.com/sa-on (เดี๋ยวนี้ดูไม่ได้แล้ว เขายกเลิกไปเมื่อหลายสิบปีก่อน) ก่อนที่จะมาเป็น ประตูสู่อีสาน : IsanGate.com ที่คิดเพียงจะทำเล่นๆ ฆ่าเวลาระหว่างตามลุ้นตามเชียร์ฟุตบอลโลก มาปีนี้ก็ยังคงทำเล่นๆ ขณะเชียร์ลูกสาวแห่งชาติไทยในเกมการแข่งขัน Volleyball Nations League 2025 ต่อไป
ฅนอีสานฮักแผ่นดินเกิด
ท่ามกลางความสุขในการเอาใจช่วยนักกีฬาสาวไทยสู้เพื่อเอาชัยชนะ ฅนอีสานล้านเปอร์เซนต์ ในทุกพื้นที่ก็พร้อมที่จะต่อสู้เคียงข้างเหล่าทหารหาญของชาติ ในการป้องกันการเข้ามาลอบกัดของพวกหมาข้างบ้าน วันนี้เราได้เห็นน้ำใจของการช่วยเหลือกันแบบพร้อมเพรียงในทุกเขตแดนอีสาน พร้อมกันส่งเสบียง ข้าวปลา อาหาร น้ำดื่ม และยุทธโธปกรณ์สำคัญเพื่อปกป้องประเทศ การระดมยางรถยนต์เก่าจำนวนมหาศาลสู่แนวหน้าสร้างบังเกอร์ หลุมหลบภัยให้พี่น้องตามแนวชายแดน กระสอบทรายนับพันนับหมื่น ทรายอีกหลายสิบคันรถมุ่งตรงยังชายแดน
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Word
- Hits: 1408
ระวังพายุฤดูร้อน 9-10 มีนาคม
บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีน ได้แผ่ลงมาปกคลุมด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทะเลจีนใต้ ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนหลายพื้นที่ ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยและทะเลจีนใต้เข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออกจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ จึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย
สำหรับภาคอีสานบ้านเฮา พี่น้องที่อยู่ในจังหวัดเลย ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา และบุรีรัมย์ ให้ระมัดระวังเป็นพิเศษนะขอรับ
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Word
- Hits: 8078
นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องราวของ ท้าวคันธรรม หรือ ท้าวคชนาม หรือ คัชนาม เป็นนิทานพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และยังตรงกับตำนานเรื่อง "คันธนามโพธิ์สัตว์ชาดก" อันเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าของเรามาเสวยชาติสร้างบารมี ซึ่งมีหลายสำนวนและมีรายละเอียดที่แตกต่างกันในรายละเอียด เป็นเรื่องราวของชายผู้หนึ่งชื่อ ท้าวคันธรรม หรือ ท้าวคชนาม หรือ คัชนาม ที่มีพละกำลังมหาศาล เพราะเป็นลูกช้าง (ที่พระอินทร์แปลงโฉมมา) ในนิทานได้กล่าวถึงการผจญภัยของชายหนุ่มผู้นี้ การสู้รบ การประลองกำลังจนได้ชัยชนะ ของท้าวคันธนาม การออกเดินทางไปตามหาพ่อที่เป็นพญาช้าง ซึ่งพบว่ามีอยู่หลายสำนวน เช่น
- สำนวนอักษรธรรม 1 ผูก วัดท่าลาด ตำบลท่าลาด อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี (เป็นเรื่องย่อ)
- สำนวนวัดขุมคำ ตําบลแก้งเค็ง อําเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี (คล้ายสำนวนแรก แต่แตกต่างกันในส่วนสถานที่ในเรื่อง ที่ผูกเอาสถานที่ในท้องถิ่นเป็นหลัก)
- ปราสาทกู่คันธนาม บ้านคันธนาม ตำบลยางคำ อำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด (เรื่องยาวที่ถูกเล่าขานมากที่สุด ครอบคลุมอาณาเขตล้านช้างหรือ สปป.ลาว ภาคอีสาน และประเทศกัมพูชา)
- ท้าวคัชนาม ในหนังสือ "สารานุกรมวัฒนธรรมอีสาน เล่ม 5" โดย ธวัช ปุณโณทก, พ.ศ. 2542 หน้า 1616-1618
จึงมานำเสนอบันทึกไว้ที่นี่โดยเลือกเอาสำนวนที่ 3 เรื่อง “ท้าวคันธนาม” หรือ ท้าวคัชนาม เรื่องราวของพระโพธิสัตว์ (อดีตชาติของพระพุทธองค์) เป็นเรื่องชาดก แต่จัดเป็น "ชาดกนอกนิบาต" กล่าวคือ ได้เล่าถึงความเป็นมาเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น “คันธนโพธิสัตว์” ซึ่งเกี่ยวพันและผูกพันกับพี่น้อง 3 ชนชาติในแถบอีสานนี้คือ ไทย ลาว และเขมร อย่างใกล้ชิด ชาวอีสานนำมาเป็นนิทานอธิบายความเชื่อ ภูมิบ้าน นามเมือง อีกเรื่องหนึ่ง โดยอธิบายที่มาของชื่อภูเขาสำคัญ ชื่อสถานที่ในภาคอีสาน เนื้อเรื่อง "ท้าวคัชนาม" นี้เป็นเรื่องขนาดยาวหลายตอนจบ และบางตอนก็คล้ายกับเรื่อง “อ้ายเจ็ดทะนง” ของภาคกลาง และเรื่อง “อ้ายตะเลิ้กเคิ่ก” ของภาคเหนือ และเรื่อง “อ้ายเจ็ดจา” ของภาคใต้ ส่วนชื่อ ภูมบ้าน นามเมือง จะอธิบายในตอนท้ายของนิทานนี้
ท้าวคันธนาม (คัชนาม)
กำเนิดท้าวคันธนาม
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน “เมืองศรีสาเกตุ” มีสาวทึนทึก (หญิงไม่มีสามี และรูปร่างหน้าตาไม่สวยงาม) วัยกลางคน ทำมาหากินอยู่ในหมู่บ้าน โดยนางมีที่นาอยู่ตรงบริเวณตรงกลางของที่นาชาวบ้านคนอื่นๆ ซึ่งรายล้อมอยู่โดยรอบ จนกาลต่อมา ได้ถึงกำหนดที่จะมี เทวบุตร (พระโพธิสัตว์) จุติมาปฏิสนธิในโลกมนุษย์ พอถึงหน้าเก็บเกี่ยวข้าว พระอินทร์ก็แปลงร่างมาเป็น ช้างใหญ่ (พญาช้างฉัททันต์) ไปบุกรุกเหยียบย่ำข้าวในนาของสาวทึนทึกนางนั้น จนบรรดาพืชพันธุ์เสียหายหมด แล้วก็หนีไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยบันดาลรอยเท้าไว้ให้เห็น
ครั้นรุ่งเช้า นางมาที่ทุ่งนาเห็นความเสียหายเข้าก็เสียใจ และโกรธช้างนั้นมาก จึงตกลงใจเดินทางตามหาสัตว์ที่มาทำลายข้าวในนาของนาง ระหว่างเดินทางด้วยความเหนื่อยและหิวกระหาย นางก็ได้กินน้ำในรอยเท้าช้างแปลงตัวนั้น ต่อมานางก็เกิดตั้งครรภ์ขึ้น ประมาณสิบเดือนจึงคลอดได้เป็นบุตรชาย มีรูปร่างแข็งแรง มี ดาบศรีคันชัย (ศรีขรรค์ชัย) ติดตัวมาด้วย นางตั้งชื่อลูกชายว่า “คันธนาม” หรือ “คัชนาม” (คช อ่านว่า คะชะ หรือ คัด-ชะ แปลว่า ช้าง) ลูกชายได้ช่วยเหลือแม่เฒ่าทำงานตั้งแต่เล็กๆ
เมื่อคัชนามอายุได้ 7 ปี ในวันหนึ่งคัชนามจึงถามถึงบิดา แม่เฒ่าก็เล่าให้ฟังและพาลูกชายไปที่ป่าแห่งนั้น เพื่อดูรอยเท้าช้างที่แม่เฒ่าได้ดื่มน้ำ ขณะนั้นได้พบยักษ์ ซึ่งยักษ์จะเข้ามาทำร้ายแม่เฒ่า คัชนามจึงต่อสู้กับยักษ์ตนนั้น และใช้ดาบศรีคันชัยสู้กับยักษ์ จนยักษ์นั้นยอมแพ้ จึงได้มอบ “น้ำเต้าวิเศษ” ให้ และยังบอกแหล่งซ่อน “ขุมทอง” ให้อีกด้วย ทั้งสองแม่ลูกจึงไปค้นหาแหล่งขุมทองนั้น ก็พบทองคำเป็นจำนวนมาก จึงทำให้สองแม่ลูกมีฐานะดีขึ้นและแบ่งทองคำให้เพื่อนบ้านทุกคน
เมื่อท้าวคัชนามอายุ 16 ปี มีข่าวเล่าลือว่า ท้าวคัชนามเป็นคนมีกำลังมากจนสามารถปราบยักษ์ได้ ล่วงรู้ไปถึง "พระยาศรีสาเกต" ผู้เป็นเจ้าเมือง จึงเรียกคัชนามเข้าเฝ้า แล้วสั่งให้ทดลองกำลังโดยการถอนต้นตาล 2 ต้นที่ขวางทางเสด็จ ซึ่งท้าวคัชนามก็ถอนได้ แล้วยังเหาะไปในอากาศกวัดแกว่งต้นตาลนั้นด้วยกำลัง พระยาศรีสาเกตเห็นดังนั้น จึงแต่งตั้งให้เป็นอุปราชและสร้างปราสาทให้มาอยู่ในเมือง ท้าวคัชนามก็พาแม่เฒ่ามาอยู่ด้วย และได้ใช้น้ำเต้าวิเศษรดบนร่างกายมารดา จนแม่เฒ่ากลับร่างเป็นสาวรุ่นสวยงามมาก จนเจ้าเมืองมาสู่ขอไปเป็นพระมเหสี
ตามหาบิดา
ในวันหนึ่งท้าวคัชนามก็ขอลาแม่ไปติดตามหาบิดา ท้าวได้เดินทางตามรอยเท้าช้างไปยัง “เมืองอินทปัตถา” ระหว่างทางไปพบ “ชายร้อยเล่มเกวียน” ที่กำลังลากเกวียน 100 เล่ม ด้วยกำลังตัวเพียงคนเดียว ท้าวคัชนามจึงคิดประลองกำลังโดยไปดึงเกวียนเล่มท้าย ชายร้อยเล่มเกวียนลากเกวียนไม่ไหวจึงหันมาดูข้างหลัง พบท้าวคัชนามจึงเกิดการต่อสู้กัน ชายร้อยเล่มเกวียนสู้ไม่ได้จึงขอเป็นทาสติดตามไปด้วย ต่อมาพบ “ชายไม้ร้อยกอ” กำลังลากไม้ร้อยกอ ท้าวคัชนามก็ประลองกำลังอีกด้วยการจับไม้ที่กำลังถูกลากอยู่นั้น ชายไม้ร้อยกอโกรธที่ถูกขัดจังหวะจึงต่อสู้กัน ท้าวคัชนามก็ชนะอีก ชายไม้ร้อยกอจึงยอมเป็นทาสติดตามไปด้วยเช่นกัน
ทั้งสามก็เดินทางไปตามหาบิดาท้าวคัชนามต่อไป จนกระทั่งเดินทางไปถึงป่าใหญ่รกทึบ จึงหยุดพักด้วยความเหนื่อยและหิวอาหาร พอดีเห็นตัว "จีนายโม้" (ตัวแมลงคล้ายจิ้งหรีด) กำลังขุดขุ้ยดิน ดีดกระเด็น ข้ามแม่น้ำโขงไปตกไกลถึง เมืองเวียงจันทน์ (ยังเห็นกลายเป็นก้อนหินจำนวนมากกองอยู่ในปัจจุบัน บริเวณที่เป็นค่ายทหารลาวเรียกว่า “ค่ายจีนายโม้” เพราะมีหินซึ่งกลายมาจากขี้ขุยดิน ที่ตัวจิ้งหรีดยักษ์ขุดกระเด็นมาตกไว้เมื่อครั้งกระโน้น) ท้าวคัชนามจึงให้ชายทั้งสองไปจับจิ้งหรีดยักษ์มาทำอาหาร แต่ชายทั้งสองมีกำลังสู้จิ้งหรีดยักษ์ไม่ได้ ถูกดีดกระเด็นไปไกล ท้าวคัชนามจึงลงไปในรูจับได้ขาข้างหนึ่ง ตัวจิ้งหรีดยักษ์พยายามดีดจนขาหลุดออกมาข้างหนึ่ง
เมื่อท้าวคัชนามได้ขาจิ้งหรีด จึงเดินหาเพื่อนทั้งสองก็เห็นนอนสลบอยู่ไม่ไกลนัก ท้าวคัชนามเอาน้ำในลูกน้ำเต้ารดลงที่ร่างชายทั้งสองก็ฟื้นขึ้นมา ท้าวคัชนามจึงให้ไปขอไฟที่กระท่อมที่อยู่ไม่ไกลนัก เมื่อชายไม้ร้อยกอไปถึงกระท่อมก็พบ "ยักษ์" เจ้าของกระท่อม ถูกยักษ์จับหักขาขังไว้ในสุ่มเหล็ก ครั้นให้ชายร้อยเล่มเกวียนไปตามก็ถูกยักษ์จับหักขาเช่นเดียวกัน ท้าวคัชนามคอยอยู่นานมากจึงติดตามไปดู เห็นเพื่อนผู้มีกำลังถูกขังอยู่ในสุ่มเหล็ก รู้ว่ายักษ์ตนนี้มีฤทธิ์มากจึงใช้ดาบศรีคันชัยสู้กับยักษ์ตนนั้น ยักษ์สู้ไม่ได้จึงร้องขอชีวิตไว้ ยักษ์จึงให้ไม้เท้าวิเศษ “กกชี้ตาย ปลายชี้เป็น” (คือ หากใช้ด้านรากชี้คนนั้นจะตาย เมื่อใช้ด้านปลายชี้คนนั้นจะฟื้นคืนชีพ) และให้ "พิณวิเศษ" แก่ท้าวคัชนามอีกด้วย แล้วท้าวคัชนามได้ใช้น้ำในลูกน้ำเต้ารดเพื่อนทั้งสอง แล้วทั้งสองก็หายจากการขาหัก ทั้งสามจึงย่างขาจิ้งหรีดกินเป็นอาหารจนอิ่ม แล้วจึงเดินทางต่อไป
ฆ่างูซวงครองเมืองขวางทะบุรี
ทั้งสามเดินทางเข้าเมือง "ขวางทะบุรี" พบว่า เป็นเมืองร้างไม่มีผู้คนอยู่เลย พอถึงกลางเมืองพบกลองใบใหญ่ใบหนึ่ง จึงตีกลองเพื่อเรียกให้ผู้คนออกมาพบ ครั้งตีกลองก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องอยู่ในนั้น จึงใช้มีดกรีดหน้ากลองและพบหญิงสาว จึงช่วยออกมาแล้วถามความเป็นไป นางเล่าว่านางชื่อ “กองสี” เป็นธิดาเจ้าเมือง ซึ่งเจ้าเมืองนำตนมาซ่อนไว้ให้พ้นจาก "งูซวง" (งูผีของพระยาแถน) ส่วนเจ้าเมืองและไพร่พลถูกงูซวงของพระยาแถนกินหมดแล้ว เนื่องจากเจ้าเมืองและชาวเมืองประพฤติตนไม่อยู่ในจารีต เจ้าเมืองไม่อยู่ในทศพิธราชธรรม และชาวเมืองยิงนกตกปลา ฆ่าสัตว์ ทำบาป พระยาแถนจึงปล่อยงูซวงออกมากินคนจนหมดเมือง
นางบอกว่าถ้าหากก่อไฟขึ้นงูซวงเห็นแสงไฟจะลงมาอีก ท้าวคัชนามจึงก่อกองไฟใหญ่ให้แสงส่องถึงเมืองพระยาแถน ครั้นงูซวงลงมาจำนวนมากก็ถูกท้าวคัชนามและสหายช่วยกันฆ่าตายหมด ท้าวคัชนามจึงช่วยชีวิตชาวเมืองขวางทะบุรี โดยใช้ "ไม้เท้ากกชี้ตายปลายชี้เป็น" ชี้ไปยังกองกระดูกคน ผู้คนชาวเมืองก็ฟื้นคืนชีพทุกคน ส่วนกระดูกงูนั้นไหลตามน้ำไป เมื่อฝนตกใหญ่พัดพาไปติดที่ดักปลาของยักษ์ซึ่งนำก้อนหินใหญ่ๆ มาทำ "ลี่ดักปลา" อยู่กลางแม่น้ำโขง เมื่อกระดูกงูลอยมาติดจำนวนมากจึงเรียกว่า “แก่งลี่ผี” และเพี้ยนเสียงเป็น “แก่งหลี่ผี” ในปัจจุบัน ส่วนกองไฟที่ท้าวคัชนามก่อนั้น เมื่อถูกฝนตกใหญ่จึงดับ กลายเป็นภูเขาเรียกว่า “ดงพระยาไฟ” แล้วเปลี่ยนเป็น “ดงพระยาเย็น” ในภายหลัง เมื่อเจ้าเมืองขวางทะบุรีฟื้นแล้วก็ดีพระทัย จึงยกเมืองให้ท้าวคัชนามพร้อมทั้งยกนางกองสีให้เป็นมเหสี ท้าวคัชนามจึงแต่งตั้งให้ ชายร้อยกอเป็น อุปราช และ ชายร้อยเล่มเกวียนเป็น แสนเมือง
สู่เมืองจัมปากนคร
อยู่ไม่นาน ท้าวคัชนาม ก็ต้องเดินทางติดตามบิดาของตนต่อไป โดยฝากเมืองขวางทะบุรีให้เพื่อนทั้งสองเป็นผู้ดูแล โดยท้าวคัชนามได้ไปอยู่กับแม่เฒ่าที่ "เมืองจำปานคร" หรือ "จัมปากนคร" ได้ “นางสีไล” ธิดามหาเศรษฐีเมืองนั้นเป็นภรรยา มีบุตรด้วยกันคนหนึ่งชื่อ “คัชเนก” วันหนึ่ง พระยาจำปา เจ้าเมืองนี้เสด็จประพาสป่าและได้พบกับยักษ์ และยักษ์นั้นจับพระยาจำปาได้ พระยาจำปาร้องขอชีวิต ยักษ์จึงแลกเปลี่ยนให้หามนุษย์มาให้ยักษ์กินวันละคน พระยาจำปารับคำแล้วเสด็จกลับเมือง
พระยาจำปาก็ทำตามสัญญา โดยสั่งให้นำนักโทษไปไว้ที่หอผีกลางเมืองตามที่ยักษ์สั่งไว้ เพื่อที่ยักษ์จะได้นำไปกินเป็นอาหาร ครั้นเมื่อหมดนักโทษในคุกแล้ว พระยาจำปาคิดว่า คงไม่สิ้นเวรสิ้นกรรม หากนำคนที่ไม่ผิดไปให้ยักษ์กิน จึงคิดว่า ตนเองควรจะไปเป็นอาหารยักษ์เสียจะได้สิ้นเวรสิ้นกรรมซะที ข่าวรู้ถึง “นางสีดา” ธิดาคนเดียวของพระยาจำปา นางจึงขออาสาพระบิดาไปเป็นอาหารยักษ์แทน พระบิดาจำใจต้องยินยอมนาง เพราะนางมีพระประสงค์และกตัญญูแรงกล้ามาก มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้ว นางจึงขอเบิกเงินในท้องพระคลัง ทำบุญและแจกทานแก่ไพร่ฟ้าประชาชน ก่อนที่จะอาสาไปเป็นอาหารยักษ์ ชาวเมืองทราบข่าวต่างอาลัยพระธิดาพากันร่ำไห้กันทั้งเมือง
ท้าวคัชนาม เห็นประชาชนเมืองจำปาร่ำไห้จึงไปถามแม่เฒ่า แล้วแม่เฒ่าจึงเล่าเรื่องให้ฟัง พอตกดึกท้าวคัชนามจึงเหาะไปหอผีกลางเมืองเปิดประตูเข้าไปหานางสีดา นางสีดาตกใจกลัวคิดว่าเป็นยักษ์ ท้าวคัชนามจึงแสดงตนทันที แล้วกล่าววาจาปลอบนางไม่ต้องกลัวยักษ์ ครั้นเมื่อยักษ์มาถึงท้าวคัชนามได้ฆ่ายักษ์นั้นตาย แล้วนำซากไปทิ้งไว้ที่หนองน้ำ ท้าวคัชนามกลับมาหานางสีดาที่หอผีอีกครั้ง และนางได้ขอร้องให้พานางไปส่งตำหนัก ท้าวคัชนามกล่าวว่าเป็นการไม่บังควร ผู้คนจะนินทาว่านางทำมายาคบชู้ได้ ท้าวคัชนามจึงลานางกลับด้วยความอาลัย ก่อนจากกันท้าวคัชนามจึงตัด “ผ้าแสนคำ” ไว้ให้นางสีดาดูต่างหน้า ส่วนนางสีดาก็ได้ให้แหวนตอบแทน แล้วทั้งสองก็ลาจากกันอย่างอาลัยอาวรณ์ในกันและกัน
ครั้นรุ่งเช้าชายหาหญ้าคนหนึ่งไปพบซากยักษ์ที่หนองน้ำ ก็ร้องประกาศว่ายักษ์ตายแล้ว พระยาจำปาทราบดังนั้นก็ดีพระทัยมาก จึงให้ไปรับนางสีดากลับเข้าวัง นางสีดาได้เล่าเรื่องชายผู้มีอิทธิฤทธิ์ให้ฟัง พระยาจำปาจึงให้ประกาศหาชายผู้มีฤทธิ์คนนั้น สั่งให้ทหารไปเกณฑ์ชายหนุ่มทั้งเมืองให้นำผ้ามาต่อกับชายผ้าที่ระลึกของนางสีดา มีผู้อาสามากันมากมาย แต่ไม่มีใครมีผ้าเป็นผืนเดียวกัน ทหารจึงทูลว่ามีชายหนุ่มที่อยู่อาศัยกับแม่เฒ่าในสวนไม่ยอมมา พระยาจำปาจึงให้ทหารไปตามถึงสามครั้ง ครั้งหลังพระยาจำปาจะฆ่าทหารถ้านำตัวมาไม่ได้ ท้าวคัชนามเห็นดังนั้นจึงมาที่ท้องพระโรง และนำผ้าแสนคำผืนนั้นมาต่อกับผ้าของนางสีดา
พระยาจำปาเห็นดังนั้นก็ดีพระทัยที่เห็น "ท้าวคัชนาม" บุรุษผู้มีฤทธิ์ และมีบุญญาธิการมาช่วยปราบยุคเข็ญ เจ้าเมืองจึงยกพระราชธิดานามว่า “พระนางสีดา” ให้เป็นมเหสีฝ่ายขวา และให้ “นางสีไล” ลูกสาวมหาเศรษฐีเมืองนี้เป็นมเหสีฝ่ายซ้ายอีกด้วย โดยพระยาจำปาจัดงานสมโภชในการครองเมืองของท้าวคัชนามด้วย ส่วนซากยักษ์นั้นท้าวคัชนาม ได้นำไปทิ้งในหนองน้ำเรียกว่า “หนองแช่” ในปัจจุบัน กระดูกของยักษ์ส่วนหนึ่งกลายเป็นนาค 5 ตัวในแม่น้ำโขง และกระดูกชิ้นเล็กๆ กลายเป็นปลาบึก ปลาเลิม ในแม่น้ำโขงนั่นเอง
พบบิดาในป่าหิมพานต์
ต่อมาท้าวคันธนามได้ล่ำลาเจ้าเมือง พระมเหสีทั้งสองและชาวเมือง ออกติดตามหาบิดาพญาช้างฉัททันต์ต่อไป จนเข้าสู่เขต “ป่าหิมพานต์” ก็ได้พบกับบิดาพญาช้างสมปรารถนา พญาช้างได้สั่งสอนลูกชายต่างๆ นานา และได้มอบงาทั้งคู่ให้ เมื่อพญาช้างสิ้นอายุขัยแล้ว ท้าวคันธนามก็จัดการทำพิธีศพให้บิดา เสร็จแล้วก็ได้ขี่ช้างบริวารเดินทางกลับบ้านเมืองของตน
ครั้นเมื่อเดินทางถึง “เมืองตักสิลา” ก็ได้ทำสงครามกับเจ้าเมืองนี้ และก็ได้รับชัยชนะ และก็ได้ไว้ชีวิตเจ้าเมืองนี้ด้วย ส่วน “ท้าวตักสิลา” นั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์ หลอกตั้งให้ท้าวคันธนามเป็นครูอาจารย์ เพื่อช่วยสอนศิลปศาสตร์ให้ แล้วก็หลอกเอาไม้เท้าแล้วชี้ให้ท้าวคันธนามกลายเป็นแท่งหินอยู่ ณ เมืองตักสิลานั้นเอง
ฝ่ายเมืองจัมปากนคร บัดนี้พระโอรสของท้าวคันธนามที่เกิดจากนางสีไลชื่อว่า “คัชเนก” และ “คัชจันทร์” ซึ่งเป็นโอรสที่เกิดจากนางสีดา ได้โตเป็นหนุ่มทั้งคู่ ก็คิดถึงท้าวคันธนามพระบิดา จึงล่ำลาพระมารดาออกติดตามหาพระบิดา จนมาถึงเมืองตักสิลา จึงได้รบกับเจ้าเมืองและก็ชนะ แล้วก็ได้ไม้เท้าวิเศษกลับคืนมา จึงใช้ไม้เท้าชี้แท่งหินให้พระบิดาคันธนามฟื้นคืนมา แล้วก็ยกเมืองตักสิลาให้พระบิดาปกครอง พร้อมกับทูลเชิญพระมารดาของทั้งสองพระองค์มาอยู่ที่เมืองตักสิลานี้ด้วยกัน แล้วโอรสทั้งสองก็ขอลาพระบิดาและพระมารดาเดินทางกลับ เมืองจัมปากนคร ของตนเองต่อไป
เมื่อกลับมาถึงเมืองแล้ว โอรสทั้งสองก็เกิดทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงไม้เท้าวิเศษนั้น ซึ่งพระโอรสทั้งสองนี้มีอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์มาก หากรบพุ่งกันจะบรรลัยวอดวายและสะเทือนไปถึงพรหมโลกเลยทีเดียว จนพระอินทร์ผู้เป็นปู่ได้สั่งให้พญาแถนส่ง “ลมกระดิงหลวง” ลงมาห้ามทัพ พระยาแถนเล็งเห็นว่า ท้าวคัชเนก สิ้นบุญแล้ว จึงบันดาลลมมีดแถ (มีดโกน) ไปยังกองทัพของสองพี่น้องนั้น ลมมีดแถฟันท้าวคัชเนกสิ้นชีวิตตกลงบนแผ่นดิน ร่างท้าวคัชเนกกลายเป็นภูเขาชื่อว่า “ภูจอมศรี” เป็นภูเขาอยู่กลางเมืองหลวงพระบาง ในประเทศลาวในปัจจุบัน ส่วนศีรษะตกลงดินกลายเป็นพระยานาค ส่วนเลือดที่ตกลงมาเป็นก้อนสีแดง เรียกว่า “ภูครั่ง” ร่างกายส่วนหนึ่งตกลงมากระทบแผ่นดินเป็นหลุมใหญ่ในหุบเขา ภายหลังกลายเป็นเมือง เรียกว่า “เมืองหล่ม” ซึ่งก็คือ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ในเขตประเทศไทย
ส่วน “ท้าวคัชจันทร์” ได้ทำการต่อสู้จนเอาชนะลมนั้นได้ จึงได้รับการอภิเษกขึ้นเป็น “พระเจ้าจักรพรรดิ” ขึ้นครองเมืองจัมปากนครอย่างสงบสุขจวบจนสิ้นอายุขัย
กู่คันธนาม อโรคยาศาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 บ้านคันธนาม อำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด
เรื่องราวของนิทานพื้นบ้าน "ท้าวคันธนาม" ก็จบลงเพียงนี้ จากนิทานดังกล่าวนี้ได้ปรากฏ ภูมิบ้าน นามเมือง และสถานที่ต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์ สอดคล้องกันและยังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ดังนี้
- “ทุ่งนาข้าว” ของสาวทึนทึกมารดาของท้าวคันธนาม ก็คือ “ทุ่งกุลาร้องให้” ของประเทศไทยในปัจจุบัน
- "หมู่บ้านช้าง” อยู่ที่บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ที่ยังมีการเลี้ยงช้างกันอยู่
- “เมืองศรีสาเกตุ” ก็คือ เมืองหนึ่งในเขต “จังหวัดร้อยเอ็ด” ของประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งมีการเรียกขานอีกชื่อหนึ่งว่า เมืองสาเกตุนคร
- “เมืองขวางทะบุรี” ก็เป็นเมืองร้างเมืองหนึ่งในบริเวณที่เรียกว่า ดงพญาไฟ หรือ ดงพญาเย็น ในเขต “จังหวัดนครราชสีมา” หรือ เมืองโคราช ของประเทศไทยในปัจจุบัน
- “ดงพญาไฟ” ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาเป็น “ดงพญาเย็น” ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดการเดินรถไฟ สายกรุงเทพ-นครราชสีมา เมื่อปี พ.ศ. 2443 ขณะที่เสด็จกลับทางรถไฟผ่านดงพญาไฟ ทรงมีพระราชดำรัสให้เปลี่ยนชื่อ ดงพญาไฟ เป็น ดงพญาเย็น เพื่อความเป็นสิริมงคล และความร่มเย็นเป็นสุขอาณาประชาราษฎร์ เนื่องจากชื่อดงพญาไฟฟังดูน่ากลัว
- "ป่าหิมพานต์" ในนิทานน่าจะหมายถึงป่ารกทึบมีช้างป่าอาศัยอยู่จำนวนมาก สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นป่าทางเขตเขมรต่ำในประเทศกัมพูชา อันเป็นสถานที่ล่าช้างป่าของพรานช้างในอดีต
- “เมืองอินทปัตถา” ก็คือ “กรุงพนมเปญ” ในประเทศกัมพูชาปัจจุบันนั้นเอง
- “เมืองจัมปากนาคบุรี” ก็คือ “นครจำปาศักดิ์” ในประเทศสปป. ลาว ในปัจจุบัน
- “โบราณสถานกู่คันธนาม” แห่งหมู่บ้านคันธนาม ตำบลยางคำ อำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด ก็ยังมีหลักฐานให้เห็นและทำการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นรูปธรรมได้
- “เมืองตักสิลา” คือ เมืองหนึ่งในเขตจังหวัดขอนแก่นและมหาสารคาม ของประเทศไทย ในปัจจุบันนี้ถ้าเอ่ยถึง ตักศิลานคร คนส่วนใหญ่หมายถึงจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งตั้งอยู่ในศูนย์กลางของภาคอีสานที่เรียกว่า "สะดืออีสาน" จึงเป็น “เมืองแห่งการศึกษา” มีปราชญ์และสถานศึกษาอยู่มากมาย
- “พระธาตุสีดา” ปัจจุบันยังปรากฏให้เห็นอยู่นั้น ตั้งอยู่ที่บ้านด่าน ตำบลด่าน อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ สันนิษฐานว่าท้าวคันธนามและนางสีดาพระมเหสีได้สร้างไว้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่ออุทิศบุญกุศลให้พระมารดา และเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังเป็นอนุสรณ์ว่า มารดาของท่านเกิดที่นั่นและท้าวคันธนามก็คลอดที่นั่นด้วย โดยตั้งชื่อเมืองตรงนั้นว่า “เมืองสีดาจำปาพันธ์” โดยในอดีต "บ้านด่าน" ขึ้นกับจังหวัดร้อยเอ็ด แล้วเปลี่ยนมาขึ้นกับจังหวัดศรีสะเกษในภายหลัง