
นำเสนอเรื่องของ "ผลไม้อีสานหายาก" ที่บางคนลืมเลือนไปในตอนที่แล้ว เกินความคาดหมายมากครับ แค่วันแรกมีคนคลิกเข้ามาอ่านมากกว่า 150 ครั้ง แล้วยังมีจดหมายก้อมส่งมาว่า "ขออีกๆๆ" เลยต้องจัดให้ตามคำขอเป็นตอนที่ 4 ใครมีข้อมูลเพิ่มเติม จะช่วยชี้แนะก็ช่วยบอกมานะขอรับ ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง

บักเม็ก
บักเม็ก, ต้นเม็ก, หมากคำเม็ก หรือ ขะเม็ก ในภาษากลาง คือ เสม็ดแดง เม็กในชื่ออื่นๆ ไคร้เม็ด (เชียงใหม่ ภาคกลาง) เม็ก (ตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ) เสม็ดแดง เสม็ดชุน เสม็ด (สกลนคร สตูล) เสม็ดขาว เสม็ดเขา (ตราด) เม็ดชุน (นครศรีธรรมราช) ขะเม็ก ยีมือแล (มลายู – ภาคใต้) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Syzygium gratum (Wight) S.N.Mitra var. gratum ชื่อวงศ์ : Myrtaceae
ต้นเม็กเป็นไม้ต้น สูงได้ถึง 20 เมตร กิ่งเป็นสันสี่เหลี่ยม ลำต้นสีน้ำตาลแดง เปลือกบาง ซ้อนกันหลายๆชั้น แตกกิ่งก้านมาก ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่ รูปรีถึงรูปใบหอก หรือรูปไข่ กว้าง2.5-4 เซนติเมตร ยาว 6-8 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบแหลมหรือมน ขอบใบเรียบ ใบแก่ผิวด้านบนเกลี้ยงมันวาว ใบอ่อนสีน้ำตาลปนชมพู ผิวใบด้านล่างเกลี้ยง มีจุดโปร่งแสงหนาแน่น ดอกช่อ แบบช่อแยกแขนง ยาว 1.5-3 เซนติเมตร ออกที่ซอกใบและปลายยอด ดอกย่อยสีขาว ไม่มีก้านดอก ฐานดอกรูปถ้วย ทรงรูปกรวยแกมทรงกระบอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปสามเหลี่ยม กลีบดอก 5 กลีบ แยกกัน สีขาว รูปเกือบกลม สีเหลืองอ่อน เกสรเพศผู้จำนวนมาก เกสรเพศเมียมีรังไข่ขนละเอียด อยู่ใต้วงกลีบ ผลสด ทรงกลม สีขาว ฐานผลนูนออกมาและบุ๋ม กระจายพันธุ์แถบป่าผลัดใบ และริมลำธาร ออกดอกช่วงเดือน เมษายน ถึงพฤษภาคม ยอดอ่อนรับประทานเป็นผักได้
สรรพคุณทางยา
- ยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี ใช้ ราก ต้มน้ำดื่ม แก้เบื่อเมา แก้ผิดสำแดง ยอดอ่อน รับประทานสด ขับลม
- ตำรายาไทย ใช้ เปลือก ต้มทา ลมพิษ หรือแก้พิษน้ำเกลี้ยง ใบแก่ ตำพอกแก้ฟกช้ำ

บักถั่วแฮ
บักถั่วแฮ, ถั่วแระ ถั่วแระ ชื่อสามัญ Pigeon pea , Angola pea, Congo pea มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cajanus cajan (L.) Millsp. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Cajanus indicus Spreng. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE สมุนไพรถั่วแระ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ถั่วแรด (ชุมพร), มะแฮะ มะแฮะต้น ถั่วแระต้น (ภาคเหนือ), ถั่วแฮ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), ถั่วแระ ถั่วแระผี ถั่วแม่ตาย (ภาคกลาง), พะหน่อเซะ พะหน่อซิ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), มะแฮะ (ไทลื้อ), ย่วนตูแฮะ (ปะหล่อง), เปล๊ะกะแลง (ขมุ), ถั่วแฮ เป็นต้น
ต้นถั่วแระ จัดเป็นพรรณไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดย่อม อายุฤดูเดียวหรือหลายฤดู ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง สูงประมาณ 1-3.5 เมตร กิ่งแผ่ออกด้านข้างเป็นคู่ ผิวของลำต้นเกลี้ยงเป็นสีเขียวหม่น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด มีทั้งถั่วแระขาวและถั่วแระแดง พบขึ้นในที่โล่งแจ้งชายป่าเบญจพรรณ
ผลถั่วแระ ลักษณะของผลเป็นฝักแบนยาวสีม่วงเข้มปนเขียว เป็นห้องๆ และมีขน ฝักหนึ่งจะแบ่งออกเป็นห้อง 3-4 ห้อง ภายในมีเมล็ดลักษณะกลมหรือแบนเล็กน้อย ห้องละ 1 เมล็ด เมล็ดมีขนาดเท่ากับเมล็ดถั่วเหลือง สีของเมล็ดเป็นสีเหลือง ขาว และสีแดง
สรรพคุณของถั่วแระ
- เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง ทั้งฝักมีรสมันเฝื่อนเล็กน้อย มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยลดระดับคอเลสเตรอล ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ด้วยการใช้เมล็ดนำมาต้มรับประทานเป็นของกินเล่น
- รากและเมล็ดใช้ปรุงเป็นยากินรักษาไข้ ถอนพิษ
- ใบ ช่วยแก้อาการไอ น้ำคั้นจากใบใช้ใส่แผลในปากหรือหู ใบใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย ใบใช้เป็นยารักษาบาดแผล
- ต้นและใบมีสรรพคุณเป็นยาขับลมลงเบื้องต่ำ
- ต้น ราก และใบมีสรรพคุณเป็นยาขับผายลม
- ตำรายาไทย จะใช้รากปรุงยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ ปัสสาวะแดงขุ่น ปัสสาวะน้อย ช่วยละลายนิ่วในไต ส่วนรากและเมล็ดใช้ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการปัสสาวะเหลืองหรือแดง
- ตำรายาพื้นบ้านจะใช้ทั้งต้น 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 3 ครั้ง เป็นยารักษาอาการตกเลือด แก้ไข้ทับระดู (ทั้งต้น)
- รากและเมล็ดใช้ปรุงเป็นยากินแก้น้ำเหลืองเสีย รักษาน้ำเบาเหลืองและแดงดังสีขมิ้น หรือน้ำเบาออกน้อย
- ต้นและใบมีสรรพคุณเป็นยาแก้เส้นเอ็นพิการ (ความผิดปกติของระบบเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ มักมีอาการเจ็บต่างๆ ปวดเมื่อยเสียวไปทุกเส้น ตามตัว ใบหน้า ถึงศีรษะ)
- เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงไขข้อ บำรุงเส้นเอ็น ส่วนทั้งฝักมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกระดูก บำรุงเส้นเอ็น (เมล็ด, ทั้งฝัก)
หมายเหตุ : ต้นถั่วแระ ที่กล่าวถึงในบทความนี้ เป็นคนละชนิดกันกับถั่วแระที่ได้มาจากการเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองในระยะที่ฝักยังไม่แก่หรือไม่อ่อนเกินไป แล้วนำมาต้มหรือนึ่งทั้งต้นและฝัก

บักเดื่อ
บักเดื่อ, มะเดื่อชุมพร ชื่อสามัญ Cluster fig, Goolar (Gular), Fig มีชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus racemosa L. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Ficus glomerata Roxb. จัดอยู่ในวงศ์ขนุน MORACEAE มะเดื่อชุมพร มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า เดื่อเกลี้ยง (ภาคเหนือ), มะเดื่อน้ำ มะเดื่อหอม หมากเดื่อ เดื่อเลี้ยง (ภาคอีสาน), มะเดื่อ มะเดื่อเกลี้ยง มะเดื่อชุมพร เดื่อน้ำ กูแซ (ภาคใต้), มะเดื่อดง, มะเดื่อไทย, มะเดื่ออุทุมพร เป็นต้น
มะเดื่อชุมพร มีถิ่นกำเนิดครอบคลุมในเขตร้อนของทวีปเอเชีย ไล่ตั้งแต่ประเทศอินเดียไปจนถึงประเทศจีน โดยจัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ทรงพุ่มกว้าง ใบหนาทึบ ลำต้นสูงประมาณ 5-20 เมตร ลำต้นเกลี้ยง เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลปนเทา กิ่งอ่อนเป็นสีเขียว ส่วนกิ่งแก่เป็นสีน้ำตาลเกลี้ยง ส่วนใบจะเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับตามกิ่ง ใบเป็นรูปทรงรี หรือรูปหอก โคนใบมนหรือกลม ปลายใบแหลม ผิวใบเกลี้ยงหรือมีขนไม่หลุดร่วงง่าย ขอบใบเรียบ มีเส้นแขนงในใบประมาณ 6-8 คู่ และก้านยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร ส่วนดอกมะเดื่อชุมพร จะออกดอกเป็นช่อยาวตามกิ่ง โดยแต่ละช่อก็จะมีดอกย่อยขนาดเล็กเป็นกลุ่ม ดอกช่อจะเกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปร่างคล้ายผล และดอกมีสีขาวอมชมพู ลักษณะของลูกมะเดื่อชุมพร มีลักษณะทรงกลมแป้นหรือรูปไข่ ผลจะเกาะกลุ่มอยู่ตามต้นและตามกิ่ง ห้อยเป็นระย้าสวยงาม โดยผลอ่อนจะเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเป็นสีแดงม่วง มีรสฝาดอมหวาน สามารถรับประทานได้ ซึ่งดอกและผลนี้จะออกตลอดปี
มะเดื่อ ปัจจุบันยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก สาเหตุคงมาจากผลสุกมักจะมีแมลงหวี่อยู่ในผลด้วยเสมอ ทำให้หลายๆ คนรู้สึกไม่ค่อยดีนัก หรืออาจมองว่ามันสกปรกจนไม่น่ารับประทาน แต่ในต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับมะเดื่ออย่างมาก เพราะเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกและน่าสนใจอยู่มากเลยทีเดียว โดยต้นมะเดื่อกับแมลงหวี่ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน โดยมะเดื่ออาศัยให้แมลงหวี่ช่วยผสมเกสรให้ติดเมล็ด ส่วนแมลงหวี่ก็อาศัยมะเดื่อเป็นอาหาร และฟักไข่จนเป็นตัว จะเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องอาศัยกันและกันในการสืบพันธุ์ต่อไป
ประโยชน์ของมะเดื่อ
- ราก ใช้เป็นยาแก้ไข้ ถอนพิษไข้ กระทุ้งพิษไข้ แก้ไข้หัว ไข้กาฬ หรือไข้พิษทุกชนิด ช่วยกล่อมเสมหะและโลหิต ช่วยแก้อาการร้อนใน (ในคาบสมุทรมลายู) ในคาบสมุทรมลายูจะใช้รากต้มกับน้ำ ปรุงเป็นยาบำรุงหลังการคลอดบุตร
- เปลือก ช่วยแก้อาเจียน ช่วยแก้ธาตุพิการ เปลือกต้นใช้รับประทานแก้อาการเสีย ท้องร่วง (ที่ไม่ใช่บิดหรืออหิวาตกโรค) ช่วยแก้ประดงเม็ดผื่นคัน
- ผลดิบช่วยแก้โรคเบาหวาน
- ผลสุก ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก ผลสุกมีฤทธิ์เป็นยาระบาย เปลือกต้น ช่วยห้ามเลือดและชะล้างบาดแผล ใช้เป็นยาสมานแผล
- ไม้มะเดื่อจัดเป็นไม้มงคลที่สามารถปลูกไว้ในบ้านและยังเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะในสมัยอดีตจะใช้ไม้มะเดื่อทำพระที่นั่งในพระราชพิธีราชาภิเษก ใช้ทำเป็นกระบวยตักน้ำเจิมถวาย และใช้ทำหม้อน้ำสำหรับกษัตริย์ทรงใช้ในพระราชพิธี
- ผลสุกสามารถใช้เป็นอาหารสัตว์ได้หลายชนิด เช่น กระรอก นก หนู ฯลฯ แถมยังเป็นการขยายพันธุ์มะเดื่อชุมพรไปด้วยในตัว เพราะเมล็ดของมะเดื่อจะงอกดีมากขึ้นเพราะมีน้ำย่อยในกระเพาะของสัตว์
- ยางเหนียวใช้ลงพื้นสำหรับปิดทอง
- เนื้อไม้ของต้นมะเดื่อสามารถใช้ทำเป็นแอกไถ หีบใส่ของ ไม้จิ้มฟันได้
- ใบอ่อนใช้นึ่งกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก ยอดอ่อนใช้ลวกกินกับน้ำพริก
- ผลอ่อนใช้รับประทานเป็นอาหารได้
- หัวใต้ดินสามารถนำไปนึ่งรับประทานได้
- ช่อดอกหรือที่คนไทยเรียกว่าผลหรือลูกมะเดื่อ สามารถนำมารับประทานเป็นผักได้โดยใช้จิ้มกับผัก หรือใช้ทำแกงอย่างแกงส้มก็ได้เช่นกัน
ข้อควรรู้ ! : สาเหตุที่มีชื่อว่า มะเดื่อชุมพร ก็เนื่องมาจากเป็นพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดชุมพร และต้นมะเดื่อชุมพรจัดเป็นพันธุ์ไม้พระราชทาน (มะเดื่อชุมพรกับมะเดื่อฝรั่งเป็นคนละชนิดกันนะครับ !)
![]()


















