- Details
- Written by: ทิดหมู มักหม่วน
- Category: Food
- Hits: 169

นึกจะเขียนเรื่องนี้เพราะไปหลงสาวตระการ เอ้ย! โทษทีข้าน้อยลืมตัวไปหน่อย ผู้สาวขายของอยู่ตลาดเพิ่นน่าฮักแท้ๆ ไปธุระส่วนตัวทางอำเภอตระการพืชผลแวะตลาดซื้อ "ข้าวเม่า" ตามคำขอของเว็บมาดเซ่อ เพิ่นว่า "เข้าไปในตลาดโลด ไทบ้านเอามาขายบักหลาย หาบ่ยากดอก" หลายอีหลีพี่น้อง ตำมาใหม่ๆ หอม นุ่ม ดีต่อสุขภาพคัก
มาทำความรู้จักกับข้าวเม่ากันก่อน
ข้าวเม่า คือ ข้าวที่ทำจากข้าวเปลือกเหนียวที่ยังไม่แก่จัด (ระยะน้ำนม) นำมาคั่วแล้วตำให้เปลือกแตกหลุดออกไป มีลักษณะแบน นุ่ม สีออกเขียว ข้าวเม่านำมารับประทานเป็นของหวานและของกินเล่น การบริโภคข้าวเม่าพบในทุกประเทศที่ปลูกข้าว ตั้งแต่ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม พม่า ภูฏาน อินเดีย ทิเบต ในประเทศภูฏานใช้เป็นอาหารว่างกินกับน้ำชา ในไทยเป็นขนมที่นิยมกินมาตั้งแต่สมัยโบราณ

ข้าวเม่า นำมาปรุงได้หลายแบบ เช่น
- ข้าวเม่าที่พรมน้ำเกลือเคล้าให้นุ่ม นำมาคลุกกับมะพร้าวขูด โรยน้ำตาลทราย เรียกว่า ข้าวเม่าคลุก นิยมรับประทานกับกล้วยไข่
- ข้าวเม่าที่ผสมน้ำตาลและมะพร้าวขูดนำไปพอกกล้วยไข่ ชุบแป้งให้ติดกันเป็นแพ ทอดในน้ำมัน โรยหน้าด้วยแป้งทอดกรอบ เรียกว่า ข้าวเม่าทอด มีลักษณะนามว่า แพ

- ข้าวเม่าที่นำไปคั่ว เรียกว่า ข้าวเม่าราง รับประทานกับน้ำกะทิเป็นของหวาน หรือนำไปทำกระยาสารท
- ถ้านำข้าวเม่าไปทอดให้กรอบแล้วใส่เครื่องปรุงอื่นๆ ได้แก่ เต้าหู้หั่นชิ้นเล็กๆ ทอดกรอบ กุ้งแห้งทอด ถั่วลิสงทอด โรยน้ำตาลทราย และเกลือเล็กน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน เรียกว่า ข้าวเม่าหมี่ เป็นของกินเล่นที่นิยมกันมาก
ข้าวเม่า นอกจากจะให้ความอิ่มอร่อยแล้ว ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร ไขมัน วิตามินบี 1, บี 2, ไนอะซิน, ธาตุเหล็ก, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, โปรตีน และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต จึงเป็นทั้งอาหารอร่อยและดีต่อสุขภาพ
การผลิตข้าวเม่าจำหน่ายเป็นอาชีพ มีอยู่หลายจังหวัดในภาคอีสาน เช่น อุดรธานี สกลนคร ส่วนทางอุบลราชธานี บ้านของอาวทิดหมูนี้ ก็มีแหล่งผลิตข้าวเม่ากันเป็นอาชีพ เช่น ตำบลโพธิ์ศรี อำเภอพิบูลมังสาหาร และตำบลคำเจริญ อำเภอตระการพืชผล เนื่องจากมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ และเก็บเกี่ยวข้าวได้เร็วกว่าที่อื่นๆ บ้างก็ไปซื้อข้าวที่ออกรวงแล้วพร้อมทำข้าวเม่า มาจากอำเภอใกล้เคียงเพื่อมาผลิตส่งขายไปทั่ว ชาวบ้านจะเริ่มลงมือทำข้าวเม่ากันตั้งแต่ช่วงปลายเดือนสิงหาคมไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ท้องนาเต็มไปด้วยรวงข้าวที่ยังไม่แก่จัดกำลังดี สร้างรายได้ให้แต่ละครอบครัวได้ถึง 10,000-30,000 บาทเลยทีเดียว ทั้งนี้ ราคาของข้าวเม่าจะแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาและแหล่งผลิต โดยข้าวเม่าในช่วงต้นฤดูจะมีความนุ่มหอมและราคาสูงกว่าปกติ

พันธุ์ข้าวเหนียวที่นิยมนำมาทำข้าวเม่า
การเลือกสายพันธุ์ข้าวเหนียวที่เหมาะสม ถือเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตข้าวเม่าที่อร่อยถูกปาก ผู้ผลิตข้าวเม่าจะวางแผนและเลือกปลูกสายพันธุ์ข้าวเนียวที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัว และมีช่วงออกดอกใกล้เคียงกัน เพื่อให้สามารถการเก็บเกี่ยวและแปรรูปได้อย่างต่อเนื่อง หากแปรรูปไม่ทันก็สามารถปล่อยข้าวทิ้งไว้ในแปลง เพื่อเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์ในปีต่อไป โดยในพื้นที่ตำบลโพธิ์ศรี อำเภอพิบูลมังสาหาร นิยมใช้สายพันธุ์ข้าวที่หลากหลาย เช่น กข 6, กข 8, อีดอ, ดอมะขาม และดอบุญมา ขณะที่ในตำบลคำเจริญ อำเภอตระการพืชผล จะนิยมใช้สายพันธุ์ข้าวอย่าง กข 6, กข 8, ดอมะขาม, ดอชมนก และดอเหลืองบุญมา

คุณภาพของข้าวเม่าที่ได้ก็แตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ เช่น ข้าวเม่าจากข้าว กข 6 ขึ้นชื่อเรื่องความหอมหวานและนุ่มนวลกว่าพันธุ์อื่น ขณะที่ ข้าวเม่าจากพันธุ์ดอมะขาม แม้คุณภาพจะไม่ดีเท่า แต่ก็มีข้อดีที่สามารถผลิตและจำหน่ายได้ในช่วงต้นฤดู ทำให้ได้ราคาที่ดีกว่า
ขั้นตอนการผลิตข้าวเม่า
วิธีทำข้าวเม่าอีสาน อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี
ขั้นตอนแรก คือ การเลือกเก็บเกี่ยว รวงข้าวเหนียว ที่อยู่ในระยะหลังดอกบานประมาณ 15 วัน หรือเมื่อบีบเมล็ดแล้วมีน้ำสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม เรียกว่า ระยะน้ำนม (ปลายสีเขียว แต่ไม่แก่จัด) จากนั้นจึงนำรวงข้าวมาเคาะเบาๆ เพื่อให้เมล็ดข้าวที่แก่เกินไปหลุดออกไปก่อน จึงจะใช้เครื่องมือเฉพาะในการกะเทาะเมล็ดที่เหลือออกจากรวง จากนั้นนำเมล็ดข้าวที่ได้ไปแช่น้ำเพื่อคัดเมล็ดลีบที่ลอยน้ำออก
ขั้นตอนที่สอง หลังจากคัดเลือกเมล็ดข้าวแล้ว จะนำไปนึ่งในหวดจนสุก จากนั้นจึงนำมาคั่วในกระทะด้วยไฟอ่อนๆ เพื่อให้ข้าวมีกลิ่นหอม คั่วจนเมล็ดข้าวเกือบแห้งแล้วตั้งทิ้งไว้ให้เย็นลง (บางท้องถิ่นอาจคั่วเพียงอย่างเดียวโดยไม่นึ่งก่อน) ในขั้นตอนการคั่วอาจมีการปรุงแต่งกลิ่น ด้วยการใส่ใบเตยลงไปคั่วด้วยเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม หรืออาจใส่สีเขียวผสมอาหาร เพื่อให้ข้าวเม่ามีสีสันสวยงามน่ารับประทานมากขึ้น
ขั้นตอนที่สาม การนำข้าวที่คั่วแล้วมาตำในครกกระเดื่อง เพื่อเอาเปลือกแข็งออก โดยจะตำและฝัดแกลบออกซ้ำๆ 2-3 ครั้ง จนได้ ข้าวเม่าสีเขียว นุ่มน่ารับประทาน
ปัจจุบัน เพื่อให้การผลิตข้าวเม่าเพียงพอและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค จึงมีการนำเอาเครื่องมือ เครื่องจักรเข้ามาช่วยในการผลิตให้ได้ผลผลิตได้อย่างสะดวก รวดเร็วขึ้นในปัจจุบัน
วิถีคนทำข้าวเม่า บ้านนายอ จ.สกลนคร | ซีรีส์วิถีคน
การแปรรูปข้าวเม่า
ข้าวเม่า นอกจากจะรับประทานได้ทันที (เพราะสุกจากการนึ่งและคั่วสุก พร้อมทั้งกระเทาะเปลือกออกแล้ว) เพื่อให้มีรสชาติที่อร่อยหลากหลาย รัปประทานได้ทุกที่ทุกเวลา จึงมีการนำข้าวเม่ามาแปรรูปเพิ่มเครื่องปรุงอีกมากมายให้ได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาให้ได้ลิ้มรสกัน เช่น
1. ข้าวเม่าคลุก
เริ่มกันที่สูตรแรกกับ ข้าวเม่าคลุก จะนำเอา ข้าวเม่า มากวนกับน้ำใบเตย (เพิ่มสีเขียวน่ารับประทานและกลิ่นหอม) ให้เหนียวและแห้ง จากนั้น คลุกกับมะพร้าวแก่ (ทึนทึก) ขูดละเอียด โรยหน้าด้วยมะพร้าวขูดเส้น งาขาวคั่วผสมน้ำตาล กินแบบแห้งๆ แล้วอร่อยมาก เหมาะกับกินเป็นของว่างหรือของหวานก็ได้ เรียกว่าอิ่มท้อง อยู่ท้องได้นานสุดๆ เลยละครับ

ส่วนผสม
- ข้าวเม่าแบบเขียวเข้ม หรือ เขียวอ่อน 500 กรัม
- น้ำสะอาด 1 ถ้วย
- น้ำมะพร้าวอ่อน 1 ถ้วย
- ใบเตยมัด 3 – 4 ใบ
- เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
- มะพร้าวทึนทึกขูดเส้น 1 ถ้วยตวง
- มะพร้าวแก่ขูดละเอียด ถ้วยตวง
- งาขาวคั่ว 1 ถ้วย
- น้ำตาล คลุกกับงาขาวคั่ว 1 ถ้วยตวง
วิธีทำ
- นำข้าวเม่ามาฝัดกับกระด้ง เพื่อเอาสิ่งสกปรกออกอีกครั้ง จากนั้น นำข้าวเม่าใส่ชามผสมเตรียมไว้
- ทำน้ำต้มใบเตย โดยใช้น้ำสะอาด และน้ำมะพร้าว นำใบเตยมัดเป็นก้อน ใส่เกลือและน้ำตาลทราย คนให้ละลายเข้ากัน แล้วต้มให้น้ำเดือด พอมีกลิ่นหอมแล้วให้ปิดไฟ พักทิ้งไว้ให้เย็น
- ค่อยๆ ตักน้ำต้มใบเตยใส่ลงไปชามข้าวเม่า แล้วใช้มือคลุกให้ข้าวเม่าพอเปียก พร้อมทั้งกวนไปเรื่อยๆ จนข้าวเม่าเหนียวติดกัน เสร็จแล้วพักทิ้งไว้ให้แห้ง เป็นเวลา 5 – 10 นาที
- นำมะพร้าวทึนทึกมาขูดเป็นเส้น แล้วคลุกกับเกลือเล็กน้อย ส่วนมะพร้าวแก่ให้ขูดละเอียด แล้วคลุกกับเกลือเช่นกัน (ให้มีรสเค็มเล็กน้อย) เตรียมไว้
- ตั้งซึ้งนึ่ง ต้มน้ำให้เดือด รองด้วยผ้าขาวบาง แล้วใส่มะพร้าวทึนทึกขูดละเอียด มะพร้าวแก่ขูดเส้นลงไป นึ่งให้สุกเป็นเวลา 10 นาที
- นำงาขาวไปคั่วในกระทะให้มีกลิ่นหอม เสร็จแล้วตักใส่ชาม ตักน้ำตาลทรายมาผสมให้เข้ากัน
- พอนึ่งมะพร้าวทึนทึก และมะพร้าวแก่สุกดีแล้ว ให้ใส่มะพร้าวแก่ขูดละเอียดลงไป คลุกกับข้าวเม่าให้เข้ากัน แล้วโรยหน้าด้วย มะพร้าวทึนทึกขูดเส้น งาขาวคั่วผสมน้ำตาลทราย ตามชอบ เป็นอันเสร็จ
2. ข้าวเม่าหมี่
สูตรที่สอง ข้าวเม่าแบบทรงเครื่อง ที่จะใส่วัตถุดิบนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น กุ้งแห้งทอด เต้าหู้แข็ง หอมแดง ถั่วลิสง โดยเคล็ดลับในการทำให้อร่อยคือ จะต้องนำทุกอย่างไปทอดกรอบเสียก่อน สำหรับถั่วลิสงต้องนำไปคั่วให้มีกลิ่นหอม จะทำให้ข้าวเม่าหมี่มีรสชาติที่อร่อย

ส่วนผสม
- ข้าวเม่า 1 กิโลกรัม
- กุ้งแห้งทอด 500 กรัม
- เต้าหู้แข็งทอดกรอบ 4 แผ่น
- หอมแดงซอยเจียว 100 กรัม
- ถั่วลิสงคั่ว 500 กรัม
- น้ำตาลทราย 600 กรัม
- น้ำสะอาด 160 มิลลิลิตร
- ดอกเกลือ 7 กรัม
วิธีทำ
- ตั้งกระทะใส่น้ำมันลงไป จุดไฟปรับระดับให้น้ำมันร้อนจนได้ที่ ใส่ข้าวเม่าลงไปทอดให้พองกรอบ แล้วตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน
- ล้างกุ้งแห้งเพื่อลดความเค็มลงและคัดเอาสิ่งสกปรกออก พักให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นปรับไฟทอดน้ำมันเป็นไฟอ่อน ใส่กุ้งแห้งลงไปในกระทะทอดให้พอกรอบ แล้วตักขึ้นพักไว้
- นำเต้าหู้มาล้างน้ำให้สะอาด หั่นซอยเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงในกระทะทอดด้วยไฟอ่อน ให้พอกรอบ เสร็จแล้ว ตักขึ้นพักไว้
- หั่นซอยหอมแดงใส่ลงไปกระทะ เจียวให้มีสีเหลืองกรอบ พักไว้
- เทน้ำมันออกแล้วตั้งกระทะใหม่ ไม่ต้องใส่น้ำมัน ใส่ถั่วลิสงลงไป คั่วให้มีกลิ่นหอม ตักออกพักไว้
- ตั้งกระทะอีกครั้ง ใส่น้ำเปล่าลงไป ตามด้วยน้ำตาลทราย และดอกเกลือ คนให้ละลายเข้ากัน จากนั้นเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ให้น้ำมีความข้นเหนียว
- พอน้ำในกระทะใกล้ข้นเหนียวดีแล้ว ให้ใส่ข้าวเม่าลงไป ตามด้วย เต้าหู้ทอด กุ้งแห้งทอด คลุกเคล้าให้เข้ากัน
- ใส่หอมเจียว ถั่วลิสงคั่ว ลงไป คลุกเคล้าให้พอกัน เสร็จแล้ว ตักใส่ถาด พักทิ้งไว้ให้เย็น เป็นอันเสร็จ
3. ข้าวเม่าเบื้อง
สูตรนี้ได้วิธีการมาจากหนังสือ แม่ครัวหัวป่าก์ โดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ซึ่งดัดแปลงมาจาก วิธีทำขนมเบื้อง อีกทีหนึ่ง โดยสูตรนี้ไม่ได้ทำตามหนังสือเป๊ะๆ แต่จะดัดแปลงให้ทำได้ง่ายขึ้นไปอีก เพียงแค่นำข้าวเม่ากวนกับน้ำเชื่อมที่ทำจากน้ำตาลปี๊บ แล้วบีบอัดเป็นแผ่น โรยด้วยมะพร้าวขูดเส้น เท่านี้ก็จะได้ ข้าวเม่าเบื้องไว้รับประทานกันแล้ว

ส่วนผสม
วิธีทำ
- ตั้งกระทะใส่น้ำมันลงไป ตั้งไฟให้น้ำมันร้อนได้ที่ ใส่ข้าวเม่าลงไป ทอดให้ข้าวเม่ากรอบดี
- ตั้งหม้อใส่น้ำเปล่า เติมน้ำตาลปี๊บลงไป แล้วเปิดไฟอ่อน คนให้น้ำตาลปี๊บละลายในน้ำให้ดี
- ใส่มะพร้าวแก่ขูดละเอียดลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วเคี่ยวให้มีความข้นเหนียว เสร็จแล้ว ปิดเตา
- ใส่ข้าวเม่าทอดลงไป กวนข้าวเม่าทอดกับมะพร้าวขูดละเอียดและน้ำตาลให้เข้ากัน เสร็จแล้ว ตักใส่พิมพ์ หรือ ภาชนะถ้วยกลม กดให้เป็นแผ่นกลม แล้วพักทิ้งไว้ให้เย็น เป็นอันเสร็จ รับประทานได้แล้ว
ยังมีการแปรรูปให้มีรูปแบบอื่นๆ อีกเพื่อการค้าและการขนส่งไปยังผู้บริโภคได้สะดวก รวมทั้งเพื่อให้เก็บได้นาน คงรสชาติไว้เหมือนกับวันแรกๆ ที่ทำขึ้น เช่น ข้าวเม่าทอดกล้วยไข่ ข้าวเม่ากระยาสารท แสน็คข้าวเม่าแฟนสี (แท่งกรุบกรอบ) และอื่นๆ อีกมาก ลองค้นหาในร้านค้าออนไลน์ดูมีแปลกๆ อีกเยอะ
ข้าวเม่าอบกรอบบ้านกุดเรือใหญ่ จ.สกลนคร | อาชีพทั่วไทย ThaiPBS
![]()
![]()
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Food
- Hits: 1193

นำเสนอเรื่องของ "ผลไม้อีสานหายาก" ที่บางคนลืมเลือนไปในตอนที่แล้ว เกินความคาดหมายมากครับ หลังจากเสนอไปแล้ว 4 ตอน ได้รับการต้อนรับล้นหลาม ติดตามให้กำลังใจ แล้วยังมีจดหมายก้อมแบบอีเล็กทรอนิกส์ส่งมาว่า "ขออีกๆๆ" เลยต้องจัดให้ตามคำขอเป็นตอนที่ 5 ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลทุกๆ ที่ในโลกอินเทอร์เน็ต (ทั้ง Facebook Page, Blog, Website, Tiktok, Youtube etc.) ที่มีอยู่กระจัดกระจายที่ผมไปรวบรวมมาไว้ที่เดียว เพื่อประโยชน์ต่อลูกหลานในอนาคต ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง
บักงิ้ว | บักก่อ | บักแต้ | บักกล้วยน้อย | บักหม่อน | บักม่วงป่า | มะสัง

บักงิ้ว (นุ่น)
บักงิ้ว, ต้นบักงิ้ว, นุ่น ชื่อสามัญ White silk cotton tree, Ceiba, Kapok, Java cotton, Java kapok, Silk-cotton ชื่อวิทยาศาสตร์ Ceiba pentandra (L.) Gaertn. ชื่อวงศ์ Bombacaceae มีชื่ออื่นๆ เช่น ง้าว งิ้วน้อย งิ้วสร้อย งิ้วสาย (ภาคกลาง), งิ้ว (คนเมือง), ปั้งพัวะ (ม้ง), นุ่น (ไทลื้อ), ต่อเหมาะ (กะเหรี่ยงแดง) ภาษาเขมรเรียกว่า "แพล ก็วร (กวร)"
ในสมัยก่อนนั้นตอนอาวทิดหมูยังเป็นเด็กน้อย ตามหมู่บ้านในชนบทนิยมปลูกต้นบักงิ้วไว้ตามรั้วตามสวน เพื่อเอาฝักที่แก่จัด มาแกะเนื้อในที่เรียกว่า "นุ่น" มายัดหมอนและที่นอน เคยไปปีนหาเก็บเอาบักงิ้วไปแลกขนมไข่ขี้เกี้ยมที่ร้านค้าในหมู่บ้าน แต่สมัยนี้เริ่มหายากแล้ว นอกจากนั้นยังไปเลาะเอาหนามต้นงิ้วแก่ๆ มาแกะเป็นพระไม้แขวนคอดูเท่ๆ เข้าไปอีกด้วย
ต้นนุ่น จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบในช่วงฤดูแล้ง ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน ลำต้นสูงใหญ่เปลาตรง สูงได้ประมาณ 10-30 เมตร ตรงยอดแผ่เป็นพุ่มกว้าง ลำต้นเป็นสีเขียวและมีหนาม ขึ้นอยู่ทั่วไปบริเวณโคนต้น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่มีถิ่นดั้งเดิมอยู่ในแถบอันดามัน และมีปลูกมากในเขตร้อนทั่วไปเพื่อใช้ปุยจากผลนำมาทำหมอนและที่นอน ดอกนุ่น ออกดอกเป็นช่อกระจะบริเวณซอกใบ ขนาดประมาณ 2-3.5 เซนติเมตร ดอกย่อยมีจำนวนมาก หรือช่อหนึ่งมีดอกประมาณ 1-5 ดอก ออกดอกในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม ผลนุ่น ลักษณะของผลเป็นรูปยาวรี ปลายและโคนผลแหลม เปลือกแข็ง ผลมีขนาดกว้างประมาณ 2 นิ้ว และยาวประมาณ 4-5 นิ้ว เมื่อแห้งจะแตกออกได้เป็น 5 พู ภายในผลจะมีนุ่นสีขาวเป็นปุยอยู่ และมีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดนุ่น เมล็ดเป็นสีดำ มีเส้นใยสีขาวคล้ายเส้นไหมยาวหุ้มเมล็ดเป็นปุยนุ่นอยู่
สรรพคุณของนุ่น
- ยาพื้นบ้านอีสาน ใช้ เปลือกต้น ต้มน้ำดื่ม แก้บิด แก้อาหารเป็นพิษ
- ตำรายาไทย ใช้ ทั้งต้น ต้มน้ำดื่ม แก้ไอ แก้ไข้ เปลือกต้น รสเย็นเอียน แก้ไข้ แก้บิด แก้ร้อนใน ขับปัสสาวะ ทำให้อาเจียน บำรุงกำหนัด ต้มดื่มแก้หืด แก้หวัดในเด็ก ต้มร่วมกับหมาก ลูกจันทน์เทศ และน้ำตาล ดื่มขับปัสสาวะ ใช้ได้ดีในรายที่เป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ดอกแห้ง แก้ไข้ แก้ปวด
- ราก รสจืดเอียน ต้มน้ำดื่ม เป็นยาบำรุงกำลัง แก้บิดเรื้อรัง แก้ท้องเสีย ทำให้อาเจียน ขับปัสสาวะ แก้พิษแมลงป่อง ตำคั้นเอาน้ำดื่ม แก้เบาหวาน
- เมล็ด รสเอียนมัน น้ำมันจากเมล็ด รสร้อน เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ
- ยางไม้ รสฝาดเมา เป็นยาบำรุงกำลัง ฝาดสมาน แก้ท้องร่วง แก้ระดูขาวมากเกินไป
- ใบ รสเย็นเอียน ตำพอกแก้ฟกช้ำ เผาไฟ ผสมหัวขมิ้นอ้อยและข้าวสุก พอกฝี ต้มน้ำดื่มแก้ไข้ แก้โรคเรื้อน ตำกับหัวหอม ขมิ้น ผสมน้ำดื่มแก้ไอ แก้เสียงแหบ แก้หวัดลงท้อง แก้ท่อปัสสาวะอักเสบ ใบอ่อนรับประทานแก้เคล็ดบวม ผลอ่อน รสหวานฝาดเย็น เป็นยาสมาน ราก แก้บิด แก้ลำไส้อักเสบ คั้นเอาน้ำ ทานแก้โรคเบาหวาน เมล็ด ขับปัสสาวะ

บักก่อ (เกาลัคอีสาน)
บักก่อ, มะก่อ หรือ ต้นหมากก่อ ชื่อวิทยาศาสตร์ Lithocarpus ceriferus อยู่ในวงศ์ Fagaceae มีชื่ออื่นๆ เช่น ก่อหนาม ก่อดาน (พังงา), ก่อตี๋, ก่อผา, ก่อหนามแหลม, ก่อหยุม (เชียงใหม่), ก่อ (กาฬสินธ์), มะก่อ (เพชรบูรณ์), ก่อขี้หมู, ก่อหม่น (ตะวันออก), ก่อหุ้ม (ตะวันออกเฉียงเหนือ), หมากก่อ
ต้นหมากก่อ เดิมมักจะขึ้นตามธรรมชาติ ตามป่าริมภูเขา มะก่อ เป็นไม้หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกา ไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530 เนื่องจากเป็นไม้ผลที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและคุณค่าทางปกป้องสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ เพราะส่วนใหญ่ชอบขึ้นตามป่าดิบเขา ตามที่ลาดชันสูง จึงเป็นกลุ่มพืชที่สำคัญที่ช่วยปกป้องการพังทลายของดิน รักษาอุณหภูมิและดูดซับความชุ่มชื้นเก็บไว้ในดินได้ดี ต้นก่อเป็นไม้ป่าที่ลำต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ 30 เมตร ยามเมื่อออกผลแล้วหล่นลงมาบนพื้น ชาวบ้านจะเก็บลูกก่อที่เปลือกมีขนคล้ายเงาะ แต่ขนเป็นหนามแหลม เวลาเก็บจึงต้องใช้ความระมัดระวังจากหนามแหลมบนเปลือกที่ตำมือ เมื่อแกะเปลือกออกแล้วนำมาคั่วให้สุกเพื่อแกะกินเนื้อข้างใน ที่มีรสชาติมันออกหวานและอร่อย

ประโยชน์และสรรพคุณมะก่อ
- บักก่อ เป็นพืชตระกูลถั่วเปลือกแข็งที่มีไขมันไม่อิ่มตัว มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย อุดมไปด้วยวิตามินอี ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ นิยมนำเมล็ดมาคั่วแล้วรับประทาน ซึ่งให้รสชาติดี เหมือนเกาลัดจีน
- มะก่อ ยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย แก้วัณโรค อาเจียนเป็นเลือด ช่วยห้ามเลือด แก้ไอ ละลายเสมหะ แต่ก็มีข้อควรระวังคือ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องอืดบ่อยๆ อาหารไม่ย่อย ไม่ควรกิน ผู้ที่เป็นโรคไขข้ออักเสบ ร้อนใน ตาบวม ห้ามกิน

บักแต้
บักแต้ มะค่าแต้ ชื่อสามัญ Ma kha num มีชื่อวิทยาศาสตร์ Sindora siamensis Miq. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Galedupa cochinchinensis (Baill.) Prain, Galedupa siamensis (Teijsm.) Prain, Sindora cochinchinensis Baill., Sindora siamensis var. siamensis, Sindora wallichii var. siamensis (Teijsm.) Baker) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)
สมุนไพรมะค่าแต้ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มะค่าหยุม มะค่าหนาม (ภาคเหนือ), แต้ (ภาคอีสาน), มะค่าหนาม มะค่าแต้ มะค่าลิง (ภาคกลาง), กอกก้อ (ชาวบน-นครราชสีมา), กอเก๊าะ ก้าเกาะ (เขมร-สุรินทร์), กรอก๊อส (เขมร-พระตะบอง), แต้หนาม กระทงลาย กระทุงลาย เป็นต้น
ต้นมะค่าแต้ มีเขตการกระจายพันธุ์จากภูมิภาคอินโดจีนจนถึงมาเลเซีย ในประเทศไทยสามารถพบได้ตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าโคกข่าว ป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้ง และป่าชายหาดที่ระดับใกล้กับน้ำทะเลไปจนถึงที่ระดับความสูง 400 เมตร โดยจัดเป็นไม้ยืนต้น มีความสูงของต้นประมาณ 10-15 เมตร แตกกิ่งก้านแผ่กว้าง มีเรือนยอดเป็นรูปร่มหรือเป็นทรงเจดีย์ต่ำ กิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาล เปลือกต้นเรียบเป็นสีเทาคล้ำ
ผลมะค่าแต้ ออกผลเป็นฝักเดี่ยวแบนค่อนข้างกลม ที่ผิวเปลือกมีหนามแหลมอยู่ทั่วไป ผลเป็นรูปไข่กว้างหรือเป็นรูปโล่ โคนเบี้ยวและมักมีติ่งแหลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4.5-10 เซนติเมตร พอแห้งจะแตกออกเป็น 2 ซีก ภายในมีเมล็ดสีดำประมาณ 1-3 เมล็ด โดยผลจะแก่ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน (ยอมรับมาเสียดีๆ ว่ามีไผเคยเอาในบักแต้มาเล่นในวัยเด็กแหน่)
สรรพคุณของมะค่าแต้
- เปลือก ใช้ต้มแก้ซาง แก้ลิ้นเป็นฝ้า
- ปุ่มที่เปลือก มีรสเมาเบื่อ ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้พยาธิ ปุ่มที่เปลือกนำมาต้มรมให้หัวริดสีดวงทวารหนักฝ่อได้
- ส่วนเมล็ดมีรสเมาเบื่อสุขุมเป็นยาขับพยาธิเช่นกัน มีรสเบื่อขม ทำให้ริดสีดวงทวารแห้ง
- เปลือกต้นมะค่าแต้ใช้ผสมกับเปลือกต้นมะกอกเหลี่ยม เปลือกต้นหนามทัน เปลือกต้นยางยา และรากถั่วแปบช้าง นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อีสุกอีใส
- ผล, ปุ่มเปลือก, เมล็ด ใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง
ประโยชน์ของมะค่าแต้
- เมล็ดแก่ เมื่อนำมาเผาไฟแล้วกะเทาะเปลือกออก เอาแต่เนื้อข้างในมารับประทานเป็นอาหารว่างได้ โดยเนื้อจะมีลักษณะแข็ง ๆ คล้ายกับเมล็ดมะขามและมีรสมัน
- ฝักและเปลือก ให้น้ำฝาดชนิด Catechol และ Pyrogallol ใช้สำหรับฟอกหนัง ส่วนเปลือกต้นจะนิยมนำมาใช้ย้อมสีเส้นไหม ย้อมแห โดยจะให้สีแดง
- ในด้านเชื้อเพลิง สามารถนำมาใช้ทำเป็นถ่านได้ดี โดยจะให้ความร้อนได้สูงถึง 7,347 แคลอรีต่อกรัม
- เนื้อไม้ เป็นสีน้ำตาล่อนหรือเป็นสีน้ำตาลแก่ เมื่อทิ้งไว้นานๆ จะเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น มีเส้นสีเข้มกว่าสลับกับเนื้อไม้ที่ค่อนข้างหยาบ เสี้ยนสนแต่สม่ำเสมอ มีความแข็งแรงทนทาน ทนต่อปลวกได้ดี เลื่อย ผ่า ไสกบตบแต่งได้ยาก สามารถนำมาใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนได้ดี แต่จะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ใช้ทำเสา รอด ตง พื้น พื้นรอง เครื่องเรือน เครื่องบน เครื่องมือทางการเกษตร เครื่องเกวียน เครื่องไถนา หมอนรองรางรถไฟ ลูกกลิ้งนาเกลือ กระดูกเรือ หรือใช้ทำโครงเรือใบเดินทะเล ฯลฯ

บักกล้วยน้อย
บักกล้วยน้อย, กั้นทาง ตันทาง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Xylopia vielana Pierre. เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์กระดังงา (Annonaceae) มีชื่อเรียกในถิ่นอื่นๆ เช่น สะทาง (อุบลราชธานี), เกรา (สุรินทร์), ตาเหลว, ตาแหลว (นครราชสีมา), ทัดทาง (กรุงเทพมหานคร), ต้นทาง, กั้นทาง, ตันทาง, นมแมว
ลำต้นมีเปลือกเรียบสีน้ำตาลหรือดำ ใบเดี่ยว ดอกเดี่ยว กลีบดอกสีเหลืองอ่อนหรือเหลืองอมน้ำตาล โคนกลีบมีสีม่วงแดงแซม เกสรตัวผู้จำนวนมาก ผลกลุ่ม ทรงรี แตกตามตะเข็บด้านเดียว ผลออกเป็นกลุ่ม รูปทรงกระบอก ผลแก่สีเหลืองอมส้ม มีเมล็ด 2-3 เมล็ด เมล็ดสีดำมีเยื่อหุ้มสีแดง พบกระจายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของไทย ในประเทศ สปป.ลาวและกัมพูชา ขึ้นในป่าดิบแล้งที่ระดับความสูง 50-600 เมตร ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ผลจะแก่ในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน
ประโยชน์ของต้นกล้วยน้อย
- ใช้ทำฟืน เสารั้ว ดอกเป็นส่วนผสมของยาหอม
- ชาวไทยอีสานไม้ชนิดนี้ปิดบังเส้นทางของวิญญาณได้ จึงใช้กิ่งขวางทางเข้าหมู่บ้าน หรือบ้านหลังจากเสร็จงานศพ
สรรพคุณ
- ตำรายาไทย ดอก บำรุงหัวใจ
- ยาพื้นบ้านอีสานใช้ ดอก เข้ายาเป็นเกสรร้อยแปด ปรุงยาหอมบำรุงหัวใจ
- ชาวบ้านจังหวัดอำนาจเจริญ รับประทาน ผลสุกและใบอ่อน เนื้อไม้ใช้ก่อสร้าง ทำฟืนอยู่ไฟ และใช้ในพิธีกรรม โดยใช้กิ่งของต้นกล้วยน้อยขีดที่ดินเพื่อแบ่งดินแดนระหว่างคนกับผี หลังจากเสร็จพิธีเผาผี เชื่อว่าวิญญาณข้ามเส้นที่ขีดไว้ไม่ได้

บักม่อน
บักม่อน หม่อน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Morus sp. ชื่อภาษาอังกฤษคือ White Mulberry, Mulberry Tree และมีชื่อภาษาท้องถิ่นได้แก่ หม่อน, มอน (อีสาน), ซึมเฮียะ (จีน) อยู่ในวงศ์ Moraceae ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของหม่อน เป็นไม้พุ่มขนาดย่อม เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง ใบเดี่ยวออกสลับสีเขียวเข้มรูปหัวใจขอบจักฟันเลื่อย ผิวสาก สีเขียวเข้ม เส้นใบตามยาว 3 เส้น ดอกเล็กๆ กลม เป็นช่อแท่งกลมเล็กๆ ดอกตัวผู้และตัวเมียแยกกัน ดอกย่อยมี 4 กลีบ ออกตามซอกใบที่ปลายกิ่งยาวราว 1 นิ้ว ผลเป็นผลรวมออกเป็นพวงวงกลมเล็ก เมื่อสุกมีสีม่วงแดงถึงดำผลกลมเล็กๆ เมื่อสุกสีน้ำตาลดำเป็นพวง และยังเป็นพืชอาหารตามธรรมชาติของหนอนไหม
ประโยชน์หม่อน
- ใบสด เมื่อนำใบมาเคี้ยวสดๆ จะมีรสหวานอมขมเย็นเล็กน้อย บางท้องถิ่นนำมากินสด
- ปัจจุบันนิยมนำใบมาตากแห้ง และชงดื่มเป็นน้ำชาใบหม่อน ซึ่งจะให้กลิ่นหอมมีเอกลักษณ์ และรสชาติเหมือนชา แต่อมหวานเล็กน้อย
- บางท้องถิ่น เช่น ภาคอีสาน ภาคเหนือ นิยมใบมาปรุงอาหารในเมนูจำพวกต้มต่าง ซึ่งจะเพิ่มรสชาติให้อร่อยมากยิ่งขึ้น
- ในส่วนของผลสุก สามารถกินเป็นผลไม้หรือเป็นอาหารนกได้
- ในบางพื้นที่ที่มีการปลูกหม่อนมากจะนำผลหม่อนมาหมักเป็นไวน์จำหน่าย ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามสถาน Otop ต่างๆ ลักษณะไวจากผลหม่อนจะเป็นสีม่วงอมแดง หรือนำผลสุกมารับประทานสดซึ่งจะให้รสเปรี้ยวอมหวานเล็กน้อย หรือจำหน่ายผลหม่อนสุกกินสด

สรรพคุณหม่อน
- ผลหม่อน เป็นผลหม่อนมีลักษณะสีแดง สีม่วงแดง และสุกจัดจะออกสีม่วงดำหรือสีดำ พบสารในกลุ่ม anthocyanin ที่มีฤทธิ์ต่อต้านอาการขาดเลือดในสมอง ต่อต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นยังพบวิตามินซี ในปริมาณสูง ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันอีกด้วย
- ใบหม่อน (ต้มน้ำหรือใบแห้งชงเป็นชาดื่ม) ช่วยในการผ่อนคลาย, แก้ร้อนใน กระหายน้ำ, ช่วยลดไข้หวัด และอาการปวดหัว, ช่วยแก้อาการวิงเวียนศรีษะ, แก้ไอ แก้เจ็บคอ แก้คอแห้ง, ต้านอนุมูลอิสระ ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์, ช่วยลดน้ำตาลในเลือด และช่วยทุเลาอาการจากโรคเบาหวาน, ลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด, ป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือด, ช่วยลดความดันเลือด และต้านแบคทีเรีย ช่วยแก้อาการท้องเสีย
- ส่วนของกิ่ง ลำต้น พบสารหลายชนิดที่กล่าวในข้างต้น ทำหน้าที่ออกฤทธิ์ต่อต้านการสร้างเมลานินที่เป็นสารสร้างเม็ดสี จึงมีการสกัดสารดังกล่าวมาใช้ในเครื่องสำอางเพื่อความสวยความงามทำให้ผิวขาวนวล ผลจากฤทธิ์ทางยาอย่างอื่นมีการศึกษาพบช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ กล้ามเนื้อ ลดอาการมือเท้าเป็นตะคริว

บักม่วงป่า
บักม่วงป่า, มะม่วงป่า ชื่อวิทยาศาสตร์ : Mangifera caloneura Kurz อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มะม่วงกะล่อน (ภาคกลาง) มะม่วงเทียน (ประจวบคีรีขันธ์) มะม่วงขี้ใต้ (ภาคใต้) มะม่วงเทพรส (ราชบุรี)
ลักษณะเป็นไม้ต้นขนาดกลาง สูง 20 – 25 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มสูงถึงแผ่กว้าง ต้นเปลาตรง เปลือกต้นสีน้ำตาล แตกเป็นร่องเปลือกนอกสีน้ำตาลปนเทา แตกแบบสี่เหลี่ยม เปลือกในสีเหลืองปล่อยทิ้งไว้จะเป็นสีน้ำตาลดำ มีใบลักษณะใบเดี่ยว เรียงแบบสลับหรือเวียนสลับ ใบรูปหอกขอบขนาน โคนมนหรือแหลม ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม กว้าง 3.5 – 8 เซนติเมตร ยาว 4.5 – 22 เซนติเมตร ผิวใบเกลี้ยง ใบอ่อนสีม่วงแดง
ออกดอกเป็นช่อแยกแขนง ตั้งขึ้นคล้ายช่อฉัตร ออกที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยสีเหลืองอ่อน ขนาดเล็ก มีกลีบดอกและกลีบเลี้ยงอย่างละ 5 กลีบ มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและดอกไม่มีสมบูรณ์เพศ (เกสรฝ่อ) เกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์มี 5 อัน ดอกมีกลิ่นหอม ผลมีเนื้อเมล็ดเดียวแข็ง สีขาวหรือเหลือง มีลักษณะแบน ผลดิบมีสีเขียว เมื่อผลแก่มีสีเหลือง ออกดอกเดือนธันวาคม – เดือนกุมภาพันธ์ ติดผลหลังออกดอก
การใช้ประโยชน์
- ผลอ่อน : มีวิตามินซีป้องกันโรค
- ผลสุก : ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง และต้านความชรา
- ใบอ่อน : ใช้เป็นผักสด
- เนื้อไม้: ใช้ทำฟืน ทำโครงสร้างส่วนต่างๆ ของบ้าน เช่น ฝาบ้าน
- เปลือก: เปลือกด้านในใช้เป็นสีย้อมผ้า
- ใบ: ใบอ่อนรับประทานเป็นผักสดได้

บักสัง
บักสัง มะสัง ชื่อสามัญ Wood apple มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Citrus lucida (Scheff.) Mabb. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Feroniella lucida (Scheff.) Swingle) จัดอยู่ในวงศ์ส้ม (RUTACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อย AURANTIOIDEAE มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ผักสัง (มุกดาหาร), หมากกะสัง มะสัง (ภาคกลาง), กะสัง (ภาคใต้), หมากสัง, กระสัง เป็นต้น
มะสังจัดเป็นพืชในวงศ์ส้ม (Ruraceae) เช่นเดียวกันกับมะขวิด และมีลักษณะทั่วไปคล้ายๆ กันแต่จะต่างกันตรงผล โดยมะสังเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิเช่น ไทย พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ลาว และกัมพูชา เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วภูมิภาคของประเทศ แต่จะพบมากได้ทางภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ บริเวณป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง และตามชายป่า หรือ ตามทุ่งนาต่างๆ
มะสัง จัดเป็นพืชที่มีถิ่นกำนิดในประเทศไทยชนิดหนึ่ง ที่มีการใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ มาตั้งแต่ในอดีตแล้ว เช่น มีการใช้ผลดิบของมะสังแทนมะนาว เนื่องจากมีรสเปรี้ยว โดยนำใช้ปรุงนำพริก ยำต่างๆ หรือ แกงส้ม ยังใช้กินสดๆ จิ้มพริกเกลือได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังนำมาแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารอย่างอื่น เช่น ไวน์มะสัง แยมมะสัง วุ้นมะสัง และเยลลี่มะสัง เป็นต้น ส่วนยอดอ่อนและใบอ่อน มีรสฝาดมัน สามารถใช้กินเป็นผักสดหรือนำไปปิ้งไฟให้หอมแล้วนำมารับประทานร่วมกับลาบ ก้อย และซุปหน่อไม้ และในปัจจุบันยังมีการปลูกเลี้ยงต้นมะสังเป็นไม้ดัด หรือ บอนไซเนื่องจากมีรูปทรงของต้นที่สวยงาม กิ่งก้านมีความเหนียวและใบดก

สรรพคุณของมะสัง
- ใบมีรสฝาดมัน สรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยแก้ท้องเดิน ช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช้เป็นยาสมานแผล
- รากและผลอ่อนเป็นยาแก้ไข้ ตำรายาไทยจะใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่มหรือฝนกับน้ำกินเป็นยาแก้ไข้
- แก่นมะสังใช้ร่วมกับแก่นมะขาม ใช้ต้มกับน้ำดื่มขณะอยู่ไฟ
ประโยชน์ของมะสัง
- ผลมะสังมีรสเปรี้ยว สามารถนำมาใช้แทนมะนาวได้ โดยใช้ปรุงน้ำพริก หรือใส่แกง นอกจากนี้ยังใช้กินและนำมาทำน้ำผลได้อีกด้วย
- ยอดอ่อนและใบอ่อนมะสังใช้กินเป็นผักสด หรือนำไปปิ้งไฟให้หอมก็ใช้รับประทานร่วมกับลาบ ก้อย ซุปหน่อไม้
- ในปัจจุบันนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ ทำเป็นไม้แคระประดับหรือไม้ดัด เนื่องจากมีความสวยงามจากเปลือกที่ขรุขระ มีรูปทรงของต้นที่สวยงาม ออกใบดกและมีขนาดเล็ก และง่ายต่อการดัดเพราะกิ่งก้านมีความเหนียว
![]()
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Food
- Hits: 1257

นำเสนอเรื่องของ "ผลไม้อีสานหายาก" ที่บางคนลืมเลือนไปในตอนที่แล้ว เกินความคาดหมายมากครับ แค่วันแรกมีคนคลิกเข้ามาอ่านมากกว่า 150 ครั้ง แล้วยังมีจดหมายก้อมส่งมาว่า "ขออีกๆๆ" เลยต้องจัดให้ตามคำขอเป็นตอนที่ 4 ใครมีข้อมูลเพิ่มเติม จะช่วยชี้แนะก็ช่วยบอกมานะขอรับ ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง
บักเม็ก | บักถั่วแฮ | บักเดื่อ | บักหูลิง | บักเกลี้ยง | บักโกนา | หมากหวาย | บักเหลี่ยม

บักเม็ก
บักเม็ก, ต้นเม็ก, หมากคำเม็ก หรือ ขะเม็ก ในภาษากลาง คือ เสม็ดแดง เม็กในชื่ออื่นๆ ไคร้เม็ด (เชียงใหม่ ภาคกลาง) เม็ก (ตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ) เสม็ดแดง เสม็ดชุน เสม็ด (สกลนคร สตูล) เสม็ดขาว เสม็ดเขา (ตราด) เม็ดชุน (นครศรีธรรมราช) ขะเม็ก ยีมือแล (มลายู – ภาคใต้) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Syzygium gratum (Wight) S.N.Mitra var. gratum ชื่อวงศ์ : Myrtaceae
ต้นเม็ก เป็นไม้ต้น สูงได้ถึง 20 เมตร กิ่งเป็นสันสี่เหลี่ยม ลำต้นสีน้ำตาลแดง เปลือกบาง ซ้อนกันหลายๆชั้น แตกกิ่งก้านมาก ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่ รูปรีถึงรูปใบหอก หรือรูปไข่ กว้าง2.5-4 เซนติเมตร ยาว 6-8 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบแหลมหรือมน ขอบใบเรียบ ใบแก่ผิวด้านบนเกลี้ยงมันวาว ใบอ่อนสีน้ำตาลปนชมพู ผิวใบด้านล่างเกลี้ยง มีจุดโปร่งแสงหนาแน่น ดอกช่อ แบบช่อแยกแขนง ยาว 1.5-3 เซนติเมตร ออกที่ซอกใบและปลายยอด ดอกย่อยสีขาว ไม่มีก้านดอก ฐานดอกรูปถ้วย ทรงรูปกรวยแกมทรงกระบอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปสามเหลี่ยม กลีบดอก 5 กลีบ แยกกัน สีขาว รูปเกือบกลม สีเหลืองอ่อน เกสรเพศผู้จำนวนมาก เกสรเพศเมียมีรังไข่ขนละเอียด อยู่ใต้วงกลีบ ผลสด ทรงกลม สีขาว ฐานผลนูนออกมาและบุ๋ม กระจายพันธุ์แถบป่าผลัดใบ และริมลำธาร ออกดอกช่วงเดือน เมษายน ถึงพฤษภาคม ยอดอ่อนรับประทานเป็นผักได้
สรรพคุณทางยา
- ยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี ใช้ ราก ต้มน้ำดื่ม แก้เบื่อเมา แก้ผิดสำแดง ยอดอ่อน รับประทานสด ขับลม
- ตำรายาไทย ใช้ เปลือก ต้มทา ลมพิษ หรือแก้พิษน้ำเกลี้ยง ใบแก่ ตำพอกแก้ฟกช้ำ

บักถั่วแฮ
บักถั่วแฮ, ถั่วแระ ถั่วแระ ชื่อสามัญ Pigeon pea , Angola pea, Congo pea มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cajanus cajan (L.) Millsp. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Cajanus indicus Spreng. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE สมุนไพรถั่วแระ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ถั่วแรด (ชุมพร), มะแฮะ มะแฮะต้น ถั่วแระต้น (ภาคเหนือ), ถั่วแฮ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), ถั่วแระ ถั่วแระผี ถั่วแม่ตาย (ภาคกลาง), พะหน่อเซะ พะหน่อซิ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), มะแฮะ (ไทลื้อ), ย่วนตูแฮะ (ปะหล่อง), เปล๊ะกะแลง (ขมุ), ถั่วแฮ เป็นต้น
ต้นถั่วแระ จัดเป็นพรรณไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดย่อม อายุฤดูเดียวหรือหลายฤดู ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง สูงประมาณ 1-3.5 เมตร กิ่งแผ่ออกด้านข้างเป็นคู่ ผิวของลำต้นเกลี้ยงเป็นสีเขียวหม่น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด มีทั้งถั่วแระขาวและถั่วแระแดง พบขึ้นในที่โล่งแจ้งชายป่าเบญจพรรณ
ผลถั่วแระ ลักษณะของผลเป็นฝักแบนยาวสีม่วงเข้มปนเขียว เป็นห้องๆ และมีขน ฝักหนึ่งจะแบ่งออกเป็นห้อง 3-4 ห้อง ภายในมีเมล็ดลักษณะกลมหรือแบนเล็กน้อย ห้องละ 1 เมล็ด เมล็ดมีขนาดเท่ากับเมล็ดถั่วเหลือง สีของเมล็ดเป็นสีเหลือง ขาว และสีแดง
สรรพคุณของถั่วแระ
- เมล็ด มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง ทั้งฝักมีรสมันเฝื่อนเล็กน้อย มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยลดระดับคอเลสเตรอล ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ด้วยการใช้เมล็ดนำมาต้มรับประทานเป็นของกินเล่น
- รากและเมล็ด ใช้ปรุงเป็นยากินรักษาไข้ ถอนพิษ
- ใบ ช่วยแก้อาการไอ น้ำคั้นจากใบใช้ใส่แผลในปากหรือหู ใบใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย ใบใช้เป็นยารักษาบาดแผล
- ต้นและใบ มีสรรพคุณเป็นยาขับลมลงเบื้องต่ำ
- ต้น ราก และใบ มีสรรพคุณเป็นยาขับผายลม
- ตำรายาไทย จะใช้รากปรุงยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ ปัสสาวะแดงขุ่น ปัสสาวะน้อย ช่วยละลายนิ่วในไต ส่วนรากและเมล็ดใช้ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการปัสสาวะเหลืองหรือแดง
- ตำรายาพื้นบ้าน จะใช้ทั้งต้น 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 3 ครั้ง เป็นยารักษาอาการตกเลือด แก้ไข้ทับระดู (ทั้งต้น)
- รากและเมล็ด ใช้ปรุงเป็นยากินแก้น้ำเหลืองเสีย รักษาน้ำเบาเหลืองและแดงดังสีขมิ้น หรือน้ำเบาออกน้อย
- ต้นและใบ มีสรรพคุณเป็นยาแก้เส้นเอ็นพิการ (ความผิดปกติของระบบเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ มักมีอาการเจ็บต่างๆ ปวดเมื่อยเสียวไปทุกเส้น ตามตัว ใบหน้า ถึงศีรษะ)
- เมล็ด มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงไขข้อ บำรุงเส้นเอ็น ส่วนทั้งฝักมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกระดูก บำรุงเส้นเอ็น (เมล็ด, ทั้งฝัก)
หมายเหตุ : ต้นถั่วแระ ที่กล่าวถึงในบทความนี้ เป็นคนละชนิดกันกับถั่วแระที่ได้มาจากการเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองในระยะที่ฝักยังไม่แก่หรือไม่อ่อนเกินไป แล้วนำมาต้มหรือนึ่งทั้งต้นและฝัก

บักเดื่อ
บักเดื่อ, มะเดื่อชุมพร ชื่อสามัญ Cluster fig, Goolar (Gular), Fig มีชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus racemosa L. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Ficus glomerata Roxb. จัดอยู่ในวงศ์ขนุน MORACEAE มะเดื่อชุมพร มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า เดื่อเกลี้ยง (ภาคเหนือ), มะเดื่อน้ำ มะเดื่อหอม หมากเดื่อ เดื่อเลี้ยง (ภาคอีสาน), มะเดื่อ มะเดื่อเกลี้ยง มะเดื่อชุมพร เดื่อน้ำ กูแซ (ภาคใต้), มะเดื่อดง, มะเดื่อไทย, มะเดื่ออุทุมพร เป็นต้น
มะเดื่อชุมพร มีถิ่นกำเนิดครอบคลุมในเขตร้อนของทวีปเอเชีย ไล่ตั้งแต่ประเทศอินเดียไปจนถึงประเทศจีน โดยจัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ทรงพุ่มกว้าง ใบหนาทึบ ลำต้นสูงประมาณ 5-20 เมตร ลำต้นเกลี้ยง เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลปนเทา กิ่งอ่อนเป็นสีเขียว ส่วนกิ่งแก่เป็นสีน้ำตาลเกลี้ยง ส่วนใบจะเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับตามกิ่ง ใบเป็นรูปทรงรี หรือรูปหอก โคนใบมนหรือกลม ปลายใบแหลม ผิวใบเกลี้ยงหรือมีขนไม่หลุดร่วงง่าย ขอบใบเรียบ มีเส้นแขนงในใบประมาณ 6-8 คู่ และก้านยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร ส่วนดอกมะเดื่อชุมพร จะออกดอกเป็นช่อยาวตามกิ่ง โดยแต่ละช่อก็จะมีดอกย่อยขนาดเล็กเป็นกลุ่ม ดอกช่อจะเกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปร่างคล้ายผล และดอกมีสีขาวอมชมพู ลักษณะของลูกมะเดื่อชุมพร มีลักษณะทรงกลมแป้นหรือรูปไข่ ผลจะเกาะกลุ่มอยู่ตามต้นและตามกิ่ง ห้อยเป็นระย้าสวยงาม โดยผลอ่อนจะเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเป็นสีแดงม่วง มีรสฝาดอมหวาน สามารถรับประทานได้ ซึ่งดอกและผลนี้จะออกตลอดปี
มะเดื่อ ปัจจุบันยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก สาเหตุคงมาจากผลสุกมักจะมีแมลงหวี่อยู่ในผลด้วยเสมอ ทำให้หลายๆ คนรู้สึกไม่ค่อยดีนัก หรืออาจมองว่ามันสกปรกจนไม่น่ารับประทาน แต่ในต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับมะเดื่ออย่างมาก เพราะเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกและน่าสนใจอยู่มากเลยทีเดียว โดยต้นมะเดื่อกับแมลงหวี่ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน โดยมะเดื่ออาศัยให้แมลงหวี่ช่วยผสมเกสรให้ติดเมล็ด ส่วนแมลงหวี่ก็อาศัยมะเดื่อเป็นอาหาร และฟักไข่จนเป็นตัว จะเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องอาศัยกันและกันในการสืบพันธุ์ต่อไป
ประโยชน์ของมะเดื่อ
- ราก ใช้เป็นยาแก้ไข้ ถอนพิษไข้ กระทุ้งพิษไข้ แก้ไข้หัว ไข้กาฬ หรือไข้พิษทุกชนิด ช่วยกล่อมเสมหะและโลหิต ช่วยแก้อาการร้อนใน (ในคาบสมุทรมลายู) ในคาบสมุทรมลายูจะใช้รากต้มกับน้ำ ปรุงเป็นยาบำรุงหลังการคลอดบุตร
- เปลือก ช่วยแก้อาเจียน ช่วยแก้ธาตุพิการ เปลือกต้นใช้รับประทานแก้อาการเสีย ท้องร่วง (ที่ไม่ใช่บิดหรืออหิวาตกโรค) ช่วยแก้ประดงเม็ดผื่นคัน
- ผลดิบ ช่วยแก้โรคเบาหวาน
- ผลสุก ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก ผลสุกมีฤทธิ์เป็นยาระบาย เปลือกต้น ช่วยห้ามเลือดและชะล้างบาดแผล ใช้เป็นยาสมานแผล
- ไม้มะเดื่อ จัดเป็นไม้มงคลที่สามารถปลูกไว้ในบ้านและยังเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะในสมัยอดีตจะใช้ไม้มะเดื่อทำพระที่นั่งในพระราชพิธีราชาภิเษก ใช้ทำเป็นกระบวยตักน้ำเจิมถวาย และใช้ทำหม้อน้ำสำหรับกษัตริย์ทรงใช้ในพระราชพิธี
- ผลสุก สามารถใช้เป็นอาหารสัตว์ได้หลายชนิด เช่น กระรอก นก หนู ฯลฯ แถมยังเป็นการขยายพันธุ์มะเดื่อชุมพรไปด้วยในตัว เพราะเมล็ดของมะเดื่อจะงอกดีมากขึ้นเพราะมีน้ำย่อยในกระเพาะของสัตว์
- ยางเหนียว ใช้ลงพื้นสำหรับปิดทอง
- เนื้อไม้ ของต้นมะเดื่อสามารถใช้ทำเป็นแอกไถ หีบใส่ของ ไม้จิ้มฟันได้
- ใบอ่อน ใช้นึ่งกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก ยอดอ่อนใช้ลวกกินกับน้ำพริก
- ผลอ่อน ใช้รับประทานเป็นอาหารได้
- หัวใต้ดิน สามารถนำไปนึ่งรับประทานได้
- ช่อดอก หรือที่คนไทยเรียกว่า ผล หรือ ลูกมะเดื่อ สามารถนำมารับประทานเป็นผักได้โดยใช้จิ้มกับผัก หรือใช้ทำแกงอย่างแกงส้มก็ได้เช่นกัน
ข้อควรรู้ ! : สาเหตุที่มีชื่อว่า มะเดื่อชุมพร ก็เนื่องมาจากเป็นพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดชุมพร และต้นมะเดื่อชุมพรจัดเป็นพันธุ์ไม้พระราชทาน (มะเดื่อชุมพรกับมะเดื่อฝรั่งเป็นคนละชนิดกันนะครับ !)

บักหูลิง
บักหูลิง, หัวลิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Sarcolobus globosus Wall. จัดอยู่ในวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (ASCLEPIADOIDEAE หรือ ASCLEPIADACEAE) สมุนไพรหัวลิง มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า เถาหัวลิง (กรุงเทพฯ), หงอนไก่ใหญ่ (ตราด), เถรอดเพล ตองจิง หัวลิง อ้ายแหวน (ประจวบคีรีขันธ์), หัวกา (สุราษฎร์ธานี), มะปิน ตูดอีโหวด (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), บาตูบือแลกาเม็ง (มาลายู-นราธิวาส) ก้างปลาขาว (สุโขทัย), หมักแฟบ (พิษณุโลก), หูด้าง (สุรินทร์), หัวลิง (นครพนม, อุบลราชธานี, สุรินทร์, ขอนแก่น, นครราชสีมา), แควบ แฟบ (ชลบุรี), แฟบหัวลิง (ใต้) หูลิง
- ต้นหัวลิง หรือ เถาหัวลิง จัดเป็นพรรณไม้เถา ลำต้นอยู่เหนือดิน เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาล ผิวขรุขระ ไม่มียาง อาศัยอยู่บนบก ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ชอบอากาศค่อนข้างชุ่มชื้น
- ใบหัวลิง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงกันเป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือเป็นรูปขอบขนานหรือรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบมน ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 4.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8 เซนติเมตร
- ดอกหัวลิง ออกดอกเป็นช่อกระจะบริเวณตามง่าม ก้านช่อดอกมีความยาวประมาณ 6-13 มิลลิเมตร ลักษณะของดอกมีกลีบดอกและกลีบรองกลีบดอก อย่างละ 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน มีสีม่วงภายในกลีบ ดอกมีทั้งเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียเชื่อมติดอยู่ มีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดโตประมาณ 1 เซนติเมตร ดอกไม่มีกลิ่น
- ผลหัวลิง ผลเป็นผลเดี่ยว ลักษณะของผลเป็นฝักรูปกลมมน เปลือกฝักเป็นสีน้ำตาล มีขนาดกว้างยาวประมาณ 4 นิ้ว ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และจะแตกกลางพู ภายในฝักมีเมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไข่แบน ยาวได้ประมาณ 18 มิลลิเมตร มีขอบหนาเป็นสีน้ำตาลแก่
สรรพคุณของหัวลิง
- ใบสดนำมาตำผสมกับผลมะเยาให้ละเอียด แล้วนำมาใช้เป็นยาแก้โรคปวดข้อหรือแก้ไข้ส่า
- ตำรายาไทยใช้ แก่น มีรสมึนเมาเล็กน้อย แก้พิษทั้งปวง แก้พิษไข้เซื่องซึม เป็นยาถอนพิษ แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้ปวดหลังปวดเอว แก้กระษัย (การป่วยที่เกิดจากหลายสาเหตุ ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม ซูบผอม โลหิตจาง ปวดเมื่อย) และขับปัสสาวะ ราก รักษากามโรค
- ยาพื้นบ้านอีสานใช้ ลำต้น ผสมลำต้นการเวก รากตับเต่าต้น รากเอนอ้าขน รากกำจาย ลำต้นอ้อยแดง ต้มน้ำดื่ม แก้ผิดสำแดง ลำต้นและใบ นำมาเผาให้เกิดควันไฟ รักษาฝีหนองในสัตว์เลี้ยง
- ยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานีใช้ ราก เข้ายากับรากส้มกุ้ง ฝนกับน้ำดื่ม แก้ไข้มาลาเรีย ลำต้น เข้ายากับขมิ้นต้น และขมิ้นเครือ ต้มน้ำดื่ม แก้ซางเด็ก
- ประเทศกัมพูชาใช้ ผล มีรสเปรี้ยว ปรุงอาหาร
- เมล็ดเป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ชาวพื้นเมืองในทวีปเอเชียนิยมนำมาใช้เป็นยาเบื่อหมา แมว และสัตว์ป่า (โดยมีฤทธิ์ยับยั้งกล้ามเนื้อระบบประสาท อาการเป็นพิษที่แสดง คือ ปัสสาวะเป็นเลือด ไตเสื่อม)

บักเกลี้ยง
บักเกลี้ยง, รักใหญ่ ชื่อสามัญ Red zebra wood, Vanish tree, Burmese lacquer tree, Burmese vanish wood, Black lacquer tree, Thai vanish wood มีชื่อวิทยาศาสตร์ Gluta usitata (Wall.) Ding Hou ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Melanorrhoea usitata Wall. จัดอยู่ในวงศ์มะม่วง (ANACARDIACEAE) มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า รักเทศ มะเรียะ (เชียงใหม่), น้ำเกลี้ยง (สุรินทร์), ฮักหลวง (ภาคเหนือ), รัก (ภาคกลาง), รัก ซู้ สู่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), ฮัก, รักหลวง เป็นต้น
ต้นรักใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย บังกลาเทศ พม่า ลาว กัมพูชา จีน และไทย โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงของต้นประมาณ 15-20 เมตร และอาจสูงได้ถึง 25 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มค่อนข้างกลม เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลปนสีเทา เปลือกแตกเป็นร่องตามยาว ส่วนเปลือกชั้นในเป็นสีชมพูอ่อน ใบคล้ายใบมะม่วงหิมพานต์ มักมีแมลงมาไข่ไว้ตามใบ ทำให้เกิดตุ่มกลมๆ ตามแผ่นใบ ใบรักใหญ่เป็นใบเดี่ยว กิ่งอ่อนและยอดปกคลุมไปด้วยขนยาวสีขาว ส่วนกิ่งแก่เกลี้ยงหรือมีขนสั้นๆ ออกดอกเป็นช่อแบบแยกแขนง โดยจะออกตามปลายกิ่งหรือใกล้กับปลายกิ่งและซอกใบ มักทิ้งใบก่อนการออกดอก โดยดอกจะเริ่มบานจากสีขาว แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูและสีแดงสด โดยจะออกดอกเป็นกลุ่มช่อหนาแน่นตามซอกใบช่วงบน และติดผลในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ พบขึ้นกระจายพันธุ์ทั่วไปตามป่าผลัดเบญจพรรณ ป่าผลัดใบ ป่าเต็งรัง ป่าดิบเขา ทุ่งหญ้าโล่ง เขาหินปูน ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-1,000 เมตร ในประเทศไทยพบได้ที่จังหวัดอุทัยธานี ชัยภูมิ กำแงเพชร และหนองบัวลำภู
สรรพคุณของรักใหญ่
- เปลือกต้นมีรสเมา ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้กามโรค ใช้เข้ายาบำรุงกำลัง ยางช่วยแก้มะเร็ง ช่วยแก้ไข้เรื้อรัง ใช้เป็นยารักษาโรคเรื้อน
- เมล็ดใช้เป็นยาแก้ปากคอเปื่อย ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยแก้คุดทะราด ช่วยแก้อักเสบ
- เมล็ดและยางมีสรรพคุณช่วยแก้ปวดฟัน และยางยังใช้ผสมกับน้ำผึ้ง เป็นยารักษาโรคที่ปาก เอาสำลีชุลอุดฟันที่เป็นรูช่วยแก้ปวดได้
- เปลือกรากมีรสเบื่อเมา มีสรรพคุณช่วยแก้โรคไอ ช่วยแก้โรคท้องมาน ใช้แก้พยาธิลำไส้ บ้างว่ารากเป็นยาขับพยาธิ ใช้รากเป็นยาพอกแก้พยาธิลำไส้ แก้ริดสีดวงทวาร ใช้รักษาโรคผิวหนัง
- ยางใช้ทำเป็นยาแก้พยาธิ ใช้ผสมกับยางสลัดไดเป็นยารักษาโรคผิวหนัง ขี้กลาก และกัดเนื้อสด นำมาทำเป็นยารักษาโรคเรื้อน
- เปลือกต้นมีสรรพคุณช่วยขับเหงื่อ ทำให้อาเจียน ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้บิด ท้องร่วง
- ตำรับยาพื้นบ้านอีสานจะใช้ลำต้นหรือรากรักใหญ่ ผสมกับลำต้นหรือรากมะค่าโมง นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาเจียนเป็นเลือด
- น้ำยางมีรสขมเอียน มีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง ช่วยแก้อาการปวดไส้เลื่อน แก้ไส้เลื่อนในกระเพาะปัสสาวะ ช่วยแก้ริดสีดวง
- ยางใช้ทำเป็นยารักษาโรคตับ เปลือกรากมีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคตับ
- ใบและรากใช้เป็นยาพอกแผล ช่วยแก้ส้นเท้าแตก
- แก่นใช้ต้มกับน้ำอาบรักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน
- เปลือกต้นหรือใบรักใหญ่ ใช้ผสมกับรากสะแอะหรือรากหนวดหม่อน, แก่นฝาง, เปลือกต้นหรือใบแจง, เปลือกต้นกันแสง, และต้นสังวาลย์พระอินทร์ทั้งต้น นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้น้ำเหลืองเสีย มีแผลเปื่อยตามตัวของผู้ป่วยเอดส์ ช่วยแก้อาการปวดข้อเรื้อรัง
ประโยชน์ของรักใหญ่
- น้ำยาง สามารถนำมาใช้ทำน้ำมันเคลือบเงาได้ โดยน้ำยางใสเมื่อถูกอากาศจะเปลี่ยนเป็นสีดำและเป็นมัน การใช้ยางรักจากต้นรักใหญ่ทางภาคเหนือรู้จักกันมาช้านานแล้ว โดยนำมาใช้เป็นวัสดุสำคัญในงานศิลปกรรมเพื่อผลิตเครื่องรักประเภทต่างๆ (การลงพื้นหรือทาสิ่งต่าง ๆ เรียกว่า "ลงรัก") ซึ่งเป็นงานประณีตศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทย เช่น การนำใช้ทาไม้เครื่องเขินเพื่อลงลวดลาย, ทากระดาษกันน้ำซึม, ทาไม้รองพื้นสำหรับปิดทอง ที่เรียกว่า "ลงรัก ปิดทอง", งานประดับมุก, งานเขียนลายรดน้ำ ฯลฯ

- นอกจากนี้ยางไม้ยังใช้ทำงานฝีมือที่เรียกว่า เครื่องเขินและทาผ้า หรือเครื่องจักสานกันน้ำซึมได้ด้วย
- เนื้อไม้ของต้นรักใหญ่มีเนื้อไม้เป็นสีแดงเข้ม มีริ้วสีแก่แทรก เป็นมันเลื่อม แต่เสี้ยนสน เนื้อไม้ค่อนข้างเหนียวละเอียด มีความแข็งแรงทดทาน ไสกบตบแต่งยาก แต่ชักเงาได้ดี สามารถใช้ทำบัวประกบฝาเครื่องเรือน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องกลึง เครื่องมือทางการเกษตร เสา คาน ไม้อัด กระสวย รางปืน รางรถไฟ ฯลฯ
พิษของรักใหญ่
- น้ำยางสดมีสารพิษ Phenol ซึ่งออกฤทธิ์ระคายเคืองต่อผิวหนัง ทำให้ผิวหนังอักเสบและมีอาการคันมาก ทำให้เกิดอาการบวมแดง พองเป็นตุ่มน้ำใส และอาจลุกลามรุนแรงจนเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังได้ สำหรับวิธีการรักษาเบื้องต้นให้รีบล้างออกด้วยสบู่และน้ำสะอาด และทาด้วยครีมสเตียรอยด์วันละ 1-2 ครั้ง เช่น ครีม prednisolone 5% หรือ triamcinolone acetonide 0.025%-0.1% ส่วนผู้ที่มีอาการแพ้ปานกลางหรือรุนแรง จำเป็นต้องรับประทานเพรดนิโซโลน (Prednisolone) ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า หรือทั้งเช้าและเย็น แล้วอาการจะดีขึ้นภายใน 6-12 ชั่วโมง ส่วนผู้ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง ก็อาจจะต้องรับประทานยานี้นานถึง 2 สัปดาห์ โดยให้ลดขนาดลงมาทุกวันจนกระทั่งหยุดยา
- ขนจากใบแก่เป็นพิษต่อผิวหนัง เมื่อถูกผิวหนังจะทำให้เกิดอาการคันทั่วตัว และอาจทำให้คันอยู่นานนับเดือน ผิวหนังอาจบวม ซึ่งชาวบ้านจะแก้โดยวิธีการใช้เปลือกและใบสักมาต้มกับน้ำอาบ

บักโกนา
บักโกนา หรือ หมากโก, ตะโกนา ชื่อสามัญ Ebony มีชื่อวิทยาศาสตร์ Diospyros rhodocalyx Kurz จัดอยู่ในวงศ์มะพลับ (EBENACEAE) มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มะถ่านไฟผี (เชียงใหม่), นมงัว (นครราชสีมา), ตะโก มะโก พญาช้างดำ พระยาช้างดำ (ภาคเหนือ), โก (ภาคอีสาน), ตองโก พะแล ตะกอ (ภาษาเขมร) ไปล ตะโก (ภาษากูย)
ตะโกนา เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียบริเวณประเทศอินเดีย ศรีลังกา แล้วมีการกระจายพันธุ์ไปยังบังคลาเทศ พม่า จีนตอนใต้ ไทย มาเลเซีย หมู่เกาะแปซิฟิก รวมถึงในออสเตรเลียด้วย สำหรับ ในประเทศไทยสามารถพบ ตะโกนา ได้ทุกภาคของประเทศตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น และป่าละเมาะ รวมถึงตามทุ่งนา ที่มีความสูง 40-300 เมตร จากระดับน้ำทะเล
ผลตะโกนา ผิวผลเรียบ ผลอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดงคลุมอยู่หนาแน่น ซึ่งขนเหล่านี้มักหลุดร่วงได้ง่าย ส่วนปลายผลและโคนผลมักบุ๋ม กลีบจุกผลชี้ออกหรือแนบลู่ไปตามผิวของผล ข้างในมีขนสีน้ำตาลแดงและมีขนนุ่มทางด้านนอกพื้นกลีบและขอบกลีบมักเป็นคลื่น เส้นสายกลีบพอเห็นได้ชัด ผลเมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือแดงปนส้ม ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 3-5 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไข่รีหรือแบน เมล็ดเป็นสีน้ำตาล มีเนื้อหุ้มสีขาวและฉ่ำน้ำ โดยจะติดผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน
สรรพคุณของตะโกนา
- เปลือกต้นหรือแก่นใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้มีอายุยืนยาว ตำรายาไทยจะใช้เปลือกต้นตะโกนา เถาบอระเพ็ด ผสมกับเปลือกทิ้งถ่อน เมล็ดข่อ ผลพริกไทยแห้ง และหัวแห้วหมู อย่างละเท่ากันนำมาต้มกับน้ำดื่มหรือดองกับเหล้าดื่มเป็นยาอายุวัฒนะ แก่นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นชาช่วยแก้อาการร้อนในได้
- เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นชาช่วยบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย ช่วยทำให้เจริญอาหาร ใช้เข้ายารักษามะเร็ง
- ผลนำมาตากแดด ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้กษัย ช่วยแก้อาการคลื่นไส้ แก้อาเจียนเป็นโลหิต
- ราก บ้างว่าใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่ม ช่วยแก้โรคผอมแห้งหลังการคลอดบุตรเนื่องมาจากอยู่ไฟไม่ได้
- ต้น ใช้เป็นยาแก้ไข้ ช่วยแก้พิษผิดสำแดง
- ราก ต้น และแก่นเป็นยาแก้ไข้กลับ ไข้ซ้ำ จากการกินของแสลงที่เป็นพิษ
- เปลือกต้นหรือแก่นนำมาต้มกับเกลือใช้อมรักษาโรครำมะนาดหรือโรคปริทันต์ (โรคที่มีอาการอักเสบของอวัยวะรอบ ๆ ฟัน) ช่วยขับน้ำย่อย ช่วยในการย่อยอาหาร
- ผลมีรสฝาดหวาน ช่วยแก้อาการมวนท้อง เอามาตากแดดใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการท้องร่วง ท้องเสีย แก้บิดบวมเป่ง
- ส่วนเปลือกผลใช้แก้อาการท้องร่วง
- ผลต้มกับน้ำดื่มใช้เป็นยาแก้พยาธิ ขับพยาธิ บ้างว่าผลก็เป็นยาขับระดูขาวเช่นกัน ใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง
- เปลือกผลนำมาเผาจนเป็นถ่าน ใช้แช่กับน้ำกินเป็นยาขับปัสสาวะ ใช้แช่กับน้ำกินเป็นยาขับระดูขาวของสตรี ส่วนเปลือกต้นหรือแก่นก็ขับมุตกิดระดูขาวได้ด้วยเช่นกัน แก้อาการปวดมดลูก แก้ตกเลือด
- แก่นหรือเปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคกามตายด้าน บำรุงความกำหนัด เพิ่มพลังทางเพศ กระตุ้นร่างกายให้สดชื่นแข็งแรง
- รากตะโกนาใช้ต้มกับน้ำดื่มแก้โรคเหน็บชา อาการปวดเมื่อย อ่อนเพลีย
- ส่วนตำรับยาพื้นบ้านของอีสานนั้นจะใช้รากตะโกผสมกับรากมะเฟืองเปรี้ยว รากเครือปลาสงแดง และรากตีนนก นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการปวดเมื่อย รากและต้นช่วยบำรุงน้ำนมของสตรี
ประโยชน์ของตะโกนา
- ผลสุก ของตะโกนาสามารถใช้รับประทานได้ โดยจะมีรสหวานฝาด บ้างว่านำผลมารับประทานโดยนำมาทำเหมือนกับส้มตำ โดยคุณค่าทางโภชนาการของผลตะโกนาต่อ 100 กรัม ประกอบไปด้วย พลังงาน 99 แคลอรี, คาร์โบไฮเดรต 24.5 กรัม, น้ำ 73.6 กรัม, เส้นใย 1.5 กรัม, โปรตีน 0.3 กรัม, วิตามินบี 2 1.37 มิลลิกรัม, วิตามินซี 79 มิลลิกรัม, ธาตุแคลเซียม 19 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 0.4 มิลลิกรัม และธาตุฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม
- ต้นตะโกจะออกผลดกทุกปี จึงเป็นอาหารให้แก่สัตว์ได้จำนวนมาก
- ผลอ่อนหรือผลดิบใช้สำหรับย้อมสีผ้า แห อวน มาตั้งแต่โบราณ โดยสีที่ได้คือสีน้ำตาล แต่คุณภาพจะไม่ดีมากนัก เพราะสีของเส้นไหมจะตกและไม่ทนทานต่อแสง และคุณภาพที่ได้จะไม่ดีเท่ากับมะพลับ โดยยางของลูกตะโกที่นำมาละลายน้ำใช้สำหรับการย้อมแหและอวนนั้น จะมีราคาถูกกว่ายางมะพลับ จึงมีพ่อค้าหัวใสนำยางของผลตะโกมาปลอมขายเป็นยางมะพลับ จึงเกิดคำพังเพยที่ว่า “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก”
- เนื้อไม้ เป็นสีขาวหรือออกสีน้ำตาลอ่อน มีความแข็งแรง มีความเหนียว เนื้อค่อนข้างละเอียด สามารถนำมาใช้ทำเป็นเครื่องเรือน เครื่องใช้ เครื่องมือทางการเกษตร เช่น ทำเสา รอด ตง คาน ฯลฯ
- ต้นตะโก เป็นพันธุ์ไม้ที่นิยมปลูกเพื่อใช้นำมาทำไม้ดัดมากที่สุด ใช้ปลูกเพื่อตกแต่งสวนหรือสนามหญ้า เพราะมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี ง่ายต่อการเพาะเลี้ยงและบำรุงรักษา
- เนื่องจากต้นตะโกเป็นไม้ที่มีอายุยืน และทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี เชื่อว่าเป็นไม้มงคล หากนำมาปลูกไว้ในบริเวณบ้านทางทิศใต้ จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านมีความอดทนเหมือนต้นตะโก

หมากหวาย
หมากหวาย หวาย (อังกฤษ: Rattan palm) เป็นพืชที่อยู่ในเผ่าหวาย พบทั่วไปในเขตร้อนของทวีปแอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสตราเลเชีย ทั่วโลกมีหวายเกือบ 600 ชนิด ในประเทศไทย หวาย เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งของประเทศในเขตร้อน พบมากทางเขตภาคใต้ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี สงขลา ระนอง กระบี่ ปัตตานี รวมถึง สกลนคร ขอนแก่น ฯลฯ มีประมาณ 40 กว่าชนิด แต่ชนิดที่มีมากเป็นหวายในสกุล Calamus หวายที่นิยมใช้ในการจักสาน เป็นหวายชนิดผิวแข็งได้แก่ หวายแดง หวายกาหลง หวายหอม หวายชุมพร หวายโอมัด หวายขี้ขาว ฯลฯ
ลักษณะโดยทั่วไปของหวาย เป็นพันธุ์ไม้เลื้อยหรือไม้รอเลื้อยตระกูลปาล์ม ลำเถาชอบพันเกาะต้นไม้ใหญ่ มีกาบหุ้มต้น และมีหนามแหลม มีความเหนียว ใบเป็นรูปขนนกเล็กๆ ใบย่อยนั้นเรียวยาว มีสีเขียวสด ก้านใบหนึ่งๆ มีใบย่อยราว 60 - 80 คู่ ออกดอกเป็นช่อ สีขาวปนเหลือง ผลค่อนข้างกลม เปลือกเป็นเกล็ด ลูกอ่อนเปลือกสีเขียว เนื้อสีขาว ผลแก่เปลือกสีเหลือง เปลือกล่อน เนื้อแข็ง รสเปรี้ยวฝาด

การปลูกหวายเชิงการค้า นิยมนำส่วนลำต้นที่สูงและมีความ ยืดหยุ่นมากเป็นพิเศษมาสานเป็นเฟอร์นิเจอร์ ลูกหวายอ่อนใช้กินเป็นผักจิ้มน้ำพริก แกะเปลือกออกแล้วนำไปทำส้มตำ หน่อหวายใช้ทำอาหาร เช่น แกงอ่อม ซุบหน่อหวาย ยำ ข้าวเกรียบและหวายทอดกรอบ หวายบางชนิดในผลมีเรซินสีแดงเรียกเลือดมังกร ซึ่งใช้เป็นยาในสมัยโบราณ
สรรพคุณ
- ตำรายาไทย หัวหรือรากและยอดหวาย มีรสขมเย็นเมาเล็กน้อย ใช้ปรุงยากินดับพิษร้อน พิษไข้ แก้เซื่องซึม แก้พิษ ตับปอดพิการ แก้ไอ บำรุงน้ำดี แก้ร้อนในกระหายน้ำ
- หน่อหวาย คือ ลำต้นอ่อนของหวาย แทงขึ้นจากเหง้าใต้ดิน มีกาบแข็งเต็มไปด้วยหนามหุ้ม เนื้อในอ่อน กรอบ สีขาว มีรสขม นำมาปรุงอาหาร ก่อนนำไปปรุงอาหารต้องนำไปต้มให้หายขม จากนั้นนำไปทำแกง ดอง หรือจิ้มน้ำพริก หน่อหวาย มีธาตุสังกะสี ในปริมาณสูง ใช้เสริมธาตุสังกะสี ช่วยเจริญอาหาร ลดภาวะเครียด ช่วยส่งเสริมสมรรถภาพทางเพศชาย เนื้อหุ้มเมล็ด รับประทานได้

คุณค่าอาหารและประโยชน์
- ลูกหวาย อุดมไปด้วยแคลเซียมและวิตามินซี ใน 100 กรัม ให้พลังงานถึง 79 แคลอรี คาร์โบไฮเดรต 18.6 กรัม
- หน่อหวาย มีโปรตีและเส้นใย รสขมของหวายมีสรรพคุณทางยาคือ แก้โรคท้องร่วง หน่อหวายมีธาตุสังกะสีในปริมาณสูง ช่วยให้ไม่เครียดง่าย

บักเหลี่ยม
บักเหลี่ยม หรือหมากเหลี่ยม เป็นภาษาอีสาน ภาษากลางเรียกว่า "ต้นมะกอกเกลื้อน" มีชื่อสามัญ Kenari, Upi มีชื่อวิทยาศาสตร์ Canarium subulatum Guillaumin จัดอยู่ในวงศ์มะแฟน (BURSERACEAE) สมุนไพรมะกอกเกลื้อน มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มะเลื่อม (พิษณุโลก, จันทบุรี), มักเหลี่ยม (จันทบุรี), โมกเลื่อม (ปราจีนบุรี), มะกอกเกลื้อน (ราชบุรี), มะเหลี่ยมหิน (มหาสารคาม), มะเกิ้ม (ภาคเหนือ), กอกกัน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), มะกอกเลื่อม (ภาคกลาง), มะกอกเลือด (ภาคใต้), มะกอกกั๋น (คนเมือง), มะเกิ้ม (ไทลื้อ), เกิ้มดง เพะมาง สะบาง ไม้เกิ้ม (ขมุ), ซาลัก (เขมร) เป็นต้น
เป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ สูง 10-25 เมตร ลำต้นตั้งตรง เรือนยอดกลม เปลือกสีน้ำตาลอมเทาถึงเทาแก่ แตกเป็นสะเก็ด หรือแตกเป็นร่องตามยาว มียางใสหรือขาวขุ่น เมื่อแห้งเป็นสีน้ำตาลดำ เปลือกชั้นในสีน้ำตาลอ่อนมีขีดเส้นขาวๆ กิ่งอ่อนมีขนสี้น้ำตาอมส้มหนาแน่น ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงเวียน ใบย่อย 2-5 คู่ เรียงตรงข้าม ผลอ่อนสีเหลือง ผลแก่สีเขียวอมเหลือง กว้างประมาณ 2 ซม. ยาว 2.5-3.5 ซม. โคนผลมีกลีบเลี้ยงติดทน ขนาดกว้าง 6-15 มิลลิเมตร เมล็ดรูปกระสวย 3 เมล็ด เรียงกันเป็นรูปสามเหลี่ยม ชั้นหุ้มเมล็ดแข็งมาก ออกดอกราวเดือน มกราคมถึงพฤษภาคม ติดผลเดือนพฤษภาคมถึงธันวาคม เกิดตามหัวไร่ปลายนาและตามป่าทั่วไป ผลและเมล็ดกินได้
ตอนเด็กๆ ในโรงเรียนมีต้นบักเหลี่ยมต้นใหญ่มาก เอาลูกแก่ๆ มาจิ้มเกลือกิน เปรี้ยวเฝื่อน ผ่ากินเนื้อในเมล็ด มันๆ อร่อยครับ ในป่าบนภูเขามีเยอะมาก ที่บ้านจะเรียกมะกอเลิ่ม หรือ มะกอกเหลี่ยม นำไปดองหรือเชื่อมก็อร่อยนะ เนื้อแน่นๆ หนึบหนับครับ
สรรพคุณของบักเหลี่ยม
- ตำรายาไทย ยาง รสฝาด ทาแก้เม็ดผื่นคัน และเป็นเครื่องหอม ผล เป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว แก่น รสเฝื่อน แก้โลหิตระดูพิการ แก้ประดง ผลสด มีรสฝาดเปรี้ยว นำมาดองและแช่อิ่ม กินเป็นอาหาร เนื้อในเมล็ด สีขาวรับประทานได้ มีรสมัน
- ตำรายาพื้นบ้านอีสาน ใช้ เปลือกต้น ใช้รักษาโรคลักปิดลักเปิด ผล แก้ไอ ขับเสมหะ
- ชาวเขาเผ่าแม้ว ใช้ ทั้งต้น ต้มน้ำอาบ บำรุงร่างกายให้มีกำลัง แข็งแรง
- แก่นมีรสเฝื่อนใช้เป็นยาแก้โลหิตระดูพิการ
- ยางสดใช้เป็นยาทาภายนอกแก้อาการคัน ตุ่มคันหรือเม็ดผื่นคัน
- แก่นใช้เป็นยาแก้ประดง (อาการของโรคผิวหนังที่เป็นเม็ดขึ้นคล้ายผด มีอาการคันมากและมักมีไข้ร่วมด้วย)
![]()
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Food
- Hits: 1199

นำเสนอเรื่องของ "ผลไม้อีสานหายาก" ที่บางคนลืมเลือนไปในตอนที่แล้ว เกินความคาดหมายมากครับ แค่วันแรกมีคนคลิกเข้ามาอ่านมากกว่า 150 ครั้ง แล้วยังมีจดหมายก้อมส่งมาว่า "ขออีกๆๆ" เลยต้องจัดให้ตามคำขอเป็นตอนที่ 3 ใครมีข้อมูลเพิ่มเติม จะช่วยชี้แนะก็ช่วยบอกมานะขอรับ ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง
บักแงว | บักตูมกา | บักยางเครือ | บักยางต้น | บักเบ็น | บักหาด | หมากก้นครก | บักไฟ

บักแงว
บักแงว คือ ภาษาถิ่นที่ชาวอีสานใช้เรียก ผลของต้นคอแลน ว่า บักคอแลน จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับต้นลิ้นจี่ ลำไย เงาะ ด้วยมีลักษณะคล้ายกับลิ้นจี่ คือ มีลักษณะรีถึงกลม เปลือกด้านนอกมีผิวขรุขระ เมื่อผลยังอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อผลแก่จัดจะออกเป็น สีแดงเข้ม ในขณะที่เนื้อด้านใน จะมีลักษณะขาวใสคล้ายเงาะ มีรสเปรี้ยวอมหวาน หรือ เปรี้ยวอย่างเดียว ขึ้นอยู่กับแต่ละต้น ทำให้ชาวบ้านเรียกมันอีกอย่างหนึ่งว่า ลิ้นจี่ป่า หรือ ลิ้นจี่อีสาน
บักแงว หรือ คอแลน ชื่อสามัญ Korlan ชื่อวิทยาศาสตร์ Nephelium hypoleucum Kurz จัดอยู่ในวงศ์เงาะ (SAPINDACEAE)
คอแลน มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า คอลัง กะเบน สังเครียดขอน (ภาคใต้), มะแงว มะแงะ หมักงาน บักแงว หมักแวว หมักแงว หมากแงว (ภาคตะวันออก), ลิ้นจี่ป่า (ภาคตะวันออกเฉียงใต้) เป็นต้น ผลไม้ชนิดนี้จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับลิ้นจี่ ลำไย เงาะ มามอนซีโย
คอแลน มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบตามธรรมชาติบริเวณป่าฝนในภูมิภาค และพบมีการเพาะปลูกบ้างในบางประเทศเช่น มาเลเซีย และไทย เป็นไม้ยืนต้นสูง เปลือกสีน้ำตาลคล้ำ เรียบ ใบเดี่ยวเรียงสลับ ออกเป็นช่อ ดอกออกปลายกิ่งหรือตามซอกใบ ไม่มีกลีบดอก ผลมีปุ่มปมหนาแน่น สีแดง เปลือกภายนอกมีลักษณะคล้ายกับลิ้นจี่แต่เนื้อข้างในคล้ายเงาะมีรสเปรี้ยว รับประทานได้ เมล็ดไม่สามารถรับประทานได้เนื่องจากแข็งและมีพิษ
ประโยชน์จากบักแงว
- เนื้อไม้ต้นคอแลน มีสีแดงหรือสีน้ำตาลแดง เนื้อละเอียด มีความเหนียวและแข็ง ในประเทศไทยมักนำมาทำเครื่องใช้ทางการเกษตร เช่น คันไถ และด้ามจับเครื่องใช้ต่างๆ เนื้อไม้รสฝาด ยังใช้ปรุงเป็นยาห้ามเลือด
- ผล ใช้เป็นยาช่วยการกระจายเลือด เปลือกใช้เป็นยาบำรุงเลือด ผลแก่ ใช้รับประทาน มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยทำให้ชุ่มคอ ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันไข้หวัด
- ดอก จากไม้คอแลน ยังใช้เลี้ยงผึ้งได้ให้น้ำผึ้งแบบธรรมชาติ
สรรพคุณทางยาของคอแลน
- ช่วยทำให้ชุ่มคอ ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและเพิ่มพลังงาน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด มันจึงเหมาะอย่างมากสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- ช่วยเสริมสร้างสมาธิ แก้ปัญหาสมาธิสั้น ช่วยลดความเครียด ช่วยในการย่อยอาหาร ใช้เป็นยาระบาย ช่วยต่อสู้กับเชื้อหวัดและไวรัสไข้หวัดใหญ่
“บักแงว“ ผลไม้ในความทรงจำวัยเด็กของผู้เขียน ทุกวันนี้อาจจะหายากในบางพื้นที่ แต่ทางบ้านผู้เขียนยังพอมีการนำมาขายในตลาดตามอำเภอต่างๆ อยู่ พอนึกขึ้นมาแล้วน้ำลายแตกเลย!! ไม่ได้กินนานแล้ว เป็นผลไม้พื้นบ้านไทย ที่จะออกผลในฤดูร้อน มีนาคม-เมษายน บางคนเรียกชื่อ “คอแลน” หรือ “ลิ้นจี่ป่า” บางต้นก็เปรี้ยว บางต้นก็หวานอมเปรี้ยว เวลาสุกจะสีแดงๆ เต็มต้น กินกับพริกน้ำปลา อร่อยสุด สมัยเป็นเด็กน้อยไปเลี้ยงวัว-ควายในไร่ชายป่า แล้วหาเวลาปีนขึ้นไปกินบนต้นก็สนุกดีในวัยนั้น

วิธีจัดการบักแงวให้อร่อยสุดของผมสมัยนั้น
- แกะเอาเปลือกออก
- นำไปใส่ในถ้วย เติมน้ำปลาแดก (ปลาร้า) และพริกป่น สำหรับคนไม่ค่อยชอบปลาร้าก็แช่ในพริกน้ำปลาหวาน (ใส่ผงชูรสด้วย แล้วแต่ชอบ)
- คนๆ แล้วใช้ช้อนตักซด ดูดๆ คลายเม็ดทิ้ง (ถ้าใครเผลอกลืนไปนี่ จะทรมานตอนขับถ่ายนะจ๊ะ)
- รอสักพัก วิ่งหาห้องสุขาอยู่หนใด สุดยอดยาระบายเลยล่ะ😆

บักตูมกา
บักตูม, บักตูมกา หรือ มะตูม มีชื่อวิทยาศาสตร์ : Aegle marmelos (L.) Corr. ชื่อพ้อง : Belou marmelos (L.) Lyons, Bilacus marmelos (L.) Kuntze, Crateva marmelos L., Feronia pellucida ชื่อวงศ์ : Rutaceae
บักตูม มีชื่ออื่นๆ (ของพืชที่ให้เครื่องยา) เช่น มะปิน (เหนือ), กะทันตาเถร (ปัตตานี), ตูม(ใต้), บักตูม (อีสาน), ตุ่มตัง (ปัตตานี), พะโนงค์ (ព្នៅ = เขมร), มะตูม (กลาง), มะปีส่า (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) เป็นไม้ผลยืนต้นพื้นเมืองของอนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการเพาะปลูกทั่วไปในอินเดีย รวมทั้งในศรีลังกา แหลมมลายูตอนเหนือ เกาะชวา และฟิลิปปินส์ จัดเป็นพืชเพียงสปีชีส์เดียวที่อยู่ในสกุล Aegle
ไม้ศักดิ์สิทธิ์เทพเจ้า ไม้มงคลพระราชา
มะตูม เป็นสมุนไพรเก่าแก่ของอินเดีย ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของสมุนไพรชนิดนี้ เป็นไม้มงคลของศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระศิวะ (พระอิศวร) ด้วยใบมะตูมมีลักษณะเป็น 3 แฉก คล้ายตรีศูลของพระอิศวร เมื่อมีการบูชาพระศิวะจะต้องนำใบมะตูมมาถวายพร้อมกับท่องมนต์ หรือวางไว้ใต้ตำรา วัดฮินดูที่บูชาพระศิวะ นิยมปลูกต้นมะตูมไว้ ห้ามไม่ให้ตัดโค่น
ต้นมะตูม เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดชัยนาท ผู้ที่ได้รับทุนเล่าเรียนหลวงหรืองานสมรสพระราชทานจะได้รับพระราชทาน "ใบมะตูม" เพื่อเป็นสิริมงคล
สรรพคุณของมะตูม :
- ตำรายาไทย : ผลอ่อน รสฝาดร้อนปร่าขื่น ฝานบางๆ สดหรือแห้ง ชงน้ำรับประทานแก้ท้องเสีย แก้บิด แก้โรคกระเพาะอาหาร ฝาดสมาน เจริญอาหาร เป็นยาธาตุ แก้ธาตุพิการ ขับผายลม บำรุงกำลัง และรักษาโรคลำไส้เรื้อรังในเด็ก ผลแก่ที่ยังไม่สุก รสฝาดหวาน แก้บิด แก้เสมหะ แก้ลม บำรุงไฟธาตุ ช่วยย่อยอาหาร ผลแก่สุก ทุบให้เปลือกแตกต้มทั้งลูกกับน้ำตาลแดง เป็นยาระบายท้อง เหมาะกับผู้สูงอายุหรือผู้ที่ท้องผูกเป็นประจำ ช่วยขับผายลม แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ลมเสียดแทงในท้อง แก้มูกเลือด แก้บิดเรื้อรัง บำรุงไฟธาตุ แก้โรคไฟธาตุอ่อน แก้ครั่นเนื้อตัว ช่วยย่อยอาหาร มะตูมทั้ง 5 ส่วน (ราก ลำต้น ใบ ดอก และผล) รสฝาดปร่าซ่าขื่น ใช้แก้ปวดศีรษะ ตาลาย เจริญอาหาร ลดความดันโลหิตสูง
- ตำรายาไทยมีการใช้ ผลมะตูมใน ”พิกัดตรีผลสมุฎฐาน” คือการจำกัดจำนวนตัวยาที่มีผลเป็นที่ตั้ง 3 อย่าง มี ผลมะตูม ผลยอ ผลผักชีลา สรรพคุณแก้สมุฎฐานแห่งตรีโทษ ขับลมต่างๆ แก้โรคไตพิการ
- บัญชียาจากสมุนไพร : ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุการใช้ลูกมะตูมในตำรับ “ยาตรีเกสรมาศ” มีส่วนประกอบลูกมะตูมอ่อนร่วมกับเกสรบัวหลวง และเปลือกฝิ่นต้น มีสรรพคุณแก้อ่อนเพลีย ปรับธาตุในผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้นจากการเจ็บป่วย เช่น ไข้ ท้องเสีย นอกจากนี้ตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไป สาขาเภสัชกรรม ของกองการประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า พิกัดตรีเกสรมาศ คือ จำนวนตัวยาเกสรทอง 3 อย่าง ได้แก่ เปลือกฝิ่นต้น เกสรบัวหลวง และลูกมะตูมอ่อน มีสรรพคุณ เจริญอาหาร บำรุงธาตุ คุมธาตุ บำรุงกำลัง แก้ท้องเดิน
- ใบมะตูม ที่นำมากินเป็นผัก ยอดอ่อนนิยมมากินแกล้มกับอาหารอีสานประเภทลาบ ก้อย และหมอยาใช้กินแก้หลอดลมอักเสบ บำรุงธาตุ คุมเบาหวาน เจริญอาหาร แก้กระหายน้ำ ยับยั้งการตั้งครรภ์นั้น มีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดจากใบมะตูมมีฤทธิ์ป้องกันเนื้อเยื่อปกติของอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ไต ลำไส้ ม้าม และดีเอ็นเอ ไม่ให้ถูกทำลายจากรังสี มีฤทธิ์ต้านการแพ้ มีฤทธิ์คลายกังวลและต้านซึมเศร้า ป้องกันการเป็นต้อกระจกในหนูที่เป็นเบาหวาน มีฤทธิ์แก้ปวด แก้อักเสบ รวมทั้งไทรอยด์เป็นพิษที่มะตูมอาจจะเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลรักษา เพราะสมัยก่อนใช้ใบมะตูมเป็นยาแก้ไข แก้ร้อนใน ผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษจะมีอาการร้อนภายใน จึงมีการศึกษาทดลองพบว่า มีผลลดปริมาณฮอร์โมนไทรอยด์ เหนือกว่ายารักษาไทรอยด์ จึงแนะนำให้ผู้ป่วยโรคนี้ กินยอดอ่อนมะตูม หรือดื่มชามะตูมเป็นประจำ จะช่วยลดฮอร์โมนไทรอยด์ได้อีกทาง นับได้ว่ามะตูมมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อสุขภาพในสภาวะโลกร้อน ซึ่งส่งผลให้มนุษย์เรามีความเสี่ยงสูงขึ้นในการเจ็บป่วยด้วยภาวะความร้อนต่างๆ
ความทรงจำในวัยเด็กของผู้เขียน คือการเห็นคนเฒ่าคนแก่กิน "ข้าวเหนียวคลุกบักตูมสุก" โดยการนำเอาบักตูมมากะเทาะผ่าครึ่ง ควั่กเม็ดไนออก เอาข้าวเหนียวคลุก กินง่ายๆ บ้านๆ แบบอีสานบ้านเฮา และในหน้าหนาวชอบการเล่นว่าว ทำว่าวติดสะนูให้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า นอนฟังเสียงสะนูสะท้อนก้องในผืนทุ่งนากว้างมีความสุขที่สุด การทำว่าวเราต้องเหลาไม้ไผ่มาทำโครงว่าว หากระดาษถุงปูนซีเมนต์มาติดบนโครงให้รับลม การติดกระดาษเข้ากับโครงไม้ไผ่ด้วยกาวธรรมชาติ (ยางมะตูม) นี่สุดยอด

บักยางเครือ
บักยางเครือ, คุย ชื่อวิทยาศาสตร์ Willughbeia edulis Roxb. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Ancylocladus cochinchinensis Pierre) จัดอยู่ในวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) สมุนไพรเถาคุย มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า กะตังกะติ้ว (ภาคกลาง), หมากยาง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, สุรินทร์, ศรีสะเกษ, อุบลราชธานี), ตังตู้เครือ (ลำปาง), คุยกาย, คุยช้าง (ปราจีนบุรี), คุยหนัง (ระยอง, จันทบุรี), อีคุย (ปัตตานี), โพล้พอ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), อากากือเลาะ (มลายู-ปัตตานี), ต้นคุย เถาคุย เครือ (ไทย), เครือยาง, บักยาง เป็นต้น
ไม้เถาคุยเนื้อแข็ง รอเลื้อยขนาดใหญ่ มีมือเกาะ เลื้อยได้ไกล 10-15 เมตร แตกกิ่งจำนวนมาก เปลือกต้นสีน้ำตาล ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางสีขาวขุ่น ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรี รูปไข่กลับ ผลเดี่ยวแบบผลสดมีเนื้อหลายเมล็ด ทรงกลมหรือรูปไข่ ขนาด 5.8-7.2 ซม. เปลือกผลค่อนข้างหนา สีเขียว ผิวเกลี้ยง เมื่อสุกสีเหลืองถึงส้ม มีน้ำยางสีขาวมาก ก้านผลยาว 0.8-1.2 ซม. มีขนเล็กน้อย เมล็ดรูปไข่ กว้าง 1.2-1.6 ซม. ยาว 1.9-2.8 ซม. เนื้อผลลื่นติดกับเมล็ด เปลือกหุ้มผลมีน้ำยางมาก ลักษณะเหนียวสีขาว มีเมล็ดประมาณ 1-3 เมล็ด ผลสุกรับประทานได้มีรสเปรี้ยวอมหวาน ออกดอกราวเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ติดผลราวเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน พบตามป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น ป่าเบญจพรรณ
สรรพคุณทางยา
- ตำรายาไทย เถา มีรสฝาด แก้ประดงเข้าข้อ ลมขัดในข้อ ในกระดูก แก้มือเท้าอ่อนเพลีย ต้มดื่มแก้บิด แก้ตับพิการ แก้คุดทะราด ราก รสฝาด แก้มือเท้าอ่อนเพลีย ต้มดื่มแก้โรคบิด แก้เจ็บคอ เจ็บหน้าอก เปลือกต้น รสฝาด ต้มดื่มแก้ปวดศีรษะ ยาง รสฝาดร้อน ทาแผล แก้คุดทะราด แก้เท้าเป็นหน่อ ผลดิบ รสเปรี้ยวฝาด ผลแห้งย่างไฟ บดทาแผล
- ยาพื้นบ้านอีสานใช้ ลำต้น ผสมลำต้นม้ากระทืบโรง ต้มน้ำดื่ม บำรุงกำลัง เป็นยาอายุวัฒนะ เปลือก รักษาอาการปวดศีรษะ ราก ต้มกินรักษาโรคบิด น้ำยางใช้ทำกาวดักจับแมลงได้ เช่น จักจั่น โดยนำน้ำยางของพืช 3 ชนิด คือ ยางไทร ยางมะเดื่อหรือยางขนุน และยางเถาคุย มาผสมในอัตราส่วนเท่าๆ กัน จากนั้นเติมน้ำมันก๊าดหรือน้ำมันโซล่า แล้วนำไปเคี่ยวจนกระทั่งน้ำยางข้นเหนียว ทิ้งไว้ให้เย็นจึงนำมาใช้ได้ ลำต้น ใช้แทนเชือกมัดสิ่งของ ผลสุก มีรสเปรี้ยว รับประทานได้ หล่อลื่นลำไส้ ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก
- หมอยาพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานีใช้ เถา ต้มน้ำดื่ม แก้อัมพฤกษ์ อัมพาต
- ยาพื้นบ้านภาคกลางใช้ ลำต้น ผสมสมุนไพรอื่น ต้มน้ำดื่ม แก้ลมคั่งข้อ
- ยาพื้นบ้านภาคใต้ใช้ ลำต้น ต้มน้ำดื่ม แก้น้ำเหลืองเสีย รักษาโรคคุดทะราด แก้ลมขัดในข้อกระดูก แก้มือเท้าอ่อนเพลีย แก้ตับพิการ

บักยางต้น
หมากยาง, ลูกน้ำนม, หมากน้ำนม (Star apple) วงศ์ SAPOTACEAE มีชื่อวิทยาศาสตร์ : Chrysophyllum cainito ชื่อสามัญของลูกน้ำนมมีหลายชื่อเช่น cainito, caimito, star apple, golden leaf tree, abiaba, pomme dulait, estrella, milk fruit, aguay มีชื่อเรียกในท้องถิ่นอื่นๆ ว่า สตาร์แอปเปิ้ล, แอปเปิ้ลน้ำนม, แอปเปิ้ลเมือง (เชียงใหม่), บักยาง, หมากน้ำนม,แอปเปิ้ลป่า ภาษาเวียดนามเรียกว่า vú sữa (วู้ เสือ) ภาษาเขมรเรียกว่า ផ្លែទឹកដោះ (พฺลา͜เอตึกเดาะห) ในเวียดนาม พันธุ์ที่มีชื่อเสียงมากคือ Lò Rèn มาจากจังหวัดเตี่ยนซาง ในเซียร์ราลีโอน เรียกว่า "Bobi wata" ในลาวเรียก หมากน้ำนม บางพื้นที่เรียก หมากยาง สปีชีส์ใกล้เคียงเรียก สตาร์แอปเปิล พบในทวีปแอฟริกา เช่น C. albidum และ C. africanum
ถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศปานามา กระจายไปปลูกเป็นไม้ผลในประเทศเมกซิโก ทวีปอเมริกากลาง ประเทศจาไมกา เปอร์โตริโก และฮอนดูรัส ในหมู่เกาะเวสอินดีส ประเทศเปรู และเวเนซูเอลล่า ในทวีปอเมริกาใต้ คำเรียกชื่อ cainito เป็น ภาษามายันโบราณ หมายถึงเนื้อในของผลที่มีสีขาว รสหวาน และเหนียวเป็นวุ้นคล้ายน้ำนม ต้นมีรูปทรงสวยงาม แผ่นใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ตัดกับแผ่นใบด้านล่างที่เป็นสีทองแปลกตา ทำให้เป็นที่นิยมใช้ปลูกตกแต่งสวนทั่วไปในประเทศเขตร้อน
เป็นพืชพื้นเมืองของฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว เป็นไม้ยืนต้น ใบเดี่ยว ยาวรี หน้าใบเป็นมัน เขียวเข้ม หลังใบเป็นสีแดง เป็นมัน ดอกออกเป็นช่อ ตามซอกใบ สีเขียวอมเหลือง หรือชมพูอมขาว กลื่นหอม ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม หรือกลมแป้น สีของเปลือกผลมีทั้งที่เป็นสีเขียว และสีม่วงแดง ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ เมื่อสุกจะกลายเป็นสีม่วงเข้มจนถึงสีเกือบดำ เปลือกผลหนา นุ่ม มีน้ำยางสีขาวขุ่น ภายในผลมีเนื้อนุ่มๆ สีขาว หรือสีขาวอมม่วง และมีเยื่อสีขาวใสหุ้มเมล็ดอยู่เป็นพู คล้ายผลมังคุด มีกลิ่นหอม รสหวานอร่อย และมีเมล็ดสีดำมันวาวอยู่ภายในเยื่อหุ้มเมล็ด ประมาณ 3-5 เมล็ด กินเป็นผลไม้สด ผลของลูกน้ำนมมีสารต้านอนุมูลอิสระ เปลือกต้นเป็นยาบำรุงและยาชูกำลัง ยาต้มจากเปลือกใช้เป็นยาแก้ไอ
ประโยชน์ของสตาร์แอปเปิ้ล
- ผลของลูกน้ำนมมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เนื้อผลที่สุกคือส่วนที่รับประทานสดได้รสออกหวาน
- เปลือกต้นนำมาต้มเป็นยาบำรุง ยาชูกำลังและยาแก้ไอ

บักเบ็น
บักเบ็น, หมากเบ็น, ตะขบยักษ์ ชื่อสามัญ : ตะขบป่า ชื่อวิทยาศาสตร์ : Flacourtia indica (Burm.f.) Merr. ชื่อวงศ์ : SALICACEAE มีชื่อเรียกในถิ่นอื่นๆ ว่า ตะขบยะกษ์ หรือ หมักเบ็น, เบนโคก, ตานเสี้ยน, มะแกว๋นนก, มะแกว๋นป่า, มะเกว๋น, ตะเพซะ, บีหล่อเหมาะ, ตุ๊ดตึ๊น, ลำเกว๋น, มะขบ
เป็นไม้ต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 5-10 เมตร เปลือกต้นมีหนามแหลม แข็ง ขึ้นตามต้นและกิ่ง เปลือกต้นมีสีเทาปนน้ำตาล เปลือกแตกเป็นสะเก็ดแผ่นบาง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ มักออกหนาแน่นบริเวณปลายกิ่ง ใบรูปไข่กลับ โคนใบสอบ ปลายใบมน ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย ผิวใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร ดอกเป็นดอกช่อ ออกเป็นกระจุกบริเวณซอกใบหรือตากิ่ง ดอกมีสีขาว ผล เป้นผลเดี่ยว มีลักษณะกลม ขนาดประมาณเท่านิ้วมือ ผลอ่อนสีเขียวมีรสฝาด ผลสุกสีแดงหรือแดงปนม่วง รสหวานปนฝาด
สรรพคุณทางยาของหมากเบ็น
- แก่นเป็นยาแก้ท้องเสีย
- แก่นและรากต้มดื่ม
- รากเป็นยาบำรุงไต
- ผลนำมาใช้เป็นยาฝาดสมานได้

บักหาด
บักหาด, มะหาด ชื่อวิทยาศาสตร์: Artocarpus lacucha เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ Moraceae ในแต่ละภูมิภาค มะหาดจะมีชื่อเรียกต่างๆ กันกล่าวคือ ภาคเหนือเรียก "หาดหนุน" ในจังหวัดเชียงใหม่เรียก "ปวกหาด" ภาคกลางเรียก "หาด" ภาคอีสาน เรียก บักหาด, มะหาด, แพล สัมเปือร (สุรินทร์) ทางภาคใต้เรียก "มะหาด" ในจังหวัดตรังเรียก "มะหาดใบใหญ่" และตั้งแต่จังหวัดนราธิวาสถึงประเทศมาเลเซีย เรียก "กาแย , ตะแป , ตะแปง"
ต้นกำเนิดจากภูมิภาคเอเชียใต้ นิยมปลูกเอาไว้ใช้ประโยชน์ทุกส่วนของต้น สามารถเจริญเติบโตได้ในดินทราย, ดินร่วนปนทราย, ดินร่วน และ ดินเหนียว มีความทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดีมาก ชอบบริเวณที่มีความชื้นสูงและแสงแดดเข้าถึงได้น้อย มักขึ้นกระจายตามป่าดิบทั่วไป ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล 100-1,800 เมตร
เป็นพันธุ์ไม้ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดของจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อให้นำไปปลูกเป็นสิริมงคลแก่จังหวัด และเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนปลูกต้นมะหาด ในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดกาฬสินธุ์
ประโยชน์ของมะหาด
- ต้นมะหาด ที่สามารถนำมาใช้ผลประโยชน์ได้นั้นจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 5 ปี
- เนื้อไม้ - ใช้ทำเสา หมอนรองรางรถไฟ สะพาน ด้ามเครื่องมือทางการเกษตร ผืนระนาดเอก ผืนระนาดทุ้ม และลูกโปงลาง เป็นไม้เนื้อหยาบ แข็ง เหนียวและทนทาน ปลวกและมอดไม่ขึ้น สามารถเลื่อย, ไส, ตบแต่งได้ง่าย
- แก่น - ใช้แก่นมะหาดสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มเคี่ยวกับน้ำจนเกิดฟอง ช้อนฟองออก กรองกับผ้าขาวบาง พักสะเด็ดน้ำ แล้วนำมาตากให้แห้งหรือย่างกับไฟ นำมาบดจะได้ผงสีเหลืองเรียกว่า "ปวกหาด" ใช้ผงประมาณ 3-4 กรัมหรือ 1-2 ช้อนชา ผสมกับน้ำสุกที่เย็นแล้ว สามารถผสมน้ำมะนาวลงไปด้วย รับประทานก่อนอาหารเช้า หลังปวดหาดไปแล้ว 2 ชั่วโมง ให้รับประทานดีเกลือตาม เพื่อถ่ายตัวพยาธิออกมา สามารถทานแก้อาการท้องผูก, ท้องอืด, ท้องเฟ้อได้หรือนำผงปวกหาดมาละลายกับน้ำ ทาแก้ผื่นคัน
- ราก - ใช้ลดอาการไข้ แก้กระษัยเส้นเอ็น ขับถ่ายพยาธิ แก้พิษร้อน ใช้ย้อมสีผ้า (ให้สีเหลือง)
- เปลือก - ใช้ลดอาการไข้ และนำไปทำเชือก
- ผลไม้ - เมื่อสุกสามารถรับประทานได้ เนื้อเยื่อหุ้มเมล็ดมีรสเปรี้ยวอมหวาน สารสกัด - ลดอาการผมร่วง กระตุ้นการงอกของเส้นผม แก้โรคเริม ช่วยทำให้โรคผิวหนังค่อย ๆ หายไป ลดความคล้ำของเม็ดสีผิว

หมากก้นครก
หมากก้นคก, บักก้นคก, หมากก้นครก หรือ กล้วยเต่า มีชื่อวิทยาศาสตร์ Polyalthia debilis Finet & Gagnep. ในวงศ์ ANNONACEAE มีชื่อเรียกในภาษาภาคอื่นๆ ว่า ไข่เต่า (เชียงใหม่), ก้นครก (มหาสารคาม, ยโสธร), กล้วยตับเต่า กล้วยเต่า (ราชบุรี), ไข่เต่า ตับเต่า ตับเต่าน้อย (ภาคเหนือ), รกคก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) เป็นต้น
เป็นไม้พุ่มเตี้ย ในหนึ่งพุ่มหรือหนึ่งกอ จะมีหลายๆ ลำต้นเกิดอยู่ด้วยกัน แต่ที่เป็นต้นเดี่ยวก็มีเช่นกัน ลักษณะใบ บรรยายยาก จึงไม่ขอบรรยาย (ใบคล้ายๆ ใบต้องแล่ง) หมากก้นคก ผลดิบสีเขียว ผลสุกสีเหลืองอมเขียว ผลดิบ รสฝาด ผลสุก โดยทั่วไปรสชาติหวานอมฝาดนิดๆ แต่หากสุกงอมจริงๆ อาจไม่เหลือรสฝาดเลยก็มี หมากก้นคก แม้จะให้ความอร่อยได้ไม่จุใจ ให้ความอิ่มได้ไม่เต็มท้อง แต่นั่นคือ ผลไม้ป่าละเมาะ ที่ให้ความสุขเล็กๆ น้อยๆ แก่เด็กๆ
ประโยชน์ของก้นครก กล้วยเต่า
- ผลใช้รับประทานได้ ทั้งผลอ่อนและผลสุก ผลสุกมีสีเหลือง มีรสหวาน (ในส่วนของเนื้อหุ้มเมล็ด) สามารถนำมารับประทานได้
- ใช้เป็นอาหารสัตว์ของโค กระบือ คุณค่าทางอาหารที่พบจะมีโปรตีน 12.5%, แคลเซียม 0.39%, ฟอสฟอรัส 0.22%, โพแทสเซียม 1.23%, ADF 45.9%, NDF 58.4%, DMD 30.9%
สรรพคุณทางยาของก้นครก กล้วยเต่า
- รากก้นครก ใช้ต้มดื่มเพื่อขับน้ำนม นิยมใช้ร่วมกับแก่นต้นหมากเบน (ตะขบป่า) และรากหนามแท่ง
- ราก มีรสเย็น แก้ตัวร้อนดับพิษไข้ทั้งปวง ดับพิษตานซาง แก้วัณโรค ต้มดื่มแก้ปวดท้อง
- ทางภาคอีสานจะใช้เหง้า เปลือก และเนื้อไม้กล้วยเต่า นำมาใช้เป็นยาแก้ท้องเสียในเด็ก ถ่ายกะปริบกะปรอยเป็นมูกเลือด
- ชาวบ้านในจังหวัดยโสธร จะใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคกระเพาะ
ข้อควรระวัง : ตามพุ่มไม้ต้นก้นครกอาจมีรังแตน เช่น แตนขี้หมา และแตนราม เป็นต้น ดังนั้น การเปิดหาหมากก้นครกมากิน จึงควรใช้ลำไม้ยาวๆ หรือไม้ตีควาย ช่วยเปิดหา มิเช่นนั้น ท่านอาจถูกแตนตอดได้ (แตนตอด = แตนต่อยได้ 😅😂🤣)

บักไฟ
บักไฟ ชื่อที่ชาวอีสานเรียก หรือในภาษากลางคือ มะไฟ ชื่อสามัญ Burmese grape ชื่อวิทยาศาสตร์ Baccaurea ramiflora Lour. จัดอยู่ในวงศ์ EUPHORBIACEAE มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น บ่าไฟ (ภาคเหนือ) มะไฟ (ภาคกลาง) บักไฟ (ภาคอีสาน) แซเครือแซ (ภาคใต้)
มะไฟ จัดเป็นพืชพื้นเมืองของอินโดนีเซีย โดยปลูกกันแพร่หลายในอินเดีย และมาเลเซีย และยังพบได้ทั่วไปตามในแถบเอเชีย มะไฟเป็นไม้ยืนต้น มีผลออกเป็นช่อ ผลอ่อนของมะไฟมีขนคล้ายกำมะหยี่ ถ้าผลแก่ผิวจะเกลี้ยง มีเปลือกสีเหลือง เนื้อมีสีขาวหรือขาวใสอมชมพู แล้วแต่สายพันธุ์ที่ปลูก ส่วนเมล็ดจะแบนและมีสีน้ำตาล ภายในมี 1-4 เมล็ด ผลสุกช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน
พันธุ์ที่นิยมปลูกทั่วไปได้แก่ พันธุ์เหรียญทอง (ผลใหญ่ ก้นเรียบ มีเนื้อสีขาว), พันธุ์ไข่เต่า (ผลกลมรี ก้นแหลม เนื้อขาวอมชมพู หวานอมเปรี้ยวมากกว่าพันธุ์เหรียญทอง) และอีกสายพันธุ์คือมะไฟสีม่วง โดยเปลือกจะมีสีม่วง (ประเทศจีน) ผลมะไฟสุกจะมีรสเปรี้ยวอมหวานและมีกรดอินทรีย์อยู่หลายชนิด รวมไปถึงวิตามินซี น้ำตาล และอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย นิยมรับประทานเป็นผลไม้สดหรือนำไปทำเป็นน้ำผลไม้ นอกจากผลของมะไฟที่มีประโยชน์แล้ว ส่วนอื่นๆ ของมะไฟก็ยังมีประโยชน์อีกด้วย เช่น ใบของมะไฟและรากสด-แห้ง ต่างก็มีประโยชน์เช่นกัน โดยมีสรรพคุณในการรักษาโรคและอาการต่างๆ ได้
สรรพคุณของมะไฟ
- ผล รับประทานช่วยทำให้ชุ่มคอ ใช้เป็นยาช่วยย่อย รักษาอาการอาหารไม่ย่อย ผลช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
- ใบ ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ช่วยแก้โรคหวัด ช่วยแก้ไข้มาลาเรีย ช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยรักษากลาก เกลื้อน และโรคเรื้อน ช่วยแก้พิษฝี
- รากสดหรือรากแห้ง ช่วยขับเสมหะและช่วยละลายเสมหะ ช่วยดับพิษร้อน ช่วยแก้อาการผิวหนังอักเสบชนิดที่เป็นถุงน้ำและลอกออกมา ช่วยแก้ฝีภายใน ช่วยบรรเทาอาการไข้ที่มีอาการปวดข้อ ปวดเข่า และมีผื่นคล้ายลมพิษ หรือ “ไข้ประดง” ช่วยรักษาโรคเริม แก้วัณโรค ใช้แก้พิษตานซาง
- ราก นำไปต้มกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ แก้อาการท้องร่วง
- เมล็ด ช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง
- เปลือก มะไฟต้มใช้แก้โรคผิวหนัง
![]()
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Food
- Hits: 1224

นำเสนอ 'ผลไม้อีสานหายาก' ที่บางคนลืมเลือนไปในตอนที่แล้ว เกินความคาดหมายมากครับ แค่วันแรกมีคนคลิกเข้ามาอ่านมากกว่า 150 ครั้ง แล้วยังมีจดหมายก้อมส่งมาว่า "ขออีกๆ ๆ" เลยต้องจัดให้ตามคำขอเป็นตอนที่ 2 ใครมีข้อมูลเพิ่มเติมจะชี้แนะก็ช่วยบอกมานะขอรับ ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง
หมากต้องแล่ง | ลูกหว้า | บักหวดข่า | บักเค็ง | บักค้อ | บักพีพ่วน | หมากส้มมอ | บักเกลือ

หมากต้องแล่ง อีกหนึ่งผลไม้ที่นับวันจะถูกลืม
หมากต้องแล่ง หรือ นมน้อย ภาษาเขมรท้องถิ่นสุรินทร์เรียกว่า "แพล กำ ปร๊อก" ที่อื่นๆ มีชื่อเรียกต่างออกไปอีก เช่น น้ำเต้าแล้ง (นครราชสีมา) น้ำน้อย (เลย) ต้องแล่ง (มหาสารคาม) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Polyalthia evecta (Pierre) Finet & Gagnep. ชื่อวงศ์ Annonaceae
ในช่วงฤดูทำนาหรือหน้าฝน สมัยยังเป็นเด็กน้อย เมื่อพาควายไปเลี้ยงแถวชายป่า เพราะพื้นที่นามีข้าวกำลังงามจึงปล่อยเลี้ยงไม่ได้เดี๋ยวมันจะกินต้นข้าวแทนหญ้า ผูกควายให้เชือกยาวพอมันหากินหญ้าได้แต่ไม่ถึงนาข้าว ผู้เขียนก็มักจะเดินเสาะหาผลไม้ป่ามากิน หนึ่งในนั้นคือ หมากต้องแล่ง นั่นเอง
หมากต้องแล่ง หรือบ้างก็ว่า บักต้องแล่ง เป็นไม้พุ่มเตี้ย ในหนึ่งพุ่มหรือหนึ่งกอจะมีหลายๆ ลำต้นเกิดอยู่ด้วยกัน แต่ที่เป็นต้นเดี่ยวก็มีเช่นกัน หมากต้องแล่งออกลูกเป็นพวง พวงหนึ่งจะมีหลายๆ ลูกประมาณ 4-30 ลูก หมากต้องแล่งมีผลเล็ก ทรวดทรงกลม โตประมาณ 5-6 ม.ม. ผลดิบสีเขียว ผลสุก สีแดง ผลสุกรสชาติหวาน ซึ่งในหนึ่งลูกจะมีเนื้อให้กินหวานอร่อยจริงๆ นิดเดียว ที่เหลือคือ เมล็ด หนึ่งลูกจะมีหนึ่งเมล็ด โดยปกติไม่นิยมกินเมล็ด แต่บางคนก็เคี้ยวกินทั้งเมล็ดก็มี
หมากต้องแล่ง แม้จะให้ความอร่อยได้ไม่จุใจ ให้ความอิ่มได้ไม่เต็มท้อง แต่นั่นคือ ผลไม้ป่าละเมาะ ที่ให้ความสุขเล็กๆ น้อยๆ แก่เด็กๆ บ้านๆ อย่างเราครับ
ข้อควรระวัง : ตามพุ่มต้นต้องแล่ง อาจมีรังแตน เช่น แตนขี้หมา และแตนราม เป็นต้น ดังนั้น การเปิดหาหมากต้องแล่ง ควรใช้ลำไม้ยาวๆ หรือไม่ตีควาย ช่วยเปิดหา มิเช่นนั้น ท่านอาจถูกแตนตอดได้ (แตนตอด = แตนต่อย)
สรรพคุณของหมากต้องแล่ง
- ยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี ใช้ ราก เข้ายากับเครือไส้ไก่ และตะไคร้ป่า ต้มน้ำดื่ม แก้โรคกระเพาะอาหาร เข้ากับรากลกคก และรากหุ่นไห้ ต้มน้ำดื่ม ช่วยบำรุงน้ำนมหญิงหลังคลอด
- ยาพื้นบ้านจังหวัดมุกดาหาร ใช้ ราก แก้ฝีภายใน
- ยาพื้นบ้านจังหวัดอำนาจเจริญ ใช้ ราก แก้ร้อนใน ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ปวดเมื่อย ต้มรากดื่มขณะอยูไฟหลังคลอดบุตร
- ยาพื้นบ้านที่อื่นๆ ใช้ ราก ต้มน้ำดื่ม แก้กล้ามเนื้อท้องเกร็ง บำรุงน้ำนม แก้ปวดเมื่อย

ลูกหว้า
ลูกหว้า หรือ หมากหว้า (Syzygium cumini) นั้นอาจจะเป็นผลไม้ที่ไม่ค่อยคุ้นชื่อ หรือคุ้นหูกันเท่าไหร่นัก เพราะเป็นผลไม้ที่กำลังจะสูญพันธุ์ แต่ในภาคอีสานนั้นเริ่มมีการนำลูกหว้า หรือหมากหว้ามาเริ่มปลูกขยายพันธุ์กันมากขึ้น ด้วยคุณประโยชน์และสรรพคุณในลูกหว้านั้นมีมากพอสมควร
หว้า ชื่อสามัญ Jambolan plum, Java plum, Jambul มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Syzygium cumini (L.) Skeels จัดอยู่ในวงศ์ชมพู่ MYRTACEAE มีชื่อเรียกอื่นๆ ว่า หว้า หว้าป่า หว้าขาว หว้าขี้นก หว้าขี้แพะ แต่สำหรับชาวฮินดูจะเรียกลูกหว้านี้ว่า “จามาน” หรือ “จามูน” ต้นหว้าจัดเป็นพันธุ์ไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดในประเทศบังคลาเทศ อินเดีย เนปาล ปากีสถาน ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย แต่สำหรับในประเทศไทยเรานั้น ต้นหว้าเป็นพันธุ์ไม้พระราชทาน และเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเพชรบุรี และยังถือว่าต้นหว้าเป็นไม้มงคลในเรื่องของความสำเร็จและชัยชนะอีกด้วย
ลูกหว้า เป็นผลไม้ที่เราอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกันเท่าไหร่ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ผลไม้ชนิดนี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะลูกหว้านั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอย่างวิตามินซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม และคาร์โบไฮเดรต ซึ่งถือว่ามีประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพ โดยนิยมนำผลสุกมารับประทานเป็นผลไม้ (ผลสุกจะมีลักษณะสีม่วงและดำ มีรสออกเปรี้ยวอมหวานและอมฝาด) และใช้ทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
นอกจากนี้ ลูกหว้า ยังมีสรรพคุณใช้เป็นยารักษาโรคและอาการต่างๆ อีกด้วย ด้วยการนำใบและเปลือกของต้นหว้ามาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย โดยจะมีสรรพคุณที่ค่อนข้างหลากหลาย เช่น ช่วยย่อยอาหาร ช่วยลดการจับตัวของลิ่มเลือด มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านโรคมะเร็ง เป็นต้น
สรรพคุณของลูกหว้า
- ประโยชน์ทางยา ใช้เปลือก มีรสฝาดรับประทานเป็นยาแก้บิด ต้มในน้ำเดือด แล้วอมแก้ปากเปื่อย คอเปื่อยและเป็นเม็ดแก้น้ำลายเหนียว
- แพทย์พื้นบ้าน ใช้ใบและผล แก้บิดและท้องร่วง แก้ถ่ายเป็นมูกเลือด ต้มใบและผลในน้ำเดือด รับประทานหลังมีอาการ
- เมล็ดในลูกหว้า แก้ปัสสาวะมาก แก้ท้องร่วงและบิด และถอนพิษแสลงใจ (พิษแสลงใจ หมายถึงอาการใจหวิว ใจสั่น หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ) ต้มในน้ำเดือด รับประทานหลังมีอาการ
- ใช้ใบและเมล็ดหว้า นำมาต้มหรือบดให้ละเอียด แล้วนำมารับประทานเพื่อรักษาอาการของโรคเบาหวานได้ เนื่องจากมีสารชนิดหนึ่งที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
- ใบและเมล็ดหว้า นำมาตำให้แหลกแล้วใช้ทารักษาโรคผิวหนังได้ หรือนำน้ำที่ได้มาล้างแผลเน่าเปื่อยได้
การใช้หว้าปรุงอาหาร
ยอดอ่อนของหว้าสามารถนำมารับประทานเป็นผักสดได้ ผลอ่อนมีสีแดง เมื่อผลแก่จัด มีสีดำม่วง รับประทานเป็นของหวาน และใช้ทำเป็นเครื่องดื่มหรือไวน์ได้ ส่วนน้ำจากลูกหว้าถือเป็น "น้ำปานะ" ที่พระพุทธองค์ทรงมีพุทธานุญาตแก่พระภิกษุให้ฉันยามกาลิกได้ (ของที่พระภิกษุสงฆ์รับประเคนไว้แล้ว ฉันในช่วงหลังเที่ยงวันได้ทั้งวัน ทั้งคืนจนถึงก่อนรุ่งเช้า)
ข้อควรระวังในด้านรับประทานลูกหว้า
แม้ลูกหว้าจะมีประโยชน์หลายอย่าง แต่ในการนำมารับประทานก็มีข้อควรระวัง ดังนี้
- สตรีมีครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานลูกหว้าเพื่อสรรพคุณทางยา เนื่องจากยังไม่ปรากฏหลักฐานทางการแพทย์ที่เพียงพอจะยืนยันความปลอดภัยของการใช้ลูกหว้ารักษาปัญหาสุขภาพในสตรีมีครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตร
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องการรับประทานลูกหว้า ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อความปลอดภัยในการบริโภค เนื่องจากลูกหว้าดิบ 100 กรัม ให้พลังงานถึง 60 กิโลแคลอรี

บักหวดข้า
บักหวดข่า หรือ มะหวดป่า ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lepisanthes rubiginosa (Roxb.) Leenh. อยู่ในวงศ์ Sapindaceae เป็นไม้พุ่มผลัดใบ หรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 15 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาล แตกเป็นร่องตามยาว กิ่งก้านมีขนละเอียด เมื่อยังอ่อนอยู่มีขนสั้นๆ กิ่งแขนงรูปทรงกระบอกเป็นร่อง ทรงพุ่มกลมหรือรูปไข่ มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น สีหวด (นครราชสีมา) กำซำ กะซ่ำ มะหวด (ภาคกลาง) ชันรู มะหวดบาท มะหวดลิง (ภาคตะวันออกเฉียงใต้) กำจำ (ภาคใต้) ซำ (ทั่วไป) นำซำ มะจำ (ภาคใต้) มะหวดป่า หวดคา (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) สีฮอกน้อย หวดลาว (ภาคเหนือ) หวดฆ่า (อุดรธานี) ภาษาเขมรท้องถิ่นไทยเรียกว่า "จันลุ ปรีย์" ผลสุกรสชาติค่อนข้างหวานกว่าพันธุ์ทั่วไป ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด และวิธีการทำกิ่งตอน เจริญเติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิด ชอบดินทุกชนิดที่ระบายน้ำได้ดี ชอบแสงแดดจัด ออกดอกราวเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ติดผลราวเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม
สรรพคุณของมะหวด
- ตำรายาไทย ราก รสเมาเบื่อสุขุม รักษาอาการไข้ ตำพอกศีรษะแก้อาการไข้ปวดศีรษะ ตำพอกรักษาผิวหนังผื่นคัน แก้พิษฝีภายใน ขับพยาธิ วัณโรค แก้พิษร้อน แก้กระษัยเส้นเอ็น ต้มน้ำดื่ม แก้เบื่อเมา
- รากผสมกับสมุนไพรอื่น ต้มน้ำดื่ม แก้ซาง (โรคของเด็กเล็ก มีอาการเบื่ออาหาร ซึม มีเม็ดขึ้นในปากและคอ ลิ้นเป็นฝ้า)
- เปลือกต้น บำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ แก้บิด สมานแผล ใบ แก้ไข้ ผสมกับสมุนไพรอื่น ต้มน้าดื่มแก้ซาง ใบอ่อน รับประทานเป็นผักได้ ชาวบ้านใช้ใบรองพื้นและคลุมข้าวที่จะใช้ทำขนมจีนเพื่อกันบูด
- ผล บำรุงกำลัง แก้ท้องร่วง ผลสุก มีรสจืดฝาด ถึงหวาน รับประทานเป็นผลไม้ แก้ท้องร่วง เมล็ด รสฝาด ต้มดื่มแก้ไข้ซาง แก้ไอกรน แก้ไอหอบในเด็ก แก้ไอเรื้อรัง บำรุงเส้นเอ็น

บักเค็ง
หมากไม้ ที่ผู้เขียนจดจำได้ดีด้วยความที่กินเข้าไปมากแล้วท้องผูกเสียหลายวัน ลำบากในการขับถ่าย (เรื่องนี้แล้วแต่คนนะครับ บางคนอาจจะปกติดีไม่มีปัญหา) หมากเค็ง, บักเค็ง หรือ เขลง (Velvet tamarind) ชื่อวิทยาศาสตร์ Dialium cochinchinense pierre ชื่อวงศ์ LEGUMINOSAE – CAESALPINIOIDEAE มีชื่อเรียกอื่นๆ อีกมากมาย เช่น : นางดำ หยี แคง แค็ง หมากแข้ง ฯลฯ พบตามป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณชื้นทั่วไปในภาคตะวันออก ภาคอีสาน ภาคใต้
ต้นหมากเค็ง เป็นไม้ต้น สูง 15-30 เมตร ใบประกอบแบบขนนก ปลายคลี่ เรียงสลับ ใบรูปไข่ถึงรูปรี กว้าง 1.5-4.5 เซนติเมตร ยาว 4-7 เซนติเมตร ปลายทู่ถึงแหลม โคนมนถึงค่อนข้างสอบ ขอบเรียบ ผิวใบเกลี้ยงหรือมีขนเล็กน้อย ดอกเล็กสีขาว ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ตามปลายกิ่ง ผลกลมรี ผลสุกสีดำ มีเมล็ดเดียว เป็นผลไม้พื้นบ้านที่พบเห็นได้ตามตลาดท้องถิ่นริมทางช่วงที่ผลสุก
ประโยชน์และสรรพคุณ
- ผลดิบใช้ต้มเป็นน้ำดื่มแก้ไข้ ร้อนใน ผลอ่อนนำมาต้มกิน
- ยอดอ่อนนำมาจิ้มน้ำพริกได้ ส่วนผลสุกสีดำ รสชาติหวานปนฝาด
- เนื้อไม้นำมาทำเครื่องมือการเกษตรก่อสร้าง เปลือกและแก่นใช้ย้อมสีให้สีน้ำตาลอมแดง

บักค้อ
หมากไม้ที่ผู้เขียนจดจำ ชื่นชอบ ในวัยเด็กจนวัยรุ่นๆ ไปเลี้ยงวัว-ควายในทุ่งนาต้องหา "ต้นบักค้อ" เพื่อปีนป่ายเก็บเอาลูกค้อมาเพื่อกินกับน้ำปลาแดกพริกป่น แซ่บบักคัก แต่ทรมานหลายถ้าผู้ใดหลงกลืนกินเมล็ดไปด้วย เพราะจะทำให้ขับถ่ายลำบาก (ขี้แข็ง จนต้องใช้ไม้จิ้มช่วยแงะออกพุ้นแล้ว จำจนตายไม่รู้ลืม) ตามภาพประกอบด้านบน
บักค้อ หรือ ตะคร้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ : Schleichera oleosa (Lour.) Oken ชื่อวงศ์ : SAPINDACEAE มีชื่ออื่นๆ : กาซ้อง, คอส้ม (เลย) เคาะ (นครพนม, พิษณุโลก) ค้อ (กาญจนบุรี) เคาะจ้ก, มะเคาะ, มะจ้ก, มะโจ้ก (ภาคเหนือ) ตะคร้อไข่ (ภาคกลาง) ซะอู่เสก (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) กาซ้อ, คุ้ย (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) ปั้นรั้ว (เขมร-สุรินทร์) ปั้นโรง (เขมร-บุรีรัมย์) บักค้อ, ตะค้อ, หมากค้อ เป็นต้น ต้นกำเนิดของตะคร้อกระจายพันธุ์อยู่ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย ในต่างประเทศสามารถพบได้ที่ประเทศอินเดีย ศรีลังกา ภูมิภาคอินโดจีนและอินโดนีเซีย
เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีความสูงของต้นประมาณ 15-25 เมตร แตกกิ่งก้านต่ำ เรือนยอดมีลักษณะเป็นทรงพุ่มแผ่กว้าง กิ่งก้านมักคดงอ ลำต้นเป็นปุ่มปมและพูพอน เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลแดงหรือเป็นสีน้ำตาลเทา เปลือกแตกเป็นสะเก็ดหนา ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ปลายใบออกเป็นคู่ออกเรียงเวียนสลับเป็นกลุ่มตามปลายกิ่ง ใบย่อยติดเรียงตรงข้ามหรืออาจเยื้องกันเล็กน้อยประมาณ 1-4 คู่ ออกดอกเป็นช่อปลายยอดหรือตามซอกใบ ช่อดอกมีความยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร และช่อดอกมีลักษณะเป็นพวงแบบหางกระรอกห้อยลง
ผลเป็นรูปทรงกลม มีขนาดประมาณ 2-3 เซนติเมตร ปลายผลเป็นจะงอยแหลมและแข็ง เปลือกผลหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวผลเกลี้ยงเป็นสีเขียวอมน้ำตาลหรือเป็นสีน้ำตาล ภายในผลมีเมล็ด 1-2 เมล็ด มีเนื้อหุ้มเมล็ดใสสีเหลือง ลักษณะฉ่ำน้ำ และมีรสเปรี้ยว ใช้รับประทานได้ โดยจะออกผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนกรกฎาคม
ประโยชน์ของบักค้อ
- เนื้อไม้ใช้ในอุตสาหกรรมไม้ ทำฟืนและถ่าน
- เปลือก ใช้ย้อมสี
- ใบอ่อน กินเป็นผัก
- ผลกินเป็นยาระบาย
สรรพคุณทางยาของบักค้อ
- เปลือกต้น เป็นยาสมานท้อ
- ราก เปลือกราก หรือทั้งห้าส่วนเป็นยาแก้กษัย
- ใช้ใบเป็นยาแก้ไข้ โดยใบแก่นำมาขยี้กับน้ำแล้วนำมาเช็ดตัว

บักพีพ่วน
บักพีพ่วน หรือ หมากผีผวน หรือ ลูกนมวัว ชื่อวิทยาศาสตร์ : Uvaria rufa Blume ชื่อวงศ์ : Annonaceae และมีชื่ออื่นๆ อีกมากมายหลายชื่อ มีตั้งแต่ นมควาย (ภาคใต้), นมแมวป่า (เชียงใหม่), หำลิง (ตะวันออกเฉียงเหนือ), ติงตัง (นครราชสีมา), ตีนตั่งเครือ (อุบลฯ ศรีสะเกษ), พีพวน (อุดรธานี), สีม่วน (ชัยภูมิ) เป็นไม้ในตระกูลกระดังงา พบทั่วไปตามป่าเบญจพรรณ
มีลักษณะเป็นไม้พุ่มเลื้อย ลำต้นสูง 4-6 เมตร กิ่งอ่อนมีขนละเอียดสีน้ำตาลแดง ใบเดี่ยวสลับรูปวงรีหรือรูปไข่ ผิวใบมีขนสีน้ำตาลแดงทั้งสองด้าน กว้าง 2.5-3.5 ซม. ยาว 4.5-10 ซม. ดอกออกเป็นกระจุก 2-3 ดอกที่กิ่งก้าน กลีบดอกสีแดงเข้ม มีกลิ่นหอมแรงเวลากลางคืน
ผลออกเป็นกลุ่มรูปไข่หรือไข่กลับ ขนาดผลเท่าลูกตำลึง ปกคลุมด้วยขนหนาแน่น ขนาดยาว 2-3 ซม. แต่ละช่อมี 4-20 ผล เมื่อยังอ่อนสีเขียว ก่อนจะกลายเป็นสีเหลือง และเมื่อแก่จะมีสีแดงเข้ม ส่วนเนื้อข้างในผลสีขาวขุ่นหุ้มเม็ดในสีดำไว้ ก้านผลยาว 1-4 ซม. มีเมล็ด 10-20 เมล็ด ผลอ่อนตำผสมน้ำทาแก้เม็ดผดผื่นคัน เมื่อสุกมีรสชาติเปรี้ยวรับประทานได้ โดยต้องปอกเปลือกออก และเปิบได้ทั้งเมล็ด เนื่องจากเนื้อและเมล็ดติดกัน สามารถขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
สรรพคุณ
- ตำรายาไทย เนื้อไม้และราก แก้ไข้กลับไข้ซ้ำ ต้มกินแก้ไข้เนื่องจากกินของแสลง ราก แก้ผอมแห้งสำหรับสตรีที่อยู่ไฟไม่ได้หลังการคลอดบุตร ใช้เป็นยากระตุ้นการคลอด บำรุงน้ำนม รากและเนื้อไม้ รักษาอาการไข้ไม่สม่ำเสมอ ผล แก้เม็ดผื่นคันตามตัว เป็นยาเย็นถอนพิษ ผลสุก บดกับน้ำ ทาแก้ผดผื่นคัน รักษาโรคหืด
- ชาวบ้านแถบหมู่เกาะลูซอล และมินดาเนา ของฟิลิปปินส์ใช้ ราก แช่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ให้หญิงที่จะคลอดบุตรกิน เพื่อเพิ่มการบีบตัวของมดลูก ช่วยเร่งการคลอดบุตร
ปัจจุบันหมากผีผวนเริ่มมีจำนวนลดลง เพราะไม่ค่อยมีชาวบ้านนิยมปลูกกันสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ต้องไปหาเก็บกินตามป่า ตามดง โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนไทยกับกัมพูชา (เมื่อหลายปีก่อน ผู้เขียนเคยเดินทางไปท่องเที่ยวที่กัมพูชาทางรถยนต์ ออกทางด้านช่องจอมไปพระตระบอง เสียมราฐ โตนเลสาป ข้างทางมีชาวบ้านนำหมากพีพ่วนมาขายเยอะมาก)

หมากส้มมอ
หมากส้มมอ หรือ สมอไทย เป็นผลไม้ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนไปได้ถึงสมัยพุทธกาล เป็นทั้งส่วนประกอบของอาหารและเครื่องยาตัวสำคัญของตำรายาไทย กินได้ทั้งแบบสด แห้งหรือดองเก็บไว้ก็กินได้อร่อย ไม่คลายประโยชน์เลย เป็นพืชพื้นเมืองของอินเดียใต้ เนปาล จีน ศรีลังกา มาเลเซียและเวียดนาม ไต้หวัน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Terminalia Chebuia Retz เป็นผลไม้ป่าที่มีหลายชื่อแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ คนเชียงใหม่เรียก ม่าแน่ ใกล้ๆ กับแม่ฮ่องสอนที่เรียกว่า หมากแน่ะ ส่วนภาคกลางมีทั้ง สมออัพยา และสมอไทย คนทางภาคอีสานเรียกทั้ง หมากส้มมอ บักส้มมอ คนโคราชเรียก สมอ
ลูกหมากส้มมอ ที่ใช้กินเป็นผลวงรี มีเหลี่ยม กว้างยาวประมาณ 1 นิ้ว ผิวเกลี้ยง ตอนที่ยังอ่อนเป็นสีเขียวสด ตอนแก่จะเป็นสีเขียวออกเหลือง ตอนแห้งจะเป็นสีดำ ข้างในมีเมล็ดแข็ง 1 เมล็ด ที่เมื่อแห้งแล้วจะเป็นสีดำ ลูกหมากส้มมอออกเป็นพวงจากช่อดอกสีขาวนวล ส่วนลำต้นสูงประมาณ 10-15 เมตร มักอยู่ตามป่าเบญจพรรณ เต็งรัง ป่าดิบแล้ง และตามทุ่ง หมากส้มมอจัดเป็นผลไม้ในฤดูหนาว มันจะออกดอกในช่วงเดือนเมษายนถึงถึงมิถุนายน และติดผลราวเดือนกันยายนถึงธันวาคม เมื่อกินสด จะได้รสเปรี้ยวอมฝาด กินแล้วจะกระตุ้นให้น้ำลายไหล อยากอาหาร
นอกจากเป็นอาหารแล้ว เปลือกของต้นหมากส้มมอซึ่งมีสีน้ำตาลปนเทา สามารถนำมาใช้ย้อมผ้าซึ่งจะให้สีดำและสีเขียว โดยนำเปลือกมาต้มจนงวด แล้วใส่เส้นใยที่ต้องการย้อมลงไป จะได้สีดำแกมเขียว แต่ถ้าใส่ผ้าที่ย้อมครามลงไปจะได้สีเขียว
ผลเป็นยารักษาแทบทุกโรค
สิ่งที่ทำให้ หมากส้มมอ เป็นที่นิยม น่าจะเป็นประโยชน์ทางยาที่มีมากมาย จากการที่มีหลายรสชาติในตัวเอง ทั้งเปรี้ยว ฝาด หวาน ขม เพราะตามตำรายาไทย แต่ละรสของสมุนไพรจะบอกสรรพคุณทางยา จนถูกจัดให้เป็นราชาสมุนไพร ถึงกับมีการพูดกันว่า กินหมากส้มมออย่างเดียวเท่ากับกินสมุนไพรหลายอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นยาระบายเมื่อกินผลสดตอนอ่อน ช่วยให้ขับถ่ายดีและแก้ริดสีดวงทวาร นำหมากส้มมอที่ยังอ่อนอยู่ 5-6 ลูกต้มกับน้ำ 1 ถ้วย เหยาะเกลือเล็กน้อย กินรวดเดียว หลังจาก 2 ชั่วโมงยาจะออกฤทธิ์ให้ขับถ่าย ในตัวมันเองยังสามารถช่วยสมานรักษาโรคท้องร่วงได้ด้วยเมื่อกินผลแก่ รวมถึงใช้เป็นยาสมานลำไส้อักเสบ
นอกจากนี้ยังแก้เจ็บคอได้ ด้วยการอมกลั้วในปาก รสเปรี้ยวของมันสามารถละลายเสมหะ แก้ไอ และแก้กระหายน้ำ โดยเอาเนื้อหมากส้มมอตำผสมผสมเกลือและข่าแก่ให้แหลก แล้วอมทีละประมาณปลายนิ้วก้อย เก็บไว้ในตู้เย็น กินต่อเนื่องประมาณ 1 สัปดาห์อาการคันคอจะหายไป
ผลหมากส้มมอยังใช้ทารักษาแผลได้ด้วย เมื่อนำผลมาบดละเอียด แล้วเอาไปโรยบนแผลเรื้อรัง และยังสามารถนำไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆ ได้แก่ รากกระชายป่า เปลือกตะโกนา เปลือกมะคำไก่ หัวแห้วหมู รากต้นแจง ต้มกับน้ำ ใส่น้ำผึ้งลงไป กินทุกวันจะแก้ผิวที่เป็นกระได้
หมากส้มมอ หรือ สมอไทย ยังเป็นผลไม้ที่เรียกกันว่า "พุทธโอสถ" เพราะในพระไตรปิฎกระบุไว้ว่า พระสงฆ์ฉันผลสมอไทยเป็นยาหลัก โดยใช้ผลสมอสดๆ ดองกับน้ำมูตรโคหรือไม่ก็ปัสสาวะของตน รักษาโรคหลายอย่างโดยเฉพาะโรคดีซ่าน ยังมีพระพุทธรูปปางฉันสมอด้วย ซึ่งเป็นปางที่พระพุทธเจ้าวางพระหัตถ์ขวาที่มีลูกสมอวางอยู่ไว้บนเข่า ส่วนพระหัตถ์ซ้ายวางบนตัก ในท่านั่งขัดสมาธิ มาจากตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาแล้ว 49 วัน โดยที่ไม่ได้ฉันอาหาร ท้าวสักเทวราชจึงนำผลสมอซึ่งถือเป็นทิพยโอสถจากเทวโลกมาถวาย พระพุทธเจ้าเสวยแล้วบ้วนพระโอษฐ์
ในตำราอายุรเวทของอินเดีย หมากส้มมอยังเป็นหนึ่งในผลไม้ 3 ย่างที่เรียกว่า "ตรีผลา" ร่วมกับสมอเทศและมะขามป้อม ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ใช้ปรับธาตุในร่างกายในฤดูร้อนที่อาหารมักบูดง่าย จนทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้แปรปรวน พิธีแต่งงานของชาวอินเดียในรัฐอัสสัม ครอบครัวฝ่ายเจ้าบ่าวตัองมอบของขวัญเป็นผลไม้แห้งแบบพิเศษให้กับเจ้าสาว หนึ่งในนั้นคือ ลูกสมอหรือหมากส้มมอแห้ง ที่ปกติแล้วพวกเขาจะกินเฉพาะเวลาที่เป็นแผลในปากเท่านั้น
หมากส้มมอเป็นอาหารก็ดี
หมากส้มมอ กินได้หลายแบบ หากกัดผลสดทีละนิดจะได้รสเปรี้ยวอมฝาดนิดๆ ให้ดื่มน้ำตามจะได้รสหวานชุ่มคอ แล้วรสหวานก็กระจายไปทั่วปาก หรือแค่จิ้มเกลือกินเฉยๆ เหมือนกับกินมะม่วงดิบก็ได้ บางคนนิยมกินกับน้ำพริกกะปิ โดยจะทุบหมากส้มมอ นำไปแช่น้ำเกลือก่อน บางบ้านโขลกหมากส้มมอหยาบๆ คลุกกินกับพริกขี้หนูโขลก ใส่น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ได้หลายรสในคราวเดียวทั้งขม เผ็ด เค็ม และหวาน
ในตำราอาหารโบราณดั้งเดิม มีวิธีการทำอาหารด้วยสมอไทยเรียกว่า ทำแกงคั่วสมอไทย หรือจะนำไปทำการแช่อิ่มหรือดอง ช่วยยืดเวลาของหมากส้มมอต่อไปได้อีก อีกสูตรหนึ่งคือ ดองน้ำผึ้ง นำผลเรียงให้เต็มโหลแก้วแช่ในน้ำผึ้งจนท่วม ทิ้งไว้ 3 เดือน ก็กินได้ด้วยการตักน้ำผึ้ง 1 ช้อนชาละลายน้ำอุ่น กินบำรุงร่างกาย ดีนักแล

บักเกลือ
บักเกลือ หรือ มะเกลือ (Ebony tree) มีชื่อวิทยาศาสตร์ : Diospyros mollis Griff. จัดอยู่ในวงศ์มะพลับ (EBENACEAE) สมุนไพรมะเกลือ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มักเกลือ (เขมร-ตราด), มักเกลือ หมักเกลือ มะเกลือ (ตราด), ผีเผา ผีผา (ฉาน-ภาคเหนือ), มะเกือ มะเกีย (ภาคเหนือ), เกลือ (ภาคใต้), มะเกลื้อ (ทั่วไป) บักเกีย หมากเกีย (ชัยภูมิ)
พบขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วไป เรือนยอดเป็นพุ่มกลมกิ่งอ่อนมีขนนุ่ม ผลดิบของมะเกลือมีสรรพคุณเป็นยา จัดเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง สมัยก่อนนิยมใช้ยางผลมะเกลือไปย้อมผ้า ผลที่เปลือกเป็นสีดำ เมื่อรับประทานทำให้หน้ามืด ตาลายตาพร่ามัว อาเจียน ท้องเดินและตาบอดได้ มะเกลือเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลของจังหวัดสุพรรณบุรี
สรรพคุณทางยา
- ช่วยแก้กระษัย
- ราก ฝนกับน้ำซาวข้าว รับประทานแก้อาเจียน แก้ลม รักษาโรคริดสีดวงทวาร
- ลำต้น ช่วยแก้ซางตานขโมย
- ผลมะเกลือสดและเขียวจัด เป็นสมุนไพรยอดเยี่ยมที่สุดในการถ่ายพยาธิ กำจัดตัวตืด หรือไส้เดือนตัวกลม พยาธิปากขอ พยาธิเข็มหมุด โดยการนำผลสดโตเต็มที่และเขียวจัด จำนวนผลเท่าอายุแต่ไม่เกิน 25 ผล (คนไข้อายุ 40 ปี ใช้เพียง 25 ผล) ตำใส่กะทิ คั้นเอาแต่น้ำกะทิ ช่วยกลบรสเฝื่อน ควรรับประทานขณะท้องว่าง ถ้า 3 ชั่วโมงแล้วยังไม่ถ่ายใช้ยาระบาย เช่น ดีเกลือ 2 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำดื่มตามลงไป
- แก่นของต้น ช่วยแก้ฝีในท้อง
- เปลือกของต้น ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร
- ลำต้น ใช้ต้มกับน้ำอาบช่วยรักษาโรคดีซ่าน
- ใบมะเกลือ นำมาตำคั้นเอาแต่น้ำผสมกับสุรา ใช้ดื่มแก้อาการตกเลือดภายหลังการคลอดบุตรของสตรี
ข้อควรระวังอย่าให้เกินขนาด
- ถ้าเกิดอาการท้องเดินหลายๆ ครั้ง และมีอาการตามัวให้รีบพาไปพบหมดด่วน
- ใช้มากอาจมีผลกับสายตา จนถึงขั้นตาบอดได้
การย้อมผ้าให้เป็นสีดำด้วยมะเกลือ
จากชื่อของมะเกลือในภาษาอังกฤษ Ebony tree คำว่า ebony จะใช้แทนคนที่มีผิวสีดำ คล้ำ ผลมะเกลือก็เช่นกันมีคุณสมบัติสร้างสีย้อมผ้าเป็นสีดำได้
วิธีแรก ด้วยการนำผลดิบมาตำให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำสีเหลืองมาใช้ย้อมผ้า ผ้านั้นจะมีสีเหลือง แต่เมื่อตากให้แห้งจะมีสีเขียว จะต้องทำการย้อมและตากแห้งอย่างนี้ซ้ำๆ กัน 5-6 ครั้ง ผ้าจะเปลี่ยนสีจนกระทั่งกลายเป็นสีดำตามต้องการ
วิธีที่สอง คือ นำผลสุกสีดำมาบดละเอียด กรองแต่น้ำสีดำมาย้อมผ้า โดยย้อมแล้วตาก แล้วนำกลับมาย้อมซ้ำอีกประมาณ 3 ครั้ง ถ้าจะให้ผ้ามีสีดำสนิทและเป็นมันเงาด้วย ให้นำผ้าไปหมักในดินโคลน (ดินเหนียวที่ตกตะกอนละเอียดนำมาผสมน้ำ) 1–2 คืน หรืออย่างน้อย 5 ชั่วโมง แล้วจากนั้นจึงนำมาซักให้สะอาด การย้อมผ้าด้วยมะเกลือ ค่อนข้างที่จะใช้เวลามาก ปัจจุบันจึงมีการเปลี่ยนไปใช้สีสังเคราะห์แทน เพราะสะดวกและใช้เวลาไม่มาก แต่ปัญหาที่พบ คือ สีสังเคราะห์ ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ย้อม ซึ่งอาการ คือ ผิวหนังเป็นผื่นอักเสบและติดเชื้อได้ง่าย ตาอักเสบ จึงมีการนำมะเกลือมาใช้ย้อมผ้ากันเช่นเดิม
![]()
















