99/169 Sarin7 UBN 34190 081 878 3521 This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
  • ธรรมะในดินแดนอีสาน

    พุทธศาสนา : เผยแผ่ เบ่งบาน งดงามในดินแดนอีสาน

  • เที่ยวงานแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี

    ชมความงามวิจิตรอุบลราชธานีแสงสีตระการตา และงานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี

  • เที่ยวนครพนม

    เที่ยวนครพนมชมความงดงามริมแม่น้ำโขง ไหลเรือไฟในวันออกพรรษา

  • ธรรมชาติงดงามบนภูกระดึง

    ความสุขที่คุณเดินได้ให้จดจำว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตเราเคยพิชิตภูกระดึง

  • สามพันโบก

    รุ่งอรุณ ณ สามพันโบก มหัศจรรย์ลานหินกลางลำน้ำโขง

  • รุ่งอรุณ ณ ผาแต้ม

    ตะวันขึ้นก่อนใครในสยามประเทศ @ผาแต้ม อุบลราชธานี

  • เขาใหญ่

    ไปเที่ยวชื่นชมธรรมชาติมรดกโลก @อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นครราชสีมา

  • ผามออีแดง

    ปลายฝนต้นหนาวไปชมทะเลหมอก @ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ

  • อีสานธรรมชาติสวยงามหลากหลาย

    ภาคอีสานมีธรรมชาติสวยงาม น้ำตก เสาหิน และมหัศจรรย์ธรรมชาติกุ้งเดินขบวน

  • ออกพรรษามาแห่ปราสาทผึ้ง

    ออกพรรษาเชิญมาเที่ยวสกลนคร ชมขบวนแห่ปราสาทผึ้งอันงดงาม

: Our Sponsor

adv200x300 2

: Our Fanpage

: My Web Site

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail

หลวงปู่จูม พันธุโล

LP Joom pantulo

พระธรรมเจดีย์ นามเดิม จูม จันทวงศ์ ฉายา พนฺธุโล เป็นอดีตเจ้าคณะมณฑลอุดรธานี (ธรรมยุต) อดีตผู้ช่วยเจ้าคณะภาค 3-4-5 (ธรรมยุต) อดีตเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี

ชาติกำเนิด

joom pantulo 1พระธรรมเจดีย์ นามเดิมคือ จูม จันทวงศ์ เป็นบุตรคนที่ 3 (ในจำนวนทั้งหมด 9 คน) ของนายคำสิงห์ และนางเขียว จันทรวงศ์ ครอบครัวมีอาชีพทำนาทำไร่ เด็กชายจูม จันทรวงศ์ มีอุปนิสัยเรียบร้อย สนใจในการทำบุญทำกุศลตั้งแต่เด็ก ชอบติดตามบิดามารดา หรือคุณตาคุณยายไปวัดสม่ำเสมอ จึงได้มีโอกาสพบเห็นพระภิกษุสงฆ์เป็นประจำ เกิดที่บ้านท่าอุเทน ตำบลท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2431 (ปีชวด)

อุปสมบท

หลังจากเล่าเรียนจบระดับชั้นประถมศึกษา เด็กชายจูม ได้บรรพชาเป็นสามเณร ในปี พ.ศ. 2442 เมื่ออายุ 11 ปี ท่านจำพรรษาที่วัดโพนแก้ว จังหวัดนครพนม และได้เล่าเรียนพระปริยัติธรรม รวมทั้งระเบียบปฏิบัติขนบธรรมเนียมประเพณีของวัดโพนแก้ว เป็นเวลา 3 ปี

การศึกษาเล่าเรียนของพระสงฆ์ในสมัยนั้น เป็นการเรียนอักษรสมัย คือ อักษรขอม อักษรธรรม และภาษาไทย สามเณรจูม จันทรวงศ์ สามารถเขียนอ่านได้อย่างคล่องแคล่ว มีสติปัญญาเฉียบแหลม เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ นอกจากนี้ ท่านยังได้ฝึกหัดเทศน์มหาชาติ (เวสสันดรชาดก) เป็นทำนองภาคอีสาน ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาญาติโยมทั้งบ้านใกล้และบ้านไกล

เมื่ออายุครบบวชแล้ว ได้อุปสมบท ที่ วัดมหาชัย อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู วันที่ 9 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2450 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4 ปีมะแม ณ พัทธสีมาวัดมหาชัย ตำบลหนองบัวลำภู อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี โดยมี ท่านพระครูแสง ธมฺมธโร วัดมหาชัย เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูสีมา สีลสมฺปนฺโน วัดจันทราราม (เมืองเก่า) อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย (พระเทพสิทธาจารย์) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พนฺธุโล"

การศึกษา

ในปี พ.ศ. 2446 ท่านได้ติดตาม พระเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย) ไปจำพรรษาที่วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นสำนักของ ท่านพระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล) ได้มีโอกาส ศึกษาข้อวัตร ปฏิบัติ ในด้าน สมถวิปัสสนากรรมฐานจากท่านพระอาจารย์เสาร์ และท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

ได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระอาจารย์ใหญ่ทั้งสอง จนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องวัตรปฏิบัติ และแนวทางเจริญกรรมฐานเป็นที่น่าพอใจ ท่านจึงมีอุปนิสัยยึดมั่นในพระธรรมวินัย ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ สร้างสมบารมีเรื่อยมา จนได้เป็นพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และเป็นปูชนียบุคคลของชาวอีสานในเวลาต่อมา

joom pantulo 2

หลังจากที่ได้ศึกษาธรรมปฏิบัติกรรมฐานกับ พระอาจารย์เสาร์ และท่านพระอาจารย์มั่น เป็นเวลา 3 ปี พระอาจารย์จันทร์ เขมิโย ได้กราบลาพระอาจารย์ใหญ่ทั้งสอง แล้วพาคณะสานุศิษย์เดินทางกลับจังหวัดนครพนมด้วยเท้าเปล่าเหมือนตอนเดินทางมา

หลังจากอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ในปี พ.ศ.2450 และในปีถัดมาได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ให้มีความรู้ทางด้านนักธรรมและบาลีให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ในสมัยนั้นยากลำบาก ต้องอาศัยพ่อค้าหมูเป็นผู้นำทาง ผ่านจังหวัดสกลนครขึ้นเขาภูพาน และต้องนอนค้างคืนบนสันเขาภูพานถึง 2 คืน ผ่านจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดขอนแก่น อำเภอชนบท และหมู่บ้านต่างๆ จนกระทั่งถึงจังหวัดนครราชสีมา ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นรวม 24 วัน จากนั้นจึงโดยสารรถไฟเพื่อเข้ากรุงเทพฯ เพราะในสมัยนั้นทางรถไฟมาถึงแค่เมืองโคราชเท่านั้น

joom pantulo 3

แถวหน้า จากซ้าย : พระอุดมญาณโมลี (หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป), พระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พนฺธุโล), พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่จันโท กตปุญฺโญ)
แถวหลัง จากซ้าย : พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน), พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่สวัสดิ์ ขนฺติวิริโย), พระพ.ต.พักตร์ ญาณิสฺสโร (มีนะกนิษฐ) และจ่าคำมูล สีดาลาด นายทหารคนสนิท

พระภิกษุจูม พนฺธุโล ได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ทั้งแผนกนักธรรมและบาลี ณ สำนักวัดเทพศิรินทราวาส เป็นเวลาหลายพรรษา โดยตั้งใจศึกษาด้วยความวิริยะและอุตสาหะ นอกจากนั้นท่านยังเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีผลงานด้านการปกครองคณะสงฆ์ ส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมและวางรากฐานการปฏิบัติกรรมฐานโดยเฉพาะในแถบภาคอีสาน ท่านสอนปริยัติด้วยตนเอง ลูกศิษย์ของท่านสอบได้ทั้งนักธรรมและเปรียญธรรมจำนวนมาก

เรื่องเล่า “ผู้สร้างความเข้มแข็งให้พระกรรมฐาน”

หลวงปู่จูม จำพรรษาอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร เป็นเวลานานถึง 15 ปี จึงได้รับมอบหมายจาก สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ชื่น สุจิตโต) และพระสาสนโสภณ ให้ไปดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ ซึ่งเป็นวัดคณะธรรมยุต วัดแรกในจังหวัดอุดรธานี ท่านได้สร้างผลงานไว้มากมาย ทั้งการทำนุบำรุงด้านการศึกษาและวางรากฐานการปฏิบัติกรรมฐาน

wat potisomporn 2

ครั้งหนึ่ง ท่านเคยอาราธนา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อาจารย์ของท่าน ซึ่งตอนนั้นจำพรรษาอยู่ที่ทางภาคเหนือ ให้ลงมาที่จังหวัดอุดรธานี เพื่อช่วยเป็นหลักในการสร้างความเข้มแข็งให้วงการพระกรรมฐาน ถือเป็นการฟื้นฟูคณะธรรมยุตครั้งใหญ่ในจังหวัดแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

นอกจากการเอาใจใส่ในงานส่วนรวมแล้ว ท่านยังมีปฏิปทา ทางด้านวัตรปฏิบัติ อันมั่นคงด้วยดีตลอดมา นั่นคือ

  • ฉันภัตตาหารมื้อเดียว หรือ ที่เรียกว่า "เอกาสนิกังคะ"
  • ถือไตรจีวร คือ ใช้ผ้าเพียง 3 ผืน
  • ปฏิบัติสมถกรรมฐาน กำหนดภาวนา "พุทโธ" เป็นอารมณ์
  • ปรารภความเพียร ขยันเจริญ สมาธิภาวนา และ
  • เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้ว ท่านก็ออกตรวจการเดินทางไปเยี่ยมเยือนพระภิกษุ สามเณร ซึ่งอยู่ในเขตปกครอง เป็นลักษณะการไปธุดงค์ตลอดหน้าแล้ง

รายนามครูบาอาจารย์ที่หลวงปู่จูมเป็นพระอุปัชฌาย์ บวชให้นั้นมีจำนวนมาก เช่น หลวงตามหาบัว หลวงปู่อ่อน หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่พรหม หลวงปู่หลุย หลวงปู่เหรียญ หลวงปู่หลอด หลวงตาแตงอ่อน หลวงปู่หล้า หลวงตาพวง หลวงปู่อ่ำ และหลวงตาทองคำ เป็นต้น

ธรรมโอวาท

joom pantulo 5พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ได้แสดงความจริงในอารมณ์จิตของท่าน และหาวิธีระงับ ดับอารมณ์นั้น โดยไม่หลงใหลไปกับโลกธรรม อุบายนั้นท่านได้แสดงไว้ว่า

"จิต เป็นธรรมชาติที่กวัดแกว่งดิ้นรน กระสับกระส่าย แส่ไปตามอารมณ์ที่ใคร่ พอใจในเบญจกามคุณ ถึงกระนั้นก็ได้มี ทมะ คือความข่มจิตไว้ ไม่ให้ยินดียินร้ายไปตามอารมณ์ พร้อมทั้งมีสติประคับประคองยกย่องจิตตามอนุรูปสมัยนับว่าได้ผล คือจิตสงบ ระงับจากนิวรณูปกิเลสเป็นการชั่วคราวบ้าง เป็นระยะยาวนานบ้าง แต่ในบางโอกาสก็ควบคุมได้ยาก ซึ่งเป็นของธรรมดา สำหรับปุถุชน ต่อจากนั้นก็ได้บากบั่นทำจิตของตน ให้รู้เท่าทันสภาวธรรมนั้นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ตื่นเต้นไปกับโลกธรรม แต่ว่าระงับได้ ในบางขณะเช่น ความรัก ความชัง อันเป็นปฏิปักขธรรมเป็นต้น เหล่านี้ยังปรากฏมีในตนเสมอ ถึงกระนั้น ก็ยังมีปรีชา ทราบอยู่เป็นนิตย์ว่า เป็นโลกิยธรรมนำสัตว์ให้ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้ฝึกหัดดัดนิสัย พยายามถอนตน ออกจากโลกียธรรม ตามความสามารถ รู้สึกว่าสบายกายสบายใจอันแท้จริงธรรมนี้เกิดจากข้อวัตรปฏิบัติในการละ พอใจยินดีอย่างยิ่ง ในความสงบ"

และอีกคราวหนึ่ง ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์ โดยมีพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งติดตามไปด้วย คือ พระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี วันนั้นท่านได้แสดงธรรมไว้อย่างแยบคาย พอที่จะหยิบยก เอาใจความสำคัญมากล่าวไว้ในที่นี้ดังต่อไปนี้ :-

จิตของพระอริยะเจ้าแยกอาการได้ 4 อาการคือ

  • อาการที่ 1 อโสก จิตของท่านไม่เศร้าโศก ไม่มีปริเทวนา การร้องไห้เสียใจ จิตใจของท่านมีความสุขล้วนๆ ส่วนจิตใจของปุถุชน คนธรรมดายังหนาไปด้วยกิเลสเต็มไปด้วยความรัก ความโศกถูกความทุกข์ครอบงำ ความโศกย่อมเกิดจากความรักเป็นเหตุ เมื่อมีความรัก ก็มีความโศก ถ้าตัดความรักเสียแล้ว ความโศกจะมีแต่ที่ไหน
  • อาการที่ 2 วิรช จิตของพระอริยเจ้าผ่องแผ้ว ปราศจากฝุ่น ไร้ธุลี คือ ปราศจากราคะ โทสะ และโมหะ คงจะมีแต่พุทธะคือ รู้ ตื่น เบิกบาน
  • อาการที่ 3 เขม จิตของพระอริยเจ้ามีแต่ความเกษมสำราญ เพราะปราศจากห้วงน้ำไหลมาท่วมท้นห้วงน้ำใหญ่เรียกว่า "โอฆะ" ไม่อาจจะท่วมจิตของพระอริยะเจ้าได้
  • อาการที่ 4 จิตของพระอริยะไม่หวั่นไหวไปตามอำนาจกิเลส ไม่ตกอยู่ในห้วงแห่งอวิชชา จิตของพระอริยะมีแต่อาโลโก สว่างไสวแจ่มแจ้ง ธรรมทั้งหลายที่ยังไม่เคยพบเคยเห็นตั้งแต่ภพก่อนชาติก่อน และไม่เคยฟังจากใคร คราวนี้ก็แจ่มแจ้งไปเลย เพราะท่านตัดอวิชชาเสียได้

joom pantulo 7

แถวหน้าสุด จากซ้าย : พระเทพสิทธาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย), พระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พันธุโล), พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส)
แถวกลาง จากซ้าย : หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่กว่า สุมโน, หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต, หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ
แถวหลัง จากซ้าย : หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร, หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ, หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

คำสอน

คนเราจะได้ดีมันต้องมีหลัก ถ้ามีหลักภายนอกเรียกว่าหลักฐาน

คนที่ไร้หลักฐานก็อยู่อย่างเลื่อนลอย คือไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่ทำกิน

แม้หลักฐานข้างในก็จำเป็นต้องมี คือ

ต้องให้จิตใจอยู่อย่างมีอุดมคติที่มั่นคงและแน่วแน่

อย่าให้ใจโลเลเหลาะแหละเหลวไหล…

และจะอดทนเพียรพยายามในการจำกัดราคะ โทสะ โมหะ

ให้สุดความสามารถ เพราะไหน ๆ เราก็รู้อยู่แล้วว่า

การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นทุกข์ทั้งนั้น

ต้นเหตุที่สิ่งเหล่านี้เกิดมี เพราะตัณหาดังนั้น

เมื่อรู้ตัวการที่ก่อให้เกิดทุกข์ฉะนี้แล้ว

จะมัวรีรอให้เสียชาติเกิดอยู่ทำไม

พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) อดีตเจ้าคณะมณฑลอุดรธานี (ธรรมยุต)

joom pantulo 4สมณศักดิ์

  • พ.ศ. 2463 เป็นพระครูฐานานุกรมของพระสาสนโสภณ (เจริญ ญาณวโร) ในตำแหน่ง พระครูสังฆวุฒิกร
  • พ.ศ. 2468 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ที่ พระครูชิโนวาทธำรง
  • พ.ศ. 2470 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระญาณดิลก
  • พ.ศ. 2473 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชเวที ตรีปิฎกภูษิต ธรรมบัณฑิต ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
  • พ.ศ. 2478 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพกวี ศรีวิสุทธิดิลก ตรีปิฎกบัณฑิต ยติคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี
  • พ.ศ. 2488 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมเจดีย์ กวีวงศนายก ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี

มรณภาพ

พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เริ่มอาพาธมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 จนถึงเดือน มีนาคม พ.ศ. 2505 คณะแพทย์โรงพยาบาลศิริราช ได้ถวายการรักษา โดยการผ่าตัดก้อนนิ่วออก รักษาจนหายเป็นปกติแล้วเดินทางกลับวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี ต่อมาปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2505 ท่านเริ่มอาพาธอีก คณะแพทย์ซึ่งมี ศาสตราจารย์ นพ.อวย เกตุสิงห์ เป็นประธานได้นิมนต์ท่านเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ท่านเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2505 โดยมี พระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ร่วมเดินทางไปด้วย

wat potisomporn 1

ศาสตราจารย์ นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ได้ถวายการรักษาด้วยการผ่าตัด ถุงน้ำดีมีก้อนนิ่ว 11 เม็ด อาการดีขึ้นเพียง 3 วัน ต่อจากนั้นอาการก็ทรุดลง ต้องให้ออกซิเจนและน้ำเกลือ วันที่ 9 กรกฎาคม 2505 พระธรรมเจดีย์ก็ถูกเวทนาอันแรงกล้า ครอบงำ แต่ท่านก็มิได้แสดงอาการใดๆ ให้ปรากฏ จนกระทั่ง เมื่อเวลา 15.27 น. วันที่ 11 กรกฎาคม 2505 พระธรรมเจดีย์ก็ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการอันสงบ  ณ โรงพยาบาลศิริราช สิริอายุได้ 74 ปี 2 เดือน 15 วัน พรรษา 55

isan word tip

ประตูสู่อีสานบ้านเฮา

IsanGate.com

ปณิธานของเรา :

"ชนชาติที่เป็นอารยะ ต้องมีรากเหง้า และที่มาอันยาวนาน ด้วยภาษาและขนบธรรมเนียมของตนเอง"

: Our Web Site.

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail
นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)