
ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง อุณหภูมิลดลง
ในช่วงวันที่ 8 – 10 ธันวาคม ประเทศไทยตอนบนจะมีอุณหภูมิลดลง โดยมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง โดยภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิจะลดลง 2 – 4 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลาง และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง 1 – 3 องศาเซลเซียส เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูง หรือมวลอากาศเย็นอีกระลอกจากประเทศจีน จะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในช่วงวันที่ 11 – 13 ธันวาคม บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิสูงขึ้น
'อากาศหนาว ลมแรง' โปรดระวังอัคคีภัย จากไฟไหม้
เมื่อผิงไฟให้ความอบอุ่น จี่เข้าจี่แล้ว ก็ดับไฟให้สนิทด้วยนะก่อนไปทำกิจวัตรอื่น

ในช่วงวันที่ 10 – 13 ธันวาคม จะมีลมตะวันออกพัดเข้ามาปกคลุม ภาคกลาง และภาคตะวันออก ในขณะที่คลื่นกระแสลมฝ่านตะวันตกจะพัดปกคลุมภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ในช่วงวันที่ 12 – 13 ธันวาคม ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น มีฝนตกหนักและลมกระโชกแรงบางแห่ง
ข้อควรระวัง
ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยดูแลรักษาสุขภาพ เนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ตลอดช่วง ในช่วงวันที่ 11 – 13 ธันวาคม ขอให้เกษตรกรบริเวณประเทศไทยตอนบนเตรียมการป้องกัน และระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตร และขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ฝนที่ตกสะสม และลมกระโชกแรง ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย
มหาอุทกภัยภาคใต้ 2568

ปีพุทธศักราช 2568 นี้ ประเทศไทยได้เผชิญกับภาวะโลกร้อน หรือ โลกเดือด (Global Warming) ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ตั้งแต่ปรากฏการณ์ลานีญาอย่างรุนแรงในปี 2567 ทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วม แล้วในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา อุณหภูมิได้พุ่งสูงถึง 45.0 องศาเซลเซียส ในหลายพื้นที่ ขณะที่ปี 2566 อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 44.6 องศาเซลเซียส เท่านั้น ประเทศไทยเราจึงพบกับ ความร้อนจัด และ ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น เช่น พายุฤดูร้อนที่อาจเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และมีแนวโน้ม น้ำท่วมฉับพลัน มากขึ้นในบางพื้นที่
ในปี 2568 นี้ปรากฏการณ์ลานีญาจะอ่อนกำลังลงและเข้าสู่ภาวะเป็นกลางระหว่างลานีญาและเอลนีโญ ส่งผลให้ประเทศไทยยังคงเผชิญกับอากาศร้อนจัด (ซึ่งเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นอันดับ 3 รองจากปี 2567 และ 2566) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นปัญหารุนแรงที่กระทบต่อโลก และประเทศไทย โดยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงเป็นประวัติการณ์ส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้นต่อเนื่อง แม้จะมีปรากฏการณ์ลานีญาเข้ามาช่วยบรรเทา แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งแนวโน้มอากาศสุดขั้วได้ (แม้ว่าประเทศไทยเรากำลังดำเนินการ เพิ่มความเข้มข้นในการลดก๊าซเรือนกระจก และ ยกระดับการปรับตัว เพื่อรับมือกับผลกระทบเหล่านี้ แต่ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้มากนัก) ดังนั้น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเตรียมรับมือกับผลกระทบจากสภาพอากาศสุดขั้ว จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
มหาอุทกภัยในประเทศไทย
ขณะที่กำลังเขียนบทความเรื่องนี้ ภาคใต้ของเราโดยเฉพาะที่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และบริเวณโดยรอบ ได้ประสบกับน้ำท่วมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้รุนแรงมากกว่าที่เกิดขึ้นในปี 2553 เสียอีก รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียทางตอนเหนือ ก็ได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน

ประเทศไทยเราพบกับน้ำท่วมใหญ่ๆ ในปีนี้มาแล้วทุกภาค ทั้งในภาคเหนือจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่หนองคาย บึงกาฬ ชัยภูมิ ส่วนภาคกลางนี้ต้องบอกว่า มีพื้นที่น้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มและที่อยู่อาศัยบริเวณบางส่วนของ 10 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี ลพบุรี นครปฐม ชัยนาท อ่างทอง สิงห์บุรี สระบุรี นนทบุรี และปทุมธานี รวมพื้นที่ประมาณ 1,293,745 ไร่ มายาวนานกว่า 4 เดือนแล้ว เขื่อนใหญ่อย่างเขื่อนภูมิพลมีระดับการเก็กกักน้ำมากถึง 99% แล้ว เขื่อนเจ้าพระยาต้องทำการระบายนำในปริมาณสูงสุด และผลกระทบจากน้ำทะเลหนุนก็ทำให้จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร ที่อยู่ริมเจ้าพระยาได้รับผลกระทบหนัก
สถานการณ์น้ำท่วมทางภาคใต้
อุทกภัยใหญ่ในภาคใต้ วิกฤตครั้งนี้เกิดจากปริมาณฝนที่ตกลงมาอย่างหนักหน่วงและผิดปกติ สำหรับจังหวัดสงขลา มีฝนตกหนักครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยเฉพาะที่อำเภอหาดใหญ่ ที่วัดปริมาณฝนสูงสุดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ได้ 335 มม.ซึ่งเป็นปริมาณฝนตกหนักในรอบ 300 ปี (ตามหลักสถิติอุทกวิทยา หมายถึงปริมาณฝนที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก) ฝนลักษณะนี้ไม่ใช่เพียง ‘ฝนหนักช่วงมรสุม’ ทั่วไปแต่เป็น เหตุการณ์ฝนสุดขั้ว (extreme rainfall) ที่เชื่อมโยงกับแนวโน้มสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญเหตุการณ์คล้ายกันหลายประเทศ
สำหรับปริมาณฝนสะสม 3 วันย้อนหลัง (19-21 พฤศจิกายน) วัดได้สูงสุดถึง 630 มม. ซึ่งสูงกว่าปริมาณฝนสะสมที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2543 และ 2553 ทำให้ระบบระบายน้ำและพื้นที่รับน้ำไม่สามารถรองรับได้ทัน ฝนยังตกมาอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง ทำให้ทางการต้องประกาศอพยพ 100% ออกจากตัวเมืองหาดใหญ่

อำเภอหาดใหญ่ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ มีลักษณะ ‘แอ่งกะทะ’ ถ้าน้ำทะลักเข้ามาในปริมาณมากพร้อมกัน จะกลายเป็นแอ่งรับน้ำโดยปริยาย หากการระบายน้ำออกสู่ทะเลสาบสงขลาและอ่าวไทยไม่ทัน ก็จะเกิดภาวะท่วมขังนานกว่าปกติ รับน้ำจากภูเขาและพื้นที่สูงรอบด้าน โดยเฉพาะมวลน้ำจาก อำเภอสะเดา ที่ไหลผ่าน คลองอู่ตะเภา เข้าสู่ตัวเมือง เมื่อฝนตกหนักต่อเนื่อง น้ำในคลองหลักและคลองสาขาหลายสายจึงล้นตลิ่งอย่างรวดเร็ว

หลายจังหวัดทางภาคใต้ ยังถูกน้ำท่วมหนัก จากฝนตกแช่นานหลายวัน น้ำทางเหนือจากอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ไหลบ่าลงมาเข้าท่วมเข้าท่วม อำเภอรัษฎา จังหวัดตรัง ส่งผลกระทบพื้นที่ 6 ตำบล บ้านเรือนและถนนถูกน้ำท่วม ชาวบ้านกว่า 5,000 คน ได้รับผลกระทบ บางพื้นที่ต้องใช้เรือท้องแบนสัญจร ขณะที่จังหวัดตรัง มีน้ำท่วมแล้ว 8 อำเภอ กระทบกว่า 6,000 ครัวเรือน โดยในอำเภอย่านยาขาว ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ ระดับน้ำยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
จังหวัดสตูล มีน้ำท่วมแล้วใน 6 อำเภอ โดยเฉพาะพื้นที่ อำเภอละงู ยังคงวิกฤตจากมวลน้ำก้อนใหญ่ที่ไหลจากเทือกเขาบรรทัดลงคลองสายละงูทำให้หลายหมู่บ้านน้ำเข้ารวดเร็ว
จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีพื้นที่น้ำท่วม 8 อำเภอ ขณะนี้มวลน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำริมทะเลอย่างต่อเนื่อง ทำให้พื้นที่ฝั่งภูเขาใกล้เข้าสู่ภาวะปกติ ส่วนพื้นทีริมทะเลยังต้องรับน้ำและเฝ้าระวังทรัพย์สินในช่วงน้ำทะเลหนุนสูง อันจะส่งผลให้ระดับน้ำที่ท่วมขังสูงขึ้นเช่นกัน

ขณะเดียวกันพบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย รวมถึงผู้ร่วมประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 43 เข้าพักในโรงแรมย่านหาดใหญ่รวมราว 9,000–10,000 คน กำลังประสบปัญหาไม่มีอาหาร เนื่องจากที่โรงแรมหรืออพาตเมนต์ที่นักท่องเที่ยวพักไม่มีครัว ซึ่งอาศัยรับประทานอาหารข้างนอกโรงแรม หลายคนจึงต้องการให้ภาครัฐ หรือหน่วยภาคเอกชนบริการอาหารและบริการรถรับส่งนักท่องเที่ยว ซึ่งมีอีกส่วนหนึ่งต้องการดินทางกลับ

ไม่มีทิ้งกันแน่.. หล่มสักก็เพิ่งพ้นน้ำท่วม-รับน้ำใจไทยทั่วทิศมาไม่นาน!! กู้ภัยกกไทรหล่มสัก ระดมจิตอาสา มุ่งหน้าลงใต้ สมทบทีมตอบโต้ภัยพิบัติช่วยกู้วิกฤตฝน 300 ปีถล่ม-น้ำท่วมหาดใหญ่
คนไทยไม่ทิ้งกัน
เมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่อุบลราชธานีบ้านผม ชาวใต้ ชาวเหนือ ภาคกลางส่งกำลังหน่วยกู้ภัย ส่งข้าวปลาอาหารมาช่วยกันมากมาย น้ำท่วมภาคเหนือในครั้งที่ผ่านมา พวกเราชาวอีสานก็ไม่ได้ทอดทิ้งวิ่งขึ้นไปช่วยเหลือ น้ำท่วมภาคใต้คราวนี้ก็เช่นกัน ทีมกู้ภัยทั้งจากทางหน่วยงานราชการ อปท. และเอกชน จิตอาสาต่างก็ลงไปช่วยกันไม่เคยทอดทิ้ง
อาสากู้ภัยอีสาน ยกทีมลงใต้ช่วยน้ำท่วมหาดใหญ่ | มหาอุทกภัยภาคใต้ 2568
ขอให้พี่น้องทุกคนทั้งผู้อยู่ในพื้นที่ นักท่องเที่ยว และเหล่าอาสาสมัครจิตอาสาทุกคนจงปลอดภัยนะครับ
















