Bar Imageน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
  • ธรรมะในดินแดนอีสาน

    พุทธศาสนา : เผยแผ่ เบ่งบาน งดงามในดินแดนอีสาน

  • เที่ยวงานแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี

    ชมความงามวิจิตรอุบลราชธานีแสงสีตระการตา และงานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี

  • เที่ยวนครพนม

    เที่ยวนครพนมชมความงดงามริมแม่น้ำโขง ไหลเรือไฟในวันออกพรรษา

  • ธรรมชาติงดงามบนภูกระดึง

    ความสุขที่คุณเดินได้ให้จดจำว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตเราเคยพิชิตภูกระดึง

  • สามพันโบก

    รุ่งอรุณ ณ สามพันโบก มหัศจรรย์ลานหินกลางลำน้ำโขง

  • รุ่งอรุณ ณ ผาแต้ม

    ตะวันขึ้นก่อนใครในสยามประเทศ @ผาแต้ม อุบลราชธานี

  • เขาใหญ่

    ไปเที่ยวชื่นชมธรรมชาติมรดกโลก @อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นครราชสีมา

  • ผามออีแดง

    ปลายฝนต้นหนาวไปชมทะเลหมอก @ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ

  • อีสานธรรมชาติสวยงามหลากหลาย

    ภาคอีสานมีธรรมชาติสวยงาม น้ำตก เสาหิน และมหัศจรรย์ธรรมชาติกุ้งเดินขบวน

  • ออกพรรษามาแห่ปราสาทผึ้ง

    ออกพรรษาเชิญมาเที่ยวสกลนคร ชมขบวนแห่ปราสาทผึ้งอันงดงาม

: Our Sponsor

adv200x300 2

: Our Fanpage

: My Web Site

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail

ผลไม้หายากภาคอีสาน (2)

isan fruit

นำเสนอผลไม้อีสานหายากที่บางคนลืมเลือนไปในตอนที่แล้ว เกินความคาดหมายมากครับ แค่วันแรกมีคนคลิกเข้ามาอ่านมากกว่า 150 ครั้ง แล้วยังมีจดหมายก้อมส่งมาว่า "ขออีกๆๆ" เลยต้องจัดให้ตามคำขอเป็นตอนที่ 2 ใครมีข้อมูลเพิ่มเติมจะชี้แนะก็ช่วยบอกมานะขอรับ ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง

mak tong lang

หมากต้องแล่ง อีกหนึ่งผลไม้ที่นับวันจะถูกลืม

หมากต้องแล่ง หรือ นมน้อย ภาษาเขมรท้องถิ่นแอดเรียกว่า "แพล กำ ปร๊อก" ที่อื่นๆ มีชื่อเรียกต่างออกไปอีก เช่น น้ำเต้าแล้ง (นครราชสีมา) น้ำน้อย (เลย) ต้องแล่ง (มหาสารคาม) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Polyalthia evecta (Pierre) Finet & Gagnep. ชื่อวงศ์ Annonaceae

ในช่วงฤดูทำนาหรือหน้าฝน สมัยยังเป็นเด็กน้อย เมื่อพาควายไปเลี้ยงแถวชายป่า เพราะพื้นที่นามีข้าวกำลังงามจึงปล่อยเลี้ยงไม่ได้เดี๋ยวมันจะกินต้นข้าวแทนหญ้า ผูกควายให้เชือกยาวพอมันหากินหญ้าได้แต่ไม่ถึงนาข้าว ผู้เขียนก็มักจะเดินเสาะหาผลไม้ป่ามากิน หนึ่งในนั้นคือ หมากต้องแล่ง นั่นเอง

หมากต้องแล่ง หรือบ้างก็ว่า บักต้องแล่ง เป็นไม้พุ่มเตี้ย ในหนึ่งพุ่มหรือหนึ่งกอจะมีหลายๆ ลำต้นเกิดอยู่ด้วยกัน แต่ที่เป็นต้นเดี่ยวก็มีเช่นกัน หมากต้องแล่งออกลูกเป็นพวง พวงหนึ่งจะมีหลายๆ ลูกประมาณ 4-30 ลูก หมากต้องแล่งมีผลเล็ก ทรวดทรงกลม โตประมาณ 5-6 ม.ม. ผลดิบสีเขียว ผลสุก สีแดง ผลสุกรสชาติหวาน ซึ่งในหนึ่งลูกจะมีเนื้อให้กินหวานอร่อยจริงๆ นิดเดียว ที่เหลือคือ เมล็ด หนึ่งลูกจะมีหนึ่งเมล็ด โดยปกติไม่นิยมกินเมล็ด แต่บางคนก็เคี้ยวกินทั้งเมล็ดก็มี

หมากต้องแล่ง แม้จะให้ความอร่อยได้ไม่จุใจ ให้ความอิ่มได้ไม่เต็มท้อง แต่นั่นคือ ผลไม้ป่าละเมาะ ที่ให้ความสุขเล็กๆ น้อยๆ แก่เด็กๆ บ้านๆ อย่างเราครับ

ข้อควรระวัง : ตามพุ่มต้นต้องแล่ง อาจมีรังแตน เช่น แตนขี้หมา และแตนราม เป็นต้น ดังนั้น การเปิดหาหมากต้องแล่ง ควรใช้ลำไม้ยาวๆ หรือไม่ตีควาย ช่วยเปิดหา มิเช่นนั้น ท่านอาจถูกแตนตอดได้ (แตนตอด = แตนต่อย)

สรรพคุณของหมากต้องแล่ง    
  • ยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี ใช้ ราก เข้ายากับเครือไส้ไก่ และตะไคร้ป่า ต้มน้ำดื่ม แก้โรคกระเพาะอาหาร เข้ากับรากลกคก และรากหุ่นไห้ ต้มน้ำดื่ม ช่วยบำรุงน้ำนมหญิงหลังคลอด
  • ยาพื้นบ้านจังหวัดมุกดาหาร ใช้ ราก แก้ฝีภายใน
  • ยาพื้นบ้านจังหวัดอำนาจเจริญ ใช้ ราก แก้ร้อนใน ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ปวดเมื่อย ต้มรากดื่มขณะอยูไฟหลังคลอดบุตร
  • ยาพื้นบ้านที่อื่นๆ ใช้ ราก ต้มน้ำดื่ม แก้กล้ามเนื้อท้องเกร็ง บำรุงน้ำนม แก้ปวดเมื่อย

Look waa

ลูกหว้า

ลูกหว้า หรือ หมากหว้า (Syzygium cumini) นั้นอาจจะเป็นผลไม้ที่ไม่ค่อยคุ้นชื่อ หรือคุ้นหูกันเท่าไหร่นัก เพราะเป็นผลไม้ที่กำลังจะสูญพันธุ์ แต่ในภาคอีสานนั้นเริ่มมีการนำลูกหว้าหรือหมากหว้ามาเริ่มปลูกขยายพันธุ์กันมากขึ้น ด้วยคุณประโยชน์และสรรพคุณในลูกหว้านั้นมีมากพอสมควร 

หว้า ชื่อสามัญ Jambolan plum, Java plum, Jambul มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Syzygium cumini (L.) Skeels  จัดอยู่ในวงศ์ชมพู่ MYRTACEAE  มีชื่อเรียกอื่นๆ ว่า หว้า หว้าป่า หว้าขาว หว้าขี้นก หว้าขี้แพะ แต่สำหรับชาวฮินดูจะเรียกลูกหว้านี้ว่า “จามาน” หรือ “จามูน” ต้นหว้าจัดเป็นพันธุ์ไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดในประเทศบังคลาเทศ อินเดีย เนปาล ปากีสถาน ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย แต่สำหรับในประเทศไทยเรานั้น ต้นหว้าเป็นพันธุ์ไม้พระราชทาน และเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเพชรบุรี และยังถือว่าต้นหว้าเป็นไม้มงคลในเรื่องของความสำเร็จและชัยชนะอีกด้วย 

ลูกหว้า เป็นผลไม้ที่เราอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกันเท่าไหร่ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ผลไม้ชนิดนี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะลูกหว้านั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอย่างวิตามินซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม และคาร์โบไฮเดรต ซึ่งถือว่ามีประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพ โดยนิยมนำผลสุกมารับประทานเป็นผลไม้ (ผลสุกจะมีลักษณะสีม่วงและดำ มีรสออกเปรี้ยวอมหวานและอมฝาด) และใช้ทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

นอกจากนี้ ลูกหว้า ยังมีสรรพคุณใช้เป็นยารักษาโรคและอาการต่างๆ อีกด้วย ด้วยการนำใบและเปลือกของต้นหว้ามาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย โดยจะมีสรรพคุณที่ค่อนข้างหลากหลาย เช่น ช่วยย่อยอาหาร ช่วยลดการจับตัวของลิ่มเลือด มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านโรคมะเร็ง เป็นต้น 

สรรพคุณของลูกหว้า
  • ประโยชน์ทางยา ใช้เปลือก มีรสฝาดรับประทานเป็นยาแก้บิด ต้มในน้ำเดือด แล้วอมแก้ปากเปื่อย คอเปื่อยและเป็นเม็ดแก้น้ำลายเหนียว
  • แพทย์พื้นบ้าน ใช้ใบและผล แก้บิดและท้องร่วง แก้ถ่ายเป็นมูกเลือด ต้มใบและผลในน้ำเดือด รับประทานหลังมีอาการ
  • เมล็ดในลูกหว้า แก้ปัสสาวะมาก แก้ท้องร่วงและบิด และถอนพิษแสลงใจ (พิษแสลงใจ หมายถึงอาการใจหวิว ใจสั่น หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ) ต้มในน้ำเดือด รับประทานหลังมีอาการ
  • ใช้ใบและเมล็ดหว้า นำมาต้มหรือบดให้ละเอียด แล้วนำมารับประทานเพื่อรักษาอาการของโรคเบาหวานได้ เนื่องจากมีสารชนิดหนึ่งที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
  • ใบและเมล็ดหว้า นำมาตำให้แหลกแล้วใช้ทารักษาโรคผิวหนังได้ หรือนำน้ำที่ได้มาล้างแผลเน่าเปื่อยได้
การใช้หว้าปรุงอาหาร

ยอดอ่อนของหว้าสามารถนำมารับประทานเป็นผักสดได้ ผลอ่อนมีสีแดง เมื่อผลแก่จัด มีสีดำม่วง รับประทานเป็นของหวาน และใช้ทำเป็นเครื่องดื่มหรือไวน์ได้ ส่วนน้ำจากลูกหว้าถือเป็น "น้ำปานะที่พระพุทธองค์ทรงมีพุทธานุญาตแก่พระภิกษุให้ฉันยามกาลิกได้ (ของที่พระภิกษุสงฆ์รับประเคนไว้แล้ว ฉันในช่วงหลังเที่ยงวันได้ทั้งวัน ทั้งคืนจนถึงก่อนรุ่งเช้า)

ข้อควรระวังในด้านรับประทานลูกหว้า

แม้ลูกหว้าจะมีประโยชน์หลายอย่าง แต่ในการนำมารับประทานก็มีข้อควรระวัง ดังนี้

  • สตรีมีครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการรับประทานลูกหว้าเพื่อสรรพคุณทางยา เนื่องจากยังไม่ปรากฏหลักฐานทางการแพทย์ที่เพียงพอจะยืนยันความปลอดภัยของการใช้ลูกหว้ารักษาปัญหาสุขภาพในสตรีมีครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตร
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องการรับประทานลูกหว้า ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อความปลอดภัยในการบริโภค เนื่องจากลูกหว้าดิบ 100 กรัม ให้พลังงานถึง 60 กิโลแคลอรี

bug huad ka

บักหวดข้า

บักหวดข่า หรือ มะหวดป่า ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lepisanthes rubiginosa (Roxb.) Leenh. อยู่ในวงศ์ Sapindaceae เป็นไม้พุ่มผลัดใบ หรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 15 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาล แตกเป็นร่องตามยาว กิ่งก้านมีขนละเอียด เมื่อยังอ่อนอยู่มีขนสั้นๆ กิ่งแขนงรูปทรงกระบอกเป็นร่อง ทรงพุ่มกลมหรือรูปไข่ มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น สีหวด (นครราชสีมา) กำซำ กะซ่ำ มะหวด (ภาคกลาง) ชันรู มะหวดบาท มะหวดลิง (ภาคตะวันออกเฉียงใต้) กำจำ (ภาคใต้) ซำ (ทั่วไป) นำซำ มะจำ (ภาคใต้) มะหวดป่า หวดคา (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) สีฮอกน้อย หวดลาว (ภาคเหนือ) หวดฆ่า (อุดรธานี) ภาษาเขมรท้องถิ่นไทยเรียกว่า "จันลุ ปรีย์" ผลสุกรสชาติค่อนข้างหวานกว่าพันธุ์ทั่วไป ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด และวิธีการทำกิ่งตอน เจริญเติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิด ชอบดินทุกชนิดที่ระบายน้ำได้ดี ชอบแสงแดดจัด ออกดอกราวเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ติดผลราวเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม

สรรพคุณของมะหวด

ตำรายาไทย ราก รสเมาเบื่อสุขุม รักษาอาการไข้ ตำพอกศีรษะแก้อาการไข้ปวดศีรษะ ตำพอกรักษาผิวหนังผื่นคัน แก้พิษฝีภายใน ขับพยาธิ วัณโรค แก้พิษร้อน แก้กระษัยเส้นเอ็น ต้มน้ำดื่ม แก้เบื่อเมา รากผสมกับสมุนไพรอื่น ต้มน้ำดื่ม แก้ซาง (โรคของเด็กเล็ก มีอาการเบื่ออาหาร ซึม มีเม็ดขึ้นในปากและคอ ลิ้นเป็นฝ้า) เปลือกต้น บำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ แก้บิด สมานแผล ใบ แก้ไข้ ผสมกับสมุนไพรอื่น ต้มน้าดื่มแก้ซาง ใบอ่อน รับประทานเป็นผักได้ ชาวบ้านใช้ใบรองพื้นและคลุมข้าวที่จะใช้ทำขนมจีนเพื่อกันบูด  ผล บำรุงกำลัง แก้ท้องร่วง ผลสุก มีรสจืดฝาด ถึงหวาน รับประทานเป็นผลไม้ แก้ท้องร่วง เมล็ด รสฝาด ต้มดื่มแก้ไข้ซาง แก้ไอกรน แก้ไอหอบในเด็ก แก้ไอเรื้อรัง  บำรุงเส้นเอ็น

bug keng

บักเค็ง

หมากเค็ง, บักเค็ง หรือ เขลง (Velvet tamarind) ชื่อวิทยาศาสตร์ Dialium cochinchinense pierre ชื่อวงศ์ LEGUMINOSAE – CAESALPINIOIDEAE ชื่ออื่นๆ : นางดำ หยี แคง แค็ง หมากแข้ง ฯลฯ พบตามป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณชื้นทั่วไปในภาคตะวันออก ภาคอีสาน ภาคใต้

เป็นไม้ต้น สูง 15-30 เมตร ใบประกอบแบบขนนก ปลายคลี่ เรียงสลับ ใบรูปไข่ถึงรูปรี กว้าง 1.5-4.5 เซนติเมตร ยาว 4-7 เซนติเมตร ปลายทู่ถึงแหลม โคนมนถึงค่อนข้างสอบ ขอบเรียบ ผิวใบเกลี้ยงหรือมีขนเล็กน้อย ดอกเล็กสีขาว ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ตามปลายกิ่ง ผลกลมรี ผลสุกสีดำ มีเมล็ดเดียว เป็นผลไม้พื้นบ้านที่พบเห็นได้ตามตลาดท้องถิ่นริมทางช่วงที่ผลสุก

ประโยชน์และสรรพคุณ

ผลดิบใช้ต้มเป็นน้ำดื่มแก้ไข้ ร้อนใน ผลอ่อนนำมาต้มกิน ยอดอ่อนนำมาจิ้มน้ำพริกได้ ส่วนผลสุกสีดำ รสชาติหวานปนฝาด เนื้อไม้นำมาทำเครื่องมือการเกษตรก่อสร้าง เปลือกและแก่นใช้ย้อมสีให้สีน้ำตาลอมแดง

bug kor 2

บักค้อ

บักค้อ หรือ ตะคร้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ : Schleichera oleosa (Lour.) Oken ชื่อวงศ์ : SAPINDACEAE มีชื่ออื่นๆ : กาซ้อง, คอส้ม (เลย) เคาะ (นครพนม, พิษณุโลก) ค้อ (กาญจนบุรี) เคาะจ้ก, มะเคาะ, มะจ้ก, มะโจ้ก (ภาคเหนือ) ตะคร้อไข่ (ภาคกลาง) ซะอู่เสก (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) กาซ้อ, คุ้ย (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) ปั้นรั้ว (เขมร-สุรินทร์) ปั้นโรง (เขมร-บุรีรัมย์) บักค้อ, ตะค้อ, หมากค้อ เป็นต้น ต้นกำเนิดของตะคร้อกระจายพันธุ์อยู่ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย ในต่างประเทศสามารถพบได้ที่ประเทศอินเดีย ศรีลังกา ภูมิภาคอินโดจีนและอินโดนีเซีย

เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีความสูงของต้นประมาณ 15-25 เมตร แตกกิ่งก้านต่ำ เรือนยอดมีลักษณะเป็นทรงพุ่มแผ่กว้าง กิ่งก้านมักคดงอ ลำต้นเป็นปุ่มปมและพูพอน เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลแดงหรือเป็นสีน้ำตาลเทา เปลือกแตกเป็นสะเก็ดหนา ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ปลายใบออกเป็นคู่ออกเรียงเวียนสลับเป็นกลุ่มตามปลายกิ่ง ใบย่อยติดเรียงตรงข้ามหรืออาจเยื้องกันเล็กน้อยประมาณ 1-4 คู่ ออกดอกเป็นช่อปลายยอดหรือตามซอกใบ ช่อดอกมีความยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร และช่อดอกมีลักษณะเป็นพวงแบบหางกระรอกห้อยลง

ผลเป็นรูปทรงกลม มีขนาดประมาณ 2-3 เซนติเมตร ปลายผลเป็นจะงอยแหลมและแข็ง เปลือกผลหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวผลเกลี้ยงเป็นสีเขียวอมน้ำตาลหรือเป็นสีน้ำตาล ภายในผลมีเมล็ด 1-2 เมล็ด มีเนื้อหุ้มเมล็ดใสสีเหลือง ลักษณะฉ่ำน้ำ และมีรสเปรี้ยว ใช้รับประทานได้ โดยจะออกผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนกรกฎาคม

ประโยชน์ของบักค้อ
  • เนื้อไม้ใช้ในอุตสาหกรรมไม้ ทำฟืนและถ่าน
  • เปลือก ใช้ย้อมสี
  • ใบอ่อน กินเป็นผัก
  • ผลกินเป็นยาระบาย
สรรพคุณทางยาของบักค้อ
  • เปลือกต้น เป็นยาสมานท้อ
  • ราก เปลือกราก หรือทั้งห้าส่วนเป็นยาแก้กษัย
  • ใช้ใบเป็นยาแก้ไข้ โดยใบแก่นำมาขยี้กับน้ำแล้วนำมาเช็ดตัว

bug pee puan

บักพีพ่วน

บักพีพ่วน หรือ หมากผีผวน หรือ ลูกนมวัว ชื่อวิทยาศาสตร์ : Uvaria rufa Blume ชื่อวงศ์ : Annonaceae และมีชื่ออื่นๆ อีกมากมายหลายชื่อ มีตั้งแต่ นมควาย (ภาคใต้), นมแมวป่า (เชียงใหม่), หำลิง (ตะวันออกเฉียงเหนือ), ติงตัง (นครราชสีมา), ตีนตั่งเครือ (อุบลฯ ศรีสะเกษ), พีพวน (อุดรธานี), สีม่วน (ชัยภูมิ) เป็นไม้ในตระกูลกระดังงา พบทั่วไปตามป่าเบญจพรรณ

มีลักษณะเป็นไม้พุ่มเลื้อย ลำต้นสูง 4-6 เมตร กิ่งอ่อนมีขนละเอียดสีน้ำตาลแดง ใบเดี่ยวสลับรูปวงรีหรือรูปไข่ ผิวใบมีขนสีน้ำตาลแดงทั้งสองด้าน กว้าง 2.5-3.5 ซม. ยาว 4.5-10 ซม. ดอกออกเป็นกระจุก 2-3 ดอกที่กิ่งก้าน กลีบดอกสีแดงเข้ม มีกลิ่นหอมแรงเวลากลางคืน

ผลออกเป็นกลุ่มรูปไข่หรือไข่กลับ ขนาดผลเท่าลูกตำลึง ปกคลุมด้วยขนหนาแน่น ขนาดยาว 2-3 ซม. แต่ละช่อมี 4-20 ผล เมื่อยังอ่อนสีเขียว ก่อนจะกลายเป็นสีเหลือง และเมื่อแก่จะมีสีแดงเข้ม ส่วนเนื้อข้างในผลสีขาวขุ่นหุ้มเม็ดในสีดำไว้ ก้านผลยาว 1-4 ซม. มีเมล็ด 10-20 เมล็ด ผลอ่อนตำผสมน้ำทาแก้เม็ดผดผื่นคัน เมื่อสุกมีรสชาติเปรี้ยวรับประทานได้ โดยต้องปอกเปลือกออก และเปิบได้ทั้งเมล็ด เนื่องจากเนื้อและเมล็ดติดกัน สามารถขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

สรรพคุณ
  • ตำรายาไทย เนื้อไม้และราก แก้ไข้กลับไข้ซ้ำ ต้มกินแก้ไข้เนื่องจากกินของแสลง ราก แก้ผอมแห้งสำหรับสตรีที่อยู่ไฟไม่ได้หลังการคลอดบุตร ใช้เป็นยากระตุ้นการคลอด บำรุงน้ำนม รากและเนื้อไม้ รักษาอาการไข้ไม่สม่ำเสมอ ผล แก้เม็ดผื่นคันตามตัว เป็นยาเย็นถอนพิษ ผลสุก บดกับน้ำ ทาแก้ผดผื่นคัน รักษาโรคหืด
  • ชาวบ้านแถบหมู่เกาะลูซอล และมินดาเนา ของฟิลิปปินส์ใช้ ราก แช่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ให้หญิงที่จะคลอดบุตรกิน เพื่อเพิ่มการบีบตัวของมดลูก ช่วยเร่งการคลอดบุตร

ปัจจุบันหมากผีผวนเริ่มมีจำนวนลดลง เพราะไม่ค่อยมีชาวบ้านนิยมปลูกกันสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ต้องไปหาเก็บกินตามป่า ตามดง โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนไทยกับกัมพูชา (เมื่อหลายปีก่อน ผู้เขียนเคยเดินทางไปท่องเที่ยวที่กัมพูชาทางรถยนต์ ออกทางด้านช่องจอมไปพระตระบอง เสียมราฐ โตนเลสาป ข้างทางมีชาวบ้านนำหมากพีพ่วนมาขายเยอะมาก)

mak som mor

หมากส้มมอ

หมากส้มมอ หรือ สมอไทย เป็นผลไม้ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนไปได้ถึงสมัยพุทธกาล เป็นทั้งส่วนประกอบของอาหารและเครื่องยาตัวสำคัญของตำรายาไทย  กินได้ทั้งแบบสด แห้งหรือดองเก็บไว้ก็กินได้อร่อย ไม่คลายประโยชน์เลย เป็นพืชพื้นเมืองของอินเดียใต้ เนปาล จีน ศรีลังกา มาเลเซียและเวียดนาม ไต้หวัน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Terminalia Chebuia Retz เป็นผลไม้ป่าที่มีหลายชื่อแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ คนเชียงใหม่เรียก ม่าแน่ ใกล้ๆ กับแม่ฮ่องสอนที่เรียกว่า หมากแน่ะ ส่วนภาคกลางมีทั้ง สมออัพยา และสมอไทย คนทางภาคอีสานเรียกทั้ง หมากส้มมอ บักส้มมอ คนโคราชเรียก สมอ

ลูกหมากส้มมอ ที่ใช้กินเป็นผลวงรี มีเหลี่ยม กว้างยาวประมาณ 1 นิ้ว ผิวเกลี้ยง ตอนที่ยังอ่อนเป็นสีเขียวสด ตอนแก่จะเป็นสีเขียวออกเหลือง ตอนแห้งจะเป็นสีดำ ข้างในมีเมล็ดแข็ง 1 เมล็ด ที่เมื่อแห้งแล้วจะเป็นสีดำ ลูกหมากส้มมอออกเป็นพวงจากช่อดอกสีขาวนวล ส่วนลำต้นสูงประมาณ 10-15 เมตร มักอยู่ตามป่าเบญจพรรณ เต็งรัง ป่าดิบแล้ง และตามทุ่ง หมากส้มมอจัดเป็นผลไม้ในฤดูหนาว มันจะออกดอกในช่วงเดือนเมษายนถึงถึงมิถุนายน และติดผลราวเดือนกันยายนถึงธันวาคม เมื่อกินสด จะได้รสเปรี้ยวอมฝาด กินแล้วจะกระตุ้นให้น้ำลายไหล อยากอาหาร

นอกจากเป็นอาหารแล้ว เปลือกของต้นหมากส้มมอซึ่งมีสีน้ำตาลปนเทา สามารถนำมาใช้ย้อมผ้าซึ่งจะให้สีดำและสีเขียว โดยนำเปลือกมาต้มจนงวด แล้วใส่เส้นใยที่ต้องการย้อมลงไป จะได้สีดำแกมเขียว แต่ถ้าใส่ผ้าที่ย้อมครามลงไปจะได้สีเขียว

ผลเป็นยารักษาแทบทุกโรค

สิ่งที่ทำให้ หมากส้มมอ เป็นที่นิยม น่าจะเป็นประโยชน์ทางยาที่มีมากมาย จากการที่มีหลายรสชาติในตัวเอง ทั้งเปรี้ยว ฝาด หวาน ขม เพราะตามตำรายาไทย แต่ละรสของสมุนไพรจะบอกสรรพคุณทางยา จนถูกจัดให้เป็นราชาสมุนไพร ถึงกับมีการพูดกันว่า กินหมากส้มมออย่างเดียวเท่ากับกินสมุนไพรหลายอย่าง

ไม่ว่าจะเป็นยาระบายเมื่อกินผลสดตอนอ่อน ช่วยให้ขับถ่ายดีและแก้ริดสีดวงทวาร นำหมากส้มมอที่ยังอ่อนอยู่ 5-6 ลูกต้มกับน้ำ 1 ถ้วย เหยาะเกลือเล็กน้อย กินรวดเดียว หลังจาก 2 ชั่วโมงยาจะออกฤทธิ์ให้ขับถ่าย ในตัวมันเองยังสามารถช่วยสมานรักษาโรคท้องร่วงได้ด้วยเมื่อกินผลแก่ รวมถึงใช้เป็นยาสมานลำไส้อักเสบ

นอกจากนี้ยังแก้เจ็บคอได้ ด้วยการอมกลั้วในปาก รสเปรี้ยวของมันสามารถละลายเสมหะ แก้ไอ และแก้กระหายน้ำ โดยเอาเนื้อหมากส้มมอตำผสมผสมเกลือและข่าแก่ให้แหลก แล้วอมทีละประมาณปลายนิ้วก้อย เก็บไว้ในตู้เย็น กินต่อเนื่องประมาณ 1 สัปดาห์อาการคันคอจะหายไป

ผลหมากส้มมอยังใช้ทารักษาแผลได้ด้วย เมื่อนำผลมาบดละเอียด แล้วเอาไปโรยบนแผลเรื้อรัง และยังสามารถนำไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆ ได้แก่ รากกระชายป่า เปลือกตะโกนา เปลือกมะคำไก่ หัวแห้วหมู รากต้นแจง ต้มกับน้ำ ใส่น้ำผึ้งลงไป กินทุกวันจะแก้ผิวที่เป็นกระได้

หมากส้มมอ หรือ สมอไทย ยังเป็นผลไม้ที่เรียกกันว่า "พุทธโอสถ" เพราะในพระไตรปิฎกระบุไว้ว่า พระสงฆ์ฉันผลสมอไทยเป็นยาหลัก โดยใช้ผลสมอสดๆ ดองกับน้ำมูตรโคหรือไม่ก็ปัสสาวะของตน รักษาโรคหลายอย่างโดยเฉพาะโรคดีซ่าน ยังมีพระพุทธรูปปางฉันสมอด้วย ซึ่งเป็นปางที่พระพุทธเจ้าวางพระหัตถ์ขวาที่มีลูกสมอวางอยู่ไว้บนเข่า ส่วนพระหัตถ์ซ้ายวางบนตัก ในท่านั่งขัดสมาธิ มาจากตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาแล้ว 49 วัน โดยที่ไม่ได้ฉันอาหาร ท้าวสักเทวราชจึงนำผลสมอซึ่งถือเป็นทิพยโอสถจากเทวโลกมาถวาย พระพุทธเจ้าเสวยแล้วบ้วนพระโอษฐ์

ในตำราอายุรเวทของอินเดีย หมากส้มมอยังเป็นหนึ่งในผลไม้สามอย่างที่เรียกว่า "ตรีผลา" ร่วมกับสมอเทศและมะขามป้อม ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ใช้ปรับธาตุในร่างกายในฤดูร้อนที่อาหารมักบูดง่าย จนทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้แปรปรวน  พิธีแต่งงานของชาวอินเดียในรัฐอัสสัม ครอบครัวฝ่ายเจ้าบ่าวตัองมอบของขวัญเป็นผลไม้แห้งแบบพิเศษให้กับเจ้าสาว หนึ่งในนั้นคือ ลูกสมอหรือหมากส้มมอแห้ง ที่ปกติแล้วพวกเขาจะกินเฉพาะเวลาที่เป็นแผลในปากเท่านั้น

หมากส้มมอเป็นอาหารก็ดี

หมากส้มมอ กินได้หลายแบบ หากกัดผลสดทีละนิดจะได้รสเปรี้ยวอมฝาดนิดๆ ให้ดื่มน้ำตามจะได้รสหวานชุ่มคอ แล้วรสหวานก็กระจายไปทั่วปาก หรือแค่จิ้มเกลือกินเฉยๆ เหมือนกับกินมะม่วงดิบก็ได้ บางคนนิยมกินกับน้ำพริกกะปิ โดยจะทุบหมากส้มมอ นำไปแช่น้ำเกลือก่อน บางบ้านโขลกหมากส้มมอหยาบๆ คลุกกินกับพริกขี้หนูโขลก ใส่น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ได้หลายรสในคราวเดียวทั้งขม เผ็ด เค็ม และหวาน

ในตำราอาหารโบราณดั้งเดิม มีวิธีการทำอาหารด้วยสมอไทยเรียกว่า ทำแกงคั่วสมอไทย หรือจะนำไปทำการแช่อิ่มหรือดอง ช่วยยืดเวลาของหมากส้มมอต่อไปได้อีก อีกสูตรหนึ่งคือ ดองน้ำผึ้ง นำผลเรียงให้เต็มโหลแก้วแช่ในน้ำผึ้งจนท่วม ทิ้งไว้ 3 เดือน ก็กินได้ด้วยการตักน้ำผึ้ง 1 ช้อนชาละลายน้ำอุ่น กินบำรุงร่างกาย ดีนักแล

bug klua

บักเกลือ

บักเกลือ หรือ มะเกลือ (Ebony tree) มีชื่อวิทยาศาสตร์ : Diospyros mollis Griff. จัดอยู่ในวงศ์มะพลับ (EBENACEAE) สมุนไพรมะเกลือ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มักเกลือ (เขมร-ตราด), มักเกลือ หมักเกลือ มะเกลือ (ตราด), ผีเผา ผีผา (ฉาน-ภาคเหนือ), มะเกือ มะเกีย (ภาคเหนือ), เกลือ (ภาคใต้), มะเกลื้อ (ทั่วไป) บักเกีย หมากเกีย (ชัยภูมิ)

พบขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วไป เรือนยอดเป็นพุ่มกลมกิ่งอ่อนมีขนนุ่ม ผลดิบของมะเกลือมีสรรพคุณเป็นยา จัดเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง สมัยก่อนนิยมใช้ยางผลมะเกลือไปย้อมผ้า ผลที่เปลือกเป็นสีดำ เมื่อรับประทานทำให้หน้ามืด ตาลายตาพร่ามัว อาเจียน ท้องเดินและตาบอดได้ มะเกลือเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลของจังหวัดสุพรรณบุรี

สรรพคุณทางยา
  • ช่วยแก้กระษัย
  • ราก ฝนกับน้ำซาวข้าว รับประทานแก้อาเจียน แก้ลม รักษาโรคริดสีดวงทวาร
  • ลำต้น ช่วยแก้ซางตานขโมย
  • ผลมะเกลือสดและเขียวจัด เป็นสมุนไพรยอดเยี่ยมที่สุดในการถ่ายพยาธิ กำจัดตัวตืด หรือไส้เดือนตัวกลม พยาธิปากขอ พยาธิเข็มหมุด โดยการนำผลสดโตเต็มที่และเขียวจัด จำนวนผลเท่าอายุแต่ไม่เกิน 25 ผล (คนไข้อายุ 40 ปี ใช้เพียง 25 ผล) ตำใส่กะทิ คั้นเอาแต่น้ำกะทิ ช่วยกลบรสเฝื่อน ควรรับประทานขณะท้องว่าง ถ้า 3 ชั่วโมงแล้วยังไม่ถ่ายใช้ยาระบาย เช่น ดีเกลือ 2 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำดื่มตามลงไป
  • แก่นของต้น ช่วยแก้ฝีในท้อง
  • เปลือกของต้น ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร
  • ลำต้น ใช้ต้มกับน้ำอาบช่วยรักษาโรคดีซ่าน
  • ใบมะเกลือ นำมาตำคั้นเอาแต่น้ำผสมกับสุรา ใช้ดื่มแก้อาการตกเลือดภายหลังการคลอดบุตรของสตรี
ข้อควรระวังอย่าให้เกินขนาด
  • ถ้าเกิดอาการท้องเดินหลายๆ ครั้ง และมีอาการตามัวให้รีบพาไปพบหมดด่วน
  • ใช้มากอาจมีผลกับสายตา จนถึงขั้นตาบอดได้
การย้อมผ้าให้เป็นสีดำด้วยมะเกลือ

จากชื่อของมะเกลือในภาษาอังกฤษ Ebony tree คำว่า ebony จะใช้แทนคนที่มีผิวสีดำ คล้ำ ผลมะเกลือก็เช่นกันมีคุณสมบัติสร้างสีย้อมผ้าเป็นสีดำได้

วิธีแรก ด้วยการนำผลดิบมาตำให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำสีเหลืองมาใช้ย้อมผ้า ผ้านั้นจะมีสีเหลือง แต่เมื่อตากให้แห้งจะมีสีเขียว จะต้องทำการย้อมและตากแห้งอย่างนี้ซ้ำๆ กัน 5-6 ครั้ง ผ้าจะเปลี่ยนสีจนกระทั่งกลายเป็นสีดำตามต้องการ

วิธีที่สอง คือ นำผลสุกสีดำมาบดละเอียด กรองแต่น้ำสีดำมาย้อมผ้า โดยย้อมแล้วตาก แล้วนำกลับมาย้อมซ้ำอีกประมาณ 3 ครั้ง ถ้าจะให้ผ้ามีสีดำสนิทและเป็นมันเงาด้วย ให้นำผ้าไปหมักในดินโคลน (ดินเหนียวที่ตกตะกอนละเอียดนำมาผสมน้ำ) 1–2 คืน หรืออย่างน้อย 5 ชั่วโมง แล้วจากนั้นจึงนำมาซักให้สะอาด การย้อมผ้าด้วยมะเกลือ ค่อนข้างที่จะใช้เวลามาก ปัจจุบันจึงมีการเปลี่ยนไปใช้สีสังเคราะห์แทน เพราะสะดวกและใช้เวลาไม่มาก แต่ปัญหาที่พบ คือ สีสังเคราะห์ ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ย้อม ซึ่งอาการ คือ ผิวหนังเป็นผื่นอักเสบและติดเชื้อได้ง่าย ตาอักเสบ จึงมีการนำมะเกลือมาใช้ย้อมผ้ากันเช่นเดิม

 lilred

backled1

isan word tip

ประตูสู่อีสานบ้านเฮา

IsanGate.com

ปณิธานของเรา :

"ชนชาติที่เป็นอารยะ ต้องมีรากเหง้า และที่มาอันยาวนาน ด้วยภาษาและขนบธรรมเนียมของตนเอง"

: Our Web Site.

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail
นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)

Ribbon