99/169 Sarin7 UBN 34190 081 878 3521 This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
  • ธรรมะในดินแดนอีสาน

    พุทธศาสนา : งดงามในดินแดนอีสาน

  • เทียนพรรษา

    งานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี

  • เที่ยวนครพนม

    เที่ยวนครพนมชมความงดงามริมแม่น้ำโขง

  • ธรรมชาติงดงามบนภูกระดึง

    ความสุขที่คุณเดินได้เพื่อพิชิตภูกระดึง

  • สามพันโบก

    รุ่งอรุณ ณ สามพันโบก มหัศจรรย์กลางลำน้ำโขง

  • รุ่งอรุณ ณ ผาแต้ม

    ตะวันขึ้นก่อนใครในสยามประเทศ ผาแต้ม

  • เขาใหญ่

    ไปชื่นชมธรรมชาติมรดกโลกที่เขาใหญ่กัน

  • ผามออีแดง

    ปลายฝนต้นหนาวไปชมทะเลหมอก ณ ผามออีแดง

  • ม่วนซื่นโฮแซวแนวอีสาน

    อีสานมีทั้งธรรมชาติสวยงาม ผลไม้ขึ้นชื่อ งานประเพณีแปลกตา

  • ตะวันตกดิน

    มุมสงบใจให้ดื่มด่ำยามพลบค่ำสิ้นแสงสุรีย์

: Our Sponsor

adv200x300 2

: Our Fanpage

: My Web Site

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail
27 ปีแห่งการสร้างสรรค์ประตูสู่อีสาน

เจ้าหัวกับจัวน้อย

nitan boran

เจ้าหัวกับจัวน้อย หรือ หลวงพ่อกับเณรน้อย เป็นนิทานพื้นบ้านอีสานที่เล่าสืบต่อกันมาแบบปากต่อปาก เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความฉลาดแกมโกงของสามเณรที่ชอบแกล้ง และอยากเอาชนะหลวงพ่อที่รู้ไม่เท่าทัน มีหลายตอนหลายสถานการณ์ ไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้แต่งหรือใครเล่าเป็นคนแรก เป็นการเล่าเพื่อให้เกิดความสนุกสนานครื้นเครง หรือผ่อนคลายในโอกาสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในงานบุญ งานสังสรรค์ หรือเป็นนิทานก่อนนอนเล่าให้เด็กๆ ฟัง เนื้อเรื่องจึงอาจมีความเหมือนและแตกต่างกันไปตามแต่อารมณ์ของผู้เล่าและผู้ฟัง

นิทานเรื่องหลวงพ่อกับเณรน้อย นั้นเป็นนิทานตลกขบขัน มีหลายสำนวนที่แตกต่างกันด้วยบริบท สถานที่ กิจกรรม มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยเพื่อให้ผู้ฟังสามารถจินตนาการเข้าใจในเนื้อหาได้ง่าย ในที่นี้จะยกมานำเสนอเป็นตัวอย่าง เรื่อง

1. หลวงพ่อบ่มักของหวาน

นิทานเจ้าหัวกับจัวน้อยตอนนี้ กล่าวถึงความเฉลียวฉลาดของสามเณรที่สามารถเอาชนะหลวงพ่อในการได้ฉันขนมหวานก่อนหลวงพ่อ เรื่องมีอยู่ว่า

ในวัดแห่งหนึ่งของอีสาน มีพระสงฆ์และสามเณรจำนวน 11 รูป เมื่อมารับบิณฑบาตรหรือฉันอาหารเช้า-เพล ก็จะเรียงลำดับตามอาวุโสจากเจ้าอาวาส (หลวงพ่อ) ถัดมาตามด้วยพระที่เรียงตามอาวุโสการบวช จนสุดท้ายจบที่สามเณร (จัวน้อย) การถวายอาหารและจตุปัจจัยก็จะเรียงตามลำดับอาวุโสด้วย

วันหนึ่ง ได้รับนิมนต์ให้ไปรับบิณฑบาตรและฉันภัตตาหารเช้า ที่งานขึ้นบ้านใหม่ของโยมในหมู่บ้าน เมื่อนั่งบนอาสนะที่เจ้าภาพจัดให้ก็จะมีการตักบาตร และถวายภัตตาหารเช้ากับพระสงฆ์

liang pra

เมื่อถึงช่วงถวายอาหาร เณรน้อยเหลือบไปเห็นว่า อาหารคาว ข้าว แกงต่างๆ มีครบองค์คณะ แต่ๆๆๆ... ของหวานนับได้แค่ 10 ถ้วย เมื่อโยมถวายต้องมาไม่ถึงเณรน้อยเป็นแน่แท้ ปากไวดังความคิดเอ่ยออกไปว่า "หลวงพ่อเพิ่นบ่มักของหวานเด้อโยม"

โยมได้ยินก็ชะงักเล็กน้อยจึงขยับมาถวายที่พระรูปที่ 2 เรื่อยมาจนถึงเณรน้อยดังหวัง เจ้าภาพได้กล่าวนำถวายภัตตาหาร หลังจากนั้นพระสงฆ์ให้ศีลให้พรแก่ญาติโยม ฉันภัตตาหารจนเสร็จสิ้นก็บอกลากลับวัด

ลงจากบ้านงาน เณรน้อยรีบจำอ้าวกลับวัดโดยไว หลวงพ่อต้องตะโกนเรียกตามว่า "บักใด๋มันบอกว่า หลวงพ่อบ่มักของหวาน มานี่..."

ความขบขันในเรื่องนี้ คือ การที่เณรชิงไหวชิงพริบจนได้ของหวานที่ญาติโยมมาถวาย เพราะนับตามอาวุโสแล้ว ขนมหวานมีไม่ครบองค์ต้องแห้วแน่นอน เลยถือโอกาสเบรกการถวายที่หัวแถวลดลงมาอีกเล็กน้อย สำเร็จดังใจหมาย...

2. หวานปานขี้ไก่

นิทานเรื่องนี้ เป็นเรื่องความฉลาดแกมโกง ผสมความขี้เกียจของเณรน้อย

ในตอนเช้ามื้อหนึ่ง หลวงพ่อได้รับกิจนิมนต์เข้าไปฉันภัตตาหารเช้าที่บ้านโยม กะได้สั่งเณรน้อยว่า “น้อย น้อย หลวงพ่อสิไปในหมู่บ้านตามกิจนิมนต์เด้อ อยู่วัดอยู่กุฏิกะให้เบิ่งดีๆ อย่าให้ไก่มาขี้ใส่เด้อ คันไก่มาขี้ใส่ได้สิลงโทษอย่างหนัก” สั่งแล้วกะเข้าไปในหมู่บ้าน

เณรน้อยนั้นกะเป็นคนขี้คร้าน บ่อยากเฮ็ดตามหลวงพ่อบอก แต่กะอยากฮู้ว่า คันบ่ทำตามสั่งสิเกิดอีหยังขึ้น เลยวางแผนอุบายแกล้งหลอกหลวงพ่อ ด้วยการไปเอาน้ำอ้อยไปหยอดไว้หม่องนั้นหม่องนี่ เริ่มตั้งแต่บ่อนหัวคันไดขึ้นมา หยอดให้คือกองขี้ไก่ หยอดแล้วกะคอยเฝ้าไล่ไก่บ่ให้ขึ้นกุฏิ พอประมาณเวลาว่าหลวงพ่อสิกลับมา เณรน้อยกะทำท่าบ่ได้อยู่เฝ้ากุฏิ ไปหย่างเล่นทางอื่นเสย

หลวงพ่อกลับมาเห็นกองน้ำอ้อย ว่าแม่น "กองขี้ไก่" เลากะสูนวะสั่นฮ้องหาเณรน้อยว่า “น้อยเอ้ยน้อย เจ้าไปเฮ็ดหยังอยู่ไส เป็นหยังจั่งบ่มาเฝ้ากุฏิ ปล่อยให้ไก่มาขี้ใส่เต็มเลยเนี่ย” พอเณรน้อยมาเถิงแล้ว หลวงพ่อกะสั่งลงโทษให้กินขี้ไก่ให้เบิดสู่กองอย่าให้เหลือ

เณรน้อยกะทำท่าเป็นอิดออดบ่อยากกิน แต่ในที่สุดกะเอามือต้วยกองขี้ไก่ใส่ปาก จากกองนั้นไปกองนี่ พร้อมทั้งเว้าในลำคอว่า "ฮู้แซบๆ ฮู้หวานดีแซบ" พอหลวงพ่อเห็นเณรน้อยกินเป็นตาแซบกะถามว่า "มันแซบอิหลีติน้อยมันบ่เหม็นติ"

เณรน้อยกะบอกว่า "แซบอิหลีหลวงพ่อลองซิมเบิ่ง" หลวงพ่อกะเลยเอามือต้วยมาซิม "โฮ้... หวานหอมแซบดี ขี้ไก่มันแซบจั่งซี่ปล่อยให้ไก่มาขี้ใส่กุฏิดนแล้ว มื้ออื่นบ่ต้องไล่มันเด้อน้อย" เณรน้อยกะหัวอยู่ในใจ

มื้อต่อมากะสั่งเณรน้อยว่า น้อยๆ มื้อนี่ปล่อยให้ไก่มันขี้ใส่หลายๆ เด้อ เณรน้อยเลยหนีไปหาเล่นหม่องอื่น พอหลวงพ่อกลับมาเห็นไก่อยู่กุฏิกะดีใจ เลาติดใจรสชาติขี้ไก่ ลาวกะเอามือต้วยขี้ไก่มาเลียกิน เอ๊ะ กองนี่มันคือบ่แซบว่ะ เป็นเหม็นๆนำ สงสัยกะไปหาซิมกองอื่น เณรน้อยฮ้องถามหลวงพ่อว่า "เป็นจังใด๋หลวงพ่อแซบบ่" "หื้อ! มันเป็นเหม็นๆ ส้มๆ" หลวงพ่อเบ๋ปากตอบ เณรน้อยกะหัวย่ามๆ บอกไปว่า "ไผว่าขี้ไก่มันแซบ ขี้ไก่มันบ่แซบเดิก กั้กๆๆๆ" หลวงพ่อเสียท่าเสียฮู้เณรน้อยเสียแล้วมื้อนี้

ความขบขันของเรื่องนี้ คือความรู้ไม่เท่าทันของหลวงพ่อทำให้เสียรู้ให้แก่เณรน้อย

3. ไฟไหม้หัวแม่ตีนหลวงพ่อ

หลวงพ่อกับเณรน้อย

4. โลภมากมักลาภหาย

นิทานเรื่องนี้สอนเรื่อง อย่าคาดเดา มโนเอาเอง บางอย่างก็จำเป็นต้องใช้วาจาหลีกเลี่ยงบ้าง ต้องพิจารณาให้ดี

เดือนสี่ฤกษ์ดีของชาวบ้าน ในการหาแรงงานเพิ่มในครอบครัวช่วยเหลือการทำไร่นา ด้วยการแต่งดองหาเขยให้ลูกสาว หรือหาสะใภ้ให้ลูกชาย การจัดงานแต่งดองก็ต้องมีการทำบุญเลี้ยงพระเป็นสิริมงคล เจ้าภาพงานก็ต้องไปนิมนต์พระที่วัด แน่นอนว่า "ฤกษ์ดีมักจะเป็นวันเดียวกัน ไม่ปรึกษาทางวัดเลยน้อ"

วันนี้มีเจ้าภาพมานิมนต์สองงานตรงกันในวันเดียวกัน หลวงพ่อก็ไม่ขัดข้องได้รับกิจนิมนต์เจ้าภาพไว้ทั้งสองงาน เมื่อเจ้าภาพทั้งสองมาพบกันก็พูดคุยถึงการจัดงาน งานแรกเป็นพ่อเจ้าสาวมานิมนต์ไปงานแต่งเอาเขยเข้าบ้าน และหลวงพ่อจึงถามว่า "มีอะไรเลี้ยงฉลองบ้างล่ะโยม" ได้รับคำตอบว่า "มีคั่วงาฉลอง"

งานที่สองเป็นพ่อเจ้าบ่าวมานิมนต์หลวงพ่อไปงานแต่งเอาสะใภ้เข้าบ้าน หลวงพ่อถามว่า "ได้อะไรเลี้ยงฉลองล่ะโยม" ได้รับคำตอบว่า “มีบักแดงเขาโขงฉลอง” หลวงพ่อจึงได้บอกโยมทั้งสองว่า เดี๋ยววันงานจะแบ่งพระแยกกันไปทั้งสองงานแน่นอน

เมื่อโยมทั้งสองกลับไปแล้ว จึงเรียกพระเณรมาปรึกษาเรื่องไปงานกิจนิมนต์ทั้งสองงาน โดยแยกเป็นสองชุด ชุดที่หนึ่งมีหลวงพ่อเป็นหัวหน้าคณะ อีกชุดให้รองเจ้าอาวาสไปเป็นประธานอีกคณะโดยให้เณรน้อยไปกับชุดที่สอง โดยหลวงพ่อก็ชิงตัดหน้าพูดไปก่อนว่า งานของพ่อเจ้าสาวให้เณรน้อยไป ส่วนงานพ่อเจ้าบ่าวหลวงพ่อจะไปเอง

พอถึงวันงาน เจ้าภาพทั้งสองมารับคณะของหลวงพ่อและคณะของเณรน้อยไปงาน จนได้เวลาสมควรขากลับเจ้าภาพงานหลวงพ่อมาส่งหลวงพ่อก่อน ถึงวัดหลวงพ่อแสดงสีหน้าผิดหวัง ส่วนเจ้าภาพของเณรน้อยมาส่งเณรน้อยทีหลัง แต่เณรน้อยแสดงสีหน้ายินดี หลวงพ่อจึงถามเณรน้อยว่า เณรน้อยได้ฉันอะไรในงานแต่ง เณรน้อยบอกว่า “ได้ฉันลาบวัวน้อยตั่วล่ะหลวงพ่อ” และเณรน้อยจึงถามหลวงพ่อกลับไปว่า “หลวงพ่อได้ฉันอะไรในงานแต่ง” หลวงพ่อตอบด้วยความโมโหว่า “ได้ฉันพริกกับมะขาม”

ความตลกขบขันในเรื่องนี้เกิดจากการใช้ภาษาของเจ้าภาพ ที่ใช้คำผวนว่า “คั่วงา” ก็คือ “ฆ่าวัว” เพื่อไม่ให้ดูผิดศีลข้อ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และการตีความผิดของหลวงพ่อเองที่เข้าใจว่า “บักแดงเขาโขง” คือ ควายสีแดงตัวโต แต่แท้จริงแล้ว บักแดง คือ พริก ส่วน เขาโขง คือ มะขาม ในภาษาอีสานนั่นเอง งานนี้หลวงพ่อได้ฉัน "เข้ากับแจ่วบักขาม" เต็มคราบ ความขบขันจึงเกิดขึ้นจากการที่หลวงพ่อเสียเปรียบเณรน้อยเพราะ "ความละโมบ" ของตัวเอง

5. หลวงพ่อก่ำ

วัดในชนบทห่างไกลมักจะมีพระน้อยรูป หาคนบวชยาก ส่วนใหญ่จะบวชชั่วคราวเพื่อแก้เคล็ด แก้บน หรือบวชหน้าไฟในงานศพคนในครอบครัว วัดนี้ก็เช่นกัน มีเพียงหลวงพ่อชื่อ ก่ำ อยู่กับ เณรน้อยชื่อว่า อี๋ หลวงพ่อบวชตอนแก่จึงไม่ได้เรียนหนังสือ ส่วนเณรน้อยได้ไปเรียนหนังสือชั้นประถมศึกษาภาคบังคับอยู่โรงเรียนในตัวเมืองจึงพอมีความรู้อยู่บ้าง

วัดนี้ญาติโยมไม่ค่อยศรัทธาก็เพราะหลวงพ่อไม่ได้หนังสือ ไม่มีความรู้พอที่จะถ่ายทอดให้การศึกษาอบรมให้กับชาวบ้าน การขบฉันจึงอัตคัตขาดแคลน ไม่ค่อยมีการถวายอาหารดีๆ ในวันศีลวันพระ

วันหนึ่งหลวงพ่อจึงปรึกษาเณรน้อยว่า "มีอุบายให้โยมมาศรัทธาเลื่อมใสหรือไม่" เณรน้อยจึงคิดอุบายอย่างหนึ่งให้ โดยออกไปข้างวัดเห็นไถชาวนาวางไว้จึงแอบเอาไปซ่อนไว้ ชาวนากลับมาไม่เห็นไถจึงถามเณรน้อย แต่เณรน้อยจึงบอกให้ไปถามหลวงพ่อก่ำท่านเป็นพระหมอดู พอชาวนาจึงไปถามหลวงพ่อที่วัด หลวงพ่อจึงทำทีบวกลบคูณหารแล้วบอกว่า “นับจากที่วางไถไปสิบก้าวจะเห็นไถ” ชาวนาได้พบไถตามที่หลวงพ่อบอก ทำให้ชื่อเสียงหลวงพ่อก่ำขจรไปอีก จนชาวบ้านเกิดศรัทธานำอาหารมาถวายมากมาย

ต่อมามีหลวงพ่อรูปหนึ่งชื่อ ผาง อยู่วัดในหมู่บ้านใกล้กัน และมีเด็กวัดคนหนึ่งชื่อ แหมบ เด็กวัดคนนี้ขโมยเงินหลวงพ่อผาง ท่านจึงให้เด็กวัดคนนั้นไปตามหลวงพ่อก่ำมาช่วย ในขณะที่กำลังเดินทางไปวัดนั้นเด็กวัดชื่อ แหมบ เดินนำหน้า หลวงพ่อขี่ม้าอยู่กลาง เณรน้อยเดินตามหลังหลวงพ่อพร้อมกับบ่นว่า “ตายแน่ไอ้แหมบคราวนี้” เด็กชายแหมบได้ยินเข้าก็คิดว่า "หลวงพ่อรู้ว่าตนเป็นคนขโมยแน่ๆ" จึงรับสารภาพว่า ตนเอาเงินไปซ่อนไว้ใต้อาสนะ หลวงพ่อก่ำจึงได้บอกหลวงพ่อผางว่าเงินอยู่ใต้อาสนะ หลวงพ่อผางเห็นเงินจึงดีใจ ได้กล่าวถึงหลวงพ่อก่ำต่อญาติโยมอยู่เนืองๆ ทำให้ชื่อเสียงหลวงพ่อก่ำจึงขจรไกลไปอีก

ต่อมามีทหารคนหนึ่งทำปืนหาย มาขอร้องให้หลวงพ่อก่ำให้ช่วย หลวงพ่อไม่ทราบจึงขอผลัดให้ทหารมาอีกสามวัน เมื่อครบวันที่สาม หลวงพ่อคิดว่าตัวเองต้องถูกเปิดโปงแน่ จึงคิดฆ่าตัวตายและไปปรึกษาเณรน้อย เณรน้อยได้ทีจึงแนะให้ไปกระโดดน้ำตายหน้าวัด ในขณะที่หลวงพ่อกระโจนลงน้ำไปมือบังเอิญคว้าถูกปืนในน้ำได้พอดี จึงบอกเณรน้อยให้รีบไปช่วยดำน้ำเอาปืนขึ้นมา วันรุ่งขึ้นทหารมาพร้อมเพื่อนฝูง พบว่า เป็นปืนของตัวเองจริง ๆ ทำให้ชื่อเสียงของหลวงพ่อก่ำขจรไปอีก

ต่อมาเจ้าเมืองทำบุญประจำปีอยากนิมนต์พระดังมาเทศน์ จึงมานิมนต์หลวงพ่อก่ำมาเทศน์ หลวงพ่อได้ข่าวแทบเป็นลมเพราะอ่านหนังสือไม่ออก ปรึกษาเณรน้อย เณรน้อยจึงออกอุบายให้ว่า พอออกจากวัดไปให้จำชื่อต้นไม้ให้ได้มากๆ พอขึ้นเทศน์ให้ไล่เรียงชื่อต้นไม้ บอกว่าเป็นตอนหนึ่งในกัณฑ์มัทรีของพระเวสสันดรชาดก ส่วนที่เหลือบอกว่าจะให้เณรน้อยเทศน์ต่อ หลวงพ่อทำตามที่เณรน้อยบอก เณรน้อยมีไหวพริบเทศน์เก่งมากจนชาวบ้านชอบใจถามชื่อเสียงเรียงนาม หลวงพ่อได้ทีจึงบอกชาวบ้านว่า ที่เณรน้อยเทศน์เก่งนั้นเป็นเพราะตัวเองสอนให้ แต่บัดนี้ตัวเองแก่แล้วต่อไปจะให้เณรน้อยจะเทศน์แทน เพื่อป้องกันไม่ให้โยมนิมนต์ไปเทศน์ครั้งต่อไป

ขากลับโยมถวายเกลือ เณรน้อยเป็นคนหาบ หลวงพ่อขี่ม้าตามหลัง เณรน้อยรู้สึกหนักจึงแสร้างทำเป็นหลับเดินเซไปมา หลวงพ่อจึงเห็นว่าเณรน้อยสบายจึงขอเปลี่ยนกับเณรน้อย เณรน้อยพอได้ม้าก็รีบควบกลับวัด ส่วนหลวงพ่อหาบแล้วจึงรู้สึกว่ามันหนักจึงคิดว่าจะเอาเกลือไปซ่อนในบ่อน้ำก่อนแล้วกลับวัดไปบอกเณรน้อยวันหลัง เณรน้อยจึงชวนหลวงพ่อกลับมาเอาเกลือแต่พอยกขึ้นจากบ่อน้ำไม่มีเกลือแล้ว เณรน้อยจึงแกล้งกล่าวโทษหลวงพ่อว่า เอาเกลือไปขาย หลวงพ่อจึงบอกว่าคงจะเป็นปลากินเกลือหมด ทั้งคู่จึงช่วยกันวิดน้ำออกเห็นปลาดิ้นไปมา เณรน้อยเห็นปลาช่อนตัวเล็กก็ตบหูมันให้มันตาย แต่พอเห็นปลาดุกตัวใหญ่ เณรน้อยบอกให้หลวงพ่อตบหูมัน แต่เงี่ยงปลาดุกเสียบมือ หลวงพ่อเจ็บปวดทรมานมาก หลังจากที่ได้ปลาแล้วหลวงพ่อสั่งให้เณรน้อยเอาไปปลาไปต้ม เสร็จแล้วตนก็นอนพักผ่อน พอต้มสุกเณรน้อยก็กินเนื้อปลาจนหมด และเปิดฝาหม้อให้แมลงวันบินเข้าไปแล้วปิดฝาเอาไปวางไว้ใกล้ที่นอนหลวงพ่อ พอหลวงพ่อตื่นนอนมาหิวจึงบอกให้เณรน้อยเอาต้มปลามาให้ พอเปิดหม้อดูเห็นแมลงวันบินออกจึงถามเณรน้อยว่า “ต้มปลาไปไหน” เณรน้อยจึงบอกว่า “แมลงวันกินหมดแล้ว” หลวงพ่อโกรธมากจึงใช้ไม้ตะพดวิ่งไล่ตีแมลงวัน บังเอิญมีแมลงวันตัวหนึ่งบินมาจับที่จมูกท่าน หลวงพ่อจึงบอกให้เณรน้อยใช้ไม้สี่เหลี่ยมที่บันไดฟาดที่จมูกจนท่านสิ้นใจตาย 

ความขบขันในเรื่องเกิดจากความบังเอิญ การที่หลวงพ่อทายเรื่องไถหายถูกเพราะหลอกชาวบ้าน การที่หลวงพ่อทายเรื่องเงินหายถูกโดยความบังเอิญ การที่หลวงพ่อทายเรื่องปืนหายถูกโดยความบังเอิญ การที่หลวงพ่อเทศน์ได้โดยการจำชื่อต้นไม้ และบอกว่าเป็นตอนหนึ่งในกัณฑ์มัทรีเป็นอุบายหลอก  การที่เณรน้อยหลอกให้หลวงพ่อหาบเกลือเพราะหนัก การที่หลวงพ่อซ่อนเกลือในน้ำด้วยความโง่เขลา การที่เณรน้อยหลอกหลวงพ่อตบเงี่ยงปลาดุกการที่เณรน้อยหลอกหลวงพ่อว่าแมลงกินปลาหมด การที่หลวงพ่อถูกตีจมูกจนตาย เพราะความโง่เขลาของตัวเอง ทั้งหมดนี้ความขบขันเกิดจากทฤษฎีการผิดฝาผิดตัว ทฤษฎีข่มท่าน

lilred

backled1

isan word tip

ประตูสู่อีสานบ้านเฮา

IsanGate.com

ปณิธานของเรา :

"ชนชาติที่เป็นอารยะ ต้องมีรากเหง้า และที่มาอันยาวนาน ด้วยภาษาและขนบธรรมเนียมของตนเอง"

: Our Web Site.

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail
นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)