- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Dhamma
- Hits: 9399
หลวงปู่กินรี จนฺทิโย มีนามเดิมว่า "กลม" กำเนิดในตระกูล “จันทร์ศรีเมือง” ซึ่งเป็นตระกูลเก่าแก่ หนึ่งใน 8 ตระกูล ที่โยกย้ายมาจากบ้านโพธิ์ชัย เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ที่คนเฒ่าคนแก่ส่วนใหญ่เรียกว่า บ้านโพธิ์ชัยแตก เกิดขึ้นในปีมะเมีย (ไม่ทราบปี พ.ศ. ที่แน่ชัด) โยมบิดาชื่อ โพธิ์ โยมมารดาชื่อ สุวันดี หรือบางประวัติว่าชื่อ วันดี ท่านเกิดเมื่อวันพุธ ที่ 8 เมษายน 2439 ปีวอก แรม 11 ค่ำ เดือน 5 ตรงกับ จ.ศ. 1258 หรือ ร.ศ. 115 ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ณ บ้านหนองฮี ตำบลปลาปาก อำเภอหนองบึก จังหวัดนครพนม (ปัจจุบันยกฐานะใหม่เป็น ตำบลหนองฮี อำเภอปลาปาก) มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด 7 คน หลวงปู่เป็นลูกหล้า (น้องสุดท้อง) ด้วยฐานะทางครอบครัวที่ประกอบอาชีพชาวนา มีพี่น้องหลายคน และโดยที่ในสมัยนั้นการศึกษาเล่าเรียนยังอยู่ในวงจำกัด แม้จะมีใจรักในการศึกษาเพียงใด แต่ก็ขาดโอกาสในการศึกษาต่อ จึงได้รับการศึกษาสามัญเบื้องต้น
ชีวิตสมณะและการแสวงธรรม
ปี พ.ศ. 2458 เมื่ออายุ 10 ขวบ ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดหนองฮี และมีโอกาสได้ศึกษาหนังสือธรรม หนังสือผูก ทั้งภาษาขอม ภาษาไทยน้อยหรืออักษรธรรม และภาษาสมัยไทยปัจจุบัน ท่านได้บวชเป็นสามเณรเรื่อยมา จนกระทั่งอายุครบบวชในปี พ.ศ. 2469 อายุครบ 20 ปี ก็ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดอ้อมแก้ว** (วัดเกาะแก้วอัมพวัน) ตำบลเกาะแก้วอัมพวัน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
ต่อมาด้วยความห่วงใยในบิดา - มารดา และได้รับการขอร้องด้วยความที่เป็นบุตรคนเล็ก ท่านจึงได้ลาสิกขาตามความต้องการของโยมบิดา - มารดา ไปใช้ชีวิตฆราวาส ซึ่งก็ไม่ราบรื่นและไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก เป็น "นายฮ้อยวัว-ควาย" ก็ขาดทุนอย่างหนัก ซึ่งหลวงปู่เล่าได้ว่า "เพราะการกระทำของท่านได้พรากพ่อ-แม่-ลูก วัว ควาย ที่ขายไปถิ่นต่างๆ ย่อมเป็นบาปอย่างมหันต์ ผลกรรมจึงย้อนตอบสนองให้ต้องสูญเสียภรรยา หลังจากคลอดบุตรได้ไม่นาน และได้สูญเสียลูกอันเป็นสุดที่รักซ้ำอีก เพราะทารกน้อยขาดนมจากผู้เป็นมารดา"
ความสูญเสียอันใหญ่หลวงของท่าน ทำให้เป็นทุกขเวทนา ความอาลัยอาวรณ์ ความโศกเศร้า ทับถมเพิ่มทวีความทุกข์ยิ่งขึ้น ด้วยความทุกข์เป็นกุศลปัจจัยผลักดัน และบันดาลใจให้ท่านก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ สู่ความเป็นบรรพชิตในบวรพระพุทธศาสนาอีกครั้ง โดยได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดศรีบุญเรือง ตำบลกุดตาไก้ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2465 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ปีจอ (อายุครบ 25 ปีบริบูรณ์พอดี) โดยมีพระอาจารย์วงศ์ เป็นพระอุปชฌาย์, พระอาจารย์พิมพ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์พรหมา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ชื่อใหม่จากพระอุปัชฌาย์ จาก “กลม” เป็น “กินรี” และได้รับนามฉายาว่า “จนฺทิโย” ซึ่งแปลว่า “ผู้เปรียบประดุจพระจันทร์”
หลังจากอุปสมบท หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านหนองฮี ในช่วงสิบปีแรก ท่านได้สงเคราะห์ญาติ หลานๆ ด้วยการให้ความรู้เรื่องภาษาไทย อบรมสั่งสอนการอ่าน การเขียนภาษาไทย เพราะในสมัยนั้น การพัฒนาทางการศึกษายังล้าหลังมาก ขาดการแผ่ขยายให้กว้างขวางออกสู่ชนบท ที่จะเจริญก็คงมีแต่เมืองหลวงเท่านั้น การเผยแผ่และการถ่ายทอดวิชาความรู้ในวิชาการบางสาขา จึงต้องอาศัยพระที่วัดเป็นผู้สอน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็มีแต่วิชาภาษาไทยเท่านั้นที่สอนกัน นอกเหนือไปจากการสอนหลักธรรมะในทางพระพุทธศาสนา
พ่อใหญ่ยศ มาภา อดีตเด็กชายยศ เล่าว่า "หลวงปู่ ท่านเป็นคนจริงจังกับการงานมาก โดยเฉพาะ เรื่องอาบัติเล็กน้อย ท่านไม่มองข้าม เช่น การประเคนของ ถ้าวันไหนมีแต่ผู้หญิงมาวัดเพื่อถวายของ ท่านจะไม่รับ แม้จะทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืนก็ทิ้งไป ทำให้แม่ออก (ญาติโยมผู้หญิง) เกรงท่านมาก”
อุปนิสัยของท่านนั้น เป็นที่กล่าวขวัญกันว่าค่อนข้างจะมุ่งมั่นและขยันขันแข็งในการงานอยู่มากทีเดียว ปฏิปทาที่เป็นไปจนตลอดชีวิตของท่านก็คือ "งาน" หลวงปู่ไม่เคยอยู่นิ่งเฉยนอกจากขณะทำสมาธิภาวนา ไม่เคยเป็นคนเกียจคร้านเห็นแก่ความสุขจากการนอน การกิน หรือการพูดจาสนุกเฮฮา โดยปกติแล้วในตอนที่ว่างเว้นจากการงาน ท่านมักจะเก็บตัวอยู่แต่เพียงผู้เดียวด้วยความสงบ เมื่อออกจากที่ภาวนา หลังจากที่ได้พักผ่อนร่างกายบ้างแล้ว ท่านก็จะทำงานอีก โดยถ้าไม่ทำอย่างใดก็ต้องเป็นอย่างหนึ่ง หรือไม่ก็ทำติดต่อกันไปหลายๆ งานเลยทีเดียว
พระผู้เฒ่าที่ทางหลวงพ่อชา สุภทฺโท ส่งมาดูแลอุปัฐากท่านเล่าให้ฟังว่า "ชีวิตในบั้นปลายของหลวงปู่ ท่านจะลุกขึ้นมาตอนรุ่งสางเสมอ ถึงแม้ว่าร่างกายของท่านในวัยชราจะซูบผอม มีโรคเสมหะที่ทำให้ต้องกระแอมไอเป็นประจำ แต่ถึงกระนั้นลักษณะการเดินเหินยังคล่องแคล่วว่องไว และกระฉับกระเฉงมาก เมื่อฉันเสร็จแล้วหลวงปู่ก็จะกลับเข้ากุฏิ จะเงียบเสียงไปบ้างก็ไม่นาน และได้ยินเสียงเหมือนเคาะอะไรสักอย่างกุกๆ กักๆ ดังอยู่อย่างนั้น ประเดี๋ยวเคาะ ประเดี๋ยวเงียบ ตลอดเวลาครึ่งค่อนวัน จนกระทั่งบ่ายจึงจะเห็นท่านออกจากกุฏิลงมาลานวัด บางทีก็เดินหาไม้กวาดสำหรับกวาดลานวัด หยิบลากเอาไปกวาดลานวัดจนเตียนโล่ง
ท่านจะทำกิจเหล่านั้นด้วยตนเอง ไม่เคยตีระฆังรวมหรือใช้ให้ใครทำ แต่ถ้าถึงคราวที่อยากจะให้ใครทำท่านจะไม่ใช้ด้วยวาจา กลับจะลากเข่งใบเก่าๆ หรือใบที่สานใหม่ซึ่งก็เป็นฝีมือของท่านเอง มาวางทิ้งไว้ที่กองขยะ แล้วเดินหลีกหนีไป ใช้กิริยาที่เดินหนีแทนการบอก เสร็จจากกวาดลานวัด บางทีก็หาไม้ตอกหรือหวายมาจักสานทำเป็นเครื่องใช้ไม้สอยประจำวัด หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นอุปกรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่จะใช้ในวัด ท่านจะทำกิจเหล่านี้ไปจนเย็น ไม่ค่อยพูดจากับใครให้เป็นที่เอิกเกริก บางครั้งพระเณรจะไปช่วย ท่านบอก “ให้เร่งความเพียรปฏิบัติ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนาให้มาก” ค่ำมืดแล้วท่านก็สรงน้ำ กลับเข้ากุฏิเก็บตัวเงียบ หลวงปู่เป็นตัวอย่างแห่งความมุ่งมั่นจริงจังและพากเพียร ขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดหนองฮี ท่านได้ขุดลอกสระน้ำขนาดใหญ่ด้วยตัวของท่านเองจนเป็นผลสำเร็จ ให้วัดและชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์ มีน้ำอุปโภคบริโภคมาจนถึงทุกวันนี้"
การแสวงหาธรรมปฏิบัติ
ได้เกิดขึ้นเป็นช่วงตอนปลายของทศวรรษแรกของการอุปสมบท ด้วยการเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนพระกรรมฐานกับ ท่านพระอาจารย์หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล ที่สำนักบ้านสามผง ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม เป็นจุดเกิดและเป็นก้าวแรกที่ท่านรับเอาพระกรรมฐานเข้าไว้ในจิตของท่าน หลวงปู่ได้ศึกษาการปฏิบัติภาวนากับหลวงปู่ทองรัตน์ (ครูบาจารย์เฒ่า) ระยะหนึ่ง ท่านก็เดินทางกลับมาอยู่ที่วัดบ้านเกิด และไปกราบครูอาจารย์ร่วมธุดงค์โดยไปมาหาสู่อยู่เสมอ ท่านได้นำเอาข้อปฏิบัติพระธรรมกรรมฐานมาอบรมสั่งสอนชาวบ้านหนองฮี ได้สงเคราะห์โยมมารดาและญาติด้วยการบวชชี และได้จัดตั้งสำนักสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสีในบ้านเกิด ชื่อว่า “สำนักสงฆ์เมธาวิเวก” หรือ “วัดป่าเมธาวิเวก” ในปัจจุบัน
สำนักสงฆ์เมธาวิเวก เดิมเป็นดอนกลางนา ชาวบ้านพยายามที่จะเข้าทำประโยชน์ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ต้องมีอันเป็นไปทุกราย เจ็บป่วยก็หลายคน ต้องจบชีวิตลงจากการล่วงละเมิดอาถรรพ์
ปี พ.ศ. 2473 ครูบาจารย์โสมและหลวงปู่กินรี ได้เข้าพำนักระยะหนึ่ง ต่อมา พ.ศ. 2477 หลวงปู่ทองรัตน์ (ครูบาจารย์เฒ่า) ก็เข้าพักจำพรรษาสำนักสงฆ์เมธาวิเวก เป็นบูรพาจารย์ของอุบาสก อุบาสิกาบ้านหนองฮี
ประเพณีอันงดงามที่ชาวบ้านหนองฮีได้รับปลูกฝังในอดีต คือความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน อีกทั้งยังมีประเพณีอันดีงามเด่นเฉพาะตัว เช่น การตักบาตร เวลาใส่บาตรจะหงายมือขึ้น พระเณรเดินผ่านจะถอดรองเท้า ถอดหมวก นั่งลงพร้อมกับพนมมือ จนกว่าพระเณรจะเดินผ่านพ้นไป หญิงใดจะออกเรือนต้องมาบวชชีอยู่วัด 1 พรรษาก่อน
ช่วงนั้นหลวงปู่กินรีไปธุดงค์ที่อื่นแล้ว มีแม่ชีในสำนักสงฆ์เมธาวิเวก 4 คน การเทศน์สั่งสอนแม่ชีของหลวงปู่ทองรัตน์ (ครูบาจารย์เฒ่า) นั้น แม่ชีเลี่ยน มาภา หลานสาวหลวงปู่กินรี เล่าว่า ส่วนมากจะสอนการปฏิบัติภาวนา ให้รู้หน้าที่ของตนเอง “เฮา เป็นชีให้ฮู้จักหน้าที่เจ้าของ อย่าคึดจะไปฮั่นมานี่คือผู้ชาย เฮาเป็นหญิง หน้าที่ของเฮาเก็บผัก หักฟืน อุปัฏฐากอุปถัมภ์พระสงฆ์องค์เจ้า” (เราเป็นชีให้รู้จักหน้าที่ของตัวเอง อย่าคิดจะไปนั่นมานี่เหมือนผู้ชาย เราเป็นผู้หญิงหน้าที่ของเราคือเก็บผัก หักฟืน อุปัฏฐากอุปถัมภ์พระสงฆ์องค์เจ้า)
ในระยะที่หลวงปู่นำโยมมารดามาบวชเป็นชีนี้ก็ชรามากแล้ว หลวงปู่ได้เกลี้ยกล่อมเอาเด็กหญิงเลี่ยน ผู้เป็นหลานสาวเข้ามาบวชชี อยู่ปรนนิบัติรักษาคุณยายผู้เป็นโยมมารดาของท่านด้วย โดยที่หลวงปู่ได้ให้เหตุผลว่า “ตามธรรมเนียมโบราณ ผู้เป็นหลานควรจะได้ทดแทนบุญคุณญาติผู้ใหญ่ เฝ้าปรนนิบัติอุปัฏฐากคุณตาคุณยายในวัยชรา ญาติพี่น้องนั้นไม่มีใครอีกแล้วที่จะมาทำเช่นนี้ได้ ต่างคนเขาก็ต่างแยกย้ายกันไปมีครอบครัวเหย้าเรือน หาความสนุกสุขสำราญส่วนตัวเขา เราสิเป็นเด็กเป็นเล็กควรจะภูมิใจและเต็มใจทำ” หลานสาวเชื่อฟังคำท่านจึงยอมบวช และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน แม่ชีเลี่ยน มาภา สิริอายุได้ 91 ปี 77 พรรษา (เมื่อปี พ.ศ. 2552) ก็ยังคงเป็นแม่ชีเลี่ยนอยู่เหมือนเดิมมิได้เปลี่ยนแปลง
ในระหว่างที่หลวงปู่ไปมาหาสู่เพื่อคารวะ และปฏิบัติธรรม ในสำนักของพระอาจารย์หลวงปู่ทองรัตน์นั้น ท่านอาจารย์ทองรัตน์ได้พาหลวงปู่เดินทางไปกราบนมัสการ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานผู้มีชื่อเสียง และเกียรติคุณเลื่องลือโด่งดังมาก ในขณะที่หลวงปู่มั่นพระธรรมาจารย์ผู้มีปรีชาสามารถ พำนักอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เพื่อรับโอวาทจากท่าน
หลวงปู่มั่นท่านได้อบรมสั่งสอนธรรมแก่หลวงปู่กินรี ถึงข้อปฏิบัติธรรมกรรมฐานนั้น ซึ่งมีรากฐานอยู่ที่การกระทำศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์พร้อมๆ ไปกับการเจริญสมาธิภาวนา เพื่อจะทำจิตให้สงบระงับจากอารมณ์ทั้งปวง เพราะความที่จิตปลอดจากอกุศลว่างเว้นจากอารมณ์ อันเกิดจากการสัมผัสทางอายตนะ คือ ที่ตั้งแห่งการกระทบ มี 6 คู่ อันได้แก่ ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับการสัมผัสทางกาย และใจที่กระทบกับอารมณ์ในภายในที่ทำให้เกิดเวทนา ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้ดี รู้ชั่ว รู้สวย รู้ไม่สวย รู้น่ารัก รู้ไม่น่ารัก ทั้งหลายแล้ว จิตใจก็ย่อมจะตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว อารมณ์นั้นก็ได้แก่พระกรรมฐาน หมายถึง การเอาพระกรรมฐานเข้ามาตั้งไว้ในใจ ความตั้งมั่นของจิตในลักษณะการเช่นนี้ ย่อมจะทำจิตให้สงบอย่างเดียว เป็นความสงบที่สะอาดและบริสุทธิ์ผุดผ่องใส
หลังจากนั้นแล้วจึงหันมาพิจารณาธาตุทั้ง 4 อันได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุลม และพิจารณาขันธ์ทั้ง 5 อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ให้รู้ว่าธาตุขันธ์และรูปนามทั้งหลายเหล่านี้แท้จริงก็คือบ่อเกิดของความทุกข์โศกร่ำไรรำพันนานาประการทั้งปวงนั่นเอง
หลวงปู่มั่นท่านได้อบรมสั่งสอนข้อธรรมแก่หลวงปู่กินรีเป็นประจำ และเมื่อท่านพบหน้าหลวงปู่กินรี ท่านมักจะเอ่ยถามไปว่า “กินรี ได้ที่อยู่แล้วหรือยัง ?”
คำถามของหลวงปู่มั่นนั้น "มิได้หมายถึงที่อยู่ในวัดปัจจุบัน แต่ท่านถามถึงส่วนลึกของใจว่ามีสติตั้งมั่นหรือยัง" ถ้ายังท่านก็จะกล่าวอบรมต่อไป ซึ่งส่วนมากหลวงปู่มั่นท่านจะเน้นให้เห็นถึงว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ เพราะเกิดจากอวิชชา คือ ความไม่รู้แจ้งในความเป็นของไม่เที่ยง ในความเป็นของเสื่อมโทรมของธาตุขันธ์ทั้งหลาย เป็นเหตุ และเพราะความไม่รู้จักสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริงว่า มันมิใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ไม่รู้จักความไม่เที่ยง ไม่รู้จักความเป็นทุกข์ และไม่รู้ความเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตนตามความเป็นจริงแล้ว อาสวะกิเลส คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็ย่อมครอบงำจิตของคนๆ นั้นให้มืดมัว เร่าร้อนและเป็นทุกข์ได้ในที่สุด
หลวงปู่มั่นท่านอบรมสั่งสอนหลวงปู่กินรีต่อไปว่า การประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นมีรากฐานสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติศีลเป็นเบื้องต้น และทำสมาธิในท่ามกลางเพื่อจะให้เกิดปัญญา ความรู้แจ้งแทงตลอดในธาตุขันธ์ทั้งหลายเหล่านั้นได้ในที่สุด และเพื่อจะให้รู้ความจริงก็ต้องหมั่นพิจารณาว่าร่างกายของเราที่ปั้นปรุงขึ้นมาจากธาตุทั้ง 4 นี้ ประกอบอยู่ด้วยธาตุอีกอย่างหนึ่งซึ่งแบ่งออกได้เป็น 4 อย่าง ได้แก่
- เวทนา คือ ความรู้สุข รู้ทุกข์ และไม่สุข ไม่ทุกข์
- สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ในอายตนะทั้งหลายที่มากระทบแล้วรู้สึกแล้ว
- สังขาร คือ ความไกลเวียนปรุงเปลี่ยนไม่หยุดอยู่ของนามธาตุนั้น
- วิญญาณ คือ ความรู้สึกได้
รวมเป็น 4 อย่างด้วยกัน เรียกว่า นามขันธ์
เมื่อรวมเข้ากับธาตุ 4 คือ รูปขันธ์ด้วยแล้วจึงเป็นขันธ์ รวมย่อแล้วเรียกว่า กายกับใจนี้เป็นสิ่งที่ไม่ยืนยงคงที่ ไม่เที่ยงแท้แน่นอนอะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ร่างกายเนื้อหนังของเรานี้เป็นของไม่สวยไม่งาม สกปรกโสโครกโดยประการทั้งปวง การภาวนาที่ถูกต้องจะต้องเป็นไปในลักษณะนี้ นักภาวนาเมื่อรู้เห็นซึ่งสภาพตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว ย่อมจะมีความสะดุ้งกลัวต่อภัยและความเป็นโทษทุกข์ของสังขาร ไม่อยากประสบพบเห็นกับควาทุกข์ทรมานเหล่านี้อีกแล้ว เมื่อนั้นจิตก็ย่อมจะคลายจากความกำหนัดยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ย่อมคลายความกำหนัดรักใคร่ชอบใจในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความรักใคร่ชอบใจ เมื่อจิตมีความเบื่อหน่ายคลายความกำหนัดเช่นนี้แล้ว ทุกข์ทั้งปวงก็ย่อมดับลงได้โดยแท้ ข้อที่ว่าทุกข์ทั้งปวงดับลงนี้เป็นเพราะอวิชชาคือความไม่รู้ ความเป็นจริงในธรรมดับไปนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้รู้ความเห็นในธรรมที่เรียกว่า “ปัญญา” นั้น เจริญถึงที่สุด ผลที่ได้รับก็คือ “ปัญญาอันสงบระงับและแจ่มแจ้ง” หลวงปู่มั่นท่านกล่าวอบรมหลวงปู่กินรี
หลวงปู่กินรีท่านได้เล่าเรื่องราวของท่าน สมัยที่ท่านไปฝึกอบรมกรรมฐานกับหลวงปู่มั่น ให้สานุศิษย์ทั้งหลายฟังอยู่เสมอว่า ในขณะที่ท่านนั่งสมาธิบริกรรมภาวนาอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าจิตค่อยๆ สงบเข้าไปทีละน้อยๆ แล้วปรากฏว่า ทั้งร่างกายและเนื้อหนังของท่านนั้นได้เปื่อยหลุดออกจากกัน จนเหลือแต่ซากของกระดูก อันเป็นโครงร่างที่แท้จริงในกายของท่านเอง “สิ่งที่ปรากฏในอาการอย่างนั้นมันชวนให้น่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก” หลวงปู่ท่านกล่าว
ประสบการณ์ในธรรมโดยลักษณะนี้ ได้เกิดขึ้นกับหลวงปู่ท่านอีกครั้งหนึ่งในเวลาต่อมา แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าในขณะนั้นท่านพำนักอยู่ที่ใด ซึ่งครั้งนี้ท่านกล่าวว่า “ในขณะที่ภาวนาอยู่นั้นได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในตัว เปลวเพลิงได้ลุกลามพัดไหม้ทั่วร่าง ในที่สุดก็เหลืออยู่แต่ซากกระดูกที่ถูกเผา และคิดอยู่ที่นั้นว่าร่างกายคนเราจะสวยงามแค่ไหน ในที่สุดมันก็ต้องถูกเผาอย่างนี้เอง” หลวงปู่กินรีท่านได้อธิบายถึง การภาวนา ว่ามีอยู่ 3 ขั้นด้วยกัน กล่าวคือ
- บริกรรมภาวนา คือ การภาวนาที่กำหนดกรรมฐาน 40 อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์ เพื่อจะทำจิตให้ตั้งมั่น ขั้นนี้ยังเป็นเพียงการกำหนดนึก ยังไม่เป็นอารมณ์ที่แน่นแฟ้นจริงจัง มีการภาวนา “พุทโธ” เป็นอาทิ ข้อนี้เป็นการภาวนาในระดับที่จะทำให้เ
- กิดบริกรรมนิมิตอันเป็นนิมิตข้อต้นเท่านั้น
- อุปจารภาวนา คือ การภาวนาที่เริ่มจะทำจิตให้ตั้งมั่นดีกว่าข้อแรกขึ้นนิดหนึ่ง ข้อนี้อุคหนิมิตจะปรากฏขึ้นได้
- อัปนาภาวนา เป็นการภาวนาที่แน่วแน่ อาจทำให้เกิดปฏิภาคนิมิตได้
หลวงปู่กินรีท่านได้ใช้ชีวิตอยู่กับท่านหลวงปู่มั่นเพียง 2 ปี เท่านั้น ส่วนเวลานอกนั้นท่านมักจะอยู่ตามลำพัง เป็นตัวของตัวเองมากกว่า ส่วนผู้ที่หลวงปู่กินรีจะลืมเสียมิได้ถึงแม้จะมาอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่นก็ตาม ท่านคือ พระอาจารย์หลวงปู่ทองรัตน์ เพราะท่านเป็นผู้ที่ให้วิชาความรู้ในการปฏิบัติแก่หลวงปู่ นับว่าเป็นองค์แรกที่เป็นอาจารย์ของหลวงปู่กินรี ซึ่งท่านมักจะไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสาเหตุให้หลวงปู่กินรีชอบอยู่อย่างสันโดษแต่ผู้เดียวนั้น เนื่องจากท่านเป็นพระมหานิกาย ไม่ได้ญัตติเป็นธรรมยุตเช่นพระทั้งหลายรูปอื่นๆ
หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล (ครูบาจารย์เฒ่า) เป็น "บูรพาจารย์พระกรรมฐานฝ่ายมหานิกาย" ระดับแนวหน้าของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต แต่เพียงผู้เดียว หลวงปู่มั่นท่านให้เหตุผลว่า
“ถ้าพากันมาญัตติเป็นพระธรรมยุตหมดเสียแล้ว ฝ่ายมหานิกายจะไม่มีใครแนะนำการปฏิบัติ มรรคผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิกายหรอก แต่มรรคผลขึ้นอยู่กับการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำสั่งสอนไว้แล้ว ละในสิ่งที่ควรละ เว้นในสิ่งที่ควรเว้น เจริญในสิ่งที่ควรเจริญ นั่นแหละทางดำเนินไปสู่มรรคผลนิพพาน บรรดาศิษย์ฝ่ายมหานิกายที่ท่านได้อนุญาตให้ญัตติตอนนั้นมีหลายรูป และที่ท่านไม่อนุญาต มีท่านพระอาจารย์ทองรัตน์เป็นต้น”
เรื่องระหว่างธรรมยุติกับมหานิกาย เป็นเรื่องที่ยกขึ้นมาพูดหลังพุทธปรินิพพานนานแล้ว ทำให้ผู้ไม่เข้าใจในเรื่องนี้ดีพอ ต้องไขว้เขวไปด้วย จนเกิดเรื่องเกิดราวกันมานับไม่ถ้วน
ในสมัยครูบาจารย์เฒ่าทองรัตน์ ต้องมีเรื่องวิพากษ์วิจารณ์กันมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ บางรูปก็ว่าครูบาจารย์เฒ่าทองรัตน์ไม่ได้ญัตติ ไม่น่าให้ร่วมสังฆกรรมด้วย บางรูปก็ว่าในเมื่อมีข้อวัตรปฏิบัติเหมือนกัน แถมยังเป็นลูกศิษย์พ่อแม่ครูบาอาจารย์เดียวกัน ควรที่จะให้ร่วมสังฆกรรมด้วย
ก่อนถึงวันลงอุโบสถ พระเณรกำลังกังวลกันในเรื่องนี้มาก กลัวว่าเมื่อรวมสังฆกรรมแล้ว จะไม่เกิดผลดีต่อคณะสงฆ์ศิษย์ทั้งสองฝ่าย เพราะเหตุเคลือบแคลงสงสัยในสังฆกรรมนั้น หลวงปู่มั่นได้หาอุบายเพื่อให้พระเณรคลายสงสัย หลวงปู่มั่นจึงถามครูบาจารย์เฒ่าในท่ามกลางสงฆ์ที่รวมฉันน้ำปานะด้วยกันว่า
“ท่านทองรัตน์สงสัยในสังฆกรรมอยู่บ้อ”
ครูบาจารย์เฒ่ากราบเรียนพร้อมกับพนมมือ “โดยข้าน้อย ข้าน้อยบ่สงสัยดอกข้าน้อย” (ครับกระผม กระผมไม่สงสัยหรอกขอรับ)
“เออ..บ่สงสัยกะดีแล้ว ให้มาลงอุโบสถนำกันเด้อ” (เออ..ไม่สงสัยก็ดี ให้มาลงอุโบสถร่วมกันนะ)
หลวงปู่มั่นพูดด้วย ครูบาจารย์เฒ่าก็ไม่อยากให้ครูบาอาจารย์ต้องลำบากใจจึงพูดไปว่า “โดยข้าน้อย บ่เป็นหยังดอก ข้าน้อย ข้าน้อยขอโอกาสไปลงทางหน้าพู้นดอกข้าน้อย” ครูบาจารย์ตอบพร้อมกับพนมมือรับ
และต่อๆ มา เมื่อมีพระมหานิกายที่ไปกราบขอศึกษาประพฤติปฏิบัติธรรมกับ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ที่ยังไม่ญัตติหรือไม่ประสงค์จะญัตติ ท่านก็บอกให้ไปศึกษากับครูบาจารย์ทองรัตน์ตลอด พระสงฆ์ที่ไปขอศึกษาประพฤติปฏิบัติกับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ที่ไม่ได้ญัตติ บางรูปถึงแม้จะไปขอญัตติท่านก็ไม่ญัตติให้ โดยท่านให้เหตุผลว่า “ถ้าพากันมาญัตติหมดจะทำให้พระสงฆ์เกิดการแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่ามากกว่าที่เป็นอยู่” ซึ่งหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะคืนนิกายทั้งสองนั้นให้เป็นอันเดียวกัน
หลวงปู่กินรี จนฺทิโย เล่าว่า คราวใดที่ครูบาจารย์เฒ่าทองรัตน์ไปกราบฟังธรรมหลวงปู่มั่น ท่ามกลางหมู่สงฆ์ หลวงปู่มั่นมักชอบเอ่ยชื่อและยกตัวอย่างท่านให้พระเณรฟังบ่อย และมีบางครั้งท่านได้รับคำสั่งให้ตรวจดูพฤติกรรมของพระเณรที่นอกลู่นอกทางพระธรรมวินัย จึงเป็นเหตุให้พระเณรเกลียดชัง ครูบาจารย์เฒ่าเป็นคนไม่เกรงกลัวใคร ตรงไปตรงมาตามธรรมวินัยสม่ำเสมอ
หลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต พระอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนา
หลวงพ่ออวน ปคุโณ วัดจันทิยาวาส จังหวัดนครพนม เล่าว่า ครูบาจารย์ทองรัตน์เตือนสติพระเณรผู้กำลังจะพลั้งเผลอต่อพระธรรมวินัย ซึ่งผลที่จะตามมาคือความเศร้าหมองเอง แต่ละองค์ละท่านอยากฟังพระธรรมเทศนาเป็นแนวปฏิบัติแต่องค์หลวงปู่มั่น ท่านก็ทรมานพระเณรด้วยการไม่อบรมไม่เทศนา จนพระเณรทนไม่ไหว จึงไปกราบเรียนครูบาจารย์ทองรัตน์ ทำอย่างไรถึงจะได้ฟังธรรมจากหลวงปู่มั่นสักที
“อยากฟังอีหลีบ้อ” (อยากฟังจริงๆ หรือ)
“พวกขะน้อยมาปฏิบัติกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ตั้งดนตั้งนาน แต่บ่เห็นครูบาจารย์เพิ่นสอนอีหยัง จนขะน้อยสิใจออกหนี เมื่อแหล่วไล้ขะน้อย” (พวกกระผมปฏิบัติกับหลวงปู่มั่นตั้งนานนมแล้ว ยังไม่เห็นองค์ท่านเทศน์สอนข้าน้อยเลย กระผมคิดเปลี่ยนใจลากลับแล้ว ขอรับกระผม)
“บ่ยากตั๋ว เดี๋ยวมื่อแลงกะได้ฟังเทศน์เพิ่น” (ไม่ยาก เดี๋ยวตอนเย็นก็ได้ฟังท่านเทศน์)
ครูบาจารย์ทองรัตน์รับปาก หลังจากนั้นเมื่อถึงเวลาออกรับบิณฑบาต และวันนี้มีโยมนำแตงกวามาใส่บาตร ขณะเดินตามหลวงปู่มั่น ท่านได้ล้วงแตงกวามากัดเคี้ยวกินเฉย เมื่อหลวงปู่มั่นหันมาดูก็ปิดปากไว้ เมื่อท่านหันกลับก็เคี้ยวต่อ ผลตอนเย็นหลวงปู่มั่นเทศน์ให้พระเณรฟังสมปรารถนา
ความสมถะ ปลีกวิเวก
ด้วยเอกลักษณ์พิเศษที่หลวงปู่กินรี มีอุปนิสัยสมถะ ไม่นิยมในหมู่คณะมาก ชอบความเป็นคนผู้เดียวตามครูอาจารย์ที่สั่งสอนทั้ง หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และหลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล ทำให้ท่านแยกตัวไปเฉพาะตน และธุดงค์เรื่อยไปตามป่าเขา ถ้ำ หุบเหว รื่นเริงและห้าวหาญที่จะแสวงหาโมกขธรรม การมุ่งเข้าป่าหาที่วิเวกที่สัปปายะ จึงเป็นเอกนิสัยของท่าน แล้วกลับมากราบคารวะบูรพาจารย์เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติ และตรวจสอบอารมณ์ธรรม แล้วจะแยกจากหมู่คณะเสพเสนาสนะตามธรรมชาติตามอุปนิสัยของท่าน ปฏิปทาของหลวงปู่จึงนับได้ว่า ได้ดำเนินตามทางที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน หลวงปู่ธุดงค์ในเขตอีสานเหนือเป็นปกติ และบางครั้งข้ามไปฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงสู่ประเทศลาว เช่น ครั้งหนึ่งท่านธุดงค์ไปยังฝั่งลาวตรงข้ามกับบ้านแพงพร้อมกับ หลวงพ่ออวน ปคุโณ เพื่อไปกราบหลวงปู่ทองรัตน์
ในการธุดงควัตรป่าไม้อันร่มรื่นนั้น หลวงปู่กินรีกล่าวเตือนสานุศิษย์ของท่านว่า "อย่าอยู่ภายในถ้ำระหว่างเดือน 11 ถึงเดือน 12 เพราะอุณหภูมิของถ้ำต่ำและชื้นมาก พร้อมทั้งมีเชื้อไข้ป่าชุกชุม ถ้าเข้าไปอาศัยอยู่ภายในถ้ำเวลานั้น อาจจะทำให้เป็นไข้จับสั่นได้"
ช่วงเวลาที่หลวงปู่กินรีพำนักอยู่ “สำนักสงฆ์เมธาวิเวก” จังหวัดนครพนม เป็นหลายปีนั้น ระยะหนึ่งท่านจะอยู่ ระยะหนึ่งท่านจะไป ที่จะอยู่แต่ในสำนักฯ โดยตลอดเช่นนั้นก็หามิได้ แต่การไปของหลวงปู่ทุกครั้งจะไม่มีการบอกกล่าวว่าที่ใดเป็นจุดหมาย แต่พอจะรู้ๆ กันอยู่ว่า ถ้าท่านไม่ไปสำนักท่านครูบาจารย์ทองรัตน์ ก็ต้องไปที่สำนักท่านพระอาจารย์เสาร์ หรือไม่ก็ถ้ำกับป่า และในระหว่างที่หลวงปู่พำนักอยู่ที่สำนักสงฆ์เมธาวิเวกนี้ ท่านครูบาจารย์ทองรัตน์ก็เคยมาอยู่ร่วมสำนักของท่านด้วย
สำหรับท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล นั้น ดูเหมือนจะมีเรื่องเล่าถึงหลวงปู่กินรีน้อยมาก แม้ว่าหลวงปู่กินรีจะเคยอยู่ร่วมอบรมปฏิบัติธรรมกรรมฐานกับท่านนานถึง 6 ปีก็ตาม และเมื่อพูดถึงเรื่องการปฏิบัติแต่ละครั้ง หลวงปู่จะไม่ลืมคำว่าเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติของท่านพระอาจารย์เสาร์-ท่านพระอาจารย์มั่นเลย หลวงปู่กินรีเคารพนับถือท่านพระอาจารย์เสาร์ว่า เป็นพระอาจารย์ผู้มีพระคุณสูงยิ่ง
หลวงปู่กินรีได้ชวนนายยศ หลานชายซึ่งเป็นลูกพี่ชายของท่าน ที่เคยอยู่วัดเรียนหนังสือด้วยสมัยอยู่วัดบ้าน และต่อมาบวชเป็นสามเณรแล้วสึกไป คราวที่หลวงปู่ไม่อยู่นั้น ให้มาบวชอีกครั้งหนึ่ง โดยครั้งนี้หลวงปู่ได้อ้างเหตุผลว่า “ลุงตายเสียแล้วลูกก็ไม่มี ใครเล่าจะบวชอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน เธอนี่แหละเหมาะสมแล้ว จงบวชเสียเถิด” ดังนั้น นายยศจึงได้เข้ามาบวชตอนอายุ 22 ปี โดยบวชเป็นพระภิกษุใหม่
การเดินธุดงค์ครั้งยิ่งใหญ่ของท่านก็คือ การเดินธุดงค์สู่ดินแดนพุทธภูมิ พร้อมศิษย์คือพระภิกษุยศและพระภิกษุหลอด จากบ้านเกิดบ้านหนองฮี มุ่งหน้าสู่ท่าอุเทน และเลียบริมฝั่งโขงไปทางเหนือตามสายน้ำสู่ต้นน้ำ ผ่านอำเภอศรีสงคราม บ้านแพง บึงกาฬ แล้วข้ามโขงไปกราบนมัสการพระพุทธบาทโพนสันของลาว หลวงปู่เดินทวนกระแสน้ำผ่านโพนพิสัย ท่าบ่อ ศรีเชียงใหม่ สังคม ปากชม จนกระทั่งถึงอำเภอเชียงคาน
เส้นทางธุดงค์ของหลวงปู่กินรี จากบ้านหนองฮี อ.ปลาปาก จ.นครพนม ไปยังกรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า
การธุดงค์ด้วยระยะทางนี้ยาวไกล ต้องทั้งอดทั้งทนบางคราวต้องอดอาหารถึง 7 วัน ก็ยังเคยมี จนเป็นสิ่งปกติ แม้จะทุกข์ยากลำบากทุกข์เวทนาเพียงใด หลวงปู่กินรียิ่งยึดมั่นในข้อวัตรปฏิบัติเคร่งครัดหนักยิ่งขึ้น ท่านอบรมสอนศิษย์ให้ฝึกทำจิตให้ตั้งมั่นแม้ในระหว่างการเดินทาง โดยสอนว่าการปฏิบัตินั้นมิใช่จะอยู่ที่การนั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว แต่การปฏิบัติภาวนาที่ถูกต้องนั้นจะต้องเป็นไปในทุกๆ อิริยาบถ จะนั่ง จะยืน จะเดิน จะนอน เราจะทำสิ่งใดในขณะใดๆ ก็ให้มีสติอยู่ทุกขณะ ลมหายใจเข้าออกที่เราจะกำหนดได้นั้นก็อาจจะทำได้ แม้ในขณะเดิน กล่าวคือ
ถ้าเรามีสติรู้ว่าความคิดนึกอย่างใดที่เป็นบาป อย่างใดที่ไม่เป็นบาป อย่างใดที่ทำจิตให้เศร้าหมอง อย่างใดที่ทำจิตไม่ให้เศร้าหมอง ถ้าเรามีสติรู้จักสิ่งทั้งหลายเหล่านี้อยู่ตลอดเวลาแล้ว พยายามขจัดความคิดที่เป็นบาป ที่เศร้าหมองออกไปเสียอย่าให้เกิดมีขึ้นมาในจิตได้ นั่นแหละที่เรียกว่าความพากเพียรที่ถูกต้อง เป็นการภาวนาที่ถูกต้อง ลมหายใจมันก็จะรู้อยู่ในนั้นเสร็จ ถือว่าเราปฏิบัติถูกต้องตามอริยมรรคแล้ว การกระทำเช่นนั้นเราอาจจะทำได้ในทุกๆ ขณะย่างก้าว จะนั่งอยู่กับที่เงียบๆ และกำหนดลมหายใจเข้าออกให้จิตสงบนั้น ก็เป็นไปเพื่อจะละอกุศลและเจริญกุศลอย่างนี้ จะนอนก็ต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ จะเดินก็เหมือนกันให้มีสติอยู่ตลอดเวลา เมื่อทำได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์แล้ว นั่นก็หมายความว่าเราได้ทำสัมมาวายามะให้เกิดขึ้นแล้ว ผลคือปัญญาความรู้แจ้งสว่างไสวก็จะเกิดขึ้นมาเอง นี่คือการปฏิบัติภาวนาของเรา ฉะนั้น ท่านจึงสอนให้พยายามพากเพียรกระทำให้ถูกต้องอยู่เสมอ
หลวงปู่กินรีนำคณะศิษย์ผ่านป่าดินแล้ง ป่าดิบชื้น และป่าดิบเขา บุกป่าปีนเขาลูกแล้วลูกเล่าผจญสัตว์ป่า ไข้ป่าที่ชุกชุมและคุกคาม จากเชียงคานสู่เขตอำเภอท่าสี จังหวัดเลย แล้วเข้าสู่เมืองปากลาย เมืองบ่อแตน แขวงไชยบุรีของลาว ได้พบพระอลัชชี ป่าตองเหลืองที่นุ่งห่มใบไม้ และคนป่าถักแถ่ แล้วจึงวกเข้าสู่บ้านห้วยหมุ่น อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ หลวงปู่เคยจำพรรษาอยู่กับเผ่าแม้ว ตลอดพรรษาได้ฉันแต่ข้าวโพดเพราะไม่มีข้าว
ออกจากบ้านน้ำปาดมุ่งสู่จังหวัดอุตรดิตถ์ แล้วต่อไปสรรคโลก จึงขึ้นรถยนต์ไปลงที่บ้านระแหง อำเภอเมืองตาก ต่อจากนั้นหลวงปู่ก็เดินธุดงค์เข้าสู่แม่สอด ข้ามเข้าสู่ประเทศพม่าโดยไม่ได้ใช้หนังสือเดินทางใดๆ พระยศกับพระหลอดหมดความอดทนที่จะเดินทางต่อไป ด้วยห่างไกลบ้านมานาน หลวงปู่จึงส่งกลับเขตแดนไทย ส่วนหลวงปู่กับหลานลูกพี่ชายได้ออกเดินทางจากบ้านห้วยหมุ่น น้ำปาด เดินทางไปสู่ย่างกุ้ง และได้พำนักอยู่วัดแห่งหนึ่งในย่างกุ้ง ต่อมาได้รับศรัทธาจากอุบาสกชาวพม่า จึงได้รับนิมนต์ให้ไปอยู่ ณ “วัดกุลาจ่อง” ต่อมาหลวงปู่ได้พบกับพระภิกษุไทยรูปหนึ่ง ซึ่งได้นำทางไปสู่แดนพุทธภูมิ เพื่อนมัสการสังเวชนียสถานทั้ง 4 หลัง จากนั้นหลวงปู่ได้นำคณะเดินทางกลับพม่า และหลวงปู่จำพรรษาอยู่ในพม่าถึง 12 ปี ทำให้หลวงปู่พูดภาษาพม่าได้
ในคืนหนึ่ง หลังจากที่หลวงปู่ได้ภาวนา...ได้จำวัดพักผ่อน และเกิดนิมิตว่า "โยมมารดาของท่านซึ่งบวชชี มานอนขวาง" หลวงปู่รู้สึกแปลกใจในนิมิต คิดว่าคงจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับโยมมารดา ท่านจึงต้องเดินทางกลับบ้าน ทั้งที่ไม่คิดที่จะเดินทางกลับ คาดว่าหลวงปู่กลับโดยพาหนะรถยนต์ ระยะนั้น หลวงปู่มั่นจำพรรษาที่บ้านตองโขบ วัดป่าบ้านนามน (วัดป่านาคนิมิตต์) พอหลวงปู่ทราบได้เข้าไปกราบนมัสการ หลวงปู่มั่นได้ถามว่า “กินรี ได้ที่อยู่แล้วหรือยัง ?” หลวงปู่ตอบว่า “ได้แล้วครับ” หลังจากนั้น หลวงปู่กินรีได้เดินทางกลับไปบ้านหนองฮี ผ่านป่าช้าของหมู่บ้าน พบแต่เถ้าถ่านกองฟอนที่เผาโยมมารดา ท่านจึงนำคณะญาติพี่น้องทำบุญเก็บอัฐิของโยมมารดา ด้วยการทำบุญให้เป็นบุญ คือ ห้ามมิให้ฆ่าสัตว์และไม่ให้ดื่มสุรา
หลังจากนั้น หลวงปู่กินรีได้ธุดงค์กลับไปยังประเทศพม่า ผ่านบ้านลานสาง จังหวัดตาก ได้จำพรรษาอยู่ในหมู่บ้านมูเซอ ระหว่างนี้หลวงปู่ท่านอาพาธด้วยโรคหัวใจ ฉันไม่ได้อยู่ประมาณ 3 เดือน ซึ่งท่านเล่าว่า “ความเจ็บไข้ทางกายนี้ เมื่อเป็นหนักเข้ามันก็เป็นอุปสรรคต่อการภาวนาอยู่มากเหมือนกัน เป็นที่ตั้งแห่งนิวรณ์ ความฟุ้งซ่านรำคาญทั้งหลาย บางครั้งก็ทำให้เกิดความเครียด ความสงสัยเคลือบแคลงลังเลใจ ไม่แน่ใจไปเสียทุกอย่าง สงสัยอาบัติที่มีแก่ตัว สงสัยอย่างอื่นจนทำให้การภาวนาไม่สบาย ที่ทรงไว้ได้ดีก็คือศีล แต่ในที่สุดอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นก็สงบลง เพราะการเพ่งพิจารณาอยู่ในอารมณ์”
คืนหนึ่งท่านนอนซมอยู่ ลุกไม่ได้ คิดว่าตายแน่คราวนี้ แต่นิวรณ์ทั้งหลายขาดสิ้นแล้ว ไข้ยังไม่หาย รู้สึกเป็นนิมิต มีพระสมัยโบราณ 6 รูปมานั่งรายล้อมอยู่ รูปสัณฐานใหญ่น้อยลำดับกันไป หลวงปู่พูดว่า “จะมานั่งเฝ้าผมอยู่ทำไม ผมใกล้ตายแล้ว อีกหน่อยมันก็มีแต่ร่างที่เน่าเฟะ เปื่อยผุพังเท่านั้น หาประโยชน์มิได้ จงกลับไปเสีย อย่ามานั่งเฝ้าผมให้ลำบากเลย” พระองค์หัวแถวจึงพูดว่า “อย่าว่าอย่างนั้นเลย ท่านจะยังไม่ตายก่อน จงบอกแก่ชาวเขา ให้นำสิ่งนี้ๆ มาให้กิน ครั้นท่านกินไข้นั้นจะหาย” ว่าแล้วก็เลือนหายไปทั้ง 6 รูป รุ่งขึ้นหลวงปู่ท่านก็บอกชื่อสมุนไพรตามพระโบราณบอก นำมาฝนยาดื่มกิน ทำให้หลวงปู่หายจากอาพาธอย่างน่าอัศจรรย์ ท่านจึงตัดสินใจเปลี่ยนใจที่จะละสังขารที่พม่ากลับมาสู่ประเทศไทยแดนมาตุภูมิ
หลวงปู่กินรี จนฺทิโย กลับมาพำนักอยู่สำนักสงฆ์เมธาวิเวก แล้วต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่วัดกันตศิลาวาส แม้ว่าปฏิปทาของหลวงปู่จะไม่นิยมและเผยแผ่พระศาสนาด้วยการเทศนาเชิงโวหารหรือคำพูด หลวงปู่เป็นตัวอย่างของการทำให้ดูปฏิบัติให้เห็นมากกว่า แต่อุบายธรรมคำสั่งสอนของท่านทรงปัญญาและลุ่มลึกมาก เช่น
- เตือนและให้สติ หลวงพ่อชา สุภัทโท ผู้เป็นลูกศิษย์ที่จะขอลากลับสู่บ้านเกิดว่า “ระวังให้ดี ถ้าท่านรักใคร คิดถึงใคร เป็นห่วงใคร ผู้นั้นจะให้โทษแก่ท่าน”
- ให้รักษาศีลให้ดี ทำความเพียรให้มาก มันก็จะรู้เองเห็นเอง เป็นคำสอนที่หลวงปู่บอกกับลูกศิษย์เสมอ
- สตินี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเราทราบระเบียบวินัยที่มีอยู่มากมายอย่างละเอียดรอบครอบแล้ว และตามรักษาได้อย่างครบถ้วน สติของเราก็จะต่อเนื่องกัน จิตใจก็จักจดจ่ออยู่แน่ในข้อวัตรปฏิบัติของตน ไม่มีโอกาสที่จะแส่ส่ายไปภายนอก ถ้าขาดสติ โอกาสที่จิตใจจะวิ่งไปตามอารมณ์ภายนอกมันก็มีมากขึ้น และอารมณ์ทั้งหลายก็ย่อมครอบงำจิตให้หลงไหลมัวเมาได้ง่ายขึ้น
- ไม่ควรคลุกคลี ให้อยู่คนเดียวมากๆ สาธยายด้วยตัวเองให้มาก มีจิตใจกำหนดจดจ่ออยู่ในพระธรรมให้มากนี้เป็นการดีที่สุด
- สังขาร คือ ร่างกาย จิตใจนี้ เป็นของไม่เที่ยง และจะหาสาระแก่สารอะไรมิได้ โดยประการทั้งปวง
- จะให้ลูกเป็นคนดี ต้องทำดีให้ลูกดู
- บุรุษพึงพยายามไปกว่าจะสำเร็จประโยชน์
- ผู้ขยันในหน้าที่ การงานไม่ประมาท เข้าใจการเลี้ยงชีวิตตามสมควร จึงรักษาทรัพย์ที่หามาได้
- คนโกรธมีวาจาหยาบ
- วาจาเช่นเดียวกับใจ
- ธรรมเป็นของแน่นอน แต่รูปเป็นของไม่แน่นอน
- กิเลสคือตัวมารอันร้ายกาจ แม่น้ำเสมอด้วยความอยากไม่มี
- ความอยากไม่มีขอบเขต ความอยากย่อมผลักดันให้คนวิ่งวุ่น
- โลกถูกความอยากนำไป ความอยากเป็นแดนเกิดของความทุกข์
หลวงปู่พระอาจารย์กินรี จนฺทิโย ได้ยึดมั่นถือปฏิบัติตามบูรพาจารย์ใหญ่ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และหลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล ที่อยู่อย่างสมถะเรียบง่าย ไม่เปิดเผยตน เก็บตัว ไม่ชอบคนหมู่มาก มักน้อยไม่มักมาก ไม่ต้องการความมีชื่อเสียง พูดน้อย ไม่ชอบเทศน์ถ้าไม่นิมนต์ให้เทศน์ หลวงปู่อยู่อย่างสงบๆ เหมือนพระผู้เฒ่าไม่มีอะไรดี
การปฏิบัติภาวนาของหลวงปู่กินรี เพียงวิธีการสังเกตดูกิริยาภายนอกนั้นอยากที่จะเข้าใจ เพราะกิริยาพฤติกรรมที่แสดงออกกับภูมิจิต ภูมิธรรมภายในนั้นเป็นคนละเรื่อง ดังคำปรารถของ พระอาจาย์ชา สุภทฺโท ครั้นปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่ ทั้งก่อนและหลังที่เดินธุดงค์สู่ภูลังกา จังหวัดนครพนม ได้กล่าวว่า ท่านเองทำความเพียรอย่างสาหัส เดินจงกรมทั้งวัน ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออกจนแผ่นดินทรุดทางเดินเป็นร่องลึกหลายต่อหลายร่อง ปฏิบัติมิได้หยุดหย่อน ยังไม่รู้ไม่เป็นอะไรแล้วท่านอาจารย์ปฏิบัติเพียงเดินจงกรมก็ไม่เคยเดินจะนั่งสมาธินานๆ ก็ไม่เห็นนั่ง คอยแต่จะทำนั่นทำนี่แล้วจะไปถึงไหนกัน
แล้วหลวงพ่อชา ได้กล่าวภายหลังว่า "เรามันคิดผิดไป ท่านพระอาจารย์ทำความเพียรขั้นอุกฤกษ์มากต่อมาก หลายต่อหลายปี รู้อะไรมากกว่าเราเป็นไหนๆ คำเตือนสั้นๆ ห้วนๆ แม้จะนานๆ ครั้ง แต่ก็เป็นสิ่งที่เราไม่เคยคิด ไม่เคยเห็นมาก่อน อุปมาเหมือนแสงจันทร์กับแสงเทียน การปฏิบัติแท้ๆ นั้นไม่ใช่กิริยาอาการภายนอก ไม่ใช่การเดินจงกรมด้วยเท้า ไม่ใช่การนั่งสมาธิ มิใช่การศึกษาตำราตัวหนังสือ มิใช่เพียงคำพูดและมิใช่สิ่งที่จะยกเป็นตัวเป็นตนได้แต่การปฏิบัติภาวนาที่แท้จริงนั้น เป็นกิริยาภายใน เป็นอาการภายใน เป็นการปฏิบัติทางใจ นั่งนิ่งอยู่ที่จิต ทำอารมณ์ให้นิ่ง ทำจิตให้นิ่ง มีสมาธิจนเป็นหนึ่งอยู่ทุกขณะจิต ตลอดภาวนา ทุกเวลาทุกอริยาบทแม้การทำจิตอันใด ฉะนั้นการจะไปจับเอาการกระทำด้วยการนั่งสมาธิกายเดินจงกรมของครูบาอาจารย์นั้นไม่ได้และไม่ถูก"
หลวงปู่กินรีเป็นพระที่ยึดมั่นในศีลธรรม อบรมลูกศิษย์อย่าประมาทในศีลแม้สิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ ในพระวินัยจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด แม้เพียงการตากผ้าสงบจีวรแล้วมิได้เฝ้าดูรักษา หลวงปู่ก็ตำหนิพระลูกศิษย์ว่า ประมาทในสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ การเป็นสมณะต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ เป็นอยู่ง่ายๆ กินแต่น้อยมีทรัพย์สิ่งของน้อยและไม่สะสม จะต้องทะนุถนอมรักษาใช้ให้นานๆ เป็นผู้ไม่สิ้นเปลืองมาก ถ้าใช้สุรุ่ยสุร่าย แสดงถึงการขาดสติในการประคับประคองตัวให้อยู่ในครอบร่างรอยของสมณะ แล้วจะมีอะไรเป็นเครื่องมือปฏิบัติภาวนา สตินั้นต้องมั่นคง และต่อเนื่องด้วยการสังวรระวังในวินัยสิกขาบท สติเราก็จะมั่นคงต่อเนื่อง ถ้าขาดวินัยย่อมขาดสติ จิตจะวิ่งไปตามอารมณ์ภายนอกอารมณ์ทั้งหลายก็ย่อมครอบงำจิตให้หลงใหลมัวเมา การมีสติอยู่กับข้อวัตรพระวินัย ย่อมเป็นเครื่องกั้นอารมณ์ทั้งปวงและทำให้สติต่อเนื่อง จิตใจย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิจิตตลอดกิริยาบถ คำสอนของหลวงปู่จึงเป็นคำสอนที่ง่ายๆ เป็นการสอนด้วยข้อปฏิบัติและกระทำทันที
พิพิธภัณฑ์อัฐบริขารหลวงปู่กินรี จนฺทิโย ณ วัดกันตศิลาวาส
หลวงปู่กินรี ท่านเป็นคนพูดน้อย แต่ละคำพูดที่พูดจึงมีแต่ความบริสุทธิ์และจริงใจ ท่านยึดถือคติธรรม “สติโลกสฺมิ ชาคโร” สติเป็นธรรมเครื่องตื่นอยู่เสมอ จงเอาสติตามรักษาจิตไว้ เพราะคนมีสติย่อมประสบแต่ความสุข จะพูดจะคิดจึงควรมีสติทุกเมื่อ ท่านมักจะอยู่คนเดียว ไม่ชอบคลุกคลีกับหมู่คณะ พยายามให้พระเณรในวัดมีการร่วมกันน้อยที่สุด ให้เร่งทำความเพียร อย่าได้อยู่ด้วยความเกียจคร้าน อย่าเป็นผู้พูดมาก เอิกเกริกเฮฮา ไม่จำเป็นท่านจะไม่ให้ประชุมกัน แม้การสวดมนต์ทำวัตรยังให้ทำร่วมกันสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำด้วยตนเองอยู่แล้ว ให้อยู่คนเดียวทำคนเดียวมากๆ จิตจดจ่ออยู่ในพรรษาให้มาก โดยเฉพาะเตือนลูกศิษย์ให้อยู่ในป่าช้าให้มาก อานิสงส์ของการอยู่ในป่าช้าทำให้จิตใจกล้า องอาจ จิตตื่นอยู่เสมอ พิจารณาข้อธรรมได้ถี่ถ้วน เพราะจิตปราศจากนิวรณ์
หลวงปู่กินรี จนฺทิโย เคยอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่เสาร์นานถึง 6 ปี อยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่น 2 ปี และอยู่กับหลวงปู่ทองรัตน์ 4 ปี หลังจากนั้นได้กราบคารวะบูรพาจารย์ให้ทั้งสามอยู่เนืองนิจ แต่ชีวิตปั้นหลายของหลวงปู่กินรี นั้น ทุกสิ่งทุกอยางปกติคือพูดน้อย เก็บตัวอยู่เรียบง่ายสงบระงับ หยุดการเดินทาง หยุดการธุดงค์ มีนานๆ ครั้งจะไปเยี่ยมพระอาจารย์ชา ผู้เป็นศิษย์ ที่วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ด้วยลักษณะนิสัยต้องการอยู่ตามลำพัง อยู่คนเดียว ไม่เปิดเผยตัวเอง จึงไม่มีผู้ใดที่จะเคยได้ยินคำพูดที่จะเป็นไปในทางโอ้อวดการมีดี การอวดคุณธรรมวิเศษจากหลวงปู่ ท่านสมณะที่สงบเสงี่ยมเจียมตน จึงไม่อุดมด้วยศิษยานุศิษย์ทั้งบรรพชิตและฆราวาส พระอาจารย์ชา สุภทฺโท จึงส่งพระลูกศิษย์ 2 รูปมาอุปัฏฐากดูแลท่าน
หลวงปู่กินรีมีโรคประจำตัว คือ ไออยู่เป็นนิจ เนื่องจากเกี่ยวกับปอดชื้น แต่ท่านไม่ยอมให้หมอรักษาไม่ว่าท่านจะเป็นอะไร จะอาการหนักหรือไม่หนัก ท่านจะไม่ยอมให้ใครนำตัวท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลอย่างเด็ดขาด อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด จนกระทั่งเมื่อวันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523 ตรงกับวันแรม 4 ค่ำ เดือน 12 ปีวอก หลวงปู่จึงได้ละสังขารจากพวกเราไป สิริรวมอายุได้ 84 ปี 7 เดือน 16 วัน พรรษา 58
หลวงพ่อชา สุภัทโท เป็นองค์ประธาน งานประชุมเพลิงหลวงปู่กินรี จันฺทิโย
** หมายเหตุ

ในประวัติของหลวงปู่กินรีจากหลายแหล่ง ได้มีหมายเหตุในเรื่อง วัดอ้อมแก้ว ว่า “ปัจจุบันชื่อ วัดเกาะแก้วอัมพวัน ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้เคยมาพำนัก” ซึ่งปี พ.ศ. ที่บวชไม่สอดคล้องกับปีที่สร้างวัดเกาะแก้วอัมพวัน และในการสร้างวัดเกาะแก้วอัมพวันก็ไม่มีข้อบ่งชี้ว่า เป็นการบูรณะวัดเก่า ดังข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในประวัติหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ที่ รศ.ปฐม นิคมานนท์ เป็นผู้เรียบเรียง ซึ่งมีข้อความว่า
“ในปลายปี พ.ศ. ๒๔๗๓ นั้นเอง หลวงปู่ใหญ่จึงออกธุดงค์ไปทางอำเภอธาตุพนม ซึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง อยู่ห่างจากตัวจังหวัดนครพนมไปทางใต้กว่า ๕๐ กิโลเมตร หลังจากพาลูกศิษย์ไปนมัสการพระธาตุพนม แล้ว หลวงปู่ใหญ่ก็พาคณะไปพำนักปักกลดอยู่ที่ป่าดอนอ้อมแก้ว อยู่ทางทิศใต้ขององค์พระธาตุพนม
บริเวณป่าดอนอ้อมแก้วแห่งนี้ เป็นผืนดินที่มีลักษณะคล้ายเกาะ เพราะมีน้ำล้อมรอบอยู่ ทางตะวันตกมีน้ำจากลำห้วยแคน ไหลผ่านลงลำน้ำก่ำ แล้วลงแม่น้ำโขงอีกทีที่ปากก่ำ ซึ่งอยู่ไม่ไกลบริเวณนั้น
ประชาชนชาวธาตุพนม ซึ่งเรียกว่าชาวไทพนม นำโดยโยมทองอยู่ และโยมแก้วผู้เป็นเจ้าของที่ดิน ได้ร่วมแรงร่วมใจพากันช่วยถากถางป่าต้นหนามคอมและกอไผ่หนาม จัดสร้างกุฏิ กระต๊อบ และเสนาสนะที่จำเป็นสำหรับคณะพระธุดงค์ได้พักอาศัย พอกันแดดกันฝนได้ รวมทั้งอุปถัมภ์อุปัฏฐากให้คณะของหลวงปู่ใหญ่ได้พักจำพรรษาอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น
เป็นอันว่าในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ หลวงปู่ใหญ่และคณะพักจำพรรษาโปรดญาติโยมอยู่ที่ป่าดอนออมแก้ว อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เป็นพรรษาที่ ๕๐ ของท่าน
สำนักป่าดอนอ้อมแก้วแห่งนี้ จึงได้กลายเป็นวัดกรรมฐาน ชื่อว่าวัดป่าอ้อมแก้ว เพื่อเป็นการฉลองศรัทธาและเป็นเกียรติแก่โยมแก้ว เจ้าของที่ ในปลายปี พ.ศ. ๒๔๗๓ นั่นเอง
หลวงปู่ใหญ่เสาร์จึงเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ต่อมาภายหลังได้ใช้ชื่อใหม่ว่า วัดเกาะแก้วอัมพวัน มาจนทุกวันนี้”
ตามข้อความข้างต้น วัดป่าอ้อมแก้ว ได้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ หลังจากปีที่หลวงปู่กินรีบวช คือปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ถึง ๔ ปี ดังนั้นความเป็นไปได้จึงมี ๓ ทางคือ
- วัดที่หลวงปู่กินรีบวช ไม่ใช่วัดอ้อมแก้ว หรือ
- ถ้าวัดที่หลวงปู่กินรีบวชเป็นวัดอ้อมแก้วจริง วัดอ้อมแก้ว ที่หลวงปู่กินรีบวช กับวัดเกาะแก้วอัมพวัน ก็ต้องไม่ใช่วัดเดียวกัน หรือ
- ถ้าวัดวัดอ้อมแก้ว กับวัดเกาะแก้วอัมพวัน เป็นวัดเดียวกัน ปี พ.ศ. ที่หลวงปู่กินรีบวช หรือปี พ.ศ. ที่สร้างวัดเกาะแก้วอัมพวัน ปีใดปีหนึ่งต้องผิด
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Dhamma
- Hits: 18015
มีชาวต่างประเทศจำนวนมากที่มีความเลื่อมใสในพระธรรมคำสอน แล้วมาบวชอยู่ศึกษาปฏิบัติธรรมเป็นศิษยานุศิษย์ ของ หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บ้างก็ปวารณาตัวบวชตลอดชีวิต จึงมีคำถามว่า "ศาสนาพุทธ มีดีอะไรจึงทำให้ฝรั่งต่างชาติละทิ้งอาชีพและอนาคตอันศิวิไลซ์มาบวชมากมายเช่นนี้"
วิถีพระป่าฝรั่ง ศิษยานุศิษย์ชาวต่างชาติ (3)
พระภาวนาวัชราจารย์ (พระอธิการเฮนรี่ เกวลี)
ฉายา เกวลี อายุ 54 ปี พรรษา 25 วิทยฐานะ นักธรรม ชั้นเอก ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ (สาขาวัดหนองป่าพง ที่ 19) ตำบลบุ่งหวาย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี (ข้อมูล ณ พ.ศ. 2566)
นามเดิมชื่อ เฮ็นนิ่ง นามสกุล เอ็กเกร์ส เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2511 ตรงกับวันแรม 4 ค่ำ เดือน 1 ปีวอก ณ อำเภอคาร์ลสรูเฮ จังหวัดบาเดน-เวือร์เทมเบอร์ก ประเทศเยอรมนี นามบิดา นายเฮลมุท นามมารดา นางโรสวิทา
การบรรพชา และอุปสมบท
บรรพชา เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2540 อายุ 28 ปี ณ วัดหนองป่าพง ตำบลโนนผึ้ง (เขตปกครองคณะสงฆ์ เป็นตำบลโนนโหนน เขต 2) อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระอธิการเลี่ยม ฐิตธมฺโม (พระเทพวชิรญาณ) เป็นพระอุปัชฌาย์
อุปสมบท เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 อายุ 29 ปี ณ วัดหนองป่าพง ตำบลโนนผึ้ง (เขตปกครองคณะสงฆ์ เป็นตำบลโนนโหนน เขต 2) อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระอธิการเลี่ยม ฐิตธมฺโม (พระเทพวชิรญาณ) วัดหนองป่าพง เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ฌอน ชยสาโร (พระธรรมพัชรญาณมุนี) วัดป่านานาชาติ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์อลัน วิปสฺสี วัดป่านานาชาติ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ชาวตะวันตกส่วนใหญ่ มักจะเริ่มจากแนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับพุทธศาสนา เกี่ยวกับการนั่งสมาธิ ซึ่งเป็นวิธีในการทำให้จิตใจสงบ ไม่มีความเครียดในชีวิต ผ่อนคลาย และหนึ่งในสิ่งที่งดงามคือ การพบพุทธศาสนา เราได้รับสารว่า ให้หยุดพักชั่วครู่ อยู่กับตัวเอง
เหมือนกับเวลาที่คนมาที่นี่ เขาได้ตระหนักว่า นอกจากการทำสมาธิโดยเฉพาะในพุทธศาสนานิกายเถรวาท ได้เกิดปัญญามหาศาลซึ่งสามารถนำมาใช้ในชีวิต และสำหรับพวกเราหลายคน มันเป็นสิ่งที่มีเหตุผล ทำให้พวกเราคิดได้ทันทีว่านี่แหละสิ่งที่พวกเรากำลังมองหา
เพราะคำสอนต่างๆ นั้น ถูกจุด ตรงประเด็น ไม่มีอะไรที่ลึกลับรู้กันในวงจำกัด คือไม่มีสิ่งที่ปิดบังซ่อนเร้น ไม่มีสิ่งที่แปลกประหลาดในนั้น
เหมือนกับสิ่งที่หลวงพ่อชาสกัดออกมา พูดถึงหลวงพ่อชา หลวงปู่มั่น พวกท่านต่างเพ่งไปที่แก่นของคำสอน เช่น อริยสัจ 4 หรือไตรลักษณ์ การลดความเครียด การหยุดพักชั่วคราว การมีสติ การระลึกรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นและการค้นพบตัวเอง นั่นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนชอบในพุทธศาสนา
เราต้องการเกิดปัญญาด้วยตัวเราเอง และพุทธศาสนาก็เป็นคำสอนแห่งปัญญาในทางหนึ่งเรามาที่นี่และรู้สึกถึงความสงบ ความผ่อนคลายของผู้คนในวัดแห่งนี้ เหมือนกับคนทั่วไปในประเทศไทย
ทำให้เรารู้สึกค่อนข้างประทับใจและเกิดแรงบันดาลใจ และก็มีหลายสิ่งที่ทำให้เราประทับใจอย่างมาก นั่นคือความโอบอ้อมอารีของคนไทย คนไทยชอบทำบุญ ให้การต้อนรับชาวต่างชาติเป็นอย่างดี ต้อนรับพวกเราต่างชาติที่แบคแพคมา ที่มาเที่ยวชายทะเล เที่ยวเชียงใหม่ หรือแม้แต่มาที่อุบล มายังพุทธศาสนา ไม่รู้สึกว่ามีอคติ ผู้คนทั้งหลายแค่รู้สึกมีความสุขมากๆ ที่เห็นเรามา และทำให้เห็นได้ว่าพวกเขามีความสุขจริงๆ พวกเขาช่างเป็นมิตรและทำไมถึงใจดีอย่างนี้
แล้วเมื่อออกไปบิณฑบาต ก็มักจะมีชาวต่างชาติที่มาที่วัด ติดตามพระสงฆ์ออกไปบิณฑบาตในตอนเช้าด้วย และพวกเขามักจะรู้สึกซาบซึ้งประทับใจ ได้เห็นเด็กน้อยได้เห็นผู้เฒ่า ผู้แก่ที่ทางประเทศตะวันตกมักจะไม่ค่อยได้เห็นกัน เพราะมักจะไปอยู่บ้านพักคนชราหรือโรงพยาบาลกัน แต่ที่นี่เขาอยู่ร่วมกันในหมู่บ้าน ในเมือง ออกมาเจอกันแล้วก็ได้เห็นการให้ความเคารพ อย่างเด็กน้อยที่พูดว่า นั่งลง นั่งลง ไหว้พระเร็ว นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกซาบซึ้งประทับใจจริงๆ แต่ความรู้สึกอบอุ่นแบบครอบครัวที่เราเห็นที่เมืองไทย มันทำให้เราบางคนรู้สึกอิจฉาคนไทยจริงๆ ที่มีแบบนั้นในขณะที่ทางตะวันตกมันสูญหายไปแล้ว
แน่นอนว่า ชาวต่างชาติที่มาที่นี่นั้น ต่างเป็นลูกชายจากครอบครัวที่ดี ไม่ใช่แค่คนที่หลีกหนีความวุ่นวายมา แต่ยังมีคนที่รู้สึกซาบซึ้งกับวัฒนธรรมของพุทธศาสนาที่เราได้เรียนรู้มาด้วย
สิ่งหนึ่งในนั้นแน่นอนว่าคือ ปรัชญา คำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งชัดเจนแจ่มแจ้ง อาตมาได้ศึกษาจากตำรามาบ้าง พวกเราชาวต่างชาติได้มีโอกาสอ่านพระสูตรที่ขายอยู่ในร้านหนังสือ อย่างไปฝรั่งเศส ไปร้านหนังสือ ก็สามารถซื้อหนังสือเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ พอได้อ่านแล้วก็รู้สึกได้แรงบันดาลใจ จากนั้นก็รู้ว่า พระทำสมาธิ ชาวพุทธทำสมาธิ พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุข อาศัยอยู่ในสถานที่อย่างหลังคาโลก แล้วก็เกิดอยากทำบ้าง
แล้วประการที่สามคือ จากนั้นก็ได้ค้นพบว่า โอ้... ความเป็นพุทธนี้อยู่ที่นี่ ผู้คนมาที่อุบล หรือมาเมืองไทย แล้วก็เห็นความงดงาม เห็นผู้คนที่นี่ให้ความเคารพกับศาสนา กับพระสงฆ์ เห็นความโอบอ้อมอารี ทั้งหมดทั้งปวงนี้ทำให้เราฉุกคิดว่า เราได้ทำอะไรมาบ้าง ซึ่งอาจจะไม่ค่อยมีคุณค่านัก หรืออยากจะเปลี่ยนชีวิต
วิทยฐานะ
- พ.ศ. 2531 สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 7 จากโรงเรียน Hardtberg Gymnasium Bonn อำเภอบอนน์ จังหวัดนอรด์รายนเวสท์ฟาเลน ประเทศเยอรมนี
- พ.ศ. 2539 สำเร็จระดับปริญญาตรี ด้านฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ และศึกษาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย Freie Universität Berlin ประเทศเยอรมนี
- พ.ศ. 2545 สอบได้ นักธรรม ชั้นเอก จากสำนักเรียนคณะจังหวัดอุบลราชธานี วัดหนองป่าพง ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
- การศึกษาพิเศษ ได้รับเกียรติบัตร ซึ่งเป็นผู้ทรงจำและสวดพระปาฏิโมกข์ จาก สำนักงานเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี
งานการปกครองคณะสงฆ์
- พ.ศ. 2551 เป็น เจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ ตำบลบุ่งหวาย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 1 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551 จนถึงปัจจุบัน
- พ.ศ. 2561 ได้รับตราตั้งเป็น พระอุปัชฌาย์ ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2536) ว่าด้วย การแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์ ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2535 ซึ่งนับว่าเป็นพระชาวต่างประเทศรูปแรกที่เข้าระบบในการฝึกซ้อมอบรมหรือสอบความรู้พระอุปัชฌาย์ของคณะสงฆ์ไทย
- 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น “พระครูอุบลภาวนาวิเทศ” เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
- 28 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น "พระภาวนาวัชราจารย์" เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
ผลงาน พระภาวนาวัชราจารย์ ในการเผยแผ่พระธรรมเทศนาทั้งรูปแบบ หนังสือ การบันทึกเสียงและวิดีโอ มีอย่างต่อเนื่อง ทั้งภาษาไทย อังกฤษ และเยอรมัน เป็นต้น ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ช่องยูทูป International Forest Monastery Wat Pah Nanachat และผ่านเว็บไซต์วัด www.watpahnanachat.org ได้ทำหนังสือสวดมนต์ทำวัตรแปล ภาษาบาลี-อังกฤษ (Buddhist Chanting Pali-English) เพื่อใช้ภายในวัดและเผยแพร่ออกไปสู่ระดับสากล (พ.ศ. 2561) ได้ทำการแปลหนังสือธรรมะเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา อาทิเช่น ประวัติและปฏิปทาพระเทพวชิรญาณ (เลี่ยม ฐิตธมฺโม) (The Life and Teachings of Luang Por Liem Thitadhammo) หนังสือ No Worries หนังสือ The Ways of the Peaceful เป็นผู้เรียบเรียงหนังสือ Forest Path (พ.ศ. 2556) หนังสือ นอบน้อมบูชาคุณ (พ.ศ. 2564) หนังสือ Vinaya – die unbekannte Seite der Lehre des Buddha ภาษาเยอรมัน (พ.ศ. 2556)
ด้านศาสนกิจพิเศษอื่นๆ
พระภาวนาวัชราจารย์ ท่านเป็นผู้จัดโครงการอบรมกัมมัฏฐาน ทำหน้าที่สอนกัมมัฏฐานและจัดพระวิทยากรในการอบรมธรรม โดยใช้ภาษาอังกฤษแก่ชาวต่างชาติที่เข้ามาพักปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ที่วัดป่านานาชาติ ปีละประมาณ 400 คน เวลาอยู่พักปฏิบัติธรรมระยะเวลาสั้นยาวต่างกัน โดยเฉลี่ยประมาณ 7 วัน ให้คำแนะนำชีวิตบรรพชิตแก่ชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบนักท่องเที่ยว นักการศาสนาต่างๆ ผู้มาแวะเยี่ยมเยือน หรือผู้ที่มีความสนใจด้านการปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน มีการอบรมและสนทนาธรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การฟังธรรมเทศนาเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ชาวต่างชาติที่สนใจในพุทธศาสนา ได้มีโอกาสสัมผัสกับวิถีชีวิตพรหมจรรย์ เป็นเหตุให้ชาวต่างชาติจำนวนมากเกิดศรัทธาแล้วออกบวชเป็นพระภิกษุ สามเณร ในพุทธศาสนาในเวลาต่อมา หรือนำหลักการทางพระพุทธศาสนาไปใช้ในชีวิตคฤหัสถ์ที่ประเทศของ แต่ละคนต่อไป
รับหน้าที่เป็นล่ามแปลพระธรรมเทศนาของพระมหาเถระซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อชารุ่นเก่า ที่ท่านเทศน์ให้เป็นภาษาอังกฤษ ในเวลาที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านไปปฏิบัติศาสนกิจต่างประเทศ เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่ต่างประเทศ เพื่อแสดงพระธรรมเทศนาแก่ชาวต่างชาติ ที่ประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย อินเดีย สิงคโปร์ สืบเนื่องมาโดยตลอด
ดำเนินการรวบรวมเอกสารกรรมสิทธิ์ที่ดิน วัดป่านานาชาติ ให้ออกเป็นโฉนดที่ดินถูกต้อง ตามกฎหมายครบถ้วนทุกแปลง การขยายเขตที่ดินวัดด้านหน้าทางเข้า และด้านข้างทิศตะวันตกของวัด เพื่อดำเนินโครงการปลูกป่าเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ฟื้นฟูและเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ ให้มีความอุดมสมบูรณ์ อนุรักษ์พันธุ์ไม้พื้นถิ่น เพื่อให้เป็นศาสนสมบัติ เป็นเขตปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนสืบต่อไป เป็นผู้ริเริ่มการทำกิจกรรมปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ และให้คำแนะนำแก่ชาวบ้านในการทำการเกษตรแบบปลอดสารเคมี
ในหลวง-พระราชินี เสด็จฯ ทรงตัดหวายลูกนิมิตอุโบสถ
ณ วัดป่านานาชาติ จังหวัดอุบลราชธานี วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565
พ.ศ. 2562 ได้ดำเนินการก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่ (ทดแทนหลังเดิมที่มีขนาดเล็ก ไม่สะดวกในการทำสังฆกรรม เช่น การบรรพชา อุปสมบทพระ เป็นต้น) ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นการออกแบบที่มีการรักษารูปแบบแบบเรียบง่าย ตามแบบอย่างอุโบสถของวัดหนองป่าพง โดยเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 1 ชั้น ยกสูง เปิดโล่ง ไม่มีผนัง ไม่มีหน้าต่าง ดูกลมกลืนกับธรรมชาติ เป็นสถาปัตยกรรมรูปแบบอีสานล้านช้างเพื่อรักษาความเป็นโบราณไว้
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม : พระอุโบสถหลังใหม่วัดป่านานาชาติ
พระอาจารย์สิริปันโน (Ajahn Siripanyo)
ข่าวที่เรียกได้ว่า กำลังเป็นที่ฮือฮาในหมู่ Social Network อย่างยิ่งทีเดียว มีการแชร์กันไปมากมาย สำหรับเรื่องราวของพระชาวมาเลเซียรูปหนึ่ง ที่รู้สึกซาบซึ้งในรสพระธรรม จนถึงขนาดยอมทิ้งทรัพย์สมบัติอันมหาศาล ถึง 9.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.85 แสนล้านบาท) เพื่อขอบวชศึกษาพระธรรมภายใต้ร่มกาสาวพักตร์
อาจารย์สิริปันโน (Ajahn Siripanno) หรือชื่อเดิมคือ เว็น สิริปัญโญ (Ven Siripanyo) เป็นลูกชายคนเดียวของมหาเศรษฐี ที. อนันดา กริชนัน (Tan Sri Ananda Krishnan) เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญสุนทานชาวศรีลังกา เชื้อสายทมิฬ ซึ่งนิตยสาร Forbes จัดอันดับความร่ำรวยเป็นอันดับ 2 ของมาเลเซีย และอันดับ 4 ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และอันดับที่ 93 ของโลก (2nd richest man in Malaysia, 4th in Southeast Asia and 93th in the world according to Forbes in 2012) และ ม.ร.ว.สุพินดา จักรพันธุ์ (คุณหญิงใหญ่) มารดาซึ่งเป็นคนไทย
ครอบครัวนี้มีลูกสาว 2 คน และมีลูกชายเพียง 1 คน คือ อาจารย์สิริปันโน ท่านจบการศึกษาจากประเทศอังกฤษ และสามารถพูดได้ถึง 8 ภาษา ท่านสิริปันโน เคยมาศึกษาธรรมกับ อาจารย์ชยสาโร ที่วัดป่านานาชาติอยู่ 3 เดือน จนเมื่อท่านเรียนจบและทำงานได้ราวหนึ่งปี ก็ตัดสินใจบวชอีกครั้งและไม่สึกตลอดชีวิต
ท่านได้เลือกที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อ 24 ปีที่แล้ว (นับถึงปี พ.ศ. 2561) โดยเป็นลูกศิษย์สาย พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) แห่งวัดหนองป่าพง ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี และท่านไม่เคยมองย้อนกลับไป อยากใช้ชีวิตฆราวาสอีก
ท่านปฏิเสธโอกาสที่จะทำงาน เพื่อเข้ามาดูแลและขยายอาณาจักรธุรกิจของบิดา รวมทั้งปฏิเสธที่จะรับมรดกของครอบครัว ซึ่งมีมูลค่าราว 9.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ($9.5 billion -2011) แต่กลับเลือกที่เดินบนเส้นทางของการเจริญสมาธิภาวนา ตามแนวปฏิบัติสายพระป่าแห่งวัดหนองป่าพงตลอดชีวิต
พวกเราชาวพุทธ ไม่ควรพูดถึงพระด้วยการเน้นชูพื้นเพชีวิตของท่านก่อนบวช (ว่าเรียนจบอะไร, ครอบครัวทำอะไร เป็นต้น) เพราะนั่นไม่สำคัญ ไม่ว่าใครจะเรียนจบอะไร พ่อแม่ทำอาชีพอะไร อยู่ในสังคมแบบไหน ก็ไม่สำคัญ เพราะว่าเมื่อ “...วรรณะ ๔ จำพวก คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิม ถึงการนับว่าพระสมณศากยบุตรทั้งนั้น เปรียบเหมือนแม่น้ำใหญ่ๆ คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิมหมด ถึงการนับว่ามหาสมุทรนั่นเองฉะนั้น...” พวกเราจึงควรจะพูดถึงท่านที่ธรรมะและปฏิปทามากกว่า
ท่านสิริปันโน กับโยมพ่อ มหาเศรษฐี ที. อนันดา กริชนัน
พระอาจารย์สิริปันโน (Ajahn Siripanno) ท่านเป็นพระที่เล่าถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์ โดยไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง (กล่าวคือ ไม่เอาชื่อเสียงเกียรติคุณของพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาเป็นฐานเพื่อเสริมตัวเองขึ้น เพื่อยกตัวเองขึ้น) แต่มุ่งเน้นให้ความสำคัญที่ธรรมะและปฏิปทาของพ่อแม่ครูบาอาจารย์เป็นหลัก นี่คือสิ่งที่เราควรชูขึ้น คือ ธรรมะ ปฏิปทา การปฏิบัติตน เราควรทำอย่างนี้เหมือนกัน ใช้ตรงนี้เป็นแบบอย่าง
ปัจจุบันท่านจำพรรษาอยู่ที่ สำนักสงฆ์เต่าดำ จังหวัดกาญจนบุรี อันเป็นสาขาของวัดป่านานาชาติ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
- อ่านเพิ่มเติมประวัติของท่านภาษาอังกฤษ คลิกที่นี่เลย
- คลิปคำสอนพระอาจารย์สิริปันโนเป็นภาษาอังกฤษ คลิกชมที่นี่เลย
ภาพท่านสิริปัญโญ กับโยมมารดา (คุณหญิงใหญ่ ม.ร.ว.สุพินดา จักรพันธุ์)
มองพระพุทธศาสนา โดย พระอาจารย์สิริปัญโญ
ดอกบัวบานทางทิศตะวันตก : ตอนที่ 1 | ตอนที่ 2 | ตอนที่ 3 | ตอนที่ 4
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Dhamma
- Hits: 11036
พระครูโกวิทพัฒโนดม (เกลี้ยง เตชธฺมโม)
หลวงปู่เกลี้ยง เดิมชื่อ เกลี้ยง คุณมานะ เกิดที่บ้านก้านเหลือง ตำบลหมากเขียบ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นบุตรของนายบุญมี คุณมานะ และนางผิว คุณมานะ มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน ในช่วงวัยเด็กได้ศึกษาในโรงเรียนวัดบ้านโนนแกด จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งเป็นการศึกษาชั้นสูงสุดในสมัยนั้น จึงได้ออกไปช่วยครอบครัวประกอบอาชีพคือทำนาทำไร่ทำสวน และเรียนต่อชั้น ม. 3 จบในปี 2466
ต่อมาปี 2467 ทางราชการประกาศรับสมัครผู้ที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นครูช่วยสอน หลวงปู่สอบผ่านจึงได้เป็นครูผู้ช่วยสอนครั้งแรกที่ โรงเรียนวัดบ้านโนนแกด สอนได้สองเดือน ทางราชการให้ย้ายไปช่วยสอนที่โรงเรียนบ้านโพรง ตำบลไพรบึง อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นเวลา 3 ปี 6 เดือน และท่านก็ไปสอบ นักธรรมตรีที่สนามหลวง ซึ่งมีพระ สามเณร ไปสอบจำนวน 47 รูป ปรากฏว่า หลวงปู่เกลี้ยงและพระภิกษุสิงห์ สอบผ่านแค่ 2 รูป เท่านั้น
หลวงปู่เกลี้ยง ต้องการจะเรียนต่อนักธรรมโท แต่ที่ศรีสะเกษยังไม่มีที่เรียน ท่านจึงไปเรียนต่อนักธรรมโทที่ จังหวัดบุรีรัมย์ แต่ในช่วงขณะนั้นทางราชการให้ท่านต้องเกณฑ์ทหาร ท่านจึงจำต้องลาสิกขาบทไปรับใช้ชาติ เมื่อเป็นทหารปลดประจำการออกมาแล้ว ท่านจึงได้อุปสมบทอีกทีเมื่อปี พ.ศ. 2518 ณ วัดบ้านแทง ตำบลซำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีพระเกษตรศีลาจารย์ วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม ตำบลเมืองใต้ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นพระอุปัชฌาย์
หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านก็ได้ช่วยเหลืองานวัด ทั้งซ่อมแซมถนน และการให้ความช่วยเหลือกับผู้ที่ประสบปัญหา และ มีผู้คนที่ไม่สบาย ไปรักษาที่โรงพยาบาลก็ไม่หาย แต่หลวงปู่ท่าน ก็ยอมให้รักษาโดยใช้ยาตำรับแพทย์แผนโบราณ และจากความเชื่อศรัทธา ทำให้ผู้คนหายเจ็บป่วย ถ้ามาหาทันเวลาและอยู่ในวิสัยที่จะหายไข้ได้
หลวงปู่เกลี้ยง เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สายกรรมฐาน ทั้งแนวทางปฏิบัติของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่แห่งภาคอีสาน ได้รับการถ่ายทอดพุทธอาคม ศึกษาเรื่องสมุนไพรรักษาโรค และวิชากรรมฐาน จากครูบาอาจารย์หลายท่าน เป็นที่เลื่องลือกันว่า ท่านมีความพิเศษสามารถนิมิตบันดาล หากมีผู้คนไปไต่ถามเรื่องต่างๆ เพียงแค่ยก ขันธ์ 5 บูชาคุณครู และบอกถึงความจำเป็นให้ท่าน ท่านจะตอบตามนิมิตบันดาล ส่วนใหญ่เป็นไปตามคำถามทุกประการ การรู้เห็นเป็นสิ่งเหนือวิสัยของคนทั่วๆ ไปที่ไม่สามารถรู้เห็นได้
"พระธาตุวัดบ้านโนนแกด" เป็นโบราณสถานที่มีความเก่าแก่แห่งหนึ่งใน จังหวัดศรีสะเกษ เดิมเป็นพระธาตุที่ก่อด้วยอิฐทั้งองค์ มีลักษณะคล้ายพระธาตุพนม ส่วนยอดจะกลม ที่ยอดพระธาตุจะมีฉัตรสำริดหลายชั้น และมีกระดิ่งโลหะเมื่อลมพัดจะมีเสียงดัง ในทุกวันพระจะมีแสงลอยออกจากยอดพระธาตุ จึงเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านให้ความนับถือแห่มากราบไหว้สักการบูชาตลอดอย่างต่อเนื่อง แต่ต่อมาองค์พระธาตุได้ล้มลงมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกับพระธาตุพนมล้ม ชาวบ้านที่เคยไปเคารพกราบไหว้ต่างรู้สึกเสียดายได้ช่วยกันนำชิ้นส่วนที่สำคัญเก็บไว้
ต่อมาในสมัยที่ หลวงปู่เกลี้ยง เตชธมฺโม หรือ พระครูโกวิทพัฒโนดม เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน มาจำพรรษาที่วัดบ้านโนนแกด ได้มีศรัทธาร่วมกับคณะกรรมการวัดและพระผู้ใหญ่ในจังหวัด วางแผนบูรณะ โดยเชิญเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากร มาดำเนินการขุดกรุฐานองค์พระธาตุ พบโบราณวัตถุมีค่ามากมาย อาทิ พระพุทธรูปทองคำ 16 องค์ ผอบบรรจุพระบรมธาตุ 1 ใบ พระพุทธรูปเงิน 1 ถาด บาตรพระ 3 ใบ ดาบโบราณ 1 เล่ม แหวนประดับพลอย 4 วง และอื่นๆ อีกหลายรายการ จึงได้จัดสร้างห้องเก็บไว้ อย่างปลอดภัย
เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรที่ดำเนินการขุด ให้ความเห็นว่าพระธาตุบ้านโนนแกดมีอายุกว่า 1400 ปี ก่อนล้มลง เคยได้รับการบูรณะมาแล้ว 1 ครั้ง การบูรณะครั้งหลังสุดเมื่อ พ.ศ. 2527 เป็นการบูรณะครั้งที่ 2 องค์พระธาตุวัดโนนแกดนั้น เป็นที่ศรัทธาของประชาชนชาวเมืองศรีสะเกษและใกล้เคียงมาก เช่นเดียวกับ "หลวงปู่เกลี้ยง" ที่มีญาติธรรมจากทั่วประเทศเดินทางมากราบนมัสการขอพรเป็นประจำ เป็นพระสงฆ์นักพัฒนาและมีวิชาความรู้ทางด้านพระคาถาอาคมที่นำมาช่วยสงเคราะห์ชาวบ้าน
นอกจากนี้ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ดำรงตนแบบสมถะ ไม่ยึดติดในลาภยศสรรเสริญ มักจะสั่งสอนญาติโยมด้วยข้อธรรมชี้นำแนวทางแห่งการสร้างความดี เพื่อใช้การดำเนินชีวิต ด้วยคุณงามความดีได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ "พระครูโกวิทพัฒโนดม" พร้อมตาลปัตรพัดยศ เมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม 2534 และเนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2552 มหาเถรสมาคมมีมติให้เลื่อนชั้นจากตำแหน่ง พระครูเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นเอก เป็นเทียบผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอก เนื่องจากหลวงปู่เกลี้ยงมีอายุมากถึง 103 ปีแล้ว จึงได้นำพระบัญชาตราตั้งมาถวายแก่หลวงปู่เกลี้ยงที่วัด
พระครูโกวิทพัฒโนดม หรือ หลวงปู่เกลี้ยง เตชะธัมโม ละสังขารอย่างสงบ เมื่อช่วงเช้าวันนี้ เวลา 08.59 น. ของวันที่ 6 มกราคม 2562 ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ด้วยโรคชรา สิริอายุรวมได้ 111 ปี 88 วัน โดยศิษยานุศิษย์เข้ากราบแสดงความอาลัยด้วยความเคารพเป็นจำนวนมาก หลวงปู่ได้มีการทำพินัยกรรมไว้ โดยพินัยกรรมข้อหนึ่งที่หลวงปู่ได้ระบุไว้คือ เมื่อหลวงปู่ละสังขารไปแล้ว ให้เก็บสังขารของหลวงปู่ไว้เป็นเวลา 1 ปี เมื่อครบกำหนดแล้ว จึงให้ประกอบพิธีฌาปนกิจศพหลวงปู่ต่อไปได้
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Dhamma
- Hits: 12616
หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล ชื่อเดิมของท่านคือ “หมุน แก้วปักปิ่น” (ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น “ศรีสงคราม”) เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 5 ปีชวด พ.ศ. 2437 ในช่วงรัชกาลที่ 5 ณ บ้านจาน อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ บิดาชื่อ “ดี” มารดาชื่อ “อั๊ว” มีพี่น้อง 9 คน ท่านเป็นคนที่ 7 มีอาชีพทำไร่ทำนา เป็นเด็กยากจน แต่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ต่อมาบิดามารดาเห็นแววทางด้านพระพุทธศาสนา จึงให้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 14 ปี และนำไปฝากกับพระอาจารย์สีดา เจ้าอาวาสวัดบ้านจาน ซึ่งเป็นพระที่เชี่ยวชาญด้านกรรมฐาน และมีวิชาอาคมที่เก่งมาก
ในปี 2460 ขณะอายุได้ 23 ปีได้เข้าอุปสมบทหมู่จำนวน 9 รูป โดยหลวงปู่เป็นรูปที่ 9 โดยมีโยมลุงของท่านเป็นเจ้าภาพ โดยมี หลวงพ่อสีดา เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อเพ็ง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ และ หลวงพ่อผุย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับรับฉายาว่า "ฐิตสีโล" แปลว่า "ผู้มีศีลตั้งมั่น"
หลังจากบวชแล้วได้จำพรรษาที่วัดบ้านจาน ศึกษาเล่าเรียนอักษรไทย อักษรขอม ฝึกกัมมัฎฐานในหมวดสมถะ และวิปัสสนากรรมฐานจากพระอุปัชฌาย์ ครูบาอาจารย์ต่างๆ ในแถบนั้นเป็นเวลา 4 ปีเต็ม จากนั้นท่านมีความคิดว่า จะต้องแสวงหาครูบาอาจารย์อื่นๆ เพื่อศึกษาคันถธุระและวิปัสสนาธุระในชั้นที่สูงๆ ขึ้นไปอีก จึงออกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ และร่ำเรียนวิชาอาคมกับพระเถระชื่อดังหลายรูป เกือบทั่วประเทศจนถึงประเทศลาว มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย
ปี พ.ศ.2464 หลวงปู่หมุน เริ่มออกศึกษาแสวงหาประสบการณ์โดยได้ร่ำเรียนทั้งเวทย์วิทยา และสมถกรรมฐานจากครูบาอาจารย์หลายสำนัก การเดินทางในสมัยนั้นเป็นที่ลำบากยากเย็น ต้องเดินเท้าเปล่าผจญภัยจากผีป่า หรือสัตว์ร้ายนานัปการ แต่หลวงปู่มิได้ย่อท้อ ได้เดินทางไปศึกษาวิชาอาคมที่ สำนักตักศิลาแห่งบ้านจิกใหญ่ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี กระทั่งศึกษาคัมภีร์มหาพุทธาคม อันเป็นแม่บทของคัมภีร์ปถมัง คัมภีร์อิทธิเจ คัมภีร์มหาราช คัมภีร์ตรีนิสิงเห ซึ่งเป็นพื้นฐานแห่งอำนาจจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำราพิชัยสงคราม เช่น คัมภีร์นิติประกาศิต คัมภีร์ธนูรเวทว่าด้วยการแต่งเครื่องครอบมนตร์ในสงคราม เป็นต้น
ในช่วงปี 2475-2482 เมื่อหลวงปู่สำเร็จการศึกษาวิชาการต่างๆ ก็เก็บบริขารออกธุดงค์ป่าผ่านถิ่นทุรกันดารในชนบทโดยเท้าเปล่า มายังกรุงเทพฯ ในระยะแรกหลวงปู่เข้าพักที่ วัดเทพธิดาราม เป็นการชั่วคราว โดยมีครูทองอินทร์ เป็นครูสอนของวัดเทพธิดาราม เป็นผู้เอื้อเฟื้อจัดหาที่พำนักให้ ท่านได้ให้หลวงปู่อยู่ที่วัดอรุณราชวราราม พำนักอยู่กับพระพิมลธรรม (นาค) ศิษย์สายสมเด็จพระสังฆราชแพ โอกาสนี้หลวงปู่ได้ร่ำเรียนวิชาคัมภีร์มูลกัจจายน์สูตร ซึ่งเป็นหลักสูตรโบราณอันเก่าแก่ของคณะสงฆ์ไทย ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน เป็นตำราที่ละเอียดลึกซึ้ง แตกฉานพระบาลีว่าด้วยคัมภีร์อรรถกถายากยิ่งที่จะมีผู้เรียนได้สำเร็จ ปัจจุบันวิชานี้ได้ยกเลิกไปแล้ว
หลวงปู่หมุน ได้เข้าสอบวิชามูลกัจจายน์นั้น ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งการสอบในสมัยนั้นมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประธาน และสมเด็จพระสังฆราช (แพ) เป็นประธานกรรมการฝ่ายสงฆ์ และพระเถราจารย์เป็นผู้ทดสอบด้วย โดยมีการถามตอบแบบมุขปาฐะ (ปากเปล่า) ถ้าถามตอบบาลีผิดเกิน 3 คำ ให้ปรับเป็นตกทันที ด้วยความรู้ความสามารถที่แตกฉานในคัมภีร์ หลวงปู่สามารถสอบได้เปรียญธรรมถึง 5 ประโยคในคราวเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นหลวงปู่ได้ใช้วิชาความรู้อย่างคุ้มค่า โดยได้เป็นครูสอนมูลกัจจายน์อยู่ที่วัดหงส์รัตนาราม (ฝั่งธนบุรี) เป็นเวลานานหลายปี มีลูกศิษย์มากมาย นอกจากนี้ในช่วงหนึ่งหลวงปู่มาพักกับสมเด็จพระสังฆราชแพ ที่วัดสุทัศน์ฯ และได้ศึกษาวิชาบางอย่างกับสมเด็จพระสังฆราชแพอีกด้วย
จากนั้นก็เก็บบริขารเดินธุดงค์ติดตามพระอาจารย์ทองดี ที่มาจาก อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย (ในสมัยนั้น ปัจจุบันเป็น จังหวัดบึงกาฬ) ได้ธุดงค์ไปทางภาคเหนือเข้าเขตพม่าเป็นเวลา 1 ปี จากนั้นก็เดินเท้าเปล่าลงภาคใต้ไปพำนักกับพระอาจารย์ทิม วัดช้างไห้ เพื่อปฎิบัติกรรมฐาน และแลกเปลี่ยนวิชาอาถรรพณ์เวทมนต์กับพระอาจารย์ทิมอยู่ ประมาณปีกว่าๆ ก่อนธุดงค์เข้าเขตประเทศมาเลเซีย เพื่อจะเรียนวิชากับพ่อท่านครน วัดบางแซะ ใช้เวลาธุดงค์อยู่ถึง 7 วัน แต่ไม่พบจึงตัดสินใจกลับวัดช้างให้ ต่อจากนั้นก็ได้เรียนวิชาจากพ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ วัดสวนขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยได้ของที่ระลึกจากพ่อท่านคล้ายคือ ชานหมากเม็ดใหญ่เป็นที่ระลึก จากนั้นก็เดินธุดงค์เรื่อยมาจนกลับสู่เขตอีสานอีกครั้ง และได้พบกับหลวงปู่สี ฉันทสิริ ในป่าแถบจังหวัดหนองคาย และได้วิชาลบผงสีจากหลวงปู่สี ซึ่งได้รับสืบทอดมาจากสมเด็จพุฒาจารย์โต วัดระฆังโฆษิตาราม
ช่วงที่ท่านธุดงค์แถบอุบลราชธานีได้พบกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และขอเรียนข้อวัตรปฏิบัติในพระกรรมฐาน แต่ไม่ได้ร่วมคณะธุดงค์ เพราะท่านอยู่นิกายมหายาน หลวงปู่เคยเล่าประวัติในช่วงธุดงค์ให้กับพระภิกษุที่เป็นหลานของท่านว่า เคยได้เป็นศิษย์หลวงปู่มั่นอยู่พักหนึ่ง ในช่วงที่หลวงปู่ต้องการเจริญสมณธรรม เป็นธรรมอันล้ำลึกยากยิ่งที่ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงจะล่วงรู้ถึงอารมณ์ของวิปัสสนานี้ได้ หลวงปู่หมุนได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้พระอาจารย์มั่นอยู่ระยะหนึ่ง แล้วก็แสวงหาความวิเวกเพื่อประพฤติปฏิบัติต่อไป จนกระทั่งหลวงปู่แตกฉาน เชี่ยวชาญ ครั้งนั้นหลวงปู่หมุนได้ศึกษาธรรมจนที่สหธรรมมิกที่เป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น รู้จักสนิทสนมกับหลวงปู่ทุกองค์ เช่น หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เป็นต้น
ในตอนที่หลวงปู่หมุนไปกราบนมัสการ หลวงปู่มั่น ท่ามกลางศิษย์สายกองทัพธรรม ในขณะสนทนาธรรมหลวงปู่มั่นได้ปรารภกับหลวงปู่หมุนว่า "ท่านหมุน ท่านเก่งพอตัวอยู่แล้ว หากไม่เจอกันหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับปริยัติ ปฏิบัติ และปฎิเวธให้สอบถามท่านแหวนได้ เพราะเขาเก่งมาก"
หลวงปู่มั่นได้มอบของที่ระลึกให้หลวงปู่หมุน 2 อย่าง คือ แผ่นจารอักขระใบลาน ม้วนเป็นลูกอมกลมๆ เขียนเป็นภาษาขอมว่า เย ธมมา เหตุปภวา ฯลฯ เป็นต้น และธนบัตรรัชกาลที่ 8 พร้อมลายเซ็นหลวงปู่มั่น ภายหลังหลวงปู่ได้มอบให้โยมแม่ท่านไป ต่อมาหลวงปู่มีความกังขาสงสัยในกัมมัฏฐานในเรื่องของ จตุธาตุวัฏฐาน ซึ่งเป็นเรื่องของการปฏิบัติในธาตุทั้ง 4 เป็นมูลฐานของอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ จึงได้เดินทางไปกราบของความรู้เพิ่มเติมจาก หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ก็ได้รับความกระจ่าง จากนั้นก็ธุดงค์ต่อไป ท่านยังได้ร่ำเรียนวิชาจาก พระอาจารย์สิงห์ วัดป่าสาลวัน หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา
ต่อมาไม่นานก็ได้ร่ำเรียนวิชามีดหมอมหาปราบ จากหลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว และหลวงพ่อเงิน วัดมะปรางค์หลวง ซึ่งวิชานี้หลวงพ่อเดิม พุทธสโร วัดหนองโพ จังหวัดนครสวรรค์ ก็เรียนจากหลวงพ่อขำและหลวงพ่อเงิน เช่นกัน นอกจากนี้ในช่วงที่หลวงปู่ธุดงค์มาสู่ภาคตะวันออกแถบจันทบุรี ท่านได้พำนักอยู่กับ หลวงพ่อสอน วัดเสิงสาง กระทั่งหลวงพ่อสอนไว้ใจให้วิชาอาคมและครอบครูให้กับหลวงปู่
หลวงปู่หมุนนับเป็นหนึ่งในทายาท ผู้สืบสายเวทวิทยาพุทธาคม ในสายสมเด็จลุนแห่งนครจำปาศักดิ์ ราชอาณาจักรลาว ที่ยังดำรงขันธ์อยู่ในปัจจุบัน โดยสมเด็จลุนเป็นที่เลื่องลือในคุณธรรมและอภิญญาอภินิหาร อาทิ สามารถเดินบนน้ำได้ ย่นระยะทางได้ แปลงร่างได้ เดินทะลุภูเขาได้กล่าวกันว่า ภิกษุสงฆ์ยุคก่อนโน้นต่างดั้นด้นสืบเสาะหาสมเด็จลุน เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษามหาวิทยาคม ตลอดจนวิปัสสนากรรมฐาน หลวงปู่หมุนเองก็ดั้นด้นธุดงค์ผ่านอุบลราชธานีเข้าประเทศลาว เพื่อสืบเสาะสมเด็จลุน แต่ไม่พบตัว จึงมาพักอยู่กับหลวงพ่อมหาเพ็ง วัดลำดวน ในช่วงนั้นหลวงปู่ได้ใช้เวลาค้นคว้าศึกษาพระไตรปิฏก ในเรื่องพระวินัยปิฏก และพระอภิธรรม ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงการเจริญกัมฏฐานล้วนๆ ประมาณ 2 เดือนกว่า แล้วก็ออกธุดงค์กลับสู่ประเทศไทยเข้ากรุงเทพฯ มาพักนักที่วัดหงส์รัตนาราม
ต่อมาธุดงค์ไปทางอีสานเข้าสู่ประเทศลาวอีกหลายครั้ง จนกระทั่งท่านมีอายุ 30 ปีกว่าแล้ว คราวนั้นหลวงปู่ได้พบกับฆราวาสชื่อ อาจารย์ฉันท์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นเหลนของสมเด็จลุน ที่จังหวัดนครพนม โดยเรียนวิชาจากอาจารย์ฉันท์จนหมดภูมิแล้ว อาจารย์ท่านจึงได้แนะนำฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ดำ เหลนของสมเด็จลุนปรมาจารย์ใหญ่ที่สืบสายเวทวิทยาพุทธาคมในสายสมเด็จลุน
ในการฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่ดำนั้น มีกฎเกณฑ์รายละเอียดมากทั้งยังต้องทดสอบภูมิปัญญา และอำนาจของกระแสจิตที่ต้องเข้มแข็งพอที่จะเรียนวิชาของท่านได้ ในรุ่นที่หลวงปู่ฝากตัวเป็นศิษย์นั้นมีมากกว่า 50 รูป แต่หลวงปู่ดำท่านทดสอบวิชา แล้วคัดออกจนเหลือแค่ 3 รูป มีหลวงปู่หมุน หลวงพ่อสงฆ์ (วัดม่วง ลพบุรี) และอีกรูปหลวงปู่ลืมชื่อไปแล้ว สำหรับพิธีครอบครูของหลวงปู่ดำนั้น มีของยกครูที่หลวงปู่จำได้อย่างแม่นยำคือ 1. ผ้าไตรจีวร 2. บาตร 3. ทองคำหนัก 10 บาท (สำหรับทองคำ จะคืนให้เมื่อเรียนจบ) และมีข้อห้ามประการสำคัญอีกคือ ห้ามสึกตลอดชีวิต ถ้าสึกไปชีวิตก็จะหาไม่
ในการครอบวิชานี้ถือว่าเป็นสุดยอดเคล็ดวิชา วิทยาคม ในสายของสมเด็จลุน แห่งนครจำปาศักดิ์ ซึ่งกว่าจะเรียนจบต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะบำเพ็ญเพียรอย่างมาก ได้จำวัดพักผ่อนวันละ 4 ชั่วโมงเท่านั้น อาหารต้องฉันมื้อเดียว และขั้นตอนสุดท้ายที่จะสำเร็จวิชานี้จะมีการทดสอบอย่างพิสดาร
อย่างไรก็ตาม เป็นที่เชื่อกันว่า หลวงปู่หมุน ท่านสำเร็จวิชาสำเร็จธาตุ 4 มาจากสายสมเด็จลุน ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าวิชาสายนี้ลึกลับเกินปุถุชนคนธรรมดาจะเรียนได้สำเร็จ ผู้ที่จะเข้าถึงได้ต้องเป็นผู้ที่มีบารมีมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เพราะการควบคุมธาตุ 4 ได้นั้นผู้ที่จะสามารถทำการนี้ได้ต้องสำเร็จจตุตฌานเป็นบาทฐานในการทำ และยังต้องมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของกสิณจตุธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟอีกด้วย
หลังจากนั้น หลวงปู่หมุนก็กลับมาจำพรรษา ที่วัดบ้านจาน จนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส และพระอุปัชฌาย์ รับสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นประทวน ที่ "พระครูหมุน ฐิตสีโล" หลวงปู่ได้ปฎิบัติศาสนกิจตามที่ได้รับมอบหมายเป็นเวลาถึง 20 ปี จึงลาออกจากทุกตำแหน่ง ต้องการใช้ชีวิตที่เหลือบำเพ็ญสมณธรรมปฏิบัติพระวิปัสสนาธุระ อย่างเดียว
ประมาณปี 2487 ในช่วงที่หลวงปู่อายุ 50 ปี ท่านเก็บบริวารออกธุดงค์บำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าดงดิบ โดยลำพังแต่ผู้เดียว และในช่วงนี้เองที่หลวงปู่ได้พบกับ อาจารย์จ่อยและอาจารย์ขวัญ วัดป่าหนองหล่ม ในระหว่างที่หลวงปู่ธุดงค์โดยบังเอิญ อาจารย์ทั้ง 2 จึงได้นิมนต์หลวงปู่โปรดญาติโยมที่ วัดป่าหนองหล่ม หลังจากที่หลวงปู่หมุนเดินธุดงค์แสวงหาธรรม อยู่หลายสิบปี ประมาณปี 2520 ท่านจึงกลับมายังวัดบ้านจาน ซึ่งวัดบ้านจานในยามนั้น มีอายุกว่า 200 ปี อยู่ในสภาพทรุดโทรม ท่านจึงได้พัฒนาวัด สร้างอุโบสถขึ้นมา ด้วยหยาดเหงื่อและแรงจิต ทำให้อุโบสถเสร็จสมบูรณ์ในเวลาอันสั้น
นอกจากนี้ท่านยังได้ช่วยเหลือลูกศิษย์และสหธรรมิก อีกหลายวัดเช่น วัดป่าหนองหล่ม, วัดโนนผึ้ง, วัดซับลำใย, และคณะศิษย์วัดสุทัศน์ฯ ในการสร้างถาวรวัตถุของวัด จนเป็นที่มาของ วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมในหลายรุ่นต่อมา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังแทบทุกรุ่น ที่ท่านจัดสร้างขึ้น จึงเป็นที่นิยมในหมู่ศิษยานุศิษย์ ด้วยเชื่อในพลังแห่งบุญฤทธิ์จิตตานุภาพของท่าน
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2546 เวลา 07.30 น. หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล พระอมตะเถระ 5 แผ่นดิน แห่งวัดบ้านจาน อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ มรณภาพลงอย่างสงบด้วยโรคชราบนกุฎิ สิริอายุ 109 ปี 87 พรรษา โดยสรีระของท่านไม่เน่าไม่เปื่อย
ตลอดชีวิตแห่งการครองเพศบรรพชิต อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ก็ได้อุทิศตน ปฏิบัติตนตามแนวทางแห่งคำสอนของพระศาสดาอันพึงจะกระทำ สมกับฉายานามอันได้รับเมื่อครั้งอุปสมทบคือ "ฐิตสีโล" แปลความว่า ผู้ตั้งมั่นในศีล 85 พรรษาแห่งการครองผ้ากาสาวพัตร ศึกษาเล่าเรียน พระธรรมวินัยออกจาริกธุดงค์ ในช่วงบั้นปลายท่านได้สร้างวัตถุมงคลหลายชิ้น
ท่านเป็นผู้ตั้งสัจจะตั้งแต่เริ่มบวชเรียนว่า "จะไม่สร้างและร่วมปลุกเสกวัตถุมงคลใดๆ จนกว่าจะอายุเกิน 100 ปี" โดยท่านได้ให้เหตุผลว่า "เพื่อให้หมดซึ่งกิเลสตัณหา และให้มีญาณสมาบัติที่แก่กล้า" วัตถุมงคลของท่านจึงออกตอนอายุเกิน 100 ปีแล้ว ทั้งสิ้น ท่านได้กล่าวว่า "วัตถุมงคลของฉัน หากแม้นตายไปอีกสิบปี จะมีค่ามากกว่าเพชรนิลจินดา และจะหายากยิ่ง”
วัตถุมงคลที่ท่านสร้าง จึงไม่เป็นสองรองจากสำนักใด เช่น ตะกรุดเชือกเขียว ที่ท่านถักเอง จารเอง กว่าจะได้แต่ละดอกต้องสวดอัดตามฤกษ์ผานาทีที่เหมาะสม ท่านที่สนใจก็ลองสืบเสาะหาดูกันครับ