- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Dhamma
- Hits: 17397
พระครูวิเวกพุทธกิจ หรือ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล (2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2402 - 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485) เป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ชาวจังหวัดอุบลราชธานี ผู้เป็นบูรพาจารย์สายพระป่าในประเทศไทย ท่านเป็นอาจารย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล เป็นผู้มีอัธยาศัยน้อมไปในทางสมถะวิปัสสนา มีความเพียรเป็นเลิศ มีความสงบเสงี่ยม กิริยามารยาทเรียบร้อย สุขุม พูดน้อย และพอใจแนะนำสั่งสอนผู้อื่นในทางนั้นด้วย เป็นผู้ใฝ่ใจในธุดงควัตรหนักแน่นในพระธรรมวินัย ชอบวิเวกและไม่ติดถิ่นที่อยู่ เดินธุดงค์ไปหาสถานที่เจริญสมณธรรมตามชายป่าดงพงไพรภูเขาต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและประเทศลาว
ชาติกำเนิด
หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล นามเดิมชื่อ เสาร์ บิดาชื่อ พ่อทา มารดาชื่อ แม่โม่ นามสกุล พันธ์สุรี ท่านเป็นบุตรคนแรกในจำนวนพี่น้อง 5 คน ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2402 ณ บ้านข่าโคม เมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไล ประเทษราช หรือเดิมรู้จักกันในชื่อ บ้านข่าโคม ตำบลหนองขอน ในปัจจุบันคือ บ้านข่าโคม ตำบลปะอาว อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
การบรรพชาและอุปสมบท
ปี พ.ศ. 2417 เมื่ออายุ 15 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดใต้ เมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไล ประเทษราช ปัจจุบันคือ วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ท่านมีความวิริยอุสาหะขยันขันแข็ง ตั้งใจทำกิจการงานของวัด ทั้งการท่องบ่นสาธยายมนต์ เรียนมูลน้อย มูลใหญ่ มูลสังกัจจายน์ ศึกษาทั้งการอ่านการเขียนอักษร ไทยน้อย ไทยใหญ่ และอักษระขอม จนชำนาญคล่องแคล่วทุกอย่าง
ปี พ.ศ. 2422 เมื่ออายุ 20 ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดใต้ เมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไล ประเทษราช ปัจจุบันคือ วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี และพำนักอยู่ที่วัดใต้ ซึ่งเป็นคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย และเมื่อพรรษา 10 ได้ศึกษาเล่าเรียนจนได้เป็น ญาคู คือครูสอนหมู่คณะทั้งพระภิกษุและฆราวาส ชาวบ้านเรียกท่านว่า ญาคูเสาร์
ต่อมา หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของ ท่านเทวธมฺมี (ม้าว) พระเถระฝ่ายธรรมยุติกนิกาย สำนักวัดศรีทอง (ปัจจุบัน วัดศรีอุบลรัตนาราม) และได้ขอ ทัฬหิกรรม ญัตติบวชใหม่เป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุตินิกาย ณ อุโบสถวัดศรีทอง ปัจจุบันคือ วัดศรีอุบลรัตนาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระครูทา โชติปาโล ซึ่งต่อมาได้รับสมณศักดิ์ที่ พระครูสีทันดรคณาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระอธิการสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ทั้งนี้ยังได้นำคณะสงฆ์พระภิกษุสามเณรใน วัดใต้ ทั้งหมด ญัตติกรรม เป็นคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ด้วยเหตุนี้ วัดใต้ หรือ วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ จึงกลายเป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกายนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์และการศึกษาธรรม
หลังจาก หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้ญัตติเป็นพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตแล้ว ท่านได้ศึกษาธรรมและข้อวัตรปฏิบัติจาก ท่านเทวธมฺมี (ม้าว) พระเถราจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระแห่งเมืองอุบลราชธานีในขณะนั้น และได้รีบเร่งประกอบความเพียรในด้านวิปัสสนาธุระ ยึดมั่นในหลักธุดงควัตร 13 บำเพ็ญเพียรสมณธรรม
ปี พ.ศ. 2434 - พ.ศ. 2435 หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้สร้างสำนักสงฆ์ วัดเลียบ ขึ้น ซึ่งเดิมเป็นบริเวณป่าด้านหน้าวัดใต้ อันเป็นที่สงบเงียบเหมาะสำหรับการบำเพ็ญเพียรภาวนา ได้รับพระทานวิสุงคามสีมา ตามพระราชโองการที่ 87/303 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2434 ตรงกับ ร.ศ. 115 อันเป็นปีที่ 29 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้สร้าง พระพุทธจอมเมือง เป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดเลียบ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
ต่อมา หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้ออกธุงค์ไปพำนักปักกลดที่กุดเม็ก บ้านคำบง อำเภอโขงเจียม ในขณะนั้น ปัจจุบันคือ อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี ได้เทศนาสั่งสอน พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต สมัยยังเป็นฆราวาส จนเกิดศรัทธาเลื่อมใสและได้มอบตัวเป็นศิษย์ อยู่ฝึกสมาธิกัมมัฏฐานและติดตามอุปัฏฐากรับใช้ท่าน
ปี พ.ศ. 2536 หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ขณะนั้นบวชเป็นพระภิกษุได้ 14 พรรษา ก็ได้นำศิษย์เอกจากบ้านคำบง ที่ชื่อว่า มั่น แก่นแก้ว เข้ารับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุในคณะธรรมยุต ณ วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม) โดยมี พระอริยกวี (อ่อน ธมฺมรกฺขิโต) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย ญาณสโย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2436 ได้รับสมณฉายาว่า ภูริทตฺโต หลังจากอุปสมบทแล้ว หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้ไปพำนักฝึกอบรมด้านสมถะและวิปัสสนากรรมฐานอยู่กับหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ณ วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี และจุดนี้เป็นความยิ่งใหญ่ของวงศ์พระกรรมฐานตราบจนถึงปัจจุบัน วงศ์พระกรรมฐานจึงขนานนามหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ว่า พระปรมาจารย์สายพระกรรมฐาน
ปี พ.ศ. 2440 หลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ได้พาศิษย์ของท่านคือ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งยังเป็นพระนวกะบวชได้ 4 พรรษา ออกเดินธุดงค์จากวัดเลียบ ไปปฏิบัติภาวนาที่ภูหล่น ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอโขงเจียมในขณะนั้น ปัจจุบันคือ วัดภูหล่น อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงตรงข้ามกับฝั่งประเทศลาว และได้ออกธุดงค์ไปตามลำแม่น้ำโขงทั้งฝั่งประเทศไทยและประเทศลาว
ปี พ.ศ. 2443 หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และหลวงปู่หนู ฐิตปญฺโญ ต่อมาก็คือ พระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) ได้มาพำนักจำพรรษา ณ พระธาตุพนม ซึ่งพระธาตุพนมในสมัยก่อน ประชาชนไม่รู้ถึงความสำคัญจึงไม่มีใครสนใจเท่าใดนัก เมื่อคณะของหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล มาพำนักจำพรรษา ได้บอกให้ชาวบ้านญาติโยมทราบว่า พระธาตุพนม องค์นี้เป็นพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นพระธาตุที่บรรจุอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้า เมื่อชาวบ้านได้รู้เช่นนั้นแล้ว ก็พากันบังเกิดปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงช่วยกันทำความสะอาดบริเวณพระธาตุพนม ครั้นถึงวันเพ็ญเดือน 3 ก็พาญาติโยมทั้งหลายทำบุญ จนเป็นประเพณีสืบต่อกันมา และกาลต่อมาจึงได้มีการบูรณะขึ้นกลายเป็นปูชนียวัตถุที่สำคัญของภาคอีสาน และประเทศไทย ปัจจุบันคือ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
ปี พ.ศ. 2459 หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล พำนักจำพรรษาที่ถ้ำจำปา ภูผากูด ตำบลหนองสูง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร และได้จำพรรษาอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ด้วย วันหนึ่งหลวงปู่เสาร์นั่งอยู่ในที่สงัดองค์เดียว ท่านพิจารณาถึงอริยสัจ ได้รู้ได้เห็นตามความเป็นจริง ได้ตัดเสียซึ่งความสงสัยได้อย่างเด็ดขาด จวนจะถึงกาลปวารณาออกพรรษา ท่านก็ทราบชัดถึงความเป็นจริงทุกประการ จึงได้บอกกับท่านพระอาจารย์มั่นว่า เราได้เลิกการปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว และเราก็ได้เห็นธรรมตามความเป็นจริงแล้ว พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ยินดังนั้นก็เกิดปีติเป็นอย่างมากและได้ทราบทางวาระจิตว่าหลวงปู่เสาร์พบวิมุตติธรรมแน่แล้วในอัตภาพนี้ หลังจากนั้นหลวงปู่ใหญ่เสาร์ก็ได้ธุดงค์วิเวกไปตามเขตจังหวัดนครพนม จังหวัดสกลนคร จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองคาย เป็นต้น
ปี พ.ศ. 2479 หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้ปรารภถึงการเดินทางกลับจังหวัดอุบลราชธานี คณะศิษย์ทั้งหลายจึงได้จัดประชุมคณะสงฆ์และร่วมทำบุญในวันมาฆบูชา ณ วัดป่าอ้อมแก้ว หรือ วัดเกาะแก้วอัมพวัน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เป็นวัดที่หลวงปู่ใหญ่เสาร์สร้างไว้เมื่อปี พ.ศ. 2473 ซึ่งการประชุมคณะสงฆ์ครั้งนี้ถือเป็นภารกิจสุดท้ายของหลวงปู่ใหญ่เสาร์ที่จังหวัดนครพนม และถือเป็นการให้โอวาทครั้งสุดท้ายแก่คณะศิษย์ ที่ไม่ได้เดินทางติดตามไปที่จังหวัดอุบลราชธานี การประชุมในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการประชุมพระธุดงค์กรรมฐานครั้งใหญ่ที่สุดของจังหวัดนครพนมในสมัยนั้น
คณะศิษย์ได้เดินทางติดตาม หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ไปพำนักที่จังหวัดอุบลราชธานี ในครั้งนั้นมีพระภิกษุสามเณรไม่น้อยกว่า 70-80 รูป หลวงปู่ใหญ่เสาร์จึงแบ่งคณะศิษย์ออกเป็นหลายกลุ่มหลายคณะ โดยมีศิษย์อาวุโสรับเป็นหัวหน้าแต่ละคณะ พร้อมทั้งกำหนดหมู่บ้านต่างๆ ที่แต่ละคณะจะไปพำนักเพื่อโปรดญาติโยมชาวเมืองอุบลราชธานี เช่น หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ไปพำนักจำพรรษาที่บ้านข่าโคม บ้านเกิดของท่าน พระอาจารย์ทองรัตน์ กนฺตสีโล ศิษย์อาวุโสฝ่ายมหานิกาย ไปตั้งวัดจำพรรษาอยู่ที่บ้านชีทวน พระอาจารย์บุญมาก ฐิติปุญโญ ไปอยู่บ้านท่าศาลา พระอาจารย์ทอง อโสโก ไปอยู่บ้านสวนงัว และพระอาจารย์ดี ฉนฺโน ไปอยู่บ้านกุดแห่ ซึ่งเป็นบ้านของท่าน เป็นต้น
ปี พ.ศ. 2480 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ในขณะที่ดำรงสมณศักดิ์เป็น พระพรหมมุนี และดำรงตำแหน่งเป็น เจ้าอาวาสวัดสุปัฏนารามวรวิหาร และ เจ้าคณะมณฑลนครราชสีมา ด้วย ได้ขอให้ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล พิจารณาสร้างวัดป่ากรรมฐานขึ้นที่อำเภอพิบูลมังสาหาร ด้วยปรากฏว่า ญาติพี่น้องของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ได้อพยพมาจากบ้านแคน ดอนมดแดง มาปักหลักตั้งถิ่นฐานที่บ้านโพธิ์ตาก อำเภอพิบูลมังสาหาร เป็นจำนวนมาก จึงอยากให้ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ไปตั้งวัดป่า เพื่ออบรมกรรมฐานให้ลูกหลานชาวอำเภอพิบูลมังสาหาร เพื่อจะได้รู้และเข้าใจในการศึกษาปฏิบัติสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน
หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล จึงได้ธุดงค์เดินทางไปยังอำเภอพิบูลมังสาหาร และได้มอบหมายให้ พระอาจารย์ดี ฉนฺโน และ พระอาจารย์เสงี่ยม -ไม่ทราบฉายา- ตั้งสำนักปฏิบัติธรรมอบรมจิตภาวนาที่อำเภอพิบูลมังสาหาร บริเวณ ป่าช้าโคกภูดิน ซึ่งเป็นเนินภูเขาสูง โดยมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) และชาวอำเภอพิบูลมังสาหารได้ให้การอุปถัมภ์สนับสนุน ชาวบ้านเรียกสำนักแห่งนี้ว่า วัดป่าภูดิน หรือ วัดป่าภูเขาแก้ว ซึ่งในปัจจุบันก็คือ วัดภูเขาแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
ปี พ.ศ. 2481 หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล พระอาจารย์ดี ฉนฺโน และคณะศิษย์ชาวอำเภอพิบูลมังสาหาร ได้ธุดงค์สำรวจเกาะแก่งน้อยใหญ่ในลำแม่น้ำมูลทางตอนใต้ของเมืองพิบูลมังสาหาร จนมาถึงเกาะดอนธาตุจึงได้ขึ้นพำนักปักกลดที่เกาะแห่งนี้ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้ปรารภว่าอยากสร้าง เกาะดอนธาตุ แห่งนี้ขึ้นเป็นวัดป่ากรรมฐานเพราะมีความเหมาะสม จึงมอบหมายให้ พระอาจารย์ดี ฉนฺโน และคณะศรัทธาญาติโยมชาวอำเภอพิบูลมังสาหาร รับหน้าที่ดูแลการสร้างวัดและเสนาสนะขึ้น
ปี พ.ศ. 2482 หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้กำหนดเอาตรงลานบริเวณศาลาชั่วคราวในขณะนั้น เป็นที่สร้าง พระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) โดยให้เหตุผลว่าตรงที่กำหนดจะสร้างพระนั้น เป็นพระธาตุอังคารพระบรมศาสดาแต่เดิมที่ทรุดลงไป และพังทลายแล้ว จึงได้ให้สร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ครอบเอาไว้เป็นสัญลักษณ์สำหรับกราบไหว้บูชาต่อไป โดยมี พระอาจารย์ดี ฉนฺโน เป็นช่างปั้น พระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) ในการนี้ และต่อมา หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้ตั้งชื่อ เกาะดอนธาตุ แห่งนี้ว่า วัดเกาะแก้วพระนอนคอนสวรรค์วิเวกพุทธกิจศาสนา ครูบาอาจารย์ในสมัยนั้นเรียกสั้นๆ ว่า วัดเกาะแก้ว ต่อมากรมการศาสนาได้เปลี่ยนชื่อให้เป็น วัดดอนธาตุ ดังปรากฏในปัจจุบัน
ซึ่งในช่วงปัจฉิมวัยขององค์หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้พำนักจำพรรษา ณ วัดดอนธาตุ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี แห่งนี้เป็นวัดสุดท้ายก่อนละสังขาร
การละสังขาร
เมื่อออกพรรษาทุกปี หลวงปู่เสาร์ จะพาคณะสงฆ์ออกธุดงค์ลงไปทางใต้นครจำปาศักดิ์ หลี่ผี ปากเซ ฝั่งประเทศ สปป.ลาว แล้วก็ย้อนกลับมาจำพรรษาที่วัดดอนธาตุอีกทุกปี เมื่อถึงปี พ.ศ. 2483 มีอยู่วันหนึ่งตอนบ่าย หลวงปู่เสาร์นั่งสมาธิอยู่ใต้โคนต้นยางใหญ่ พอดีขณะนั้นมีเหยี่ยวตัวหนึ่งได้บินโฉบไปโฉบมา โฉบเอารังผึ้งซึ่งอยู่บนต้นไม้ที่หลวงปู่เสาร์นั่งอยู่ รวงผึ้งนั้นได้ขาดตกลงมาใกล้ๆ กับที่หลวงปู่เสาร์นั่งอยู่ ผึ้งได้รุมกัดต่อยหลวงปู่หลายตัว จนท่านถึงกับต้องเข้าไปในมุ้งกลด พวกมันจึงพากันบินหนีไป
ตั้งแต่นั้นมา หลวงปู่เสาร์ ก็อาพาธมาโดยตลอด พอออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ได้ไปวิเวกทางด้านปากเซ หลี่ผี จำปาศักดิ์ แต่ไปคราวนี้หลวงปู่เสาร์ป่วยหนัก ท่านจึงสั่งให้หลวงปู่บัวพา และคณะศิษย์นำท่านกลับมาที่วัดอำมาตย์ นครจำปาศักดิ์ ประเทศ สปป.ลาว โดยมาทางเรือ ตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ ท่านนอนบนแคร่ในเรือประทุน หลวงปู่เสาร์หลับตานิ่งมาตลอด เพราะตอนนั้นท่านกำลังอาพาธหนัก อันเกิดจากผึ้งที่ได้ต่อยท่านตอนที่อยู่จำพรรษาที่วัดดอนธาตุ เมื่อถึงนครจำปาศักดิ์แล้ว ท่านลืมตาขึ้นพูดว่า
ถึงแล้วใช่ไหม ให้นำเราไปยังอุโบสถเลย เพราะเราจะไปตายที่นั่น "
หลวงปู่บัวพาจึงได้นำหลวงปู่เสาร์เข้าไปในอุโบสถ แล้วหลวงปู่เสาร์สั่งให้เอาผ้าสังฆาฏิมาใส่ แล้วเตรียมตัวเข้านั่งสมาธิ ท่านกราบพระ 3 ครั้ง พอกราบครั้งที่ 3 ท่านนิ่งงันโดยไม่ขยับเขยื้อน นานเท่านานจนผิดสังเกต หลวงปู่บัวพา และหลวงปู่เจี๊ยะ จนฺโท ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เอามือมาแตะที่จมูกท่าน ปรากฏว่าท่านหมดลมหายใจแล้ว ไม่ทราบว่าหลวงปู่เสาร์ท่านมรณภาพไปเวลาใด แต่พอสันนิษฐานได้ว่า ท่านมรณภาพในอิริยาบถนั่งกราบ ท่านจึงพูดขึ้นกับหมู่คณะ (ซึ่งตอนนั้นมีพระเถระผู้ใหญ่ และพระเณรมานั่งดูอาการป่วยของหลวงปู่เสาร์) ว่า "หลวงปู่ได้มรณภาพแล้ว"
ข่าวการมรณภาพของหลวงปู่เสาร์ ก็แพร่กระจายไปเรื่อยๆ จนทางบ้านเมือง ญาติโยม พระเณร ชาวนครจำปาศักดิ์ขอทำบุญอยู่ 3 วัน เพื่อบูชาคุณขององค์หลวงปู่ พอวันที่ 4 บรรดาพระเถระ ญาติโยมชาวอุบลฯ จึงได้มาอัญเชิญศพขององค์หลวงปู่ไปวัดบูรพาราม จังหวัดอุบลฯ ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่เสาร์เคยอยู่มาก่อน ปีที่หลวงปู่เสาร์มรณภาพคือปี พ.ศ. 2484 (วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2484อายุ 82 ปี 3 เดือน 1 วัน)
ออกพรรษาแล้ว ปี พ.ศ. 2486 จึงได้จัดพิธีถวายเพลิงศพของหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ในงานนี้หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้มาเป็นประธาน แต่ผู้ดำเนินงานคือ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ในวันถวายเพลิงศพนอกจากศพของหลวงปู่เสาร์แล้ว ยังมีพระเถระผู้ใหญ่อีก 3 รูป ที่มีการฌาปนกิจในวันเดียวกันคือ 1. ท่านเจ้าคุณพระศาสนดิลก (เสน ชิตโสโน) 2. พระมหารัฐ รฏฐปาโล 3. พระครูวิโรจน์รัตโนบล (บุญรอด นนฺตโร) รวมเป็น 4 กับองค์หลวงปู่เสาร์ วันเช่นนี้นี่จึงเป็นวันที่มีการสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ของชาวจังหวัดอุบลราชธานี
แต่นี้จะไกลห่าง เหลือเพียงร่างร้างชีวา สุดสิ้นแห่งสังขาร สลายลับดับตามกาล
สิ้นชีพก็สิ้นห่วง บรรลุล่วงห้วงนิพพาน สุขใดไหนจักปาน เปรียบสุขนี้ไม่มีเลย... "
จากหนังสือฐานิโยวาท
หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้มรณภาพในอิริยาบถนั่งกราบพระประธานครั้งที่ 3 ในพระอุโบสถ วัดอำมาตยาราม อำเภอวรรณไวทยากร จังหวัดนครจัมปาศักดิ์ ประเทศไทย ในขณะนั้น (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของแขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว) เมื่อวันอังคาร แรม 3 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485 สิริอายุ 82 ปี พรรษา 62 คณะศิษย์ได้เชิญศพของท่านกลับมา ณ วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี และได้ประกอบพิธีฌาปนกิจในวันที่ 15 - 16 เมษายน พ.ศ. 2486
...ให้พากันละบาปและบำเพ็ญบุญ อย่าให้เสียชีวิตลมหายใจไปเปล่าประโยชน์...
…เขาสิเชื่อความดีที่เฮาเฮ็ด หลายกั่วคำเว้าที่เฮาสอน...
(เขาจะเชื่อความดีที่เราทำ มากกว่าคำพูดที่เราสอน)— หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Dhamma
- Hits: 17142
หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล เป็นปริศนาที่มีมานานมากแล้ว บ้างก็ว่าท่านเป็นคนจังหวัดศรีสะเกษ บ้างก็ว่าท่านเป็นพระสงฆ์ที่เดินทางมาจากประเทศกัมพูชา มาจำพรรษาที่ประเทศไทยหลายแห่ง จึงไม่มีใครที่จะทราบเรื่องราวประวัติที่แน่นอนของท่านเลย มีเพียงคำบอกเล่าจากปากต่อปาก จนเป็นตำนานมาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันท่านได้มรณภาพไปแล้วตั้งแต่ วันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2543 โดยสรีระสังขารของท่านนั้น ไม่ได้เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา จึงได้เก็บรักษาร่างของท่านไว้ในโลงแก้ว ที่วัดไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ
มีเรื่องเล่าประวัติทั้งที่พิสดาร และข้อสันนิษฐานต่างๆ มากมายเกี่ยวกับหลวงปู่สรวง เช่น
ตำนานที่ 1 เล่าว่า
หลวงปู่สรวง เดิมชื่อว่า “ต่อ” คนทั่วไปถามว่า หลวงปู่ชื่ออะไร หลวงปู่บอกว่า ลืมเสียแล้ว คนทั่วไปเข้าใจว่าหลวงปู่มาจากสรวงสวรรค์ จึงเรียกว่า “หลวงปู่สรวง” เล่ากันว่า "หลวงปู่สรวง เกิดวันพฤหัสบดี ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 4 ปีขาล ตรงกับ วันที่ 9 เดือน มีนาคม พ.ศ. 1793 มรณภาพ เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2543 ตรงกับ วันศุกร์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 10 ปี มะโรง รวมอายุได้ 750 ปี (เจ็ดร้อยห้าสิบปี)
หลวงปู่สรวง มีบิดา ชื่อ พ่อแก้ว มารดา ชื่อ แม่คำ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 6 คน เป็น ชาย 5 คน หญิง 1 คน หลวงปู่สรวงเป็นบุตรคนที่ 5 บิดามารดาและพี่น้องทั้ง 5 คนไปอยู่เมืองสวรรค์กันทั้งหมด ในสมัยหลวงปู่สรวง อายุ 35 ปี จึงบวชพระเมื่อวันศุกร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 7 ปีจอ ตรงกับ วันที่ 21 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 1828 ที่วัดคงคา จังหวัดศรีสะเกษ มีพ่อท่านแก้วเป็นเจ้าอาวาส ตอนนี้วัดนี้ไม่มีแล้ว พระครูเทพโลกอุดร เป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ บวชแล้วอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดคงคา พระครูเทพโลกอุดรได้มาโปรดปฏิบัติธรรมอยู่บ่อยๆ
ออยเตียนสรูลท่านชี้ บอกทาง แปลว่าอย่าเหินห่าง แบ่งให้
สรูลสุขเกิดทางสว่าง จากจิต ตนนา หมั่นสั่งสมก่อไว้ สุขแท้ตลอดกาลฯ "ป.ปิโย ภิกขุ.
ตำนานที่ 2 เล่าว่า
หลวงปู่สรวง แต่เดิมเป็นชาวกัมพูชา และได้เดินทางมาอยู่บริเวณอำเภอขุนหาญ และอำเภอขุขันธ์ แถบชายแดนตามเชิงเขาพนมดังรัก (พนมดองเร็ก) ซึ่งเป็นเขตกั้นกลางระหว่างประเทศกัมพูชา ท่านเป็นผู้ทรงศีลปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ และได้พักอาศัยอยู่ตามกระท่อมในไร่นาของชาวบ้านโคก และเวียนไปในที่ต่างๆ นานๆ ก็จะกลับมาให้เห็น ณ ที่เดิมอีก
ในสายตาและความเข้าใจของชาวบ้านในสมัยนั้นมองท่านว่า เป็นผู้มีคุณวิเศษแตกต่างจากบุคคลทั่วไป และเรียกขานท่านว่า “ลูกเอ็อวเบ๊าะ” หรือ “ลูกตาเบ๊าะ” (เป็นภาษาเขมร หมายถึงพระดาบสที่เป็นผู้รักษาศีลอยู่ตามถ้ำตามป่าเขา)
ในสมัยนั้น มีป่าเขาอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยป่าไม้และสัตว์ป่านานาพันธุ์ มีลูกศิษย์ติดตามหลวงปู่เดินธุดงค์ตามป่าเขาแถบชายแดนไทย ตลอดจนถึงประเทศเขมร แต่ก็อยู่กับหลวงปู่ได้ไม่นานจำต้องกลับบ้าน เนื่องจากทนความยากลำบากไม่ไหว หลวงปู่จึงเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆ โดยลำพัง ทำให้ไม่มีใครทราบถิ่นกำเนิดและอายุของหลวงปู่ที่แท้จริง รู้เพียงแต่ว่าหลวงปู่เป็นชาวเขมรต่ำ ได้เข้าอาศัยในประเทศไทยนานแล้ว
คนแก่คนเฒ่าผู้สูงอายุที่เคยเห็นท่านต่างพูดว่า พอจำความได้ก็เห็นท่านอยู่ในลักษณะเหมือนที่เห็นในปัจจุบันนี้ ผิดไปจากเดิมบ้างเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งหลวงปู่เป็นคนพูดน้อย และไม่เคยเล่าประวัติส่วนตัวให้ใครฟัง จึงไม่มีใครทราบประวัติและอายุที่แท้จริงของท่านได้ ชาวบ้านแถบนี้เห็นหลวงปู่บ่อยๆ ที่ป่าบ้านตะเคียนราม วัดตะเคียนราม (อำเภอภูสิงห์) แถวบ้านลุมพุก ตำบลกันทรารมย์ อำเภอขุขันธ์ และตามหมู่บ้านอื่นๆ รอบชายแดน ท่านจะอยู่แถบนี้โดยตลอด แต่ก็จะไม่อยู่เป็นประจำในที่ใดที่หนึ่ง บางทีหายไป 2-3 ปีก็จะกลับมาใหม่อีกครั้ง โดยที่ไม่รู้ว่าหลวงปู่ไปไหน มาระยะหลังๆ นี้พบหลวงปู่เป็นประจำอยู่ในกระท่อมนาข้างต้นโพธิ์ บ้านขะยอง วัดโคกแก้ว บ้านโคกเจริญ กระท่อมนาระหว่างบ้านละลม กับบ้านจะบก กระท่อมนาบ้านรุน (อำเภอบัวเชด) และบ้านอื่นๆ ใกล้เคียง
ในระยะนี้ มีผู้ปวารณาเป็นลูกศิษย์อาสาขับรถให้หลวงปู่นั่งไปในสถานที่ต่างๆ ทำให้มีผู้รู้จักหลวงปู่มากขึ้นทั่วทุกจังหวัดในประเทศไทย แต่ละวันจะมีผู้ขับรถเข้ามากราบไหว้หลวงปู่เป็นจำนวนมาก บางคนก็สมหวังมีโอกาสได้กราบนมัสการ บางคนมาไม่พบก็ต้องนั่งรอนอนรอจนกว่าหลวงปู่จะกลับมา ถึงแม้ว่าจะพบความลำบากเพียงไรก็ยอมทน เพียงขอให้มีโอกาสกราบหลวงปู่สักครั้งหนึ่งในชีวิต
หลวงปู่เป็นพระที่มักน้อย สันโดษ สมถะ มีอุเบกขาสูงสุด ให้ความเมตตากับผู้ที่ไปหาทุกคน ให้ความสำคัญกับทุกคนเท่ากันหมดไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นคนยากจน เป็นเศรษฐี ใครรู้จักหลวงปู่มานานขนาดไหน หรือได้ติดตามรับใช้หลวงปู่มานานก็ตาม ท่านไม่เคยเอ่ยปากนับว่าเป็นศิษย์ หรือใช้สิทธิพิเศษแก่คนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะแม้แต่คนเดียว ทุกคนจะได้รับความเมตตาจากหลวงปู่เสมอมา จึงมีผู้มากราบไหว้หลวงปู่เป็นประจำ และกลับมาหาหลวงปู่อยู่เสมอ
ความเป็นอยู่ของหลวงปู่นั้นท่านอยู่อย่างเรียบง่าย จำวัดอยู่ตามกร่ะท่อมนาเล็กๆ มีกระดานไม้ปูไม่กี่แผ่น (บางครั้งก็มีแค่ 2-3 แผ่น) แค่พอนอนได้ ทุกแห่งที่หลวงปู่จำวัดจะมีเสาไม้สูงปักอยู่ มีเชือกขาวขึงระหว่างกระท่อม เสาไม้หรือต้นไม้ข้างเคียงมีว่าวขนาดโตที่บุด้วยจีวร หรือกระดาษแขวนไว้เป็นสัญลักษณ์ ที่ขาดไม่ได้คือจะต้องให้ลูกศิษย์ก่อกองไฟไว้เสมอ บางครั้งลูกศิษย์เอาของถวายท่านก็จะโยนเข้ากองไฟ ฉะนั้น ถ้าเห็นว่ากระท่อมใดมีสิ่งของดังกล่าว ก็หมายถึงว่าเป็นที่ที่หลวงปู่เคยจำวัดหรือเคยอยู่มาก่อน
พระครูโกศลสิกขกิจ “หลวงพ่อพุฒ วายาโม” เจ้าอาวาสวัดไพรพัฒนา ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ เล่าว่า มีลูกศิษย์วัดมาบอกว่า หลวงปู่สรวง ได้มาเยือนวัดไพรพัฒนา จึงรีบออกไปเพื่อต้อนรับ ปรากฏว่า ไม่พบหลวงปู่ ไม่ทราบว่าหายไปทางทิศใด บุคลิกและกิจของหลวงปู่สรวง จะมีลักษณะความสันโดษ แม้ว่าท่านจะมีผู้คอยติดตามรับใช้ ท่านก็ไม่เคยยึดติด หลวงปู่ยังคงใช้ชีวิตธรรมดา พักอาศัยตามกระท่อมของชาวบ้าน เมื่อท่านได้รับปัจจัยมา ท่านก็ไม่ยึดติดและทำการให้ทานแก่คนยากไร้มาโดยตลอด และหลายๆ ครั้งท่านก็แทบจะไม่สนใจลาภสักการะเงินทองอะไรเลย มีเรื่องเล่าว่า บางครั้งหลวงปู่ยังนำเงินบริจาคลงบนกองไฟก็มีมาแล้ว มีผู้ติดตามเล่าให้ฟังว่าไม่เคยเห็นหลวงปู่นอนหลับเลย บางครั้งไม่ฉันเป็นสิบๆ วันก็ยังอยู่ได้เป็นปกติ
บางครั้งไม่เห็นท่านนานหลายวัน อยู่ดีๆ ก็เห็นท่านกลับมาอีกครั้ง โดยจะสังเกตุได้จากว่าวที่แขวนหน้ากระท่อม ถ้าหลวงปู่สรวงไม่อยู่ ว่าวนี้ก็จะหายไปด้วยเช่นกัน บางครั้งก็นุ่งห่มเหลือง บางครั้งก็แต่งขาว ชาวบ้านถือเป็นเรื่องปกติเพราะเป็น มหามุนีเทพดาบส โดยทั่วๆไปที่เรียกว่า หลวงปู่ นั้น ด้วยมีกิจปฏิบัติเฉกเช่นสงฆ์
ล่วงเข้าปี 2540 ช่วงเย็นวันหนึ่ง หลวงปู่สรวงเดินทางมาที่ตำบลไพรพัฒนา กำนันทวาย ไพรบึง จึงจัดขัน 5 ขัน 8 อันเป็นเครื่องสักการะ แล้วนิมนต์ให้จำวัดไพรพัฒนา วันรุ่งขึ้นพอฟ้าสางก็หายไปอีก อีกชั่วระยะหลวงปู่สรวงก็กลับมาอีก หลวงพ่อพุฒจึงนำขันดอกไม้ไปสักการะและก่อกองไฟให้ หลวงปู่ฯ จึงเทศนาให้ฟังจนดึก แล้วเขียนอักขระให้ 3 ตัวคือ อองโพธิสัตว์ ออยกังกูย เพียวะเนีย (เป็นพระให้เจริญภาวนา) เทอเจิ๊ด ออยสะหรูด (ทำให้สบาย) เทอเจิ๊ด ออยสะโหลด (ทำให้บริสุทธิ์)
ความอัศจรรย์มากมาย ที่เล่าต่อๆ กันมามีมากมาย ทั้งจากลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาส และพระสงฆ์ ต่างก็พากันยืนยันในเรื่องความดีงามของหลวงปู่สรวง อีกทั้งผู้คนมากมาย มักมีโชคลาภ และเชื่อกันว่าเป็นเพราะบารมีหลวงปู่สรวง การเล่าปากต่อปาก มากมายในเรื่องราวปริศนา และความอัศจรรย์ต่างๆ เป็นเหตุให้ผู้คนจากทั่วสาระทิศ วนเวียนมากราบไหว้บูชาหลวงปู่สรวงอย่างไม่ขาดสาย
เหตุการณ์ในวันที่ 8 กันยายน 2542 (ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง)
ตามปกติแล้ว หลวงปู่จะมีสุขภาพแข็งแรง สามารถนั่งรถเดินทางไปไหนมาไหนได้เป็นเวลาติดต่อกันหลายวัน โดยหยุดพักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท่านจะไม่ค่อยเจ็บป่วย หรือแสดงอาการว่าเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด จะมีบ้างก็เป็นการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ และก็หายได้ในเร็ววัน เพิ่งจะมีอาการป่วยปรากฏไม่กี่เดือนหลังนี้ หลวงปู่มีอาการป่วยและฉันอาหารไม่ได้เป็นเวลาหลายวัน ท้ายสุดหลวงปู่ได้มาพักอยู่ที่กระท่อมนาข้างวัดป่าบ้านจะบก ในเวลาประมาณ 14.00 น. อาการป่วยของหลวงปู่ก็กำเริบหนัก โดยหลวงปู่ได้บอกบรรดาศิษย์ว่าจะไปที่บ้านรุน และได้ให้นายกัณหาผู้เป็นลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่ง ซึ่งอยู่บ้านละลมถอดเสื้อออกมาโบกพัดด้านหลังหลวงปู่
หลังจากพัดอยู่นานพอสมควร ก็ได้สั่งให้ลูกศิษย์ที่รวมกันอยู่ในกระท่อมในขณะนั้น ช่วยกันงัดแผ่นกระดานปูกระท่อม ที่หลวงปู่นั่งทับอยู่ออกมาหนึ่งแผ่น ทั้งๆ ที่ท่านเองก็ยังนั่งอยู่บนกระดานแผ่นนั้น พองัดออกมาหลวงปู่ได้พนมมือไหว้ทุกทิศ เสร็จแล้วก็ให้ศิษย์หามท่านออกมาจากกระท่อม วางบนพื้นดินด้านทิศเหนืออยู่ระหว่างกระท่อมกับต้นมะขาม โดยตัวท่านเองหันหน้าเข้ากระท่อม
ขณะนั้น มีผู้นำน้ำดื่มบรรจุขวดมาถวายสองขวด หลวงปู่ได้เทราดตนเองจากศีรษะลงมาจนเปียกโชกไปทั้งตัว คล้ายกับเป็นการสรงน้ำครั้งสุดท้าย นายชัยผู้ขับรถให้หลวงปู่นั่งเป็นประจำได้นำรถมาเทียบใกล้ๆ แล้วช่วยกันพยุงหลวงปู่ขึ้นรถแล้วขับมุ่งตรงไปที่บ้านรุน ซึ่งอยู่ในอำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ โดยมีนายสุข หรือนายดุง (คนบ้านเจ๊ก อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ) ขับรถติดตามไปเพียงคนเดียว พอถึงบ้านรุนนายชัยได้หยุดรถตรงหน้าบ้านนายน้อย เพื่อจะบอกให้นายน้อยตามไป แต่หลวงปู่ได้บอกให้นายชัยขับรถไปที่กระท่อมโดยด่วน โดยสั่งว่า “โตวกะตวม โตวกะตวม กะตวม”
พอถึงกระท่อมนา ก็ได้อุ้มหลวงปู่วางลงบนแคร่ที่ตั้งอยู่ในกระท่อม แล้วช่วยก่อกองไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่หลวงปู่ นายสุขได้อาสาออกไปหาอาหารข้างนอก เพื่อมาถวายหลวงปู่และรับประทานกันเอง นายสุขไปที่บ้านโคกชาติ ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ ไปหานายจุก นางเล็ก ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่ไปอุปัฏฐากหลวงปู่เป็นประจำ โดยบอกให้นายจุกรีบไปบ้านรุนเพื่อให้ไปดูอาการหลวงปู่ ซึ่งมีอาการป่วยหนักกว่าปกติ ส่วนตัวเองกับสามีก็รีบขับรถตามมาทีหลัง พอมาถึงกระท่อมปรากฏว่า ไม่มีรถของนายชัยจอดอยู่ พวกที่อยู่ก็ช่วยกันประกอบอาหารอย่างรีบเร่งเพื่อจะให้หลวงปู่ได้ฉัน
โดยหวังว่าหากหลวงปู่ฉันแล้ว ก็คงจะทำให้หลวงปู่มีอาหารดีขึ้นบ้าง แต่หลวงปู่ไม่ยอมฉันเลย แม้จะพากันอ้อนวอนอย่างไรท่านก็นิ่งเฉย นายชัยที่ออกไปทำธุระข้างนอกได้กลับมา โดยขับรถตามนายน้อยที่นำของมาถวายหลวงปู่เหมือนเดิม เมื่อไม่สามารถที่จะทำให้หลวงปู่ฉันได้ ทุกคนก็พิจารณาหาวิธีการว่าจะช่วยหลวงปู่ได้อย่างไร
ในที่สุดก็มีความเห็นว่า ให้รีบแต่งขันธ์ห้าขันธ์แปด (ดอกไม้ธูปเทียน) ขอขมาหลวงปู่โดยด่วน ตามที่เคยกระทำมาแล้วและได้ผลมาหลายครั้ง หลวงปู่หายจากการป่วยทุกครั้งไป โดยการยืนยันของนายชัยว่า ถ้าได้แต่งขันธ์ห้าขันธ์แปดขอขมาพร้อมนิมนต์แม่ชีมาร่วมสวดมนต์ให้ท่านฟังด้วย แล้วท่านก็จะหายเป็นปกติ ทุกคนเห็นชอบด้วยจึงให้นายชัยรีบไปดำเนินการโดยด่วน
นายชัยขับรถออกไปที่บ้านขยุง เพื่อไปหาคนที่เคยแต่งขันธ์ห้าขันธ์แปด เมื่อนายชัยออกไปแล้วลูกศิษย์ที่อยู่ในที่นั่น ซึ่งประกอบด้วยผู้ใหญ่บ้านบ้านรุนและลูกน้องอีกหลายคน รวมทั้งเจ้าของกระท่อมนาที่หลวงปู่พักอยู่ด้วยได้ช่วยกันแต่งขันธ์ห้าขันธ์แปดเฉพาะหน้าไปก่อน เพื่อเป็นการบรรเทาจนกว่านายชัยจะตามคนแต่งมาแต่งให้อีกทีหนึ่ง โดยตัวนายน้อยเองได้อาสาไปหาธูปเทียนจากข้างนอก นายน้อยได้ขับรถไปประมาณ 300 เมตรก็ไปติดหล่มไม่สามารถขับออกไปได้ ทั้งๆ ที่เป็นทางเข้าออกเป็นประจำไปมาได้สะดวกตลอดเวลา และด้วยความร้อนใจอยากจะได้ธูปเทียนมาโดยเร็ว นายน้อยได้จัดการล็อครถแล้วอุ้มลูกเดินออกไป
ช่วงนั้นเอง นายชัยก็ได้ขับรถเข้ามาแต่ก็ผ่านเข้ามาไม่ได้ เนื่องจากรถของนายน้อยจอดติดหล่มขวางไว้ จึงได้กลับรถแล้วเอาไปจอดไว้ที่บ้านนายน้อย ระหว่างที่กำลังคอยนายน้อยออกไปซื้อธูปเทียนนั้น บรรดาชาวบ้านบ้านรุน รวมทั้งผู้ใหญ่บ้านก็ได้ทยอยกันลากลับทีละคนสองคน มีชาวบ้านรุนซึ่งเป็นผู้หญิงพูดออกความเห็นว่า ถ้าจะให้ดีแล้วควรนำหลวงปู่ส่งโรงพยาบาลน่าจะเป็นการดีที่สุด แต่ก็กลับบ้านไปจนหมด ไม่เหมือนทุกครั้งที่เขาเหล่านั้นจะอยู่กับหลวงปู่ตลอดเวลาไม่ยอมกลับกันง่ายๆ จะกลับไปก็ต่อเมื่อหลวงปู่ได้ไปที่อื่นแล้วเท่านั้น
มีลูกศิษย์อยู่กับหลวงปู่ในกระท่อมแค่ 8 คนเท่านั้น รวมทั้งเด็กที่เป็นลูกของนายจุกนางเล็กด้วย ทุกคนต่างก็หาวิธีการที่จะช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายของหลวงปู่ ซึ่งขณะนั้นเมื่อจับดูตามร่างกายของหลวงปู่จะเย็นจัดตลอดเวลา บางคนได้เอาหมอนไปอังไฟให้ร้อนแล้วนำมาประคบตามร่างกายของหลวงปู่ เอาผ้าชุบน้ำเช็ดนิ้วมือนิ้วเท้าหลวงปู่ ทำความสะอาดและเช็ดทั้งร่างกาย โดยย้ำว่าให้ทำความสะอาดดีที่สุด บางจุดที่เท้าของหลวงปู่ที่ลูกศิษย์เช็ดให้ไม่สะอาดพอ หลวงปู่ก็จะใช้นิ้วเกาออกอย่างแรงจนสะอาด เมื่อทำความสะอาดร่างกายพอสมควรแล้ว หลวงปู่เอ่ยออกเสียงแผ่วเบามาเป็นภาษาเขมรว่า “เนียงนาลาน” (นาง..ไหนล่ะรถ)
ซึ่งเสียงที่เปล่งออกมานั้นแผ่วเบามาก ทุกคนเข้าใจว่าเนียงนั้นหมายถึงนางเล็ก จึงได้พากันอุ้มหลวงปู่ไปขึ้นรถของนายจุกนางเล็ก ผู้ที่อุ้มมีนายจุกและนายตี๋ นายสุขเป็นผู้เปิดประตูรถให้ พอนำหลวงปู่ขึ้นนั่งบนรถ ลูกศิษย์ได้ปรับเบาะเอนลงเพื่อจะให้หลวงปู่ได้เอนกายสบายขึ้น ท่านได้พยายามยื่นมือมาดึงประตูรถปิดเอง ลูกศิษย์ก็ได้ช่วยปิดให้ รถเคลื่อนออกจากกระท่อมเพื่อจะไปโรงพยาบาลบัวเชด ซึ่งใกล้ที่สุด แต่ไปได้ไม่ถึง 50 เมตร อาการของหลวงปู่ก็เริ่มหนักขึ้นทุกที จนลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ด้วยด้านหลังตกใจและร้องขึ้นว่า “หลวงปู่อาการหนักมากแล้ว” จึงจอดรถ
ผู้ที่นั่งอยู่รถคันหลวงก็วิ่งเข้ามาดูแล้วก็บอกว่า อย่างไรก็ต้องนำหลวงปู่ไปส่งให้ถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ รถจึงออกอีกครั้ง แต่ไม่สามารถจะไปได้ เพราะรถของนายน้อยติดหล่มขวางทางอยู่ นายจุกได้ร้องตะโกนบอกให้นายจันวิ่งไปสำรวจดูเส้นทางอื่นว่าจะนำรถออกไปทางไหนได้อีก เมื่อดูโดยทั่วแล้วก็เห็นว่ามีทางออกอีกเพียงทางเดียว ก็คือขับฝ่าทุ่งหญ้าออกไปหาถนน เมื่อดูสภาพทางแล้วก็ไม่น่าจะออกไปได้ แต่ก็ตัดสินใจขับออกไปและก็สามารถขับผ่านออกไปได้
เหตุการณ์บนรถในขณะที่กำลังเลี้ยวรถเพื่อจะขับผ่านทุ่งหญ้าออกไปนั้น ได้มีอาการบางอย่างที่เป็นสัญญาณแสดงว่า หลวงปู่จะมรณภาพแน่นอนให้คนที่อยู่บนรถเห็น ต่างคนก็ร่ำไห้มองดูด้วยความอาลัยและสิ้นหวัง หลวงปู่เริ่มหายใจแผ่วลง ในที่สุดได้ทอดมือทิ้งลงข้างกายแล้วก็จากไปด้วยความสงบ อย่างไรก็ตาม ลูกศิษย์ก็ยังคงนำหลวงปู่มุ่งไปที่โรงพยาบาลด้วยความหวังว่า หมอจะสามารถช่วยให้หลวงปู่ฟื้นขึ้นมาได้
ระหว่างทางไปโรงพยาบาลนั้น นายสาด ชาวบ้านตาปิ่น อำเภอบัวเชด ก็ขับรถจักรยานยนต์สวนทางมา นายจุกชะลอรถแล้วตะโกนบอกให้นายสาดตามไปที่โรงพยาบาลบัวเชดด่วน โดยบอกว่าอาการหลวงปู่นั้นแย่มาก ไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ พอไปถึงโรงพยาบาลแพทย์และนางพยาบาลได้รีบนำหลวงปู่เข้าห้องฉุกเฉิน ทำการตรวจโดยละเอียด แล้วสรุปว่าหลวงปู่สิ้นลมไปแล้วไม่ต่ำกว่า 3-4 ชั่วโมง แต่ลูกศิษย์ต่างก็ยืนยันว่าสิ้นลมไม่เกิน 10 นาทีแน่นอน เพราะระยะทางจากบ้านรุนมาโรงพยาบาลบัวเชิดประมาณ 10 กิโลเมตร และก็ได้ขับรถมาอย่างเร็วด้วย ลูกศิษย์ไม่ให้ทางโรงพยาบาลฉีดยา หรือทำอย่างใดอย่างหนึ่งกับร่างกายของหลวงปู่ทั้งสิ้น เมื่อเห็นว่าไม่สามารถจะช่วงหลวงปู่ได้แน่นอนแล้วก็พากันนำร่างหลวงปู่กลับ
พอมาถึงบ้านตาปิ่น ก็ได้แวะจอดเอาจีวรเก่าของหลวงปู่ที่เคยให้นายสาดไว้ เพื่อนำมาครองหลวงปู่ให้อยู่สภาพที่เรียบร้อย นายสาดก็ได้นำขึ้นรถมาด้วย พอถึงบ้านรุน นายชัยและนายน้อยได้จอดรถรออยู่แล้วก็ได้แจ้งว่า หลวงปู่มรณภาพแล้ว ต่างคนต่างก็รีบขับรถออกมาโดยมุ่งหน้าไปทางบ้านละลม พอมาถึงบ้านไพรพัฒนา นายจุกได้ขับรถแวะเข้าที่วัดไพรพัฒนาเพื่อแจ้งข่าวให้หลวงพ่อพุฒ วายาโม เจ้าอาวาสวัดไพรพัฒนาได้ทราบว่า หลวงปู่ได้มรณาภาพแล้ว
ขณะนั้นเวลาประมาณ 19.00 น. หลวงพ่อพุฒกำลังนั่งสนทนากับพระลูกวัดอยู่ก็มีรถ 4 คัน วิ่งเข้ามาจอด มีนายสาด ตาปิ่น ซึ่งเป็นคนที่รู้จักขึ้นมาบนกุฎิแล้วบอกหลวงพ่อพุฒว่า หลวงปู่มรณภาพแล้ว หลวงพ่อพุฒอึ้งอยู่ขณะหนึ่งแล้วถามว่า มรณภาพที่ไหน นายสาดตอบว่า มรณภาพโรงพยาบาล และได้นำร่างของท่านมาพร้อมกับรถนี้แล้ว หลวงพ่อพุฒจึงลงไปที่รถแล้วเปิดประตูกราบลงบนตักหลวงปู่ แล้วเอามือจับตามร่างกาย และถามบรรดาลูกศิษย์ว่าจะดำเนินการกันต่อไปอย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่า จะนำศพหลวงปู่ไปบำเพ็ญกุศลที่วัดบ้านขยุง หลวงพ่อพุฒบอกให้เดินทางล่วงหน้าไปก่อนจะตามไปทันที
รถทั้งสี่คันเคลื่อนตัวออกจากวัดไพรพัฒนามุ่งหน้าไปยังบ้านขยุง หลวงพ่อพุฒที่ได้เดินทางตามมาได้อธิษฐานว่า “สาธุ ถ้าหากหลวงปู่มีความประสงค์จะให้ลูกหลานได้เป็นผู้บำเพ็ญกุศล ก็ขอให้หลวงปู่ได้กลับมายังวัดด้วยเถิด” พอถึงหน้าวัดป่าบ้านโคกชาติ มีรถหลายคันจอดอยู่ ปรากฏว่า ขบวนที่นำร่างหลวงปู่มาบอกว่าจะนำร่างหลวงปู่กลับมาบำเพ็ญกุศลที่วัดไพรพัฒนา หลังจากที่เดินทางกลับมาถึงวัดไพรพัฒนาแล้ว หลวงพ่อได้ให้อัญเชิญร่างของหลวงปู่มาไว้ที่ศาลาพร้อมกับจุดธูปอธิษฐานว่า “หากเป็นความประสงค์ของหลวงปู่ที่จะให้ลูกหลานได้บำเพ็ญกุศลในที่นี่จริง ก็ขอให้ดำเนินการไปโดยเรียบร้อย และก็ขอให้มีลูกศิษย์ของหลวงปู่เดินทางมาร่วมบำเพ็ญกุศลโดยทั่วกันด้วย”
ต่อจากนั้นก็ได้ดำเนินการบำเพ็ญกุศลให้กับหลวงปู่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน นี่คือเหตุการณ์ทั้งหมดว่า เหตุใดสรีระหลวงปู่สรวงจึงได้มาตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่วัดไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ
คำสอนของหลวงปู่สรวง ที่เราได้ยินบ่อยๆ คือ
ออย เตียน สรูล แปลว่า ให้ทาน มีความสุข "
ออยเตียน เมียนบาน" แปลว่า "ให้ทาน แล้วจะร่ำรวย "
เทอเจิด ออยสะโลด" แปลว่า "ทำจิตให้บริสุทธิ์แจ่มใส "
เต็อวเวือด เรียะษาเซ็ล" แปลว่า "ไปวัด รักษาศึล "
พรที่หลวงปู่สรวงให้เราตลอดมา คือ
บายตึ๊กเจีย แปลว่า ข้าวน้ำดี
หมายถึง ให้อยู่ดีมีสุข อุดมสมบูรณ์ด้วย ความพอเพียง "
วัดไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Dhamma
- Hits: 18102
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หรือนามตามสมณศักดิ์ว่า พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต (20 มกราคม พ.ศ. 2413 - 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492) เป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ชาวจังหวัดอุบลราชธานี ผู้เป็นบูรพาจารย์สายพระป่าในประเทศไทย
พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ปฏิบัติตนตามแนวทางคำสอนพระศาสดาอย่างเคร่งครัด และยึดถือธุดงควัตรด้วยจริยวัตรปฏิปทางดงาม จนได้รับการยกย่องจากผู้ศรัทธาทั้งหลายว่าเป็น "พระผู้เลิศทางธุดงควัตร" ท่านวางแนวทางในการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าให้แก่สมณะประชาชนอย่างกว้างขวาง จนมีพระสงฆ์และฆราวาสเป็นลูกศิษย์จำนวนมาก แนวคำสอนของท่านเป็นที่รู้จักกันดีในนามว่า คำสอนพระป่า (สายพระอาจารย์มั่น) หลังจากท่านมรณภาพลง ในปี พ.ศ. 2492 ยังคงมีพระสงฆ์ที่เป็นลูกศิษย์ของท่านสืบต่อแนวปฏิปทาธรรมปฏิบัติของท่านสืบมา โดยลูกศิษย์เรียกว่า พระกรรมฐานสายวัดป่า หรือ พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านได้รับยกย่องจากผู้ศรัทธาให้เป็น พระอาจารย์ใหญ่สายวัดป่า หรือ พระอาจารย์ใหญ่แห่งวงศ์พระกรรมฐานวัดป่า สืบมาจนปัจจุบัน
ชาติกำเนิดและการอุปสมบท
ท่านกำเนิดในสกุลแก่นแก้ว บิดาชื่อ คำด้วง มารดาชื่อ จันทร์ โดยมี เพีย (พระยา) แก่นท้าว เป็นปู่ นับถือพุทธศาสนา เกิดวันพฤหัสบดีเดือนยี่ ปีมะแม ตรงกับวันที่ 20 เดือนมกราคม พ.ศ. 2413 ณ บ้านคำบง ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันคือ บ้านคำบง ตำบลสงยาง อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี)
มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 7 คน ท่านเป็นลูกกก (บุตรคนหัวปี, คนแรก) ท่านเป็นคนร่างเล็ก ผิวขาวแดง แข็งแรง ว่องไว สติปัญญาดีมาตั้งแต่กำเนิดฉลาดดี เป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย ได้เรียนอักขรสมัยในสำนักของอา คือ เรียนอักษรไทยน้อย อักษรไทย อักษรธรรม และอักษรขอม อ่านออกเขียนได้ นับว่าท่านเรียนได้รวดเร็ว เพราะมีความทรงจำดี และมีความขยันหมั่นเพียรชอบการเล่าเรียนศึกษา
เมื่อท่านอายุได้ 15 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรในสำนักวัดบ้านคำบง ท่านใดเป็นบรรพชาจารย์ไม่ปรากฏ ครั้นบวชแล้วได้ศึกษาหาความรู้ทางพระศาสนา มีสวดมนต์และสูตรต่างๆ ในสำนักบรรพชาจารย์ จดจำได้รวดเร็ว อาจารย์เมตตาปรานีมาก เพราะเอาใจใส่ในการเล่าเรียนดี ประพฤติปฏิบัติเรียบร้อย เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้
เมื่ออายุท่านได้ 17 ปี บิดาขอร้องให้ลาสิกขา เพื่อออกมาช่วยการงานทางบ้าน ท่านก็ได้ลาสิกขาตามคำขอนั้นเพื่อช่วยงานของบิดามารดาเต็มความสามารถ ท่านเล่าว่า เมื่อลาสิกขาออกไปแล้วก็ยังคิดที่จะบวชอีกอยู่เสมอไม่ลืมเลย คงเป็นเพราะอุปนิสัยในทางบวชมาแต่ก่อนอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเพราะติดใจในคำสั่งของยายว่า
เจ้าต้องบวชให้ยาย เพราะยายก็ได้เลี้ยงเจ้ายาก "
คำสั่งของยายนี้คอยสะกิดใจอยู่เสมอ ครั้นอายุท่านได้ 22 ปี ท่านเล่าว่ามีความอยากบวชเป็นกำลัง จึงอำลาบิดา-มารดาเพื่อขอบวช ท่านทั้งสองก็อนุญาตตามประสงค์ ท่านได้เข้าศึกษา ในสำนักพระอาจารย์เสาร์ (หลวงปู่เสาร์) กนฺตสีโล วัดเลียบ เมืองอุบล
อุปสมบทเป็นภิกษุภาวะในพุทธศาสนา ณ วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม ในปัจจุบัน) อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระอริยกวี (อ่อน) เป็นพระอุปฌาย์ พระครูสีทาชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2436
พระอุปัชฌายะขนานนามมคธให้ว่า "ภูริทัตโต" แปลว่า "ผู้ให้ปัญญา ผู้แจกจ่ายความฉลาด" เสร็จอุปสมบทกรรมแล้ว ได้กลับมาศึกษาวิปัสสนาธุระกับพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ณ วัดเลียบต่อไป เมื่อแรกอุปสมบทท่านพำนักอยู่วัดเลียบ โดยได้เรียนกรรมฐานจากพระอาจารย์เสาร์ เมื่องอุบลราชธานีเป็นปกติ และได้ออกไปอาศัยอยู่วัดบูรพาราม เมืองอุบลราชธานีเป็นครั้งคราว
ในระหว่างนั้นได้ศึกษาข้อปฏิบัติเบื้องต้น อันเป็นส่วนแห่งพระวินัย คือ อาจาระความประพฤติมารยาท อาจริยวัตร และอุปัชฌายวัตร ปฏิบัติได้เรียบร้อยดีจนเป็นที่ไว้วางใจของพระอุปัชฌาจารย์ และได้ศึกษาข้อปฏิบัติอบรมจิตใจ คือ เดินจงกรมนั่งสมาธิกับการสมาทานธุดงควัตรต่างๆ
บำเพ็ญเพียร
ในสมัยต่อไปได้แสวงหาวิเวก บำเพ็ญสมณธรรมในที่ต่างๆ ตามราวป่า ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง หุบเขา ซอกเขา ห้วย ธารเขา เงื้อมเขา ท้องถ้ำ เรือนว่าง ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงบ้าง ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงบ้าง แล้วลงไปศึกษากับนักปราชญ์ทางกรุงเทพ จำพรรษาอยู่ที่วัดปทุมวนาราม หมั่นไปสดับธรรมเทศนา กับท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) แล้วออกแสวงหาวิเวกในถิ่นภาคกลาง คือถ้ำสาริกา เขาใหญ่ นครนายก ถ้ำไผ่ขวาง เขาพระงาม และถ้ำสิงห์โต ลพบุรี จนได้รับความรู้แจ่มแจ้งในพระธรรมวินัย สิ้นความสงสัยในสัตถุศาสนา จึงกลับมาภาคอีสาน ทำการอบรมสั่งสอนสมถวิปัสสนา แก่สหธรรมิกและอุบาสกอุบาสิกาต่อไป มีผู้เลื่อมใสปฏิบัติตามมากขึ้นโดยลำดับ มีศิษยานุศิษย์แพร่หลายกระจายทั่วภาคอีสาน
ในกาลต่อมา ได้ลงไปพักจำพรรษาที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ อีก 1 พรรษา แล้วไปเชียงใหม่กับท่านเจ้าคุณพระคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) จำพรรษาวัดเจดีย์หลวง 1 พรรษา แล้วออกไปพักตามที่วิเวกต่างๆ ในเขตภาคเหนือหลายแห่ง เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในที่นั้นๆ นานถึง 11 ปี จึงได้กลับมาจังหวัดอุดรธานี พักจำพรรษาอยู่ที่วัดโนนนิเวศน์ เพื่ออนุเคราะห์สาธุชนในที่นั้น 2 พรรษา แล้วมาอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร จำพรรษาที่วัดป่าบ้านนามน ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร (ปัจจุบันคือ อำเภอโคกศรีสุพรรณ) 3 พรรษา จำพรรษาที่วัดป่าหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม 5 พรรษาเพื่อสงเคราะห์สาธุชนในถิ่นนั้น มีผู้สนใจในธรรมปฏิบัติได้ติดตามศึกษา อบรมจิตใจมากมาย ศิษยานุศิษย์ของท่าน ได้แพร่กระจายไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย ยังเกียรติคุณของท่านให้ฟุ้งเฟื่องเลื่องลือไป
ปัจฉิมวัย
ในวัยชรานับแต่ พ.ศ. 2484 เป็นต้นมา ท่านหลวงปู่มั่นมาอยู่ที่จังหวัดสกลนคร เปลี่ยนอิริยาบท ไปตามสถานที่วิเวกผาสุขวิหารหลายแห่ง คือ เสนาสนะป่าบ้านนามน ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง (ปัจจุบันเป็น อำเภอโคกศรีสุพรรณ) บ้าง แถวนั้นบ้าง
ครั้น พ.ศ. 2487 จึงย้ายไปอยุ่เสนาสนะป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร จนถึงปีสุดท้ายแห่งชีวิต ตลอดเวลา 8 ปีในวัยชรานี้ ท่านได้เอาธุระอบรมสั่งสอน ศิษยานุศิษย์ทางสมถวิปัสสนา เป็นอันมาก ได้มีการเทศนาอบรมจิตใจศิษยานุศิษย์เป็นประจำวันศิษย์ ผู้ใกล้ชิด ได้บันทึกธรรมเทศนาของท่านไว้ และได้รวบรวมพิมพ์ขึ้นเผยแพร่ แล้วให้ชื่อว่า "มุตโตทัย"
มาถึงปี พ.ศ. 2492 ซึ่งเป็นปีที่ท่านมีอายุย่างเข้า 80 ปี ท่านเริ่มอาพาธเป็นไข้ ศิษย์ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด ก็ได้เอาธุระรักษาพยาบาลไปตามกำลังความสามารถ อาการอาพาธก็สงบไปบ้างเป็นครั้งคราว แต่แล้วก็กำเริบขึ้นอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนจวนออกพรรษา อาพาธก็กำเริบมากขึ้น ข่าวนี้ได้กระจายไปโดยรวดเร็ว พอออกพรรษา ศิษยานุศิษย์ผู้อยู่ใกล้ไกล ต่างก็ทะยอยกันเข้ามาปรนนิบัติพยาบาล ได้เชิญหมอแผนปัจจุบันมาตรวจ และรักษาแล้วนำมาพักที่เสนาสนะป่าบ้านภู่ อำเภอพรรณานิคม เพื่อสะดวกแก่ผู้รักษา และศิษยานุศิษย์ที่จะมาเยี่ยมพยาบาล อาการอาพาธมีแต่ทรงกับทรุดลงโดยลำดับ
ครั้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 ได้นำท่านมาพักที่วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร โดยพาหนะรถยนต์ของแขวงการทางมาถึงวัดเวลา 12.00 น. เศษ ครั้นถึงเวลา 2.23 น. ของวันที่ 11 พฤศจิกายน ปีเดียวกันท่านก็ได้ถึงมรณภาพด้วยอาการสงบในท่างกลางศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย มี เจ้าพระคุณพระธรรมเจดีย์ เป็นต้น สิริชนมายุของท่านอาจารย์ได้ 79 ปี 9 เดือน 21 วัน รวม 56 พรรษา
ซึ่งท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในเวลานั้น ไว้ใน "ประวัติท่านพระอาจารย์มั่นฯ" ไว้ว่า
"องค์ท่าน เบื่องต้นนอนสีหไสยาสน์ คือ นอนตะแคงข้างขวา แต่เห็นว่าท่านจะเหนื่อยเลยค่อยๆ ดึงหมอนที่หนุนอยู่ข้างหลังท่านออกนิดหนึ่ง เลยกลายเป็นท่านนอนหงายไป พอท่านรู้สึกก็พยายามขยับตัวกลับคืนท่าเดิม แต่ไม่สามารถทำได้เพราะหมดกำลัง พระอาจารย์ใหญ่ก็ช่วยขยับหมอนที่หนุนหลังท่านเข้าไป แต่ดูอาการท่านรู้สึกเหนื่อยมาก เลยต้องหยุดกลัวจะกระเทือนท่านมากไป ดังนัน การนอนท่านในวาระสุดท้ายจึงเป็นท่าหงายก็ไม่ใช่ ท่าตะแคงข้างขวาก็ไม่เชิง เป็นเพียงท่าเอียงๆ อยู่เท่านั้น เพราะสุดวิสัยที่จะแก้ไขได้อีก
อาการท่านกำลังดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง บรรดาศิษย์ซึ่งโดยมากมีแต่ พระกับเณร ฆราวาสมีน้อย ที่นั่งอาลัยอาวรณ์ด้วยความหมดหวังอยู่ขณะนั้น ประหนึ่งลืมหายใจไปตามๆ กัน เพราะจิตพะว้าพะวังอยู่กับอาการท่าน ซึ่งกำลังแสดงอย่างเต็มที่เพื่อถึงวาระสุดท้ายของท่านอยู่แล้ว ลมหายใจท่านปรากฏว่าค่อยอ่อนลงทุกทีและละเอียดไปตามๆ กัน ผู้นั่งดูลืมกระพริบตาเพราะอาการท่านเต็มไปด้วยความหมดหวังอยู่แล้ว ลมค่อยอ่อนและช้าลงทุกทีจนแทบไม่ปรากฏ วินาทีต่อไปลมก็ค่อยๆ หายเงียบไปอย่างละเอียดสุขุม จนไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าท่านได้สิ้นไปแล้วแต่วินาทีใด เพราะอวัยวะทุกส่วนมิได้แสดงอาการผิดปกติเหมือนสามัญชนทั่วๆ ไปเคยเป็นกัน ต่างคนต่างสังเกตจ้องมองจนตาไม่กระพริบ สุดท้ายก็ไม่ได้เรื่องพอให้สะดุดใจเลยว่า "ขณะท่านลาขันธ์ลาโลกที่เต็มไปด้วยความกังวลหม่นหมองคือขณะนั้น" ดังนี้
พอเห็นท่าไม่ได้การ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ พูดเป็นเชิงไม่แน่ใจขึ้นมาว่า "ไม่ใช่ท่านสิ้นไปแล้วหรือ" พร้อมกับยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา ขณะนั้นเป็นเวลาตี 2 นาฬิกา 23 นาที จึงได้ถือเวลามรณภาพของท่าน พอทราบว่าท่านสิ้นไปแล้วเท่านั้น มองดูพระเณรที่นั้งรุมล้อมท่านอยู่เป็นจำนวนมาก เห็นแต่ความโศกเศร้าเหงาหงอย และน้ำตาบนใบหน้าที่ไหลซึมออกมา ทั้งไอ ทั้งจาม ทั้งเสียงบ่นพึมพำไม่ได้ถ้อยได้ความ ใครอยู่ที่ไหนก็ได้ยินเสียงอุบอิบพึมพำทั่วบริเวณนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบเหงาเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก เราก็เหลือทน ท่านผู้อื่นก็เหลือทน ปรากฏว่าเหลือแต่ร่างครอบตัวอยู่แวลานั้น ต่างองค์ต่างนิ่งเงียบไปพักหนึ่งราวกับโลกธาตุได้ดับลง ในขณะเดียวกับขณะที่ท่านอาจารย์ลาสมมติคือขันธ์ก้าวเข้าสู่แดนเกษม ไม่มีสมมติความกังวลใดๆ เข้าไปเกี่ยวข้องวุ่นวายอีก ผู้เขียนแทบหัวอกจะแตกตายไปกับท่านจริงๆ เวลานั้น ทำให้รำพึงรำพันและอัดอั้นตันใจไปเสียทุกอย่าง ไม่มีทางคิดพอขยับขยายจิตที่กำลังว้าวุ่นขุ่นเป็นตมเป็นโคลนไปกับการจากไปของท่าน พอให้เบาบางลงบ้างจากความแสนรักแสนอาลัยอาวรณ์ที่สุดจะกล่าว ที่ท่านว่าตายทั้งเป็นเห็นจะได้แก่คนไม่เป็นท่าคนนั้นแล
ดวงประทีปที่เคยที่เคยสว่างไสวมาประจำชีวิตจิตใจได้ดับวูบสิ้นสุดลง ปราศจากความอบอุ่นชุ่มเย็นเหมือนแต่ก่อนมา ราวกับว่าทุกสิ่งได้ขาดสะบั้นหั่นแหลกเป็นจุณไปเสียสิ้น ไม่มีสิ่งเป็นที่พึ่งพอเป็นที่หายใจได้เลย มันสุดมันมุดมันด้านมันตีบตันอั้นตู้ไปเสียหมดภายในใจ ราวกับโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเป็นสาระพอเป็นที่เกาะของจิตผู้กำลังกระหายที่พึ่ง ได้อาศัยเกาะพอได้หายใจแม้เพียงวินาทีหนึ่งเลย ทั้งที่สัตว์โลกทั่วไตรภพอาศัยกันประจำภพกำเนิดตลอดมา แต่จิตมันอาภัพอับวาสนาเอาอย่างหนักหนา จึงเห็นโลกธาตุเป็นเหมือนยาพิษเอาเสียหมดเวลานั้น ไม่อาจเป็นที่พึงได้ ปรากฏแต่ท่านพระอาจารย์มั่นองค์เดียวเป็นชีวิตจิตใจ เพื่อฝากอรรถฝากธรรมและฝากเป็นฝากตายทุกขณะลมหายใจเลย"
ตลอดชีวิตขององค์หลวงปู่ ด้วยความที่ท่านหวัง เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก เหตุนั้นท่านจึงไม่อยู่เป็นที่เป็นทางหลักแหล่ง เฉพาะแห่งเดียว เที่ยวไปเพื่อประโยชน์แก่ชนในสถานที่นั้นๆ เริ่มจากอุบลราชธานีบ้านเกิด ไปกรุงเทพมหานครเพื่อร่ำเรียนศึกษากับครูบาอาจารย์ แล้วธุดงค์ไปในที่ต่างๆ ทั้งในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน จำพรรษาในที่ต่างๆ จนหวนคืนสู่ภาคอีสานในบั้นปลาย
ปฏิปทาท่านพระอาจารย์มั่น
ธุดงควัตร ที่ท่านถือปฏิบัติเป็นอาจิณ 4 ประการ
- บังสุกุลิกังคธุดงค์ ถือนุ่งห่มผ้าบังสุกุล นับตั้งแต่วันอุปสมบทมาตราบจนกระทั่งถึงวัยชรา จึงได้พักผ่อนให้คหบดีจีวรบ้างเพื่ออนุเคราะห์แก่ผู้ศรัทธานำมาถวาย
- บิณฑบาตกังคธุดงค์ ถือภิกขาจารวัตรเที่ยวบิณฑบาตมาฉันเป็นนิตย์ แม้อาพาธไปในละแวก บ้านไม่ได้ก็บิณฑบาตในเขตวัด บนโรงฉันจนกระทั่งอาพาธ ลุกไม่ได้ในปัจฉิมสมัยจึงงดบิณฑบาต
- เอกปัตติกังคธุดงค์ ถือฉันในบาตรใช้ภาชนะใบเดียวเป็นนิตย์ จนกระทั่งถึงสมัยอาพาธหนักจึงงด
- เอกาสนิกังคธุดงค์ ถือฉันหนเดียวเป็นนิตย์ตลอดมา แม้ถึงอาพาธหนักในปัจฉิมสมัยก็มิได้เลิกละ
ส่วนธุดงควัตรนอกนี้ได้ถือปฏิบัติเป็นครั้งคราวที่นับว่าปฏิบัติได้มาก ก็คือ อรัญญิกกังคธุดงค์ ถืออยู่ เสนาสนะป่าห่างบ้านประมาณ 25 เส้น หลีกเร้นอยู่ในที่สงัดตามสมณวิสัย เมื่อถึงวัยชราจึงอยู่ในเสนาสนะ ป่าห่างจากบ้านพอสมควร ซึ่งพอเหมาะกับกำลังที่จะภิกขาจารบิณฑบาตเป็นที่ที่ปราศจากเสียงอื้ออึง ประชาชนยำเกรงไม่รบกวน นัยว่าในสมัยที่ท่านยังแข็งแรง ได้ออกจาริกโดดเดี่ยวแสวงวิเวกไปในดงพงลึกจน สุดวิสัยที่ศิษยานุศิษย์ จะติดตามไปถึงได้ก็มี เช่นในคราวไปอยู่ทางภาคเหนือเป็นต้น ท่านไปวิเวกบนเขาสูง อันเป็นที่อยู่ของพวกมูเซอร์ ยังชาวมูเซอร์ซึ่งพูดไม่รู้เรื่องกันให้บังเกิดศรัทธาในพระศาสนาได้
พระอริยคุณคุณาธาร วัดเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น
ภาพประวัติศาตร์ ขณะอาราธนาหลวงปู่มั่น มาพักที่เสนาสนะป่าบ้านภู่
"...พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ท่านพาดำเนินอย่างถูกต้องแม่นยำ ถือเอาธุดงควัตร 13 ("...ธุดงค์ 13 แต่ละข้อมีความหมายในการปราบปรามกิเลสทุกประเภทได้อย่างอัศจรรย์ยากที่คาดให้ทั่งถึงได้ดังนี้ 1.บิณฑบาตเป็นวัตร 2.บิณฑบาตตามลำดับบ้าน 3.ไม่รับอาหารที่ตามส่งทีหลัง 4.ฉันในบาตร 5.ฉันหนเดียวในวันหนึ่งๆ 6.ถือผ้าสามผืน 7.ถือผ้าบังสกุล 8.อยู่รุกขมูลร่มไม้ 9.อยู่ป่า 10.อยู่ป่าช้า 11.อยู่กลางแจ้ง 12.อยู่ในที่เขาจัดให้ 13.ถือไม่อยู่อิริยาบถนอน...") นี้เป็นพื้นเพในการดำเนิน และการประพฤติปฏิบัติจิตใจของท่านก็เป็นไปโดยสม่ำเสมอ ไม่นอกลู่นอกทางทำให้ผู้อื่นเสียหาย และริจะทำเพื่อความเด่นความดังอะไรออกนอกลู่นอกทางนั้นไม่มี เป็นแนวทางที่ราบรื่นดีงามมาก
นี่ละเป็นที่นอนใจ เป็นที่ตายใจยึดถือไว้ได้โดยไม่ต้องสงสัยก็คือ ปฏิปทาเครื่องดำเนินของท่าน นี่ครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่านก็มีจำนวนมาก พากันดำเนินมายึดถือหลักนั้นแหละมาปฏิบัตได้แพร่หลาย หรือกระจายออกไปแก่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายเป็นแขนงๆ หรือแผลงๆ อะไรออกไปให้เป็นที่สะดุดตา ไม่แน่ใจอย่างนี้ไม่มี ท่านดำเนินอะไรเป็นที่เหมาะสมทั้งนั้น คือมีแบบมีฉบับเป็นเครื่องยืนยันไม่ผิดเพี้ยนไปเลย
นี่เพราะเหตุไร เพราะเบื่องต้นท่านก็ตะเกียกตะกายก็จริง แต่ตะเกียกตะกายตามหลักธรรมหลักวินัย ไม่ได้นอกเหนือไปจากหลักธรรมหลักวินัย หลักวินัยคือกฏของพระ ระเบียบของพระ ท่านตรงเป๋งเลย และหลักธรรมก็ยึดธุดงค์ 13 ข้อนี้เป็นทางดำเนิน ไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางนี้ไปอย่างทางอื่นบ้างเลย นี่จึงเป็นที่น่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งมาตั้งแต่ขั้นเริ่มแรกของท่าน ต่อจากนั้นท่านก็ปรากฏเห็นผลขึ้นมาโดยอันดับลำดา
ดังเคยเขียนไว้แล้วในประวัติของท่าน จนกระทั่งเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลโดยสมบูรณ์ในหัวใจท่าน แล้วก็ประกาศสั่งสอนธรรมแก่บรรดาศิษยทั้งหลายพร้อมทั้งปฏิปทาเครื่องดำเนินด้วยความองอาจกล้าหาญ ไม่มีคำว่าสะทกสะท้านแม้นิดหนึ่งเลย นี่เพราะความแน่ใจในใจของท่านเอง ทั้งฝ่ายเหตุทั้งฝ่ายผล ท่านเป็นที่แน่ใจทั้งสองแล้ว
พวกบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายที่เข้าไปศึกษาอบรมกับท่าน จึงได้หลักได้เกณฑ์จากความถูกต้องแม่นยำที่ท่านพาดำเนินมา มาเป็นเครื่องดำเนอนของตน แล้วถ่ายทอดไปโดยลำดับลำดา ไม่มีประมาณเฉพาะอย่างยิ่งภิกษุบริษัท มีกว้างขวางอยู่มากสำหรับลูกศิษย์ของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น แตกกระจายออกไปการที่ได้ปฏิปทาเครื่องดำเนินจากท่านผู้รู้ผู้ฉลาด พาดำเนินมาแล้วเช่นนี้ เป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก
นี่ละเป็นที่ ให้ตายใจนอนใจ อุ่นใจได้ ผิดกับเราเรียนมาโดยลำพัง และปฏิบัติโดยลำพังเป็นไหนๆ ยกตัวอย่างไม่ต้องเอาที่อื่นไกลที่ไหนเลย ผมเองนี่แหละเรียน จะว่าอวดหรือไม่อวดก็ตาม ก็เรียนถึงมหา แต่เวลาจะหาหลักหาเกณฑ์มายึดเป็นเครื่องดำเนิน ด้วยความอุ่นแน่ใจตายใจสำหรับตัวเอง ไม่มีจะว่ายังไงนั่น มันเป็นอย่างนั้น จิตเสาะแสวงหาแต่ครูอาจารย์อยู่ตลอดเวลาเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น..."
พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
(จากหนังสือ "หยดน้ำบนใบบัว")
"...ที่ผมได้ความรู้ความฉลาด จนได้มาแบ่งปันพวกท่านทั้งหลายนั้น ก็เพราะผมได้ ไปกราบครูบาอาจารย์มั่น...ไปพบท่าน แล้วก็เห็นสภาพวัดวาอารามของท่าน ถึงจะไม่สวยงาม แต่ก็สะอาดมาก พระเณรตั้งห้าสิบหกสิบ เงียบ! ขนาดจะถากแก่นขนุน (แก่นขนุนใช้ต้มเคี่ยว สำหรับย้อมและซักจีวร) ก็ยังแบกเอาไปฟันอยู่โน้น.. ไกล ๆ โน้น เพราะกลัวว่าจะ ก่อกวนความสงบของหมู่เพื่อน... พอตักน้ำทำกิจอะไรเสร็จ ก็เข้าทางจงกรม ของใครของมัน ไม่ได้ยินเสียง อะไร นอกจากเสียงเท้าที่เดินเท่านั้นแหละ
บางวันประมาณหนึ่งทุ่ม เราก็เข้าไปกราบท่านเพื่อฟังธรรม ได้เวลาพอ สมควรประมาณสี่ทุ่มหรือห้าทุ่มก้กลับกุฏิ เอาธรรมะ ที่ได้ฟังไปวิจัย... ไปพิจารณา
เมื่อได้ฟังเทศน์ท่าน มันอิ่ม เดินจงกรมทำสมาธินี่... มันไม่เหน็ดไม่เหนื่อย มันมีกำลังมาก ออกจากที่ประชุมกันแล้วก็เงียบ! บางครั้งอยู่ใกล้ๆ กัน เพื่อนเขาเดิน จงกรมอยู่ตลอดคืนตลอดวัน จนได้ย่องไปดูว่าใครท่านผู้นั้นเป็นใคร ทำไมถึงเดิน ไม่หยุดไม่พัก นั่น... เพราะจิตใจมันมีกำลัง..."
พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภัทโธ) วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี
จากอัตตโนประวัติหลวงปู่ชา "ใต้ร่มโพธิญาณ"
คำสอน
- ธรรมชาติของดีทั้งหลายนั้น ย่อมเกิดมาแต่ของไม่ดี มีอุปมาดังดอกปทุมชาติอันสวยงาม ก็เกิดขึ้นมาจาก โคลนตม อันเป็นของสกปรก ปฏิกูล น่าเกลียดแต่ว่า ดอกบัวนั้นเมื่อขึ้นพ้นโคลนตมแล้วย่อมเป็นสิ่งสะอาด เป็นที่ทัดทรงของพระราชา อุปราช อำมาตย์ เสนาบดี เป็นต้น และดอกบัวนั้นก็มิกลับคืนไปยังโคลนตมอีก
- ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นชื่อว่าดีเลิศ
- ถ้าจิตมีความสงบถึงฐานของสมาธิแล้ว อย่าไปบังคับให้ถอนนะ ปล่อยให้อยู่ในความสงบนั้นไป จนจิตได้มีความอิ่มตัวในสมาธินั้นๆ ได้เวลาแล้วจิตก็จะถอนออกมาเอง เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว ก็ให้ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไป
- ธรรมชาติของจิตเป็นของผ่องใสยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่อาศัยของปลอม กล่าวคือ อุปกิเลสที่สัญจรเข้ามาปกคลุม จึงทำให้หมดรัศมี ดุจพระอาทิตย์เมื่อเมฆบดบัง อย่าพึงเข้าใจว่า พระอาทิตย์เข้าไปหาเมฆ เมฆไหลมาบดบังพระอาทิตย์ต่างหาก ฉะนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลาย เมื่อรู้โดยปริยายนี้แล้ว พึงกำจัดของปลอม ด้วยการพิจารณาโดยแยบคาย
- ได้สมบัติทั้งปวงไม่เท่าได้ตน เพราะตัวตนนั้นเป็นที่เกิดแห่ง สมบัติทั้งปวง
- ของดีมีอยู่กับตัวเรา ทุกคนก็พากันปฏิบัติเอา ทำเอา เมื่อเวลาตายแล้วจึงวุ่นวายหานิมนต์พระมากุสลามาติกา ไม่ใช่เกาถูกที่คันต้องรีบแก้เสียบัดนี้ คือ เร่งทำความดีแต่บัดนี้ จะได้หายห่วงอะไรๆ ที่เป็นสมบัติของโลก มิใช่สมบัติอันแท้จริงของเรา ตัวจริงไม่มีใครเหลียวแล สมบัติในโลกเราแสวงหามา หามาทุจริตก็เป็นไฟเผา เผาตัวทำให้ฉิบหายได้จริงๆ
ข้อนี้ขึ้นอยู่กับความฉลาดและความโง่เขลาของผู้แสวงหาแต่ละราย ท่านผู้พ้นทุกข์ไปด้วยความอุตส่าห์สร้างความดีใส่ตน จนกลายเป็นสรณะของพวกเรา ท่านไม่เคยมีสมบัติเงินทอง เครื่องหวงแหน เป็นคนร่ำรวย สวยงามเฉพาะสมัย จึงพากันรัก พากันห่วง จนไม่รู้จักเป็นรู้จักตาย สำคัญตนว่าจะไม่ตาย และพากันประมาทจนลืมตัว เพลิดเพลินตักตวงเอาแต่สิ่งไม่เป็นท่าใส่ตนแทบหาบไม่ไหว อย่าสำคัญว่าตนเก่งกาจสามารถฉลาดรู้กว่าเขาเลย ถึงกับสร้างความมืดมิดปิดตาทับถมตัวเองจนไม่มีวันสร่างซา เมื่อถึงเวลาจนตรอกอาจจนยิ่งกว่าสัตว์ ถ้าไม่เตรียมทราบไว้เสียแต่บัดนี้ ซึ่งอยู่ในฐานะอันควร อาตมาขออภัยด้วยถ้าพูดหยาบคายไป แต่คำพูดที่สั่งสอนคนให้ละชั่ว ทำความดี จัดเป็นหยาบคายอยู่แล้ว โลกเราก็จะถึงคราวหมดสิ้นศาสนา เพราะไม่มีผู้ยอมรับความจริง การทำบาปหยาบคายมีมาประจำแทบทุกคน ทั้งให้ผลเป็นทุกข์ ตนยังไม่อาจรู้ได้ และตำหนิมันบ้างพอมีทางคิดแก้ไข แต่กลับตำหนิคำสั่งสอนหยาบคาย ก็นับเป็นโรคที่หมดหวัง… - เวลาที่สวดไปใจก็กำหนดตาม เกิดความเห็นชัดว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ หรือเป็นอนัตตา ในเวลาที่สวดอยู่นั้น ควรสงเคราะห์เข้าไปในกองปัญญา ก็พอครบสิกขา 3 ตามแบบปฏิบัติบูชาส่วนดอกไม้ ธูปเทียน และภาชนะที่ใส่ดอกไม้วางอยู่หน้าพระพุทธรูป ก็เป็นอามิสบูชา ข้าพเจ้าแยกเป็น 2 ส่วนให้ท่านฟังนี้ ขอท่านจงจำไว้ จะได้ไม่เห็นผิดว่า การไหว้พระสวดมนต์เป็นอามิสบูชา...
- “ใจ” มีภาษาเดียวเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นชาติใดภาษาใด มีเพียงความรู้คือใจนี้
— หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ข่าวปิติของชาวพุทธเกี่ยวกับหลวงปู่มั่น
องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศยกย่องให้ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต" ในวาระที่มีชาตกาลครบ 150 ปี ใน พ.ศ. 2563 เป็น "บุคคลสำคัญของโลกประจำวาระปี 2563-2564" นับเป็นพระอริยสงฆ์รูปที่ 3 ของประเทศไทย นับตั้งแต่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส และท่านพุทธทาสภิกขุ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ๑๕๐ ปี ชาตกาลหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Dhamma
- Hits: 35693
เรื่องราวของพระอริยสงฆ์ภาคอีสาน ที่เป็นผู้สืบสานต่อพระพุทธศาสนา เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ น้อมนำเอาหลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเผยแผ่กับปวงชนชาวไทย จนเป็นที่เลื่องลือกล่าวถึงอยู่จากอดีตสู่ปัจจุบัน ทางเว็บไซต์ประตูสู่อีสานจึงได้นำมารวบรวมไว้ที่นี่ เพื่อให้พวกเราชาวพุทธได้เห็นแจ้งจริงในแนวทางปฏิบัติตนสู่ความสงบสุข ลดละกิเลส ไกลจากสิ่งมัวหมอง ให้สามารถดำรงตนอย่างเป็นสุข ดังคำกล่าวที่ว่า
ศาสนาพุทธไม่เคยเสื่อม แต่ที่เสื่อมคือใจของพุทธบริษัททั้ง 4 อันได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ทั้งนี้ การเสื่อมดังกล่าวเกิดจากการกระทำของพวกเรากันเอง จะมัวไปโทษพระสงฆ์อย่างเดียวก็ไม่ได้ พวกเราต่างหากที่คอยสนับสนุนให้ท่านเหล่านั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวก เกินความจำเป็น เช่น เงินตรา และเทคโนโลยี "
หากเราจะตั้งสติกันใหม่ พิจารณาให้ดีก็จะเห็นคล้อยตาม ดังพระโอวาทของ สมเด็จพระสังฆราช องค์ปัจจุบัน ที่ว่า
พระพุทธศาสนา เข้ามาสู่ดินแดนสยามที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน เมื่อประมาณ พ.ศ. 236 สมัยเดียวกันกับประเทศศรีลังกา ด้วยการส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ 9 สาย โดยการอุปถัมภ์ของ พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์อินเดีย ในขณะนั้นประเทศไทยรวมอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ ซึ่งมีขอบเขตกว้างขวาง มีประเทศรวมกันอยู่ในดินแดนส่วนนี้ทั้ง 7 ประเทศในปัจจุบัน ได้แก่ ไทย พม่า ศรีลังกา ญวน กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ซึ่งสันนิษฐานว่ามีใจกลางอยู่ที่ จังหวัดนครปฐม ของไทย เนื่องจากได้พบโบราณวัตถุที่สำคัญ เช่น พระปฐมเจดีย์ และรูปธรรมจักรกวางหมอบเป็นหลักฐานสำคัญ แต่พม่าก็สันนิษฐานว่ามีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองสะเทิม ภาคใต้ของพม่า พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่สุวรรณภูมิในยุคนี้ นำโดยพระโสณะและพระอุตตระ พระเถระชาวอินเดีย เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนาในแถบนี้ จนเจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับ ตามยุคสมัย
การสืบต่อพระพุทธศาสนามีต่อมาตามลำดับ โดยแยกเป็น 2 สาย คือ มหานิกาย และธรรมยุตินิกาย อย่างไรก็ตามความมีศรัทธาของชาวไทยก็ยังคงปักแน่น มีพระผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ที่เป็นหลักสำคัญให้กับพระพุทธศาสนาอยู่ในทุกภาคของประเทศไทย สำหรับในภาคอีสานนั้น ก็มีพระอริยสงฆ์อยู่มากมายที่เป็นที่เคารพนับถือ และเป็นหลักแก่นในการเผยแผ่พระศาสนาออกไปให้ไพศาล โดยเฉพาะสาย "พระป่า" (ครู-อาจารย์หลายท่านได้กล่าวว่า ไม่อยากให้แตกแยกกันด้วยนิกาย ขอให้ยึดเอาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักในการปฏิบัติ และสานต่อพระพุทธศาสนา) มีชาวต่างประเทศมากมายที่เลื่อมใสจนได้สละทางโลกมาบวชในพระพุทธศาสนาจำนวนมาก [ อ่านเพิ่มเติม : ฝรั่งกับการนับถือพระพุทธศาสนา ]
รายนามพระอริยสงฆ์แห่งภาคอีสาน🙏🙏🙏
หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโลพระปรมาจารย์กรรมฐาน |
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตพระผู้เลิศทางธุดงควัตร |
หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูลเทวดาเดินดินแห่งอีสานใต้ |
หลวงปู่ขาว อนาลโยวัดถ้ำกลองเพล จังหวัดอุดรธานี |
หลวงปู่ฝั้น อาจาโรวัดป่าอุดมสมพร จังหวัดสกลนคร |
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสีวัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย |
หลวงปู่ชา สุภทฺโทวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี |
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี |
หลวงพ่อพุธ ฐานิโยวัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา |
หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธวัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา |
หลวงปู่จาม มหาปุญโญวัดป่าวิเวกวัฒนาราม จังหวัดมุกดาหาร |
หลวงปู่ดูลย์ อตฺโลวัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ |
หลวงปู่จันทร์ เขมิโยวัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม |
พระครูดีโลด (วิโรจน์รัตโนบล)พระสงฆ์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาชำนาญศิลป์ |
หลวงปู่หมุน ฐิตสีโลพระอมตะเถระ 5 แผ่นดิน ศรีสะเกษ |
หลวงปู่เกลี้ยง เตชธฺมโมวัดโนนแกด อำเภอเมือง ศรีสะเกษ |
หลวงปู่กินรี จนฺทิโยวัดกัณตะศิลาวาส อำเภอธาตุพนม |
หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโมวัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง นครราชสีมา |
หลวงปู่ลี กุสลธโรวัดภูผาแดง หนองวัวซอ อุดรธานี
|
หลวงพ่ออมร เขมจิตโตวัดป่าวิเวกธรรมชาน์ อุบลราชธานี
|
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐวัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก) บึงกาฬ
|
หลวงพ่อบุญเสริม ธมฺมปาโลวัดป่ากัทลิวัน (ป่าสวนกล้วย) ศรีสะเกษ
|
หลวงปู่แสงจันทร์ จันดะโชโตวัดป่าดงสว่างธรรม อำเภอป่าติ้ว ยโสธร
|
หลวงปู่สี สิริญาโนวัดป่าศรีมงคล อ.สำโรง อุบลราชธานี
|
หลวงปู่จูม พันธุโลวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี
|
ยังไม่หมด ยังมีอีกมากครับ อยู่ในระหว่างการรวบรวมเรียบเรียงข้อมูล จะได้นำมาเสนอในโอกาสต่อไป สำหรับท่านที่ทราบประวัติของพระอริยสงฆ์ท่านอื่นๆ สนใจจะแนะนำข้อมูลมาให้นำเสนอก็ยินดีที่จะเรียบเรียงมานำเสนอต่อไป แจ้งมาที่ webmaster @ isangate.com หรือทาง Facebook Page ได้เลยครับ
หมายเหตุ : ต้องขอเรียนให้ทราบว่า "ทางทีมงานนำเสนอเรื่องราวของพระอริยสงฆ์ ท่านเหล่านี้ในทางที่เป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้จำเริญสืบต่อไปในภายภาคหน้า หาใช่ด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ การปลุกเสก เลข ยันตร์ แต่อย่างใดนะครับ จึงไม่มีเรื่องราวของเหรียญ ของขลังใดๆ และไม่สามารถจัดหาแก่ท่านได้ ไม่ต้องขอมานะขอรับ"