- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Tradition
- Hits: 24821
กำเนิดและวิวัฒนาการเทียนพรรษา | ภูมิปัญญาชาวบ้านในงานแห่เทียน
ภูมิปัญญาชาวบ้านในงานแห่เทียน
งานประเพณีแห่เทียนพรรษา เป็นงานประเพณีที่รวมความผูกพันของชุมชนท้องถิ่น โดยเริ่มตั้งแต่การที่ชาวบ้านร่วมบริจาคเทียน เอามาหลอมหล่อเป็นเทียนเล่มใหญ่เล่มเดียวกัน เป็นการแสดงออกถึงความสามัคคีกลมเกลียวในหมู่คณะไปในตัว การสรรหาภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่มีฝีมือทางช่าง มีความรู้ ความชำนาญในเรื่อง การทำลวดลายไทย การแกะสลักลวดลายลงบนต้นเทียน การทำเทียนให้เป็นลายไทย แล้วนำไปติดบนต้นเทียน การประดับด้วยผ้าฝ้าย ผ้าไหม ดอกไม้สด ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของช่างในท้องถิ่น
ส่วนการจัดขบวนแห่ก็ล้วนแต่ใช้ของพื้นเมือง เช่น เครื่องแต่งกายของขบวนฟ้อน จะใช้ผ้าพื้นเมืองเป็นหลัก การฟ้อนรำจะใช้ท่ารำที่ดัดแปลงมาจาก วิถีชีวิต การทำมาหากินของชาวบ้าน เป็นท่ารำในรูปแบบของศิลปะที่งดงาม ดนตรีประกอบก็เป็นเครื่องดนตรีประจำถิ่น ผสมเข้ากับการขับร้องที่สนุกสนานเร้าใจ ทำให้งานประเพณีนี้ยิ่งใหญ่ ประชาชนต่างเฝ้ารอคอยกันทุกปี คอยดูว่า ชุมชนใดจะนำเอาของดีๆ มาอวดประชันกันในงานนี้
ศิลปะการฟ้อนรำที่นิยมนำมาประกอบการแสดงในขบวนแห่ คือ การรำเซิ้งต่างๆ เช่น เซิ้งกระลอ เซิ้งกระติบ เซิ้งสวิง เซิ้งแหย่ไข่มดแดง ซึ่งดัดแปลงมาจากการประกอบสัมมาอาชีพในวิถีชีวิตประจำวันทั้งสิ้น [ เรื่องที่เกี่ยวข้อง ]
งานแห่เทียนพรรษา เป็นงานที่ทำให้คนวัยรุ่น หนุ่ม-สาว ได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดและสัมผัสกับศิลปวัฒนธรรมอย่างใกล้ชิด นับตั้งแต่การเข้าเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือ เป็นลูกมือช่างของทางวัดในการแกะสลัก ทำลวดลายต้นเทียน ค้นคว้าหาวิธีการทำเทียนพรรษาให้วิจิตรพิศดาร งดงาม แต่ประหยัด การเข้าร่วมในขบวนแห่จะเป็นการผสมผสานระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ เช่น การเล่นดนตรีพื้นบ้าน โปงลาง หรือเป่าแคน จะมีทั้งผู้สูงอายุและคนหนุ่มสาว ส่วนขบวนฟ้อนรำ จะใช้เด็กๆ รุ่นเยาว์ ถึงวัยหนุ่มสาวมากกว่าคนสูงวัย ซึ่งคาดหวังได้ว่า ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น จะสืบทอดต่อไปอีกยาวไกล
เหมิดที่บุญคนเฒ่าสกุลวงศ์ตกต่ำ สมัยใหม่ มาปล้ำสกุลเฒ่าแตกกระเด็น
คือบ่ตามครอง เฒ่าโบราณเฮามันลำบาก มันสิทุกข์ยากย้อน ทอนท้ออยู่บ่ดี "
สุภาษิตอีสานบทนี้ บอกให้ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่ดีงาม ที่ชุมชนถือปฏิบัติร่วมกัน เป็นวัฒนธรรมที่ดีของชุมชนมาแต่อดีต หากไม่รักษาไว้ให้คงอยู่ ปล่อยให้วัฒนธรรมสมัยใหม่เข้ามาแทนที่ ชุมชน ของเราจะอยู่เป็นสุขได้อย่างไรกัน
ขอบคุณภาพประกอบจาก GuideUbon.com
หมายเหตุปิดท้าย : วันนี้ผมย้อนนึกไปถึงสมัยเมื่อยังเป็นเด็กเรียนชั้นประถมศึกษา งานแห่เทียนพรรษายังแยกกันทำในแต่ละท้องที่ (จัดแยกกันในแต่ละอำเภอ) ไม่ใช่งานใหญ่อย่างนี้ ต้นเทียนเกิดจากใจศรัทธาของญาติโยม ที่ซื้อเทียนเหลืองเล่มใหญ่นำมามัดรวมกันรอบแกนไม้ไผ่ มัดด้วยเชือกหรือด้าย หุ้มด้วยการตัดกระดาษเงินกระดาษทองเป็นลวดลาย ตั้งบนเกวียนแห่ไปรอบหมู่บ้าน แล้วนำถวายที่คุ้มวัดใกล้บ้าน ประโยชน์ของเทียนนั้นยังคงสมบูรณ์เต็มร้อย พระเณรได้แกะเทียนเล่มเล็กเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ตลอดพรรษา แต่วันนี้เทียนเล่มใหญ่ที่แกะสลักวิจิตรงดงามนั้น หลังจากผ่านการแห่แหนรอบเมืองแล้ว กลับถูกปล่อยปละละเลยให้ฝุ่นเกาะจนครบขวบปีจึงจะถูกปัดฝุ่นนำมาบูรณะใหม่อีกครั้ง
รายการทีวีชุมชน ช่อง ThaiPBS ตอน สืบสายลายเทียน
พ.ศ.นี้ เราลองมาเปลี่ยนจาก เทียนเล่มใหญ่ เป็น หลอดฟลูออเรสเซนต์ กันดีไหมนะ? ถวายต้นเทียนแล้ว พระท่านยังจะได้ใช้ประโยชน์จากหลอดไฟเหล่านั้นได้ ทุกวันนี้พอถึงฤดูเข้าพรรษา ผมและครอบครัวก็จะถวายหลอดไฟฟ้า กับปัจจัยสำหรับเป็นค่ากระแสไฟฟ้าเข้าท่ากว่ากันเยอะครับ หลบจากกระพี้เอาแก่นของความจริงกันดีไหมครับ ไม่ทราบจะทิ่มแทงใจใครบ้างก็ไม่ทราบนะครับ แต่ผมก็คิดว่าเข้าท่ากว่าการทำงานประเพณี กระพี้ของต้นเทียนกันอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังอย่างในปัจจุบันนี้
มองอดีตผ่านปัจจุบันแห่เทียนพรรษา
การนำเสนอเรื่องเทียนพรรษาผ่านมาหลายปีครับ เมื่อวานนี้ (เขียนเมื่อ : 13 กรกฎาคม 2546) ได้ร่วมเดินชมต้นเทียนที่นำมาตั้งแสดงให้ประชาชนได้ชม บริเวณรอบทุ่งศรีเมืองอุบลราชธานี สัมผัสกับบรรยากาศของความอลังการ และตื่นตาตื่นใจของต้นเทียน และผู้คนต่างถิ่น ที่ต่างก็กล่าวขวัญถึงความวิจิตรพิสดารของการแกะสลักลวดลายลงบนขี้ผึ้ง การติดลายอันวิจิตรลงบนลำเทียนและส่วนประกอบต่างๆ
แต่สำหรับคนพื้นถิ่นอย่างผม กลับมองเห็นอีกภาพหนึ่งที่หดหู่ใจยิ่ง จากการจัดงานประเพณีที่ไม่ใช่ภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างนี้ ที่นับวันจะยิ่งห่างไกลออกไปทุกที เพราะการขายประเพณีเป็นสินค้าหลัก และไม่ยอมถามคนพื้นถิ่นว่า แก่นของประเพณีนี้ที่แท้จริงคืออะไร ผู้เฒ่าผู้แก่หลายท่านได้แต่บ่นเสียดายความงดงามของประเพณีที่สูญหาย พูด(เขียน)อย่างนี้บางท่านอาจจะงงๆ อยู่ ลองมาไล่เรียงกันเป็นข้อๆ ดูซิครับ
การจัดทำต้นเทียน
มูลค่ามหาศาลของการจัดทำต้นเทียน ที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี (ในปีนี้ต้นเทียนระดับรางวัลชนะเลิศนั้น อยู่ที่หลักสองแสนบาทขึ้นไป) ส่วนที่หนึ่งนั้น มาจากค่าขี้ผึ้งแท้ (ผึ้งบริสุทธิ์) ที่จะต้องนำมาผสมกับเทียนเก่าในปีที่แล้ว (ที่แห้งแข็ง เปราะ ร่อน) เพื่อให้มีความเหนียวเพียงพอจนสามารถแกะสลัก หรืออัดลงแบบพิมพ์ เพื่อให้เกิดลายได้ ในอัตราส่วนตั้งแต่ 40% ขึ้นไป ในขณะที่ต้นเทียนนี้ ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในพิธีกรรมระหว่างเข้าพรรษาได้เลย (ไม่ได้ถูกนำไปจุดเป็นเทียนจำนำพรรษาตลอด 3 เดือน ดังที่เคยมีมาในอดีต ด้วยความใหญ่โตมโหราฬจนยกเข้าไปในพระอุโบสถไม่ได้ และไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้จุดไฟได้ แกนกลางเป็นท่อนเหล็กหุ้มด้วยปูนพลาสเตอร์ให้มั่นคง)
ส่วนที่สอง เป็น "ค่าจ้างช่างทำเทียน" เพราะเป็นงานฝีมือที่ต้องทุ่มเทจิตใจแข่งกับเวลาอันจำกัด เพียงระยะเวลาหนึ่งเดือน (ใช้ช่างฝีมือทีมละประมาณ 15 - 25 คน) เท่าที่ทราบค่าจ้างอยู่ระหว่าง 80,000 ถึง 120,000 บาท (ถ้าเทียบกับเนื้องานแล้วไม่มาก) เราจึงได้เห็นส่วนประกอบของต้นเทียน (บรรดารูปปั้นองค์ประกอบรอบๆ ต้นเทียน เป็นเรื่องราวต่างๆ) วิจิตรตระการตากว่าลำต้นเทียน เพื่อแลกกับรางวัลที่หนึ่งประมาณหนึ่งแสนบาท (เงินรางวัลที่ได้รับน้อยกว่าการลงทุนทำต้นเทียนเกินครึ่ง)
ถ้าต้องการรักษาประเพณีและประหยัดค่าใช้จ่าย ตามความเห็นที่ผมสรุปมาจากการพูดคุยกับผู้เฒ่า ผู้แก่ ตามคุ้มวัดต่างๆ ก็คือ เราจะต้องหันมาส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ฝีมือของชาวบ้าน พระ-เณร ด้วยการทำต้นเทียนแบบโบราณที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง และก็พิสูจน์ได้จากความชื่นชมที่นักท่องเที่ยวมีต่อต้นเทียนวัดหนองปลาปากในปีนี้ (รูปด้านบน ปี 2546)
นี่คือฝีมือของชุมชนพื้นถิ่น ที่ทำต้นเทียนเพื่ออนุรักษ์ประเณีอันดีงาม อย่างแท้จริง ต้นทุนต่ำ และใช้ประโยชน์คุ้มค่าจากต้นเทียน ที่นำเทียนเป็นเล่มๆ มาผูกมัดรวมกัน (หลังการแห่นำกลับไปจุดในพิธีกรรมเข้าพรรษาได้) ตกแต่งด้วยใบตอง และพานบายศรีอันวิจิตรงดงาม น่าทึ่งมากๆ ครับ
และข้อมูลล่าสุดคือ มีเทศกาลงานแห่เทียนพรรษาที่ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ที่จะจัดงานขึ้นก่อนในตัวจังหวัดอุบลราชธานี 1 วัน ที่บริเวณลานเอนกประสงค์ แก่งสะพือ จะเป็นการอนุรักษ์การจัดเทียนพรรษาแบบโบราณ ดังรูปประกอบด้านบนและล่างนี้ งดงามมากครับ
ขอบคุณภาพประกอบจาก GuideUbon.com
การจัดแสดงต้นเทียน
ปีนี้ (2546) เป็นปีที่น่าเศร้าใจจริงๆ ครับ บริเวณรอบๆ ต้นเทียนเราน่าจะได้ยืนชมต้นเทียนด้วยความสะดวกสบาย ทางเดินที่กว้างขวางรองรับนักท่องเที่ยว แต่โดนยึดพื้นที่ด้วยบรรดาหาบเร่แบกะดินเต็มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ช่องว่างระหว่างต้นเทียนแต่ละต้น มองไปที่ริมฟุตบาทเจอป้ายประกาศ ห้ามวางหาบเร่แผงลอย ฝ่าฝืนปรับ 500 บาท ตรงป้ายไม่มีใครวางจริงๆ ครับ แต่ที่อื่นๆ วางกันเพียบไม่เห็นมีใครมาปรามหรือจับปรับเลย (ป้ายมันจับไผบ่เป็นเด้อ แล้วผู้ขายกะบ่อ่านป้าย หรืออ่านบ่ออก หรืออ่านออกแต่หน้ามึน กะบ่ฮู้คือกัน)
ผมอนาถใจไปกว่านั้นอีกคือ ความไม่เท่าเทียมกันของบริเวณจัดวางต้นเทียน ไฟแสงสว่างทางจังหวัดหรือเทศบาลน่าจะจัดให้กับทุกๆ วัดเท่าเทียมกัน บางวัดด้วยความตั้งใจนำต้นเทียนมาจากต่างอำเภอด้วยอยากสนับสนุนการจัดงานให้ยิ่งใหญ่ แต่กลับไม่ได้รับการเหลียวแลเลย (ปล่อยให้อยู่ในมุมมืดมากทางด้านมุมทุ่งศรีเมืองใกล้ศาลจังหวัด) บางท่านนึกว่าหมดต้นเทียนแล้วเลยไม่เดินไปดูด้วยซ้ำ ปีหน้าจะมาหรือไม่หนอ?
ขบวนแห่
เรื่องขบวนแห่นี้ขอมองต่างมุมหน่อยนะครับ การให้สถานศึกษาจัดขบวนแห่ ฟ้อนรำสวยงามก็ดีอยู่หรอกครับ แต่อยากให้มีขบวนแห่พื้นบ้าน ที่แตกต่างด้วยใจศรัทธาต่อคุ้มวัดของเขาเองบ้างจะดีไหม? ทำไมต้องกำหนดด้วยว่า ขบวนนี้ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นจะสูญหายไปดื้อๆ อย่างน่าเสียดายนะครับ สถานศึกษาส่วนใหญ่ก็จะเน้นไปที่จำนวนผู้แสดง ความอลังการของชุดที่สวมใส่ การร่ายรำที่ผู้ฝึกสอนถนัด ไม่มีการค้นคว้าประยุกต์เอาศิลปะการฟ้อนพื้นฐิ่นมาใช้เลย นี่ก็น่าเสียดายครับ
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องของผู้สนับสนุน หรือสปอนเซอร์จัดงาน รู้สึกจะทุ่มเทกันมากไปด้วยป้ายที่ติดรอบๆ ทุกมุมเมือง จนนึกไปว่า นี่เขาจะจัดงานแสดงสินค้าโรงงานอุตสาหกรรมกันหรือไร? ทั้งเครื่องดื่มน้ำอัดลม น้ำเมา บะหมี่หลากรส ก็ไม่ว่ากัน ถ้าคุณจะช่วยประดับธงทิวธรรมจักรที่แสดงว่า จะมีงานประเพณีทางพุทธศาสนาให้มากกว่านี้ (เท่าที่ผมตระเวณไม่มีสักผืนครับแม้แต่รอบๆ งาน)
ที่น่าเศร้าใจกว่านั้นก็คือ วันอาสาฬหบูชา ทางราชการรณรงค์ให้เลิกดื่มเหล้า และน้ำเมาทั้งหลาย (รวมร้านอาหาร คาราโอเกะ) แต่แทบไม่เชื่อสายตาว่า รอบๆ บริเวณงานมีร้านขายเครื่องดื่มรูปสัตว์ในป่าหิมพานต์ สัตว์ป่าขนาดใหญ่ และยี่ห้อที่แชมป์โลกเสียมวยขายกันเกลื่อนงาน (ขัดแย้งกันอย่างยิ่ง น่าเกลียดที่สุดด้วย ผิดทั้งสามัญสำนึกและกฎหมายแต่ไม่มีใครสนใจ)
หลังจากตระเวณรอบๆ งานก็ขอฝากภาพที่ผมได้เก็บไว้บางส่วนให้ท่านได้ชื่นชมกันครับ ปีหน้าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นก็ได้
ก็คงจะเป็นบทเรียนให้กับผู้จัดงานในปีต่อๆ ไปครับ ผมไม่อยากให้ต้นเทียนพรรษาถูกกล่าวถึง เฉพาะในงานเทศกาลนี้เท่านั้น อยากให้มีแหล่งเก็บรวบรวมคุณค่าของเทียนพรรษา ที่นักท่องเที่ยวสามารถมาชื่นชมได้ทุกเมื่อ ที่มาเยือนอุบลราชธานี ...
หมายเหตุปิดท้าย
ในปัจจุบันเราจะเห็นว่า มีหลายจังหวัดเลยทีเดียว ที่ได้ริเริ่มจัดให้มี "งานประเพณีแห่เทียนพรรษา" ด้วยการจัดให้มีต้นเทียนขนาดใหญ่ อลังการ เพื่อเน้นไปที่การส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นหลัก วัฒนธรรมประเพณีภูมิปัญญาชาวบ้านในท้องถิ่น เป็นเรื่องรอง (หรืออาจจะไม่คิดถึงเลยก็มีมั๊ง) อย่างเช่น จังหวัดนครราชสีมา สุพรรณบุรี ถึงกับมีการวางเงินมัดจำจ้าง ช่างทำเทียนจากอุบลราชธานี ไว้ล่วงหน้าเป็นรายปีเลยทีเดียว ก็ทำให้กระจายรายได้แก่ ช่างรุ่นใหญ่ รุ่นเล็ก ได้ไปสร้างผลงานในต่างถิ่นจนเป็นที่รู้จัก แต่ผู้จัดการงานประเพณีนี้ ลองย้อนหวนกลับคิดถึง รากเหง้า ประเพณี ภูมิปัญญา ของบ้านเกิดตัวเองกันบ้างดีไหมครับ ผมว่า "มันน่าจะมีอะไรซ่อนคุณค่าไว้อยู่ ถ้าเราจะค้นหานำมันออกมาแสดงต่อชุมชน"
กำเนิดและวิวัฒนาการเทียนพรรษา | ภูมิปัญญาชาวบ้านในงานแห่เทียน
- Details
- Written by: เว็บมาดเซ่อ ฅนอีสาน
- Category: Tradition
- Hits: 24220
กำเนิดและวิวัฒนาการเทียนพรรษาอุบลราชธานี
กำเนิดเทียนพรรษา
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นับถือวัวเพราะถือว่า วัวเป็นพาหนะของพระอิศวร เมื่อวัวตาย จะเอาไขจากวัวมาทำเป็นน้ำมันเพื่อจุดบูชาพระผู้เป็นเจ้าที่ตนเคารพ
แต่ชาวพุทธซึ่งนับถือศาสนาพุทธจะทำเทียนเพื่อจุดบูชาพระรัตนตรัย โดยการเอารังผึ้งร้างมาต้มเอาขี้ผึ้ง แล้วฟั่นเป็นเทียนเล่มเล็กๆ มีความยาวตามต้องการ เช่น ยาวเป็นคืบ หรือเป็นศอกแล้วใช้จุดบูชาพระ
เทียนพรรษา เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ชาวพุทธจะยึดถือเป็นประเพณีนำเทียนไปถวายพระภิกษุในเทศกาลเข้าพรรษา เพื่อปรารถนาให้ตนเองเป็นผู้เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ ประดุจ แสงสว่างของดวงเทียน
วิวัฒนาการของเทียนพรรษา
เทียนพรรษา คือ เทียนขนาดใหญ่และยาวเป็นพิเศษกว่าเทียนชนิดอื่น สำหรับใช้จุดในโบสถ์ ตั้งแต่วันเข้าพรรษาจนถึงวันออกพรรษา (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525)
การทำเทียนพรรษา มีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับ จากการนำรังผึ้งมาต้มให้ร้อน จนละลาย เอาขี้ผึ้งไปฟั่นอบเส้นฝ้ายเป็นเทียนนำไปถวายพระภิกษุ เอาเทียนเล่มเล็กๆ หลายๆ เล่ม มามัดรวมกันเป็นลำต้นคล้ายกับต้นกล้วย หรือลำไม้ไผ่ แล้วนำไปติดกับฐาน ซึ่งการมัดรวมกันแบบนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่นิยมเรียกว่า ต้นเทียน หรือ ต้นเทียนพรรษา
ภาพขบวนแห่เทียนไปถวายพระที่วัดในอดีต
ต้นเทียนพรรษาประเภทแรก คือ "มัดรวมติดลาย" เป็นการเอาเทียนเล่มเล็กๆ มามัดรวมกันบนแกนไม้ไผ่ ให้เป็นต้นเทียนขนาดใหญ่ แล้วตัดกระดาษเงิน กระดาษทองเป็นลายต่างๆ ติดประดับโดยรอบต้นเทียน (ตรงเชือกที่มัดต้นเทียน) ให้ดูสวยงาม ต่อมามีการคิดทำต้นเทียนเป็นต้นเดี่ยว เพื่อใช้จุดให้ได้นานขึ้น โดยการใช้ลำไม้ไผ่ที่ทะลุปล้องเป็นแบบหล่อ เมื่อหล่อเทียนเป็นต้นเสร็จแล้วจึงนำมาติดที่ฐานไม้ และจัดขบวนแห่ต้นเทียนไปถวายพระที่วัด
การตกแต่งต้นเทียนเริ่มมีขึ้นโดยภูมิปัญญาชาวบ้าน ใช้ขี้ผึ้งลนไฟ หรือตากแดดให้อ่อน แล้วปั้นเป็นรูปดอกลำดวนติดต้นเทียน หรือเอาขี้ผึ้งไปต้มให้ละลาย แล้วใช้ผลมะละกอ หรือ ผลฟักทอง นำมาแกะเป็นลวดลาย ใช้ไม้เสียบนำไปจุ่มในน้ำขี้ผึ้ง แล้วนำไปจุ่มในน้ำเย็น แกะขี้ผึ้งออกจากแบบ ตัดและตกแต่งให้สวยงามก่อนนำไปติดที่ต้นเทียน
เมื่อปี พ.ศ. 2482 มีช่างทองชื่อ นายโพธิ์ ส่งศรี เริ่มทำลายไทยไปประดับบนต้นเทียน โดยมีการทำแบบพิมพ์ลงในแผ่นปูนซีเมนต์ ซึ่งถือว่าเป็นแบบพิมพ์ หรือแม่พิมพ์ แล้วเอาขี้ผึ้งที่อ่อนตัวไปกดลงบนแม่พิมพ์ก็จะได้ขี้ผึ้งเป็นลายไทย นำไปติดกับลำต้นเทียน
ต่อมา นายสวน คูณผล ได้คิดทำลายให้นูนและสลับสี จนมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น เมื่อส่งเทียนเข้าประกวดจึงได้รับรางวัลชนะเลิศ และในปี พ.ศ. 2497 นายประดับ ก้อนแก้ว คิดประดิษฐ์ทำหุ่นให้เป็นเรื่องราวพุทธประวัติ และเอาลวดลายขี้ผึ้งติดเข้าไปที่หุ่น ทำให้มีลักษณะแปลกออกไป จึงทำให้เทียนพรรษาได้รับรางวัลชนะเลิศ และชนะเลิศมาทุกปี ในเทียนพรรษาประเภทติดพิมพ์
ปี พ.ศ. 2502 มีช่างแกะสลักลวดลายลงในต้นเทียนพรรษาเป็นคนแรก คือ นายคำหมา แสงงาม และคณะ กรรมการตัดสินให้ต้นเทียนแบบแกะสลักนี้ชนะเลิศในการประกวด ทำให้เกิดการประท้วงคณะกรรมการตัดสินขึ้น ทำให้ในปีต่อๆ มามีการแยกประเภทของต้นเทียนพรรษา ออกเป็น 2 ประเภทให้ชัดเจน คือ
- ประเภทติดพิมพ์ (ตามแบบเดิม)
- ประเภทแกะสลัก
การทำเทียนพรรษามีวิวัฒนาการเรื่อยมาไม่หยุดนิ่ง ในปี พ.ศ. 2511 ผู้คนได้พบเห็น ต้นเทียนพรรษาขนาดใหญ่และสูงขึ้น มีการแกะสลักลวดลายในส่วนลำต้นอย่างวิจิตรพิสดาร ในส่วนฐานก็มีการสร้างหุ่นแสดงเรื่องราวทางศาสนา และความเป็นไปในสังคมขณะนั้น กลายเป็นประติมากรรมเทียนพรรษาที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งช่างผู้ริเริ่มในการทำต้นเทียนยุคหลังคือ นายอุส่าห์ จันทรวิจิตร และ นายสมัย จันทรวิจิตร สองพี่น้อง นับเป็นงานสร้างสรรค์ทางศิลปะอันเกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน อย่างแท้จริง
รายการทีวีชุมชน ช่อง ThaiPBS ตอน ลายเทียน
กำเนิดงานแห่เทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานี
อุบลราชธานี ดินแดนแห่งปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา เป็นถิ่นกำเนิดของพระอาจารย์ทางวิปัสนา คือ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล เป็นต้น กล่าวกันว่า เมืองอุบลราชธานี เป็นต้นรากแห่งการขยายพระพุทธศาสนาและวัดวาอาราม ให้แพร่หลายยิ่งกว่าในทุกหัวเมืองในภาคอีสาน
เดิมงานประเพณีแห่เทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานี มีจัดเฉพาะตามคุ้มวัดต่างๆ เท่านั้น จนกระทั่งปี พ.ศ. 2444 เมืองอุบลราชธานีจัดงานบุญบั้งไฟ โดยทุกคุ้มจะนำบั้งไฟมารวมกันที่วัดหลวง ริมแม่น้ำมูล มีการแห่บั้งไฟไปรอบเมืองและจุดขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้เกิดอุบัติเหตุ บั้งไฟตกลงมา ถูกชาวบ้านตายในงาน มีการชกต่อย ตีรันฟันแทงกัน ก่อเหตุวุ่นวายไปทั้งงาน กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ผู้สำเร็จราชการเมืองอุบลฯ สมัยนั้น ให้ยกเลิกงานประเพณีบุญบั้งไฟเสีย แล้วให้มาจัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษาแทน ในสมัยแรกๆ นั้นไม่มีการประกวดเทียนพรรษา แต่ชาวบ้านจะกล่าวร่ำลือกันไปว่า เทียนคุ้มวัดนั้นงาม เทียนคุ้มวัดนี้สวยกว่าวัดอื่นๆ
ผู้สำเร็จราชการเมืองอุบลฯ จึงเห็นควรให้มี "การประกวดเทียนพรรษา" ก่อน แล้วจึงค่อยนำไปแห่รอบเมือง ก่อนจะนำไปถวายพระที่วัดได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
จากงานประจำปีท้องถิ่นสู่งานประเพณีระดับชาติ
การจัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานี มีการจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดมา โดยชาวบ้านในแต่ละคุ้มวัด ก็จัดตกแต่งต้นเทียนของวัดตนให้สวยงาม นำมารวมกันที่บริเวณทุ่งศรีเมืองเพื่อประกวดแข่งขันกัน จากงานของชาวบ้าน ก็พัฒนามาสู่การสนับสนุนอย่างจริงจังจาก ส่วนราชการ พ่อค้า ห้างร้านเอกชน ร่วมกับประชาชน ทายกทายิกาคุ้มวัดต่างๆ และใน ปี พ.ศ. 2519 จังหวัดอุบลราชธานีได้เชิญ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (อ.ส.ท. ในขณะนั้น) มาสังเกตการณ์ และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมาทางจังหวัดอุบลราชธานี ก็ได้รับการสนับสนุนจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ให้งานประเพณีแห่เทียนพรรษาของจังหวัดอุบลราชธานี เป็นงานประเพณีระดับชาติ โดยเฉพาะในปีท่องเที่ยวไทย (Amazing Thailand 2541-2542) งานประเพณีแห่เทียนพรรษา เป็น 1 ในงานประเพณีที่ถูกโปรโมตเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับชาวต่างชาติ
เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช (รัชการที่ 9) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน "เทียนหลวง" มาเป็นเทียนนำชัยขบวนแห่ แล้วจึงนำไปถวายยังอารามหลวงในจังหวัดอุบลราชธานี หมุนเวียนไปเป็นประจำทุกปี
งานประเพณีแห่เทียนพรรษา เป็นงานประเพณีที่รวมความผูกพันของชุมชนท้องถิ่น โดยเริ่มตั้งแต่การที่ชาวบ้านร่วมกันบริจาคเทียนเอามาหลอม หล่อเป็นเทียนเล่มใหญ่เล่มเดียวกัน ทำการตกแต่งให้สวยงาม จัดให้มีขบวนแห่ฟ้อนรำประกอบการแห่รอบเมือง ให้ปรากฎแก่สายตาของชาวบ้านทุกคน ทำการตัดสินการประกวดทั้งตัวต้นเทียน นางงามประจำต้นเทียน และขบวนแห่ ก่อนจะแยกย้ายนำไปถวายวัดให้ใช้ประโยชน์ต่อไป
ศาสตรศึกษา : สืบสานงานพุทธศิลป์ แห่เทียนเข้าพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี
กำเนิดและวิวัฒนาการเทียนพรรษา | ภูมิปัญญาชาวบ้านในงานแห่เทียน
- Details
- Written by: ครูมนตรี
- Category: Tradition
- Hits: 50340
จากหนังสือสารานุกรมภาษาอีสาน-ไทย-อังกฤษ โดย ดร.ปรีชา พิณทอง : ๒๕๓๒
โสก หรือ โฉลก คือคำประพันธ์ที่นักปราชญ์โบราณอีสานแต่งไว้ มีโสกสองถึงโสกแปด เป็นโสกที่แต่งไว้เพื่อให้หมอดูได้ดูโชคชะตาของคน สัตว์ สถานที่ และสิ่งของ เป็นตำราหมอดูแบบสำเร็จรูป ก่อนจะดูก็ไม่ต้องมาถามวันเดือนปีเกิด เวลาตกฟาก ไม่ต้องกังวลว่าว่าจะตกราศีอะไร เพียงแต่วัดส่วนสัดของสิ่งนั้นๆ แล้วนับไปว่าตกโสกอะไร ก็ทายได้ทันที ถ้าจะเทียบหมอดูแผนโบราณกับหมอดูแผนปัจจุบัน
หมอดูแผนโบราณมีหลักเกณฑ์พิเศษให้ไว้เป็นประจำ ไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไร ส่วนการดูหมอแบบเลขหางหมา หรือแบบเลขเจ็ดตัว และโหราศาสตร์ดั้งเดิมนั้น ไม่ต้องเป็นห่วง หมอโบราณอีสานชำนาญมาก เกี่ยวกับโสกที่กำลังกล่าวถึงหมอโบราณอีสานก็ชำนาญจนได้ประพันธ์เป็นโสกไว้ดังต่อไปนี้
โสกผู้ชาย ผู้ชายที่มีอวัยวะครบทุกส่วนไม่หูหนวก ตาบอด ปากกืก เรียก ถืกโสก ถ้าพิรุธไป เช่น ตาเหลือก ตาเหลิน ตาหลิ่ว ตาโป ปากแหว่ง สบเว้อ เป็นต้น เรียก บ่ถืกโสก ถ้าไม่ถูกโสกทายตามโสกนี้ ความแม่นยำก็จะลดลงตามส่วน โสกผู้ชายมีดังนี้
![]() |
ปู่ทื้นขึ้น ย่าทื้นลง สองแขนปลงไว้ที่ต่ำ ชู้พาบสิบพาบซาวแล่นมาสู่ ตุ้มหมู่ได้พอกอง ตุ้มของได้พอล้าน มีบ้านบ่มีนา กาสับหัวกินเลือด หญ้าม้าบ่เหือดคอ ปอแดงมัดกระโด้น ปากพ้นเพื่อนทังเมือง |
ให้เอาเชือกมาวัดส่วนสูงตั้งแต่เท้าถึงหัว ใช้มือของเจ้าของกำเชือก นับแต่โสกต้นไปถึงโสกปลาย สุดแล้วตั้งต้นใหม่ ตกโสกไหนทายตามโสกนั้น ถ้าตก "ชู้พาบสิบพาบซาวแล่นมาสู่" ทายว่าเป็นคนมากชู้หลายเมีย ตก "ตุ้มหมู่ได้พอกอง" ทายว่า ปกครองคนหมู่มากได้ ตก "ตุ้มของได้พอล้าน" ทายว่า จะมั่งมีข้าวของเงินทอง ตก "มีบ้านบ่มีนา" ทายว่า มีแต่ที่อยู่อาศัยที่ทำกินไม่มี
โสกผู้หญิง ผู้หญิงที่มีอวัยวะครบทุกส่วน เรียก ถืกโสก ถ้าไม่ครบเรียก บ่ถืกโสก โสกของผู้หญิงมีดังนี้
![]() |
กระดิกกระดิ้น พอกินพออยู่ อั้นตู้ตัณหา กาเฝ้าเจ้าฮัก คอหักคอค่าย ก่ายขึ้นก่ายลง เงินเต็มถงแอ่วค้า ขี่ม้าลอบเมือง ทองเหลืองเต็มแท่น เงินบ่แก่นก้นถง ชาตาลงขี้คร้าน บ่ค้านก้นตุง |
ใช้เชือกวัดส่วนสูงเหมือนผู้ชาย แล้วกำเชือกนับโสกไปตามลำดับ สุดแล้วตั้งต้นนับใหม่ ตกโสกไหนทายตามโสกนั้น ถ้าตก "อั้นตู้ตัณหา" ทายว่าชอบกามารมณ์ ขาดผู้ชายไม่ได้หรือไม่ก็เป็นหญิงโสเภณี ตก "กาเฝ้าเจ้าฮัก" ทายว่า เจ้านายเมตตาปรานี ตก "ขี่ม้าลอบเมือง" ทายว่า เป็นนักเที่ยวนักบอกบุญ นักจัดรายการ นักทัศนาจร ตก "เงินบ่แก่นก้นถง" ทายว่า เป็นคนสุรุ่ยสุร่ายใช้จ่ายเกินตัว
โสกกะฎี เรือนเป็นที่อยู่ของพระสงฆ์ เรียก กะฎี กุฎี กุฎิ์ ก็ว่า กุฎีของพระสงฆ์มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเรือนของชาวบ้าน ถ้าทำให้ถูกโสกโบราณถือว่าดี โสกกะฎีมีดังนี้
![]() |
กลอนกะฎี บีพระแตก แขกมาโฮม โยมมาสู่ พ่อครูตาย ลูกศิษญ์หลายฮ่วมเฮ้า ลูกเต้ามิจฉาจาร กินทานมีบ่ขาด |
ให้เอาเชือกวัดความยาวของกลอนกะฎี พระเถระผู้เป็นเจ้าอาวาสใช้เท้าเหยียบกลอนกะฎี แล้วนับโสกไปตามลำดับ สุดแล้วตั้งต้นใหม่ ตกโสกไหนทายตามโสกนั้น ถ้าตก "แขกมาโฮม" ทายว่า กุฎีนั้นจะเป็นเหมือนโรงแรมมีแขกมาขอพักอาศัยไม่ขาด ตก "ลูกศิษย์หลายฮ่วมเฮ้า" ทายว่า กุฎีนั้นจะมีพระเณรมาอยู่อาศัยไม่ขาด ตก "ลูกเต้ามิจฉาจาร" ทายว่า ลูกศิษย์ที่อยู่อาศัยในกุฎีนั้นจะย่อหย่อนต่อศีลธรรม
โสกกะได บันไดเรียก กะได กะไดเป็นของสำคัญอย่างหนึ่ง คนโบราณก่อนจะนอนแต่ละคืน จะเอาดอกไม้มาบูชาแม่กะได เพราะถือว่าสถานที่อยู่อาศัยนั้นมีภุมเทวดารักษา การบูชาก็คือมาขอมอบกายถวายตัวต่อภุมเทวดาให้ท่านคุ้มครองลูกหลาน และสิ่งของภายในบ้านเรือน โสกกะได มีดังนี้
![]() |
เดือนดับตัดไม้ ขี้ไฮ้จนตาย งัวควายเต็มถุน เข้าของเต็มดูน ทรัพย์สินมูลมา |
ให้เจ้าของเรือนใช้ตีนเหยียบแม่กะไดไปโดยลำดับ ตกตรงไหนดีเอาตรงนั้น ถ้าตก "ขี้ฮ้ายจนตาย" ทายว่า เจ้าของเรือนจะประสบความทุกข์ยากตลอดจนตาย ตก "ทรัพย์สินมูลมา" ทายว่า จะมั่งมีศรีสุขตลอดไป
โสกกะทอดเล้า เรือนสำหรับใส่ข้าวเปลือก เรียก เล้า การทำเล้าเข้าเปลือกถ้าทำให้ถูกโสก โบราณถือว่าดี โสกกะทอดเล้า มีดังนี้
![]() |
สามสิบท่งนาแมน แสนปีบ่ได้เข้าเต็มเล้า เก้าปีบ่ได้เข้าเต็มเยีย กินเหมิดเสียบ่ฮอดเข้าใหม่ พี่น้องไฮ็แล่นมาหา ของเต็มพาบ่อยาก ทุกข์ยากย้านบ่มี เป็นเศรษฐีย้อนขายเข้า ตักใส่เล้าเต็มพูน |
ให้เจ้าของเล้าใช้ตีนเหยียบกะทอดเล้า ตกตรงไหนดีเอาตรงนั้น ถ้าตก "กินเหมิดเสียบ่ฮอดปีใหม่" ทายว่า จะได้ข้าวกินไม่คุ้มปี ตก "เป็นเศรษฐีย้อนขายเข้า" ทายว่า จะบริบูรณ์ด้วยเงินทองเพราะขายข้าว ตก "ตักใส่เล้าเต็มพูล" ทายว่า จะมีเข้าเต็มเล้าเต็มเยียกินบ่บกจกบ่ลง
โสกกะทอดเรือน กะทอดเรือนเป็นส่วนประกอบที่สำคัญชิ้นหนึ่งของเรือน ส่วนชิ้นอื่นของเรือนถูกโสกหมด แต่กะทอดไม่ถูกโสก ก็ถือว่ายังไม่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นกะทอดเรือนก็ต้องให้ถูกโสกด้วย โสกกะทอดเฮือน มีดังนี้
![]() |
สินนองมาคื่นเค้า สองเฒ่านั่งทรงทุกข์ ครองความสุขเท่าชั่ว ก้นถงฮั่วเป็นฮู สาวมาชูชมฮัก มักป่วยไข้เสียของ เงินทองกองเหลือที่ไว้ ขี้ไฮ้เกิดเป็นดี เป็นเศรษฐีย่อมพลอยไฮ้ นอนตื่นได้ถงคำ ตอเพียงดินป่งยอด |
ให้เจ้าของเรือนใช้ตีนเหยียบกะทอดเฮือนแล้วนับโสกไปตามลำดับ ตกตรงไหนดีเอาตรงนั้น ถ้าตก "สินนองมาคื่นเค้า" ทำนายว่า เจ้าของเรือนจะบริบูรณ์ด้วยทรัพย์ ทรัพย์สินไหลมาเทมาไม่ขาด ตก "ก้นถงฮั่วเป็นฮู" ทำนายว่า เจ้าของเรือนรายรับไม่ดี ดีแต่รายจ่าย ตก "ตอเพียงดินป่งยอด" ทายว่า เจ้าของเรือนแม้จะลำบากตรากตรำมาก่อน ก็จะมีความเจริญก้าวหน้ามั่งมีศรีสุขมีเงินทองข้าวของ
โสกกลอนเฮือน กลอนเฮือนเป็นส่วนประกอบชิ้นหนึ่งของเรือน อย่างอื่นถูกโสกหมด แต่กลอนเฮือนไม่ถูกโสกโบราณถือว่ายังไม่ดีพอ จึงจำเป็นต้องให้กลอนเรือนถูกโสกด้วย โสกกลอนเฮือน มีดังนี้
![]() |
ต่อนคำภู ภูคำหอม หอมสินไว้ ไฮ้เท่าตาย วายพลัดพี่ ได้เอื้อยอี่มาเฮือน ขันคำเลียนเลี้ยงแขก ถ้วยปากแวกตักแกงบอน นอนหงายตีนตากแดด |
ให้เจ้าของเรือนใช้ตีนเหยียบกลอนเฮือนแล้วนับโสกไปตามลำดับ ตกตรงไหนดีเอาตรงนั้น ถ้าตก "หอมสินไว้" ทำนายว่า เจ้าของเรือนจะเป็นคนประหยัดอดออม รู้จักเก็บหอมรอบริบ เงินทองข้าวของที่ได้มาไว้ ตก "ขันคำเลียนเลี้ยงแขก" ทำนายว่า เจ้าของเรือนจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง มีเครื่องกินของใช้และเครื่องประดับเช่น เพชรนิลจินดา
โสกกลอง กลองหมายเอากลองของพระสงฆ์ พระสงฆ์ใช้ตีกองเพล ตีกลองแลง ตีประชุมกิจวัดการบ้าน กลองเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ถ้าทำให้ถูกโสกจะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่วัดและบ้าน ถ้าทำไม่ถูกโสกจะอาภัพอัปโชค ทำความหายนะมาสู่วัดและบ้าน โสกกลอง มีดังนี้
![]() |
นันทะเภรี |
ให้เจ้าอาวาสใช้ตีนเหยียบตามยาวของกลอง ตกตรงไหนดีเอาตรงนั้น ถ้าตก "นันทะเภรี" ทำนายว่า ชาววัดและชาวบ้านตลอดลูกเล็กเด็กแดงจะชื่นชมยินดี ตก "ม้างสังโฆ" ทำนายว่า พระสงฆ์ในวัดจะแตกแยกกัน ไม่ยอมร่วมอุโบสถสังฆกรรม ตก "วัดพระเจ้า" ทายว่า วัดนั้นจะสงบเงียบ เหมาะแก่การที่พระสงฆ์จะนั่งเจริญธรรมกัมมฐาน
โสกของลับ ของลับหมายถึงอวัยวะเพศของผู้ชาย อวัยวะเพศของผู้ชายมีความสำคัญต่อเจ้าของเป็นอย่างมาก เหมือนอวัยวะเพศของสตรีก็มีความสำคัญต่อสตรี ผู้ชายจะเป็นคนสำมะเลเทเมา หรือเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับอวัยวะเพศ อวัยวะเพศนี้ธรรมชาติสร้างมาให้ไม่ดีเราจะแก้ไขให้ดีก็ได้ ไม่เป็นสิ่งที่เกินความสามารถของบุคคล มีอยู่อย่างหนึ่งที่คนเราทำไม่ได้ สิ่งนั้นคือความไม่อยาก คนเราถ้าลงไม่อยากดสียอย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างก็ทำไม่ได้ แต่ถ้ามีความอยากแล้ว สิ่งที่หนักก็กลายเป็นเบา สิ่งที่ยากก็กลายเป็นง่าย โสกของลับ มีดังนี้
![]() |
บักก่ำ |
ใช้มือนิ้วโป้วัดไปตามความยาว ตกตรงไหนทายตรงนั้น ถ้าตก "บักชายนอนเดียว" ทำนายว่า มักจะเป็นชายโสดไม่ชอบแต่งงาน เพราะถือว่าเป็นความยุ่งยากลำบาก ถ้าเกิดความต้องการเมื่อไรก็ไปจัดการตามเรื่องของมัน
โสกครก ครกมี ๒ ชนิด คือครกใช้ในครัวเรือนสำหรับตำป่นตำแจ่ว อีกอย่างหนึ่งคือครกตำข้าวเปลือก ที่เราเรียกว่า ครกมอง ครกมองนี้คนโบราณใช้มาเป็นเวลานาน แต่ต้องเลิกไปเพราะโรงสีข้าวมาแทนที่ การที่โรงสีข้าวมาแทนที่ครกมองก็สะดวกไปอย่าง แต่ก็เสียไปอย่าง ครกมองได้ทั้งข้าวสาร แกลบและรำ แกลบเอาไปทำปุ๋ยหมัก รำเอาไปเลี้ยงหมู ถ้าไปจ้างโรงสีข้าวเราได้แต่ข้าวสาร แกลบแลพรำโรงสีเอาไป จะอย่างไรก็ตามครกก็ยังมีความจำเป็นอยู่บ้าง โสกครก มีดังนี้
![]() |
ครกตำอยู่ |
ครกมือใช้เชือกวัดความยาว แล้วใช้มือจับนับไปตามลำดับ ตกตรงไหนดีเอาตรงนั้น ถ้าตก "มีสินย่อมเข้า" ทำนายว่า เจ้าของจะมีทรัพย์สินพอกินพอใช้ ตก "เป็นเจ้าเพิ่นลือซา" ทำนายว่า จะเป็นเจ้าบ้านสะพานเมืองมีคนเคารพนับถือ
โสกฆ้อง ฆ้องเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความชื่นบานของหัวใจ บอกถึงงานที่เป็นบุญกุศล ใช้ตีกับกลองเวลาตีกลองแลง ตีกลองเดิ็ก ตีกลองประชุม ถ้าตีเฉพาะฆ้องอย่างเดียว ใช้ตีในเวลาฟังเทศน์มหาชาติ ตีงันกลองบวช ตีงันกองหด ตีสมโภชพระ แต่ไม่ใช้ตีในงานศพเพราะงานศพนั้นเป็นงานที่เจ้าภาพต้องทุกข์ เพราะความพลัดพรากจากปิยชน การหล่อฆ้องหรือซื้อฆ้อง ต้องเลือกให้ถูกโสก ถ้าถูกโสกโบราณถือว่าเป็นศิริมงคล โสกฆ้อง มีดังนี้
![]() |
สิทธิมังคละโชค |
จะซื้อฆ้องถวายวัด ผู้ซื้อฆ้องต้องใช้เชือกวัดผ่าศูนย์กลางฆ้อง แล้วใช้มือกำเชือก นับโสกไปตามลำดับ ใบไหนตกโสกดีซื้อใบนั้น ถ้าตก "สิทธิมังคละโชค" ทำนายว่า จะมีความสำเร็จมีศิริมงคลและมีโชคลาภ ตก "เสียงดังกลั้วเท่าแผ่นธรณี" ทำนายว่า เสียงฆ้องจะดังไปทั่วดินแดนที่เสียงฆ้องดังไปถึง ตก "ตีออกบ้านผาบเอาชัย" ทายว่า เมื่อใช้ตีในเวลาออกรบทัพจับศึกจะได้ชัยชนะมาสู่บ้านสู่เมือง
โสกดาบ ดาบคือมีดยาว มีด้ามสั้นฝักยาว มีคมข้างเดียว คนโบราณมักใช้ดาบในการรบทัพจับศึก คนโบราณอีสานมักไปค้าขายต่างถิ่น เช่น ไปขายงัว ขายควาย ขายน้ำย้อม เวลาไปค้าขายจะมีหัวหน้าคนหนึ่ง หัวหน้านี้เรียก นายฮ้อย นายฮ้อยจะพายดาบออกเดินไปก่อน ใครเห็นก็เกรงกลัวไม่กล้าทำอันตรายได้ การซื้อดาบต้องให้ถูกโสก ถ้าไม่ถูกโสกจะเป็นอันตรายแก่เจ้าของ โสกดาบ มีดังนี้
![]() |
ฮ่มโพธิ์ ฮ่มไฮ ไกวแขนไปก่อนเท้า น้าวชู้เพิ่นมาชม ชมให้ชมทังเครื่อง เดื่องเดื่องดาบฟันผี ดาบบ่ดีฟันเจ้า ดาบบ่เข้าฟันเมีย ฟันเมียเสียพี่น้อง |
ใช้มือกำดาบตั้งแต่ด้ามดาบไปจนถึงปลายดาบ เล่มไหนตกดีเลือกเอาเล่มนั้น ถ้าตก "ดาบบ่ดีฟันเจ้า" ทำนายว่า จะแพ้เจ้าของ ถ้าตก "ดาบบ่เข้าฟันเมีย" ทำนายว่า จะแพ้ลูกแพ้เมีย ตก "ฮ่มโพธิ์ ฮ่มไทร" ทายว่า ดี เป็นศิริมงคลดี
โสกตาชั่ง ตราชั่งของคนโบราณนั้นได้แก่ ชิง ชิงสำหรับชั่งสิ่งของ มีข้าวปลา อาหาร เป็นต้น การใช้ชิงชั่งเป็นความยุติธรรมแก่ผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ก็มีคนโกงตาชั่งอยู่ คนที่โกงตาชั่งโบราณว่า ลูกโต้นชิงจะไปอัดตาทำให้มันตาบอด ถ้าตามันไม่บอดก็เป็นบาปกรรม เพราะมันโกง ถ้าจะซื้อชิงให้ซื้อชิงที่ถูกโสก โสกของชิง มีดังนี้
![]() |
ชั่งแม่ญิง |
ให้ใช้มือกำหางชิงไปถึงหัวชิง แล้วนับโสกไปตามลำดับ ชิงอันใดตกโสกดีให้เอาอันนั้น ถ้าตก "ปองเอาหนี้ และสี้ก้นความ่" อย่าเอา เพราะเป็นชิงที่ไม่เที่ยงตรง ทำให้ขาดทุนและวิวาททุ่มเถียงกัน
โสกถง ย่าม คือ ถง ถงมีประโยชน์สำหรับใส่สิ่งของ มีเสื้อผ้า เป็นต้น และใส่หมากพลู บุหรี่ เวลาไปค้าขายหรือไปธุระต่างถิ่น คนโบราณจะต้องมีถงพายไปด้วย ถงที่ดีต้องเป็นถงที่ถูกโสก โสกถง มีดังนี้
![]() |
ผ้าหยิบถง |
ใช้มือกำตั้งแต่ก้นถงไปปลายถง ตกตรงไหนดีเอาตรงนั้น ถ้าตก "ผ้าทรงขึ้นบ่า" และ "ห้อยบ่าแล้วแซงแซะไปมา" ทายว่า ไม่ดี เมื่อพายถงแล้วจะหาทางไปให้ได้
โสกปืน ปืนเป็นอาวุธที่สำคัญใช้ป้องกันตัว ป้องกันครอบครัวและใช้รบทัพจับศึก มีไว้ในบ้านก็ป้องกันโจรผู้ร้าย เวลาไปค้าขายสะพายติดตัวไปป้องกันโจรผู้ร้าย เวลาเข้าป่าใช้ยิงนกยิงเนื้อ ถ้ามีปืนถูกโสกถือไปค้าขายก็ปลอดภัย ยิงนกยิงเนื้อก็ได้นกได้เนื้อมากิน แต่ต้องเลือกซื้อปืนที่ถูกโสก โสกของปืน มีดังนี้
ปุ๊ดตำง่อน ง่าไม้หย่อนปืนพลัด ฝูงสัตว์กายบ่มั้ว งั้วเงี้ยแบกมาดาย |
อีกตำราหนึ่งว่า... เหล็กหยัง เหล็กบ่อง ย่องแย่งใส่ซำคอ สองมือยอใส่กระโพก เหล็กอันนี้ถืกโสกอีหลี เหล้กยาวฮียิงสัตว์ตายพอฮ้อย |
![]() |
อีกตำราหนึ่งว่า... |
ใช้โป้มือวัดแต่ด้ามปืนไปถึงปลายปืน ตกตรงไหนดีเอาตรงนั้น โสกปืนมีหลายอย่างชอบแบบไหนก็เลือกเอาแบบนั้น ถ้าตก "งั้วเงี้ยแบกมาดาย" ทายว่า ได้สะดวกสบายไม่ลำบากกรากตรำ ตก "หน้าเขียงก้อม" ทายว่า เป็นปืนที่มีโชคลาภ วันไหนแบกไปไม่มาเปล่า ได้เนื้อได้นกมาเต็มกำลัง ตก "เหล็กยาวฮียิงสัตว์ตายพอฮ้อย" ทายว่า เป็นปืนที่มีโชคลาภมาก ได้เนื้อนกมาแต่ละวันไม่ต่ำกว่าสิบกว่าร้อย
โสกแป้น กระดานปูเฮือนเรียก แป้น แป้นปูเรือนโบราณถือเป็นสำคัญนัก การปูเรือนให้นับเอาแป้นเป็นแผ่นๆ ถ้าไปตกแผ่นไม่ดี เจ้าของเรือนก็ไม่ดีไปด้วย เจ้าของตำราเล่าให้ฟังว่า หลานสาวของเขาปลูกเรือนใหม่ หลานคนนี้เป็นคนดี ไม่เคยไปเล่นที่ไหน เมื่อปลูกเรือนแล้วอยู่กับเรือนไม่ได้ ต้องไปเล่นที่อื่นๆ ค่ำๆ จึงกลับมาเรือน เมื่อเจ้าของตำราไปตรวจดูเรือนนับแป้นปูแผ่นสุดท้าย ตกหนอนเจาะก้น จึงจัดการแก้ไขใหม่ นับแต่แก้ไขแล้วไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นแก่หลานสาวเขาอีก โสกแป้น มีดังนี้
![]() |
ปู่หอม |
ให้นับแผ่นแป้นเรือนพร้อมทั้งว่าโสกไปตามลำดับ ตกโสกไหนดี เอาโสกนั้น คือให้นับกระดานเป็นแผ่นๆ ไป ถ้าตก "ปู่หอม ย่าหอม" ทายว่า ปู่กับย่าจะรักจะสงสาร มีอะไรก็อยากให้อยู่ให้กิน ตก "หอมสินไว้" ทายว่า ข้าวของเงินทองที่ตกมาถึงเรือนนั้นจะไม่เสียหายเพราะโจรรัก เพราะไฟไหม้ หรือเพราะอันตรายใดๆ ถ้าตก "ปากอมบอน" ทายว่า เจ้าของเรือนชอบนินทาว่าร้ายเพื่อนบ้าน
โสกผ้านุ่ง ผ้านุ่งหมายถึงทั้งเสื้อและผ้า เสื้อผ้าเป็นของจำเป็นไม่เฉพาะพระภิกษุ แม้คฤหัสถ์ก็มีความจำเป็นเช่นกัน เพราะเครื่องนุ่งห่มนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น กันหนาว กันร้อน กันเหลือบยุง และสัตว์กัดทุกชนิด และกันความละอาย นอกจากนั้นก็เป็นเครื่องประดับตกแต่งให้สวยงามด้วยเสื้อผ้า นอกจากสวยงามแล้วโบราณยังสอนให้ทำให้ถูกโสกด้วย โสกผ้านุ่ง มีดังนี้
![]() |
ผ้าห่อแฮ่ |
ให้ใช้มือกำแต่กกไปถึงปลาย ดีตรงไหนเอาตรงนั้น ถ้าตก "ผ้าไปค้าเสียห้าพันคำ" ทายว่า ไม่ดีไม่เป็นศิริมงคล ตก "ผ้าก้องแขนคำเก้ากิ่ง" ทายว่า เป็นผ้าดีมีศิริมงคล นุ่งแล้วนำลาภผลเงินทองข้าวของมาให้ ตก "ผ้าแต่มิ่งมารดา ผ้าปิตาปันให้" ทายว่า เป็นผ้าที่ดีควรจะเก็บรักษาไว้ เพื่อให้เป็นมรดกตกทอดลูกหลานต่อไป ตก "ผ้าได้แล้วห่มผีนอน" ทายว่า ไม่ดีจะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือทุกข์ร้อนลำบากใจ
โสกไม้คาน ไม้คานมี ๒ ชนิด ชนิดที่ทำด้วยไม้ไผ่ใช้หาบน้ำและหาบสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ อีกอย่างหนึ่งไม้คานที่ทำด้วยไม้แก่น ไม้คานที่ทำด้วยไม้แก่นโบราณเรียก ไม้คานสะบู ใช้สำหรับหาบของหนักๆ เช่น หาบกระสอบข้าว หาบมะพริกเป็นกระสอบ โสกไม้คาน มีดังนี้
![]() |
ไม้คาน |
ใช้มือคืบไปตามลำดับ ตกดีตรงไหน เอาตรงนั้น ถ้าตก "ไม้แคลน ยากแค้น" ทำนายว่า ไม่ดี จะลำบากตรากตรำ ตก "มั่งมี" ทำนายว่า ดี จะประสบโชคลาภสวัสดีมีชัยตลอดไป หาบของไปค้าขายก็จะได้กำไรดี
โสกเฮือ เรือเป็นพาหนะที่จำเป็นชนิดหนึ่ง ทางเดินของคนเรามี ๓ ทาง ทางน้ำต้องใช้เรือ ทางบกใช้เดินหรือขี่เกวียน ขี่รถ ทางอากาศต้องใช้เครื่องบิน คนเราเกี่ยวข้องอยู่กับน้ำมาตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าจะทำเรือหรือซื้อเรือมาใช้ โบราณสอนให้เลือกเรือที่เป็นศิริมงคล เรือที่เป็นศิริมงคลคือเรือที่ถูกโสก โสกเฮือ มีดังนี้
![]() |
ซื้อถืกขายแพง กินแหนงเพราะความค้า ขี้ข้าเกิดเป็นไท หีนผาไหลแล่นต้อน ก้อนคำแน่นใส่ถง ข้าวถงลงทักทั่น หมั่นค้าได้มาแถม เฮือแซมล่มเมื่อจอด ไปฮอดแล้วย่อมมาดี เป็นเศรษฐีย่อมพลอยไฮ้ นอนตื่นได้ถงความ |
ใช้เท้าของตนเหยียบจากหัวเรือไปท้ายเรือ ตกลำไหนดีเอาลำนั้น ถ้าตก "วื้อถืกขายแพง" ทำนายว่า ดี ถ้าบรรทุกของไปค้าขายจะร่ำรวย ตก "ขี้ข้าเกิดเป็นไท" ทำนายว่า ดี ถึงจะทุกข์ยากปากแห้งมาก่อนก็จะเป็นคนมั่งมีในภายหลัง ตก "ก้อนคำแน่นใส่ถง" ทายว่า ดีมาก ซื้อง่ายขายคล่องได้กำไรดี ตก "เป็นเศรษฐีย่อมพลอยไฮ้" ทายว่า ถึงจะเป็นเศรษฐีมั่งมีมาก็จะประสบความจิบหายใหญ่หลวง เช่น เรือล่มข้าวของและคนในเรือจมน้ำตาย
โสกเสาเฮือน เสาเฮือนมีความสำคัญยิ่งยวดกว่าเครื่องเรือนทุกชิ้นส่วน เพราะเสาอุ้มเครื่องเรือนทุกส่วนไว้ ถ้าไม่มีเสาอย่างเดียวก็ทำเรือนไม่ได้ เสาที่ถือว่าสำคัญที่สุด คือเสาแฮก รองลงมาก็เสาขวัญ ในการจะหาไม้มาทำเรือน โบราณให้เลือกไม้เสาเป็นพิเศษกว่าอย่างอื่น ถ้าเลือกได้ดีก็จะประสบความสุขสวัสดี คือ เลือกเอาเสาที่ถูกโสก โสกเสา มีดังนี้
![]() |
สุโข |
ให้เจ้าของใช้ตีนเหยียบต้นเสาไปปลายเสา ตรงไหนเป็นศิริมงคลเอาตรงนั้น ถ้าตก "สุโข" และ "สิทธิลาโภ" ทำนายว่า เจ้าของเรือนและคนในเรือนจะอยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน จะทำมาค้าขายร่ำรวย ตก "โจโร" และ "มัจจุ" ทายว่า ไม่ดี จะถูกผู้ร้ายอ้ายขโมยมาลักเอาสิ่งของเงินทอง และวัวควาย คนในเรือนมักเจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษาพยาบาลกันอยู่ตลอด
โสกสร้างวัด วัดเป็นสถานที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์ และเป็นสถานที่พุทธศาสนิกชนมารวมกันทำกิจพุทธศาสนา เช่น ทำบุญให้ทาน รักษาศีลและเจริญภาวนา ถ้าเลือกเอาสถานที่เป็นชัยภูมิคือ เหมาะสม ไม่แคบและไม่กว้างเกินไป มีอากาศถ่ายเทได้ดี
สำหรับสถานที่ที่จะสร้างวัดนี้ ถ้าเลือกเอาทางเหนือบ้านดี เพราะพระสงฆ์จะมีอำนาจเหนือกว่าชาวบ้าน ถ้าตั้งอยู่ทิศใต้บ้าน พระสงฆ์ในวัดจะอยู่ภายใต้อำนาจของชาวบ้าน ถูกชาวบ้านจูง ถ้าตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างบ้าน พระสงฆ์จะไม่มีอำนาจเลย แล้วแต่ชาวบ้านจะจูงไป จึงควรเอาใจใส่เป็นพิเศษ อย่าเห็นแก่ความมักง่าย ถ้าสร้างลงไปแล้วจะโยกย้ายทีหลังเป็นการลำบาก เพราะวัดเป็นของส่วนกลาง ระหว่างบ้านกับวัด โสกสร้างวัด มีดังนี้
![]() |
วัดวา |
ให้เอาเชือกวัดความยาวของสถานที่ที่จะสร้างวัดมาทั้งสี่ด้าน แล้วผู้เป็นหัวหน้าใช้วาของตนวัดกับเชือก ตกตรงไหนดีเอาตรงนั้น ถ้าตก "วัดวา" และ "อาราม" ทำนายว่า ดี จะเจริญรุ่งเรืองดี ตก "แก้วดวงดี" และ "สีบ่เศร้า" ทายว่า จะเป็นที่เชิดหน้าชูตาของบ้านเมือง พระสงฆ์ที่มาอยู่อาศัยจะเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต มีศีลธรรมที่ดี ตก "เหง้าเสมร" ทายว่า จะมีเจ้าอาวาสที่ครองวัดมีอายุยืน และมีศีลธรรมเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้าน ตก "เถรบ่อยู่" ทายว่า ไม่ดี เจ้าอาวาสมักถูกชาวบ้านเบียดเบียน
โสกเสื่อสาดอาสนา ฟูกคือผ้าที่ยัดด้วยนุ่นเรียก เสื่อ เสื่อที่ทอด้วยต้นผือ ต้นกก ปอกล้วย เรียก สาด ผ้าปูนั่งที่ยัดด้วยนุ่นกว้างยาวศอกคืบ เรียก อาสนา อาสนะ ก็ว่า เสื่อสาดอาสนาทั้งสามอย่างมีความจำเป็นแก่คนเรา การทำก็ต้องทำให้ถูกโสก โสกเสื่อสาดอาสนา มีดังนี้
![]() |
ศรีมูลมานั่งเฮ้า |
ถ้าเป็นเสื่อหรืออาสนะที่ลายเป็นตาๆ ให้นับตาของเสื่อหรืออาสนะนั้น ตกตรงไหนดีเอาต้นนั้น ถ้าเป็นสาดให้ใช้คืบวัด ถ้าตก "ศรีมูลมานั่งเฮ้า" ทำนายว่า ดี จะได้รับมรดกจากพ่อแม่ ตก "นอนสุขกินเทาชั่ว" ทำนายว่า ดี จะอุดมสมบูรณ์ตลอดอายุ ตก "ถงเป้งฮั่วเป็นฮู" ทายว่า ไม่ดี จะเสียมากกว่าได้ ตก "ขี้ไฮ้เกิดเป็นดี" ทายว่า ดี ถึงตกทุกข์ได้ยากมาก่อนก็จะประสบความสุขกายสบายใจตลอดอายุขัย
โสกหน้าผาก หน้าผากเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอวัยวะส่วนอื่น บางคนหน้าผากแคบ บางคนหน้าผากกว้าง บางคนสั้น บางคนยาว เพราะความไม่เท่ากันไม่เหมือนกันนี้ คนเราจึงดีไม่ดีต่างกัน หน้าผากมีโสก มีดังนี้
![]() |
เงินหมื่น |
ให้ใช้นิ้วโป้ของตัวเองวัดจากคางไปถึงตีนผม ตกโสกไหน ทายตามโสกนั้น ถ้าตก "เงินหมื่น" และ "เงินแสน" ทำนายว่า ดี คนนั้นจะมั่งมีด้วยข้าวของเงินทอง และยศฐาน์บรรดาศักดิ์ ตก "แบนที่ลี้" และ "เป็นหนี้เท่าตาย" ทายว่า ไม่ดี หากินไม่พอปากพอท้อง ต้องกู้หนี้ยืมสินคนอื่น จะประสบแต่ความทุกข์ยากอัตคัดขาดแคลน ตั้งแต่เกิดจนตาย อวัยวะนอกจากหน้าผากนี้ก็มีความสำคัญเหมือนกัน แต่ไม่นำมาเล่าไว้ในที่นี้ เพราะในที่นี้ต้องการจะพูดถึงเฉพาะโสกเท่านั้น
โสกแห แหเป็นเครื่องมือจับปลาชนิดหนึ่ง โบราณสานด้วยป่าน ปอ เทือง การสานจะสานให้ตาห่างหรือถี่แล้วแต่ต้องการ มีข้อที่น่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง บ้านใดที่ใช้แหถี่ บ้านนั้นไม่มีปลาตัวโต และเป็นบ้านที่อัตคัดขัดสนน้ำ ถึงจะมีบวกหนองบ้างก็มีน้ำน้อย มีน้ำห้งพอเอาะเจ๊าะแอะแจ๊ะ มีเขียดหมากแอ่งกับเขียดจ่านาเฝ้าอยู่ การสานแหต้องการให้กว้างจึงต้องสานแขด้วย แหถ้าทำให้ถูกโสกก็ดี ถ้าทำไม่ถูกโสกก็ไม่ดี โสกของแห มีดังนี้
![]() |
แขแห แขปลา มาเปล่า เน่าชาน คานหัก ยักเหมือด เลือดติด จิดปิดจี่ปี่ บี่หัว แม่ครัวนั่งตากแดด |
ให้นับแขแหจากปากแหไปถึงจอมแห ถ้าตกตรงไหนดีเอาตรงนั้น ถ้าตก "มาเปล่า ผักเหมือด" และ "บี่หัว" ทำนายว่า ไม่ดี ตกแหตลอดวันไม่ได้ปลา ถึงได้ก็ได้น้อยไม่พอกิน ต้องอาศัยผักเป็นที่พึ่ง ถ้าตก "เน่าชาน คานหัก" และ "แม่ครัวนั่งตากแดด" ทายว่า ดี มีโชคลาภมากเหลือเกิน เหลืออยากแจกญาติพี่น้องและขายไปเท่าไหร่ก็ไม่หมด
โสกอู่ อู่คือเปล อู่เป็นที่นอนของเด็กเล็ก การทำอู่โบราณต้องให้ถูกโสก โสกอู่ มีดังนี้
![]() |
ตาอู่ |
การสานอู่ของคนโบราณใช้สานด้วยไม้ไผ้ สานเป็นตาหมากกอก อากาศเข้าได้โดยรอบด้าน ถ้าสานทึบจะทำให้เด็กไม่ชอบ ให้นับตาอู่เป็นเกณฑ์ นับจากหัวลงไปตีน ตกตรงไหนดีเอาตรงนั้น ถ้าตก "ตาอู่ ตาแอง" และ "ตาแสนส่ำนอนสำบาย" ทำนายว่า ดี กล่อมไกวชั่วครู่เด็กก็นอนหลับ และหลับสบาย ไม่มีหลับๆ ตื่นๆ ถ้าตก "ตาแมงแคงไห้ฮ่ำ" ทายว่า ไม่ดี พอยกเด็กลงอู่เด็กจะร้องไห้เหมือนมีอะไรมากัดกิน หรือไม่ก็ไม่หลับไม่นอนเลยมีแต่ร้องไห้
- Details
- Written by: ครูมนตรี
- Category: Tradition
- Hits: 22033
เคราะห์ ความหมายคือ สิ่งที่เรายึดติดในจิตโดยการเชื่อมาตามประเพณี เคราะห์ เป็นคำกลาง ส่วนที่ดีเรียก ศุภเคราะห์ หรื สมเคราะห์ ส่วนไม่ดีเรียกว่า บาปเคราะห์
เข็ญ คือความทุกข์ยาก ความลำบาก ความไม่สบายกาย สบายใจ แต่ไม่ถึงกับเสียชีวิต แต่มันเป็นความทุกข์ทรมานจากการไม่สมหวัง ปราชญ์โบราณบอกว่า "เคราะห์เมื่อเว็น เข็ญเมื่อค่ำ"
เคราะห์กับเข็ญ ความแตกต่างระหว่างเคราะห์กับเข็ญ ก็คือ เคราะห์มีทั้งหนักและเบา หนักอาจถึงตาย แต่เข็ญนั้นมัลักษณะน่ารำคาญ เหมือนเศษอาหารติดฟัน หรือก้างตำคอ เอาออกไม่ได้ก็พะวงอยู่อย่างนั้น
ลาง คือสิ่งบอกเหตุที่จะให้เจ้าตัวรู้ว่า เคราะห์หรือเข็ญจะเกิดแก่ตน ลางอาจจะบอกให้เห็นทั้งในเวลาตื่นหรือเวลาหลับ ตื่นคือการมองเห็นด้วยตา หลับคือการนอนฝัน ลางมีทั้งดีหรือไม่ดี เมื่อพบเห็นลางจะต้องมีสติไม่ประมาท ลางนี้ภาษาพระท่านเรียกว่า "นิมิตร"
- ลางเกิดภายในตัว เช่น เงาหัวไม่มี ตาเขม่น เนื้อตัวเขม่น ฝันเห็นเครื่องบินลงบ้าน เป็นต้น
- ลางเกิดจากสิ่งนอกกาย เช่น สุนัขจิ้งจอกเห่า อีเก้ง (ฟาน) เห่า งูเข้าบ้าน รุ้งลงกินน้ำในโอ่ง ข้าวที่หุงหรือนึ่งกลายเป็นสีแดง สุนัขคนอื่นมาขี้บนบ้าน นกเค้าบินเข้าบ้าน ไก่ป่าเข้าหมู่บ้าน อีกาโฉบหัว หรือการผิดสังเกตอื่นๆ เป็นต้น
ลางนี้ถ้าเห็นให้รีบแก้อย่าให้ข้ามคืน จะไม่มีอะไรแต่ถ้าปล่อยให้ข้ามคืนจะเป็นเคราะห์เป็นเข็ญ และจะต้องแก้ด้วยการเสียเคราะห์ เสียเข็ญ จึงจะพ้นเคราะห์นั้น
![]() |
![]() |
การทำพิธีบายศรีสู่ขวัญเพื่อสร้างกำลังใจ ให้พ้นเคราะห์โศก มีโชคชัย
ยาม หรือ เวลา ที่ปราชญ์โบราณท่านกล่าวไว้ ว่าจะเป็นลางร้าย หรือลางดี มีดังนี้
เห็นยามเช้าโชคเจ้าเหลือหลาย | เห็นยามงายเคราะห์หลายเหลือล้น |
เห็นยามแถตึกแหดูม่วน | โชคก็ด่วนมาฮอดมาเถิง |
เห็นยามเที่ยงใจเบี่ยงพาลา | มันจักเป็นโรคามรณาอันฮ้าย |
เห็นยามตุดซ้ายความฮ้ายบ่มี | |
เห็นยามแลงใจแข็งท่อฟ้า | ได้แก่ลุงและป้าอาวอาเฮาแน่ |
เห็นยามแถใกล้ค่ำโชคพ่ำพอใจ | |
เห็นยามค่ำกรรมใส่คนเห็น | เป็นกรรมเวรเก่าหลังมาฮอด |
คำอธิบายยาม ตามที่กล่าวถึงข้างบนนี้ หมายถึงเวลาดังต่อไปนี้
ยามตุดตั้ง หรือเวลาเช้า |
06.00 - 07.30 น.
|
ยามกองงาย หรือยามงาย |
07.30 - 09.00 น.
|
ยามแถใกล้เที่ยง |
09.00 - 10.30 น.
|
ยามเที่ยง |
10.30 - 12.00 น.
|
ยามตุดซ้าย หรือเวลาบ่าย |
12.00 - 13.30 น.
|
ยามกองแลง |
13.30 - 15.00 น.
|
ยามแถใกล้ค่ำ |
15.00 - 16.30 น.
|
ยามค่ำ |
16.30 - 18.00 น.
|
ลางที่เกิด หรือ สังเกตเห็น จะได้แก่ใคร หรือเกิดขึ้นกับใคร เกิดแก่ตนเอง หรือญาติคนอื่นๆ ให้ดูตามวัน ดังนี้
ถ้าเห็นวันอาทิตย์ จะเกิดแก่เพื่อนบ้านหรือคนอื่น | ถ้าเห็นวันจันทร์ จะเกิดแก่มิตรสหาย |
ถ้าเห็นวันอังคาร จะเกิดแก่พ่อแม่และตายาย | ถ้าเห็นวันพุธ จะเกิดแก่ลูกเมียในครอบครัว |
ถ้าเห็นวันพฤหัสบดี จะเกิดแก่ญาติพี่น้อง | ถ้าเห็นวันศุกร์ จะเกิดแก่วัวควายและสัตว์เลี้ยง |
ถ้าเห็นวันเสาร์ จะเกิดแก่ตัวผู้เห็นเอง |
พิธีเสียเคราะห์เสียลาง
การเสียเคราะห์นั้น ท่านให้จัดเครื่องสักการะเพื่อบูชาพระเคราะห์ให้หายเคราะห์ ดังนี้
- เทียนฮอบหัว (เทียนวัดรอบศรีษะ) 1 เล่ม
- เทียนยาว 1 ศอก 1 เล่ม
- เทียนค่าคีง (เทียนความยาวเท่ากับจากเอวถึงคอ) 1 เล่ม
- เทียนยาว 1 คืบ 5 คู่
- เทียนยาวค่าใจมือ (ยาวเท่ากับจากปลายนิ้วกลางถึงกลางฝ่ามือ) 1 เล่ม
- จีบหมาก (เมี่ยง) เท่าอายุ
- ข้าวดำ ข้าวแดง ข้าวเหลือง ข้าวตอกแตก ดอกไม้ น้ำส้มป่อย เศวตฉัตร ทุ่งช่อ ทุ่งชัย โทง 4 แจ 9 ห้อง ยาวแจละ 1 ศอก 1 โทง ฮูปแฮ้ง 1 ฮูป ฮูปคน 1 ฮูป หลักในโทงยาว 1 ศอก 9 หลัก ปัก 9 บัก ห้อยฝ้ายแดง 2 หลัก ฝ้ายดำ 2 หลัก ฝ้ายขาว 2 หลัก ฝ้ายเหลือง 2 หลัก ดอกฝ้าย 1 หลัก ด้ายสายสิญจน์อ้อมโทงยาว 1 วา 1 เส้น เอาผม 1 เส้น ตัดเล็บตีน เล็บมือใส่ด้วยนิ้วละ 1 ชิ้น เสื้อผ้าคนป่วยที่เคยใช้ (เอาขนผ้าหรือเส้นด้ายบางเส้นก็ได้) ใสในโทง
พิธีกรรมนี้จะทำกันที่บ้านคนป่วย (ผู้ที่มีเคราะห์) ทำให้ได้ครั้งละหลายคน แต่ต้องเอาเครื่องบูชาดังกล่าวจากทุกคน เวลาทำควรทำในเวลาเช้าอย่าให้เลยเที่ยงวัน ทำได้ทุกวัน เว้นวันจม วันเดือนดับและวันเก้ากอง แต่ที่นิยมคือ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ และวันเสาร์
ความเสียเคราะห์ จะเป็นการกล่าวบูชาเทวดา ภูติผีเจ้าชาตา ให้ลงมาเอาเครื่องบูชาที่ได้เตรียมไว้นี้ ให้เคราะห์หายไปจากผู้ป่วยไข้โดยไว มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงตลอดไป
การเสียเข็ญ
การเสียเข็ญให้เตรียมสิ่งของ เพื่อการปัดเป่า ดังนี้
- เทียนเวียนฮอบหัว 1 เล่ม
- เทียนขัน 5 ยาวจากกลางฝ่ามือถึงปลายนิ้วกลาง 5 คู่
- โทงหน้างัว (สามเหลี่ยม) ยาวด้านละเท่าคืบคนเป็นเข็ญ 4 โทง
- จอกใบขนุนหรือใบฝรั่ง 8 อัน จีบหมากพลูพัน (เมี่ยงหมาก) เท่าอายุ ข้าวแดง ข้าวดำ ข้าวเหล์อง แกงส้ม แกงหวานใส่ในโทง
- หลักยาว 1 ศอก 8 หลัก ปักไว้โทงละ 2 หลัก ทุงติดหลักละ 1 ทุง (ธง) ด้ายสายสินจน์อ้อม
แล้วว่า คำเสียเข็ญ ดังนี้
สรรพเข็ญ สรรพเคราะห์ แล่นมาพานปู่แก้ ปู่ปัด สรรพลางแล่นมาข้อง ปู่แก้ปู่ปัด เข็ญแล่นต้องเถิงตนเข็ญคนต้องเถิงเนื้อ ปู่แก้ปู่ปัด ปัดอันฮ้ายให้หนี ปัดอันดีให้อยู่ โอมจินจักมึงมาฮ้องให้เป็นภัย หมาจังไฮมึงมาหอนให้เป็นโทษ มึงมาฮ้องประโยชน์สิ่งอันใด โอมสวหายะ ตั้งแต่นี้เมือหน้าอย่าได้มีศัตรูมาตัด เทวทัตอย่าได้มาพาน ฝูงมารอย่าได้มาใกล้ สรรพเข็ญฮ้ายขอให้พ่ายหนี สัพพะสิทธิ ภะวันตุ เต ฯ
เรื่องของตัวอุบาทว์ เวรกรรม และราหู
ตัวอุบาทว์ นั้นจะหมายถึงสิ่งที่แสดงออกเป็นลาง เช่น ฮุ้งลงกินน้ำในโอ่งภายในบ้าน ไก่ป่าบินเข้าบ้าน งูเลื้อยเข้าบ้าน นกตกลงมาตายต่อหน้า งูตกลงมาห้อยบ่า หมาจิ้งจอกเห่า นึ่งข้าวขาวกลายเป็นสีแดง หม้อนึ่งร้อง ควายนอนขี้สีก (ปลัก) ใต้ถุนบ้าน หมูจะขึ้นบ้าน กาโฉบหัว ฯลฯ เหล่านี้ก็คืออุบาทว์ คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลางไม่ดี โบราณมักจะพูดกับบุคคลที่พบกับสิ่งเหล่านี้ว่านั้นแหละอุบาทว์กินหัวมัน ดังนั้น คำว่า "อุบาทว์" ก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลางไม่ดีนั่นเอง
การสวดอุบาทว์ นั้นนิยมกันตามพิธีพุทธ คือนิมนต์พระมาสวดปริตรมงคลธรรมดา แต่เมื่อจบแล้วให้พระท่านอ่านหนงสืออุบาทว์ ถ้าไม่มีให้สวดไชยน้อย ไชยใหญ่ หรือสวดยันทุนนิมิตัง ฯลฯ 3 รอบ หรือ 7 รอบ แล้วแต่อุบาทว์นั้นน้อยใหญ่ขนาดไหน ให้ทำน้ำมนต์ และประพรมน้ำมนต์ด้วยชยันโต ฯลฯ เพื่อเป็นสิริมงคลซ้ำอีกดีนัก เวลาทำให้แต่งคายด้วยขัน 5 ขัน 8 (ดอกไม้ขาว 5 คู่ เทียน 5 เล่ม ดอกไม้ขาว 8 คู่ เทียน 8 คู่) ใส่ภาชนะ ไม่ให้ใช้โต๊ะหมู่อย่างที่ทำกันในสมัยปัจจุบัน
การคัดเวรตัดกรรม กรรมเป็นสิ่งที่ติดตัวคนมาจากอดีตชาติ มาชาตินี้ลุ่มๆ ดอนๆ หรือเจ็บไข้ได้ป่วยเรื้อรังทั้งๆ ที่ก็รักษาสุขภาพอนามัยดีแล้ว โบราณท่านว่า ความทุกข์ประเภทนี้เกิดเพราะกรรมเวรตัดได้ยาก แม้กระนั้นโบราณท่านก็ว่าตัดได้ โดยแนะนำพิธีตัดกรรมตัดเวรให้ปฏิบัติดังนี้
จัดเครื่องขัน 5 โทงหน้างัว (สามเหลี่ยม) 4 โทง ข้าวดำ ข้าวแดง 4 ก้อน อย่างละ 2 ก้อน ใส่ในโทง (โทงเล็กๆ กะใส่ลงในหม้อได้) หม้อดินใหม่ๆ 1 ใบ มีด 4 เล่ม ด้ายสายสิญจน์ 4 เส้น นิมนต์พระมา 4 รูป ให้เขียนในกระดาษว่า
เจ้ากรรมนายเวรของนายหรือนาง ........................ (ผู้ที่จะตัดกรรมตัดเวรนั้น) ใส่ลงในหม้อแล้วเอาสายสิญจน์ผูกที่หม้อ แล้วโยงด้ายทั้ง 4 เส้นมาไว้ตรงหน้าพระทั้ง 4 รูป อาราธนาพระสงฆ์สวดมนต์ประกาศว่า ต่อไปนี้จะตัดกรรมตัดเวรให้ ......................... ขอให้เจ้ากรรมนายเวรให้อโหสิกรรมแก่ ........................... ต่อไปนี้ให้เลิกลา อย่ามีเวรมีกรรมแก่กันและกันเลย "
แล้วจึงสวดคาถาตัดกรรมว่า
กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสสะระโณ ยัง กัมมัง
กะริสสามิ กัลยาณัง วาปาปะกังวา ตัด "
ตอนนี้ให้ตัดด้ายไป 1 ครั้ง (ยาวเท่ากำมือตอนกำตัดนั้น) ส่วนที่อยู่ในมือคือ กรรม ตัดแล้วก็ใส่ลงในหม้อไป แล้วสวดตัดเวรว่า
นะ หิ เวเรนะ เวรานิ สัมมันตีธะ กุทาจะนัง อะเวเรนะ จะ สัมมันติ เอสะ ธัมโม สะนันตะโน ตัด "
แล้วเอามีดตัดด้ายอีกเป็นการตัดเวร เสร็จแล้วเอาด้ายสายสิญจน์และเอาโทงลงในหม้อแล้วเอาไปลอยน้ำ เป็นการปล่อยกรรมปล่อยเวร ท่านว่าดีนัก
ราหู เป็นเทพฝ่ายมารหรือที่เรียกว่า "เทวบุตรมาร" มีผิวดำ มีฤทธิ์มาก สามารถบดบังพระจันทร์และพระอาทิตย์ได้ ตามตำนานเล่าว่า เมื่อคนอายุครบรอบ 12 ปี จะมีราหูมาเสวยอายุหรือแทรกครั้งหนึ่ง คนที่ราหูเสวยอายุนั้นจะมีความทุกข์ร้อนกลุ้มอกกลุ้มใจ ไข้ ป่วย เกิดอุบัติเหตุเจ็บหรือตายก็มี ดังนั้น โบราณท่านจึงมีธรรมเนียมส่งราหู เพื่อให้อยู่เย็นเป็นสุข นิยมทำกันในวันเสาร์
พิธีกรรมในการส่งราหู ให้จัดหาเครื่องเหล่านี้ คือ ขัน 5 (ดอกไม้ขาว 5 คู่ เทียน 5 เล่ม) เทียนฮอบหัว 1 เล่ม ค่าคีง 1 เล่ม ค่าศอก 1 เล่ม ค่าคืบ 1 เล่ม ค่าใจมือ 1 เล่ม เอาฝ้ายสีดำเป็นไส้เทียน โทงหน้างัว (สามเหลี่ยม) ยาวข้างละ 1 ศอก (ของคนป่วย) 1 อัน ทำแกงส้ม 12 ห่อ แกงหวาน 12 ห่อ ใส่ลงในโทง ข้าวสำหรับใส่บาตร 1 อัน ขนมส่งราหู (ข้าวปาดสีดำ) 12 ห่อ ใส่รวมไว้ในชั้นข้าวตักบาตร
จากนั้นให้ไปนิมนต์พระมา 1 รูป และบอกรายละเอียดแก่ท่านไว้ล่วงหน้า เมื่อเช้าวันเสาร์ให้พระมาตามนิมนต์ ครั้นมาถึงพระจะถามผู้ที่ราหูแทรก ซึ่งกำลังรอใส่บาตรอยู่นั้น ก่อนใส่บาตรว่า "โยม เห็นราหูไหม?" โยมก็จะต้องตอบว่า "ถามทำไมขอรับ?" พระจะตอบว่า "อาตมามารับราหู" โยมจะตอบว่า "ราหูอยู่ที่นี่" พระกล่าวว่า "ส่งตัวมาให้อาตมาจะนำกลับวัด" โยมตอบรับว่า "ครับ" แล้วจึงใส่บาตร ให้วางโทงนั้นเอาไว้ข้างๆ
พอใส่บาตรเสร็จก็ให้คนถือโทงหรือถือเองก็ได้ตามพระไป เอาไปทิ้งในที่อันควร แต่เวลากลับให้กลับทางอื่น ก่อนหันกลับให้ว่าคาถา
สะกะฆะรัง คะมิสสามิ อุมมังคัง คัจฉะตุ ราหู "
แล้วหันหลังเดินกลับบ้าน