- Details
- Written by: ครูมนตรี
- Category: Tradition
- Hits: 22391
เคราะห์ ความหมายคือ สิ่งที่เรายึดติดในจิตโดยการเชื่อมาตามประเพณี เคราะห์ เป็นคำกลาง ส่วนที่ดีเรียก ศุภเคราะห์ หรื สมเคราะห์ ส่วนไม่ดีเรียกว่า บาปเคราะห์
เข็ญ คือความทุกข์ยาก ความลำบาก ความไม่สบายกาย สบายใจ แต่ไม่ถึงกับเสียชีวิต แต่มันเป็นความทุกข์ทรมานจากการไม่สมหวัง ปราชญ์โบราณบอกว่า "เคราะห์เมื่อเว็น เข็ญเมื่อค่ำ"
เคราะห์กับเข็ญ ความแตกต่างระหว่างเคราะห์กับเข็ญ ก็คือ เคราะห์มีทั้งหนักและเบา หนักอาจถึงตาย แต่เข็ญนั้นมัลักษณะน่ารำคาญ เหมือนเศษอาหารติดฟัน หรือก้างตำคอ เอาออกไม่ได้ก็พะวงอยู่อย่างนั้น
ลาง คือสิ่งบอกเหตุที่จะให้เจ้าตัวรู้ว่า เคราะห์หรือเข็ญจะเกิดแก่ตน ลางอาจจะบอกให้เห็นทั้งในเวลาตื่นหรือเวลาหลับ ตื่นคือการมองเห็นด้วยตา หลับคือการนอนฝัน ลางมีทั้งดีหรือไม่ดี เมื่อพบเห็นลางจะต้องมีสติไม่ประมาท ลางนี้ภาษาพระท่านเรียกว่า "นิมิตร"
- ลางเกิดภายในตัว เช่น เงาหัวไม่มี ตาเขม่น เนื้อตัวเขม่น ฝันเห็นเครื่องบินลงบ้าน เป็นต้น
- ลางเกิดจากสิ่งนอกกาย เช่น สุนัขจิ้งจอกเห่า อีเก้ง (ฟาน) เห่า งูเข้าบ้าน รุ้งลงกินน้ำในโอ่ง ข้าวที่หุงหรือนึ่งกลายเป็นสีแดง สุนัขคนอื่นมาขี้บนบ้าน นกเค้าบินเข้าบ้าน ไก่ป่าเข้าหมู่บ้าน อีกาโฉบหัว หรือการผิดสังเกตอื่นๆ เป็นต้น
ลางนี้ถ้าเห็นให้รีบแก้อย่าให้ข้ามคืน จะไม่มีอะไรแต่ถ้าปล่อยให้ข้ามคืนจะเป็นเคราะห์เป็นเข็ญ และจะต้องแก้ด้วยการเสียเคราะห์ เสียเข็ญ จึงจะพ้นเคราะห์นั้น
![]() |
![]() |
การทำพิธีบายศรีสู่ขวัญเพื่อสร้างกำลังใจ ให้พ้นเคราะห์โศก มีโชคชัย
ยาม หรือ เวลา ที่ปราชญ์โบราณท่านกล่าวไว้ ว่าจะเป็นลางร้าย หรือลางดี มีดังนี้
เห็นยามเช้าโชคเจ้าเหลือหลาย | เห็นยามงายเคราะห์หลายเหลือล้น |
เห็นยามแถตึกแหดูม่วน | โชคก็ด่วนมาฮอดมาเถิง |
เห็นยามเที่ยงใจเบี่ยงพาลา | มันจักเป็นโรคามรณาอันฮ้าย |
เห็นยามตุดซ้ายความฮ้ายบ่มี | |
เห็นยามแลงใจแข็งท่อฟ้า | ได้แก่ลุงและป้าอาวอาเฮาแน่ |
เห็นยามแถใกล้ค่ำโชคพ่ำพอใจ | |
เห็นยามค่ำกรรมใส่คนเห็น | เป็นกรรมเวรเก่าหลังมาฮอด |
คำอธิบายยาม ตามที่กล่าวถึงข้างบนนี้ หมายถึงเวลาดังต่อไปนี้
ยามตุดตั้ง หรือเวลาเช้า |
06.00 - 07.30 น.
|
ยามกองงาย หรือยามงาย |
07.30 - 09.00 น.
|
ยามแถใกล้เที่ยง |
09.00 - 10.30 น.
|
ยามเที่ยง |
10.30 - 12.00 น.
|
ยามตุดซ้าย หรือเวลาบ่าย |
12.00 - 13.30 น.
|
ยามกองแลง |
13.30 - 15.00 น.
|
ยามแถใกล้ค่ำ |
15.00 - 16.30 น.
|
ยามค่ำ |
16.30 - 18.00 น.
|
ลางที่เกิด หรือ สังเกตเห็น จะได้แก่ใคร หรือเกิดขึ้นกับใคร เกิดแก่ตนเอง หรือญาติคนอื่นๆ ให้ดูตามวัน ดังนี้
ถ้าเห็นวันอาทิตย์ จะเกิดแก่เพื่อนบ้านหรือคนอื่น | ถ้าเห็นวันจันทร์ จะเกิดแก่มิตรสหาย |
ถ้าเห็นวันอังคาร จะเกิดแก่พ่อแม่และตายาย | ถ้าเห็นวันพุธ จะเกิดแก่ลูกเมียในครอบครัว |
ถ้าเห็นวันพฤหัสบดี จะเกิดแก่ญาติพี่น้อง | ถ้าเห็นวันศุกร์ จะเกิดแก่วัวควายและสัตว์เลี้ยง |
ถ้าเห็นวันเสาร์ จะเกิดแก่ตัวผู้เห็นเอง |
พิธีเสียเคราะห์เสียลาง
การเสียเคราะห์นั้น ท่านให้จัดเครื่องสักการะเพื่อบูชาพระเคราะห์ให้หายเคราะห์ ดังนี้
- เทียนฮอบหัว (เทียนวัดรอบศรีษะ) 1 เล่ม
- เทียนยาว 1 ศอก 1 เล่ม
- เทียนค่าคีง (เทียนความยาวเท่ากับจากเอวถึงคอ) 1 เล่ม
- เทียนยาว 1 คืบ 5 คู่
- เทียนยาวค่าใจมือ (ยาวเท่ากับจากปลายนิ้วกลางถึงกลางฝ่ามือ) 1 เล่ม
- จีบหมาก (เมี่ยง) เท่าอายุ
- ข้าวดำ ข้าวแดง ข้าวเหลือง ข้าวตอกแตก ดอกไม้ น้ำส้มป่อย เศวตฉัตร ทุ่งช่อ ทุ่งชัย โทง 4 แจ 9 ห้อง ยาวแจละ 1 ศอก 1 โทง ฮูปแฮ้ง 1 ฮูป ฮูปคน 1 ฮูป หลักในโทงยาว 1 ศอก 9 หลัก ปัก 9 บัก ห้อยฝ้ายแดง 2 หลัก ฝ้ายดำ 2 หลัก ฝ้ายขาว 2 หลัก ฝ้ายเหลือง 2 หลัก ดอกฝ้าย 1 หลัก ด้ายสายสิญจน์อ้อมโทงยาว 1 วา 1 เส้น เอาผม 1 เส้น ตัดเล็บตีน เล็บมือใส่ด้วยนิ้วละ 1 ชิ้น เสื้อผ้าคนป่วยที่เคยใช้ (เอาขนผ้าหรือเส้นด้ายบางเส้นก็ได้) ใสในโทง
พิธีกรรมนี้จะทำกันที่บ้านคนป่วย (ผู้ที่มีเคราะห์) ทำให้ได้ครั้งละหลายคน แต่ต้องเอาเครื่องบูชาดังกล่าวจากทุกคน เวลาทำควรทำในเวลาเช้าอย่าให้เลยเที่ยงวัน ทำได้ทุกวัน เว้นวันจม วันเดือนดับและวันเก้ากอง แต่ที่นิยมคือ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ และวันเสาร์
ความเสียเคราะห์ จะเป็นการกล่าวบูชาเทวดา ภูติผีเจ้าชาตา ให้ลงมาเอาเครื่องบูชาที่ได้เตรียมไว้นี้ ให้เคราะห์หายไปจากผู้ป่วยไข้โดยไว มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงตลอดไป
การเสียเข็ญ
การเสียเข็ญให้เตรียมสิ่งของ เพื่อการปัดเป่า ดังนี้
- เทียนเวียนฮอบหัว 1 เล่ม
- เทียนขัน 5 ยาวจากกลางฝ่ามือถึงปลายนิ้วกลาง 5 คู่
- โทงหน้างัว (สามเหลี่ยม) ยาวด้านละเท่าคืบคนเป็นเข็ญ 4 โทง
- จอกใบขนุนหรือใบฝรั่ง 8 อัน จีบหมากพลูพัน (เมี่ยงหมาก) เท่าอายุ ข้าวแดง ข้าวดำ ข้าวเหล์อง แกงส้ม แกงหวานใส่ในโทง
- หลักยาว 1 ศอก 8 หลัก ปักไว้โทงละ 2 หลัก ทุงติดหลักละ 1 ทุง (ธง) ด้ายสายสินจน์อ้อม
แล้วว่า คำเสียเข็ญ ดังนี้
สรรพเข็ญ สรรพเคราะห์ แล่นมาพานปู่แก้ ปู่ปัด สรรพลางแล่นมาข้อง ปู่แก้ปู่ปัด เข็ญแล่นต้องเถิงตนเข็ญคนต้องเถิงเนื้อ ปู่แก้ปู่ปัด ปัดอันฮ้ายให้หนี ปัดอันดีให้อยู่ โอมจินจักมึงมาฮ้องให้เป็นภัย หมาจังไฮมึงมาหอนให้เป็นโทษ มึงมาฮ้องประโยชน์สิ่งอันใด โอมสวหายะ ตั้งแต่นี้เมือหน้าอย่าได้มีศัตรูมาตัด เทวทัตอย่าได้มาพาน ฝูงมารอย่าได้มาใกล้ สรรพเข็ญฮ้ายขอให้พ่ายหนี สัพพะสิทธิ ภะวันตุ เต ฯ
เรื่องของตัวอุบาทว์ เวรกรรม และราหู
ตัวอุบาทว์ นั้นจะหมายถึงสิ่งที่แสดงออกเป็นลาง เช่น ฮุ้งลงกินน้ำในโอ่งภายในบ้าน ไก่ป่าบินเข้าบ้าน งูเลื้อยเข้าบ้าน นกตกลงมาตายต่อหน้า งูตกลงมาห้อยบ่า หมาจิ้งจอกเห่า นึ่งข้าวขาวกลายเป็นสีแดง หม้อนึ่งร้อง ควายนอนขี้สีก (ปลัก) ใต้ถุนบ้าน หมูจะขึ้นบ้าน กาโฉบหัว ฯลฯ เหล่านี้ก็คืออุบาทว์ คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลางไม่ดี โบราณมักจะพูดกับบุคคลที่พบกับสิ่งเหล่านี้ว่านั้นแหละอุบาทว์กินหัวมัน ดังนั้น คำว่า "อุบาทว์" ก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลางไม่ดีนั่นเอง
การสวดอุบาทว์ นั้นนิยมกันตามพิธีพุทธ คือนิมนต์พระมาสวดปริตรมงคลธรรมดา แต่เมื่อจบแล้วให้พระท่านอ่านหนงสืออุบาทว์ ถ้าไม่มีให้สวดไชยน้อย ไชยใหญ่ หรือสวดยันทุนนิมิตัง ฯลฯ 3 รอบ หรือ 7 รอบ แล้วแต่อุบาทว์นั้นน้อยใหญ่ขนาดไหน ให้ทำน้ำมนต์ และประพรมน้ำมนต์ด้วยชยันโต ฯลฯ เพื่อเป็นสิริมงคลซ้ำอีกดีนัก เวลาทำให้แต่งคายด้วยขัน 5 ขัน 8 (ดอกไม้ขาว 5 คู่ เทียน 5 เล่ม ดอกไม้ขาว 8 คู่ เทียน 8 คู่) ใส่ภาชนะ ไม่ให้ใช้โต๊ะหมู่อย่างที่ทำกันในสมัยปัจจุบัน
การคัดเวรตัดกรรม กรรมเป็นสิ่งที่ติดตัวคนมาจากอดีตชาติ มาชาตินี้ลุ่มๆ ดอนๆ หรือเจ็บไข้ได้ป่วยเรื้อรังทั้งๆ ที่ก็รักษาสุขภาพอนามัยดีแล้ว โบราณท่านว่า ความทุกข์ประเภทนี้เกิดเพราะกรรมเวรตัดได้ยาก แม้กระนั้นโบราณท่านก็ว่าตัดได้ โดยแนะนำพิธีตัดกรรมตัดเวรให้ปฏิบัติดังนี้
จัดเครื่องขัน 5 โทงหน้างัว (สามเหลี่ยม) 4 โทง ข้าวดำ ข้าวแดง 4 ก้อน อย่างละ 2 ก้อน ใส่ในโทง (โทงเล็กๆ กะใส่ลงในหม้อได้) หม้อดินใหม่ๆ 1 ใบ มีด 4 เล่ม ด้ายสายสิญจน์ 4 เส้น นิมนต์พระมา 4 รูป ให้เขียนในกระดาษว่า
เจ้ากรรมนายเวรของนายหรือนาง ........................ (ผู้ที่จะตัดกรรมตัดเวรนั้น) ใส่ลงในหม้อแล้วเอาสายสิญจน์ผูกที่หม้อ แล้วโยงด้ายทั้ง 4 เส้นมาไว้ตรงหน้าพระทั้ง 4 รูป อาราธนาพระสงฆ์สวดมนต์ประกาศว่า ต่อไปนี้จะตัดกรรมตัดเวรให้ ......................... ขอให้เจ้ากรรมนายเวรให้อโหสิกรรมแก่ ........................... ต่อไปนี้ให้เลิกลา อย่ามีเวรมีกรรมแก่กันและกันเลย "
แล้วจึงสวดคาถาตัดกรรมว่า
กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสสะระโณ ยัง กัมมัง
กะริสสามิ กัลยาณัง วาปาปะกังวา ตัด "
ตอนนี้ให้ตัดด้ายไป 1 ครั้ง (ยาวเท่ากำมือตอนกำตัดนั้น) ส่วนที่อยู่ในมือคือ กรรม ตัดแล้วก็ใส่ลงในหม้อไป แล้วสวดตัดเวรว่า
นะ หิ เวเรนะ เวรานิ สัมมันตีธะ กุทาจะนัง อะเวเรนะ จะ สัมมันติ เอสะ ธัมโม สะนันตะโน ตัด "
แล้วเอามีดตัดด้ายอีกเป็นการตัดเวร เสร็จแล้วเอาด้ายสายสิญจน์และเอาโทงลงในหม้อแล้วเอาไปลอยน้ำ เป็นการปล่อยกรรมปล่อยเวร ท่านว่าดีนัก
ราหู เป็นเทพฝ่ายมารหรือที่เรียกว่า "เทวบุตรมาร" มีผิวดำ มีฤทธิ์มาก สามารถบดบังพระจันทร์และพระอาทิตย์ได้ ตามตำนานเล่าว่า เมื่อคนอายุครบรอบ 12 ปี จะมีราหูมาเสวยอายุหรือแทรกครั้งหนึ่ง คนที่ราหูเสวยอายุนั้นจะมีความทุกข์ร้อนกลุ้มอกกลุ้มใจ ไข้ ป่วย เกิดอุบัติเหตุเจ็บหรือตายก็มี ดังนั้น โบราณท่านจึงมีธรรมเนียมส่งราหู เพื่อให้อยู่เย็นเป็นสุข นิยมทำกันในวันเสาร์
พิธีกรรมในการส่งราหู ให้จัดหาเครื่องเหล่านี้ คือ ขัน 5 (ดอกไม้ขาว 5 คู่ เทียน 5 เล่ม) เทียนฮอบหัว 1 เล่ม ค่าคีง 1 เล่ม ค่าศอก 1 เล่ม ค่าคืบ 1 เล่ม ค่าใจมือ 1 เล่ม เอาฝ้ายสีดำเป็นไส้เทียน โทงหน้างัว (สามเหลี่ยม) ยาวข้างละ 1 ศอก (ของคนป่วย) 1 อัน ทำแกงส้ม 12 ห่อ แกงหวาน 12 ห่อ ใส่ลงในโทง ข้าวสำหรับใส่บาตร 1 อัน ขนมส่งราหู (ข้าวปาดสีดำ) 12 ห่อ ใส่รวมไว้ในชั้นข้าวตักบาตร
จากนั้นให้ไปนิมนต์พระมา 1 รูป และบอกรายละเอียดแก่ท่านไว้ล่วงหน้า เมื่อเช้าวันเสาร์ให้พระมาตามนิมนต์ ครั้นมาถึงพระจะถามผู้ที่ราหูแทรก ซึ่งกำลังรอใส่บาตรอยู่นั้น ก่อนใส่บาตรว่า "โยม เห็นราหูไหม?" โยมก็จะต้องตอบว่า "ถามทำไมขอรับ?" พระจะตอบว่า "อาตมามารับราหู" โยมจะตอบว่า "ราหูอยู่ที่นี่" พระกล่าวว่า "ส่งตัวมาให้อาตมาจะนำกลับวัด" โยมตอบรับว่า "ครับ" แล้วจึงใส่บาตร ให้วางโทงนั้นเอาไว้ข้างๆ
พอใส่บาตรเสร็จก็ให้คนถือโทงหรือถือเองก็ได้ตามพระไป เอาไปทิ้งในที่อันควร แต่เวลากลับให้กลับทางอื่น ก่อนหันกลับให้ว่าคาถา
สะกะฆะรัง คะมิสสามิ อุมมังคัง คัจฉะตุ ราหู "
แล้วหันหลังเดินกลับบ้าน
- Details
- Written by: ทิดหมู มักหม่วน
- Category: Tradition
- Hits: 20080
คนเราเกิดมาย่อมมีการตั้งชื่อเรียกเพื่อให้รู้ว่าเป็นใคร เป็นลูกเต้าเหล่าใด ผู้เป็นพ่อ-แม่คนย่อมแสวงหาชื่ออันเป็นมงคลให้กับบุตรของตน โดยการขอให้ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ มีความรู้เรื่องโหราศาสตร์ ฤกษ์ผานาที หรือพระสงฆ์ผู้คงแก่เรียน ในการตั้งชื่อให้เหมาะสมกับดวงชะตา พาให้ชีวิตรุ่งเรืองไปในภายภาคหน้า ซึ่งในอดีตนั้นมีตำราของโบราณอีสานกำหนดเป็นแนวทางไว้
นาม หรือ ชื่อ ในปฐมสมันตปาสาทิกาอรรถกถาของพระวินัยปิฎก กล่าวถึงชื่อว่าไว้จำนวน 4 ชื่อ คือ
- ลิงคนาม ชื่อที่กำหนดตามเพศ เช่น ชาย หญิง เป็นต้น
- อาวัตถิกนาม ชื่อที่กำหนดตามลักษณะ เช่น โคด่าง โคถึก เป็นต้น
- อธิจจสมุปปันนนาม ชื่อที่ตั้งขึ้นตามโวหารของโลก โดยคิดว่า อยากให้เป็นไปตามนั้นซึ่งที่จริงจะเป็นหรือไม่ก็ไม่รู้ เช่น นายธนวัฒน์ (นายทรัพย์เจริญ) นายศิริวัฒน์ (นายศรีเจริญ) นายบวร (ผู้ประเสริฐ ผู้มั่นคง)
- เนมิตติกนาม ชื่อที่เกิดขึ้นตามความสำเร็จ เช่น พระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า พระอรหันต์ เป็นต้น
นามที่ 3 คือ อธิจจสมุปปันนนาม นี้ เป็นนามที่หาตั้งกันขึ้นตามโลกนิยมว่า เป็นมงคล ซึ่งเรียกว่า มงคลนาม ก็ได้ เพราะผู้ตั้งอยากให้เป็นเช่นนั้น ส่วนนามที่ 4 นั้น สำหรับชาวบ้านที่ประสบผลสำเร็จทางการเงินหรือฐานะ ก็มักจะเป็นชื่อ "เศรษฐี" แต่ก็คงไม่มีโอกาสเป็นไปได้สำหรับคนจน ดังนั้น การตั้งชื่อทั้งหลายทั้งปวงจึงเป็นไปเฉพาะตามข้อ 3 เป็นหลัก
การตั้งชื่อที่อยากจะให้เป็นไปเช่นนั้น จะต้องให้เว้นตัวอักษรที่เป็นกาลกิณี อย่าให้มีในชื่อจึงจะเป็นมงคลนาม เป็นสิริมงคลแก่เจ้าของ วิธีหาชื่อให้เป็นมงคล ให้ดูความหมายของทักษาในวันดังนี้ (ดูตาราง)
1 วันอาทิตย์ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ (กาลกิณี) |
2 วันจันทร์ ก ข ค ฆ ง (บริวาร) |
3 วันอังคาร จ ฉ ช ฌ ญ (อายุ) |
8 วันศุกร์ ศ ษ ส ห ฬ ฮ (มนตรี) |
4 วันพุธ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ (เดช) |
|
7 วันราหู (พุธกลางคืน) ย ร ล ว (อุตสาหะ) |
6 วันพฤหัสบดี บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม (มูละ) |
5 วันเสาร์ ด ต ถ ท ธ น (ศรี) |
ใครเกิดวันอะไรให้เริ่มนับบริวารจากช่องนั้น เวียนขวาไป ไม่ว่าหญิงหรือชาย เรียงลำดับเป็น บริวาร, อายุ, เดช, ศรี, มูละ, อุตสาหะ, มนตรี และกาลกิณี จากตัวอย่างในตาราง คนเกิดวันจันทร์ เริ่มนับที่ช่องที่ 2 เวียนขวาไปตามลำดับ ตัวอักษรที่เป็นกาลกิณีจะตกในวันอาทิตย์ ชื่อของบุคคลที่เกิดในวันจันทร์จึงไม่มีสระอยู่ในชื่อจึงจะเป็นมงคล เช่น ชยกร หมายถึงชื่อของผู้มีอายุยืนนาน (อักษร ช) บริวารมากมาย (อักษร ก) และมีความอุตสาหะเป็นเลิศ (อักษร ย, ร)
ความหมายของทักษา
บริวาร | หมายถึง เพื่อนฝูง พวกพ้อง มีบริวารมาก บริวารช่วยงานดี บริวารให้คุณ |
---|---|
อายุ | หมายถึง อายุ การมีอายุยืน สุขภาพดี |
เดช | หมายถึง อำนาจวาสนา หน้าที่การงาน จะเป็นหัวหน้างาน คนเกรงขาม |
ศรี | หมายถึง ทรัพย์สินเงินทอง โชคลาภ ความมั่งคั่ง |
มูละ | หมายถึง หลักฐานบ้านช่อง มรดก |
อุตสาหะ | หมายถึง ความขยันหมั่นเพียร ผลสำเร็จ ความคิดริเริ่ม |
มนตรี | หมายถึง ผู้อุปถัมภ์ค้ำชู ทำอะไรมัคนคอยช่วยเหลือ |
กาลกิณี | หมายถึง ความชั่วร้าย ศัตรูคู่อาฆาต ความไม่ดี การถูกตำหนิ |
ดังนั้น การตั้งชื่อหากต้องการให้เป็นไปเช่นไร ก็ให้นำทักษานั้นมาตั้งเป็นชื่อตัวแรก และเลือกสิ่งที่ต้องการให้เป็นไปลำดับถัดจากนั้นมาผสม โดยเว้นอักษรที่เป็นกาลิกิณีในชื่อ การนำอักษรมาผสมต้องคำนึงถึงการอ่านได้เป็นคำที่มีความหมาย เป็นที่รู้จักกัน เข้าใจกันโดยทั่วไปได้ มิใช่นำมาผสมกันสะเปะสะปะเพียงต้องการให้ได้ทักษาที่ดี แต่ไม่มีความหมายใดๆ ได้
พระพุทธพจน์
นะ ชัจจา วะสะโล โหติ นะ ชัจจา โหติ พราหมโณ กัมมุนา วะสะโล โหติ กัมมุนา โหติ พราหมโณ "
แปลว่า
ไม่มีชั่วโดยกำเนิด ไม่มีดีโดยกำเนิด ชั่วอยู่ที่ทำเอา และดีก็อยู่ที่ทำเอา เท่านั้น
ดังนั้น เมื่อท่านเลือกเกิดในดวงดีไม่ได้ ท่านก็จงมุ่งทำดีเอาเถิด แล้วท่านจะได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน อย่าให้หมอดูมาทำนายทายทักกุมชะตาชีวิตของคุณ จงกำหนดวิถีชีวิตของท่านเองเถิด
ชื่อตัวอย่าง
คนที่เกิดวันอาทิตย์ ถ้าอยากมีบริวารมากให้เอาสระมาขึ้นต้นชื่อ เช่น อุดร ซึ่งแปลว่า ยอด หรือเหนือคน โดย "อุ" เป็นบริวาร "ด" เป็นมูละ "ร" เป็นมนตรี ได้บริวาร มูละและมนตรีรวมกัน ชื่อ อุดร จึงเป็นชื่อที่ดี ถ้าเป็นหญิงให้ใช้ อาภรณ์ แปลว่า ผ้า หรือ คนงาม โดย "อา" เป็นบริวาร "ภ" เป็นอุตสาหะ "ร" เป็นมนตรี "ณ" เป็นศรี คือได้ทั้งบริวาร อุตสาหะ มนตรี และศรี พรั่งพร้อม
เพื่อนบางคนอยากไปเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล แก้ดวง แก้ปีชงห่าเหวอะไรของมันก็ไม่รู้ แถมเสือกอยากได้ตัวอักษรอะไรแปลกๆ ตามสมัยนิยมกับเค้าบ้าง แบบพวกดาราอย่าง ณ ฎ ฐ ฤ ภ ก็เลยพาเพื่อนไปที่วัดหาพระอาจารย์ ท่านก็ใจดีตั้งชื่อมาให้ว่า "คฤจภัค คิศถฤงคิธแคท" ดังภาพ
คนได้ชื่อใหม่ถึงกับเหวอถามพระอาจารย์ว่า "ท่านอาจารย์ครับ ผมอ่านไม่ออกขอรับ" ท่านเลยเมตตาอ่านให้ฟังว่า "คิด-จะ-พัก คิด-ถึง-คิทแคท"
แต่ได้โปรดอย่าตั้งชื่อตามคำทำนายทายทักของหมอดู จนได้ชื่อประหลาดๆ ทั้งเขียนก็ยาก ให้อ่านก็ยาก เอาไปปักชื่อบนอกเสื้อก็ยาว จะกรอกลงในแบบฟอร์มก็อาจผิดพลาดไม่ครบถ้วน ยิ่งถามชื่อทางโทรศัพท์แล้วกรอกลงแบบฟอร์มมีเหวอ จนคนไทยหรือฝรั่งก็งงงวยไม่แพ้กัน ชื่ออะไรฟร่ะ! เขียนและอ่านไม่ถูกกันเลย ดูคลิปนี้ประกอบเลยครับ
ชื่อไทยเริ่มยาก คนพากย์เริ่มฉิบหาย
แต่ก็พบเห็นได้ในสมัยปัจจุบันที่มักจะไม่เชื่อว่า พ่อ-แม่ ตั้งชื่อให้มาดี ไปเชื่อหมอดูคู่กับหมอเดา ที่ไม่ใช่ญาติเพียงต้องการเงินค่าคาย (ค่าครู) เลี้ยงชีพ จึงได้ชื่อที่พิกลพิสดารจนไม่มีความหมายใดๆ อ่านออกเสียงก็ยาก คนอื่นฟังก็เขียนตามไม่ถูก บางชื่อยาวมากกว่า 6 พยางค์ก็มี ยาวเสียจนป้ายชื่อติดหน้าอกไม่สามารถจะเขียนได้พอ เช่นนี้ก็ไม่น่าจะเป็นมงคล มีเรื่องราวของการไปเปลี่ยนชื่อจากที่พ่อแม่ตั้งให้ แล้วไม่สำเร็จเป็นตัวอย่างดังนี้
"นายฮวด เป็นลูกคนจีน เรียนหนังสือเก่งที่สุดในรุ่นเดียวกัน จนจบคณะรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยมีชื่อ จึงได้ไปสอบบรรจุเป็นปลัดอำเภอ ก่อนสมัครสอบได้ข่าวว่า ปีก่อนนั้นเวลาเรียกบรรจุปลัดอำเภอได้เรียกตามลำดับจากชื่อ ก. ไก่ ขึ้นต้น จึงได้ไปเปลี่ยนชื่อใหม่จาก "ฮวด" เป็น "เกรียงไกร" ด้วยหวังจะได้บรรจุอย่างรวดเร็วก่อนเพื่อน ปรากฏว่าสอบได้ดังใจหมาย แต่ปีนี้เรียกบรรจุจากชื่อ ฮ. นกฮูก ขึ้นมาก่อน ไม่มีใครชื่อขึ้นต้นด้วย ฮ. เลย จึงเริ่มที่ นายอำนวย เป็นคนแรก อนิจจาเพราะไม่เชื่อชื่อที่พ่อ-แม่ตั้งให้แท้ๆ เชียว"
เรื่องสำคัญก่อนการตั้งชื่อลูก
- ตั้งชื่อตามความชอบร่วมกันของพ่อแม่ คุณพ่อคุณแม่อาจไม่จำเป็นต้องพาลูกๆ เดินทางไปหาญาติผู้ใหญ่ เพียงเพราะต้องการให้พวกเขาตั้งชื่อให้กับลูกของคุณ แน่นอนว่าชื่อที่ได้นั้นอาจมีความไพเราะ และเป็นการหาชื่อตามความชอบของพ่อแม่มาเป็นส่วนประกอบในการตั้ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางครั้งชื่อก็อาจไม่ถูกใจพ่อแม่เสมอไป
- การตั้งชื่อลูกจะต้องมองไปถึงอนาคตของเขาด้วย หากเขาโตขึ้นแล้วเกิดมีเพื่อนๆ ล้อเลียน ก็อาจทำให้ชื่อกลายเป็นปมด้อย เพราะในบางทีชื่อที่พ่อแม่ตั้งนั้นคิดว่าดีแล้ว แต่สำหรับคนอื่นชื่อนั้นๆ อาจทำให้ลูกกลายเป็นตัวตลกก็ได้ (ลองคิดถึงตอนที่เขามีอายุมากขึ้น เป็นผู้ใหญ่ รุ่นพ่อแม่ ลุงป้า ตายาย ด้วยนะครับ เวลาเรียกแล้วมันขัดๆ ก็อย่าตั้ง)
- นอกจากการตั้งชื่อจริงแล้ว ก็อย่าลืมตั้งชื่อเล่นให้มีความที่ดีด้วย อาจใช้เป็นชื่อย่อจากชื่อจริงก็ได้ ยกตัวอย่าง หากตั้งชื่อจริงว่า รพีพัฒน์ ชื่อเล่นอาจจะตัดมาแค่คำสุดท้าย คือ พัฒน์ เพื่อให้เรียกง่าย มีความไพเราะอยู่ในตัวด้วย การตั้งชื่อเล่นด้วยการเอาชื่อของสินค้า การ์ตูน ดารา มาตั้งมันก็ไม่ผิดแต่ให้นึกถึงตอนที่ ชื่อที่ใช้นั้นมีความเสื่อมเสียในภายหลัง จะกระทบมายังชื่อลูกจนเป็นปมด้อยด้วยก็ได้
- อย่าพยายามตั้งชื่อลูกให้อ่าน หรือเขียนยากจนเกินไป เพราะอาจก่อให้เกิดปัญหากับลูกของคุณในอนาคตได้ จริงอยู่หากการเพิ่มเติมตัวสะกดแปลกๆ อาจจะทำให้ชื่อดูมีความแตกต่าง และไม่เหมือนใคร แต่การตั้งชื่อที่ยาวและเขียนยากนั้น อาจทำให้รู้สึกหงุดหงิด หรือไม่พอใจเวลาที่โดนเรียกชื่อผิดก็ได้
คนต่างชาติสงสัย คนไทยตั้งชื่อเล่นแปลกๆ?
- อ่านเพิ่มเติม : การตั้งชื่อลูกหลานของฅนอีสานโบราณ
- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Tradition
- Hits: 41121
ความรักและความผูกพันที่มีต่อสายใยรัก สายโลหิตของชาวอีสานนั้น ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นบทเพลงกล่อมลูกที่น่าประทับใจ เมื่อยามที่แม่ต้องอุ้มกระเตงลูกออกไปทำไร่ไถนา ผูกอู่นอนของลูกใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือเถียงนา หรือเมื่อยามที่อยู่ในหมู่บ้าน ใต้ถุนบ้านของชาวอีสานจะเป็นที่รวมของการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งการงานทอผ้า จักสาน และเลี้ยงลูกหลาน เสียงเพลงกล่อมลูกที่ดังแว่วออกมาจากแต่ละถิ่นที่ ย่อมแสดงถึงความรักความผูกพันของแม่ที่มีต่อลูก
เพื่อสืบสานตำนานรักของบรรพบุรุษให้ยังคงอยู่สืบไป จึงขอนำเสนอเนื้อหาบทเพลงกล่อมลูก จากศิลปินพื้นบ้าน 3 ท่าน คือ จากจังหวัดอุบลราชธานี 2 สำนวนได้แก่ เพลงแม่หม้ายกล่อมลูก ของ หมอลำฉวีวรรณ ดำเนิน และเพลงแม่หม้ายกล่อมลูก ของ นางบุปผา สีตะวัน และจากจังหวัดนครราชสีมา เพลงกล่อมลูกโคราช ของนางรำไพ เสริมรำ ถ้าท่านใดมีสำนวนจากจังหวัดอื่นๆ ในอีสานโปรดแนะนำด้วยครับ
เพลงแม่หม้ายกล่อมลูก
โดย นางฉวีวรรณ ดำเนิน (พันธุ)
นอนสาหล่าหลับตาแม่สิกล่อม นอนอู่แก้วนอนแล้วแม่สิกวย นอนสาหล่ากัลยาน้อยอ่อน แม่สิสอนลูกแก้วจอมสร้อยให้ค่อยฟัง เป็นคนนี่ยำเกรงผู้ใหญ่ คารวะละผู้เฒ่าผ่านใกล้หมอบคลาน หย่างใกล้เผิ่นให้เจ้าเอิ้นขอทาง เผิ่นเอิ้นขายเจ้าอย่าได้เว้าหยาบ เป็นคำบาปบ่จบบ่งาม กริยาเลวทรามขายหน้าพ่อแม่ ลูกขี้แพ้พ่อแม่อยากอาย เกิดเป็นชายวิชาเป็นทรัพย์ เผิ่นจั่งนับถือหน้าถือตา บรรพชาสมบทคือบวช ให้หมั่นกวดศึกษาเล่าเรียน การทำเพียรกำจัดกิเลศ บ่เป็นเหตุเสียชาติตระกูล ลูกหล่าแม้ให้มีใจกรุณา ใจเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คนดีแม่ให้มีใจก้วงขวง คนทั้งปวงละสิยอยกเจ้า ยามกินเข้าให้คิดถึงคุณควาย พระอิศวรเผิ่นจึงมาผายโผด บ่เป็นโทษกายวาจาใจ เว้านำไผเผิ่นก้อชมชื่น ไปบ้านอื่นสิมีผู้บูชา เทวดารักษาปกป้อง ฝูงพี่น้องยอย่องสรรเสริญ อื้อ ฮือ อือ อื้อฮือ อือ ฮือ อื้อ อือ ...
เจ้าหากแม่นหลานปู่ละคนฮู้ผู้ดี แนวเศรษฐีลังกามาเกิด ผู้ประเสริฐโตเจ้าจงนอน ให้เจ้าฟังคำสอนละพุทโธโอวาท ฝูงนักปราชญ์เอิ้นผู้ฟังธรรม รัตนังอุควรคำมาก เหตุยุ่งยากนอนแล้วบ่หนี สวัสดีนอนหลับคนตื่น คันบวชเข้าในศาสนา เป็นบุญญาถมคุณพ่อแม่ พ่อแม่เฒ่าให้เลี้ยงรักษา ยามเพิ่นมรณาทำบุญส่งให้ ลูกจึงได้ซื่อว่าคนดี เอ่อ เอ้อ เออ เอ้อ เอ่อ เออ... อื้อ อือ อือม์
นอนสาเด้อหล่าหลับตาแม้สิกล่อม แม่สิไปเข็นฝ้ายเดือนหงายเว้าผู้บ่าว แม่สิเอาพ่อน้ามาเลี้ยงให้ใหญ่สูง แนวโตเป็นกำพร้าอนาถาบ่มีพ่อ ทุกข์แท้น้อลูกแก้วแนวเจ้าพ่อบ่มี พ่อตายแล้วซิ่นแม่ขาดคาขา พ่อตายแล้วนาก็ขาดเข้าบ่มีเสาสิค้ำขื่อแม่เด้ ความทุกข์มาสู่มื้อลุงป้าบ่ว่าดี ตั้งแต่ก่อนก่อนกี้ตั้งแต่พ่อเจ้ายังมี ไผก็ดีปานหยังหมู่ฝูงลุงป้า อาว์อาพร้อมถนอมดีเกื้อกล่อม พ่อบ่มีเพิ่นบ่เว้าลุงป้าบ่ว่าหลาน
พริกกะอยู่เฮือนเหนือ เกลือกะอยู่เฮือนใต้ หัวสิงไคอยู่บ้านเผิ่น ขึ้นเฮือนลุงเพิ่นก็เว้า ขึ้นเฮือนอาว์เพิ่นก็เว้า ขึ้นเฮือนย่ากะบ่ได้กลัวย่านแต่แก่มกิน นอนสาหล่านอนอู่สายปอ นอนกะทอ ยาฮ้างสงนางบ่มีพ่อ เชือกอู่ขาดฮ้อยต่อบ่ติดกัน แม่นไผน้อสิมาฝั้นเลนปอเป็นเชือกอู่ ลูกแม่เอย นอนสาหล่าหลับตาแม่สิกล่อม นอนอู่ฝ้ายป้ายใส่อู่ไหม นางสายใจนอนสาเจ้าอย่าตื่น ฮอดมื้ออื่นยามเซ้าแม่สิไป แม่สิไปหาไม้หลัวฟืนคั่นมาผ่า เพราะแม่เป็นแม่ฮ้างผัวสิเลี้ยง... แม่นบ่มี ผัวซิซ้อน แม่นบ่มี... เอ้ย.... นอ
เพลงแม่หม้ายกล่อมลูก
โดย นางบุปผา สีตะวัน
เอ่อ... เออ... เออ... นอนสาหล่า หลับตาแม่สิกล่อม นอนตื่นแล้วสิเอาแก้วใส่มือ อือ.. อือม์.. เออ ฮือ อือ... นอนสาหล่า หลับตาแม่สิกล่อม แม่ไปไฮ่สิปิ้งไก่มาหา แม่ไปนาสิปิ้งปลามาป้อน แม่เลี้ยงม่อนให้นอนอู่สายไหม อือ.. อือม์.. เออ ฮือ อือ... นอนสาหล่าหลับตาอย่าฟ้าวตื่น แม่สิขึ้นโคกคอยเก็บผักหวานมาแลกเข้า เอาหน่อไม้แลกเข้าเผิ่น สิหาเงินมาเลี้ยงเจ้า ถนอมไว้ให้ใหญ่สูง อาว์ อา ลุง น้า ป้า เหลียวหาบ่เอิ้นใส่ ย้อนนางทุกข์ยากไฮ้ ลุงป้าเผิ่นกะซัง เสียใจเด้เฮือนกะเพพอลี้อยู่ มีบ่มีเข้าอยู่ท้องสินอนลี้อยู่จั่งใด๋ เหลือใจเด้นอหล้า คำแพงบ่มีพ่อ มีแต่แม่ค้อม่อ ทอนท่อพ่อบ่มี สี่ปีนอหล่าพ่อไปค้าบ่คืนหลัง ไปหวั่งๆ ตายยังบ่ได้ข่าว ถิ้มนางเลี้ยงลูกน้อย ถิ้มนางเลี้ยงลูกน้อย ทอนท่อพ่อบ่มี... นอ
เอ้อ เหอ เออ กะ เหอ เอ้อ เหอ เออ นอนสาหล่า หลับตาแม่สิกล่อม แม่ไปไฮ่กะเห็นไก่เขี่ยยา แม่ไปนากะเห็นกาเขี่ยม้อน ต้อนติแต้นกะนอนอู่ตั๊กแตน ตักแตนโมกะสิโตห้าล้าน ยาดตาปาดกะโตสี่ตำลึง เอ้อ เหอ เออ กะ เหอ เอ้อ เหอ เออ โอนสาลูไขปักตูกะให้อ้ายคำเปะ อ้ายคำเปะกะขี้ม้าแม่หมัน ไปบ่ทันกะมันเตะมันถีบ ขาลีบๆ กะทั้งกีบทั้งเต ขาเป๋ๆ กะเตะลงป่างหง่าง เอ้อ เหอ เออ กะ เหอ เอ้อ เหอ เออ แกนแวนเอยกะเห็นควยเฮาบ่ เห็นละแหม่กะอีตู้ไปก่อน อีด่อนนำหลังกะอีดำนำก้น แขนโค้นไม่ยาง แขนขางไม้บวก ขวกอันนี้กะลีลับลีลับ แมงคับบินกะไจับกกแต้ ตั้งขี้แท้เขาว่าดอกอีลุม จูมจีเขาว่าดอกคัดเค้า นั่งเค้าเม้ากะตาเหลียกหลากลาน เอ้อ เหอ เออ กะ เหอ เอ้อ เหอ เออ
เพลงกล่อมลูกโคราช
โดย นางรำไพ เสริมรำ
เออ... เออ อือม์ แมวขาวเอย ไต่ไม้ราวหางยาวโยนเยิ่น ไต่ไม้เป็นโยนไปโยนมา เออ เอ่อ เออ แม่กาเอย อือม์ แม่กาเหว่า เอาไข่ไปฝากรังเขา แล้วเจ้าก็บินหนีมา เอย... เอย อือม์.... ว่านางแม่พระธรณีเอย... เอย อือม์.... แม่ธรณีเจ้าขา ลูกขอฝากหลานน้อยกลอยตา เอย ให้แม่ช่วยดูแล ด้วยเทอญ เอ่อ เออ...
เพลงกล่อมลูกภาคอีสาน
ไม่ทราบผู้ขับร้องและที่มา อีกสำนวนอัพโหลดโดยคุณ wisanu sagolla
กล่อมลูกภาคอีสาน
เพลงกล่อมลูกอีสาน
โดย : หมอลำวันดี พลทองสถิตย์ (หมอลำอุดมศิลป์)
คลิปเพลงกล่อมลูกนี้ฉบับเดิมเจ้าของลบออกไป จึงนำเอาประวัติหมอลำมาแทน
หมอลำอุดมศิลป์เป็นศิลปินหมอลำ ทำนองขอนแก่น เป็นหมอลำอีกท่วงทำนองหนึ่ง ด้วยวาดลำที่เป็นเอกลักษณ์ ฟังรื่นหู ไม่เยิ่นเย้อ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลาย โดยพัฒนามาจากลำพื้น กลอนลำกล่อมลูก มีดังนี้ครับ
เอ่อ เอ้อ เออ เอ่อ เอ้อ เออ...
นอนเด้อหล่าหลับตาแม่สิกล่อม นอนอู่แก้วหลับแล้วแม่สิกวย สวยพอเพลจั่งสิมากินเข้า กินเข้าแล้วจั่งค่อยแอ่วกินนม กินนมไผกะบ่คือนมแม่ นมแปส้ม นมแม่จั่งหวาน กินนมป้า นมอา เพิ่นกะหว่า กินนมแม่จั่งได้แผ่ตู่หลู
นอนสาหล่าหลับตาซ่วยๆ เผิ่นมาขายกล้วยแม่สิซื้อให้กิน เพิ่นมาขายซิ่นแม่สิซื้อให้อยู่ เพิ่นมาขายอู่แม่สิซื้อให้นอน เพิ่นมาขายกลอนแม่สิซื้อให้เล่น
นอนสาหล่าแมวโพงมาแม่สิไล่ เป็ดไก่ฮ้องไผสิป้อนเหงี่ยเกีย แม่ไปไฮ่กะขี่ควยเขาลา แม่ไปนากะขี่ควยเขาตู้ ขาหนึ่งคู้ขาหนึ่งเหยียดซอย ลมวอยวอยกะขี่ควยคอนกล้า
นอนสาหล่าหลับตาแม่สิกล่อม แม่ไปไฮ่สิปิ้งไก่มาหา แม่ไปนาสิปิ้งปลามาต้อน แม่เลี้ยงม้อนอยู่ในป่าสวนมอน เอ่อ เอ้อ เออ เอ่อ เอ้อ เออ... เอ่อ เอ้อ เออ เอ่อ เอ้อ เออ... นอนเอย
ບົດເພງເດັກນ້ອຍ ສປປລາວ
ขอแถมบทเพลงกล่อมลูกจากทางฝั่งเพื่อนบ้าน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ดังนี้ครับ
เพลงกล่อมลูก บ้างก็เรียก เพลงอื่อ หรือ แม่ฮ้างกล่อมลูก บ้างก็เรียก อ่านหนังสือง้อม ทำนองที่ใช้เป็นทำนองอ่านหนังสือ ที่พระมเหสีของของเจ้ามหาชีวิตองค์สุดท้ายแห่งพระราชอาณาจักรลาวคือ เจ้านางคำผุยสว่างวัฒนา ใช้กล่อมพระนัดดา ต่อมาได้ถ่ายทอดให้ นางบัววัน คำมาลาวง เมื่อครั้งอยู่ประจำพระราชวังเจ้ามหาชีวิต
เพลงอื่อ หรือ แม่ฮ้างกล่อมลูก (อ่านหนังสือง้อม)
สถานที่บันทึกเสียง : โรงแรมพูสี วันที่ 26 สิงหาคม 2542 ดนตรีภาคสนาม ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว บันทึกเสียงภาคสนามโดย คณะนักศึกษาปริญญาโทและคณาจารย์วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เพลงกล่อมลูกรวมทั้ง 4 ภาคของไทยเรา จัดทำโดย สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ครับ
เพลงกล่อมลูก 4 ภาคของไทย
ขอปิดท้ายด้วยเพลงกล่อมลูกจากภาพยนตร์ดัง "ลูกอีสาน" ทบทวนความทรงจำกันหน่อย
นอนสาหล่า เพลงอีสานกล่อมลูก จากภาพยนตร์เรื่อง "ลูกอีสาน"
- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Tradition
- Hits: 25542
เรื่องของการมีคู่ครองเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเป็นการเอาคนต่างครอบครัว ต่างนิสัยมาอาศัยอยู่ร่วมกัน ซึ่งต้องมีการปรับตัวเข้าหากันเพื่อสร้างครอบครัวที่มั่นคง ประเพณีโบราณอีสานจึงถือว่า "การเลือกคู่ครอง" เป็นเรื่องสำคัญ ตั้งแต่การเลือกดูดวงชะตาราศีให้สมพงษ์กัน หาเลือกงามยามดีในการแต่งงาน
สมพงษ์นาค
สมพงษ์นาค เป็นวิธีการหนึ่งของการเลือกคู่ครอง ถ้าอยากรู้ว่า ชายหญิงที่ชอบพอกันนี้ชะตาจะสมพงษ์กันหรือไม่ ให้ดูที่สมพงษ์นาค (ดังรูปด้านล่าง) ผู้ชายให้นับปีชวดจากหัวนาคไปหางนาค นับไปจนถึงปีเกิดของตน ถ้าเป็นหญิงให้เริ่มนับปีชวดจากหางนาคไปจนถึงปีเกิดของตน นอกจากนับปีเกิดแล้วยังมีการนับเดือน และวันด้วย โดยการนับเดือนให้นับจากเดือนอ้าย ส่วนวันให้นับวันจากวันอาทิตย์ ใช้วิธีการเดียวกับการนับเดือน (ชายเริ่มจากหัวนาค หญิงเริ่มจากหางนาค) แต่ที่นิยมกันคือการนับปีเกิด ซึ่งจะทำนายผลดังนี้

- ถ้าตก หัวนาคตัวเดียวกัน ท่านว่าดีนักแล
- ถ้าตก หัวนาคทั้งสองคน แต่ต่างตัวกัน ท่านว่า จะอยู่กันไม่ยืด
- ถ้าตก หางนาคตัวเดียวกันทั้งสองคน ท่านว่าดีนักแล
- ถ้าตก หางนาคทั้งสองคน แต่ต่างตัวกัน ท่านว่าจะหย่าร้างกัน
- ถ้าตก กลางตัวนาคทั้งสองคนและตัวเดียวกัน ท่านว่าดี จะมั่งมีศรีสุข
- ถ้าตก กลางตัวนาคทั้งสองคน แต่ต่างตัวกัน ท่านว่าไม่ดี จะตายจากกันตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาอันควร
- ถ้าตก หัวนาคและหางนาคตัวเดียวกัน ท่านว่าดีปานกลาง
- ถ้าตก กลางตัวนาคทั้งสองคน และเป็นศูนย์เดียวกันด้วย ท่านว่าไม่ค่อยดี
- ถ้าตก ที่หัวนาค กลางนาค และหางนาคตัวเดียวกันและเป็นศูนย์เดียวกันด้วย ท่านว่าไม่ดี จะได้รับความลำบาก
สมพงษ์วัน
โบราณประเพณีได้กำหนดวันสมพงษ์เป็นมิตร และเป็นคู่ครองกันไว้ดังนี้
- พุธ ก็หากเข้าฮ่วมห้องจาเจ้าแจ่มพระจันทร์
- พฤหัส บาทไท้เว้าแม่นอาทิตย์
- ศุกร์ เฮียงคารนิมิตร กันจาต้าน
- เสาร์ สถิตย์ใกล้ ราหู เฮียงพ่าน
อธิบายว่า วันพุธคู่กับวันจันทร์ วันพฤหัสบดีคู่กับวันอาทิตย์ วันศุกร์คู่กับวันอังคาร วันเสาร์คู่กับวันราหู (คือวันพุธกลางคืน) ถ้านอกจากคู่นี้ชื่อว่าไม่สมพงษ์
ดูดวงเนื้อคู่ ดวงสมพงศ์นาคคู่ จาก ตำราพรหมชาติ
สมพงษ์ปี
ในตำรา "หนังสือใบลานหมอดูอีสาน" นั้น พบเฉพาะหลักการสมพงษ์ปี และวัน ไม่พบเห็นการจับคู่สมพงษ์เดือน ในตำราการจับคู่สมพงษ์ปีที่จะเป็นมิตรและเป็นคู่ครองที่ดีนั้น มีกำหนดไว้ดังนี้
ปีชวด - ปีมะโรง | เทวดาผู้ชาย | ปีมะเมีย - ปีมะแม | เทวดาผู้หญิง |
ปีวอก - ปีระกา | ยักษ์ผู้ชาย | ปีจอ - ปีขาล | ยักษ์ผู้หญิง |
ปีมะเส็ง - ปีฉลู | มนุษย์ผู้ชาย | ปีเถาะ - ปีกุน | มนุษย์ผู้หญิง |
การแต่งงานจึงควรจับคู่ให้สมพงษ์กัน คือ เทวดาผู้ชายคู่กับเทวดาผู้หญิง ยักษ์ผู้ชายคู่กับยักษ์ผู้หญิง มนุษย์ผู้ชายแต่งกับมนุษย์ผู้หญิง ถ้าจับคู่นอกเหนือจากนี้ถือว่าไม่ดี
อย่างไรก็ตาม หากทั้งสองคนบ่าวสาวมีความรักใคร่ ใจบริสุทธิ์ใสซื่อต่อกัน ก็ไม่ต้องใส่ใจต่อการสมพงษ์ แต่ให้มุ่งมั่นทำความดีปฏิบัติตามฆราวาสธรรมอย่างเคร่งครัด มีจิตใจเป็นพระ สงบเย็น มีขันติธรรม ให้อภัยแก่กัน ครอบครัวก็จะร่มเย็นเป็นสุข มั่นคงยั่งยืนตลอดไป โดยไม่ต้องไปสนใจว่าคู่เราจะเป็นเทวดา ยักษ์ มนุษย์ชายหรือหญิง แต่อย่างใด
สีประจำวัน
"สีประจำวัน" ที่สมพงษ์กับคนเกิดวันต่างๆ ซึ่งสามารถสร้างความพึงพอใจแก่คนที่เราคบหา หากเลือกของขวัญของฝากให้ตรงกับสีประจำวันของผู้ที่เราคบหา ก็จะได้รับความรัก ความเมตตาจากผู้นั้น หากเราแต่งตัวให้มีสีตรงกับสีประจำวันของเรา ก็อาจจะได้รับผลดีเช่นกัน สีที่ต้องโฉลกหรือเป็นศิริมงคลประจำวัน ดังนี้
วันอาทิตย์ | สีแดง |
วันจันทร์ | สีขาว หรือ สีเทา |
วันอังคาร | สีชมพู |
วันพุธ | สีแสด หรือ สีเหลือง |
วันพฤหัสบดี | สีเขียว หรือ สีเหลือง |
วันศุกร์ | สีม่วง หรือ สีเทาแก่ |
วันเสาร์ | สีดำ หรือ สีครามแก่ |
การหาฤกษ์แต่งงาน
นอกจากเรื่องของดวงสมพงษ์และสีแล้ว เมื่อตกลงปลงใจจะร่วมชีวิตใหม่ร่วมกันแล้ว ก็ต้องหาฤกษ์งามยามดีในการประกอบพิธีกรรมแต่งงาน ควรเลือกฤกษ์ยามตามแนวปฏิบ้ติดังนี้
- เดือนที่นิยมในการจัดงานวิวาห์ นิยมเป็นเดือนคู่ ได้แก่ เดือนยี่ (เดือนสอง) เดือนสี่ เดือนหก เดือนสิบ และเดือนสิบสอง ส่วนเดือนคี่ จะเป็น เดือนเก้า (แต่ชาวอีสานจะไม่นิยมกัน เพราะถือว่าอยู่ในช่วงกลางพรรษา)
- วันแต่งงาน จะเลือกเอาวันข้างขึ้นหรือข้างแรมที่เป็น "วันหัวเฮียง(เคียง)หมอน" เป็นวันศิริมงคล (ไม่คำนึงถึงวันที่และวันในสัปดาห์ อย่าง จันทร์ อังคาร พุธ ฯลฯ)
- วันหัวเฮียงหมอน เป็นวันเหมาะแก่การจัดงานแต่งงาน ยกเว้นวันจม แต่จะถูกวันฟูหรือไม่ก็ไม่เป็นไร วันหัวเฮียงหมอนประกอบด้วย
- ข้างขึ้น ได้แก่ ขึ้น 6 - 7 - 10 - 11 -12 - 13 ค่ำ
- ข้างแรม ได้แก่ แรม 3 - 7 - 9 - 13 ค่ำ - วันที่ห้ามแต่งงาน มีดังนี้
- ข้างขึ้น เช่น ขึ้น 1 - 2 - 3 - 4 - 5 - 8 - 9 - 14 - 15 ค่ำ
- ข้างแรม เช่น แรม 1 - 2 - 4 - 5 - 6 - 8 - 10 - 12 - 14 - 15 ค่ำ
อ่านมาถึงตรงนี้ บางท่านอาจจะวิตกกังวล เพราะตรวจสอบดูแล้วพบว่า ตนได้จัดการงานแต่งงานไปในวัน หรือฤกษ์ต้องห้ามข้างต้น โบราณท่านว่าแก้ไขได้ ด้วยการไหว้พระสวดมนต์ทุกเช้าเย็น หม้่นตักบาตรทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร จะพ้นทุกข์ มีสุขทุกคืนวันแล...
การเลือกคู่ดูอย่างไร?
ศึกษาเรื่อง ดวง โหราศาสตร์ กันแล้ว ก็มาดูรายละเอียดในทัศนะของหมอ (จิตวิทยา) ปัจจุบันกันบ้าง โดยทั่วไปทั้งชายแลหญิงมักจะมีความคิดในเรื่องการมีคู่ครองเมื่อถึงวัยอันควร แต่มักจะมีคำถามว่า "ควรจะเลือกคู่ครองอย่างไรจึงจะถูกใจ" ซึ่งไม่มีคำตอบที่เฉพาะเจาะจงและตายตัว แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงวิธีการเลือกคู่ครองเราควรที่จะทราบเกี่ยวกับความจริง 7 ข้อ ดังนี้
- คู่ครองของเราก็เป็นคนธรรมดา ซึ่งอาจจะมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปได้ เช่น ขี้บ่น เจ้าระเบียบ ไม่พูดจาหวานเหมือนดังเคย ฯลฯ ดังนั้นจึงควรสังเกต และทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ
- คู่ครองของเราก็มีความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งบางเรื่องอาจจะมีถูกใจเรา แต่นั้นก็คือ ตัวของเขา ซึ่งถ้าคุณรักเขาคิดที่จะอยู่ร่วมกับเขาอย่างมีความสุขก็คงจะต้องยอมรับและปรับตัวเข้าหากัน
- ทุกคนก็คงอยากให้คู่ครองของเรารักเราคนเดียว แต่ในความเป็นจริงก็พบว่า มีปัญหาเรื่องของเมียน้อยหรือเรื่องชู้สาวอยู่เสมอ ซึ่งข้อนี้ก็คงจะต้องทำใจถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดกับเราขึ้นมาจริงๆ
- เรื่องของเศรษฐฐานะก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยมีส่วนช่วยให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข ตามสมควร ซึ่งถ้าทั้งคุณและคู่ครองของคุณเป็นคนขยันสร้างฐานะก็คงไม่ต้องกลัวว่าชีวิตจะลำบาก
- ในอนาคตถ้าคุณมีลูกก็คงหวังว่าน่าจะเป็นที่พึ่งในอนาคตได้ ซึ่งถ้าคุณเลี้ยงดูให้ความรักและการศึกษาแก่เขา เขาก็คงจะเป็นคนดีและอาจจะเป็นที่พึ่งของคุณได้อย่างที่หวังไว้
- การมีคู่ครองถ้าไม่ได้เกิดจากความรัก หรือความพอใจของคุณเอง เช่น บางคนแต่งงาน เพื่อให้พ่อแม่สบายใจ ก็คงจะต้องเตรียมใจว่าอาจจะเป็นปัญหาในอนาคตได้
- คงเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องที่จะแต่งงานเพื่อเป็นการหนีปัญหาบางอย่าง เช่น มีปัญหาพ่อแม่ อยากเป็นอิสระเพราะนอกจากไม่เป็นการแก้ปัญหาและก็อาจจะเกิดปัญหาอื่นได้อีกในอนาคตอันใกล้
ที่กล่าวมาแล้วเป็นเพียงความจริงบางส่วนของการมีชีวิตคู่ ซึ่งนอกเหนือไปจากความสุขและความอบอุ่นในชีวิตของการมีคู่ครอง ดังนั้น ถ้าคุณคิดที่จะเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ครอง ก็คงต้องพิจารณาว่าคุณยอมรับความจริงเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะแก่การแต่งงานหรือเป็นพ่อแม่แต่ก็สามารถที่จะมีชีวิตที่ดีตามปกติได้เช่นกัน
สำหรับท่านที่คิดว่า พร้อม (หรือยังไม่พร้อม แต่สนใจ) ลองมาดูว่าหลักเกณฑ์ทั่วไป ที่มักจะใช้ในการเลือกคู่มีอะไรบ้าง
- ควรจะเป็นคนที่คุณรู้สึกพอใจในตัวเขาในหลายๆ ด้าน เช่น รูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ ท่าทาง การใช้คำพูด ฯลฯ บางคนอาจเรียกว่า ถูกชะตาก็ได้ ซึ่งคนอื่นอาจจะไม่เห็นข้อดีของเขาอย่างที่คุณเห็นก็ได้
- มีทัศนคติตรงกัน หรือพูดกันรู้เรื่อง คือไวต่อความต้องการของอีกฝ่ายพอสมควร ซึ่งฝึกได้ถ้าคุณเอาใจใส่ สนใจคู่ของคุณมากๆ
- มีความรู้สึกชื่นชมยกย่องซึ่งกันและกันแม้ว่าจะทำงานคนละด้านหรือมีการศึกษาที่แตกต่างกัน
- มีเหตุผล พูดจาปรึกษาหารือกันได้ ไม่ใช้แต่อารมณ์อย่างเดียว
- ขยัน สำคัญมากเพราะมีส่วนช่วยสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตคู่และอนาคตข้างหน้า
- ปรารถนาดีต่อกัน หรือจริงใจต่อกัน ข้อนี้ต้องดูกันนานว่าไม่ได้แสแสร้งหรือหวังผลประโยชน์
- อายุก็มีความสำคัญ เพราะจะทำให้มีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น มีความอดทน และมีความพร้อมมากขึ้น
- มีสุขภาพกายที่ดี หมายถึงแข็งแรงและมีสุขภาพอนามัยที่ดี
- มีสุขภาพจิตดี ปรับตัวเข้ากับคนและสิ่งแวดล้อมได้ ไม่มองโลกในแง่ร้ายมากเกินไป และถ้ามีปัญหาทางสุขภาพจิต เช่นกังวลมากๆ เป็นโรคจิต ซึมเศร้า ก็คงต้องได้รับการบำบัดก่อน
- ควรมีพื้นฐานทางเศรษฐฐานะพอที่จะพึ่งตนเองได้ เพื่อที่จะได้ไม่เกิดปัญหากับชีวิตคู่ ในอนาคต
- ความรัก ข้อนี้คงจะรู้กันได้ถ้าพบคนที่คุณถูกใจ
ทั้งหมดเป็นเพียงหลักเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งก็ไม่จำเป็นจะต้องมีทุกข้อ คิดว่ามีข้อที่สำคัญหลายๆ ข้อ น่าจะได้คนที่ดีเพียงพอที่จะเป็นคู่ครองของเราได้ แล้วอย่าลืมปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนที่ดีและมีค่าในตัวเอง เพื่อที่ว่าคุณจะได้เป็นคนที่มีค่าอีกคนหนึ่งในสังคม
ที่มา : ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : การเลือกคู่ครอง | การแต่งงานแบบอีสาน | แซนการ์ แต่งงานอีสานใต้ | ซัตเต แต่งงานชาวกุย