- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Tradition
- Hits: 43575
วิวัฒนาการของคนผ่านกาลเวลา พบกับภัยธรรมชาติ ทั้ง ฟ้าผ่า ไฟไหม้ น้ำท่วม ความแห้งแล้ง ทำให้เกิดการบอกเล่าและสังเกต จดจำ ทำสถิติจดบันทึก เปรียบเทียบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยาวนานนับร้อย นับพันปี เป็นขุมความรู้ของมนุษย์ ว่าฤดูกาลใดควรทำสิ่งใด วันใดเวลาใดทำการแล้วได้ผลดี วันใดทำแล้วเกิดผลเสีย
การหาฤกษ์งาม-ยามดี จึงหมายถึงเวลาที่มีอิทธิพลในชีวิตประจำวันของคน โดยเฉพาะเวลาประกอบพิธีต่างๆ ย่อมจะติดขัดถ้าไม่รู้ฤกษ์ยาม ความเชื่อของคนเชื่อว่า ฤกษ์นอกจากจะช่วยให้อยู่ดีกินดี ยังมีผลในทางสังคมวิทยาด้วย เช่น การหาวัน เวลาที่เหมาะสม ย่อมสามารถนัดหมายญาติ-มิตรให้พร้อมเพรียง เพื่อประกอบกิจการงานที่ต้องการความร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจนั้นให้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้านแปงเฮือน แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ซึ่งฤกษ์ยามที่ควรทำรู้จักมีดังนี้
- วันจม-วันฟู วันจม คือ วันไม่ควรทำการอันเป็นมงคลต่างๆ ทุกอย่าง เพราะจะนำไปสู่ความล่มจมหายนะ ต้องทำการในวันฟู คือ วันที่เฟื่องฟู นำไปสู่ความก้าวหน้า ควรทำการมงคลในวันนี้ วันจมและวันฟูรู้ได้อย่างไร โบราณท่านได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานดังนี้
เดือน วันจม วันฟู อ้าย (เดือน ๑)วันศุกร์วันจันทร์ยี่ (เดือน ๒)วันเสาร์วันอังคารสาม, แปดวันอาทิตย์วันพุธสี่, เก้าวันจันทร์วันพฤหัสบดีห้า, สิบวันอังคารวันศุกร์หก, สิบเอ็ดวันพุธวันเสาร์เจ็ด, สิบสองวันพฤหัสบดีวันอาทิตย์
- วันอมุตโชค คือ วันที่เป็นมงคลยิ่ง เป็นวันที่เชื่อกันว่าเยี่ยมยอดด้วยโชค ดังนั้นการประกอบพิธีต่างๆ นอกจากจะให้ตรงกับวันฟูวันจมแล้ว ยังต้องให้ตรงกับวันอมุตโชคนี้ด้วย จึงจะได้ชื่อว่าได้รับมงคลยิ่ง การศึกษาวันอมุตโชคให้ยึดข้างขึ้นข้างแรมที่ตรงกับวันต่างๆ ไม่ว่าจะในสัปดาห์ และเดือนใดก็ตาม ดังนี้
อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ ข้างขึ้น (ค่ำ) 8 3 9 2 4 1 5 ข้างแรม (ค่ำ) 8 3 9 2 4 1 5
- วันดีถีทั้งห้า คือ วันที่พระจันทร์ประกอบด้วยฤกษ์ที่เป็นมงคล 5 ดวง และแต่ละดวงก็จะอำนวยผลต่อสิ่งที่เรากระทำต่างประเภทกัน วันดิถีทั้งห้าเราจะรู้จากวันขึ้นแรมของทุกเดือน ที่ตรงกับวันต่างๆ ดังนี้
ชื่อดิถี วัน ข้างขึ้น-แรม (เดือน) การกระทำ ไชยดิถี อังคาร3-8-13 ค่ำเหมาะสำหรับการสรงน้ำคุด ขอ นอ งา และให้ออกทัพจับศึก ภัทรดีถี พุธ2-7-12 ค่ำเหมาะสำหรับการให้ยศ ให้ตำแหน่ง และฉลองศักดินาตราตั้ง ปุณณดิถี พฤหัสบดี5-10-15 ค่ำเหมาะสำหรับการประกอบการค้าและปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร นันทดีถี ศุกร์1-6-11 ค่ำเหมาะสำหรับการปลูกเรือนย้าวท้าวพระยา มิตตะดิถี เสาร์4-9-14 ค่ำเหมาะสำหรับการเจริญทางการทูต ผูกเสี่ยว การสู่ขวัญต้อนรับ
ดิถีมหาโชค
ดิถีมหาโชค การทำงานมงคลทั้งการแต่งงาน ปลุกบ้านเฮือนใหม่ ขึ้นบ้านใหม่ เฉลิมฉลองใดๆ ให้เลือกทำและละเว้นตามวันในตารางข้างล่างนี้
วัน | อาทิตย์ | จันทร์ | อังคาร | พุธ | พฤหัส | ศุกร์ | เสาร์ | ดิถี | คำทาย |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
8
|
3
|
9
|
2
|
4
|
1
|
5
|
อำฤตโชค
|
ดี
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
11
|
5
|
14
|
10
|
9
|
11
|
4
|
สิทธิโชค
|
ดี
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
14
|
12
|
13
|
4
|
7
|
10
|
15
|
มหาสิทธิโชค
|
ดี
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
8
|
3
|
13
|
10
|
4
|
1
|
11
|
ชัยโชค
|
ดี
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
6
|
3
|
9
|
6
|
12
|
1
|
5
|
ราชาโชค
|
ดี
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
1
|
4
|
6
|
9
|
5
|
3
|
7
|
ทึกทึน
|
ชั่ว-ร้าย
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
4
|
6
|
1
|
3
|
8
|
7
|
1
|
ทรธึก
|
เลว
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
12
|
11
|
7
|
13
|
6
|
8
|
9
|
ยมขันธ์
|
เลว
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
4
|
6
|
1
|
3
|
3
|
9
|
1
|
อัตนิโรจน์
|
เลว
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
1
|
2
|
10
|
7
|
1
|
6
|
6
|
ทินกาล
|
เลว
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
12
|
10
|
15
|
8
|
5
|
7
|
8
|
ทินสูญ
|
เลว
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
4
|
6
|
1
|
3
|
8
|
9
|
10
|
กาฬโชค
|
เลว
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
4
|
2
|
7
|
5
|
8
|
3
|
6
|
กาลสูญ
|
เลว
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
12
|
11
|
10
|
9
|
8
|
7
|
1
|
กาลทัณฑ์
|
เลว
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
4
|
6
|
10
|
9
|
8
|
9
|
1
|
โลกวินาส
|
เลว
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
4
|
8
|
6
|
4
|
8
|
8
|
9
|
วินาสส์
|
เลว
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
6
|
10
|
8
|
7
|
2
|
9
|
12
|
พิลา
|
เลว
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
9
|
1
|
10
|
9
|
8
|
7
|
6
|
มฤตยู
|
เลว
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
7
|
8
|
4
|
7
|
1
|
14
|
14
|
วันบอด
|
เลว
|
ขึ้น-แรม (เดือน)
|
5
|
6
|
10
|
8
|
11
|
5
|
7
|
กาลทีน
|
เลว
|
การเลือกทำและละเว้นให้ดูวันในแต่ละเดือนว่าดี หรือเลว ดีให้เอา เลวให้ละเว้น และถ้าไปตรงกับวันจมแม้จะเป็นวันอำฤตโชคก็ให้เว้นด้วย เช่นกัน
ดิถีมหาสูญ
ถ้าเดือนต่อไปนี้ ตรงกับวันขึ้น-แรม (เดือน) ดังตารางถือว่าเป็นวันมหาสูญ แม้ว่าบางครั้งวันขึ้นแรมจะตรงกับ 5 ช่องแรกของวันดิถีมหาโชค แต่วันในสัปดาห์ไม่ตรงกันก็ถือว่า เลว จึงห้ามประกอบพิธี หรือการงานมงคลทั่วไป
เดือน | ขึ้น-แรม/ค่ำ | เดือน | ขึ้น-แรม/ค่ำ |
---|---|---|---|
6-3 | 4 | 7-10 | 8 |
8-5 | 6 | 11-2 | 12 |
9-12 | 10 | 4-1 | 2 |
ฤกษ์เดินทาง
เวลาจะเดินทางไปทำการมงคล หรือประกอบธุรกิจอะไร ห้ามไปหรือเดินทาง หรือนั่งหันหน้าไปในทิศทางที่ผีหลวง หรือหลาวเหล็กอยู่ ควรหันหน้าไปในทิศที่เทพเจ้าอยู่ ถ้าจำเป็นต้องเดินทางก็ให้เดินทางไปในทิศทางที่เทพเจ้าอยู่ก่อนแล้ว ค่อยโค้งคืนมาในทิศทางไม่ดีนั้น ผีหลวงหลาวเหล็ก หรือเทพเจ้าอยู่ประจำทิศต่างๆ กัน ตามวันดังนี้
วัน | เทพเจ้าอยู่ทิศ | หลาวเหล็กอยู่ทิศ | ผีหลวงอยู่ทิศ |
---|---|---|---|
อาทิตย์ | ตะวันออกเฉียงใต้ | ตะวันตก | ตะวันออกเฉียงเหนือ |
จันทร์ | ตะวันตก | ตะวันออก | ตะวันออก |
อังคาร | ตะวันตกเฉียงใต้ | เหนือ | ตะวันออกเฉียงเหนือ |
พุธ | ใต้ | เหนือ | เหนือ |
พฤหัสบดี | เหนือ | ใต้ | ใต้ |
ศุกร์ | ตะวันออก | ตะวันตก | ตะวันตก |
เสาร์ | ตะวันตกเฉียงเหนือ | ตะวันออก | ตะวันออกเฉียงใต้ |
ทิศและยามดีประจำวัน
ถ้าต้องการจะเดินทางไปทำการค้าขาย ทำธุรกิจยังต่างถิ่นต่างที่ ควรจะเลือกเวลาในการเดินทาง และทิศทางเดินออกจากเคหสถานเพื่อโชคลาภ ทำมาค้าขึ้น ดังนี้
วัน | ชื่อยาม | เวลาดี | ทิศดี |
---|---|---|---|
อาทิตย์ | ยามศุกร์ | 07.30 - 09.00 น. | เหนือ |
ยามพุธ | 09.00 - 10.30 น. | ทุกทิศ | |
ยามจันทร์ | 10.30 - 12.00 น. | ตะวันตก | |
จันทร์ | ยามเสาร์ | 07.30 - 09.00 น. | เหนือ |
ยามพฤหัส | 13.30 - 15.00 น. | ทุกทิศ | |
ยามศุกร์ | 15.00 - 16.30 น. | ทุกทิศ | |
ยามพุธ | 16.30 - 18.00 น. | ทุกทิศ | |
อังคาร | ยามศุกร์ | 09.00 - 10.30 น. | เหนือ |
ยามพุธ | 10.30 - 12.00 น. | ตะวันตก | |
ยามจันทร์ | 12.00 - 13.30 น. | ตะวันออก | |
ยามเสาร์ | 13.30 - 15.00 น. | เหนือ | |
ยามพฤหัส | 15.00 - 16.30 น. | ทุกทิศ | |
พุธ | ยามพุธ | 06.00 - 07.30 น. | ทุกทิศ |
ยามจันทร์ | 07.30 - 09.00 น. | ทุกทิศ | |
ยามพฤหัส | 10.30 - 12.00 น. | ทิศเหนือ | |
ยามศุกร์ | 15.00 - 16.30 น. | ทิศตะวันออก | |
ยามพุธ | 16.30 - 18.00 น. | ทุกทิศ | |
พฤหัสบดี | ยามพฤหัส | 06.00 - 07.30 น. | ทุกทิศ |
ยามอาทิตย์ | 09.00 - 10.30 น. | ทุกทิศ | |
ยามศุกร์ | 10.30 - 12.00 น. | ทุกทิศ | |
ยามพุธ | 12.00 - 13.30 น. | ทุกทิศ | |
ยามจันทร์ | 13.30 - 15.00 น. | ทุกทิศ | |
ยามพฤหัส | 16.30 - 18.00 น. | ทิศอุดร | |
ศุกร์ | ยามศุกร์ | 06.00 - 07.30 น. | ทุกทิศ |
ยามพุธ | 07.30 - 09.00 น. | ทุกทิศ | |
ยามจันทร์ | 09.00 - 10.30 น. | ทิศตะวันออก | |
ยามเสาร์ | 10.30 - 12.00 น. | ทุกทิศ | |
ยามพฤหัส | 12.00 - 13.30 น. | ทุกทิศ | |
ยามอังคาร | 13.30 - 15.00 น. | ทิศเหนือ | |
ยามศุกร์ | 16.30 - 18.00 น. | ทุกทิศ | |
เสาร์ | ยามพฤหัส | 07.30 - 09.00 น. | ทุกทิศ |
ยามศุกร์ | 12.00 - 13.30 น. | ทุกทิศ | |
ยามพุธ | 13.30 - 15.00 น. | ทุกทิศ |
ดิถีฤกษ์ห้ามกระทำมงคล
โบราณาจารย์อีสานท่านกล่าวไว้ว่า สงฆ์ 14 นารี 11 สมรส 7 เผาศพ 15 นั้น ไม่ดีเลย ห้ามกระทำเด็ดขาด ความหมายของคำกล่าวนี้ คือ
- สงฆ์ 14 ในที่นี่ตัวเลข 14 หมายถึง วันข้างขึ้นหรือข้างแรม 14 ค่ำ มิได้หมายถึงจำนวนพระสงฆ์ 14 รูป ดังนั้นการกระทำกิจการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนิมนต์พระสงฆ์มาประกอบพิธีกรรม เช่น การขึ้นบ้านใหม่ เปิดป้ายอาคารสำนักงาน งานบวช งานแต่ง จะไม่เป็นมงคลเกิดวิบัติในภายหลัง พึงละเว้น (กุศโลบายนี่น่าจะหมายถึง วันเหล่านี้พระสงฆ์ท่านมีกิจจะต้องกระทำอยู่ในวัด ห้ามรบกวน)
- นารี 11 ในที่นี่ตัวเลข 11 ก็หมายถึง วันข้างขึ้นข้างแรม 11 ค่ำ เช่นเดียวกัน มิได้หมายถึงจำนวนสตรี 11 นางแต่อย่างใด การทำงานมงคลที่เกี่ยวข้องกับสตรีทุกเพศทุกวัย ไม่ควรกระทำในวันนี้ เช่น การบายศรีสู่ขวัญในวันข้างขึ้นหรือแรม 11 ค่ำ
- สมรส 7 การทำพิธมงคลสมรส ก็มีข้อห้ามมิให้กระทำในวันข้างขึ้นหรือข้างแรม 7 ค่ำ โดยเฉพาะถ้าเป็นข้างขึ้น 7 ค่ำ ตรงกับวันศุกร์ห้ามเด็ดขาด
- เผาศพ 15 การเผาศพหรือปลงศพ ก็มีข้อห้ามไม่ให้กระทำในวันข้างขึ้นหรือข้างแรม 15 ค่ำ เพราะพระสงฆ์มีกิจต้องกระทำในวันธัมมัสวนะและวันอุโบสถ ยิ่งถ้าไปตรงกับวันศุกร์ 15 ค่ำ โบราณท่านห้ามเด็ดขาดเพราะตรงกับวันปลงพระศพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่มา : ได้มาจากหนังสือที่ระลึกงานศพ (ผู้ใดไม่ปรากฏ เพราะปกฉีกขาด เสียหาย และปลวกกัดแทะหลายส่วน)
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Tradition
- Hits: 23456
การปฏิบัติด้านศาสนพิธีของชาวพุทธในภาคอีสานนั้น มีคนเป็นจำนวนมากที่ยังไม่เข้าใจ หรือเข้าใจแต่นำมาใช้ปฏิบัติผิดไป เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจเพราะมีคนอยากรู้แต่ไม่มีคนสอน ผู้ที่น่าจะสอนได้ก็ไม่สอนเพราะเกิดความลังเลไม่แน่ใจว่าถูกหรือเปล่า เพราะไปเห็นมาหลายที่ก็กระทำผิดแผกแตกต่างกันไป
การทำบุญในประเพณีอีสานบ้านเฮา ที่ปฏิบัติกันอยู่จะมี 2 อย่างคือ
- ทำบุญงานมงคล หมายถึง การทำบุญเพื่อนำสิ่งที่ดีเป็นสิริมงคลอยู่แล้วให้เป็นสิริมงคลยิ่งๆ ขึ้น เช่น งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ การแต่งงาน เป็นต้น
- ทำบุญงานอวมงคล หมายถึง การทำบุญเพื่อทำสิ่งที่ชั่วร้ายให้กลายเป็นดี เช่น การทำบุญเนื่องในงานศพ เป็นต้น
ตัวอย่างนี้เป็นการปฏิบัติของการทำบุญบ้านแบบอีสาน ซึ่งมีวิธีการและขั้นตอนดังนี้
การเตรียมงาน
- หาและกำหนดวันทำบุญบ้าน ก็คงจะต้องเลือกวันที่ดีตามฤกษ์ยาม และต้องเลือกวันสะดวก กล่าวคือ สะดวกทั้งเจ้าภาพ ผู้มาร่วมงาน และพระสงฆ์ที่จะรับนิมนต์มาในงานบุญท่านต้องไม่ติดกิจนิมนต์อื่นๆ
- นิมนต์พระสงฆ์ (อาราธนา) มาเจริญพระพุทธมนต์ตามจำนวนที่ต้องการ โดยใน งานมงคล นิยมนิมนต์ พระสงฆ์จำนวนเป็นเลขคี่ เช่น 5-7-9 เป็นต้น แต่ถ้าเป็น งานอวมงคล คือ งานศพจะนิมนต์ พระสงฆ์เป็นเลขคู่ เช่น 4-6-8-10 รูป เป็นต้น
- หาเสื่ออาสนะปูสำหรับพระสงฆ์ นิยมทำกันอยู่สองแบบคือ ยกพื้นอาสน์สงฆ์ให้สูงขึ้น โดยใช้เตียงหรือม้านั่งยาวมาต่อกันให้ยาวพอสำหรับจำนวนพระสงฆ์ มักจะใช้ในกรณีทางญาติโยม เจ้าภาพนั่งบนเก้าอี้กัน อีกวืธีหนึ่งคือปูลาดอาสนะพื้นธรรมดา โดยแยกออกจากพื้นที่ของที่นั่งญาติโยมด้วยการปูผ้าพับอีกหนึ่งชั้น ปัจจุบันนิยมใช้อาสน์สงฆ์ที่รองนั่งแบบพับได้ (ตามรูปประกอบด้านบน) เพื่อความสะดวกโดยมีจำนวนเท่ากับพระสงฆ์ที่นิมนต์มา
- เตรียมน้ำดื่ม กระโถน และอื่นๆ ไว้ด้วยให้ครบจำนวนตามที่เรานิมนต์มา โดยวางไว้ทางด้านขวามือของพระแต่ละรูป
- เตรียมภัตตาหารสำหรับถวายพระ (ควรเป็นอาหารสุขภาพ ไม่สร้างปัญหาการเป็นโรค NCDs เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดัน เป็นต้น) และปัจจัยไทยทานอื่นๆ
- ตั้งโต๊ะหมู่บูชา เอามาตั้งไว้ข้างขวาของพระประธานสงฆ์ (ถ้าไม่มีก็ไม่ต้อง) จัดโต๊ะหมู่และเครื่องบูชาให้ถูกต้อง
- จัดหาถาดคายมุงคุล (มงคล) แล้วใส่คายเครื่องบูชาและเครื่องมงคลดังนี้
- ขัน 5 คือ ดอกไม้ขาว 5 คู่ เทียน 5 คู่
- เงิน 1 บาท 50 สตางค์ หรือถ้ามีศรัทธาให้ถวายต่างหาก
- บาตรหรือขันน้ำมนต์ ที่ใส่น้ำที่ใสสะอาด ใส่ว่านหอม หรือผลส้มป่อยเผาลงในน้ำ แล้วตั้งไว้ตรงกลางถาด (เว้นงานศพ)
- เทียนน้ำมนต์
- ไม้มงคล (ไม้ไขว้ตีนกา) เอามาวางไขว้กันบนปากบาตรน้ำมนต์ จะเอาไม้ไผ่หรือหญ้าคาแทนก็ได้
- ด้ายมงคล หรือ ด้ายสายสิญจน์ เรียกถูกทั้งสองอย่าง (แต่นิยมเรียกด้ายมงคลเมื่อใช้ในงานมงคล เรียกด้ายสายสิญจน์เมื่อใช้ในงานศพ)
- ที่ประพรมน้ำมนต์ คือ มัดกำหญ้าคาหรือมัดก้านมะยมพร้อมใบ จำนวน 1 กำ
- ดอกไม้ใส่แจกัน ธูปเทียนในกระถางธูปและเชิงเทียน เพื่อจุดบูชาพระรัตนตรัย
- ไม้ขีดและเทียนชนวน เพื่อจุดให้ผู้ใหญ่ (ประธานในพิธี) ใช้จุดเทียนและธูปบูชาที่โต๊ะหมู่ก่อนเริ่มพิธี (เคล็ดลับ : ควรเตรียมธูปและเทียนให้จุดติดได้ง่ายๆ แม้จะมีลมพัดบ้างก็ตาม ด้วยการใช้ยาหม่องทั่วไปชุบที่ปลายของธูปและเทียน จะจุดติดสะดวกขึ้นนักแล)
- จัดที่วางบาตรและหาผ้ารองตั้งบาตรไว้ให้พร้อม (ผ้าขาว)
- เตรียมพาหนะไว้รับ-ส่งพระสงฆ์จากวัดมาสถานที่จัดงานให้พร้อม
- อื่นๆ (เช่น หมากพลู บุหรี่ เป็นต้น) ยุคนี้อาจจะตัดออกได้ เพราะถือว่าเป็นยาเสพติดให้โทษต่อร่างกาย ไม่ควรส่งเสริม รวมทั้งอาหารที่ถวายในการฉันเช้า-เพล ควรพิจารณาถึงสุขภาพพลานามัยของพระสงฆ์ให้มาก อย่าถวายตามความชอบของเจ้าของงาน ซึ่งมักจะมีความหวาน มัน เค็ม ที่ทำให้พระต้องผจญกับโรคภัย เช่น โรคอ้วน ความดัน เบาหวาน กันมากมายในปัจจุบัน
เริ่มพิธีทางศาสนา
เมื่อพระสงฆ์เดินทางมาถึง และนั่งบนอาสนะของท่านเรียบร้อยแล้ว ให้ดำเนินการดังนี้
- ประเคนน้ำ (หมากพลู บุหรี่ ปัจจุบันควรยกเลิกไปเพราะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ) ตาลปัตร และวางบาตรบนที่จัดเตรียมไว้ ข้อที่ควรระวังคือ สิ่งของที่ประเคนแล้วนั้น ห้ามฆารวาสไปจับต้องอีก หากเผลอไปจับต้องจะต้องทำการประเคนใหม่
ลักษณะประเคนของที่ถูกต้อง
- ของที่ประเคนนั้นต้องไม่ใหญ่โตหรือหนักเกินไป ยกให้ด้วยคนเดียวได้และต้องยกของนั้นให้พ้นจากพื้นที่ของนั้นวางอยู่
- ผู้ประเคนต้องเข้ามาในหัตถบาส คือผู้ประเคนต้องอยู่ห่างจากพระผู้รับประเคนประมาณหนึ่งศอก
- ผู้ประเคนน้อมสิ่งของเข้ามาให้นั้นจะส่งด้วยมือก็ได้ หรือจะตักส่งให้ด้วยของเนื่องกาย เช่น ใช้ทัพพีตักถวายได้
- พระภิกษุผู้รับประเคนจะรับด้วยมือก็ได้ จะเอาผ้ารับทอดก็ได้ หรือจะเอาภาชนะรับ เช่น บาตร หรือจานรับส่งของที่เขาตักถวายก็ได้ - เชิญเจ้าภาพ หรือประธานในพิธีจุดธูปเทียน ที่โต๊ะหมู่บูชาเพื่อบูชาพระรัตนตรัย (ธูปเทียนที่ใช้นั้นมีเทียน 2 เล่ม ธูป 3 ดอก ต้องจุดเทียนเล่มข้างขวาพระหัตถ์พระพุทธรูปก่อน แล้วจุดเล่มซ้าย ตามด้วยธูปทั้ง 3 ดอกนั้น การดับเทียนชนวนไม่ควรใช้ปากเป่าให้ดับ ควรใช้วิธีการอื่นเช่น ใช้ใบตองรูปกรวยปิดดับไฟ เป็นต้น)
- ถวายบาตรน้ำมนต์ พร้อมด้วยด้ายมงคล ในกรณีที่ด้ายมงคลและบาตรน้ำมนต์อยู่ด้วยกัน ภาชนะเครื่องบูชาอยู่ต่างหาก แต่ถ้าบาตรน้ำมนต์ เครื่องบูชาและด้ายมงคลอยู่ในภาชนะเดียวกัน ให้ทำตามข้อถัดไปทั้งหมด
- ผู้นำในพิธียกภาชนะบูชา แล้วนำคณะว่าคำบูชาพระรัตนตรัย โดยคำว่า นะโม ตัสสะ ฯลฯ สัมมาสัมพุทธสสะ 3 จบ แล้วว่า
อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยามะ อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง อะภิปูชะยามะ อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง อะภิปูชะยามะ พุทธะปูชา เตชะวันตา ธัมมะปูชา ปัญญะวันตา สังฆะปูชา โภคะวันตา ยัง ยัง ชะนะปะทัง ยาติ นิคะเม ราชะธานิโย สัพพัตถะ ปูชิโต โหติ สัพพะโสตถี ภวันตุ โน
เสร็จแล้วเอาภาชนะบูชานั้นประเคนพระเถระประธานสงฆ์ - ว่าคำอาราธนาศีล 5
- พระเถระประธานสงฆ์ให้ศีล
- ผู้ร่วมงานทุกคนรับศีล
- อาราธนาพระปริตร
สำหรับการเตรียมการในงานศาสนพิธีอื่นๆ ก็ทำในลักษณะเดียวกันคล้ายคลึงกัน ให้ศึกษาหรือสอบถามจากผู้รู้เพิ่มเติม
เกล็ดความรู้เพิ่มเติม
การตั้งโต๊ะหมูบูชา
โต๊ะหมู่บูชา หมายถึง ชุดโต๊ะที่ใช้วางพระพุทธรูปประธาน และเครื่องบูชา เช่น แจกันดอกไม้ เชิงเทียน กระถางธูป และอื่นๆ ที่นิยมใช้กันทั่วไปในปัจจุบันเรียก "โต๊ะหมู่บูชา" มีหลายขนาด เช่น หมู่ 5 หมู่ 7 หมู่ 9 หมู่ 11 หมายความว่า โต๊ะหนึ่งชุดหรือหนึ่งหมู่ประกอบด้วย โต๊ะขนาดต่างๆ จำนวน 5, 7, 9 หรือ 11 ตัว หากไม่มีก็สามารถนำโต๊ะอะไรก็ได้ที่เหมาะสมไม่สูงหรือต่ำเกินไปมาใช้งาน โดยคลุมด้วยผ้าขาวสะอาด แล้วหาโต๊ะขนาดเล็กอีกตัวหนึ่งมาวางซ้อนเพื่อวางพระพุทธรูปก็ได้
การตั้งโต๊ะหมู่บูชามีหลักว่า ให้ตั้งหันหน้าออกทางเดียวกับพระสงฆ์ โดยอยู่ทางขวามือของพระสงฆ์ โดยหมายเอาพระพุทธรูปเป็นประธาน (สมมุติว่าเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า) ตามธรรมเนียมปฏิบัติถ้าสถานที่ไม่จำกัดก็นิยมให้ผินพระพักตร์ของพระพุทธรูปไปด้านทิศเหนือ ด้วยหมายเอาว่า พระพุทธเจ้าเป็นโลกอุดร หรือจะผินไปทางทิศตะวันออก ด้วยถือว่าเป็นทิศพระ (พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งตรัสรู้ทรงประทับนั่งผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก) แต่หากสถานที่จัดงาน (ตึกราม บ้าน เรือน ในปัจจุบัน) ไม่อำนวย จะให้พระพุทธรูปผินไปทางทิศใดก็ได้ ขอให้การจัดพิธีสะดวกแก่ทั้งพระสงฆ์และเจ้าภาพได้ก็เพียงพอแล้ว
การเชิญพระพุทธรูปมาตั้งที่โต๊ะหมู่บูชานั้น ควรกระทำเมื่อใกล้จะถึงกำหนดเวลาประกอบพิธี ควรจะมีขนาดเหมาะสมกับโต๊ะหมู่ ถ้าองค์พระมีครอบ (กันฝุ่น) อยู่ให้เอาออกก่อน องค์พระหากมีฝุ่นเกาะควรทำความสะอาดให้เรียบร้อย ถ้าเป็นองค์ทองเหลืองก็ควรขัดให้แวววาว สะอาดสะอ้าน จะเป็นมงคลยิ่ง
** ไม้มงคล (ไม้ไขว้ตีนกา)
ไม้มงคล ที่วางไขว้บนปากบาตรน้ำมนต์ไม่ใช่ไม้กางเขน แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งเท้าของพระยากาเผือก ผู้ให้กำเนิดครั้งแรกแห่งพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ในภัทรกัปป์คือ พระกุกุสันธะ พระดกนาคมนะ พระกัสสปะ พระโคตมะ และพระศรีอาริยะ ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า
ท่านได้ถือกำเนิดครั้งแรกในไข่กาเผือก 5 ฟอง ที่ทำรังบนต้นไม้ติดฝั่งแม่น้ำ คืนหนึ่งฝนตกหนักและลมแรง ลมได้พัดเอาไข่ทั้ง 5 ฟองลงในน้ำ ไข่ใบที่ 1 ไก่เอาไปฟักและเลี้ยงดู ใบที่ 2 พระยานาคเอาไปฟักและเลี้ยงดู ใบที่ 3 เต่าเอาไปฟักและเลี้ยงดู ใบที่ 4 โคเอาไปฟักและเลี้ยงดู ใบที่ 5 ราชสีห์เอาไปฟักและเลี้ยงดู ซึ่งไข่ทั้งหมดถูกฟักออกมาเป็นคน เมื่อโตมาแม่เลี้ยงบอกว่า ท่านมิใช่แม่ที่แท้จริง ซึ่งต่างก็บวชเป็นฤาษีตามหาพ่อแม่ มาพบกันถามไถ่รู้เรื่องว่า มีกำเนิดจากไข่เหมือนกัน จึงพากันอธิษฐานให้ผู้เป็นพ่อแม่มาปรากฏ ทันใดนั้นพระยากาเผือกก็มาปรากฏและเล่าความจริงให้ฟัง และบอกลูกๆ ว่า ถ้าคิดถึงพ่อแม่ก็จงประทับรอยเท้าพ่อแม่ไว้ทุกครั้งที่ทำพิธีต่างๆ ทั้ง 5 ก็ถือปฏิบัติ จึงได้มีไม้ตีนกานี้มาตั้งแต่บัดนั้น และทั้ง 5 ก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนั้นแล
เกร็ดความรู้เรื่องโต๊ะหมู่บูชา
ในการนับถือศาสนาพุทธของคนไทยนั้นมี 2 พุทธ คือ คามวาสี หรือพุทธวัดบ้าน กับ อรัญวาสี หรือพุทธวัดป่า ที่ได้มาจากธรรมยุติกนิกาย ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการเอาม้า (โต๊ะตัวเล็กๆ) มาวางซ้อนกันเรียงลำดับใหญ่เล็กเพื่อวางพระพุทธรูป กระถางธูป เทียน แจกันดอกไม้ เรียกว่า ม้าหมู่ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 เปลี่ยนมาเรียกเป็น "โต๊ะหมู่" จนถึงปัจจุบัน แต่สำหรับโต๊ะหมู่ในภาคอีสานมีความพิเศษกว่านั้น
ในวัฒนธรรมอีสานมีการทำโต๊ะหมู่บูชาเช่นกันแต่จะแปลกออกไป เป็นการนำเอา "ธรรมาสน์" ที่พระสงฆ์ใช้นั่งแสดงธรรมเก่าๆ มาเรียงซ้อนกันเป็นชั้นลดหลั่น เพื่อวางพระพุทธรูปและเครื่องบูชา คล้ายๆ เป็นบุษบก แล้วค่อยๆ เลือนหายใจ หันมาใช้ตามแบบอย่างทางการกรุงเทพมหานคร ที่นิยมใช้โต๊ะหมู่ประดับลวดลายอย่างจีนในสมัยรัชกาลที่ 4 และค่อยๆ ปรับเปลี่ยนเป็นขาสิงห์ ประดับลวดลาย ลงรักปิดทอง หรือประดับกระจกเช่นในปัจจุบัน
โต๊ะหมู่บูชา ในรูปแบบศิลปะลาวล้านช้าง พิพิธภัณฑ์เมืองสกลนคร มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Tradition
- Hits: 19986
สังคมของฅนอีสานดั้งเดิมนั้นมีความสามัคคี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือเกื้อกูลในการทำงานไม่ว่าจะเป็นงานส่วนตน หรือส่วนรวม เช่น การก่อสร้างบ้านเรือน การสร้างวัดวา อาราม การสร้างโรงเรียน หรือศาลากลางบ้าน ทำให้การงานสำเร็จลุล่วงไป ด้วยการลงแขก หรือ เอาแฮง ช่วยกันทำงาน
การลงแขก
ลงแขก เป็นวัฒนธรรมประเพณีแห่งความเอื้อเฟื้อ และเกื้อกูลกันของสังคมฅนอีสานในอดีต ที่นับวันจะสูยหายไปเนื่องจากระบบเศรษฐกิจที่ใช้เงินตราเป็นตัวกำหนด คนไทยในสมัยนี้รู้จักคำว่า ลงแขก ในความหมายที่จะนำไปสู่คุกตะราง เพราะหมายถึงการร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา แต่สำหรับฅนอีสานแล้ว การลงแขก มีความหมายถึงน้ำใจที่ผู้คนในชุมชนมอบให้กัน ในการช่วยเหลือกิจการงานต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงโดยเร็ว
คำว่า "ลงแขก" ประกอบด้วยคำสำคัญ 2 คำ คือ "ลง" หมายถึง การลงแรง ออกแรงช่วยกันทำงาน และ "แขก" หมายถึง เพื่อนบ้าน ญาติมิตร ที่สนิทชิดเชื้อไปมาหาสู่ เยี่ยมเยือนกันเป็นประจำ เมื่อนำสองคำนี้มารวมกัน "ลงแขก" จึงหมายความว่า "การขอแรงเพื่อนบ้านในการกระทำสิ่งใดๆ ร่วมกันเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง" เช่น เมื่อถึงยามฤดูเก็บเกี่ยวข้าว บ้านใดมีแรงงานน้อยก็จะขอแรงเพื่อนบ้านในการช่วยเก็บเกี่ยว เพื่อให้สำเร็จก่อนที่รวงข้าวจะหักร่วงหล่นเสียหายหมดนั่นเอง
การลงแขกทางอีสานตอนเหนือ เช่น จังหวัดเลย จะเรียกว่า "เอาแฮง"
เนื่องจากชีวิตของคนอีสานเกี่ยวพันกับอาชีพด้านเกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็น การทำนา การทำไร่ ทำสวน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับระยะเวลาของฟ้าและฝน จะต้องเร่งรีบในการเพาะปลูก ปักดำ เก็บเกี่ยว ในครอบครัวใดมีแรงงานมากก็จะทำได้เร็วและทันเวลา แต่ครอบครัวที่มีคนน้อยก็จะทำสำเร็จได้ยาก ณ จุดนี่เองที่ก่อให้เกิดประเพณี ลงแขก เพื่อช่วยเหลือกันด้านแรงงาน ไม่มีค่าจ้างตอบแทน มีเพียงน้ำใจเลี้ยงอาหารข้าวปลาตามแต่จะหาได้ในท้องถิ่น หมุนเวียนกันไปจากครอบครัวหนึ่งสู่อีกครอบครัวหนึ่ง ทำให้กิจการงานสำเร็จลุล่วงมีอาหารเพียงพอไม่ขาดแคลน
เมื่อควายเหล็กเข้ามาสู่ชุมชน พร้อมกับการส่งเสริมให้มีการปลูกเพื่อขาย ยุคเศรษฐกิจเงินตราเป็นใหญ่ จึงทำให้การช่วยเหลือเกื้อกูลกันในอดีต กลายมาเป็นการว่าจ้างแรงงานแทน และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามอย่าง การลงแขก จึงพลอยสูญหายไปด้วย
และยิ่งมาถึงยุคสมัยที่ลูกหลานวัยรุ่น หนุ่ม - สาว ของเราหนีความแห้งแล้งไปขายแรงงานในเมืองใหญ่ การทำไร่ไถนาของบรรพบุรุษก็ยิ่งขาดแคลนแรงงานหนัก ก็ได้อาศัยเงินทองที่ลูกหลานส่งมาให้มาจ้างแรงงานในหมู่บ้านใกล้เคียงมาช่วยเหลือ ก็ยิ่งทำให้การลงแขกถูกลืมเลือนเด็ดขาดไปเลย เพราะการช่วยงานต้องมีค่าจ้างตอบแทน เลี้ยงข้าวปลาอาหารอีก นี่จึงต้องมีการฟื้นฟูและกล่าวถึงวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม การลงแขก ให้หวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
อย่างในภาพประกอบข้างบนนั่นก็เป็นภาพของชาวบ้านโพธิ์ศรีสมพร ตำบลอุทัยสวรรค์ อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู นับร้อยชีวิตที่มารอร่วมลงแขกดำนาบนที่ดินของ นางนิดถา ภูโคกยาว ซึ่งเป็นชาวนาที่ขัดสนไร้คนช่วยทำนา โครงการดำนาหาเสี่ยว ของจังหวัดหนองบัวลำภูนี้ เกิดขึ้นมาจากความคิดริเริ่มของหลายๆ คน ที่มองเห็นว่า ประเพณีดั้งเดิมของชาวไทยเรากำลังจะสูญหายไป เพราะต่างคนต่างทำ ความสัมพันธ์ในชุมชนมันจึงเริ่มถดถอย ส่งผลถึงผลผลิตของชาวนาบางคนลดน้อยและด้อยคุณภาพ ต่างไปจากคนที่มีกำลังคนและทุนทรัพย์อย่างมากมาย หากไม่นำประเพณีนี้กลับคืนมา เชื่อได้แน่ว่าถามเด็กๆ ก็คงจะบอกไม่ถูกว่าประเพณีลงแขกเขาทำอย่างไรกัน เพราะทุกวันนี้พวกเขาเข้าใจแค่คำว่า "ลงแขก" ที่ลงเอยต้องกลายเป็นผู้ต้องหาเป็นแน่แท้
การลงแขก นอกจากจะใช้ในด้านการเกษตรกรรม (ดำนา - เกี่ยวข้าว - ตีข้าว - ตำข้าว) แล้ว ชาวอีสานยังมีการลงแขกทำงานอย่างอื่นๆ เช่น ลงแขกเฮ็ดเฮือน (สร้างบ้าน) ในสมัยโบราณดั้งเดิม ชาวบ้านจะมีการช่วยกันโดยไปตัดเอาไม้จากดอนปู่ตา หรือใครมีไม้ตามหัวไร่ปลายนาก็จะแบ่งปัน ตัด/แบก/ขนมาช่วยกันสร้างบ้านให้กัน จนแล้วเสร็จ ลงแขกสร้างศาลากลางบ้าน เป็นที่ทำกิจกรรมของส่วนรวม เช่น การทำบุญกลางบ้าน การประชุมของหมู่บ้าน รวมทั้งเป็นที่พักของแขกที่เดินทางมาจากหมู่บ้านอื่น (สมัยก่อนไม่มีที่พักสาธารณะ โรงแรม โรงเตี้ยม ศาลาวัดหรือศาลากลางบ้านจึงเป็นที่พักของคนเดินทางไกล เพื่อค้าขายหรือทำธุระอย่างอื่น ด้วยการคมนาคมที่ไม่สะดวกสบายอย่างเช่นทุกวันนี้ ต้องค้างแรมระหว่างเดินทาง)
การลงแขก ก่อสร้างทำนุบำรุงวัดวาอาราม ชาวบ้านจะมาช่วยกันในการถากถางหญ้าที่ขึ้นรก ขุดถมพื้นที่ต่ำให้ราบเรียบสม่ำเสมอ สร้างศาลาการเปรียญ อุโบสถ กุฏิพระสงฆ์ เป็นต้น
ตกพูด - ปันพูด - แบ่งพูด
"พูด" ความหมายใน "ภาษาไทยกลาง" นั้นจะหมายถึง การเปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำเพื่อการสื่อสาร เจรจากัน แต่ "พูด" ใน "ภาษาอีสาน" นั้นมีความหมายได้หลายอย่างตามบริบท ดังนี้
- พูด น.
- แบ่งของเป็นส่วนๆ เพื่อแบ่งปันกัน เรียก พูด เช่น พูดปลา พูดกบ พูดเขียด พูดซิ้น อย่างว่า เสี่ยวเฮาปันพูดน้อยบ่สมส่วนกับขน (ผาแดง). portion, share (of meat from hunting or fishing).
- พูด ก.๑
- พ่นน้ำออกจากปาก เรียก พูด อย่างว่า มณีกาบฮู้อมน้ำพูดพลัน เสด็จผ่านแผ้วผายน้ำพูดพรม (สังข์). to spray water out of mouth.
- พูด ก.๒
- เปล่งเสียงออกเป็นถ้อยคำ เรียก พูด. to speak.
ที่มา : สารานุกรมภาษาอีสาน-ไทย-อังกฤษ โดย ดร. ปรีชา พิณทอง
ดังนั้น "พูด" ในที่นี่ไม่ได้หมายถึงการส่งเสียงเจรจา แต่ พูด เป็น คำนาม ตามความหมายในภาษาอีสานนั้นหมายถึง แบ่งของเป็นส่วนๆ เพื่อแบ่งปันกัน เรียกว่า การตกพูด แบ่งพูด ปันพูด ในอดีตนั้นชาวบ้านอีสานมักออกไปล่าสัตว์ในป่า ยิงเก้ง กวาง หมูป่า ฯลฯ โดยชวนพรรคพวกเพื่อนบ้านไปด้วยกัน บ้างก็ไปกันถึงสามวันเจ็ดวัน หรือออกไปล่าเป็นเดือนก็มี เมื่อยิงสัตว์ได้แล้ว สัตว์ทุกตัวถือว่าเป็น "สมบัติส่วนกลาง" ที่ทุกคนพึงได้รับส่วนแบ่ง ซึ่งส่วนแบ่งนี้จะได้รับเท่าเทียมกัน
คำว่า "เท่าเทียมกัน" ถ้าเป็นคนในสังคมเมืองปัจจุบัน อาจต้องใช้เครื่องมือชั่ง ตวง วัด ให้ทัดเทียมกัน ขณะที่สังคมชนบทมิได้เล็งไปที่ความเท่ากันทางตัวเลข แต่กลับยึดถือที่ผู้นำเป็นหลัก ถ้าผู้นำแบ่งให้เท่าใด ก็ถือว่ายุติ (ธรรม) แล้ว
หลักการง่ายๆ ของความเท่าเทียมกันก็คือ ทุกคนจะได้รับส่วนแบ่งที่เหมือนกันทั้งหมด เช่น หากเข้าป่าไปด้วยกัน 7 คน ล่าได้เมย (กระทิง) มา 1 ตัว จะมีการแล่เนื้อทุกส่วนออกเป็น 7 ชิ้น เช่น เนื้อขาลาย เนื้อตะโพก เนื้อสัน ฯลฯ แต่ละชิ้นจะมีขนาดเท่ากัน (ตามความรู้สึกของผู้ตัดเฉือน) แม้กระทั่งไส้ และขี้เพี้ย (น้ำย่อยที่อยู่ในลำไส้อ่อน) และเลือด ก็ได้รับการแบ่งสันไว้ด้วยเช่นกัน ต่อจากนั้นหัวหน้าจะหยิบชิ้นเนื้อไปวางไว้เป็น 7 กอง ซึ่งกองเนื้อที่ได้รับการแบ่งปันนี้เรียกกันว่า "พูด" (เป็นคำนาม) ส่วนการแบ่งด้วยวิธีนี้เรียกว่า "ตกพูด" (เป็นคำกริยา) และมีคำอื่นๆ ที่แทนค่ากันได้ คือ ยายพูด แบ่งพูด ปันพูด เป็นต้น (ยาย ภาษาอีสานหมายความว่า วางไว้เป็นระยะๆ)
ไม่ได้มีเป็นกฎที่ตราไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่มีธรรมเนียมปฏิบัติในการตกพูด คือ หัวหน้าหรือผู้นำจะเป็นคนได้รับพูดสุดท้าย หลังจากที่ทุกคนเลือกเอาพูด (หรือกองอื่นๆ) ไปแล้ว ดังนั้น หัวหน้าหรือผู้นำ จึงปลอดจากข้อคลางแคลงสงสัยว่า จะหยิบกองก้อนเนื้อที่มีขนาดใหญ่ไว้เป็นของตนหรือไม่ ส่วนบำเหน็จของความเสียสละที่นำพาพวกพ้องออกล่าสัตว์ ผู้นำจะได้รับหัวและขาของสัตว์ที่ล่าได้อีกโสดหนึ่ง แต่หัวหน้าอาจจะโอนของที่ได้เพิ่มมานี้ ให้แก่คนใดคนหนึ่งที่ร่วมล่าด้วยกันก็ได้ โดยต้องอยู่ในดุลยพินิจที่จะไม่ทำให้เสียการปกครองของหมู่คณะ
วิธีการดังที่ว่านี้ อาจดูคล้ายเป็นแนวทางของคนบ้านป่าเมืองเถื่อน และเปิดช่องทางให้หัวหน้าผู้มีจิตละโมบ ใช้อำนาจบังคับ หรือพลิกแพลงเอาจากพวกพ้อง แต่แท้จริงแล้ว การตกพูดเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง เป็นวัฒนธรรมของการจัดสรรปันส่วน และเป็นเรื่องของระดับชั้นเพื่อการอยู่ร่วมกัน คือต้องมีผู้นำและผู้ตาม เมื่อผู้นำไม่เอาเปรียบ มีแต่จะหาทางปกป้องคุ้มครอง เสียสละและรักษาผลประโยชน์ของผู้ตาม ก็จะอยู่ร่วมกันได้นานๆ อีกทั้งยังเป็นที่รัก เคารพนับถืออีกด้วย
แม้ในปัจจุบัน ลักษณะการแบ่งปันด้วยวิธีตกพูดยังปฏิบัติกันโดยทั่วไปในหมู่ชาวบ้าน เช่น มีเหตุต้องชำแหละวัวหนุ่มตัวหนึ่ง กลุ่มผู้นำจะสอบถามความสมัครใจจากชาวบ้านว่า ใครใคร่จะได้เนื้อวัวไปทำอาหาร เมื่อทราบจำนวนคนแล้ว ก็นำตัวเลขคนที่ต้องการไปหาร แบ่งจากค่าวัวซึ่งตีราคาไว้ที่ 8,000 บาท มีผู้ประสงค์ 40 ครอบครัว ดังนั้นแต่ละคนจะต้องจ่าย 200 บาท
ในความเป็นจริง คณะกรรมการหมู่บ้านจะชำแหละวัวให้เรียบร้อย แล้วนำเครื่องชั่งมาเป็นเกณฑ์ ตรวจค่าน้ำหนักกำหนดราคาเนื้อวัว และอาจจะบวกค่าแรงและเวลาไปด้วยก็น่าจะได้ แต่ "วิถีชาวบ้าน" เลือกที่จะปฏิบัติด้วยวิธีตกพูด เพราะสิ่งที่ได้จากการที่ต้องจ่ายเงิน 200 บาท มิใช่เพียงแค่ชิ้นเนื้อล้วนๆ แต่ยังรวมถึงเนื้อส่วนอื่นๆ เช่น เนื้อส่วนที่เรียกว่าผ้าขี้ริ้ว ตับ ไส้ เลือด ขี้เพี้ย ที่ชาวบ้านนิยมบริโภค ทุกพูดจะประกอบด้วยชิ้นเนื้อที่เหมือนๆ กัน
"พูดเนื้อวัว" จะถูกเจาะร้อยด้วยตอก หวาย หรือเครือไม้ เพื่อสะดวกในการถือหิ้วกลับบ้าน (ในยุคไร้ถุงก็อปแก็ป)
พูด ที่แบ่งกันใน พ.ศ. นี้ บรรจุลงในถุงพลาสติก แทนการห่อด้วยใบตองกุง (ใบพลวง) หรือการร้อยด้วยเส้นตอก เลือดและขี้เพี้ยถูกกรอกลงในถุงพลาสติกใบย่อมแยกกัน รัดด้วยยางรัด พื้นที่รองกองพูด เป็นตาข่ายไนล่อนแทนใบตองกล้วยป่า และไม่ว่ารูปแบบและส่วนประกอบอื่นๆ ที่นำมาใช้ในการตกพูดจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร สิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงและเป็นหัวใจกติกาการตกพูด คือ ผู้แบ่งจะได้รับเป็นคนสุดท้าย
การตกพูดจะไม่นิยมนับจำนวนคน ถ้ามีคนห้อมล้อมมากเกินไป คือบางครอบครัวอาจมาหลายคน จะใช้วิธีให้หักไม้มาวางแทนครอบครัวแล้ว นับจำนวน (แท่ง) ไม้ เช่น นับได้ 10 แท่ง ก็จะตกพูดให้ได้ 10 พูด การตกพูด คือ การชำแหละออกเป็นส่วนๆ สัตว์เล็กๆ เช่น ปลา กบ หรือ พืช ผัก จะเรียกเป็นกอง กองนั้น กองนี้ ยกเว้นปลาตัวใหญ่มากอย่างปลาบึก ปลาค้าว ปลาเคิง จะตกพูดก็ได้
แต่หลายที่จะปันเกินไว้อีกพูด (ถ้าเรียกกองก็ปันไว้อีก 1 กอง) เพื่อเก็บไว้กินเลี้ยงสังสรรค์กันสำหรับผู้ที่คัว (คนทำหน้าที่แล่ แบ่ง) หรือผู้ที่มาร่วมสังสรรค์ก็กินด้วยกัน
ส่วนที่เป็นส่วนเกินนี่ล่ะ นอกจากจะปันเกินจำนวนคน 1 พูด (หรือหลายพูด ถือเป็นกำไร) แล้ว หัว ขา หรือส่วนใหนที่น่าเก็บไว้กินเป็นพิเศษ สำหรับกลุ่มที่แล่เนื้อ ก็จะนำมาทำกินกันก่อนเลย ณ บริเวณที่แล่เนื้อนั่น ก่อนที่จะแยกย้ายกันนำพูดของตัวกลับบ้านไปให้ลูกเมีย ส่วนเกิน 1 พูด (หรือหลายพูด หรือพูดใหญ่ๆ ก็มี) บางทีก็ขายเพื่อนำมาซื้อเครื่องดื่ม เพราะการฆ่าเนื้อ สำหรับชาวชนบทเราจะขาดไม่ได้เลยคือ เหล้าขาว บางคนก็ควักกระเป๋ามาร่วมซื้อกินด้วยกัน บางคนเมาแล้วยังเอาพูดของตัวเองมาทำกินกับเพื่อนพ้องก็มี นี่ล่ะคือความเป็นชุมชนอีสานที่มีความสัมพันธ์กันเป็นหนึ่งเดียวเมื่อครั้งอดีต
เมื่อยุคสมัยเปลั่ยนไปการซื้อขายด้วยน้ำหนักกิโลกรัม ก็จะได้เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งตามที่ต้องการเท่านั้น
- Details
- Written by: เว็บมาดเซ่อ ฅนอีสาน
- Category: Tradition
- Hits: 25933
ตำนานความเชื่องเรื่อง ผีตาแฮกและดอนปู่ตา | ความเชื่อและพิธีกรรม เกี่ยวกับการเพาะปลูก
ประเพณีโบราณอีสานนั้น มีความเชื่อในเรื่องของภูติ ผี บรรพบุรุษ การจะกระทำสิ่งใดจะต้องมีการบนบาน บอกกล่าว เพื่อให้ผลแห่งการกระทำกิจการนั้นๆ สัมฤทธิ์ผล นำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ของผลิตผลแห่งการอุปโภค บริโภค อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป ในส่วนของการทำเกษตรกรรมนั้นก็จะการเลี้ยงตาแฮก ซึ่งมีวิธีการและขั้นตอนดังนี้
การแฮกนา
โบราณท่านนิยมแฮกนาดำวันอาทิตย์ แฮกนาหว่านวันจันทร์ ปักตาแฮก ปักกกแฮกและดำนานิยมทำวันพฤหัสบดี ทำขวัญข้าววันอังคาร แฮกถางไฮ่ สุมไฮ่เอาวันศุกร์ ให้เลี่ยงตาแฮกก่อนแล้วจึงไถแฮกนา ของเลี้ยงตาแฮกนั้น แล้วแต่เจ้าของนาเคยปฏิบัติมา แต่ส่วนมากมักจะใช้ไข่ต้มสุกที่ยังมิได้ปอกเปลือก เพราะเอาไว้ทายไข่หลังเลี้ยงตาแฮกแล้ว เหมือนไข่สูตรขวัญ ถ้าไข่เป็นน้ำ ทายว่า ปีนั้นฝนจะแล้ง ถ้าไข่เน่าหรือมีกลิ่น หรือเป็นสีดำ ทายว่า ศัตรูพืชจะรบกวน ถ้าไข่งามทายว่า ทำนาจะได้ผลดี
วิธีปักตาแฮก
ให้เอาต้นกล้ามา 8 ต้น เอาขัน 5 มายกใส่หัว อธิษฐานถึงแม่โพสพ ให้มาค้ำคูณ วางขันลงข้างตาแฮก หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ปักกล้าลงแต่ละต้นให้ว่าดังนี้ ปักต้นนี้พุทธรักษา ปักต้นนี้ธรรมรักษา ปักต้นนี้สังฆรักษา ปักต้นนี้เผิ่นเสียให้กู้ได้ ปักต้นนี้เผิ่นไฮ้ให้กูมี ปักต้นนี้ให้ได้หมื่นมาเยีย ปักต้นนี้ให้ได้หมื่นเยีย ปักต้นนนี้ขวัญข้าวพันเล้า มาโฮม ครบ 8 ต้นแล้วเป็นอันว่าเสร็จพิธี
ปักกกแฮก
ปักกกแฮก หมายถึง การเอากล้าลงไปปักในไร่นาก่อนลงมือดำจริงๆ ท่านให้ตั้งขัน 5 (ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่) อธิษฐานที่งานนา เอากล้ามา 14 ต้น อธิษฐานถึงแม่โพสพดังกล่าวแล้ว ให้เอาต้นกล้าปักในนา (แบบดำนาปกติ) 14 ต้น แต่ให้ปักทีละต้นพร้อมกับเสกมนต์ดำนาดังนี้
"ไฮ่นี้ไฮ่ก้ำขวา นานี้นาท้าวทุม ท้าวทุมให้กูมาแฮกไฮ่กูจักแฮก ปักกกนี้นกจอกโตตาแหวนให้บินหนี ปักกกนี้แมงคาโตฮู้ฮ่ำกกข้าวให้บินหนี ปักกกนี้ให้ได้ฆ้องเก้ากำ ปักกกนี้ให้ได้คำเก้าหมื่น ปักกกนี้ให้อวนข้าวหมื่นมาเยีย ปักกกนี้ให้มานใหญ่ท่อมานอ้อย ปักกกนี้ให้มานน้อยท่อมานเลา ปักกกนี้ให้ได้เป็นเศรษฐีเพราะขายข้าว โอมสหุม"
แล้วเสกต่อว่า "โอมสิทธิการ ปู่ข้าวเอย ย่าข้าวเอย มื้อนี้แม่นมื้อสันต์ วันนี้แม่นวันดี ถูกทางผีบ่อห่อนเอื้อ ข้าวเฮี้ยผีบ่อห่อนเกิด จักเอามือแฮกนาผีก็บ่อห่อนใกล้ โอม ไชยะ วิรุฬหะ กก กอ ดอ ดก" แล้วเป่าไปยังข้าวที่ปักแล้ว 3 ที ถ้านามีน้ำก็กวักน้ำสาด 3 ที เป็นเสร็จพิธี
การเพาะปลูก
ชาวอีสานนั้นจะมีพิธีกรรมเกี่ยวกับการเพาะปลูกพืชผลหลายขั้นตอน ก็เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้มีความเข้มแข็ง ด้วยธรรมชาตินั้นมีความไม่แน่นอนนัก ปีนี้อาจะมีฝนดี หรือมีฝนแล้ง หรือมีน้ำท่วมก็ไม่อาจคาดเดาได้ ในยุคนั้นยังไม่มีการนำเอาหลักวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้ ไม่มีการพยากรณ์จากกรมอุตุนิยมวิทยา จึงต้องอาศัยการเซ่นไหว้เทวาอารักษ์ ภูติผีเป็นหลัก โดยมีการทำพิธีกรรมต่างๆ ดังนี้
วันปลูกพืช
- วันอาทิตย์ เป็นเหง้าฮากหัวดี ให้ปลูกพืชเป็นหัว เช่น ขิง ข่า เผือก มัน กระเทียม ฯลฯ
- วันจันทร์ เป็นเครือดั้วยาวดี ให้ปลูกพืชที่เป็นเถาว์ เช่น แตงกวา แตงโม ฯลฯ
- วันอังคาร เป็นใบดั้วดกดี คือให้ปลูกพืชที่ใช้ใบเป็นประโยชน์ เช่น หม่อน ฯลฯ
- วันพุธ เป็นดอกดกบานบ่อเศร้า คือให้ปลูกไม้ดอก เช่น มะลิ พุทธรักษา แค ฯลฯ
- วันพฤหัสบดี เป็นหมากแต่เค้าเท่าเถิงปลาย ท่านให้ปลูกพืชที่ให้รวง เช่น ข้าว ข้าวฟ่าง ฯลฯ
- วันศุกร์ เป็นเปลือกหนาเหลือแหล่ ท่านให้ปลูกพืชที่ให้ผล เช่น ส้มโอ มะม่วง พุทรา ละมุด ลางสาด ฯลฯ
- วันเสาร์ เป็นต้นแก่เหลือแต่ลำ โบราณท่านให้ปลูกไม้ขายต้น เช่น ยูคาลิปตัส ปอ ฯลฯ
มีบ่อยที่บางคนปลูกพืชไม่ค่อยได้ผล ตกแต่ใบ แต่ผลไม่ค่อยมี บางคนมีผลดกมาก ใบมีพอสมควร บางคนมีผลดกแต่หล่นก่อนเวลาอันสมควร อาจจะเป็นที่ดูแลไม่ถูกวิธี ไม่มีความรู้ทางด้านการเกษตรที่ชัดแจ้ง หรือฤกษ์ยามในการเพาะปลูกอาจจะมีส่วนสัมพันธ์อยู่ด้วยก็ได้ ขอท่านผู้อ่านแฟนนานุแฟนจงเอาไปทดลองกันดูเถิด ผสมกับความฮู้ในวิทยาการการเกษตรแผนใหม่ โดยเฉพาะ "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ของพวกเฮาชาวไทย จักประสบผลสำเร็จพ้นจากความทุกข์ยากแน่นอน
คาถากันบ้งกันปู
การที่เราเอายาฉีด ไปฉีดบ้ง ฉีดปูนั้น ทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ และเป็นอันตรายต่อทั้งคนและสัตว์ เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมให้ดี ท่านผู้อ่านลองเอาคาถาโบราณไปใช้กันดู
เขียนใส่ใบตาล หรือใบลาน เอาไม่ไผ่เหลาผ่าหัวใส่คาถาไว้ แล้วเอาไปเสียบไว้ใน 4 มุมของไร่นา (4 มุมคันแททุกไฮ่นา) ดีนักแล
คาถาเสกน้ำหม่า (แช่) ข้าวปลูก
ให้ตั้งคายขัน 5 (ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่) เทียนจุดทำน้ำมนต์ 1 เล่ม ตักน้ำใส่ภาชนะจะหม่า (แช่) ข้าวปลูกนั้นให้เอาผ้าขาวม้าพาดบ่า ยกขัน 5 ขึ้นว่า พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา แล้วปลงขันลงไว้ที่สูง จุดเทียนน้ำมนต์ (เทียนอะไรก็ได้) แล้วเอาเทียนหยดใส่น้ำในอ่างหม่าข้าวปลูกพร้อมกับสวดว่า นโม ตัสสะ ฯลฯ 3 จบ แล้วเสกคาถาว่า
สักกัตวา พุทธะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง หิตัง เทวะมะนุสสานัง
พุทธะเตเชนะ โสตถินา นัสสันตุปัททะวา สัพเพ ทุกขา วูปะสะเมนตุ เตสักกัตวา ธัมมะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง ปะริฬาหูปะสะมะนัง
ธัมมะเตเชนะ โสตถินา นัสสันตุปัททะวา สัพเพ ภะยา วูปะสะเมนตุ เตสักกัตวา สังฆะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง อาหุเนยยัง ปาหุเนยยัง
สังฆะเตเชนะ โสตถินา นัสสันตุปัททะวา สัพเพ โรคา วูปะสะเมนตุ เต
ใช้คาถานี้ด้วยความเคารพเชื่อมั่น ข้าวไม่เป็นบั่ว ไม่เป็นเพลี้ย แลฯ
การดำนาในสมัยก่อน ใช้แรงงานเยอะ ปวดหลังปวดเอวน่าดู
เมื่อปลูกข้าวแล้ว ก็ได้เวลาต้องทำการเก็บเกี่ยว โบราณอีสานเราก็จะมีวิธีการและฤกษ์ผานาที เพื่อความเป็นศิริมงคล ดังนี้
มื้อเกี่ยวข้าว
ให้เริ่มเกี่ยววันจันทร์ หรือวันพฤหัสบดี ลงมือได้ในเวลาเที่ยงวันเป็นต้นไป หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
คาถาเกี่ยวข้าว
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ 3 จบ แล้วให้พนมมือยกเกี่ยวขึ้นใส่หัวแล้วว่าคาถา ภะสะพะโภชะนัง มะหาลาภัง สุขัง โหตุ 3 จบ แล้วจึงลงมือเกี่ยวข้าว ก่อนเกี่ยวให้เอาดอกพุดน้อย หรือดอกไม้อื่นก็ได้ แต่ให้เป็นสีขาว 5 คู่ ใส่ขัน เอาแพพาดบ่านั่งต่อหน้าตาแฮก ยกขัน 5 นั้นขึ้นแล้วว่า
อุกาสะ ผู้ข้าขออนุญาตบาทคำ คุณตาแฮก คุณแม่โพสพ มื้อนี้มื้อดี ขออนุญาตตัดต้นข้าว อย่าได้ตกอย่าได้หล่น นกน้อย และฝูงหนู มวลศัตรูอย่าได้มาบังเบียด อุอะ มุมะ มูลมา "
ผู้ข้าขอเกี่ยวไฮ่ (บอกไฮ่ที่เอาสิเกี่ยว) นั้นก่อน แล้วจึงเกี่ยว
"การลงแขก" ขอแรงเกี่ยวข้าว วิถีชุมชนในอดีตที่หายไปเพราะมีรถเกี่ยวมาแทนที่
การเสียลาน
การทำลานนวดข้าว ให้ทำวันพุธ หรือวันเสาร์ เริ่มเวลาเช้า เลือกเอาที่ค่อนข้างสูง เสีย (ถาก) ลานเอาตอซังข้าวออก และปรับพื้นดินให้เรียบ สำหรับการทาลานด้วยขี้ควายหรือขี้วัวนั้นจะทำวันไหนก็ได้
การตั้งลอมข้าว
การหาบ/ขนข้าวขึ้นลานให้ทำวันพฤหัสบดี เวลาเที่ยงวัน แต่งขัน 5 ไปเชิญฟ่อนข้าวจากจุดที่เราเกี่ยวครั้งแรกนั้น 7 ฟ่อนมา ให้พ่อบ้านหรือแม่บ้านเป็นคนทำก็ได้ คำอัญเชิญให้ว่า นะโม ฯลฯ 3 จบ แล้วให้ว่าคาถา 3 จบ ดังนี้ "ปัญจะ พีชา หะทะยัง สะหุม" แล้วจึงขนข้าวไปใส่ลานได้ ให้แยกฟ่อนข้าวที่เกี่ยวครั้งแรกออกไว้ สำหรับปลงข้าวในวันเคาะ (นวด) ข้าว เมื่อครั้งที่ผู้เขียนยังทำนาอยู่กับพ่อแม่ ปู่ย่าที่บ้านนอกนั้น (หลายสิบปีล่วงมาแล้ว) เพิ่นให้เคล็ดลับมาว่า "ให้ใส่เหล้าสาโทหวานๆ ไว้กลางลอมข้าวสัก 4-5 ไหซอง เพื่อเป็นมงคล" ตอนหลังมาเพิ่งได้กระจ่างว่า "ไหเหล้า" นี้ช่วยให้มีคนมาช่วยกันตี (เคาะ หรือ นวด) ข้าวมากมายโดยมิได้นัดหมายยาก เหตุผลท่านคงจะเดาออกนะขอรับ
การตีข้าว หรือ นวดข้าว ด้วยมือแบบนี้ก็เริ่มเลือนหายไปเพราะมีรถเกี่ยวข้าวแล้วสีใส่กระสอบได้เลย จนเกิดปัญหาตามมา
คำปลงข้าว
เมื่อขนข้าวขึ้นใส่ลานแล้ว ต้องมีการเคาะ (นวด) ข้าว การปลงข้าวให้ทำวันศุกร์ หรือวันเสาร์ก็ได้ ให้เตรียมดังนี้ ซวย 4 อัน เหล้าก้อง 1 ขวด ไข่หน่วย 1 หน่วย น้ำเต็มเต้า 1 เต้า ข้าวเต็มก่อง เผือกต้ม 2 หัว มันต้ม 2 หัว ขมิ้นขึ้น 5 หัว ข้าวต้ม ตีนงัว ตีนควาย (ข้าวต้มโคมธรรมดา) 1 คู่ ใบไม้เป็นมงคล (ใบคูณ ใบยม ใบยอ) อย่างละ 5 ใบ ผลไม้ตามฤดูกาล 5 ลูก ธูป 5 คู่ เทียน 5 คู่ และดอกไม้ขาว 5 คู่ แต่งใส่พานไว้ เอาข้าวที่แยกไว้ตอนตั้งลอมข้าว จำนวน 7 ฟ่อน มาวางข้างขวาพานเครื่องบูชานั้น 3 ฟ่อน ข้างซ้าย 3 ฟ่อน อีกฟ่อนหนึ่งที่เหลือเอาไม้เคาะข้าวรัดเอาไว้ ให้พ่อบ้านผู้ประกอบพิธีนั้น ยกพานขึ้นเหนือหัวแล้วว่าดังนี้
- ว่า นะโม ตัสสะ ฯลฯ 3 จบ
- ป่าว สัคเค ถ้าไม่ได้ให้พูดเอา โดยให้ว่าดังนี้
อุกาสะ ผู้ข้าขอโอกาสอาราธนา คุณเทวาและเจ้าที่ตาแฮก เจ้าแม่โพสพจงมาประสุม ชุมนุมกัน เมื่อมาแล้วผู้ข้าขอถวายเครื่องสักการะบูชากียาอันได้ทำไว้ แล้วขอให้ผู้แก่นแก้วจงเอนดูกูณา อย่าได้เป็นโทสาบาปข้อง ผู้ข้าขอเหยียบย่ำข้าวผู้มีพระคุณ ขอให้คูณกันมาไหลหลั่ง อั่งอั่งขึ้นคือน้ำแม่นะที อุอะ มุมะ มูลมา มหามูลมังสวาหุม "
เมื่อว่าแล้วให้วางพาบูชาลงแล้วจึงไปเคาะข้าว ฟ่อนที่เอาไม้ตีข้าวรัดไว้ ให้ว่าดังนี้
- เคาะบาดหนึ่ง ให้ได้งัวแม่ลาย
- เคาะบาดสอง ให้ได้ควายเขาย่อง
- เคาะบาดสาม ให้ได้ฆ้องเก้ากำ
- เคาะบาดสี่ ให้ได้คำเก้าหมื่น
- เคาะบาดห้า ให้ได้ข้าวหมื่นมาเยีย
- เคาะบาดหก ให้ได้ผัวเมียและพี่น้อง
- เคาะบาดเจ็ด ให้ได้ช้างใหญ่มาเทียมโฮง
ให้ว่าดังนี้ จนเคาะหมดทั้ง 7 ท่อน ให้แยกฟ่อนหนึ่งที่เคาะครั้งแรกไว้ เอาเครื่องสักการะทั้งหมดในพาน ยัดเข้าในฟ่อนฟางฟ่อนแรกนั้น เอาฟางฟ่อนนั้นห่อแล้วมัดให้ดี เอาคันหลาวมาสอด แล้วเอาไปเสียบไว้บนลอมข้าว เอาไว้ 3 วัน จึงเอาออกได้ เมื่อหัวหน้าครอบครัวปลงข้าว และเคาะข้าวเป็นตัวอย่างแล้ว จากนั้นลูกหลานก็เคาะต่อไปได้เลย
เมื่อการนวดข้าวสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นการนำข้าวจากลานขึ้นสู่เล้าข้าว ซึ่งก็จะมีพิธีการเพื่อเป็นศิริมงคลอีกเช่นเดียวกับขั้นตอนอื่นๆ เพื่อให้ลูกหลานได้ตระหนักถึงบุญคุณของข้าว สืบต่อไป
การปลูกเล้าเข้า
เล้าเข้า หรือ ยุ้งข้าว ของคนอีสานนั้น ใช้เป็นที่เก็บข้าวเปลือกไว้เพื่อการบริโภค และใช้เก็บพันธุ์ข้าวเพื่อไว้ใช้ปลูกในปีต่อไป การปลูกเล้าเข้าตามโบราณประเพณีอีสานให้ถือฤกษ์วัน เดือนในการปลูกสร้างเหมือนกับบ้านเรือน แต่กำหนดให้เอาทิศทางของเฮือนเป็นหลักก่อนจะปลูกเล้าเข้า ทิศที่นิยมคือให้ปลูกเล้าเข้าทางทิศตะวันตกของเฮือน หรือทางหลังของบ้าน [ ดูรายละเอียดที่นี่ ]
ใช้วัวเทียมเกวียน ขนข้าวขึ้นเล้า
เอาข้าวขึ้นเล้า
วันเอาข้าวขึ้นเล้า เป็นวันที่ขนเอาข้าวจากลานนวดข้าวเข้าบ้านโดยใช้การหาบ หริอขนด้วยวัวเทียมเกวียน จะนิยมทำกันในวันจันทร์ พฤหัสบดี หรือ ศุกร์ เวลาบ่าย 3 โมง ถึงบ่าย 5 โมง มีขั้นตอนในการดำเนินการดังนี้
- เอาเทียน 5 คู่ ดอกไม้ 5 คู่ ใส่ขัน
- กระบุงเปล่า 1 ใบ
- หาขัน หรือกระบอกใส่ข้าว (ขวัญข้าว) 1 อัน
- พ่อบ้าน หรือหัวหน้าครอบครัวเอาผ้าขาวม้าพาดเฉวียงบ่า ถือกระบุง และขันดอกไม้พร้อมทั้งขันหรือกระบอก สำหรับใส่ขวัญข้าวไปยังลานข้าว
- ว่าคาถาเรียกขวัญข้าว เมื่อไปถึงลานข้าว และได้เวลาแล้วพ่อบ้านเอาผ้าขาวม้าเฉวียงบ่า นั่งคุกเข่าหรือนั่งยองๆ ก็ได้ ไม่ต้องกราบหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ยกขัน 5 ขึ้นว่า นะโม ฯลฯ 3 จบ แล้วให้ว่าคาถาเรียกขวัญข้าวดังนี้ อุกาสะ อุกาสะ ผู้ข้าขอโอกาส ราธนาคุณแม่โพสพให้เมืออยู่เล้า คุณขวัญข้าวให้เมืออยู่ฉาง ภะสะพะโภชะนัง มะหาลาภัง สุขัง โหตุ"
แล้วเอาขันหรือกระบอกที่เตรียมไปตักขวัญข้าวนั้น ตักเอาขวัญข้าวใส่กระบุง อุ้มเดินกลับบ้าน เอาขึ้นเล้าไปวางไว้บนขื่อด้านหลังสุดตรงข้ามกับประตูเข้าเล้า หาอะไรครอบไว้เพื่อไม่ให้หนู หรือนกไปกินได้ ข้าวที่เก็บได้นั้นคือ "ขวัญข้าว" ซึ่งเราจะต้องเอามาผสมกับข้าวปลูก เพื่อทำพันธุ์ในปีต่อไป
สู่ขวัญข้าว
เมื่อขนข้าวขึ้นเล้าแล้ว บางคนก็สู่ขวัญข้าวในวันนั้น บางคนก็เอาวันหลัง ที่นิยมทำกันก็คือ วันจันทร์, พูธ, พฤหัสบดี, วันศุกร์ หรือวันอาทิตย์ก็ได้ ไม่นิยมทำกันในวันอังคาร วันเสาร์ วันจม และวันเดือนดับ ในวันสู่ขวัญข้าวนั้นให้อัญเชิญเอาขวัญข้าวที่เราเก็บใส่ขัน หรือกระบอกไว้ดังกล่าวนั้นมาใส่ในพาขวัญ สู่ขวัญแล้วจึงนำไปเก็บไว้ยังที่เดิม (คำสู่ขวัญข้าว ดูรายละเอียดที่นี่)
การเปิดเล้าเอาข้าวมากิน
ตามที่โบราณอีสานนิยมกัน เมื่อมีการขนข้าวขึ้นเล้าแล้ว เขาจะแยกเอาบางส่วนใส่กระสอบ หรือใส่กระเฌอเอาไว้สำหรับตำกิน กะให้พอกินถึงวันเปิดเล้า คือเมื่อเอาข้าวขึ้นเล้าและสู่ขวัญเสร็จ คนโบราณจะเปิดเล้าข้าวไว้ แต่การเปิดเล้าข้าวนั้น คนในภาคอีสานนิยมเปิดเล้า ตักกินข้าวเดือน 3 ขึ้น 3 ค่ำ หรือวันมงคลอื่นๆ ทั้งนี้แล้วแต่ท้องถิ่นนิยม คาถาเปิดเล้าตักข้าวมากินว่า ดังนี้
- ตั้ง นะโม ฯลฯ 3 จบ
- ให้เสกคาถาว่า "โอมแม่โพสพ ผู้เป็นเจ้าขวัญข้าว ขนมาเล้ามาเยีย ถึงฤดูเดือนตักกินข้าวแล้ว ขอให้แม่แก่นแก้วอย่าได้ตกใจ ผู้ข้าตักกินทานไปอย่าได้บก ผู้ข้าจกกินทานไปอย่าได้เสี่ยง ขอให้มีอยู่เลี้ยงเหลืออยากเหลือกิน มา ขะโย มา วะโย มัยหัง มา จะโกจิ อุปัททะโว ธัญญะธะนานิ เม ปะวัสสันตุ ธนัญชะยัสสะ ยถา ฆะเร ภะสะพะโภชะนัง มหาลาภัง สุขัง โหตุ" ว่า 3 จบ แล้วตักไปกินไปขายได้
คาถาหม่าข้าว
"สุ รุ รุ กึตตัง ภัพพา ภัพพัง ร้านพระ ร้านปานะ โภชนะ อุทะกัง วาวัง ตัณฑุลานิ ปะริปูริตานิ สัพพะกาลัญจะ ภิยโยโส" เสกใส่น้ำหม่าข้าวนึ่งหรือหุงกิน ท่านว่ากินบ่บกจกบ่อลงสุขภาพร่างกายของผู้กิน ก็จะดีไปด้วย
ฤกษ์ยามเอาข้าวขึ้นเล้า
เอาข้าวขึ้นเล้าควรเว้นวันเสาร์ ส่วนเดือนนั้นเดือนไหนก็ได้ แต่โบราณท่านให้ถือข้างขึ้น ข้างแรม ดังนี้
ข้างขึ้น
ถ้าขึ้น | 1-8-9-10 ค่ำ ผีช่วยกิน 1 ตน บ่ดีแล | |
ถ้าขึ้น | 2-3-4-5-7-12-14-15 ค่ำเป็นวันปลอด ดี เอาข้าวขึ้นเล้าเถิด ดีแล | |
ถ้าขึ้น | 6-11 ค่ำ ผีช่วยกิน 3 ตน บ่ดีแล | |
ถ้าขึ้น | 13 ค่ำ ผีช่วยกิน 2 ตน บ่ดีแล |
ข้างแรม
ถ้าแรม | 1-2-3-4-5-7-12-14-15 ค่ำเป็นวันปลอด ดี เอาข้าวขึ้นเล้าเถิด ดีแล | |
ถ้าแรม | 5-6 ค่ำ ผีช่วยกิน 3 ตน บ่ดีแล | |
ถ้าแรม | 7-8 ค่ำ ผีช่วยกิน 4 ตน บ่ดีแล | |
ถ้าแรม | 10-11-12 ค่ำ ผีช่วยกิน 2 ตน บ่ดีแล |
ตำนานความเชื่องเรื่อง ผีตาแฮกและดอนปู่ตา | ความเชื่อและพิธีกรรม เกี่ยวกับการเพาะปลูก