- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Tradition
- Hits: 25264
"ฝน" เป็นชีวาของทุกชีวิตในโลก ทุกชีวิตในโลกถ้าปราศจากความชุ่มฉ่ำของสายฝนย่อมเหี่ยวเฉา ถ้าขาดฝนตกมีแต่ความแห้งแล้งพืชพันธุ์ธัญญาหารก็เหี่ยวแห้ง เมื่อแห้งแล้วก็ตาย เหล่าสรรพสัตว์ก็ขาดแคลนอาหาร ล้มตาย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเรียกได้ว่า "น้ำฝนเป็นชีวาของทุกชีวิตในโลก"
สาเหตุที่ฝนไม่ตก ท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า "น้ำฝนนั้นเป็นน้ำของเทวดา" ดังมีศัพท์บาลีว่า เทโว ซึ่งแปลว่า น้ำฝน เป็นเอกลักษณ์ของความดี ความบริสุทธิ์ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษมากๆ ควันและละอองเขม่าน้ำมัน ห่อหุ้มโลกทำให้เป็นภัยแก่มนุษย์ ผู้ที่จะล้างอากาศได้ทำให้ละอองพิษพวกนั้นตกลงดิน ทำให้อากาศสะอาดคือ "เทโว" หรือ "ฝน" นั่นเอง ดังจะเห็นได้จากเมื่อฝนหยุดตกใหม่ๆ อากาศจะสดชื่น ระงมไปด้วยเสียงของกบ เขียด สาเหตุที่ฝนไม่ตกด้วยเหตุ
- เพราะความแปรปรวนทางอากาศ
- มนุษย์หันหลังให้ศีลธรรม
- ผู้ปกครองประเทศไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม
ดังนั้น ถ้ามนุษย์อยากให้เทวะคือน้ำฝนที่ดีไม่ใช่ดีเปรสชั่น มาเยี่ยมตามกาลเวลา มนุษย์ก็ควรตั้งอยู่ในศีลในธรรม เพราะคนที่มีศีลมีธรรมท่านจึงเรียกว่า "เทวะ" ทั้งๆ ที่เป็นคน เพราะเหตุดังกล่าวมานี้ เทวะคือฝน กับเทวะคือคนผู้มีคุณธรรม ย่อมจะมาหากันเพราะเป็นเล่ากอแห่งเทวะด้วยกัน เหมือนพระย่อมไปพักกับพระ เป็นต้น
แต่ถ้าเกิดอาเภทผิดแผกจากฤดูกาล ฝนไม่ตกตรงตามเวลา ท่านก็ให้ทำพิธีขอฝน ซึ่งจะได้หรือไม่ได้ก็ต้องลองเสี่ยงดู การขอฝนตามประเพณีท่านให้ทำดังนี้
แห่นางแมว
ให้คัดเลือกแมวลักษณะดี สายพันธุ์สีสวาด เพศเมีย 1-3 ตัว ใส่กระทอ กระบุง หรือตะกร้า ออกแห่ไปรอบๆ หมู่บ้าน ฝนก็จะตกลงมาภายใน 3 วัน 7 วัน สาเหตุที่ต้องเลือกแมวสีสวาดก็เพราะคนโบราณมองว่า ขนสีเทา คล้ายกับสีเมฆฝน บางแห่งอาจจะใช้แมวดำแทน มีคนหาม ตั้งคายขัน 5 หาม ประกอบพิธีป่าวสัคเค เทวา เชิญเทวดาลงมาบอกกล่าวขอน้ำฝนกับเทวดาว่า จะขอฝนด้วยการใช้พิธีแห่นางแมว แล้วสั่งให้พวกหามแมวแห่เซิ้งไปตามถนนในหมู่บ้าน มีคนทั้งชาย หญิง และเด็กเดินถือดอกไม้ตามไปถึงเรือนหลังไหน คนในเรือนหลังนั้นก็เอาน้ำสาดมาใส่ทั้งแมวและคน เล่นเอาทั้งแมวทั้งคนหนาวไปตามๆ กัน ในบางแห่งจะมีการผูกเอวคนหัวล้าน 2 คน ทำฮึดฮัดจะชนกันตามกระบวนไปด้วย บางจุดก็หยุดให้หัวล้านชนกัน
โดราเอมอนมาตามหาแมวที่เมืองไทย
สลับคำเซิ้งชาวก็บ้านจะเอาน้ำรดแสดงไปเรื่อยๆ ดังนี้
คำเซิ้งนางแมว เซิ้งอันนี้เผิ่นว่า เซิ้งนางแมว ย่างเป็นแถวกะนางแมวออกก่อน ไปตามบ่อนกะตามซอกตามซอย ไปบ่ถอยกะขอฝนขอฟ้า เฮาคอยถ้าให้ฝนเทลงมา ตามประสาแมวโพงแมวเป้า แมวดำกินปลาย่าง แมวด่างกินปลาแห้ง ฝนฟ้าแล้ง กะขอฟ้าขอฝน ขอน้ำมนต์กะรดหัวแมวบ้าง (ชาวบ้านก็สาดน้ำลงใส่)
เทลงมากะฝนเทลงมา ท่วมไฮ่ท่วมนา ท่วมฮูปลาไหล
ท่วมไม้โสงเสง หัวล้านชนกันฝนเทลงมา (ซ้ำ) "
จะเซิ้งอย่างนี้เริ่มจาก 3 โมงเย็นจนถึง 2 ทุ่ม หรือรอบหมู่บ้านแล้วหยุด พอหยุดไม่นานฝนก็จะตก มีฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าตามมา (ความเชื่อโบราณนะครับ)
ฟ้อนแห่นางแมว โดย นาฏยศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
สมัยก่อนใช้แมวจริง สมัยนี้กลัว พรบ.ทารุณกรรมสัตว์ ใช้โดราเอมอนแทน ฝนเลยบ่ค่อยตก
ปรัชญากับความเชื่อจากแมว : รายการ Spirit of Asia ทางช่อง ThaiPBS
สารคดีเกี่ยวกับแมว การแห่นางแมว กับเซิ้งแม่นางด้ง
เต้าแม่นางด้ง
ในบางหมู่บ้าน จะมีการเซิ้งขอฝนแตกต่างออกไป เต้าแม่นางด้ง เป็นประเพณีที่นำเอาอุปกรณ์บางอย่างจากบ้านแม่หม้าย (ผัวตาย) หรือแม่ฮ้าง (ผัวหย่า) มาดังนี้
- กระด้ง 2 ใบ ไม้คาน 4 อัน (ผูกมัดไขว้ตีนกาบนปากกระด้ง แล้วเอาเชือกมัดหัวไม้คานติดกับกระด้งทั้ง 4 ด้านไว้ให้แน่น)
- แว่น (กระจกเงา) หวี แป้ง ปลอกมือ ข้าวปั้น 1 ปั้น และขัน 5 (ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่)
- เหล้าก้อง ไข่หน่วย ทั้งหมดจากข้อ 2 ถึง 3 แต่งใส่กระด้งใบที่หนึ่งเอาไว้ข้างสนาม
- เอาหลักมา 2 หลัก ฝังไว้ตรงข้ามกัน ห่างกันประมาณ 5 หรือ 10 วา และหลัก 2 หลักนี้ ไม่จำเป็นต้องเอามาจากบ้านแม่ฮ้าง เอากระด้งใบที่สอง ที่จะใช้ประกอบพิธีนี้ วางไว้ตรงกลางระหว่างหลักทั้งสอง หลักที่หนึ่งเรียกว่า หลักแล้ง หลักที่สองเรียกว่า หลักฝน
สถานที่ดำเนินการมักจะทำภายในวัด หรือบริเวณศาลากลางบ้าน เวลาประมาณ 2 ทุ่ม พิธีกรก็จะมาประกอบพิธี โดยให้ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ 2 คน จับที่หัวไม้คาน ที่ปากกระด้งคนละด้าน แล้วนำว่า เซิ้งแม่นางด้ง ทุกคนในที่นั้นก็จะว่าตาม
พอจบแล้ว ถ้ากระด้งไม่กระดุกกระดิกเลย ถือว่าแม่นางด้งไม่ชอบคนจับ ต้องเปลี่ยนคู่ใหม่ แล้วว่าคำเซิ้งจนกว่ากระด้งจะกระดุกกระดิก แล้วนำคนจับลอยไปตีหลักไหน ถ้าตีหลักแล้งฝนก็แล้ง ถ้าตีหลักฝนฝนก็จะไม่แล้ง พิธีนางด้งนี้เป็นการขอฝนในอีกรูปแบบหนึ่ง หรือจะใช้เสี่ยงทายหาคนหาย ของหายก็แม่นมาก เหมือนกันกับนางข้องนั่นเอง
คำเซิ้งแม่นางด้ง
เต้าแม่นางด้ง เฮ็ดโล้งโค้งเสมอดังกงเกวียน มาเวียนนี้ได้สองสามฮอบ มาคอบนี้ได้สองสามที ตักตุลีแมงหวี่ตุลา พาสาวหลงเข้าดงกำแมด มาสู่แดดหรือมาสู่ฝน มากำฮนนำแม่เขียดใต้ เฮ็ดซักไซ้นั่นแม่นเขียดเหลือง มีแต่เสียงนั่นแม่นเขียดจ่อง ลอยอ่องล่องนั่นแม่นเขียดจานา หลังซาๆ นั่นแม่นเขียดคันคาก ขอเชิญคกไม้บากมาสูนด้งเยอ สากไม้แดงมาสูนด้งเยอ เชิญทั้งแองข้าวหม่าให้มาสูนด้งเยอ
ด้งน้อยๆ ฮ่อนข้าวกินขาว อีสาวๆ กะให้มานั่งอ้อม เขาควายพร้อมเอามาเฮ็ดเป็นหวี เหล้าไหดีเอามาต้อนฮับไถ่ เหล่าไหใหญ่เอามาต้อนฮับแถน แขนลงมาแต่เทิงวีด้ง เต้นเยอด้งเปอเคอด้ง มาปิ่นวัดเดียวนี้ ปิ่นเวียนเดียวนี้ ฝนบ่ตกข้าวไฮ่ตายคา ฝนบ่มาข้าวนาตายแล้ง ฝูงหมู่แฮ้งลงซากลงโคลง ดินเป็นผงของตายเหมิดแล้ว น้ำเต้าแก้วไหลหลั่งลงมา มานำกูให้เหมิดให้เสี้ยง สาวไทเวียงเต้าแม่นางด้ง เต้นเยอด้งเปอเคอเยอด้ง เต้นเยอด้งเปอเคอเยอด้ง มาสูมาให้สูมาเฮวเฮ่ง มาเป่งน้ำเดือนเก้าเข้านา เทลงมากะฝนเทลงมา
การเข้าทรงนางด้ง เผยแพร่โดย อาจารย์สันติ อภัยราช
สวดคาถาปลาค่อขอฝน
มีตำนานกล่าวไว้ว่า ในอดีตกาลพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นปลาค่อ (ปลาช่อน) แต่พระองค์ไม่เคยกินปลาเล็ก สัตว์เล็ก เคย กินตะไคร้น้ำและสาหร่ายอย่างอื่นแทน ครั้นฝนแล้ง น้ำแห้งปลาอื่นกำลังจะตาย พระโพธิสัตว์จึงโผล่ขึ้นมาจากเปลือกตม แหงนมองดูฟ้า แล้วตั้งสัจจะวาจาว่า "ดูกร เมฆฝน แม้ข้าพเจ้าเป็นปลา ข้าพเจ้าก็ไม่ได้กินปลาและบังเบียดปลา บัดนี้เพื่อนร่วมชาติและตัวข้าพเจ้ากำลังทุกข์หนัก และกำลังจะตายเพราะขาดน้ำ ด้วยอานุภาพแห่งศีลบารมี และสัจจบารมีขอฝนจงตกลงมาให้ชีวิตชีวาแก่เราด้วยเถิด" ครั้นจบสัจจะวาจาของโพธิสัตว์ ฝนก็ตกลงมาอย่างงดงาม ไม่มีฟ้าร้อง ฟ้าแลบ และฟ้าผ่าเลย
การสวดคาถาปลาค่อขอฝน ของ ชาวบ้านที่จังหวัดบุรีรัมย์
วิธีทำ ให้แต่งการมงคลเหมือนการสวดมงคลทั่วไป นิมนต์ภิกษุจำนวนคี่ คือ 5 รูป 7 รูปหรือ 9 รูป มาสวดคาถาขอฝน ให้สวด 7 วัน เป็นคาถาขอฝน วันละ 3 รอบก็พอ เพื่อให้ได้ผผลให้ญาติโยมที่มาร่วมพิธีรับศีลทุกครั้ง เฉพาะคนแก่ให้จำศีลเข้าพิธีทั้ง 7 วันจนจบพิธี สำหรับพระสวดวันแรกให้ตั้งมงคลก่อน แล้วสวดคาถาขอฝนสุดท้าย อีก 6 วันหลังให้สวด นะโม ฯลฯ และพุทธัง สรณัง คัชฉามิ ฯลฯ ทุติยัมปิ ตะติยัมปิ ฯลฯ แล้วสวดคาถาขอฝนเลยวันละ 3จบ แล้วฝนจะตกดี ตกงามไม่มีฟ้าผ่าน่าสพรึงกลัวแล
มัจฉราชจริยาคาถา คาถาปลาช่อน
(มัจฉชาดก ที่มาของคาถาปลาช่อนขอฝน)
ปุนะ ปะรัง ยะทา โหมิ มัจฉะราชา มะหาสะเร
อุณเห สุริยะสันตา เปสะเร อุทะกัง ขียะถะ
ตะโต กากา จะ คิชฌา จะ กังกากุลาละเสนะกัง
ภักขายันติ ทิวารัตติง มัชเฌ อุปะนิสีทิยะ
เอวัง จินเตสะหัง ตัตถะ สะหะ ญาติภิ ปิฏฐิโต
เกนะ นุ โข อุปาเยนะ ญาติ ทุกขา ปะโมจะยัง
วิจินตะยิตะวา ธัมมัฏฐัง สัจจัง อัททะสะ วัสสะยัง
สะเจ ฐัตะวา ปะโมเจสิง ญาตีนัง ตัง อะติกขะยะ
อะนุสสะริตะวา สะตัง ธัมมัง ปะระมัตถัง วิจินตะยัง
อะกาสิง สัจจะกิริยัง ยัง โลเก ธุวะสัสสะตัง
ยะโต สะรามิ อัตตานัง ยะโต ปัตโตสะมิ วิญญุตัง
นาภิชานามิ สัญจิจจะ เอกะปาณิมหิ หิงสิตา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ปะชุนโน อะภิวัสสะตุ
อะภิตถะนายัง ปะชุนนะ นิธิง กากัสสะ นาสะยะ
กากัง โสกายะ รันเชหิ มัจเฉ โสกา ปะโมจะยะ
สะหะ กะเต สัจจะวะเร ปะชุนโน อะภิวัสสิยะ
ถลัง นินนัญจะ ปูเรนโต ขะเณนะ อะภิวัสสิยะ
เอวะรูปัง สัจจะกิริยัง กัตะวา วิริยะมุตตะมัง
วัสสาเปสิง มะหาเมฆัง สัจจะเตชะพะลัสสิโต
สัจเจนะ เม สะโม นัตถิ เอสา เม สัจจะปาระมีติ ฯ
มัจฉะราชา จะริยา นิฏฐิตาฯ
คำแปล
ในกาลเมื่อเราเป็นพระยาปลาอยู่ในสระใหญ่ น้ำในสระแห้งขอดเพราะแสงพระอาทิตย์ในฤดูร้อน ที่นั้นกาแร้งนกกระสา นกตะกรุมและเหยี่ยว มาคอยจับปลากินทั้งกลางวันกลางคืน ในกาลนั้น เราคิดอย่างนี้ว่า เรากับหมู่ญาติถูกบีบคั้น จะพึงเปลื้องหมู่ญาติให้พ้นจากทุกข์ได้ด้วยอุบายอะไรหนอ เราคิดแล้วได้เห็นความสัตย์อันเป็นอรรถเป็นธรรมว่า เป็นที่พึ่งของหมู่ญาติได้ เราตั้งอยู่ในความสัตย์แล้ว จะเปลื้องความพินาศใหญ่ของหมู่ญาตินั้นได้ เรานึกถึงธรรมของสัตบุรุษ คิดถึงการไม่เบียดเบียนสัตว์ อันตั้งอยู่ในเที่ยงแท้ในโลก ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งได้ แล้วได้กระทำสัจกิริยาว่า ตั้งแต่เราระลึกตนได้ ตั้งแต่เรารู้ความมาจนถึงบัดนี้ เราไม่รู้สึกว่าแกล้งเบียดเบียนสัตว์แม้ตัวหนึ่งให้ได้รับความลำบากเลย ด้วยสัจวาจานี้ ขอเมฆจงยังฝนให้ตกห่าใหญ่แน่ะเมฆ ท่านจงเปล่งสายฟ้าคำรามให้ฝนตกจงทำขุมทรัพย์ของกาให้พินาศไป ท่านจงยังกาให้เดือดร้อนด้วยความโศก จงปลดเปลื้องฝูงปลาจากความโศก พร้อมกับเมื่อเราทำสัจกิริยา เมฆส่งเสียงสนั่นครั่นครื้น ยังฝนให้ตกครู่เดียว ก็เต็มเปี่ยมทั้งที่ดอนและที่ลุ่มครั้นเราทำความเพียรอย่างสูงสุด อันเป็นความสัตย์อย่างประเสริฐเห็นปานนี้แล้วอาศัยกำลังอานุภาพความสัตย์ จึงยังฝนให้ตกห่าใหญ่ผู้เสมอด้วยความสัตย์ของเราไม่มีนี้เป็นสัจบารมีของเราฉะนี้แล.
เทศน์พญาคันคาก (คางคก)
ตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญาคันคาก เสวยราชสมบัติอยู่ในเมืองชมภู พระบิดามีพระนามว่า พระเจ้าเอกราช พระมารดาคือ สีดา เมื่อทรงเจริญวัยพระราชบิดาทรงมอบสมบัติให้ ต่อมาได้เกิดฝนแล้งผู้คนสัตว์ได้อดอยากล้มตายกันมาก พญาคันคากจึงสั่งให้พญานาคเอาหินก่อขึ้นไปเมืองแถน สั่งให้ปลวกเอาดินฉาบทาไม่ให้หินพัง ทำเป็นทางไปรบแถน ทำอยู่ 3 เดือนจึงเสร็จ จึงได้เกณฑ์พลอากาศ มี หงส์ แตน ต่อ ผึ้ง ทางน้ำคือ ปลา ทางบก คือ ช้าง ม้า รบอยู่ 2 ปี พญาคันคากจึงชนะ แล้วมีบัญชาให้แถนส่งฝนให้ตามฤดูกาล
วิธีทำ ใหขุดสระมีขนาดพอสมควร เอาน้ำมาใส่ เอาจอก แหน มาใส่ เอาปลาและเต่มาปล่อย เอาบัวมาปลูก ตามขอบสระให้ทำรูปช้าง ม้า วัว ควาย ผึ้ง ต่อ แตน กบ เขียด อึ่งอ่าง แล้วจัดเครื่องฮ้อย หมากฮ้อยจอกหนึ่ง เมี่ยงฮ้อยจอกหนึ่ง ข้าวตอกฮ้อยจอกหนึ่ง (หมายถึงอย่างละ 100 อันรวมเข้าใส่ในจอก ขนาดใหญ่พอบรรจุได้ เช่น ข้าวตอกฮ้อยหนึ่งจอก หมายความว่า ข้าวตอกแตกบ้านเราร้อยดอก (เม็ด) ใส่ไว้ 1 จอก เป็นต้น)
น้ำส้มป่อยหนึ่งขัน ขัน 5 ขัน 8 พระสงฆ์ 5-7-9 รูป ตามแต่จะนิมนต์ แต่อยู่ในจำนวนนี้ ห้ามคู่ ชาวบ้านโดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่นุ่งขาวห่มขาว บวชชีพราหมณ์ฟังพระสวดและเทศน์ พญาคันคากอยู่ 3 วัน 3 คืน ทุกคนตั้งจิตอธิษฐานขอให้ฝนตก ฝนก็จะตกต้องตามฤดูกาล และตกอย่างงาม คือเป็นสัมมาธรัง ปะเวสสันโต ซึ่งแปลว่า หลั่งธารน้ำ ฝนลงมางามๆ ไม่มีฟ้าผ่าน่าสพรึงกลัวแล
ตำนาน "พญาคันคาก"
พระยาหลวงเอกราชและนางสีดา ปกครองเมืองอินทปัตถ์มานาน ประชาชนมีความสุขสมบูรณ์กันถ้วนหน้า พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดในครรภ์นางสีดาในร่างของ คันคาก (คางคก)
ในคืนหนึ่งนางสีดาฝันว่า ดวงอาทิตย์ได้ตกลงมาจากฟากฟ้า แล้วลอยเข้ามาในปากของนาง เมื่อนางกลืนลงท้อง เนื้อตัวของนางได้กลายเป็นสีเหลืองสดใสประดุจดังทองคำ ในความฝันยังแสดงให้เห็นว่า "นางมีอิทธิฤทธิ์สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้" นางได้เหาะไปยังเขาพระสุเมรุแล้ว จึงเดินทางกลับมายังปราสาทราชวังในเมืองอินทปัตถ์ดังเดิม ครั้นสะดุ้งตื่นนางได้เล่าความฝันถวายแก่ พระยาหลวงเอกราช พระสวามี พระยาหลวงล่วงรู้ในนิมิตความฝันว่าพระองค์จะมีโอรสที่จะสืบราชสมบัติต่อไป
เมื่อครบสิบสองเดือนนางสีดาได้ให้กำเนิดกุมารเป็น ตัวคันคาก (คางคก) มีรูปร่างเหลืองอร่ามดั่งทองคำ พระยาหลวงเอกราชดีใจมาก ได้สั่งให้จัดหาอู่ทองคำมาให้นอน และจัดหาแม่นมมาดูแลอย่างใกล้ชิด ต่อมาท้าวคันคากเจริญวัยเป็นหนุ่ม อายุได้ 20 ปี คิดอยากจะมีคู่ครอง พระบิดาได้พยายามหาผู้ที่เหมาะสมมาให้แต่ก็หาไม่ได้ ด้วยมีเหตุขัดข้องที่ท้าวคันคากมีรูปกายที่อัปลักษณ์ ผิดแผกไปจากมนุษย์คนอื่นๆ พระยาหลวงเอกราชรู้สึกสงสารโอรสเป็นอันมากจึงปลอบใจว่า "ขอให้สร้างสมบุญบารมีต่อไปอีก จนกว่าจะกลายร่างเป็นมนุษย์เมื่อใด จะยกทรัพย์สมบัติให้ปกครองบ้านเมืองสืบต่อไป" ท้าวคันคากจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า "หากตนมีบุญบารมี ขอให้ได้หญิงงามมาเป็นคู่ครอง"
ดังนั้น พระอินทร์จึงได้ลงมาเนรมิตปราสาทแก้วไว้กลางเมือง ปราสาทนี้มีขนาดใหญ่โตมาก มีเสาเป็นหมื่นๆ ต้น มีห้องใหญ่น้อยจำนวนหนึ่งพันห้อง พร้อมทั้งเครื่องประดับตกแต่ง ปราสาทหลังนี้เต็มไปด้วยอัญมณีที่มีค่ายิ่ง นอกจากนี้ พระอินทร์ได้ให้นางแก้วมาเป็นชายาท้าวคันคาก และได้เนรมิตกายท้าวคันคากให้มีรูปกายงดงามอีกด้วย เสร็จแล้วพระอินทร์จึงเสด็จกลับสู่สวรรค์อันเป็นที่ประทับของพระองค์
ท้าวคันคากและนางแก้ว อาศัยอยู่ในปราสาทที่พระอินทร์เนรมิตงามดังไพชยนต์ปราสาทแห่งนี้ ต่อมาเมื่อพระยาหลวงเอกราชและนางสีดาทราบข่าว ได้เสด็จมาเยี่ยมยังปราสาท พร้อมทั้งได้จัดทำพิธีอภิเษกให้ ท้าวคันคากเป็นเจ้าเมืองปกครองไพร่ฟ้าประชาราษฎร์สืบไป นับตั้งแต่พญาคันคากขึ้นครองเมือง บรรดาพญาทั้งหลาย ตลอดจนบรรดาสัตว์เดรัจฉานได้เข้ามาขอเป็นบริวารอีกมากมาย
พระยาแถน ทราบว่า พญาคันคากได้ขึ้นครองเมืองจึงคิดอิจฉาและไม่พอใจ จึงคิดหาทางกลั่นแกล้ง แต่ก็รู้ดีว่า พญาคันคากมีบุญญาธิการและมีอิทธิฤทธิ์มากเกรงจะเป็นภัยแก่ตน จึงได้วางแผนการโดยที่ไม่ให้ฝนตกลงมายังมนุษยโลก ทำให้สิ่งมีชีวิตเดือดร้อนกันไปทั่วพิภพ นานถึง 7 ปี พญาคันคากไม่ทราบว่าจะหาทางแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร จึงลงไปยังใต้พิภพเพื่อปรึกษากับพญานาค พญาหลวงนาโคบอกกับพญาคันคากว่า "พระยาแถนประทับอยู่ยังปราสาทเมืองยุคันธร ที่เมืองนี้มีแม่น้ำคงคาอันกว้างใหญ่ไพศาล พระยาแถนมีหน้าที่ดูแลรักษาแม่น้ำยุคันธรแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมีเขาสัตบริภัณฑ์ตั้งอยู่รายล้อมเขาพระสุเมรุถึง 7 ลูก เมื่อครบกำหนดเวลา บรรดานาคจะลงมาเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ฝนฟ้าก็จะตกต้องตามฤดูกาล แต่บัดนี้พระยาแถนไม่ยอมให้นาคลงไปเล่นน้ำดังแต่ก่อน จึงทำให้เมืองมนุษย์แห้งแล้ง ผู้คน สัตว์ และพืช ล้มตายเป็นอันมาก"
พญาคันคากได้ฟังดังนั้น จึงคิดหาทางไปเมืองแถน ได้ไปตามพวกครุฑ นาค ปลวก มาก่อภูเขา เพื่อทำทางขึ้นไปรบกับพระยาแถน เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมสรรพแล้ว จึงยกพลไปรบกับพระยาแถน โดยต่างฝ่ายต่างก็มีคาถาอาคม พญาคันคากได้ร่ายเวทมนตร์ให้บังเกิดมีกบ เขียด อย่างมากมาย ทำให้ชาวเมืองแถนตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง พระยาแถนเองก็ใช้คาถาอาคมเป่าให้เกิดมีงูร้ายมากมายหลายชนิด เพื่อมาจับกบและเขียดกิน พญาคันคากได้ให้ครุฑและกามาจิกกินงูที่เกิดจากอาคมพระยาแถน จนกระทั่งงูเหล่านั้นต้องล้มตาย พระยาแถนจึงให้สุนัขมาวิ่งไล่จับครุฑและกากินเป็นอาหาร พญาคันคากได้ให้เสือโคร่งออกมาจับสุนัขกิน พระยาแถนได้ยิงธนูให้กลายเป็นห่าฝนหอกดาบตกลงมาเสียบคนล้มตายเป็นจำนวนมาก พญาครุฑได้ให้เสือโคร่งออกมาจับสุนัขกิน พระยาแถนได้ยิงธนูให้กลายเป็นห่าฝนหอกดาบ ตกลงมาเสียบคนล้มตายเป็นจำนวนมาก พญาครุฑได้เนรมิตปีกให้แผ่กว้างเพื่อกำบังห่าฝนหอกดาบ และมีการร่ายเวทมนตร์คาถาอาคมให้ผู้คนที่ล้มตายกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
การสู้รบกันระหว่างพญาคันคากกับพระยาแถนเป็นไปอย่างดุเดือด ต่างคนต่างก็มีคาถาอาคม เพื่อต่อสู้กับศัตรูอย่างฉกาจฉกรรจ์ ปรากฏว่าไม่มีใครแพ้ใครชนะ จึงได้มาชนช้างกัน ในที่สุดพระยาแถนแพ้พญาคันคาก พญาคันคากจึงมีบัญชาให้พระยาแถนยอมให้นาคมาเล่นน้ำ ฝนจะได้ตกบนพื้นพิภพดังเดิม ครั้งนี้นับเป็นการสู้รบที่เรียกว่า มหายุทธ เลยทีเดียว ต่อมาสัตว์ต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นศัตรูกันนับตั้งแต่นั้นมา
ที่มา : นายผ่าน วงศ์อ้วน ได้ปริวรรตจากตัวอักษรไทยน้อย จำนวน 5 ผูก มาเป็นอักษรไทยปัจจุบัน
พิมพ์เผยแพร่โดย : ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดมหาสารคาม วิทยาลัยครูมหาสารคาม จำนวน 89 หน้า
(เอกสารอัดสำเนา) เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2525
นอกจากวิธีการขอฝนดังกล่าวมาแล้วนั้น ยังมีประเพณีการดึงครก ดึงสาก การแห่ข้าวพันก้อน ประเพณีบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นความเชื่อและศรัทธาของแต่ละพื้นถิ่นแตกต่างกันไป ล้วนแต่มีความเชื่อว่า ฝนจะตกลงมาถูกต้องตามกาลเวลาอันสมควร
[ เรื่องที่เกี่ยวข้อง ฮีตเดือนหก บุญบั้งไฟ | นิทานพื้นบ้าน พญาคันคาก ]
- Details
- Written by: เฉลิมชัย ถึงดี
- Category: Tradition
- Hits: 20087
ประวัติความเป็นมา
สารท มาจากคำบาลี หมายถึง ฤดูใบไม้ร่วง ภาษาสันสกฤตเป็น ศารท คำว่า สารท และ ศารท หมายถึง การทำบุญเดือนสิบ เป็นการอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เนื่องจากมีความเชื่อว่า ระยะนี้เป็นระยะที่ยมบาลปล่อยเปรตให้มาเยี่ยมบ้านเดิมของตน เพื่อรับส่วนบุญที่ญาติจะอุทิศให้ ลูกหลานญาติพี่น้องมีความเชื่อว่า "ญาติของตนที่ตายแล้วอาจจะไปเกิดในอบายภูมิ ซึ่งเป็นภูมิที่อดอยาก" จึงทำบุญอุทิศให้ โดยหวังว่าเมื่อวิญญาณได้รับอนุโมทนาส่วนบุญแล้ว จะได้พ้นจากภูมิอันทุกข์ทรมานนั้นไปเกิดในภูมิใหม่ที่ดีกว่านั้น
สารท คำนี้อ่านออกเสียงพ้องกับคำว่า ศราทธ์ ซึ่งเป็นพิธีส่งดวงวิญญาณขึ้นสวรรค์ของชาวฮินดู กระทำโดยลูกชายของผู้ตายซึ่งมีภรรยาร่วมพิธีด้วย พิธีศราทธ์ แปลว่า พิธีที่ทำด้วยศรัทธา ถือความเชื่อความมุ่งมั่นวิริยอุตสาหะจริงๆ ของญาติผู้ตาย เพราะทำกันตลอดเวลา คือ อาจจะทำทุกวันในปีแรกแห่งการตาย พิธีนี้ชื่อเรียกอกอย่างหนึ่งว่า สบิณฑนะ คือ พิธีถวายข้าวบิณฑ์ หรือก้อนข้าวสังเวยวิญญาณผู้ตาย เมื่อวิญญาณมีกำลังพอที่จะเดินทางไปสู่ปรโลกได้
ชาวฮินดูเชื่อว่า ร่างกายของคนตายนั้นสูญสลายไปเสียแล้ว เพราะถูกเผาหรือฝัง วิญญาณจึงอยู่ในสภาพเปรต วนเวียนอยู่ตามสถานที่ที่เคยอาศัย ไม่สามารถเดินทางไปสู่ปรโลกได้ เพราะไม่มีประสาทสัมผัส ไม่มีกำลัง ดังนั้นญาติจึงทำพิธีถวายข้าวบิณฑ์ แด่วิญญาณในพิธีศพ 4 ครั้ง และหลังจากวันตายไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 10 ทุกวัน ในวันที่ 11 เป็นพิธีศราทธ์ครั้งใหญ่ มีการกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญให้ผู้ตาย ญาติพากันสวดวิงวอนให้พระเจ้าช่วยเปรตให้พ้นจากทุกข์
ญาติปล่อยวัวหนุ่มสาวคู่หนึ่ง โดยประทับตราตรีศูล และจัดพิธีแต่งงานให้วัวทั้งคู่ ขอพรจากวัว ซึ่งเป็นตัวแทนของพระเจ้า แล้วปล่อยไป มีการเลี้ยงอาหารแก่พราหมณ์ 11 คนหลังจากนั้น ญาติก็จะทำพิธีศราทธ์ทุกวันหรือเดือนละ 4 ครั้ง 2 ครั้ง หรือ 1 ครั้ง แล้วแต่ศรัทธา ข้าวบิณฑ์ ที่ใช้ในพิธีคือ ก้อนข้าวกลมๆ ขนาดเท่าผลมะตูม 6 ก้อน ทำจากแป้งข้าวเจ้าผสมน้ำนมโคใส่ในใบตองหรือภาชนะ มีจอกน้ำตั้งไว้ด้วย
ที่ยกเอาพิธีศราทธ์มาให้รับทราบนี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า พิธีศราทธ์ของฮินดูไม่ใช่พิธีเดียวกันกับพิธีสารทของไทย ซึ่งหมายถึงฤดูกาลทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย แต่พิธีสารทไม่ใช่เทศกาล ส่วนพิธีทำบุญให้วิญญาณผู้ตายของฮินดูที่เป็นเทศกาลในช่วงเวลาเดียวกับ เทศกาลสารทนี้ก็มี คือ พิธีทำบุญเปตมาส มีขึ้นในวันข้างแรมของเดือนภัทรบท ประมาณเดือนสิงหาคม กันยายน เป็นพิธีทำบุญอุทิศให้บรรพบุรุษและสมาชิกครอบครัวที่ตายไปแล้ว มีการสังเวยน้ำแก่วิญญาณผู้ตายในวันดิถี คือ วันทางจันทรคติที่ตรงกับวันตายของผู้ล่วงลับในช่วงเวลาแห่งเทศกาลนี้
บางบ้านก็เชิญพราหมณ์มาทำพิธีด้วย จตุปัจจัยที่ใช้เป็นวัตถุสังเวย ได้แก่ เงิน ข้าวสุก นมเปรี้ยว พืชผล ผัก และอาหารคาวหวานอื่นๆ ให้พราหมณ์ และมีการเชื้อเชิญวิญญาณของผู้ตายในรอบปีนี้มาสิงสถิตร่วมกับวิญญาณของ บรรพบุรุษอื่นๆ ณ มุมหนึ่งของบ้านด้วย
สำหรับเทศกาลสารทของไทยเอง ปรากฏมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ กล่าวถึงพิธีสารทว่า ในวันเพ็ญเดือน 10 เป็นวันเริ่ม พระราชพิธีภัทรบท พระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จออกวัดหน้าพระธาตุทรงอังภาสพระภิกษุสงฆ์ด้วยข้าวมธุปายาสยาคุ ทรงบูชาพระรัตนตรัยด้วยพวงมาลาและธงหลากสี ทรงถวายอัฐบริขาร และกิลานเภสัช แด่พระภิกษุสงฆ์ แล้วทรงอุทิศพระราชกุศลแด่พระญาติที่ล่วงลับ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเช่นนี้เป็นเวลา 3 วัน ในวันที่ 3 เสด็จเทวาลัยของพราหมณ์ ทรงเสี่ยงพราหมณ์มากกว่าร้อยคน ด้วยข้าวมธุปายาสและยาคู เป็นเวลา 2 วัน ทรงถวายผ้าสาฎกแด่พราหมณ์ทุกคน
ส่วนสาธุชนชาวพระนครก็ปฏิบัติพิธีสารท ทำนองเดียวกับพระราชพิธีภัทรบท ทั้งพิธีพุทธและพิธีพราหมณ์ เป็นที่น่าสังเกตว่า พิธีภัทรบทของชาวสุโขทัยโบราณมีลักษณะคล้ายกันกับ พิธีเปตมาส ของชาวฮินดูในอินเดียในปัจจุบันนี้มาก จึงพอสรุปได้ว่า พิธีภัทรบทได้เค้ามาจากพิธีเปตมาส เช่นเดียวกับพิธีจองเปรียงของชาวสุโขทัย โบราณ ได้เค้ามาจากพิธีปวาลีของชาวฮินดูนั่นเอง
เทศกาลสารทไทย เป็นเทศกาลที่มีปฏิบัติกันในภาคกลาง ส่วนภาคที่มีพิธีคล้ายๆ กัน เช่น กิ๋นก๋วยสลาก ในภาคเหนือ บุญข้าวประดับดิน และ บุญข้าวสาก ในภาคอีสาน บูชาข้าวบิณฑ์ ในภาคใต้ สำหรับพิธีสารทของไทยภาคกลางมีขึ้นในวันสิ้นเดือนสิบ ชาวบ้านจะนำอาหารคาวไปเลี้ยงพระ ส่วนอาหารหวานมีแต่กระยาสารทกับกล้วยไข่เท่านั้น
มีการตักบาตรธารณะ คือ ชาวบ้านใส่บาตรด้วยกระยาสารทห่อด้วยใบตองกับกล้วยไข่ แต่บางแห่งก็จะไม่แยกกัน คงใส่ข้าวรวมลงในบาตรด้วย เมื่อพระฉันข้าวเช้าเสร็จก็ฉันกระยาสารทเป็นของหวาน และฉันกล้วยไข่กลั้วคอไปด้วย พระยาอนุมานราชธน เล่าไว้ว่า "เมื่อสมัยก่อนเมื่อใกล้ถึงวันสารท ชาวบ้านทุกบ้านก็กวนกระยาสารท โดยมีส่วนผสมของข้าวเม่า ข้างตอก ถั่ว งา มะพร้าว และน้ำตาล กวนให้เข้ากันบนเตาไฟจนเหนียวเป็นปึก เมื่อเย็นลงจะกรอบ แล้วห่อด้วยใบตองเป็นห่อๆ เพื่อนำไปตักบาตรและแจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้าน ถ้าจะให้กระยาสารทเหนี่ยวดีก็ใส่แบะแซ (น้ำผึ้งขาว) เข้าไปด้วย"
เหตุการณ์ในอดีเกี่ยวกับเทศกาลสารทนี้ ถูกพรรณนาไว้อย่างเพราะพริ้งในนิราศเดือนว่า ถึงเดือนสิบเห็นกันเมื่อวันสารท ใส่อังคาสโภชนากระยาหาร กระยาสารท กล้วยไข่ใส่โตกพาน พวกชาวบ้านทั่วหน้าธารณะเจ้างามคมห่มสีชุลีนบ แล้วจับจบทัพพีน้อมศีรษะหยิบข้าวของกระยาสารทใส่บาตรพระธารณะเสร็จสรรพกลับมาเรือน
สำหรับ วันสารทของชาวสุรินทร์ จะมีความแตกต่างออกไป คือ วันสารท ชาวสุรินทร์ เรียกว่า แขเบ็ณฑ์ ถือว่าเป็นพิธีสำคัญสำหรับชีวิต สำหรับเดือนสิบชาวสุรินทร์เรียกว่า แขพ้อดระบ็อด เพี้ยนจากคำว่า ภัทรบท เช่นกัน จุดประสงค์ คือการทำบุญและรำลึกถึง และการแสดงกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ชาวสุรินทร์เชื่อว่า ปู่ ย่า ตา ทวด ที่ล่วงลับไปแล้วนั้น ถ้ายังไม่ได้เกิดที่อื่น วิญญาณจะยังคงอยู่รักษาดูแลทุกข์สุขของลูกหลาน หรือบางทีไปเกิดเป็น ปรทัตตูปชีขีเปรต คือ เปรตที่อยู่ด้วยบุญกุศลที่บรรดาญาติอุทิศไปจากโลกนี้เป็นอาหาร
พิธีสารทหรือพิธีแขเบ็ณฑ์นี้ แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ สารทเล็กและสารทใหญ่ เรียกว่า เบ็ณฑ์ตูจและเบ็ณฑ์ธม
เบ็ณฑ์ตูจ ตกในวันขึ้น 15 ค่ำ ถึงแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นวันที่ชาวบ้านทุกหลังคาเรือนต่างจัดแจงเตรียมงานอย่างจริงเอาจังทีเดียว แต่ละครอบครัวล้วนแต่มีตัวแทนไปวัด ทั้งนั้นตอนนี้คนแก่ก็สนทนาธรรมะ หนุ่มๆ สาวๆ ก็จะฉวยโอกาสตอนนี้พบปะสังสรรค์การไปร่วมงานที่วัดในระยะนี้ บรรดาพ่อบ้านแม่เรือนจะพากันถือศีลอย่างเคร่งครัด บางคนรับศีล 8 หรือศีล 5ก็ได้ตามศรัทธาและโอกาส ชาวสุรินทร์เรียกว่า กันซง (กัน คือ ปฏิบัติ ถือ ซง คือ พระสงฆ์) รวมแล้วหมายถึงการปฏิบัติพระภิกษุสงฆ์นั่นเอง
สำหรับประเพณีกันซงนี้ พระเณรในวัดจะลงศาลาทุกวัน แล้วจัดเวรกันตั้งแต่พระเถระจนถึงสามเณรมาให้ศีล บางครั้งก็จะจัดเวรกันเทศน์ตามลำดับ เป็นวิธีการที่ดีประการหนึ่งที่จะฝึก พระ เณร ในอันที่จะแสดงออกและทำประโยชน์ให้แก่สังคม ในการเผยแพร่ศาสนา
ในตอนค่ำนับจากวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 หากผ่านไปที่เมืองสุรินทร์จะได้ยินเสียงกลองชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกลองยาว 2 ลูก ตีประโคม ณ สถานที่ชุมนุม เสียงไพเราะ เรียกกลองนี้ว่า สะกวรเบ็ณฑ์ คือ กลองสารท นั่นเอง จะตีกลองนี้ได้ก็ในเดือนสารทเท่านั้น เมื่อสิ้นเทศกาลก็จะเลิกตี บางทีก็มีสังคีตดีดสีตีเป่าขับประโคม มีเครื่องเป่าชนิดหนึ่งเรียกว่า แป็ยฮังโกง เป็นปี่ที่ทำด้วยไม้รวก เสียงทุ้มประสานเสียงกับ แป็ยเยียล (ปี่เล็ก) และ บิณ (ตรัว) มีลักษณะเหมือนกีตาร์ เสียงไพเราะจับใจมาก
ในยามดึกสงัด เมื่อได้ยินเสียงดนตรีเหล่านี้แล้วก็จะรู้สึกซาบซึ้งวิเวก วังเวง เป็นเสียงคล้ายเชิญชวนชาวบ้านว่า มาถือถึงเดือนสารทแล้ว มาทำบุญกันเถิดครั้งถึงแรม 14 ค่ำ เมื่อได้บำเพ็ญวัตร หรือ กันซง สิ้นสุดลงแล้วก็ถึงวันสุกดิบ อันเป็นวันที่สำคัญยิ่ง ทุกบ้านจะจัดเตรียมข้าวต้มและอาหารคาวหวานอื่นๆ เพื่อสังเวยเซ่นสรวงดวงวิญญาณของบรรพชน และนำไปวัดในวันรุ่งขึ้นต่อไป
ต่างก็ตระเตรียมสิ่งของต่างๆ มีภาชนะสำหรับใส่ของ ภาชนะนั้นก็ต้องเลือกที่สวยงามมีค่า เช่น ถาดเงิน ขันเงิน พานเงิน หรือถาดทองสำริด แต่โดยทั่วไปแล้วมักใช้กระเชอซึ่งสานด้วยไม้ไผ่ เรียกว่า "กันเจอโดนตา" แล้วก็ตกแต่งสำรับอันมีผลหมากรากไม้ อาทิเช่น เผือก มัน สาคู อย่างละนิดอย่างละหน่อย แต่ที่ขึ้นหน้าที่สุดก็คือ ข้าวต้มและกล้วยเกือบทุกชนิด
ข้าวต้มของชาวสุรินทร์นั้นห่อด้วยใบมะพร้าวอ่อน บางทีก็มีกล้วยน้ำว้าและถั่วเป็นไส้ มีความยาว 7-8 นิ้ว ชาวสุรินทร์ เรียกว่า อันซอม หรือ อันซอมเบ็ณฑ์ คือ ข้าวต้มในเดือนสารทนั่นเอง แต่ละครอบครัวทำเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ก็เพื่อนำไปถวายพระแล้วเลี้ยงกันเองในครอบครัว (ในชนบทไม่นิยมทำกระยาสารทกัน)
นอกจากเครื่องเซ่นดังกล่าวแล้วก็มีอีก สิ่งหนึ่งซึ่งขาดเสียไม่ได้ คือ บายเบ็ณฑ์ หรือก้อนข้าวนั่นอง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บายบัตรโบร จากศัพท์สันสกฤตว่า บัตรบรม ซึ่งหมายถึง ก้อนข้าวที่จะเป็นเครื่องเซ่นแก่บุรพชนผู้ล่วงลับไปแล้ว บ้างปั้นเป็นก้อนรวมกับถั่วงา ก้อนใหญ่ประมาณเท่ากับลูกหมากแล้วฝังเหรียญ 50 สตางค์ หรือเหรียญสลึงพอให้แลเห็น เหรียญนี้จะนำไปถวายพระต่อไป ก้อนข้าวนั้นไม่แน่นอนนัก บางคนก็ใช้ 49 ก้อน โดยถือตามที่นางสุชาดา ปั้นถวายพระพุทธเจ้า แต่บางทีก็มากหรือน้อยกว่านั้นก็มี ทั้งนี้แล้วแต่ฐานะของครอบครัว และก้อนข้าวนี้จะใส่รวมกับของสังเวยอื่นๆ เพื่อเอาไปให้พระสวดรัตนสูตร ระงับโรคภัย แล้วก็เอาก้อนข้าวทั้งหมดนี้ไปทิ้งตามท้องนาของตน เพื่อให้มดและปลากิน โดยถือกันว่าเป็นสิริมงคลแก่ข้าวในนาให้งอกงามสมบูรณ์
นอกจากนี้ยังกล่าวคำอุทิศแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเป็นส่วนแห่งเปรตพลีอีกโสดหนึ่งด้วย งานที่วัดในยามเย็นวันนี้ กลองใหญ่ที่วัดจะกระหึ่มเสียงก้องกังวานไปทั่วหมู่บ้าน ผ่านทุ่งนาฟ้ากว้างอันเต็มไปด้วยต้นข้าว ซึ่งกำลังงอกงาม หลังจากเสียงกลองที่วัดได้เงียบลงไป กลองสารทที่บ้านก็ประดังเสียงกึกก้อง ชาวบ้านทั้งผู้เฒ่าและหนุ่มสาวต่างพากันไปแห่พนมหมากที่วัด
การแห่พนมหมาก หรือเรียกว่า แห่ผกา แห่กันเป็นหมู่ แต่ละหมู่บ้านก็แห่ไปตามหมู่บ้านของตนไปทุกๆ หลังคาเรือน ไปถึงหน้าบ้านใครก็ต้อนรับ แสดงความดีอกดีใจเลี้ยงกันตามฐานะ นอกนั้นก็บริจาคจตุปัจจัยไทยธรรม ครั้นได้แห่ไปทั่วแล้วก็แห่ไปรวมกันที่วัด ณ ที่นั้นก็นิมนต์สมภารวัดขึ้นธรรมาสน์ ทำคานหาม แห่นำขบวนโดยรอบโบสถ์ การแห่นี้ก็มีการร่ายรำทำเพลงสนุกสนานรื่นเริง ดอกไม้สำคัญที่ประดับเข้าไปในขบวนแห่ คือ ดอกกัลปพฤกษ์ ซึ่งในหน้านี้จะบานสะพรั่งไปทั่วท้องทุ่งอันเวิ้งว้าง
ยามพลบค่ำในวันแรม 14 ค่ำนี้ ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ทุกคนในครอบครัวจะต้องกลับมาถึงบ้านก่อนประกอบพิธีเซ่นสรวง และต้องมาพร้อมหน้ากันในวันนี้ เมื่อทุกคนกลับจากการทำงานพร้อมกันแล้ว แต่ละครอบครัวก็ไปนั่งพร้อมเพรียงกัน ณ สถานที่จัดเซ่นวิญญาณของบุรพชน โดยถือว่าวิญญาณของปู่ ย่า ตา ทวด ท่านได้มานั่ง ณ เบื้องหน้าลูกหลานพร้อมแล้ว ทุกคนตั้งแต่พ่อบ้านต่างนั่งคุกเข่า ถ้ามีธูปเทียนก็จุดแล้วกราบลงครั้งหนึ่ง พ่อบ้านหรือผู้ปกครองในบ้านนั้นกล่าวขอขมาลาโทษต่อบรรพบุรุษทั้งหลาย มารับเซ่นสรวงสังเวย เมื่อเซ่นสรวงสิ้นสุดลงแล้ว บางทีผู้ใหญ่ในตระกูลนั้นๆ ก็อบรมสั่งสอนลูกหลาน ของตนให้ประพฤติชอบให้มีมารยาทเป็นระเบียบเรียบร้อย พูดจาไพเราะอ่อนโยน และให้ตั้งตนอยู่ตามฐานะ ในเย็นวันนี้บางที่ก็จะเลี้ยงกันสนุกสนานเฮฮา
รุ่งขึ้นทำพิธี จะโดนตา ที่วัด เสียงระฆังวัดประสานกับกลองใหญ่ก้องกังวาน ท่ามกลางความมืดในย่ำรุ่งของวันแรม 15 ค่ำ อีกวาระหนึ่ง เพื่อให้พระลงทำวัตรสวดมนต์เช้า และปลุกชาวบ้านให้ เตรียมตัวไปประกอบพิธีเซ่นวิญญาณบรรพบุรุษที่วัดอีกครั้งหนึ่ง ชาวบ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ หนุ่มสาวต่างพากันหาบหิ้วสิ่งของของตนไปวัดก่อนรุ่งอรุณ เอาของเซ่นเมื่อค่ำวานนี้ไปทั้งหมด ไปทำพิธีที่วัดอีกครั้งหนึ่ง ครั้งถึงวัด แล้วแบ่งข้าวของออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งไว้ถวายพระ และอีกส่วนหนึ่งไว้เซ่นวิญญาณบรรพบุรุษ
พิธีจะโดนตา นั้น คำว่า จะ แปลว่า เท โดนตา แปลว่า ปู่ ย่า ตา ยาย หรือ บรรพบุรุษ คงหมายความว่า วันนี้เทกระจาดกระเชออุทิศให้คุณตาคุณยายทีเดียว ขณะที่พระสงฆ์กำลังทำวัตรในพระอุโบสถ ชาวบ้านก็ถือสรรพสิ่งที่แบ่งเพื่อเซ่นนั้น ประทักษิณรอบอุโบสถ ครั้นได้เวลาสางซึ่งเป็นเวลารุ่งอรุณ (ชาวบ้านเรียกว่า ประเฮียม เยียกชะโงก ถือว่าเป็นวันและเวลาที่บรรดาวิญญาณของบรรพบุรุษของตนมองดู หรือค้นหาญาติมิตรหรือลูกหลานของตนว่า ได้มาอุทิศส่วนกุศลให้แก่ตนบ้างหรือไม่)
เชื่อกันว่า วิญญาณบรรพบุรุษ หรือ โดนตา ถ้ามาในวันนั้นไม่เห็นลูกหลาน หรือพี่น้องของตนมาบำเพ็ญบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เหมือนคนอื่นแล้ว ก็จะเที่ยวร้องไห้คร่ำครวญไปเจ็ดวันเจ็ดคืน และเมื่อไม่พบญาติของตน ไม่ได้กินข้าวปลาอาหาร ก็จะซูบผอมกลับไปเสวยวิบากกรรมของตนต่อไป เมื่อประทักษิณแล้วก็เอาของเหล่านั้นไปเทรวมกัน ณ สถานที่ ที่จัดไว้ซึ่งถือเป็นการเสียสละและรำลึกถึงบุญคุณของบุพการี อันเป็นการแสดงออกซึ่งกตัญญูกตเวทิตาธรรม อีกด้วย
จะทำพิธีนี้ได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว อันเป็นเวลาแสงเงินแสงทองต่อกัน เรียกเวลานี้ว่า เงียเลีย ประเฮียม เมื่อได้นำของไปถวายและได้รับศีลรับพรพระแล้ว กลองสารทก็เริ่มดังเป็นจังหวะอีกครั้งหนึ่ง ณ ลานวัด ทุกคนจะรู้แก่ใจว่า ดูมวยวัดกันเถิด มวยในวันนี้เรียกว่า ดัลเบ็ณฑ์ (ดัล คือ ชก, มวย) โดยเอาลานวัดเป็นเวที ได้เปรียบคู่ตั้งแต่เย็นวานนี้ หลังจากแห่พนมหมากหรือแห่ผกาแล้ว แต่บางที่ถ้าเปรียบคู่แล้วก็ขึ้นชกในทันที เรียกชกในครั้งนี้ว่า ชกถวายพระหรือจะถือว่าให้ดวงวิญญาณบรรพบุรุษชมก็ได้ แต่ชกไม่เกิน 3 ยก เป็นการประลองผีมือกันเพื่อความรื่นเริง
บางที่ก็เป็นมวยประเภทศึกชิงนางก็มี คือ ได้โกรธเคืองแค้นกันมานาน ตั้งแต่ตรุษสงกรานต์ในเรื่องชิงนางกัน ถ้าเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงผู้ใหญ่เข้าก็จะจับตัวมาลองดีกันวันนี้ เพื่อให้คนรักได้ชมว่าใครดีกว่าใคร ครั้นการชกได้สิ้นสุดลงแล้ว กรรมการหรือผู้เป็นประธานในที่นั้นก็จะให้คืนดีกัน แนะนำพร่ำสอน ไม่ให้ทะเลาะวิวาทกัน เพราะเหตุแห่งสตรี
รายการทีวีชุมชน ช่อง ThaiPBS ตอน พิธีแซนโฎนตา
บางที่มีมวยคู่สูงอายุ เป็นมวยชั้นครู (หัวล้านชนกัน) ผู้เปรียบคู่ต้องมีคุณสมบัติพิเศษ คือ อายุต้อง 40 ล่วงแล้ว หน้าผากค่อนข้างกว้าง กติกาการชกต้องใช้หัวเท่านั้นความจริงไม่ใช่ชกแต่ ชน ห้ามใช้มือและเท้า เป็นที่น่าเสียดายมวยรุ่นนี้บัดนี้หายากเสียแล้ว เมื่อเสียงหัวเราะแสดงความรื่นเริงค่อยๆ สงบลง กลองสารทก็ลดเสียงลงเป็นลำดับ ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบลงตามเดิม นั่นเป็นเครื่องหมายว่า สารท หรือ แขเบ็ณฑ์ ได้สิ้นสุดลงแล้ว คงเหลือแต่ข้าวต้มกองใหญ่ ซึ่งเป็นหน้าที่เด็กวัดจะช่วยกันจัดการต่อไป
เฉลิมชัย ถึงดี สพป.สุรินทร์ เขต 3 รวบรวม
[ เรื่องที่เกี่ยวข้อง ฮีตเดือนสิบ บุญข้าวสาก ]
- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Tradition
- Hits: 22826
แห่มาลัยข้าวตอก
ชาวบ้านฟ้าหยาด (อำเภอมหาชนะชัย) แห่งเมืองบั้งไฟโก้ยโสธร จะนำ "ข้าวตอกสีขาว" มาร้อยเป็นมาลัยสายยาว แทน "ดอกมณฑารพ" แห่งสรวงสวรรค์ เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า ใน "งานประเพณีแห่มาลัยข้าวตอก" ที่งดงามและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ของชุมชนลุ่มน้ำชี แห่งบ้านฟ้าหยาด ตำบลฟ้าหยาด อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร ชาวบ้านจะนำข้าวตอกมาร้อยเป็นมาลัยสายยาวแทน "ดอกมณฑารพ" อันเป็นดอกไม้ทิพย์แห่งสรวงสวรรค์ แล้วจัดขบวนแห่ไปถวายเพื่อเป็นพุทธบูชาเนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นประเพณีดั้งเดิมของชาวอีสานที่สืบทอดต่อเนื่องกันมา เฉพาะที่ชุมชนบ้านฟ้าหยาดแห่งนี้ เท่านั้น
ขอบคุณภาพสวยๆ จาก น้องต๋อม Sunantha Putpan
ความเป็นมาของประเพณีแห่มาลัยนี้ มีปรากฏในพระไตรปิฎกส่วนที่ว่าด้วยพระสุตตันตปิฎก บทปรินิพพานสูตร กล่าวคือ ดอกมณฑารพ ซึ่งเป็นดอกไม้บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีความสวยงามและมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ เวลาที่ดอกมณฑารพจะบาน หรือร่วงหล่น ก็ต้องมีเหตุการณ์สำคัญๆ เท่านั้น คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน จตุรงคสันนิบาต และทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตนสูตร ดอกมณฑารพจึงได้ร่วงหล่นลงมายังโลกมนุษย์
ขบวนแห่มาลัยข้าวตอกหนึ่งเดียวในประเทศไทยสวยงามยิ่งนัก...
ครั้งเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ที่เมืองกุสินารา ดอกมณฑารพ นี้ก็ได้ร่วงหล่นลงมาทั้งก้านและกิ่ง เปรียบเหมือนความเสียอกเสียใจพิไรรำพัน ต่อการเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมถึงเหล่าพระภิกษุ ผู้ได้ชื่อว่าอรหันตขีนาสพทั้งหลายด้วย หมู่เหล่าข้าราชบริพาร ประชาชนทั้งหลายได้พากันมาถวายสักการะพระบรมศพ อีกทั้งยังได้พากันเก็บนำดอกมณฑารพที่ร่วงหล่นลงมาเพื่อไปสักการะบูชา และรำลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปดอกมณฑารพ ที่เก็บมาสักการะบูชาเริ่มเหี่ยวแห้งและหมดไป
เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระปัญญาธิคุณ พระกรุณาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ รวมทั้งเหตุการณ์ในวันสำคัญต่างๆ ชาวพุทธจึงได้พากันนำเอาข้าวตอกมาสักการะบูชา เพราะถือว่าข้าวเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และเป็นของสูงที่มนุษย์จะขาดไม่ได้ การจัดข้าวตอกดอกไม้ถวายเป็นพุทธบูชามีจุดเริ่มต้นเมื่อไหร่นั้น ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่เชื่อกันว่าแรกๆ จะใส่พานไว้โปรยเวลาพระสงฆ์เทศนา
ต่อมาจึงมีการนำมาประดิษฐ์ตกแต่งที่เห็นว่าสวยงาม สืบทอดกันเรื่อยมา จากการตกแต่งมาลัยเพื่อความสวยงาม ก็พัฒนามาเรื่อยๆ จนกลายเป็นการประกวดประชันกัน เมื่อมาลัยร้อยได้สวยงามก็เริ่มมีการแห่แหน ให้เป็นการเป็นงานขึ้นมาด้วยเพื่อประกอบพิธีนั้น จนกลายเป็นงานที่ใหญ่ขึ้นมีการฟ้อนรำประกอบขบวน และกลายเป็นประเพณีแห่มาลัยในปัจจุบันและจัดให้มีขึ้น ในวันมาฆบูชา ของทุกๆปี
รายการทีวีชุมชน ช่อง ThaiPBS ตอน มาลัยข้าวตอก
บ้านฟ้าหยาด อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร เป็นชุมชนเดียวที่มีประเพณีแห่มาลัยข้าวตอกทุกปี ซึ่งปัจจุบัน มาลัยข้าวตอก กลายเป็นสินค้าโอทอปของชุมชน ที่สร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน ถึงแม้จะไม่ได้มากมายนัก แต่เป็นการสืบสานประเพณีวัฒนธรรมของบรรพบุรุษให้อยู่สืบไป
บุญข้าวจี่ ฮีตคองในเดือนสาม
นอกจาก บุญมาลัยข้าวตอก นี้แล้ว ยังมี "บุญข้าวจี่" เป็นงานบุญประเพณีของชาวอีสาน ที่กระทำกันในเดือนสาม จนเรียกว่า บุญเดือนสาม บุญข้าวจี่เป็นบุญประเพณีสำคัญที่มีกำหนดอยู่ใน "ฮีตสิบสอง" ดังรู้จักกันทั่วไปว่า
เดือนสามคล้อยจั่วหัวปั้นข้าวจี่ เดือนสี่คล้อยจัวน้อยเทศน์มะที (มัทรี) "
บุญข้าวจี่ นิยมทำกันในราวกลางเดือนหรือปลายเดือนสาม คือ ภายหลังการทำบุญวันมาฆบูชา (เดือนสาม ขึ้น ๑๔ ค่ำ) แล้ว ส่วนใหญ่จะกำหนดวันแรม ๑๓ ค่ำ และ ๑๔ ค่ำ เดือนสาม บุญข้าวจี่เป็นกิจกรรมร่วมของชุมชนหลายหมู่บ้าน นั่นคือ ชาวอีสานบางหมู่บ้านเรียกงานบุญนี้ว่า บุญคุ้ม จะทำกันเป็นคุ้มๆ หรือ บางหมู่บ้านก็จะทำกันที่วัดประจำหมู่บ้าน ล้วนแล้วแต่เป็น บุญข้าวจี่ หรือบุญเดือนสาม นั่นเอง ชาวบ้านที่เป็นเจ้าภาพก็จะบอกบุญไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงให้มาร่วมกันทำบุญ
ข้าวจี่ คือ ข้าวเหนียวนึ่งให้สุก แล้วนำมาปั้นเป็นก้อนทาเกลือเคล้าให้ทั่ว เอาไม้เสียบย่างไฟเหมือนไก่ย่าง เมื่อข้าวสุกเกรียมแล้วก็เอาไข่ซึ่งตีไว้แล้วทา แล้วย่างซ้ำอีกกลายเป็นไข่เคลือบข้าวเหนียว เสร็จแล้วถอดไม้ออกแล้ว เอาน้ำอ้อยหรือน้ำตาลที่เป็นก้อนยัดใส่แทนกลายเป็นข้าวเหนียวยัดไส้ แล้วถวายพระเณรฉันตอนเช้า
ส่วนมากชาวบ้านจะรีบทำแต่เช้ามืด พอสว่างก็ลงศาลาการเปรียญ (ชาวบ้านเรียก หัวแจก) นิมนต์พระเณรสวดแล้วฉัน เป็นทั้งงานบุญและงานรื่นเริงประจำแต่ละหมู่บ้าน เพราะได้ทำข้าวจี่ไปถวายพระหลังจากพระฉันแล้วก็เลี้ยงกันเองสนุกสนาน มีคำพังเพยอีสานว่า
เดือนสามค้อยเจ้าหัวคอยปั้นเข้าจี่ เข้าจี่บ่ใส่น้ำอ้อยจัวน้อยเช็ดน้ำตา ”
รายการทีวีชุมชน ช่อง ThaiPBS ตอน ข้าวจี่
มูลเหตุที่ทำบุญข้าวจี่ในเดือนสาม เนื่องจากเป็นเวลาที่ชาวนาได้มีการทำนาเสร็จสิ้น ชาวนาได้ข้าวขึ้นยุ้งใหม่ จึงอยากร่วมกันทำบุญข้าวจี่ถวายแก่พระสงฆ์ สำหรับมูลเหตุดั้งเดิมที่มีการทำบุญข้าวจี่ มีเรื่องเล่ากันตามความเชื่อว่า ในสมัยพุทธกาล นางปุณณะทาสี ได้ทำขนมแป้งจี่ถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอานนท์เถระ ครั้นถวายแล้วนางคิดว่า "พระองค์คงไม่เสวยและอาจเอาทิ้งให้สุนัขหรือกากิน เพราะ อาหารที่นางถวายไม่ประณีตน่ารับประทาน"
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบภาวะจิตของนางปุณณะทาสี จึงรับสั่งให้พระอานน์ปูลาดอาสนะ แล้วทรงประทับนั่งฉันท์ ณ ที่นางถวายนั้น เป็นผลให้นางเกิดปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อนางได้ฟังพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงก็บรรลุโสดาบันปัตติผล ด้วยอานิงสงฆ์ที่ถวายขนมแป้งจี่ ชาวอีสานจึงเชื่อในอานิสงส์ของการทานดังกล่าว จึงพากันทำข้าวจี่ถวายทานแด่พระสงฆ์สืบต่อมา
[ อ่านเรื่องที่เกี่ยงข้อง : ฮีตเดือนสาม บุญเข้าจี่ ]
- Details
- Written by: ครูมนตรี
- Category: Tradition
- Hits: 19876
บุญเดือนสิบสอง
ฮีตหนึ่งนั้น เดือนสิบสองมาแล้วลมวอยหนาวสั่น เดือนนี้หนาวสะบั้นบ่คือแท้แต่หลัง ในเดือนนี้เพิ่นว่าให้ลงทอดพายเฮือ ซ่วงกันบูชา ฝูงนาโค นาคเนาว์ในพื้น ชื่อว่าอุชุพะนาโค เนาว์ ในพื้นแผ่น สิบห้าสกุลบอกไว้บูชาให้ส่งสะการ จงทำให้ทุกบ้านบูชาท่านนาโค แล้วลงโมทนาดอม ชื่นชมกันเล่น กลางเว็นกลางคืนให้ระงมกันขับเสพ จึงสิสุขอยู่สร้างสบายเนื้ออยู่เย็น ทุกข์ทั้งหลาย หลีกเว้นหนีห่างบ่มีพาน ของสามานย์ทั้งปวงบ่ได้มีมาใกล้ ไผผู้ทำตามนี้เจริญขึ้นยิ่งๆ ทุกสิ่งบ่ไฮ้ ทั้งข้าวหมู่ของ กรรมบ่ได้ถึกต้องลำบากในตัว โลดบ่มีมัวหมองอย่างใดพอดี้ มีแต่สุขีล้นครองคน สนุกยิ่ง อดในหลิงป่องนี้เด้อเจ้าแก่ชรา "
ฮีตสุดท้ายของปีคือ ฮีตเดือนสิบสอง ในทางพระพุทธศาสนาแล้วชาวอีสานจะทำ บุญกฐิน กันดังเช่นกับภาคอื่นๆ ของไทย การทอดกฐินเป็นกาลทาน ตามพระวินัยกำหนดกาลไว้ คือ ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ใคร่จะทอดกฐิน ก็ให้ทอดได้ในระหว่างระยะเวลานี้ จะทอดก่อนหรือทอดหลังกำหนดนี้ ก็ไม่เป็นการทอดกฐิน แต่มีข้อยกเว้นพิเศษว่า "ถ้าทายกผู้จะทอดกฐินนั้น มีกิจจำเป็น เช่น จะต้องไปในทัพ ไม่สามารถจะอยู่ทอดกฐินตามกำหนดนั้นได้ จะทอดกฐินก่อนกำหนดดังกล่าวแล้ว พระสัมมาสัมพุทธะ ทรงอนุญาตให้ภิกษุรับไว้ก่อนได้"
กฐิน คือ "ไม้สะดึง" ที่ใช้สำหรับขึงผ้า เวลาจะเย็บผ้าจีวรพระในการเย็บให้สะดวกขึ้น จึงเป็นที่มาของผ้ากฐิน คือ ผ้าจีวร สบง หรือผ้านุ่งห่ม ที่จะนำไปถวายพระนั่นเอง บุญกฐินจึงเป็นบุญที่ต้องนำเข้าไปถวายพระเป็นสำคัญ บุญกฐินเป็นบุญฮีตสุดท้ายของอีตเดือนสิบสองของชาวอีสาน
ในสมัยโบราณ การเย็บผ้าต้องเอาไม้สะดึงมาขึงผ้าให้ตึงเสียก่อน แล้วจึงเย็บ เพราะช่างยังไม่มีความชำนาญเหมื่อนสมัยปัจจุบันนี้ และเครื่องมือในการเย็บก็ยังไม่เพียงพอเหมือนจักรเย็บผ้าในปัจจุบัน การทำจีวรในสมัยโบราณไม่ว่าจะเป็นผ้ากฐินหรือแม้แต่จีวรอันมิใช่ผ้ากฐิน ถ้าภิกษุทำเอง ก็จัดเป็นงานเอิกเกริกทีเดียว เช่นตำนานกล่าวไว้ว่า การเย็บจีวรนั้น พระเถรานุเถระต่างมาช่วยกัน เป็นต้นว่า พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ แม้สมเด็จพระบรมศาสดาก็เสด็จลงมาช่วย ภิกษุสามเณรอื่นๆ ก็ช่วยขวนขวายในการเย็บจีวร อุบาสกอุบาสิกาก็จัดหาน้ำดื่ม เป็นต้น มาถวายพระภิกษุสงฆ์ มีองค์พระสัมมาสัมพุทธะเป็นประธาน โดยนัยนี้ การเย็บจีวรแม้โดยธรรมดา ก็เป็นการต้องช่วยกันทำหลายผู้หลายองค์ (ไม่เหมือนในปัจจุบัน ซึ่งมีจีวรสำเร็จรูปขายแล้ว)
ความเป็นมาของกฐิน
ภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐ 30 รูป ได้เดินทางเพื่อมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี แต่ยังไม่ทันถึงเมืองสาวัตถี ก็ถึงวันเข้าพรรษาเสียก่อน พระสงฆ์ทั้ง 30 รูป จึงต้องจำพรรษา ณ เมืองสาเกตุในระหว่างทาง พอออกพรรษาแล้ว ภิกษุเหล่านั้นจึงได้ออกเดินทางมาเข้าเฝ้าพระศาสดาด้วยความยากลำบาก เพราะฝนยังตกชุกอยู่ เมื่อเดินทางถึงวัดพระเชตวัน พระพทธเจ้าได้ตรัสถามถึงความเป็นอยู่และการเดินทาง เมื่อทราบความลำบากนั้นจึงทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้จำพรรษาครบถ้วนไตรมาส สามารถรับผ้ากฐินได้ และภิกษุผู้ได้กรานกฐินได้อานิสงส์ 5 ประการ ภายในเวลาอานิสงส์กฐิน (นับจากวันที่รับกฐินจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4) คือ
- ไปไหนไม่ต้องบอกลา
- ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับสามผืน
- ฉันคณโภชนะได้ (รับนิมนต์ที่เขานิมนต์โดยออกชื่อโภชนะฉันได้)
- เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้โดยที่ยังมิได้วิกัปป์ และอธิษฐาน โดยไม่ต้องอาบัติ
- จีวรลาภอันเกิดขึ้น จักได้แก่ภิกษุผู้ได้กรานกฐินแล้ว
ความหมายของกฐิน
กฐิน เป็นศัพท์บาลี แปลตามศัพท์ว่า ไม้สะดึง คือ “กรอบไม้” หรือ “ไม้แบบ” สำหรับขึงผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรในสมัยโบราณ ซึ่งผ้าที่เย็บสำเร็จจากกฐินหรือไม้สะดึงแบบนี้เรียกว่า ผ้ากฐิน (ผ้าเย็บจากไม้แบบ)
กฐิน อาจจำแนกตามความหมายเพื่อความเข้าใจง่ายได้ดังนี้
- กฐิน เป็นชื่อของกรอบไม้แม่แบบ (สะดึง) สำหรับทำจีวร ดังกล่าวข้างต้น
- กฐิน เป็นชื่อของผ้าที่ถวายแก่พระสงฆ์เพื่อกรานกฐิน (โดยได้มาจากการใช้ไม้แม่แบบขึงเย็บ)
- กฐิน เป็นชื่อของงานบุญประเพณีถวายผ้าไตรจีวรแก่พระสงฆืเพื่อกรานกฐิน
- กฐิน เป็นชื่อของสังฆกรรมการกรานกฐินของพระสงฆ์
ความสามัคคีของคนในชุมชนร่วมกันเผาข้าวหลามในบุญกฐิน (ช่วงหอมข้าวใหม่)
ความสำคัญพิเศษแตกต่างจากทานอย่างอื่น
การถวายกฐินนั้นมีข้อจำกัดหลายอย่าง ซึ่งทำให้การถวายกฐินมีความความพิเศษแตกต่างจากทานอย่างอื่นดังนี้
- จำกัดประเภททาน คือ ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเฉพาะเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือนทานอย่างอื่นไม่ได้
- จำกัดเวลา คือกฐินเป็นกาลทานอย่างหนึ่ง (ตามพระบรมพุทธานุญาต) ดังนั้นจึงจำกัดเวลาว่าต้องถวายภายในระยะเวลา 1 เดือน นับแต่วันออกพรรษา เป็นต้นไป
- จำกัดงาน คือ พระภิกษุที่กรานกฐินต้องตัด เย็บ ย้อม และครองให้เสร็จภายในวันที่กรานกฐิน
- จำกัดไทยธรรม คือ ผ้าที่ถวายต้องถูกต้องตามลักษณะที่พระวินัยกำหนดไว้
- จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุผู้รับกฐิน ต้องเป็นผู้ที่จำพรรษาในวัดนั้นโดยไม่ขาดพรรษา และมีจำนวนไม่น้อยกว่า 5 รูป
- จำกัดคราว คือ วัดๆ หนึ่งรับกฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
อ่านเพิ่มเติม : ความหมาย ตำนาน ประเภทของบุญกฐิน
เทศกาลลอยกระทง (Loy Krathong Festival)
ในส่วนประเพณีของประชาชนทั่วไปในช่วงเดือนนี้ที่เป็นที่รู้จักกันไปไกลทั่วโลก คือ เทศกาลวันลอยกระทง เป็นประเพณีโบราณของอินเดีย ที่ประเทศไทยรับเข้ามาปฏิบัติ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า ทำกันมาตั้งแต่เมื่อไร เท่าที่ปรากฏกล่าวได้ว่า มีมาตั้งสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสันนิษฐานว่า เดิมทีเดียวเห็นจะเป็นพิธีของพราหมณ์กระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหมต่อมาได้ถือตามแนวทางพระพุทธศาสนา มีการชักโคมเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระจุฬามณีในชั้นดาวดึงส์ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ซึ่งประดิษฐาน ณ หาดทรายแม่น้ำนัมมทา (แม่น้ำนัมมทา เป็นแม่น้ำที่คู่ขนานกับทิวเขาวินธัย ไหลลงภาคตะวันตกของอินเดียแบ่งเขตอินเดียออกเป็นภาคเหนือและภาคใต้)
ตำนานที่หาหลักฐานยืนยันมิได้ กล่าวไว้ว่าในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง มี นางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่า พิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป ดังปรากฏในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์กล่าวถึงพระดำรัสของพระร่วงว่า "แต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์ วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปอดกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน"
แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่า ไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 1 จากนั้นในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้เปลี่ยนแปลงจากการทำจากดอกบัวเป็นต้นกล้วย เพราะดอกบัวดังกล่าวหายากและมีน้อย จึงใช้ต้นกล้วยทำแทนแล้วดูไม่สวย จึงใช้ใบตองมาพับแต่งจนสวยในที่สุดจนสืบทอดมาจนปัจจุบันนี้
ภาคอีสาน ในอดีตมีการเรียกประเพณีลอยกระทงในภาคอีสานว่า "บุญสิบสองเพ็ง" หมายถึง วันเพ็ญเดือนสิบสอง ซึ่งจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป
ประเพณีลอยกระทง ของ จังหวัดร้อยเอ็ด