- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Tradition
- Hits: 8752
ด้วยอาณาเขตที่กว้างขวางของภาคอีสาน หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กลุ่มคนในภาคอีสานนั้น มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ภาษา และสภาพวิถีชีวิต ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นสองส่วนใหญ่ คือ ส่วนที่มีวัฒนธรรมภาษา กูย เขมร ในพื้นที่บริเวณกลุ่มจังหวัดอีสานใต้ (อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์) และส่วนที่มีวัฒนธรรมภาษาไทลาว ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนมากบริเวณกลุ่มจังหวัดในเขตอีสานตอนเหนือ (ซึ่งในพื้นที่นี้ ก็ยังมีชาติพันธุ์กลุ่มย่อยออกไปอีกหลายกลุ่ม เช่น ภูไท ไทญ้อ ไทโส้ แสก เหวียดเกี่ยว ฯลฯ)
ภูติ ผี เทพาอารักษ์ กับความเชื่อ
ชาวอีสานกับความเชื่อเรื่อง "ผี" มีความสัมพันธ์กันในลักษณะการพึ่งพาอาศัย ตามบทบาทหน้าที่ของผีแต่ละประเภท ด้วยการขอพรและต่อรองในสิ่งที่ต้องการหรือการบนบาน ชาวอีสานเรียกการบนบานว่า “การบ๋า” เป็นการขอให้ผีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือให้ได้รับความสำเร็จในเรื่องต่างๆ มักจะบนบานในเรื่องลาภยศชื่อเสียง ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ความเป็นอยู่ที่ปลอดภัย โดยต้องแจ้งเวลา สถานที่ และสิ่งที่จะนำมาตอบแทนแลกเปลี่ยน หากประสบความสำเร็จ นอกจากนั้น โดยทั่วไปชาวอีสานมักจะบนบานเกี่ยวกับ ฝน ปริมาณน้ำ อากาศในฤดูทำนา บนเพื่อไม่ให้ติดทหารเกณฑ์ การบนเพื่อให้การค้าขายได้กำไร บนเพื่อให้สอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือสอบบรรจุข้าราชการได้ การกล่าวขอพรในโอกาสที่จะต้องมีการเดินทาง ย้ายถิ่นฐาน หรือย้ายเข้ามาในหมู่บ้าน การแต่งงานมีครอบครัวใหม่ เป็นต้น เมื่อประสบผลสำเร็จตามความประสงค์ก็จะตอบแทนผี ด้วยการแสดงความเคารพผ่านเครื่องเซ่นไหว้ต่าง ๆ หรือมอบสิ่งของ อาหาร หรือมหรสพให้ตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งถ้าไม่ทำตามที่บ๋าหรือบนบานก็จะ "ผิดผี" ทำให้เกิดเหตุร้ายต่างๆ ตามมาได้
ความเชื่อเรื่อง "ผี" เกิดขึ้นจากความไม่รู้ของมนุษย์ และความไม่รู้นั่นเองที่เป็นที่มาของ 'ความกลัว' มนุษย์กลัวความมืดมิด เพราะไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในความมืดนั้น และสิ่งที่มนุษย์กลัวมากที่สุดในความมืดก็คือ ดวงวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว ที่พวกเราเรียกกันว่า "ผี" นั่นเอง ที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์เชื่อมโยงของคนในชุมชน เป็นศูนย์รวมจิตใจ ความรักสมัครสมานสามัคคีของคนในชุมชนจากการเคารพนับถือ ผีปู่ย่า-ตายาย บรรพบุรุษ เกิดการเซ่นสรวงบูชาร่วมกันขึ้น
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมและภาษา แต่วิถีการดำรงชีวิตของผู้คนในภาคอีสานก็ยังคงเป็น 'ชุมชนเกษตรกรรม' มาตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นภูมิภาคที่มีปฏิสัมพันธ์กับระบบชีวภาพ ภูมิภาคอีสานมีความผูกพันกับธรรมชาติ และมีการถ่ายทอดแนวคิด ภูมิปัญญา คติ ความเชื่อ จนเป็นแบบแผนการดำรงชีวิตที่สำคัญของชุมชน หลักฐานสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีปฏิบัติของชาวอีสานคือ การประกอบพิธีกรรมที่เคร่งครัด อาทิ การบูชาสิ่งลี้ลับตามความเชื่อ เทวดาอารักษ์ ตลอดจนผีสางนางไม้ อย่างจริงจัง โดยมีการเซ่นสรวงบูชาตามฤดูกาลของความเชื่อ ควบคู่ไปกับการปฏิบัติภารกิจทางศาสนา ด้วยมีความเชื่อว่าการกระทำนี้จะส่งผลให้เกิดความคุ้มครองจากภยันอันตราย เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อธรรมชาติ รวมทั้งบรรพบุรุษ
ความเชื่อเรื่อง 'ผี' ของชาวอีสาน เป็นสิ่งที่สืบเนื่องมาจากความเชื่อเรื่องผีที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจมาช้านาน ผีสำหรับชาวอีสานนั้นจะดำรงอยู่ในทุกสภาวะของการมีชีวิต บางครั้งก็กระตุ้นให้เกิดความสนใจในฐานะผู้พิทักษ์ หรือผู้ช่วยเหลือ บางครั้งก็มุ่งร้ายหมายขวัญ ชาวอีสานเชื่อว่า ผีเป็นสิ่งที่มีพลังอำนาจ มีฤทธิ์สามารถบันดาลทั้งความทุกข์ความสุข ความสมหวังและความสิ้นหวังให้แก่มนุษย์ได้ การบวงสรวงและการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ จึงเป็นรูปแบบของการสร้างสรรค์ โดยผ่านกระบวนการปลูกฝัง การบอกต่อ การขัดเกลาทางสังคม และผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผนวกเข้ากับความเชื่อดั้งเดิมที่ติดแน่นอยู่กับวิถีชีวิตของชาวอีสาน พิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผีจึงได้รับการถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ด้วยความสำนึกว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องส่งต่อแก่บุตรหลาน เพื่อจะได้ใช้เป็นแนวปฏิบัติที่ถูกต้องตามประเพณีและความเชื่อที่มีมาแต่อดีต
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในวิถีชีวิตของชุมชนชาวอีสานนั้น มีลักษณะของความเชื่อที่เป็นการผสมผสานระหว่าง พุทธศาสนาแบบชาวบ้าน และความเชื่อเรื่องผี ซึ่งแสดงออกในรูปของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สัญลักษณ์ และตัวบุคคล โดยพิธีกรรมและประเพณีที่เกี่ยวกับผี จะแสดงออกในลักษณะของการเซ่นสรวง ไม่ว่าจะเป็นผีแบบดีหรือผีแบบร้าย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความสุข สงบ ในการอยู่ร่วมกันของคนในชุมชน อีกทั้งยังเป็นการบำบัดรักษาโรค แต่พิธีกรรมและประเพณีที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา จะแสดงออกในรูปของสัญลักษณ์แห่งความดีงาม เป็นที่พึ่งทางจิตใจ เป็นหนทางแห่งการหลุดพ้น อันเป็นส่วนสำคัญที่คนในชุมชนยึดถือและปฏิบัติ อาทิ การทำบุญตามหลักพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา และการฟังธรรม แต่ในอีกมุมหนึ่งของพิธีกรรมและประเพณีจะเป็นการผสมผสานของความเชื่อระหว่างผี พราหมณ์ พุทธ โดยมักเป็นความเชื่อในอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาทิ ความเชื่อในพระพุทธรูป พระธรรม โดยมีพระสงฆ์เป็นสื่อกลางในการส่งผ่านความเชื่อนี้สู่คนในชุมชน ความเชื่อผสมผสานในลักษณะนี้แสดงออกในรูปการสืบชะตา สะเดาะเคราะห์ สวดมนต์คาถา เป็นต้น
ความเชื่อเรื่อง 'ผี' ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า เริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อไร แต่ในบริบทของสังคมอีสานเชื่อว่า มีคู่กับสังคมมาอย่างช้านาน และได้กลายเป็นวัฒนธรรมร่วมระหว่างความเชื่อ และความสัมพันธ์ของการดำรงชีวิต เสมือนว่าเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน โดยเฉพาะความเชื่อของชาวอีสานที่ต้องดำรงชีวิตอยู่ภายใต้ระบบอำนาจทางธรรมชาติ หรืออำนาจที่เหนือธรรมชาติ ในวัฒนธรรมอีสานความเชื่อเรื่องผี จึงกลายเป็นสัญลักษณ์เชิงอำนาจ ที่เกี่ยวข้องกับบริบทและความสัมพันธ์ทางสังคมที่สร้างสมและสืบทอดมาจนเป็น “วัฒนธรรมแห่งความเชื่อ” ความเชื่อเรื่องผีของชุมชนอีสาน เป็นผีที่มีความสำคัญต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน ผีเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน ที่เกิดขึ้นจากความเชื่อมั่นและศรัทธา ในวิถีการดำรงชีวิตของชาวอีสานมีความเชื่อเรื่องผีเข้าไปปะปนอยู่มาก อาทิ ผีนา ผีป่า ผีเขา ผีบ้าน ผีหมู่บ้าน ผีปู่ย่าตายาย ผีดอนเจ้าปู่ ผีตาแฮก ผีฟ้า ผีแถน และผีอื่นๆ หรือแม้กระทั่งผีที่เกิดจากการกระทำของบุคคล อาทิ ผีปอบ เป็นต้น
ในบริบทสังคมอีสาน ความเชื่อเรื่องผี ได้ผสานร่วมกับ ความเชื่อทางพระพุทธศาสนา จนบางครั้งไม่สามารถที่จะแยกแยะได้ชัดเจนว่า การประกอบพิธีกรรมของชาวอีสาน พิธีกรรมใดเป็นพิธีกรรมของผี และพิธีกรรมใดเป็นพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ความเชื่อเรื่องผีของชาวอีสานดำรงไปพร้อมๆ กับการประกอบอาชีพตามวิถีชีวิตแบบชาวบ้าน ที่อ้างอิงกับสภาพของธรรมชาติดินฟ้าอากาศ ซึ่งกระบวนการผลิตทางการเกษตรจะได้ผลดีหรือไม่นั้น ขึ้นกับการดลบันดาลของผี อาทิ การเชื่อว่า 'ผีแถน' เป็นผู้ดลบันดาลให้เกิดน้ำในการเกษตรหรือการทำนา ดังนั้นก่อนที่ชาวอีสานจะลงมือในการเพาะปลูกข้าว จะต้องมีการประกอบพิธีกรรมบวงสรวงผีพญาแถน และก่อนลงมือหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าว ชาวอีสานจะประกอบพิธีกรรมไหว้ผีนา หรือที่ชาวบ้านเรียกกันในชุมชนว่า 'ผีตาแฮก' โดยมีความเชื่อว่า ผีตาแฮกจะช่วยดลบันดาลให้ข้าวมีความเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ และต่อมาเมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ชาวบ้านชุมชนอีสานก็จะทำพิธีกรรมสู่ขวัญลานนวดข้าว หรือสู่ขวัญข้าวเพื่อเป็นสิริมงคล ก่อนที่จะถึงฤดูกาลทำนาในรอบปีต่อไป
แม้ว่าสังคมโลกจะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปมากเพียงใดก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อใดก็ตามที่เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดกับคนในหมู่บ้าน หรือชุมชน และสมาชิกในชุมชนไม่สามารถหาคำตอบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีคนในหมู่บ้านเกิดอาการเจ็บป่วยแบบไร้สาเหตุ และได้พยายามรักษาในทางวิทยาศาสตร์ (กินยาแผนปัจจุบันตามหมอสั่ง) จนถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่สามารถรักษาได้ สิ่งสุดท้ายที่คนในชุมชนอีสานจะต้องนึกถึงก็คือ เกิดจากการกระทำของภูติผี อาจถูกคุณไสย อาจเกิดจากการล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือคนป่วยอาจเคยกระทำการใดๆ อันเป็นการล่วงเกิน หรือเป็นเหตุให้อำนาจเหนือธรรมชาติไม่พอใจ จะโดยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม (สำหรับบางคนอาจเจตนากระทำ เพราะไม่เชื่อหรือศรัทธา) โดยญาติจะต้องรีบเชิญคนดี มีวิชามา “ถอนคุณไสย” ให้ หรือแก้ไขโดยการขอขมาและทำให้ภูตผีเหล่านั้นพึงพอใจ
ความเชื่อแบ่งตามกลุ่มชาติพันธุ์
ถ้าลองแบ่งกลุ่มความเชื่อเรื่องผีออกไปตามกลุ่มชาติพันธุ์ ก็จะมองเห็นความเชื่อมโยงในความเชื่อของแต่ละกลุ่ม ที่มีทั้งความเหมือนและแตกต่างกัน รวมทั้งวิธีปฏิบัติตามความเชื่อต่อผีเหล่านั้น แยกออกมาได้พอสังเขปดังนี้
กลุ่มชาติพันธุ์คะแมร์ หรือเขมร
ชาวไทยเชื้อสายคะแมร์ หรือเขมร ที่อาศัยในบริเวณอีสานใต้ จะมีความเชื่อเรื่องผี และนับถือผีมาก่อนที่จะนับถือศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ โดยเรียกผีว่า "โขมจ" และแบ่งผีออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
- ผีดี ผีในกลุ่มนี้ ถ้า เซ่นดี พลีถูก ก็จะให้คุณ แต่ถ้าทำไม่ดีก็จะให้โทษ เช่น ผีฟ้า (เทพหรือเทวดา) ผีเมือง (หลักเมือง) ผีบรรพบุรุษ (โฎนตา) หรือผีเนียะตา (ผีปู่ตา) ผีเจ้าที่เจ้าทาง หรือผีตารักษ์ (พระภูมิ) เป็นต้น
- ผีร้าย ผีกลุ่มนี้มีแต่ให้โทษแก่มนุษย์ เช่น ผีกระสือ หรือผีอ๊าบ ผีปอบ หรือผีทฺมบ (อ่านว่า ทะ-มบ) ผีหมาดำ หรือผีจอแตฺวง (อ่านว่า จอ-ตะ-แวง) เป็นต้น
- ผีไม่ดีไม่ร้าย เช่น ผีกระจอกงอกง่อย ผีอากาเซ (ผีตายโหง หรือสัมภเวที) เป็นต้น
ผีเหล่านี้ทำให้คนได้รับผลกระทบจากผีทำร้ายในหลายลักษณะ ได้แก่ ความเจ็บป่วย (คมอจเทอ) ผีเข้า (คมอจโจล) หรือ ผิดผี (ค็อฮคมอจ) ซึ่งถ้าถูกผีทำให้เจ็บป่วยต้องทำพิธีเซ่นไหว้เรียกว่า “แซนคมอจ” โดยใช้อาจารย์เจ้าพิธีกรรมเป็นผู้ช่วยเหลือดำเนินการ ถ้าผีสิงในร่างก็ต้องใช้อาจารย์ที่มีเวทมนตร์คาถามาขับไล่ผีที่เรียกว่า “หมอผี” เป็นต้น
วิถีชีวิตคนไทยเชื้อสายคะแมร์มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับ 'ผี' ตั้งแต่เกิดจนตาย ความเชื่อเรื่องผีทำให้สายสัมพันธ์ในครอบครัวสนิทแนบแน่นขึ้น เพราะในช่วงเดือนสิบตามจันทรคติของทุกปี เหล่าคนไทยเชื้อสายเขมรจะทำพิธี "แซนโฎนตา" เพื่อแสดงกตัญญูกตเวทิตาต่อบรรพชนผู้ล่วงลับ (ผีดี) ลูกหลานไม่ว่าจะไปทำหน้าที่การงานอยู่แห่งหนใด ก็จะพากันกลับบ้านเพื่อเข้าร่วมพิธีนี้ให้จงได้
ความเชื่อเรื่องผีทำให้ชุมชนเข้มแข็ง เพราะในแต่ละชุมชนในช่วงเข้าสู่ฤดูทำนาในเดือน 6 ก็จะทำพิธี "แซนเนียะตา" เพราะมีความเชื่อกันว่าต่างก็มีเนียะตาคนเดียวกัน เป็นศูนย์รวมจิตใจ ความเชื่อเรื่องผีช่วยสร้างบ้านแปงเมือง เห็นได้จากการยกวีรบุรุษผู้เก่งกล้าในท้องถิ่นขึ้นเป็นผีบ้าน ผีเมือง เช่น พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง หรืออีกนามคือ เชียงปุม อดีตเจ้าเมืองสุรินทร์ เป็นต้น ซึ่งมีการเซ่นสรวงกันทุกปีมิได้ขาด
ส่วนการรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยที่ทำตามแพทย์แผนปัจจุบันแล้วไม่หาย ชาวเขมรเชื่อว่า ก็น่าจะมาจากอำนาจที่มองไม่เห็นกระทำให้มีเหตุร้าย ดังนั้นเมื่อมีเหตุให้เป็นไปแล้ว คนส่วนใหญ่ในชุมชนเขมรก็มักนึกถึง 'ร่างทรง' หรือ 'แม่มะม็วด' เพราะเชื่อว่า สามารถทำนายทายทักและหาวิธีแก้ไขให้ทุกอย่างคลี่คลายลงได้ เหตุนี้จึงต้องจัดให้มี พิธีกรรมการโจลมะม็วด จึงเป็นสื่อกลางเพียงอย่างเดียว ที่คนในชุมชนเขมรจะนำมาใช้เป็นสื่อกลาง เพื่อติดต่อสื่อสารกับอำนาจเหล่านั้น อันจะนำไปสู่หนทางแก้ไขความผิดพลาดได้ทันท่วงทีและถูกทาง
กลุ่มชาติพันธุ์กูย กวย ส่วย เยอ
ความเชื่อเรื่องผีของคนไทยเชื้อสายกูย (หรือ กวย หรือ ส่วย หรือเยอ) ที่อาศัยอยู่ในเขตอีสานใต้เช่นเดียวกับชาวคะแมร์หรือเขมร ก็เชื่อในเรื่องผีเช่นเดียวกัน โดยเรียกผีว่า "กะโมจ" "มาร" หรือ "คอล" และยังแบ่งผีออกเป็น 3 กลุ่มเช่นเดียวกันง
- ผีดี เช่น ผีมอ หรือผีหมอ ผีปะกำอะจึง เป็นต้น
- ผีร้าย เช่น ผีมะนะห์ (คล้ายผีปอบ ผีกระสือ) ผีจฺราบ (ผีจอมปลวก) ผีนางไม้ เป็นต้น
- ผีไม่ดีไม่ร้าย เช่น ผีอะตุ๊บอะตั๊บ (สัมภเวสี) เป็นต้น
เช่นเดียวกับคนไทยเชื้อสายเขมรมีการจัดพิธี "แซนยะจุ๊" เหมือนกับพิธีแซนเนียะตา มีการเล่นผีมอ หรือแกล มอ เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เหมือนกับคนไทยเชื้อสายเขมรมีการทำพิธีรำมม็วด แต่มีผีอยู่ชนิดหนึ่งที่มีเฉพาะในกลุ่มชาวไทยกูยเท่านั้นคือ "ผีปะกำอะจึง" ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือในกลุ่มที่เลี้ยงช้างเท่านั้น ไม่พบในกลุ่มชาวกูยที่ทำนาหรือตีเหล็กแต่อย่างใด (คำว่า "ปะกำ" หมายถึง เชือกหนัง ที่ทำมาจากหนังควาย ส่วนคำว่า "อะจึง" นั้นเป็นภาษากูยแปลว่า ช้าง ปะกำอาจึง จึงแปลว่า เชือกคล้องช้าง)
ซึ่งชาวกูยจะกระทำพิธีไหว้ผีปะกำอาจึงก่อนออกไปคล้องช้าง หรือเมื่อคล้องช้างได้แล้วก็จะเซ่นไหว้อีกครั้ง หรือเมื่อต้องนำช้างออกไปจากหมู่บ้านไปทำงานที่อื่นๆ ก็ต้องทำการเซ่นไหว้ก่อน ปัจจุบันมีการเซ่นไว้ในพิธีแต่งงานด้วย จึงทำให้ความเชื่อเรื่องผีปะกำจึงยังดำรงอยู่ แม้ว่าคนไทยเชื้อสายกูยหลายๆ ครอบครัวจะเลิกเลี้ยงช้างไปแล้วก็ตาม และยังคงนิยมการทำพิธีแต่งงานบนหลังช้าง (พิธีซัตเต) กันอยู่ รวมทั้งการแห่นาคไปบวชด้วยช้าง [ อ่านเพิ่มเติม : หมู่บ้านช้าง ]
กลุ่มชาติพันธุ์ไทยลาว
ในกลุ่มชาติพันธุ์ไทยลาว เมื่อกล่าวถึง ผี หรือวิญญาณ จะมี 2 ความหมาย ความหมายแรก ผี คือ วิญญาณผู้ที่ล่วงลับไปแล้วแต่ยังไม่ได้ไปเกิดในภพใหม่ เพราะต้องคอยปกปักรักษา คุ้มครองลูกหลานและคนในสายตระกูล ส่วนความหมายที่สอง หมายถึง วิญญาณที่ปรากฏทั่วไปซึ่งมีทั้งให้คุณและโทษแก่มนุษย์ มีการจำแนกผีออกเป็น 3 ประเภท เช่นเดียวกัน
- ผีชั้นสูง หรือผีดี จัดเป็นกลุ่ม "เทพ" หรือ "เทวดา" ซึ่งมักจะให้คุณมากกว่า เช่น ผีแถน ผีฟ้า เป็นต้น
- ผีชั้นกลาง หรือผีกึ่งดีกึ่งร้าย แบ่งได้หลายกลุ่ม เช่น ผีปู่ตา ผีนางตะเคียน ผีประจำหมู่บ้าน ผีประจำเมือง ผีบรรพบุรุษ (ผีเชื้อ) เป็นต้น
- ผีชั้นต่ำ หรือผีร้าย แบ่งเป็นผีร้ายที่มีอยู่ตามธรรมชาติทั่วไป เช่น พวกผีพราย ผีร้ายที่ปรากฏทั่วไป เช่น ผีกระสือ ผีปอบ ผีแม่หม้าย และพวกผีที่อยู่ในนรกภูมิ เช่น ผีเปรต
ความเชื่อเรื่องผีของคนในกลุ่มไทยลาวนี้ ก่อให้เกิดพิธีกรรมมากมาย เพื่อการเซ่นสรวง บูชา บัดพลี และวิงวอน ให้ผีที่ตนนับถือได้ช่วยเหลือให้พ้นจากเหตุร้ายต่างๆ และดลบันดาลให้ชีวิตประสบแต่ความสุข ความเจริญ สมหวังในสิ่งที่มุ่งมาดปรารถนา ซึ่งพิธีกรรมทั้งหลายเหล่านี้จะสามารถแยกย่อยเป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ
- พิธีกรรมเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ เช่น พิธีกรรมเกี่ยวกับการทำนา แฮกนา บูชาเจ้าปู่ บูชาแม่โพสพ หรือพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการอยู่อาศัย เช่น การยกเสาเรือน การทำขวัญเกวียน รถ เรือ เป็นต้น
- พิธีกรรมเกี่ยวกับการดำรงชีวิต เช่น พิธีกรรมเกี่ยวกับการรักษาโรค การสะเดาะเคราะห์ เป็นต้น
กลุ่มชาติพันธุ์ญวณหรือเหวียดเกี่ยว
ในภาคอีสานยังมีกลุ่มชาติพันธุ์คนไทยญวณ ไทยเชื้อสายเวียดนาม (เหวียดเกี่ยว) อพยพเข้ามาอยู่อาศัยด้วยทางอีสานเหนือหลายจังหวัด เช่น หนองคาย อุดรธานี นครพนม สกลนคร มุกดาหาร และอุบลราชธานี ก็พบว่า มีความเชื่อเกี่ยวกับผี ภาษาเวียดนามเรียกว่า มา (ma) มีการให้ความเคารพกราบไหว้บูชามากที่สุดคือ "ผีบรรพบุรุษ" เนื่องจากมีความเชื่อว่า การมีหิ้งบูชาเพื่อไหว้บรรพบุรุษในบ้านเ ป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว การกราบไหว้บนบานก็เพื่อให้ท่านช่วยปกปักรักษา และดูแลลูกหลานให้ปลอดภัย มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไปในภายภาคหน้า และยังมีการไหว้ผีอื่นๆ เช่น ผีบ้าน ผีเรือนหรือเทพธรณี (คนไทยเรียก พระแม่ธรณี) จะมีไหว้เพียงบางกลุ่มเท่านั้น (ซึ่งแตกต่างจากในประเทศเวียดนามที่ยังคงไหว้กันอยู่) ส่วนพิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีอื่นๆ เช่น ผีประจำหมู่บ้าน ก็มักจะทำตามความเชื่อแบบกลุ่มคนไทย รวมทั้ง การทรงเจ้า ก็จะมีทำเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น เรียกว่าวัฒนธรรมเลื่อนไหลไปตามชุมชนรอบข้าง
แต่ในส่วนพิธีกรรมที่ชาวเหวียดเกี่ยวอนุรักษ์ไว้ได้อย่างเหนียวแน่นคือ พิธีฌาปนกิจศพ นั้นยังคงกระทำอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งการทำพิธีศพของชาวเวียดนามจะไม่มีการเผา แต่ใช้การฝังแทน เพราะต้องการให้วิญญาณกลับไปบ้านเพื่ออยู่คุ้มครองลูกหลานให้อยู่เย็นเป็นสุข นอกจากนั้นก็ยังนับถือเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ซึ่งพวกเขาเรียกว่า เถิ่น (thân) หรือ แถ็งห์ (thà'nh)
บทส่งท้าย
ในทุกกลุ่มชนชาติพันธุ์ในภาคอีสาน เวลาที่มีความทุกข์ทางกาย ทางใจ ก็มักจะไปพึ่งผี บนบานสารกล่าวขอให้ผีช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บทางกาย และแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่กลุ้มรุมทำร้ายจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงิน หรือแม้กระทั่งความรัก โดยจะต้องมีสิ่งตอบแทนผีเล็กๆ น้อยๆ ตามที่คนได้สัญญาไว้กับผี (ติดสินบนผี) ทำให้เกิดพิธีกรรมต่างๆ ขึ้น "
แต่ผีหลอกยังไม่น่าลัวเท่ากับคนด้วยกันหลอกกันเอง คนที่อาศัยความไม่รู้ สร้างความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ ขึ้น เพื่อกดคอมนุษย์ด้วยกันเองดังเช่นทุกวันนี้สิที่น่ากลัวเอามากๆ ยิ่งกว่าผีใดๆ โปรดมีวิจารณญาณกันด้วยนะครับว่า สิ่งใดน่าเชื่อถือ (เพราะสมัยโลกออนไลน์ สังคมก้มหน้า ขีดเขี่ยหน้าจอ นี่หลอกกันง่ายและมากมายสุดๆ กอร์ปกับความโลภก็ยิ่งทำให้เกิดความสูญเสียเป็นเงินแสน เงินล้าน ดังที่เป็นข่าวอยู่เนืองๆ ระวังกันให้ดี)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : ผีปอบ ผีแม่หม้าย | พิธีกรรมการโจลมะม็วด
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Tradition
- Hits: 6467
ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องราว "ความอาถรรพณ์ของคืนพระจันทร์เต็มดวง" ถือเป็นวัฒนธรรมความเชื่อที่มีกันอยู่ทั่วโลก ดังจะเห็นได้จากภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ และความลี้ลับ หรือเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว มักจะเกิดขึ้นในคืนพระจันทร์เต็มดวงแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ฝรั่ง แขก จีน ไทย หรือแม้กระทั่ง ขแมร์ ลาว กูย ก็ไม่ต่างกัน ในประเทศไทยก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า คนไทยเชื้อสายจีนและเวียดนามมีพิธีไหว้พระจันทร์กันเป็นประจําทุกปี แต่ไม่ค่อยมีใครได้ยินว่า มีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการไหว้พระจันทร์ของชาวขแมร์ หรือเขมร ทั้งๆ ที่ความเชื่อเหล่านี้มีมาหลายชั่วอายุคนแต่โบราณกาล
พิธีปะออกเปรี้ยะแค
พิธีกรรมความเชื่อในการบูชาพระจันทร์ของชาวเขมร เป็นปรัชญาที่สอนให้คนรู้จักความรักความสามัคคี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักการแบ่งปัน รู้จักประมาณตน มีเหตุมีผล รู้จักสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเองด้วยความไม่ประมาท ซึ่งล้วนแต่เป็นแนวทางในการดําเนินชีวิต ที่จะนําไปสู่วิถีการพึ่งตนเองแบบพอเพียง และความเป็นศิริมงคลของพี่น้องชาวเขมรในพื้นที่อีสานใต้มานาน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าชุมชนชาวขแมร์ในเขตอีสานใต้ส่วนใหญ่ได้ละทิ้งพิธีกรรมนี้ไปนานกว่า 50-60 ปี มีการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ที่ชุมชนบ้านขนาดมอญ ตําบลตาตุม อําเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์
“ปะออกเปรี้ยะแค” ตามการออกเสียงของชาวสุรินทร์ หรือ "ปังอ๊อกเปรี๊ยะแค" ชาวบ้านขแมร์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษเรียกขาน แปลตามตัวอักษรในภาษาเขมรถิ่นไทย คือ 'ปะอ๊อก' หรือ 'ปังอ๊อก' แปลว่า กรอก หรือ ป้อน 'เปรี้ยะ' แปลว่า พระ เขมรออกเสียงว่า เปรี๊ยะ เช่น พระพุทธ เขมรพูดว่า เปรี๊ยะปุทธ์ ส่วน 'แค' แปลว่า ดวงจันทร์ หรือ พระจันทร์ เมื่อรวมกันแล้ว "ปะออกเปรี้ยะแค" จึงแปลว่า “กรอกพระจันทร์” หรือ “ป้อนพระจันทร์” สิ่งที่ป้อนนั่นคือ "ข้าวเม่า" และจะป้อนในคืนพระจันทร์เต็มดวงในเดือน 12 (ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12) และมีความเชื่อกันว่า ข้าวเม่า ที่กรอกเข้าปากผู้เข้าร่วมพิธีนี้ เป็นเหมือนอาหารทิพย์ ที่ใครได้กินจะมีความเป็นศิริมงคล แคล้วคลาดจากสิ่งเลวร้าย เป็นประเพณีสำคัญอีกหนึ่งประเพณีของทางประเทศกัมพูชา (เขมรต่ำ) ซึ่งเรียกว่า "บอน อม ตุก (ពិធីបុណ្យអុំទូក)" หรือเทศกาลน้ำ
ที่มาแห่งประเพณีป้อนพระจันทร์
จากเรื่อง "พออกพระแข" ของ นายสมฤทธิ์ สหุนาฬ ปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่นกวีชนบท และคนดีศีขรภูมิ (ผู้ล่วงลับไปแล้ว) ที่บันทึกไว้ในหนังสือ ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพพระครูพิบูลวรการ (ปิ่น ที่ปคุโณ) เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2532 ณ เมรุวัดปราสาท ตําบลระแงง อําเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ได้เขียนไว้ในหน้า 48-51 ความว่า
“เดือนสิบสอง ข้าวเหนียวพันธุ์เบาจําพวก 'ข้าวบังเอว' กําลังโน้มรวงเริ่มสุก เหลืองพอเหมาะกับการตําข้าวเม่า กรอบอร่อย การทําบุญตักบาตรข้าวเม่า จึงเกิดขึ้นเป็นธรรมเนียมประเพณี สืบทอดกันมาแต่โบราณกาล เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่การตักบาตรข้าวเม่านั้น เขาทํากันในเวลากลางคืน เมื่อพระจันทร์วันเพ็ญเดือนสิบสองอยู่ตรงศีรษะพอดี
กลางลานวัดจะปักเสาสองต้น สูงท่วมศีรษะห่างกันราว 2 เมตร มีไม้กลมๆ เป็นราวสูงเพียงตา ที่ราวติดเทียนขี้ผึ้ง ผูกราวติดไว้กับเสาหลวมๆ พอหมุนได้ไม่ติดขัด ที่ทางเหล่านี้ มีมัคทายกร่วมกับพระในวัดช่วยกันตระเตรียมไว้แล้วตั้งแต่ช่วงบ่าย ฯลฯ
สามทุ่มล่วงแล้ว พระจันทร์เต็มดวงพ้นปลายไม้ สว่างไสวดุจกลางวัน ผู้เฒ่าผู้แก่ หนุ่มสาว และเด็กๆ ถือขัน แบกกระเฌอ หรือถ้วยโถ โอชาม ที่บรรจุข้าวเม่ากับกล้วยสุก มากันคนละหวีสองหวีตามมีตามเกิดไปชุมนุมกันที่ลานวัด หนุ่มสาวแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยสดงดงามเพื่อประกวดประชันกัน
ห่างจากที่ตั้งเสาพิธีพอประมาณ จะปูด้วยเสื่อสาด ลาดด้วยผ้าขาว ตั้งบาตรไว้เรียงราย ได้เวลาใกล้เที่ยงคืน นิมนต์พระเข้าประจําที่ สมาทานศีล สวดมนต์ ผู้คนจะยกขันขึ้นอธิฐานขอให้กุศลผลบุญจงมีแก่บุพการี แล้วบรรจงใส่บาตรข้าวเม่ากันจนทั่วถึง ผู้คนจะกระจายกันนั่งรายรอบที่ตั้งเสาพิธีอยู่ห่างๆ ปล่อยเสาพิธีสถานให้เป็นลานกว้างวงกลมในเขตพิธีกรรม รอกําหนดประกอบพิธีกรรม”
การตระเตรียมข้าวเม่าของชาวบ้าน
พอถึงวันขึ้น 15 ค่ําเดือน 12 หนุ่มสาวจะพากันออกไปเกี่ยวข้าวใหม่ เอามาใส่กระดังแล้วย่ำด้วยเท้าให้หลุดจากรวง เพื่อให้ได้ข้าวเปลือกมาคั่วให้สุกทั่วเมล็ด แล้วเอามาใส่ครกไม้ ตํา-ควัก ด้วยไม้พายจนได้เป็น "ข้าวเม่า" เตรียมไว้สําหรับการตักบาตรเข้าเม่า อุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษกันทุกบ้าน
เสร็จแล้วก็จะหากล้วย น้ําผึ้ง มะพร้าว น้ําตาล เท่าที่พอจะหาได้เพื่อเตรียมไว้ เมื่อได้ของครบ แล้วก็จะเอาขี้ผึ้ง (ต้องเป็นขี้ผึ้งแท้เท่านั้น) มาฝั้นทําเป็นเทียนคนละ 1 เล่ม วัดความยาวให้ได้รอบศีรษะของตัวเอง เป็นความเชื่อว่าเทียนแต่ละเล่มจะเป็นเหมือนดวงชะตา หรือตัวแทนของผู้เป็นเจ้าของ ที่จะจุดเพื่อบูชาพระจันทร์ และเป็นการเสริมดวงชะตาบารมีของตัวเองด้วย
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็อาบน้ําชําระล้างเนื้อตัวให้สะอาด ตกค่ําทั้งหนุ่ม-สาว พ่อเฒ่าแม่เฒ่า เด็กๆ ในหมู่บ้านก็จะนําสิ่งของที่ตรียมไว้ไปวัด หนุ่มสาวก็จะนัดกันไปลอยกระทงริมสระน้ำ พระสงฆ์ร่วมกับพ่อเฒ่าแม่เฒ่าก็จะเอาเทียนขี้ผึ้งทั้งหมดมารวมกัน แล้วแบ่งออกเป็น 12 ส่วนเท่าๆ กัน แต่ละส่วนจะนำมาพันกันเป็น 1 แท่ง ก็จะได้เทียนขี้ผึ้งแท้ ขนาดสั้นบ้าง ยาวบ้าง เล็กบ้างใหญ่บ้าง จํานวน 12 แท่ง ที่จะใช้ในพิธีกรรม โดยจะมีตาพรมกับยายโสร สองผัวเมีย (สมมุติขึ้นมา) จะเป็นผู้นําในการประกอบพิธี
สาระสําคัญของพิธีปะอ็อกเปรี๊ยะแค
พิธีปะอ็อกเปรี๊ยะแค เป็นการเสริมสร้างสิริมงคลแก่ชีวิต และเสี่ยงทายว่า เดือนไหนจะมีฝน เดือนไหนจะแล้ง เพื่อให้ลูกหลานได้เตรียมตัวรับสถานการณ์ได้โดยไม่เดือดร้อนในวันข้างหน้า ส่วน 'ข้าวเม่า' ที่พากันนํามาตักบาตร เมื่อเสร็จพิธีแล้วก็จะคลุกรวมกัน แล้วแบ่งปันกันกินคนละหนึ่งอุ้งมือ แต่สําหรับผู้หญิงที่กําลังตั้งครรภ์ จะได้รับส่วนแบ่งมากกว่าคนอื่นอีกเท่าตัว เพราะเราจะเผื่อแผ่ไปให้อีกคนที่อยู่ในท้องด้วย และจะมีอีกอย่างหนึ่งที่หนุ่มๆ ต้องการมากก็คือ น้ําตาเทียน ที่หยดลงบนใบตอง หลังจากการทําพิธีเสร็จแล้ว เพราะมีความเชื่อกันว่า ใช้เป็นเครื่องรางของขลัง ที่ให้คุณในด้านเมตตามหานิยม ใครได้ไปเวลาจะออกจากบ้านก็นํามาสีปาก จะทําให้การเจรจาทุกอย่างสําเร็จลุล่วงไปด้วยดี มีแต่คนรักคนหลง โดยเฉพาะเวลาจีบสาวๆ
พิธีการปะอ็อกเปรี๊ยะแค
เมื่อถึงเที่ยงคืน จะมีบุรุษผู้สูงอายุผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม นุ่งขาวห่มขาว ถือไม้เท้ายาว มีบุรุษสะพายย่ามเป็นลูกศิษย์ติดตามมาด้วยผู้หนึ่ง เดินจากภายนอกเข้ามาในบริเวณพิธีสถาน กระทําซุ่มเสียงกระแอมกระไอ เดินสู่สถานพิธีตั้งเสา พอปรากฎเห็นโดดเด่นเป็นจุดสนใจ จึงหยุดยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มาร่วมชุมนุม
แล้วผู้ใหญ่ในกลุ่มคนหนึ่ง (ซึ่งได้กําหนดตัวไว้แล้ว) จะถามร้องถามขึ้นว่า “นั่นใคร” บุรุษชีปะขาวจะตอบว่า “เราเอง” ผู้ถามก็จะถามอีกว่า “เราเองนะคือใคร มาจากไหน มีธุระอะไร” บุรุษชีปะขาวจะตอบว่า “เราคือ ตาพรหม** มาจากสํานักเขนาะตาพรหม มาที่นี่เพราะได้ยินเสียงเอะอะอึงคนึง ไม่รู้ว่าพวกท่านกระทําการสิ่งใดกัน ชะรอยจะพากันทําบาป ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอะไรกันขึ้นกระมังเราจึงเข้ามาดู”
ผู้เป็นใหญ่ในกลุ่มจะแจกแจงว่า “เราไม่ได้กระทําบาปหยาบช้า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอะไร วันนี้เรามาชุมนุมกันทําบุญ จะประกอบพิธีไหว้พระจันทร์ ถ้าท่านเป็นตาพรหมท่านมีความรู้เรื่องนี้ไหม” ชีปะขาวจึงตอบว่า “เราพอจะรู้บ้าง” ผู้เป็นใหญ่จะกล่าวว่า “ถ้าท่านรู้ข้อธรรมในเรื่องนี้ จงแสดงธรรมให้พวกเราฟังก่อน เราจึงจะเชื่อถือ” ชีปะขาวจึงถามว่า “จะให้แสดงธรรมข้อใด” ผู้เป็นใหญ่ตอบว่า "ว่านะโมให้เรา ฟังก่อนก็แล้วกัน”
ตาพรหมจะติดตลก แกล้งว่านะโมผิดๆ เพื่อแทรกบทตลกให้เป็นที่ฮือฮา ผู้เป็นใหญ่จะกล่าวว่า “ท่านว่าข้อธรรมไม่ถูก ท่านไม่ใช่ตาพรหมที่แท้จริง ชะรอยท่านจะเป็นผู้ประสงค์ร้าย ปลอมแปลงเข้ามาเพื่อทํามิดีมิร้าย” ได้เฮฮากันเป็นคํารบสอง เมื่อถึงรอบที่สาม จึงสวดนะโมได้ถูกต้องครบถ้วนกระบวนความ ผู้คนทั้งหลายจึงกล่าวรับรองว่า “จริงท่านคือตาพรหมตัวจริง” แล้วขอเชิญท่านเป็นประธานในพิธีพาพวกเราไหว้พระจันทร์ นําสวดคาถาบวงสรวงสังเวยแก่พระจันทร์เถิด
ตาพรหมจะบอกให้ทุกคนพนมมือ แล้วจุดเทียนชัย 12 เล่ม ที่ติดไว้บนราวพาดเสาพิธีกรรม นําใบตองกล้วยตานีที่ยังอ่อนๆ ปลอดตําหนิ ปราศจากริ้วรอยแตกปริ มาวางเรียงกับพื้นดินใต้ราวเทียนชัย เพื่อรองรับน้ําตาเทียนไว้เสี่ยงทาย บอกให้ทุกคนคอยกล่าวคําบวงสรวงสังเวยพร้อมกัน โดยตาพรหมนําสวดนะโม 3 จบกล่าวบวงสรวงให้ทุกคนว่าตาม ตามด้วยคาถาบูชาพระจันทร์ ดังนี้ “เนียง จันทรา เปรียะมหาอูด็อมเปรี้ยะเอ็นเซวย เซาะ เซวยอ็อบภิรมณ์เปรี้ยะมหาอุดอมก็วงเลอพิเมียน” (เจ้าแม่จันทรา พระมหาอุดม พระอินทร์เสวยสุย เสวยภิรมณ์ พระมหาอุดมสถิตเหนือพิมาน) กล่าวจบ 1 รอบ ตาพรหมจะให้กราบ ทุกคนจะหมอบกราบพร้อมกันสงบนิ่ง
**ตาพรหม หมายถึง พระพรหมผู้สร้างโลกและสรรพสัตว์ ตามคติศาสนาพราหมณ์ ที่เชื่อกันว่า พระพรหม จะลงมาดูแลปกป้องชาวโลกทุกปี เพื่อไม่ให้สรรพสิ่งที่ทรงสร้างถูกทําลาย ตาพรหม ในพิธี จึงเป็นตัวสมมุติแทนองค์พระพรหมผู้เป็นเจ้า ที่จะลงมาร่วมในพิธีไหว้พระ
การบูชาพระจันทร์เสร็จสิ้น ตาพรหมก็จะหมุนราวไม้ไผ่ให้เทียนที่กําลังติดไฟชี้ปลายลงดิน จากนั้นผู้ช่วยของตาพรหมก็จะยกใบตองกล้วยที่มีน้ําตาเทียนขึ้นมาทํานาย โดยถือเอาต้นใบเป็นต้นปี กลางใบ เป็นกลางปี และปลายใบเป็นปลายปี หยดเทียนหนาในตําแหน่งใด ก็เชื่อว่าฝนจะตกชุกในเดือนนั้นส่วน น้ําตาเทียนชายหนุ่มทั้งหลายจะแบ่งกันไปเก็บไว้เป็นสิริมงคล โดยเชื่อกันว่าให้คุณด้านเมตตามหานิยม
ทํานายเสร็จ ตาพรหมและลูกศิษย์ จะได้รับการถวายข้าวเม่า 1 ขัน กล้วย 1 หวี คนละ 1 ชุด ตาพรหมจะอวยพรให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข ประสบโชคลาภ ทํามาหากินได้อุดมสมบูรณ์ พร้อมทั้งกําชับให้ทุกคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เลี้ยงดูกันให้ดี มีความรักสมัครสมานสามัคคี มีความเห็นอกเห็นใจกัน เตรียมตัวเตรียมใจ พร้อมรับสถานการณ์ของดินฟ้าอากาศในแต่ละเดือน จะได้ไม่เกิดความอดอยากยากจน พร้อมกับบอกลาแล้วก็เดินจากไป
ฝ่ายพระสงฆ์จะบรรยายธรรมต่ออีกสักครู่ เมื่อสมควรแก่เวลาแล้วก็ถวายปัจจัยไทยทาน มัคทายกจัดบาตรเข้าเม่า พร้อมกับกล้วย มะพร้าว น้ําตาล น้ําผึ้ง ขึ้นกุฏิ แบ่งส่วนหนึ่งไว้เลี้ยงดูกันในหมู่ผู้ไปร่วมในพิธี ที่ยังคงนั่งรอกันอย่างเป็นระเบียบ ช่วงนี้มัคทายกและผู้ใหญ่จะช่วยกันแจกจ่ายข้าวเม่า และกล้วยน้ําว้าสุกให้กินกันอย่างถ้วนหน้า
โดยให้ผู้ร่วมในพิธี นั่งเงยหน้า หันเข้าหาพระจันทร์ คนแจกก็จะร้องบอกให้เงยหน้า อ้าปาก แล้วก็เอาข้าวเม่ากรอกเข้าปาก ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ โดยสตรีที่กําลังตั้งครรภ จะได้รับส่วนแบ่งเพิ่มอีก 1 ส่วน สําหรับอีก 1 ชีวิตที่อยู่ในท้อง การกระทํานี้เองที่เรียกว่า “ปะออกเปรี้ยะแค” ซึ่งแปลตามตัวอักษร คือ ปะอ๊อก แปลว่า กรอก หรือ ป้อน เปรี้ยะ แปลว่า พระ แค แปลว่า ดวงจันทร์ หรือ พระจันทร์ ปะออกเปรี้ยะแค จึงแปลว่า “กรอกพระจันทร์” หรือ “ป้อนพระจันทร์”
พิธีการบูชาพระจันทร์นี้ จะกระทำทุกๆ วันเพ็ญเดือน 12 ของแต่ละปี เป็นอารยธรรมที่ได้รับจากอินเดีย เข้าสู่ราชสํานักขอมโบราณ ก่อนจะแพร่หลายมาถึงภูมิภาคนี้นั่นเอง
ประเพณี 'ปังอ๊อกเปรี๊ยะแค' ศรีสะเกษ
ยังมีประเพณีนี้ในชุมชน กลุ่มชาติพันธุ์เขมร บ้านพราน ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีความเชื่อแบบเดียวกัน แต่จะมีความแตกต่างในจำนวนของจำนวนเทียนที่ใช้จุดจะมีน้อยกว่าเพียง 8 เล่ม ซึ่งเทียนทั้ง 8 เล่ม เป็นสัญลักษณ์ของฤดูกาลในรอบเดือนที่สำคัญต่อการทำการเกษตรกรรมคือ
- เล่มที่ 1 เป็นสัญลักษณ์แทนเดือน 5 (เมษายน)
- เล่มที่ 2 เป็นสัญลักษณ์แทนเดือน 6 (พฤษภาคม)
- เล่มที่ 3 เป็นสัญลักษณ์แทนเดือน 7 (มิถุนายน)
- เล่มที่ 4 เป็นสัญลักษณ์แทนเดือน 8 (กรกฎาคม)
- เล่มที่ 5 เป็นสัญลักษณ์แทนเดือน 9 (สิงหาคม)
- เล่มที่ 6 เป็นสัญลักษณ์แทนเดือน 10 (กันยายน)
- เล่มที่ 7 เป็นสัญลักษณ์แทนเดือน 11 (ตุลาคม)
- เล่มที่ 8 เป็นสัญลักษณ์แทนเดือน 12 (พฤศจิกายน)
การประกอบพิธีกรรมการเสี่ยงทายฤดูกาลจากน้ำตาเทียนนี้ จะสังเกตน้ำตาเทียนที่หยดออกจากเทียนที่มีการหมุน โดยสังเกตว่า หากน้ำตาเทียนค่อยๆ หยดจากเทียนเล่มไหนก็แสดงว่าช่วงของเดือนนั้น จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับ ลม ฟ้า (เมฆ) และ ฝน (น้ำ) อย่างไร ถ้าเทียนเล่มไหนมีน้ำตาเทียนหยดถี่ การกระพริบของไฟแรงหรือดับไป ก็แสดงว่าฝนจะตกมากและมีลมแรง ถ้าหากเทียนเล่มไหนมีน้ำตาเทียนหยดน้อย ไฟไม่กระพริบ ก็แสดงว่าฝนไม่ค่อยตก หรืออาจจะแล้งในช่วงเดือนนั้นและไม่มีลมพัด ขณะที่หากไส้เทียนเผาไหม้ตกลงเป็นประกายไฟ ก็หมายถึงจะมีฝนฟ้าคะนองมากจนอาจเกิดอุทกภัยขึ้นได้
ประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแค ที่ทำกันอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์เขมร ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ในบางหมู่บ้าน ตำบล ของอำเภอไพรบึง และอำเภอขุนหาญ มีอุปกรณ์ที่จะต้องเตรียมใช้ในการประกอบพิธี ดังนี้คือ
- ชายหนุ่ม บริสุทธิ์ 4 คน
- สาววัยรุ่น บริสุทธิ์ 4 คน
- ครกซ้อมข้าวหรือครกตำข้าว 2 ลูก
- สากไม้ซ้อมข้าว 1 อัน (ยาวประมาณ 1 วาเศษ)
- เทียนขี้ผึ้งแท้ 8 เล่ม (ขนาดเท่าๆ กัน)
- ข้าวเม่า 2 จาน
- มะพร้าวอ่อน 2 ลูก
- กล้วยสุก 8 ลูก
- ใบตองกล้วย 2 ก้าน
- ช้อน 2 คัน
ขั้นตอนพิธีกรรม
เมื่อใกล้เที่ยงคืน กรรมการวัดและมัคทายกจะนำเอาครก สาก และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เตรียมไว้ไปตั้งสนามกลางแจ้ง ซึ่งจะมีบริเวณที่คนดูได้มากๆ (พิธีนี่ต้องทำกลางแจ้ง) โดยตั้งครกลูกหนึ่งทางทิศเหนือ อีกลูกหนึ่งตั้งทางทิศใต้ ระยะห่างกันประมาณหนึ่งเมตรเศษๆ เอาสากตำข้าววางพาดที่ปากครก แล้วเอาเทียนขี้ผึ้งแท้ (ขนาดใหญ่–ยาวเท่ากัน) จำนวน 8 เล่ม ติดกับสากตำข้าวโดยให้ตั้งฉากขึ้น แล้วเอาใบตองกล้วย 2 ก้าน วางกับพื้นใต้สากระหว่างครกทั้งสอง (เพื่อรองรับน้ำตาเทียนซึ่งจะหยดลง) จัดหนุ่มสาว 8 คน จัดเป็นจำนวน 4 คู่ โดยให้จับสากด้านทิศใต้ 2 คู่ และจับสากด้านทิศเหนืออีก 2 แล้วให้ชายหญิงแต่ละคู่เอาช้อนตักข้าวเม่าในจานป้อนซึ่งกันและกัน (ชายป้อนหญิง หญิงป้อนชาย) ป้อนข้าวเม่าเสร็จแล้วป้อนกล้วยสุข สุดท้ายจึงเอาน้ำมะพร้าวอ่อนให้ดื่มร่วมกัน
ปังอ๊อกเปรี๊ยะแค ประเพณีป้อนข้าวพระจันทร์
ชาวบ้านจะมีการสังเกตพระจันทร์ หรือดวงจันทร์บนท้องฟ้าว่า ใกล้จะตรงศีรษะแล้วหรือยัง ถ้าเห็นว่าใกล้จะตรงแล้ว ก็ให้พิธีกรหรือมัคทายกกล่าวสวดชุมนุมเทวดา (สัคเค กาเม จะ รูเปฯ) เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธ์ยิ่งขึ้น
เมื่อมองดูท้องฟ้าเห็นพระจันทร์อยู่ตรงศีรษะ ให้จุดเทียนชนวน 8 เล่ม ยื่นให้หนุ่มสาวทั้ง 8 คน (ข้างละ 4 คน) ให้หนุ่มสาวเอาเทียนชนวน จุดเทียนขี้ผึ้งที่ติดสากไว้แล้วพร้อมๆ กัน เมื่อเห็นว่าเทียนทุกเล่มติดไฟแล้ว ให้หนุ่มสาวหมุนสากโดยเริ่มหมุนเวียนขวา ขึ้น–ลง ช้าๆ เทียนแต่ละเล่มจะลุกไหม้ ขณะที่หมุนสากลงด้านล่าง เทียนก็จะเกิดหยดน้ำตาเทียนลงบนใบตองกล้วย ให้หนุ่มสาวหมุนสากตำข้าวที่มีเทียนชนวนติดอยู่ไปเรื่อยๆ จนกว่าเทียนจะลุกไหม้หมด
เทียนที่ติดบนสากตำข้าวทั้ง 8 เล่มนั้น เป็นเครื่องหมายของเดือนที่เกี่ยวข้องกับฤดูกาลที่มีฝนตก และช่วงก่อนที่จะเข้าสู่การเก็บเกี่ยวรวมจำนวน 8 เดือน เริ่มนับเอาเดือน 5 (ปีใหม่โบราณ หรือเดือนเมษายน) ถึงเดือน 12 (เดือนพฤศจิกายน) โดยนับจากทิศใต้เป็นเล่มที่ 1 (เริ่มจากเดือน 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12) ตามลำตับ ที่ต้องนับจากด้านทิศใต้ เพราะฤดูฝน ลมมรสุมจะพัดจากทิศใต้ไปทางทิศเหนือ
ขณะที่เริ่มหมุนสาก ขึ้น–ลง พระสงฆ์สามเณรจะมีการสวดชัยมงคลคาถา (ชยันโต) สวดไปจนกว่าเทียนจะลุกไหม้หมด จึงหยุดหมุนสาก พระสงฆ์สวดต่อด้วย ภะวะตุ สัพพะมังคะลังฯ เสร็จพิธีก็จะมีการทำนายให้ผู้ร่วมพิธีทราบ ส่วนน้ำตาเทียนที่หยดลงบนใบตองกล้วย ถือว่าเป็นของดี เอาไปทำเป็นสีผึ้งเสน่ห์ (นวดเสน่ห์) ผสมน้ำมันจันทน์ทาสีปาก ทาหน้า เป็นเสน่ห์ให้คนรักดีนักแล (แต่ต้องให้อาจารย์หมอเสน่ห์ทำให้) ชาวบ้านอยากได้กันมาก เมื่อเสร็จพิธีต้องยื้อแย่งกันชุนละมุนวุ่นวายไปหมด เพื่อให้ได้น้ำตาเทียนที่หยดลงใบตอง
ในยุคที่ยังไม่มีเทคโนโลยี พยากรณ์ฝนฟ้าอากาศ ชาวบ้านตลิ่งชัน ที่จังหวัดสุพรรณบุรี พึ่งพาพิธีเสี่ยงทายเทียน ซึ่งจัดเพียงครั้งเดียวในรอบปี ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 จะมีพิธีไหว้พระแข (พระจันทร์) ในค่ำคืนเดียวกัน ปัจจุบันพิธีกรรมโบราณนี้ยังอยู่ สะท้อนความเชื่อของชุมชนที่สืบเชื้อสายเขมรแต่มาอยู่อาศัยในภาคกลางของประเทศไทย
เสี่ยงทายฝนผ่านพิธีไหว้พระแข ชาวบ้านตลิ่งชัน ที่จังหวัดสุพรรณบุรี
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Tradition
- Hits: 17884
ครอบครัว ถือว่าเป็นระดับปฐมภูมิของสังคม การสร้างครอบครัวให้มีความสุข นอกจากจะยึดเอาหลักธรรมในการครองเรือนแล้ว จำต้องมีกฎระเบียบสังคมในการดูแลและควบคุม รวมถึงต้องมีผู้ดูแลการปฏิบัติตามกฎระเบียบนั้นๆ เมื่อมีการละเมิดกฎขึ้น ในสังคมอีสานมีกฎประจำครอบครัวที่เรียกว่า "คองเฮือน" เป็นสิ่งที่ต้องทำตามเพื่อให้ครอบครัวอยู่ดีมีสุข เป็นปึกแผ่น ที่ทุกคนจะต้องทำตามกฎนี้อย่างเคร่งครัด ถ้าสนใจเรื่องของ "ฮีตคอง" ที่ทำให้สังคมเป็นสุขอ่านเพิ่มเติมได้จากเรื่อง : คองสิบสี่
ฮีตใภ้คองเขย
จากคองสิบสี่นั้นจะมีเรื่องของ "ฮีตใภ้คองเขย" อยู่ด้วย และมีท่านที่ปรารถนาอยากเป็นเขยอีสานถามกันมาว่า "มีรายละเอียดเพิ่มเติมหรือไม?" ก็เลยจัดมาให้อ่านกันในวันนี้
คำว่า “ใภ้” หมายถึง ลูกสะใภ้ รวมถึงหลานสะใภ้ ส่วน “เขย” หมายถึง ลูกเขย รวมทั้งหลานเขยด้วย แต่ตามปรกติหมายเอาเพียงตัวลูกสะใภ้และลูกเขยเท่านั้น
การเป็น "เขยอีสาน"
การจะเป็น "ลูกเขย" ในสังคมของชาวอีสานนั้นมีอยู่ 2 ประเภท คือ
- เขยสู่ หมายถึง การเป็นลูกเขยที่เข้าตามตรอกออกตามประตู คือ การไปมาหาสู่ ติดต่อกับครอบครัวฝ่ายหญิงจนเป็นที่รับรู้ของญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย และมีการสู่ขอจัดงานแต่งงานตามธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม จะเป็นงานแต่งเล็กๆ ให้รับรู้กันเพียงคนในครอบครัวทั้งสอง หรือจะเป็นการจัดงานใหญ่โตมีแขกเหรื่อนับพัน ก็ถือว่าเป็น "เขยสู่" ทั้งสิ้น
- เขยซู หมายถึง เขยที่เข้าสู่ครอบครัวฝ่ายหญิงด้วยการได้เสียกันก่อน แล้วจึงมาสู่ขอตามประเพณีในภายหลัง ซึ่งเป็นนัยรับรู้กันว่า "ค่าดอง" หรือค่าสินสอดจะลดลงมากกว่าปกติ แต่ "เขย" ทั้งสองประเภทก็มีศักดิ์และสิทธิ์เหมือนกัน หากเจ้าโคตรหรือพ่อตา แม่ยาย ไม่อคติหรือรังเกียจที่มาของเขยซู
อ่านเพิ่มเติม : พิธีกรรมประจำชีวิต | การแต่งงาน
การเข้าสู่ครอบครัวของชาวอีสานนั้น นิยมให้ฝ่ายชายเข้าสู่บ้านฝ่ายหญิง คือ เอาลูกเขยมาอยู่บ้านพ่อตาแม่ยาย เพราะค่านิยมในการถ่ายโอนมรดกในวัฒนธรรมอีสานนั้นจะโอนผ่านฝ่ายหญิง และการนำชายเข้าสู่ครอบครัวมาเป็นเขยนั้น เป็นการนำแรงงานชั้นดีเข้าสู่ครอบครัว ที่จะมีผู้ชายมาแบ่งเบาภาระงาน จึงมีภาษิตอีสานว่า "เอาลูกเขยมาเลี้ยงพ่อเถ้าแม่เถ้า ปานได้ข้าวมาใส่เล้าใส่เยีย" ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายหญิงก็สามารถที่จะไปสู่ครอบครัวของฝ่ายชายได้เช่นกัน แต่กรณีนี้จะมีภาษิตที่ย้อนแย้งว่า "เอาลูกใภ้มาเลี้ยงแม่ย่า ปานเอาห่ามาใส่เฮือน" หรือ “เอาย่าไปอยู่กับลูกสะใภ้ ปานเอาไข้ไปใส่เฮือน” การแต่งงานนำสะใภ้เข้าบ้านจึงไม่เป็นที่นิยมมากนักในสังคมอีสาน
เหมือนกันกับเรื่องเล่าในสมัยครั้งพุทธกาล ที่ลูกๆ ต้องทิ้งพ่อแม่ของตนเพราะฟังความฝ่ายภรรยาตนเองมาก พระพุทธเจ้าจึงต้องสอนวิธีการให้พราหมณ์เอาชนะลูกๆ ของตนเองมาแล้ว หรือจากประวัติของท่านโมคคัลลานะก็เช่นเดียวกัน ฟังความเมียก็เลยเสียพ่อแม่ จะด้วยอิทธิพลของวรรณกรรมเหล่านี้ก็อาจจะเป็นไปได้ที่ชาวอีสานไม่นิยมนำลูกสะใภ้ไปอยู่กับปู่ย่า แต่เมื่อยุคสมัยผ่านไปอาจจะมีน้อยหรือไม่มี ถ้าหากลูกสะใภ้ที่ดีย่อมทำตนให้เข้ากับพ่อแม่ของฝ่ายชายได้ด้วยความราบรื่น เช่นเดียวกับลูกเขยที่อยู่กับพ่อตาแม่ยาย แต่ถ้ามีลูกสะใภ้ดีๆ ก็จะเป็นดังเช่น นางวิสาขา มหาอุบาสิกาก็ได้
การเข้าสู่ครอบครัวอีสานจะมีสิ่งห้ามที่เป็นจารีตประเพณีในลักษณะมุขปาฐะ (บอกเล่าสืบต่อกันมา) ก่อน เช่น ลูกเขยห้ามนอนเปิง (ห้องพระห้องผี) แต่ก็มีกฎระเบียบที่จะต้องปฏิบัติตามเรียกว่า "คองเขย" (การครองตนเป็นเขยที่ดี) ซึ่งตลอดการเป็นเขยต้องปฏิบัติตามคองเขยนี้ไปตลอด จนกระทั่งเลื่อนขึ้นสู่ความเป็นลุง ปู่ ตา และเป็นเจ้าโคตร (ผู้อาวุโสที่สุดในตระกูล) นี่จึงเป็นการเตรียม "คน (เขย)" เข้าสู่การเป็นเสาหลักของตระกูล (โคตรวงศ์) ในอนาคต
ดังนั้น "ลูกเขย" แม้ในช่วงแรกจะมาอยู่อาศัยกับพ่อตา-แม่ยาย เพื่อช่วยด้านแรงงานสร้างครอบครัว แต่เมื่ออยู่ไปสักระยะหนึ่งจนมีเงินเก็บออมได้พอประมาณ หาไม้สำหรับการสร้างบ้านเฮือนของตนเองได้ ก็จะต้องออกเรือน คือ การไปสร้างครอบครัวใหม่ เพื่อเปิดโอกาสให้น้องสาวภรรยา (น้าสาว) ได้มีคู่ครอง และนำแรงงานใหม่เข้ามาสู่ครอบครัวอีกครั้ง จนกระทั่งเหลือลูกคนหนึ่งที่จะดูแลพ่อแม่ยามแก่ชรา (ส่วนใหญ่จะเป็นน้องสาวคนสุดท้าย) ได้แต่งงานและอยู่เลี้ยงดูพ่อ-แม่ ซึ่งมักจะได้รับการแบ่งปันมรดกมากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ คนอีสานจึงมักกล่าวว่า "ลูกสาวหล่า มูนข่อน" (ลูกสาวคนสุดท้องมรดกเยอะ)
แม้ว่าเขยจะแยกไปสร้างเรือนใหม่แล้ว จนกระทั่งสิ้นพ่อตาแม่ยายแล้วก็ตาม เขยก็ยังต้องอยู่ภายใต้ "คองเขย" เพราะยังมีญาติผู้อาวุโสฝ่ายหญิง เช่น ลุง หรือเจ้าโคตรคอยเป็นเสาหลักให้ เมื่อมีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นในครอบครัว ต้องมีการประชุมญาติพี่น้อง เจ้าโคตร เพื่อชำระความภายในครอบครัว [ อ่านเพิ่มเติม : การออกเรือนใหม่ ]
จารีตเขยอีสาน
เจ้าเป็นเขยให้เจ้าทำใจกว้าง อย่ากล่าวอ้างสรรพสิ่งอันใด
ไล่ไก่ให้เจ้าว่า โซ ไล่หมาให้เจ้าว่า เส่
ไล่ควายให้เจ้าว่า ฮือ เจ้าอย่าดื้อเตะเตี่ยวชุยชายต่อหน้าเจ้าโคตร
อย่าปากโพดพางาน ให้มีใจเลื่อมใสต่อนางนงคราญแก่นไท้ "
(สำลิด บัวสีสะหวัด, 2544 : 165)
กระบวนการเรียนรู้ในเรื่อง "คองเขย" ในอีสานนั้น มีการถ่ายทอดต่อกันผ่านทางครอบครัว เช่น ตัวอย่างจากพี่เขย ลุงเขย จากการบวชเรียนหรือคำสอนว่าด้วยหน้าที่ของสามีตามหลักพุทธศาสนา จากเอกสารเรื่องฮีตคองในใบลาน คำกล่าวสู่ขวัญของพ่อพราหมณ์ในการบายศรีแต่งงาน ทำให้ทุกคนได้รับการกระตุ้นเตือนให้สำเหนียกในหน้าที่ และการประพฤติตนเป็นเขยตามฮีตคองอยู่เสมอ ดังคำสอนข้างบนนั่นแล
การกระทำผิดต่อ "คองเขย" นั้นไม่ได้มีบทลงโทษทางกฎหมายบ้านเมืองกำหนดไว้ แต่จะมีการลงโทษตามจารีต คอง หรือครรลอง ที่เคยเป็นมา ตามระเบียบวิธีของครอบครัว หรือเจ้าโคตรกำหนด ซึ่งค้นคว้าแล้วพบว่า มี 8 ข้อ/กรณี ดังนี้
- กรณีที่ 1 เขยประพฤติดีมาตลอด แล้วพลั้งเผลอกระทำผิด กรณีเช่นนี้ ควรให้อภัย หากกระทำผิดซ้ำถึง 3 ครั้ง ให้มีเงินเบี้ย เหล้าแกลบ (สาโท หรือเหล้าอุรสหวาน) และหมู ขอขมาต่อลุง ตา เจ้าโคตร
- กรณีที่ 2 เขยขี้เกียจ ไม่ขวนขวายทำไร่ทำนา เจรจาเชิงชู้สาวกับหญิงอื่น ทำตัวเหมือนชายหนุ่ม กล่าวจะเลิกกับภรรยาถึง 3 ครั้ง เตือนแล้วไม่ฟัง ให้ปรับเงิน 100 (ไม่บอกหน่วย น่าจะเป็น บาท) ควาย 1 ตัว และหากไม่พอใจ เกิดหนีไป ความเป็นผัวเมียขาดกันตามพระราชอาญา
- กรณีที่ 3 เขยตีลูกหลาน ด่า/ตีหมา แมว หมู สัตว์เลี้ยงในบ้านที่พ่อแม่เลี้ยงดู เป็นการไม่ยำเกรง ให้ปรับขันไหม เงิน 100 (ไม่บอกหน่วย น่าจะเป็น บาท) ควาย 1 ตัว หากผิด 2-3 ครั้ง ถ้าเขยจะหนี ให้มีเงิน 1 บาท ดอกไม้ธูปเทียนขอขมาต่อเจ้าโคตร ลุง ตา ก่อนแล้วจึงหนี
- กรณีที่ 4 เขยที่เป็นญาติฝ่ายลุง/ป้า ถือเป็นเขยศักดิ์สูงกว่า (เชื้อพี่) เกิดความไม่ยำเกรงลุง ตา เจ้าโคตรฝ่ายหญิง ให้ปรับเงิน 2 บาท และขอขมาต่อเจ้าโคตร
- กรณีที่ 5 เขยที่มีความประพฤติดีมาตลอด จนได้สืบทอดสมบัติพ่อแม่ (แทนมูน) และตลอดเวลาได้ช่วยเหลือญาติพี่น้องฝ่ายหญิงมาด้วยดี ภายหลังเกิดเป็นโทษ อย่าให้คุณที่ทำมาเสียเปล่า ให้โผด (โปรด) ยังเขย ให้เผย (เปิดเผย) ความงาม ความดี ให้มีเพียงดอกไม้ธูปเทียนขอขมา และให้อยู่ตามปกติสุขต่อไป
- กรณีที่ 6 เขยบอกยากสอนยาก พูดอวดเก่ง อ้างทรัพย์สมบัติ ไม่ขวนขวายเลี้ยงครอบครัว เที่ยวเล่นบ้านนั้นลงบ้านนี้ บ่ฮู้จักแลงงาย (ไม่สนใจเวลากินข้าว เอาใจใส่ครอบครัว) กลายบ้านแม่ บ่แวเฮือนเมีย (ไม่เข้าบ้าน) ให้สมมาเจ้าโคตร แล้วให้ปรับปรุงความประพฤติเสียใหม่
- กรณีที่ 7 เขยเป็นข้าราชการ ดื่มสุราเป็นอาจิณ เป็นนักเลงการพนัน ขายลูกขายเมียกิน ทำร้ายลูกเมีย ปรารภจะเลิกกับภรรยาถึง 3 ครั้ง หากพูดถึง 3 ครั้งแล้วไม่หนี เป็นโทษ (ถือว่าเป็นคนไม่แน่จริง กระมัง)
- กรณีที่ 8 พ่อแม่ตายจาก เหลือเพียงครอบครัวเดี่ยว ตีลูกตีหลานด้วยไม้ท่อน ก้อนหิน ควรให้สมมาต่อเจ้าโคตร
จะสังเกตว่า ประเด็นที่เป็นความผิดของเขยนั้นไม่ใช่ความผิดอาญาแผ่นดินในสมัยนั้น แต่เป็นความผิดในครอบครัวเท่านั้น ประเด็นความผิดได้แก่ การไม่ตั้งใจทำมาหากิน เล่นการพนัน ชู้สาว ไม่เคารพยำเกรงผู้อาวุโสในตระกูล ทำร้ายร่างกายบุตร ภรรยา การลงโทษเขยจึงไม่ได้ลงโทษรุนแรงถึงขั้นทุบตี แต่เป็นลงโทษด้านเศรษฐกิจ เช่น การปรับไหม เป็นเงิน เป็นสัตว์เลี้ยง วัว ควาย และให้ขอขมาต่อเจ้าโคตรด้วยเงินหรือดอกไม้ธูปเทียนเท่านั้น
การลงโทษเช่นนี้เป็นการลงโทษที่แยบคาย เพราะในขณะนั้นเขยมักจะยังไม่มีทรัพย์สินเพียงพอในการตั้งตัว เพื่อออกเรือน การปรับไหมเป็นเงินหรือสัตว์เลี้ยงจึงทำให้เขยยังต้องพึ่งพิงพ่อตาแม่ยายอีกคำรบ (ต้องหยิบยืมข้าวกล้า พันธุ์พืช หรือสัตว์เลี้ยง วัว ควาย มาใช้งาน) จนกว่าจะสามารถสะสมสร้างตัวแยกเป็นครอบครัวใหม่ได้นั่นเอง ทำให้เขยไม่อยากทำผิดอีก เพราะจะขาดอิสระจนสร้างครอบครัวที่เข้มแข็งไม่ได้
การขอบเขิงเขย
การลงโทษลูกเขยจะกระทำด้วยการพิจาณาจาก "เจ้าโคตร" ทั้งหลาย ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่พอตาแม่ยายเท่านั้น แต่รวมถึงลุงป้า ญาติผู้ใหญ่คนอื่นๆ ทำให้มีการกลั่นกรอง พิจารณา ให้โอกาสตามสมควร เจ้าโคตรจะทำ "การขอบเขิงเขย" ทุกครั้งไป
"เขิง" เป็นภาชนะที่สานด้วยไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายกระด้งแต่มีตาห่างกว่า ริมเขิงจะมีไม้เนื้อแข็งเหลาขดเป็นวงทำขอบ เพื่อให้มีความคงทน ถาวร ไม่โย้เย้เวลาใช้งาน ประโยชน์ของเขิงคือ ใช้ร่อนเอาแต่สิ่งที่ต้องการ เช่น ร่อนทองคำ ร่อนรำ หรือตักเอากุ้ง ปลาในน้ำ ร่อนให้ตมหลุดออกเหลือแต่ตัวปลา
การขอบเขิงเขย จึงเป็นพิธีกรรมในการตักเตือนลูกเขย ลูกสะใภ้ หรือญาติพี่น้อง โดยเปรียบว่า "เป็นการร่อนเอาแต่สิ่งที่ดีๆ ตามต้องการไว้ ส่วนที่ไม่ดี (การกระทำผิด) ให้หลุดหายไปนั่นเอง"
บางถิ่นที่อาจจะใช้คำว่า "คอบเขิง" แทน "ขอบเขิง" ซึ่งความหมายก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก คำว่า
- ขอบ ก.
- บอก, เล่า การบอกให้รู้เรียก ขอบ อย่างว่า ท้าวขอบน้องแล้วลวดเลยเซา (สังข์) เชื้อเชิญ เรียก ขอบ อย่างว่า เขาก็ปูนศาลสูงขอบเชียงเชิญยั้ง (สังข์) คอบก็ว่า อย่างว่า ไปให้ลามาให้คอบ (ภาษิต). to tell, invite.
- คอบ ก.
- บอกเล่า อย่างว่า นำคำไหว้ภูธรทูลคอบ พระบาทเจ้ามีฮู้ฮ่อมคนิง (สังข์). to tell.
สารานุกรมอีสาน-ไทย-อังกฤษ โดย ดร.ปรีชา พิณทอง
เช่น เมื่อมีแขกของลูกมาบ้าน ลูกได้ไปบอกพ่อแม่ เรียก คอบพ่อแม่ หรือตามสำนวนอีสานที่ว่า "ไปให้ลา มาให้คอบ" เวลาเดินทางไปไหนมาไหนให้บอกลา เมื่อกลับมาแล้วให้บอกกล่าว
ส่วนคำว่า เขิง หมายถึง ขึ้งเคียด, โกรธจัด ดังนั้นคำว่า คอบเขิง หรือ ขอบเขิง หรือ เขิงขอบ จึงหมายถึง การบอกกล่าวถึงความไม่ถูกต้อง ทำให้ขุ่นข้องหมองใจกัน ให้ปรับความเข้าใจกันเสีย เป็นกระบวนการไกล่เกลี่ยภายในครอบครัวโดยเจ้าโคตร ทำการปรับไหม หรือขอขมา หรือสมมาญาติผู้ใหญ่ตามสมควร นั่นเอง
ทั้งลูกเขยและลูกสะใภ้ก็ตาม ถ้าปฏิบัติตามครรลองของตนย่อมผ่อนหนักเป็นเบาได้คือ มีความเคารพปู่ย่า เลี้ยงดูปู่ย่าด้วยดีดุจท่านเป็นพ่อแม่ของตนเอง ปัญหาต่างๆ ก็ย่อมไม่ตามมาอย่างแน่นอน แต่เมื่อใดทั้งสะใภ้และเขยต่างก็เมินเฉยต่อวัตรปฏิบัติของตนเองนั้นแหละ ปัญหาย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทำอย่างไรจึงจะทำให้ท่านทั้งสองฝ่ายมีความรักและเอ็นดูตนนั้น คำสอนโบราณอีสานสอนไว้อย่างนี้ว่า
วัตรปฏิบัติของสะใภ้
คันว่านางมีผัวแล้ว อย่าลืมคุณพ่อแม่
คุณเพิ่นมีมากล้น เพียรเลี้ยงให้ใหญ่มา
มารดาฮ้ายให้นาง อดทนอย่าเคียดต่อ
คุณพ่อฮ้าย ให้นางน้อยอย่าติง
คันว่าผัวฮ้าย ให้เอาดีสู้ใส่
ปู่ย่าฮ้ายให้นาง ก้มหมอบฟัง
ทั้งฝ่ายพุ้นฝ่ายพี้ ใจนั้นพร่ำเสมอ
เถิงยามเดือนห้า กาลฤดูปีใหม่
จัดหาดอกไม้ เทียนพร้อมใส่ขัน
ไปวันทาไหว้ ตายายปู่ย่า
ทั้งสมมาเฒ่าแก่ใน หมู่บ้านซู่คนได้ยิ่งดีเจ้าเอย
วัตรปฏิบัติของลูกเขย
อันหนึ่งแนวเป็นเขยนี้ แนวนามเชื้อตายายพ่อแม่
ควรซินบน้อมไหว้ ยอไว้ที่สูง
ผลบุญตามมาค้ำ แนนนำยู้ส่ง
ปรารถนาอันใด ซิลุลาภได้โดยด้ามดั่งประสงค์
เฮาเป็นเขยเขานั้น ควรมีใจฮักห่อ
ฝูงพ่อแม่ชาติเชื้อ ของเมียเจ้าทั่วกัน
มีหญิงให้ฮู้จักปันแบ่งให้ ใจเหลื่อมทางดี
มีงานการซ่อยกัน ฮีบไวบ่มีช้า
ซิไปมาก้ำทางใด ให้เจ้าคอบ
เวนมอบให้ เมียไว้แก่พ่อตา
ทั้งแม่ยายพร้อม เจรจาเว้าม่วน
ควรบ่ควรให้เจ้า คะนิงฮู้ซู่แนว เจ้าเอย
เรียบเรียงจาก : คองเขย : วิถีปฏิบัติของเขยภาคอีสาน โดย บุญชู ภูศรี
ฮีตใภ้ คองเขย : ข้อพึงปฏิบัติของใภ้และเขยอีสาน
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Tradition
- Hits: 8660
ถึงเดือนเมษายนทีไร พวกเราคนไทยก็จะมีความรื่นรมย์ นึกถึงแต่ความสนุกสนานใน "วันสงกรานต์" ซึ่งถือว่าเป็น วันปีใหม่ไทย คำว่า “สงกรานต์” ภาษาอังกฤษ : Songkran ซึ่งคำนี้มาจากภาษาสันสกฤต “सङ्क्रान्ति | saṃkrānti” (สงฺกฺรานฺติ) มีความหมายว่า ผ่านไป, ข้ามไป, ไปด้วยกัน, เชื่อมหรือร่วมกัน, เปลี่ยนไป, ส่งต่อไป, อพยพไป, เคลื่อนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ไทยเราเอามาเขียนเป็น “สงกรานต์” (ต การันต์ ไม่ใช่ ติ) ความหมายทางวิชาการคือ เวลาที่ดวงอาทิตย์ย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ ความหมายที่เข้าใจกันคือ “เทศกาลปีใหม่ไทย”
จริงๆ แล้ว "ประเพณีสงกรานต์" ไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทย ในประเทศแถบเอเซียนี้ล้วนมีประเพณีสงกรานต์กันทั้งนั้น เช่น ในกัมพูชาหรือเขมรเรียก : សង្រ្កាន្ត (สัง-คะ-แรน) หรือ ចូលឆ្នាំថ្ “โจล ชนัม ทะเมย” (Chaul Chnam Thmey) แปลว่า บุญขึ้นปีใหม่ ชาวกัมพูชาไม่ได้เล่นสาดน้ำกันเอิกเกริกอย่างในประเทศไทยหรือลาว ส่วน “เทศกาลน้ำ” ที่ชาวกัมพูชาฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ทั่วประเทศนั้น จะมีในช่วงปลายปี นั่นก็คือ เทศกาล "บุญอมตูก" เป็นประเพณีที่จัดขึ้นทุกปีในเดือนพฤศจิกายน เพื่อระลึกถึงการสิ้นสุดของฤดูฝน (ในปี พ.ศ. 2566 เขมรพยายามเคลมว่า ประเพณีสงกรานต์ต้นกำเนิดมาจากเขมร มีสลักในกำแพงนครวัด พากันลืมชื่อ “โจล ชนัม ทะเมย” ไปแล้ว ว่าซั่น)
ในพม่าเรียก : သင်္ကြန် (ตะจาน หรือ ทิง-ยาน) หรือ Thingyan มาจากภาษาบาลีคำว่า “สงกรานต์” ใน สปป.ลาว เรียกว่า : ສົງການ, ປີໃໝ່ລາວ, ບຸນຫົດນໍ້າ (สงกาน, ปีใหม่ลาว, บุญหดน้ำ) ในประเทศจีนเรียกว่า : 泼水节 (โพ-ชุ่ย-เจี่ย) ชาวไทลื้อ ชาวสิบสองปันนา นั้นอาศัยอยู่ในมณฑลยูนนาน ทางตอนใต้ของประเทศจีน ที่นี่จัดงานสงกรานต์ประมาณวันที่ 13-15 เมษายน จุดเด่นของสงกรานต์ที่นี่คือ การแข่งขันเรือมังกร และขบวนเต้นรำนกยูง ทุกๆ ปีจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากหลั่งไหลเข้าร่วมงาน เพราะยังคงอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณี และสิ่งแวดล้อมไว้ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญบางบ้านแถบนี้ยังพูดภาษาไทยได้อีกด้วย และยังมีประเพณีสงกรานต์อีก ทางตะวันออกของประเทศอินเดีย ซึ่งสันนิษฐานว่า ได้รับอิทธิพลมาจาก เทศกาลโฮลี (होली) ในอินเดีย แต่เทศกาลโฮลีจะใช้การสาดผงสีที่ได้จากพืชพรรณในธรรมชาติ แทนการสาดน้ำ ซึ่งเริ่มในทุกวันแรม 1 ค่ำเดือน 4 คือ ในเดือนมีนาคม
"สงกรานต์" เป็นคำสันสกฤต หมายถึง "การเคลื่อนย้าย" ซึ่งเป็นการอุปมาถึงการเคลื่อนย้ายของการประทับในจักรราศี คือการเคลื่อนขึ้นปีใหม่ในความเชื่อของไทย และในบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดิมวันที่จัดเทศกาลสงกรานต์จะกำหนดโดยการคำนวณทางดาราศาสตร์จากพราหมณ์หรือโหรในราชสำนัก แต่ปัจจุบันนี้เพื่อความสะดวกได้ระบุแน่นอนว่า เป็นวันที่ 13 ถึง 15 เมษายน ของทุกปี
สงกรานต์เฉพาะในภาคอีสาน นิยมจัดกันอย่างเรียบง่าย แต่ว่ามากไปด้วยความอบอุ่น โดยคนอีสานจะเรียกประเพณีสงกรานต์ว่า "บุญเดือนห้า" หรือ "ตรุษสงกรานต์" บางพื้นที่จะเรียกว่า “บุญเนา” และจะถือฤกษ์ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 เวลาบ่าย 3 โมง เป็นเวลาเริ่มงาน โดยพระสงฆ์จะตีกลองโฮมเปิดศักราช จากนั้นญาติโยมจะจัดเตรียมน้ำอบ น้ำหอม หาบไปรวมกันที่ศาลาวัด เพื่อสรงน้ำพระพุทธรูป แล้วต่อด้วยการรดน้ำดำหัว ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติผู้ใหญ่ เพื่อขอขมาลาโทษ จากนั้นก็จะเป็นการเล่นสาดน้ำสงกรานต์กันอย่างสนุกสนาน
ในแต่ละปีทาง กระทรวงวัฒนธรรม จะได้เผยแพร่ "ประกาศสงกรานต์" ของ ฝ่ายโหรพราหมณ์ กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง ให้ประชาชนได้ทราบและจะปรากฏชื่อ "นางสงกรานต์" แต่ละปีไม่ซ้ำกัน ทำให้หลายคนอยากทราบถึงที่มาของ "นางสงกรานต์" หรือทาง สปป.ลาว เรียกว่า "นางสังขานต์" หรือ "นางสังขาร" หรือ "นางสังขาน" หรือเขียนแบบอักษรลาวว่า "ນາງສັງຂານ" ว่าเป็นมาอย่างไร มีใครกันบ้าง?
ตำนานนางสงกรานต์
ตามจารึกที่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กล่าวตามพระบาลีฝ่ายรามัญว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่ง รวยทรัพย์แต่อาภัพนักไม่มีบุตร ตั้งบ้านอยู่ใกล้กับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน วันหนึ่งนักเลงสุราต่อว่าเศรษฐีว่ารวยนักแต่ไร้ทายาทสืบสกุล น่าเสียดายนัก จนกระทั่งเศรษฐีน้อยใจ จึงได้ไปบวงสรวงต่อพระอาทิตย์ พระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานอยู่นานกว่าสามปี ก็ไร้วี่แววที่จะมีบุตรสักที
จนกระทั่งวันหนึ่ง พอถึงช่วงที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีได้พาบริวารไปยังต้นไทรริมแม่น้ำ พอถึงก็ได้เอาข้าวสารลงล้างในน้ำเจ็ดครั้ง แล้วหุงบูชาพร้อมกับได้กล่าวอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาที่สถิตในต้นไทรนั้น รุกขเทวดามีความเห็นใจเศรษฐี จึงเหาะไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ ไม่ช้าพระอินทร์ก็มีเมตตาประทานให้เทพบุตรองค์หนึ่งนามว่า "ธรรมบาล" ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี ไม่ช้าก็คลอดออกมา เศรษฐีตั้งชื่อให้กุมารน้อยนี้ว่า ธรรมบาลกุมาร และได้ปลูกปราสาทไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัย
ต่อมาเมื่อธรรมบาลกุมารเจริญวัยเติบโตขึ้น ก็ได้เรียนรู้ซึ่ง "ภาษานก" และเรียนคัมภีร์ "ไตรเภท" จบเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ จนเขาได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่างๆ แก่คนทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวกบิลพรหม ได้รู้ข่าวจึงลงมาถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ ถ้าธรรมบาลกุมารตอบได้ก็จะตัดเศียรตนเองบูชาแก่ธรรมบาลกุมาร แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ท้าวกบิลพรหม ได้ถาม ธรรมบาลกุมาร ว่า
ตอนเช้า 'ศรี' อยู่ที่ไหน ตอนเที่ยง 'ศรี' อยู่ที่ไหน และตอนค่ำ 'ศรี' อยู่ที่ไหน "
เมื่อได้ฟังคำถามดังนั้น ธรรมบาลกุมาร ก็ไม่สามารถตอบได้ในทันที จึงขอผัดผ่อนกับ ท้าวกบิลพรหม เป็นเวลา 7 วัน ระหว่างนั้น ธรรมบาลกุมาร ก็พยายามคิดค้นหาคำตอบ จนล่วงเข้าวันที่ 6 ธรรมบาลกุมารก็ลงจากปราสาทมานอนอยู่ใต้ต้นตาล โดยคิดว่า หากไม่สามารถตอบปัญหานี้ได้ ก็ขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาของท้าวกบิลพรหม
นับเป็นโชคดีที่ธรรมบาลกุมารสามารถฟังภาษานกได้ และบังเอิญบนต้นไม้นั้นมีนกอินทรี 2 ตัวผัวเมียเกาะทำรังอยู่ นางนกอินทรีถามสามีว่า "พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารแห่งใด" สามีตอบนางนกว่า "เราจะไปกินศพธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย ด้วยแก้ปัญหาไม่ได้" นางนกจึงถามว่า "คำถามที่ท้าวกบิลพรหมถามคืออะไร" สามีก็เล่าให้ฟัง ซึ่งนางนกก็ไม่สามารถตอบได้เช่นกัน สามีจึงเฉลยว่า
ตอนเช้า 'ศรี' จะอยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุกๆ เช้า ตอนเที่ยง 'ศรี' จะอยู่ที่อก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็น 'ศรี' จะอยู่ที่เท้า คนจึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน "
ธรรมบาลกุมาร ก็ได้ทราบเรื่องที่นกอินทรีคุยกันตลอด จึงจดจำไว้ ครั้นรุ่งขึ้น ท้าวกบิลพรหม ก็มาตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการ ธรรมบาลกุมาร จึงนำคำตอบที่ได้ยินจากนกไปตอบกับท้าวกบิลพรหม
ท้าวกบิลพรหม ได้คำตอบเช่นนั้น จึงตรัสเรียกธิดาทั้งเจ็ด อันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่า "เราจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร ถ้าจะตั้งไว้ยังแผ่นดิน ไฟก็จะไหม้โลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งในมหาสมุทร น้ำทะเลก็จะเหือดแห้ง"
ด้วยเหตุนี้ ท้าวกบิลพรหม จึงมอบหมายให้ธิดาทั้ง 7 ผลัดเวรกันนำพานมารองรับเศียร โดยให้นางทุงษะ ผู้เป็นธิดาองค์โต เป็นผู้เริ่มต้นก่อน จากนั้น นางทุงษะก็อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วเก็บรักษาไว้ในถ้ำคันธุลี ในเขาไกรลาศ และเมื่อครบกำหนด 365 วัน ซึ่งโลกสมมุติว่าเป็นปีหนึ่ง เวียนมาถึงวันมหาสงกรานต์ เทพธิดาทั้ง 7 ก็จะทรงพาหนะของตน ผลัดเวรกันมาเชิญ พระเศียรของบิดา ออกแห่ ทำเช่นนี้ทุกๆ ปี และเนื่องจากเทพธิดาทั้ง 7 ปรากฏตัวใน วันมหาสงกรานต์ เป็นประจำ จึงได้ชื่อว่า "นางสงกรานต์" ส่วนท้าวกบิลพรหมนั้น โดยนัยก็หมายถึง พระอาทิตย์ เพราะคำว่า กบิล หมายถึง สีแดง
ทั้งนี้ ในแต่ละปี นางสงกรานต์ แต่ละนางจะทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันตามวันมหาสงกรานต์ และจะมีนาม อาหาร อาวุธ สัตว์ที่เป็นพาหนะต่างๆ กัน ดังนี้
นางทุงษะเทวี
ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์จะมีนามว่า ทุงษะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันอาทิตย์ นางสงกรานต์ชื่อ นางแพงศรี
คำทำนาย : ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันมหาสงกรานต์ ปีนั้นพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่สู้จะงอกงามนัก ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันเนา ข้าวจะตายฝอย คนต่างด้าวจะเข้าเมืองมาก ท้าวพระยาจะร้อนใจ ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันเถลิงศก พระมหากษัตริย์จะมีพระบรมเดชานุภาพ ปราบศัตรูได้ทั่วทุกทิศ
นางโคราคะเทวี
ถ้าวันจันทร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์จะมีนามว่า โคราคะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดา ภักษาหารเตลัง (น้ำมัน) พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังพยัคฆ์ (เสือ) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันจันทร์ นางสงกรานต์ชื่อ นางมโนรา
คำทำนาย : ถ้าวันจันทร์เป็นวันมหาสงกรานต์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนคุณหญิง คุณนายทั้งหลายจะเรืองอำนาจ ถ้าวันจันทร์เป็นวันเนา มักเกิดความไข้ต่างๆ และเกลือจะแพง นางพญาจะร้อนใจ ถ้าวันจันทร์เป็นวันเถลิงศก พระราชินีและท้าวนางฝ่ายในจะมีความสุขสำราญ
นางรากษสเทวี
ถ้าวันอังคารเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์จะมีนามว่า รากษสเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังวราหะ (หมู) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันอังคาร นางสงกรานต์ชื่อ นางรากษสเทวี (เช่นกัน)
คำทำนาย : ถ้าวันอังคารเป็นวันมหาสงกรานต์ โจรผู้ร้ายจะชุกชุม จะเกิดการเจ็บไข้ร้ายแรง แต่ถ้าวันอังคารเป็นวันเนา ผลหมากรากไม้จะแพง ถ้าวันอังคารเป็นวันเถลิงศก ข้าราชการทุกหมู่เหล่าจะมีความสุข มีชัยชนะแก่ศัตรูหมู่พาล
นางมณฑาเทวี
ถ้าวันพุธเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์จะมีนามว่า มณฑาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจำปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเข็ม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (ลา) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันพุธ นางสงกรานต์ชื่อ นางมันทะ
คำทำนาย : ถ้าวันพุธเป็นวันมหาสงกรานต์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะได้รับการยกย่องจากต่างประเทศ ถ้าวันพุธเป็นวันเนา ข้าวปลาอาหารจะแพง แม่หม้ายจะพลัดที่อยู่ ถ้าวันพุธเป็นวันเถลิงศก บรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตจะมีความสุขสำราญ
นางกิริณีเทวี
ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์จะมีนามว่า กิริณีเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา พระหัตถ์ขวาทรงขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบนหลังคชสาร (ช้าง) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันพฤหัส นางสงกรานต์ชื่อ นางกัญญาเทพ
คำทำนาย : ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันมหาสงกรานต์ ผู้น้อยจะแพ้ผู้เป็นใหญ่ และเจ้านาย ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันเนา ผลไม้จะแพง ราชตระกูลจะมีความร้อนใจ ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันเถลิงศก สมณชีพราหมณ์จะปฏิบัติกรณียกิจอันดีงาม
นางกิมิทาเทวี
ถ้าวันศุกร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์จะมีนามว่า กิมิทาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (ควาย) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันศุกร์ นางสงกรานต์ชื่อ นางริญโท
คำทำนาย : ถ้าวันศุกร์เป็นวันมหาสงกรานต์ พืชพันธุ์ธัญญาหารจะอุดมสมบูรณ์ ฝนชุก พายุพัดแรง ผู้คนจะเป็นโรคตาและเจ็บไข้กันมาก ถ้าวันศุกร์เป็นวันเนา พริกจะแพง แร้งกาจะเป็นโรค สัตว์ป่าจะเป็นอันตราย แม่หม้ายจะมีลาภ ถ้าวันศุกร์เป็นวันเถลิงศก พ่อค้าคหบดีจะทำมาค้าขึ้น มีผลกำไรมาก
นางมโหธรเทวี
ถ้าวันเสาร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์จะมีนามว่า มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทรายพระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันเสาร์ นางสงกรานต์ชื่อ นางสามาเทวี
คำทำนาย : ถ้าวันเสาร์เป็นวันมหาสงกรานต์ โจรผู้ร้ายจะชุกชุม จะเกิดการเจ็บไข้ร้ายแรง ถ้าวันเสาร์เป็นวันเนา ข้าวปลาจะแพง ข้าวจะได้น้อย ผลไม้จะแพง น้ำน้อย จะเกิดเพลิงกลางเมือง ขุนนางจะต้องโทษ ถ้าวันเสาร์เป็นวันเถลิงศก บรรดาทหารทั้งปวงจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู
อนึ่ง ท่าทางของนางสงกรานต์ จะกำหนดตามเวลาที่ 'พระอาทิตย์' ย้ายเข้าสู่ราศีเมษ หรือ 'เวลามหาสงกรานต์' ตามที่คำนวณได้ ซึ่งเกณฑ์ในการกำหนดท่าทางของนางสงกรานต์เป็นดังนี้
- ถ้าเวลามหาสงกรานต์เป็นเวลารุ่งสางถึงเที่ยง (06:00 น. - 11:59 น.) นางสงกรานต์ยืนมา
- ถ้าเวลามหาสงกรานต์เป็นเวลาเที่ยงถึงเย็น (12:00 น. - 17:59 น.) นางสงกรานต์นั่งมา
- ถ้าเวลามหาสงกรานต์เป็นเวลาค่ำถึงเที่ยงคืน (18:00 น. - 23:59 น.) นางสงกรานต์นอนลืมตามา
- ถ้าเวลามหาสงกรานต์เป็นเวลาเที่ยงคืนถึงเช้ามืด (00:00 น. - 05:59 น.) นางสงกรานต์นอนหลับตามา
ข้อมูลทั้งหมดดังกล่าวนี้ จะมีระบุในประกาศสงกรานต์ทุกปีเสมอ อย่างไรก็ตาม ยังมีคำทำนายนางสงกรานต์ ที่ทำนายตามความเชื่อเกี่ยวกับอิริยาบถของนางสงกรานต์ไว้อีก ดังนี้
- ถ้านางสงกรานต์ ยืนมา จะเกิดความเดือดร้อนเจ็บไข้
- ถ้านางสงกรานต์ นั่งมา จะเกิดความเจ็บไข้ ผู้คนล้มตายและเกิดเหตุเภทภัยต่างๆ
- ถ้านางสงกรานต์ นอนลืมตา ประชาชนจะอยู่เย็นเป็นสุข
- ถ้านางสงกรานต์ นอนหลับตา พระมหากษัตริย์จะเจริญรุ่งเรืองดี
ขอขอบคุณ : ภาพประกอบนางสงกรานต์จาก กระทรวงวัฒนธรรม
กิจกรรมในวันสงกรานต์
ตามประเพณีไทยดั้งเดิมนั้น เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์เวียนมาถึง ชาวไทยจะมีกิจกรรมสำคัญที่กระทำกันดังนี้
- การทำบุญตักบาตร ถือว่าเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลให้แก่ตนเอง และอุทิศส่วนกุศลนั้นแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว การทำบุญแบบนี้มักจะเตรียมการไว้ล่วงหน้า นำอาหารไปตักบาตรถวายพระภิกษุที่ศาลาวัด ซึ่งจัดเป็นที่รวมสำหรับทำบุญ ในวันนี้หลังจากที่ได้ทำบุญเสร็จแล้ว ก็จะมีการก่อพระทรายอันเป็นประเพณีด้วย
- การนำทรายเข้าวัด ทางภาคเหนือนิยมขนทรายเข้าวัดเพื่อเป็นนิมิตโชคลาภ ให้มีความสุขความเจริญ เงินทองไหลมาเทมาดุจทรายที่ขนเข้าวัด แต่ในอีสานบางท้องที่ มีความเชื่อกันว่า ตลอดทั้งปีเมื่อเราเข้าไปทำกิจกรรมต่างๆ ภายในวัด ก็จะมีการนำเอาทราย(ที่ติดเท้า)ออกจากวัดไปถือว่าเป็นบาป จึงมีการขนทรายเข้าวัดเป็นการทดแทนในวันสงกรานต์เพื่อไม่ให้เป็นบาป เมื่อได้ทรายมาก็จะทำการ ก่อเจดีย์ทราย เป็นรูปร่างคล้ายกับเจดีย์ แล้วประดับด้วยดอกไม้ ธงทิว หรือธุง ทุง ตุงต่างๆ สวยงาม
- บังสุกุลอัฐิ เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับ เป็นการรดน้ำ ขอขมากระดูกญาติผู้ใหญ่ที่ตายแล้ว แล้วนิมนต์พระไปบังสุกุล
- การสรงน้ำพระ จะรดน้ำพระพุทธรูปที่อยู่ประจำในแต่ละบ้านและพระพุทธรูปสำคัญที่วัด และบางที่ก็จัดให้มี การสรงน้ำพระสงฆ์ ด้วย ทางอีสานเรียก กองฮด เป็นพิธีสรงน้ำหรือรินน้ำแก่พระสงฆ์ ซึ่งเป็นรูปแบบประเพณีที่เก่าแก่ของผู้คนในแถบอีสาน เป็นกิจกรรมที่ชาวบ้านจัดขึ้น เพื่อยกย่องพระรูปใดรูปหนึ่งที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ยกย่องพระดีมีคุณธรรม มีความสามารถในชุมชนขึ้นเป็น สำเร็จ ซา คู ฯลฯ เป็นการทำพิธีเถราภิเษกมอบถวายสมณศักดิ์กันในระดับชาวบ้าน โดยชาวบ้าน
- การรดน้ำ ถือเป็นการอวยพรปีใหม่ให้กันและกัน น้ำที่รดมักใช้น้ำหอมเจือด้วยน้ำธรรมดา การดำหัว จุดประสงค์คล้ายกับการรดน้ำทางภาคกลาง พบเห็นได้ทางภาคเหนือ การดำหัวทำเพื่อแสดงเราเคารพนับถือต่อพระ, ผู้สูงอายุ คือการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินท่านไปแล้ว หรือ การขอพรปีใหม่จากผู้ใหญ่ ของที่ใช้ในการดำหัวส่วนมากมีอาภรณ์ มะพร้าว กล้วย ส้มป่อยเทียนและดอกไม้
- การรดน้ำผู้ใหญ่ คือการไปอวยพรให้ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ครูบาอาจารย์ ท่านผู้ใหญ่มักจะนั่งลงแล้วผู้ที่รดก็จะเอาน้ำหอมเจือกับน้ำรดที่มือท่าน ท่านจะให้ศีลให้พรผู้ที่ไปรด ถ้าเป็นพระก็จะนำผ้าสบงไปถวายให้ท่านผลัดเปลี่ยนด้วย หากเป็นฆราวาสก็จะหาผ้าถุง ผ้าขาวม้าไปให้
- การปล่อยนกปล่อยปลา ถือเป็นการล้างบาปที่ทำไว้ เป็นการสะเดาะเคราะห์ร้ายให้มีแต่ความสุขความสบายในวันขึ้นปีใหม่ (ในสมัยปัจจุบัน ผู้เขียนคิดว่า น่าจะเป็นการทำบาปมากกว่าบุญ นก ปลา ล้วนมีอิสระอยู่ในป่า ในน้ำ ใยต้องถูกจับขังมาให้คนปล่อย ทรมานสัตว์เปล่าๆ มากกว่า)
สงกรานต์ เป็นประเพณีที่งดงามมากมายมาเนิ่นนาน แต่พอมายุคเศรษฐกิจหาเงินจากการท่องเที่ยว "ประเพณีอันดีงามของไทย" ทั้งหลายก็ถูกกระทำให้บิดเบี้ยวเพื่อรับใช้เงินตรา อ้างส่งเสริมการท่องเที่ยวบังหน้า ทำลายประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามไปเสียสิ้น จาก ความรัก ความห่วงหาอาทร กลายเป็น มหาสงครามสาดน้ำ ดังที่เห็น ต้องขอบคุณ "ไวรัสโควิด-19" ที่ทำให้ประเพณีอันดีงามกลับมาได้อีกครั้งหนึ่ง