99/169 Sarin7 UBN 34190 081 878 3521 This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
  • ธรรมะในดินแดนอีสาน

    พุทธศาสนา : เผยแผ่ เบ่งบาน งดงามในดินแดนอีสาน

  • เที่ยวงานแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี

    ชมความงามวิจิตรอุบลราชธานีแสงสีตระการตา และงานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี

  • เที่ยวนครพนม

    เที่ยวนครพนมชมความงดงามริมแม่น้ำโขง ไหลเรือไฟในวันออกพรรษา

  • ธรรมชาติงดงามบนภูกระดึง

    ความสุขที่คุณเดินได้ให้จดจำว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตเราเคยพิชิตภูกระดึง

  • สามพันโบก

    รุ่งอรุณ ณ สามพันโบก มหัศจรรย์ลานหินกลางลำน้ำโขง

  • รุ่งอรุณ ณ ผาแต้ม

    ตะวันขึ้นก่อนใครในสยามประเทศ @ผาแต้ม อุบลราชธานี

  • เขาใหญ่

    ไปเที่ยวชื่นชมธรรมชาติมรดกโลก @อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นครราชสีมา

  • ผามออีแดง

    ปลายฝนต้นหนาวไปชมทะเลหมอก @ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ

  • อีสานธรรมชาติสวยงามหลากหลาย

    ภาคอีสานมีธรรมชาติสวยงาม น้ำตก เสาหิน และมหัศจรรย์ธรรมชาติกุ้งเดินขบวน

  • ออกพรรษามาแห่ปราสาทผึ้ง

    ออกพรรษาเชิญมาเที่ยวสกลนคร ชมขบวนแห่ปราสาทผึ้งอันงดงาม

: Our Sponsor

adv200x300 2

: Our Fanpage

: My Web Site

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail

เหล้าสาโทและเหล้าอุ

Sura header

เมื่อสองวันก่อน ผู้ข้าอาวทิดหมู มักหม่วน ได้ไปเอาบุญไปเยี่ยมยามพี่น้องทางนาแกนครพนม ได้พบพ้อสังสรรค์กินดื่มกับอ้ายน้องทางนั้นจนฮอดเดิกดื่น เมาปี้นเลยพี่น้องด้วย 'เหล้าอุ' หวานๆ ดูดด้วยหลอดดูดท่อไม้ไผ่ซาง น้ำหวานเบิดกะเติมน้ำเปล่าลงไปเขย่าๆ แล้วกะหวานจ้วยๆ คือเก่า เพราะน้ำที่เติมลงไปจะไปละลายน้ำตาลออกจากข้าว น้ำสองจะมีรสชาติเจือจางลงนิดหนึ่ง แต่ยังมีน้ำตาลและยีสต์เหลืออยู่ พอที่จะหมักให้แอลกอฮอล์ได้อีก และอาจเติมได้ถึงน้ำสามไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจืด

ตื่นเซ้ามาหลานชายมาถามว่า "ลุงคือเมาคักแท้มื้อคืนนี้ ฮ้องลำทำเพลงม่วนกว่าหมู่ บ่เคยพ้อเหล้าอุหวานๆ ตี้..." อือม์ ข้าน้อยเมาเสียหมาปานนั้นติ โอยน้อ! กะบ่เคยกินเหล้าวานจ้วยๆ ปานนี้น้อ กระท่อมน้อยฮิมมูลอาวทิดหมูกะมีแต่เหล้าโทบ่ส้ม กะขมแป๋ตาย ดนๆ จั่งสิใส่แป้งได้หวานๆ จักเถื่อ กะเลยได้โอกาสไปสนทนากับพ่อลุงผู้เป็นผู้ชำนาญในการเฮ็ดเหล้าหวานๆ ที่มีชื่อเรียกกันในแถบนี้ว่า "เหล้าอุ"

Sura U Nakonpanom

ความต่างระหว่างเหล้าสาโทและเหล้าอุ

เหล้าอุ และ เหล้าสาโท ต่างก็เป็นสุราแช่ที่ทำจากข้าว โดยมีความคล้ายคลึงกันในกระบวนการผลิตและวัตถุดิบหลัก แต่มีความแตกต่างที่สำคัญคือ เหล้าอุมีส่วนผสมของแกลบข้าวและรำข้าว ซึ่งให้สีเหลือง และมีกลิ่นหอมของข้าวเปลือก ในขณะที่ สาโทจะไม่มีส่วนผสมของแกลบ ทำให้มีสีขาวขุ่น และรสชาติหวานอมเปรี้ยวเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ เหล้าอุ เป็นที่รู้จักในฐานะ เครื่องดื่มต้อนรับแขกของชาวภูไท ในอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม 

เหล้าอุ :
  • ส่วนประกอบ: หมักจากข้าวเหนียว แกลบ รำข้าว และแป้งเหล้าผสมสมุนไพรต่างๆ
  • ลักษณะ: มีสีเหลืองจากแกลบข้าว มีกลิ่นหอมของข้าวเปลือก
  • ที่มา: เป็นภูมิปัญญาของชาวภูไท โดยเฉพาะที่อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม
สาโท :
  • ส่วนประกอบ: ทำจากข้าว (มักเป็นข้าวเหนียว) หมักกับลูกแป้งที่ให้เชื้อราและยีสต์ตามธรรมชาติ
  • ลักษณะ: เป็นของเหลวขุ่น สีขาวขุ่น รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย คล้ายไวน์ข้าว
กระบวนการทำ (โดยทั่วไป)

ทั้ง เหล้าอุ และ เหล้าสาโท ต่างก็ใช้วิธีการหมักข้าวเหนียวกับลูกแป้งในไหเหมือนๆ กัน

เหล้าสาโทประกอบด้วยเชื้อราและยีสต์ เป็นสุราหมักที่นิยมในภาคเหนือและอีสาน มีลักษณะเป็นของเหลวขุ่นรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย คล้ายไวน์ข้าวนิยมใช้ข้าวเหนียวนึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก จากนั้นหมักกับลูกแป้งซึ่งมีเชื้อราและยีสต์ตามธรรมชาติ กระบวนการนี้ เปลี่ยนแป้งในข้าวให้กลายเป็นน้ำตาลและแอลกอฮอล์ โดยปริมาณแอลล์กอฮอล์จะอยู่ที่ 5-12 % ดีกรี มีทั้งแบบพาสเจอร์ไรซ์และสาโทสด

ส่วนแป้งเหล้าสำหรับอุจะมีการผสมสมุนไพร และรากไม้ต่างๆ เพื่อให้ได้รสชาติและสรรพคุณตามต้องการ หลังจากหมักในไหแล้ว จะเติมน้ำเพื่อให้สามารถดื่มได้

lao u

เหล้าอุ เป็นเครื่องดื่มมึนเมาที่มีรสชาติหวานกลมกล่อม มีดีกรีอยู่ที่ 5–10 ดีกรี มีกรรมวิธีทำโดยหมักข้าวเหนียวและแป้งเหล้าในไห โดยแป้งเหล้าจะใช้ส่วนผสมอย่าง ข่า พริกแห้ง อ้อยสามสวน (สมุนไพรชนิดหนึ่งที่เปลือกมีรสหวาน) แป้งข้าวเหนียวและข้าวเจ้าผสมกัน รวมทั้งรากไม้ทั้งสี่ชนิด คือ รากตดหมูตดหมา รากประสงค์ รากต้นหมาก และรากมะพร้าวไฟ บดให้รวมเข้ากันได้ดี แล้วนำข้าวเหนียวและข้าวเจ้าที่ผสมกันอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ไปคลุกเคล้ากับส่วนผสมที่บดแล้ว อัตราส่วน 1 ส่วนต่อข้าวเหนียวข้าวเจ้า 2 ส่วน จากนั้นใส่น้ำเล็กน้อยและปั้นให้เป็นก้อน เสร็จแล้วนำก้อนแป้งไปวางบนภาชนะแบนที่รองด้วยแกลบข้าว สุดท้ายนำเหล้าขาวพรมให้ทั่วและปิดด้วยผ้าขาวบาง 1 คืน รุ่งขึ้นนำไปตากแดดให้แห้ง เป็นอันเสร็จสิ้นพร้อมที่จะไปผ่านกระบวนการหมักเป็นเหล้า

Sura U kongfag

ในการหมักเหล้าอุนั้น จะต้องนำข้าวเหนียวผสมแกลบ อัตราส่วน 4 ต่อ 6 ใน 10 ส่วน แล้วนำไปล้างน้ำให้สะอาด และแช่น้ำค้างคืนไว้ก่อนที่จะนำไปหุงให้สุก ก่อนจะนำไปผึ่งลมให้เย็น และไปคลุกเคล้ากับแป้งเหล้าที่ตำให้แหลก พอผสมกันได้ที่แล้วก็หมักไว้ในถุงหรือไห ประมาณ 2–3 วัน ให้ออกกลิ่นเหล้า แล้วนำไปหมักในไหสะอาด ปิดไหด้วยใบตองแห้งพับ และขี้เถ้าผสมน้ำ เก็บไว้อีก 7–15 วัน เปิดออกและเติมน้ำลงไปก็พร้อมรับประทานทันที โดยจะใช้ไม้กระแสนเจาะรูเพื่อดื่มเหล้าอุ

เหล้าอุมีชื่อเรียกอีกหนึ่งชื่อว่า “ช้าง” สอดคล้องกับประเพณี “พิธีชนช้างเรณูนคร” เป็นประเพณีการเลี้ยงแขกด้วย เหล้าอุ หรือที่เรียกว่า “เหล้าช้างเรณูนคร” พิธีนี้จะเริ่มด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมของชาวภูไทเมืองเรณูนคร และปิดท้ายด้วยการ “ชนช้าง” ที่จะให้ชายและหญิงแข่งกันดูดเหล้าอุจากไห แข่งกัน 3 ยก มีกติกาว่า ห้ามพ่นน้ำ ต้องจ้องตากัน หากผู้ใดถอนริมฝีปากก่อนจะเป็นฝ่ายแพ้ โดยประเพณีนี้เป็นสิ่งที่ชาวเรณูนครปฏิบัติสืบต่อกันมาเมื่อมีแขกบ้านแขกเมืองมาเยี่ยมเยียนที่ถิ่นของตน

Sura U puthai

การเลี้ยงต้อนรับผู้มาเยือน นับว่าเป็นสิ่งที่คนไทยปฏิบัติกันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการต้อนรับญาติสนิทมิตรสหายที่มาบ้านเรือนด้วยความเอื้อเฟื้อ หรือต้อนรับอาคันตุกะหรือแขกบ้านแขกเมืองของประเทศอย่างเป็นมิตร แสดงให้เห็นถึงนิสัยความโอบอ้อมอารีของคนไทยอย่างแท้จริง

ที่มา : นิตยสารศิลปวัฒนธรรม

Sato is

เหล้าสาโท หรือ น้ำขาว คือ สุราแช่ประเภทหนึ่ง ทำจากข้าวชนิดต่างๆ ที่ผ่านการหมักด้วยลูกแป้ง หรือเชื้อราและยีสต์ เพื่อเปลี่ยนแป้งในข้าวให้เป็นแอลกอฮอล์ โดยสาโทที่ผ่านกระบวนการหมักแล้วจะมีแรงแอลกอฮอล์ไม่เกิน 15 ดีกรี สาโทเป็นเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ชนิด ไวน์ข้าว (Rice Wine) ที่ไม่ผ่านกระบวนการกลั่น ถ้านำไปกลั่นก็จะได้เป็น เหล้าขาว นิยมผลิตกันในประเทศแถบภูมิภาคเอเชีย อาทิ จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น และไทย โดยจะมีชื่อเรียกต่างกันไป คือ ไป๋จิ่ว (Baijiu) ในประเทศจีน, โซจู (Soju) ในประเทศเกาหลี, โชจู (Shochu) ในประเทศญี่ปุ่น และในประเทศไทยโดยทั่วไปจะเรียกตามชื่อของเหล้าพื้นเมืองนั้น ๆ หรือเรียกสั้นๆ ว่า สุรากลั่น (สรถ.)

 

กระบวนการผลิตสาโท

เริ่มจากการนำข้าวเหนียวมาแช่น้ำและนึ่งให้สุก ปล่อยให้เย็น แล้วนำมาคลุกเคล้ากับผงลูกแป้ง (แป้งข้าวหมาก) ที่บดแล้ว (ซึ่งเป็นหัวเชื้อที่มีจุลินทรีย์ที่จะช่วยในการหมัก) ก่อนนำลงหมักในภาชนะปิดสนิท (มีช่องอากาศเล็กน้อย ชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้ "ไหซอง" แต่ต้องเป็นไหใหม่ที่ไม่เคยใช้บรรจุปราร้า หรือหน่อไม้ดองมาก่อน นัยว่าจะทำให้สาโทที่ได้เปรี้ยวมีกลิ่นแปลกๆ ด้วย) ยีสต์ในลูกแป้งทำให้เกิดการเปลี่ยนแป้งในข้าวเหนียวเป็นน้ำตาล และในขั้นตอนถัดไป จุลินทรีย์เหล่านี้จะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์ ส่งผลให้เกิดรสชาติที่หวานและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของข้าว การหมักใช้เวลานาน 20-35 วัน ก่อนแยกน้ำสาโทออกจากกากพร้อมดื่ม

Sura method

ในการหมักสาโท เมื่อหมักจนถึงวันที่ 5 หากรองชิมน้ำสาโทจะพบว่า น้ำสาโทมีความหวานมาก ซึ่งน้ำสาโทจะเริ่มหวานมาตั้งแต่วันที่ 3 ของการหมัก น้ำหวานสาโทในระยะนี้มักเรียกว่า “น้ำต้อย” มาจากคำว่า น้ำ ซึ่งหมายถึง น้ำหวานของสาโท ส่วนคำว่า ต้อย ในภาษาอีสานหมายถึง การจับต้อง ซึ่งน่าจะมีความหมายที่มาจาก น้ำหวานสาโทที่ชวนให้ใช้นิ้วมือจิ้มขึ้นมาชิม (การจิ้มลงในข้าวหมักคือ การต้อย) เมื่อมีรสที่ชอบจึงมักจะเปิดดื่มก่อน แทนที่จะปล่อยหมักให้น้ำหวานกลายเป็นน้ำสาโทที่มีแอลกอฮอล์

ในวันที่ 5-7 ของการหมัก ให้เปิดฝาหรือผ้าปิดออก พร้อมนำน้ำที่ต้ม และตั้งให้อุ่นเล็กน้อยหรือเย็นแล้วประมาณ 0.8 ลิตร หรือ 2 ขันครึ่ง เทใส่ภาชนะหมัก โดยค่อยรินใส่เบาๆ เพื่อไม่ให้ก้อนข้าวสาโทแตก ก่อนจะปิดฝา เรียกว่า การผ่าเหล้า และหมักทิ้งไว้อีก 2-5 อาทิตย์ ตามต้องการ แต่ทั่วไปจะหมักนานไม่เกิน 1 เดือน หรือ 1 เดือน กับ 5 วัน (รวมเวลาการหมักแล้วประมาณ 20-35 วัน) เพราะหากนานกว่านี้มักมีรสเปรี้ยวแล้ว

ทั้งนี้ ความหวาน ความเข้มข้นจะขึ้นอยู่กับปริมาณแป้งหรือน้ำตาลในข้าวว่ามีมากหรือน้อย หากแป้งหรือข้าวน้อย แต่หมักนานก็จะทำให้มีรสเปรี้ยว วิธีแก้ คือ เติมข้าวนึ่งเพิ่มหรือน้ำผลไม้หรือเติมน้ำตาล ก็จะเพิ่มการหมักนานขึ้นอีก ปริมาณแอลกอฮอล์ก็จะเพิ่ม และช่วยปรับปรุงรสได้อีกด้วย เพราะหากไม่เติมสิ่งเหล่านี้ และมีการหมักไว้นาน แอลกอฮอล์จะถูกยีสต์เปลี่ยนเป็นกรดอะซิติก (กลายเป็นน้ำส้มสายชู) ทำให้น้ำสาโทมีรสเปรี้ยวมากกว่าหวานหรือเปรี้ยวอมขม ไม่นิยมดื่ม ซึ่งในบรรดาผู้ชื่นชมความเมาจะไม่ทิ้งนะ แต่นำไปต้มกลั่นเอาแอลกอฮอล์มาเป็น สุราขาว(เถื่อน) หรือ สรถ. ที่มีดีกรีมากกว่า 50% ขึ้นไป บ้างก็ว่า ไสปานตาตั๊กแตน ซัดเข้าไปจอกเดียวมีเมาปลิ้น

Sura klan

ในประเทศไทยนั้น จะนิยมผลิตสาโทเพื่อเป็นเครื่องดื่มตามฤดูกาล (เช่น หน้าเก็บเกี่ยว เพื่อเป็นของกำนัลแด่เพื่อนที่ช่วยมาลงแขกช่วยงาน) หรือในเทศกาลงานบุญของหมู่บ้าน เช่น บุญบั้งไฟ งานเลี้ยงต่างๆ ซึ่งสาโทที่ผลิตจะมีรสหวาน เพราะกระบวนการหมักยังไม่สิ้นสุด และจะเก็บไว้ไม่ได้นาน แต่บางพื้นที่จะหมักจนน้ำใสและมีตะกอน ซึ่งจะได้แรงแอลกอฮอล์สูงขึ้นจนสามารถเก็บไว้ได้นานขึ้น หรือนำไปกลั่นเป็นเหล้าขาวนั่นเอง

ที่มาของคำว่า สรถ.

ในอดีตกาลของบรรพชนนั้น สมัยที่คนยังนับถือบรรดาภูติผีสาง วิญญาณ ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกระทำการผิดผี (ครรลอง คลองธรรม ความเชื่อของกลุ่มชน) ก็จะต้องมีการเซ่นไหว้บูชา หรือขอขมา แก้เคล็ด เพื่อให้เกิดความผาสุก ร่มเย็น ซึ่งมักจะมีพิธีกรรมแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่มีเหมือนๆ กันในบรรดาเครื่องเซ่นไหว้ คือ การใช้เหล้าต้มหรือสาโท  (สมัยก่อนยังไม่มีภาชนะขวดแก้ว หรือพลาสติก จึงใช้ไหบรรจุสุรา) และต้องมีพวกเนื้อสัตว์ด้วยหนึ่งอย่าง มักจะใช้ "ไก่" เพราะมีขนาดพอเหมาะ หาง่าย และเป็นสัตว์ที่มีเลี้ยงกันทั่วไปในครัวเรือน เครื่องเซ่นไหว้อาจจะมีอื่นๆ อีก แต่ที่มีร่วมขาดมิได้คือ "เหล้าไห-ไก่ตัว" 

ต่อมา ในปี พ.ศ. 2493 รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ออก พระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 ซึ่งมีข้อกำหนดให้มีการผลิตสุราและจำหน่ายต้องเสียภาษีให้กับรัฐบาล ห้ามมิให้ผู้ใดทำสุรา หรือมีเครื่องกลั่นสำหรับทำสุราไว้ในครอบครอง ห้ามมิให้ผู้ใดทำหรือขายเชื้อสุรา (แป้งหัวเชื้อ) เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมสรรพสามิต (รายละเอียดอ่านได้ตาม พรบ. ข้างต้น ที่ต่อมามีการแก้ไขปรับปรุงยกเลิก พรบ.เดิม มาเป็น พรบ.สุรา ปี 2560)

การทำเหล้าสาโท เหล้ากลั่นของชาวบ้านจึงเป็นสิ่งผิดกฏหมาย และเงื่อนไขการอนุญาตต่างๆ ก็ยุ่งยากมาก ชาวบ้านก็คงยังรักษาประเพณีวัฒนธรรมของตนเอง จึงมีการลักลอบทำเหล้าสาโท หรือเหล้าต้มกลั่นกันอยู่ ด้วยการหลบๆ ซ่อนๆ ทำ หลบเลี่ยงจากเจ้าพนักงานสรรพสามิตมาจับกลุม เหล้าที่ผลิตโดยชาวบ้านที่ไม่ได้ขออนุญาตเหล่านี้จึงกลายมามาเป็น สรถ. หรือ สุราเถื่อน มานับแต่บัดนั้น

Yai Kaomaak

สาโท กับข้าวหมาก ต่างกันอย่างไร

มีกรณีที่คุณยายท่านหนึ่งทำ "ข้าวหมาก" ไปจำหน่ายในตลาดนัด แล้วโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหาจับกุมว่า "ยายจำหน่ายสาโทผิดกฏหมายบ้านเมือง" จึงเกิดคำถามอื้ออึงต่อมาว่า "ข้าวหมากต่างกับสาโทอย่างไร?"

ข้าวหมากและสาโท มีลักษณะเหมือนกัน เพราะมีวิธีในการผลิตออกมาแบบเดียวกัน เพียงแต่ มีความแตกต่างกันที่สูตร ของ “ลูกแป้ง” ที่จะเอามาใช้หมัก ที่ทำให้ได้ปริมาณแอลกอฮอล์หรือดีกรีที่ต่างกัน

  • “ข้าวหมาก” คือ ขนมหวานชนิดหนึ่ง ที่ทำได้จากการนำข้าวเหนียวนึ่งมาหมักกับราและยีสต์  ในรูปของ “ลูกแป้ง” เพื่อให้ราและยีสต์เปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล หรือเป็นแอลกอฮอล์เล็กน้อย ข้าวที่หมักได้จะมีลักษณะยุ่ย นุ่ม มีรสหวาน และมีกลิ่นหอม หรือที่เรียกว่า ข้าวหมาก มีกระบวนการทำคือ จะใช้ข้าวเหนียวมาหุงเพื่อฆ่าเชื้อและนำมาหมักกับ “ลูกข้าวแป้ง” ซึ่งประกอบด้วย เชื้อราและยีสต์ โดนเชื้อราจะมีเอนไซม์เดียวกับน้ำลายของคน คือ เอนไซม์อะไมเลส ที่จะเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลกลูโคส ซึ่งให้พลังงานสูง ร่างกายสามารถใช้โดยไม่ต้องย่อย ส่วนยีสต์จะทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ ซึ่งสังเกตได้จากกลิ่นและการเกิดฟอง
  • สาโท” (Sato) หมายถึง สุราแช่ประเภทหนึ่ง ที่ได้จากการนำข้าวมาหมักด้วยราและยีสต์ ที่อยู่ในรูปของ ลูกแป้งมีกระบวนการทำที่เหมือนกับข้าวหมาก จะใช้ลูกแป้งเหมือนกัน แต่เป็นคนละสูตรกับข้าวหมาก โดย ใช้สูตรที่มียีสต์มากขึ้น หรือยีสต์สายพันธุ์ที่ช่วยเปลี่ยนแป้งในข้าวให้เป็นแอลกอฮอล์เร็วขึ้น เพราะหากจะทำสาโทขาย ถ้าใช้สูตรลูกแป้งแบบข้าวหมากต้องใช้เวลานาน กว่าจะได้แอลกอฮอล์สูง ดังนั้นสาโทจึงใช้สูตรลูกแป้งโดยเฉพาะ นอกจากใช้เวลาในการหมักสั้นลงแล้ว ยังช่วยให้ได้ปริมาณแอลกอฮอล์มาขึ้น เมื่อกรองเอาน้ำออกมาก็จะได้น้ำสาโทที่ปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกิน 15% แบบเดียวกับพวกไวน์ขาว ไวน์แดง  และหากเอาสาโทไปกลั่นก็จะได้เหล้าขายที่มีแอลกอฮอล์ 55-70%
  • น้ำข้าวหมากมีปริมาณแอลกอฮอล์ต่ำกว่าสาโท ซึ่งน้อยมากอาจไม่ถึง 0.5%  ส่วนปริมาณแอลกอฮอล์ของสาโทที่ผ่านการหมักแล้วจะเข้มข้น แต่ไม่เกิน 15 ดีกรี (แต่สำหรับข้าวหมากถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นานๆ ปริมาณแอลกอฮอล์ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่จะอย่างช้าๆ เพราะยีสต์ยังคงทำงาน)
  • สาโทจัดเป็นเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ชนิดไวน์ข้าว (Rice Wine) ที่ไม่ผ่านกระบวนการกลั่น ถ้านำไปกลั่นก็จะได้เป็นเหล้าขาว นิยมผลิตกันในประเทศแถบภูมิภาคเอเชีย อาทิ จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น และไทย โดยจะมีชื่อเรียกต่างกันไป

Kao maak

ข้าวหมาก ถือเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่มีส่วนผสมสำคัญจาก ลูกแป้งข้าวหมาก ซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่ผิดกฎหมายแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญ 8:6 ให้ถอดแป้งข้าวหมาก ออกจาก พ.ร.บ.สุราฯ ระบุละเมิดภูมิปัญญาชาวบ้าน และการประกอบอาชีพ ในกรณีของคุณยายแม่ค้าบุรีรัมย์ ที่โดนตำรวจจับจนเป็นข่าวเมื่อหลายปีก่อนนั้น “การตรวจจับมองว่าต้องตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ตรงนั้นเลยว่า เป็นน้ำข้าวหมากหรือสาโทกันแน่ ซึ่งปริมาณแอลกอฮอล์จะบอกได้ แต่หากมาตรวจตอนหลังแล้ว ปริมาณแอลกอฮอล์ของน้ำข้าวหมากย่อมเพิ่มแน่นอน ตรงนี้ก็จะไม่ยุติรรม เหมือนเวลาไปตรวจผับ ตรวจปัสสาวะก็ต้องตรวจเดี๋ยวนั้นเลย” ไม่ผิดนะคุณตำรวจไปอ่านกฏหมายให้ดีและทำให้ถูกต้องด้วย

lilred

backled1

isan word tip

ประตูสู่อีสานบ้านเฮา

IsanGate.com

ปณิธานของเรา :

"ชนชาติที่เป็นอารยะ ต้องมีรากเหง้า และที่มาอันยาวนาน ด้วยภาษาและขนบธรรมเนียมของตนเอง"

: Our Web Site.

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail
นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)