Bar Imageน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
  • ธรรมะในดินแดนอีสาน

    พุทธศาสนา : เผยแผ่ เบ่งบาน งดงามในดินแดนอีสาน

  • เที่ยวงานแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี

    ชมความงามวิจิตรอุบลราชธานีแสงสีตระการตา และงานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี

  • เที่ยวนครพนม

    เที่ยวนครพนมชมความงดงามริมแม่น้ำโขง ไหลเรือไฟในวันออกพรรษา

  • ธรรมชาติงดงามบนภูกระดึง

    ความสุขที่คุณเดินได้ให้จดจำว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตเราเคยพิชิตภูกระดึง

  • สามพันโบก

    รุ่งอรุณ ณ สามพันโบก มหัศจรรย์ลานหินกลางลำน้ำโขง

  • รุ่งอรุณ ณ ผาแต้ม

    ตะวันขึ้นก่อนใครในสยามประเทศ @ผาแต้ม อุบลราชธานี

  • เขาใหญ่

    ไปเที่ยวชื่นชมธรรมชาติมรดกโลก @อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นครราชสีมา

  • ผามออีแดง

    ปลายฝนต้นหนาวไปชมทะเลหมอก @ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ

  • อีสานธรรมชาติสวยงามหลากหลาย

    ภาคอีสานมีธรรมชาติสวยงาม น้ำตก เสาหิน และมหัศจรรย์ธรรมชาติกุ้งเดินขบวน

  • ออกพรรษามาแห่ปราสาทผึ้ง

    ออกพรรษาเชิญมาเที่ยวสกลนคร ชมขบวนแห่ปราสาทผึ้งอันงดงาม

: Our Sponsor

adv200x300 2

: Our Fanpage

: My Web Site

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail

ผลไม้หายากภาคอีสาน (3)

isan fruit

นำเสนอผลไม้อีสานหายากที่บางคนลืมเลือนไปในตอนที่แล้ว เกินความคาดหมายมากครับ แค่วันแรกมีคนคลิกเข้ามาอ่านมากกว่า 150 ครั้ง แล้วยังมีจดหมายก้อมส่งมาว่า "ขออีกๆๆ" เลยต้องจัดให้ตามคำขอเป็นตอนที่ 3 ใครมีข้อมูลเพิ่มเติมจะชี้แนะก็ช่วยบอกมานะขอรับ ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง

bug ngaew 2

บักแงว

บักแงว คือ ภาษาถิ่นที่ชาวอีสานใช้เรียก ผลของต้นคอแลน จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับต้นลิ้นจี่ ลำไย เงาะ ด้วยมีลักษณะคล้ายกับลิ้นจี่ คือ มีลักษณะรีถึงกลม เปลือกด้านนอกมีผิวขรุขระ เมื่อผลยังอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อผลแก่จัดจะออกเป็นสีแดงเข้ม ในขณะที่เนื้อด้านใน จะมีลักษณะขาวใสคล้ายเงาะ มีรสเปรี้ยวอมหวาน หรือ เปรี้ยวอย่างเดียว ขึ้นอยู่กับแต่ละต้น ทำให้ชาวบ้านเรียกมันอีกอย่างหนึ่งว่า ลิ้นจี่ป่า หรือลิ้นจี่อีสาน

บักแงว หรือ คอแลน ชื่อสามัญ Korlan ชื่อวิทยาศาสตร์ Nephelium hypoleucum Kurz จัดอยู่ในวงศ์เงาะ (SAPINDACEAE)

คอแลน มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า คอลัง กะเบน สังเครียดขอน (ภาคใต้), มะแงว มะแงะ หมักงาน บักแงว หมักแวว หมักแงว หมากแงว (ภาคตะวันออก), ลิ้นจี่ป่า (ภาคตะวันออกเฉียงใต้) เป็นต้น ผลไม้ชนิดนี้จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับลิ้นจี่ ลำไย เงาะ มามอนซีโย

คอแลน มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบตามธรรมชาติบริเวณป่าฝนในภูมิภาค และพบมีการเพาะปลูกบ้างในบางประเทศเช่น มาเลเซีย และไทย เป็นไม้ยืนต้นสูง เปลือกสีน้ำตาลคล้ำ เรียบ ใบเดี่ยวเรียงสลับ ออกเป็นช่อ ดอกออกปลายกิ่งหรือตามซอกใบ ไม่มีกลีบดอก ผลมีปุ่มปมหนาแน่น สีแดง เปลือกภายนอกมีลักษณะคล้ายกับลิ้นจี่แต่เนื้อข้างในคล้ายเงาะมีรสเปรี้ยว รับประทานได้ เมล็ดไม่สามารถรับประทานได้เนื่องจากแข็งและมีพิษ

ประโยชน์จากบักแงว
  • เนื้อไม้ต้นคอแลน มีสีแดงหรือสีน้ำตาลแดง เนื้อละเอียด มีความเหนียวและแข็ง ในประเทศไทยมักนำมาทำเครื่องใช้ทางการเกษตร เช่น คันไถ และด้ามจับเครื่องใช้ต่างๆ เนื้อไม้รสฝาด ยังใช้ปรุงเป็นยาห้ามเลือด
  • ผล ใช้เป็นยาช่วยการกระจายเลือด เปลือกใช้เป็นยาบำรุงเลือด ผลแก่ ใช้รับประทาน มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยทำให้ชุ่มคอ ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันไข้หวัด
  • ดอก จากไม้คอแลน ยังใช้เลี้ยงผึ้งได้ให้น้ำผึ้งแบบธรรมชาติ
สรรพคุณทางยาของคอแลน
  • ช่วยทำให้ชุ่มคอ ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและเพิ่มพลังงาน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด มันจึงเหมาะอย่างมากสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  • ช่วยเสริมสร้างสมาธิ แก้ปัญหาสมาธิสั้น ช่วยลดความเครียด ช่วยในการย่อยอาหาร ใช้เป็นยาระบาย ช่วยต่อสู้กับเชื้อหวัดและไวรัสไข้หวัดใหญ่

“บักแงว“ ผลไม้ในความทรงจำวัยเด็กของผู้เขียน ทุกวันนี้อาจจะหายากในบางพื้นที่ แต่ทางบ้านผู้เขียนยังพอมีการนำมาขายในตลาดตามอำเภอต่างๆ อยู่ พอนึกขึ้นมาแล้วน้ำลายแตกเลย!! ไม่ได้กินนานแล้ว เป็นผลไม้พื้นบ้านไทย ที่จะออกผลในฤดูร้อน มีนาคม-เมษายน บางคนเรียกชื่อ “คอแลน” หรือ “ลิ้นจี่ป่า” บางต้นก็เปรี้ยว บางต้นก็หวานอมเปรี้ยว เวลาสุกจะสีแดงๆ เต็มต้น กินกับพริกน้ำปลา อร่อยสุด สมัยเป็นเด็กน้อยไปเลี้ยงวัว-ควายในไร่ชายป่า แล้วหาเวลาปีนขึ้นไปกินบนต้นก็สนุกดีในวัยนั้น

bug ngaew 3

วิธีจัดการบักแงวให้อร่อยสุดของผมสมัยนั้น

  • แกะเอาเปลือกออก
  • นำไปใส่ในถ้วย เติมน้ำปลาแดก (ปลาร้า) และพริกป่น สำหรับคนไม่ค่อยชอบปลาร้าก็แช่ในพริกน้ำปลาหวาน (ใส่ผงชูรสด้วย แล้วแต่ชอบ)
  • คนๆ แล้วใช้ช้อนตักซด ดูดๆ คลายเม็ดทิ้ง (ถ้าใครเผลอกลืนไปนี่ จะทรมานตอนขับถ่ายนะจ๊ะ)
  • รอสักพัก วิ่งหาห้องสุขาอยู่หนใด สุดยอดยาระบายเลยล่ะ😆

bug toom ka

บักตูมกา

บักตูม, บักตูมกา หรือ มะตูม มีชื่อวิทยาศาสตร์ : Aegle marmelos (L.) Corr. ชื่อพ้อง : Belou marmelos (L.) Lyons, Bilacus marmelos (L.) Kuntze, Crateva marmelos L., Feronia pellucida ชื่อวงศ์ : Rutaceae

บักตูม มีชื่ออื่นๆ (ของพืชที่ให้เครื่องยา) เช่น มะปิน (เหนือ), กะทันตาเถร (ปัตตานี), ตูม(ใต้), บักตูม (อีสาน), ตุ่มตัง (ปัตตานี), พะโนงค์ (ព្នៅ = เขมร), มะตูม (กลาง), มะปีส่า (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) เป็นไม้ผลยืนต้นพื้นเมืองของอนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการเพาะปลูกทั่วไปในอินเดีย รวมทั้งในศรีลังกา แหลมมลายูตอนเหนือ เกาะชวา และฟิลิปปินส์ จัดเป็นพืชเพียงสปีชีส์เดียวที่อยู่ในสกุล Aegle

ไม้ศักดิ์สิทธิ์เทพเจ้า ไม้มงคลพระราชา

มะตูม เป็นสมุนไพรเก่าแก่ของอินเดีย ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของสมุนไพรชนิดนี้ เป็นไม้มงคลของศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระศิวะ (พระอิศวร) ด้วยใบมะตูมมีลักษณะเป็น 3 แฉก คล้ายตรีศูลของพระอิศวร เมื่อมีการบูชาพระศิวะจะต้องนำใบมะตูมมาถวายพร้อมกับท่องมนต์ หรือวางไว้ใต้ตำรา วัดฮินดูที่บูชาพระศิวะ นิยมปลูกต้นมะตูมไว้ ห้ามไม่ให้ตัดโค่น

ต้นมะตูม เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดชัยนาท ผู้ที่ได้รับทุนเล่าเรียนหลวงหรืองานสมรสพระราชทานจะได้รับพระราชทาน "ใบมะตูม" เพื่อเป็นสิริมงคล

สรรพคุณของมะตูม :

ตำรายาไทย : ผลอ่อน รสฝาดร้อนปร่าขื่น ฝานบางๆ สดหรือแห้ง ชงน้ำรับประทานแก้ท้องเสีย  แก้บิด แก้โรคกระเพาะอาหาร ฝาดสมาน เจริญอาหาร เป็นยาธาตุ แก้ธาตุพิการ ขับผายลม บำรุงกำลัง และรักษาโรคลำไส้เรื้อรังในเด็ก ผลแก่ที่ยังไม่สุก รสฝาดหวาน แก้บิด แก้เสมหะ แก้ลม บำรุงไฟธาตุ ช่วยย่อยอาหาร ผลแก่สุก ทุบให้เปลือกแตกต้มทั้งลูกกับน้ำตาลแดง เป็นยาระบายท้อง เหมาะกับผู้สูงอายุหรือผู้ที่ท้องผูกเป็นประจำ ช่วยขับผายลม แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ลมเสียดแทงในท้อง แก้มูกเลือด แก้บิดเรื้อรัง บำรุงไฟธาตุ แก้โรคไฟธาตุอ่อน แก้ครั่นเนื้อตัว ช่วยย่อยอาหาร มะตูมทั้ง 5 ส่วน (ราก ลำต้น ใบ ดอก และผล) รสฝาดปร่าซ่าขื่น ใช้แก้ปวดศีรษะ ตาลาย เจริญอาหาร ลดความดันโลหิตสูง

ตำรายาไทยมีการใช้ ผลมะตูมใน ”พิกัดตรีผลสมุฎฐาน” คือการจำกัดจำนวนตัวยาที่มีผลเป็นที่ตั้ง 3 อย่าง มี ผลมะตูม ผลยอ ผลผักชีลา สรรพคุณแก้สมุฎฐานแห่งตรีโทษ ขับลมต่างๆ แก้โรคไตพิการ

บัญชียาจากสมุนไพร : ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุการใช้ลูกมะตูมในตำรับ “ยาตรีเกสรมาศ” มีส่วนประกอบลูกมะตูมอ่อนร่วมกับเกสรบัวหลวง และเปลือกฝิ่นต้น มีสรรพคุณแก้อ่อนเพลีย ปรับธาตุในผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้นจากการเจ็บป่วย เช่น ไข้ ท้องเสีย  นอกจากนี้ตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไป สาขาเภสัชกรรม ของกองการประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า พิกัดตรีเกสรมาศ คือ จำนวนตัวยาเกสรทอง 3 อย่าง ได้แก่ เปลือกฝิ่นต้น เกสรบัวหลวง และลูกมะตูมอ่อน มีสรรพคุณ เจริญอาหาร บำรุงธาตุ คุมธาตุ บำรุงกำลัง แก้ท้องเดิน

ใบมะตูม ที่นำมากินเป็นผัก ยอดอ่อนนิยมมากินแกล้มกับอาหารอีสานประเภทลาบ ก้อย และหมอยาใช้กินแก้หลอดลมอักเสบ บำรุงธาตุ คุมเบาหวาน เจริญอาหาร แก้กระหายน้ำ ยับยั้งการตั้งครรภ์นั้น มีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดจากใบมะตูมมีฤทธิ์ป้องกันเนื้อเยื่อปกติของอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ไต ลำไส้ ม้าม และดีเอ็นเอ ไม่ให้ถูกทำลายจากรังสี มีฤทธิ์ต้านการแพ้ มีฤทธิ์คลายกังวลและต้านซึมเศร้า ป้องกันการเป็นต้อกระจกในหนูที่เป็นเบาหวาน มีฤทธิ์แก้ปวด แก้อักเสบ รวมทั้งไทรอยด์เป็นพิษที่มะตูมอาจจะเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลรักษา เพราะสมัยก่อนใช้ใบมะตูมเป็นยาแก้ไข แก้ร้อนใน ผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษจะมีอาการร้อนภายใน จึงมีการศึกษาทดลองพบว่า มีผลลดปริมาณฮอร์โมนไทรอยด์ เหนือกว่ายารักษาไทรอยด์ จึงแนะนำให้ผู้ป่วยโรคนี้ กินยอดอ่อนมะตูม หรือดื่มชามะตูมเป็นประจำ จะช่วยลดฮอร์โมนไทรอยด์ได้อีกทาง นับได้ว่ามะตูมมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อสุขภาพในสภาวะโลกร้อน ซึ่งส่งผลให้มนุษย์เรามีความเสี่ยงสูงขึ้นในการเจ็บป่วยด้วยภาวะความร้อนต่างๆ

ความทรงจำในวัยเด็กของผู้เขียน คือการเห็นคนเฒ่าคนแก่กิน "ข้าวเหนียวคลุกบักตูมสุก" โดยการนำเอาบักตูมมากะเทาะผ่าครึ่ง ควั่กเม็ดไนออก เอาข้าวเหนียวคลุก กินง่ายๆ บ้านๆ แบบอีสานบ้านเฮา และในหน้าหนาวชอบการเล่นว่าว ทำว่าวติดสะนูให้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า นอนฟังเสียงสะนูสะท้อนก้องในผืนทุ่งนากว้างมีความสุขที่สุด การทำว่าวเราต้องเหลาไม้ไผ่มาทำโครงว่าว หากระดาษถุงปูนซีเมนต์มาติดบนโครงให้รับลม การติดกระดาษเข้ากับโครงไม้ไผ่ด้วยกาวธรรมชาติ (ยางมะตูม) นี่สุดยอด

bug yang krue

บักยางเครือ

บักยางเครือ, คุย ชื่อวิทยาศาสตร์ Willughbeia edulis Roxb. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Ancylocladus cochinchinensis Pierre) จัดอยู่ในวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) สมุนไพรเถาคุย มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า กะตังกะติ้ว (ภาคกลาง), หมากยาง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, สุรินทร์, ศรีสะเกษ, อุบลราชธานี), ตังตู้เครือ (ลำปาง), คุยกาย, คุยช้าง (ปราจีนบุรี), คุยหนัง (ระยอง, จันทบุรี), อีคุย (ปัตตานี), โพล้พอ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), อากากือเลาะ (มลายู-ปัตตานี), ต้นคุย เถาคุย เครือ (ไทย), เครือยาง, บักยาง เป็นต้น

ไม้เถาคุยเนื้อแข็ง รอเลื้อยขนาดใหญ่ มีมือเกาะ เลื้อยได้ไกล 10-15 เมตร แตกกิ่งจำนวนมาก เปลือกต้นสีน้ำตาล ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางสีขาวขุ่น ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรี รูปไข่กลับ ผลเดี่ยวแบบผลสดมีเนื้อหลายเมล็ด ทรงกลมหรือรูปไข่ ขนาด 5.8-7.2 ซม. เปลือกผลค่อนข้างหนา สีเขียว ผิวเกลี้ยง เมื่อสุกสีเหลืองถึงส้ม มีน้ำยางสีขาวมาก ก้านผลยาว 0.8-1.2 ซม. มีขนเล็กน้อย เมล็ดรูปไข่ กว้าง 1.2-1.6 ซม. ยาว 1.9-2.8 ซม. เนื้อผลลื่นติดกับเมล็ด เปลือกหุ้มผลมีน้ำยางมาก ลักษณะเหนียวสีขาว มีเมล็ดประมาณ 1-3 เมล็ด ผลสุกรับประทานได้มีรสเปรี้ยวอมหวาน ออกดอกราวเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ติดผลราวเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน พบตามป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น ป่าเบญจพรรณ

สรรพคุณทางยา
  • ตำรายาไทย เถา มีรสฝาด แก้ประดงเข้าข้อ ลมขัดในข้อ ในกระดูก แก้มือเท้าอ่อนเพลีย ต้มดื่มแก้บิด แก้ตับพิการ แก้คุดทะราด  ราก  รสฝาด แก้มือเท้าอ่อนเพลีย ต้มดื่มแก้โรคบิด แก้เจ็บคอ เจ็บหน้าอก เปลือกต้น รสฝาด ต้มดื่มแก้ปวดศีรษะ ยาง รสฝาดร้อน ทาแผล แก้คุดทะราด แก้เท้าเป็นหน่อ ผลดิบ รสเปรี้ยวฝาด ผลแห้งย่างไฟ บดทาแผล    
  • ยาพื้นบ้านอีสานใช้ ลำต้น  ผสมลำต้นม้ากระทืบโรง ต้มน้ำดื่ม บำรุงกำลัง เป็นยาอายุวัฒนะ เปลือก รักษาอาการปวดศีรษะ ราก ต้มกินรักษาโรคบิด น้ำยางใช้ทำกาวดักจับแมลงได้ เช่น จักจั่น โดยนำน้ำยางของพืช 3 ชนิด คือ ยางไทร ยางมะเดื่อหรือยางขนุน และยางเถาคุย มาผสมในอัตราส่วนเท่าๆ กัน จากนั้นเติมน้ำมันก๊าดหรือน้ำมันโซล่า แล้วนำไปเคี่ยวจนกระทั่งน้ำยางข้นเหนียว ทิ้งไว้ให้เย็นจึงนำมาใช้ได้ ลำต้น ใช้แทนเชือกมัดสิ่งของ ผลสุก มีรสเปรี้ยว รับประทานได้ หล่อลื่นลำไส้ ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก
  • หมอยาพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานีใช้ เถา ต้มน้ำดื่ม แก้อัมพฤกษ์ อัมพาต
  • ยาพื้นบ้านภาคกลางใช้ ลำต้น ผสมสมุนไพรอื่น ต้มน้ำดื่ม แก้ลมคั่งข้อ
  • ยาพื้นบ้านภาคใต้ใช้ ลำต้น ต้มน้ำดื่ม แก้น้ำเหลืองเสีย รักษาโรคคุดทะราด แก้ลมขัดในข้อกระดูก แก้มือเท้าอ่อนเพลีย แก้ตับพิการ

lilred

backled1

isan word tip

ประตูสู่อีสานบ้านเฮา

IsanGate.com

ปณิธานของเรา :

"ชนชาติที่เป็นอารยะ ต้องมีรากเหง้า และที่มาอันยาวนาน ด้วยภาษาและขนบธรรมเนียมของตนเอง"

: Our Web Site.

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail
นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)

Ribbon