- Details
- Written by: ทิดหมู มักหม่วน
- Category: Food
- Hits: 1

เมี่ยงคำ (ໝ້ຽງຄຳ) เป็นอาหารว่างไทย-ลาวดั้งเดิมชนิดหนึ่ง ที่ใช้ใบพืชห่อเครื่องเคียงที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ไว้รวมกัน ราดด้วยน้ำปรุงรส และรับประทานในคำเดียว เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมีสมุนไพรสูง เพราะมีคุณสมบัติในการบำรุงรักษาธาตุทั้งสี่ เพื่อให้สมดุลกันดังนี้
- น้ำอ้อย มะพร้าว ถั่วลิสง หรือ มะม่วงหิมพานต์ และกุ้งแห้ง ใช้บำรุงรักษาธาตุดิน
- มะนาวและใบชะพลู ใช้บำรุงรักษาธาตุน้ำ
- หอมและพริก ใช้บำรุงรักษาธาตุลม
- เปลือกของมะนาวและขิงสด บำรุงรักษาธาตุไฟ
วิธีการจัดรับประทาน ให้จัดใบชะพลูหรือใบทองหลางใส่จาน วางเครื่องปรุงอย่างละน้อยลงบนใบชะพลูหรือใบทองหลางที่จัดเรียงไว้ ตักน้ำเมี่ยงหยอดห่อเป็นคำๆ รับประทาน

ใน พ.ศ. 2557 กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้ขึ้นทะเบียนเมี่ยงคำให้เป็น มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (ร่วมกับข้าวต้มมัด) ในสาขาความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล เพื่อป้องกันมิให้สูญหาย พร้อมกับมรดกทางวัฒนธรรมอย่างอื่น
เมี่ยงคำ ในแต่ละท้องถิ่นก็จะมีความคล้ายคลึงกันในการรับประทาน แต่จะมีส่วนประกอบหรือวัตถุดิบแตกต่างกันไปบ้าง ตามแต่จะหาได้ง่ายในท้องถิ่น จึงทำให้เกิดมีเมี่ยงคำเอกลักษณ์ท้องถิ่นที่มีชื่อแตกต่างกัน ซึ่งจากรายการอาหาร "๑ จังหวัด ๑ เมนู" นั้น ก็พบว่ามีเมี่ยงคำในหลายจังหวัดที่มีชื่อต่างกัน ทั้งทางภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสานบ้านเฮา ในที่นี้จะขอนำเสนอเฉพาะที่เป็นเมี่ยงคำของบางจังหวัดในภาคอีสาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าต่างกันอย่างไร
เมี่ยงคำ (โคราช)
เมี่ยงคำ (โคราช) มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากเมี่ยงคำในภาคกลางและภาคอื่นๆ คือ กระบวนการทำไส้ ที่นำไปผัดและปรุงให้ได้รสอร่อยเสร็จแล้ว จึงนำมาห่อเป็นคำ เมื่อจะรับประทานจึงราดด้วยน้ำกะทิแนมด้วยขิง หอม และพริกแห้งทอด บางชุมชนที่เป็นชนบทอาจเรียกชื่ออื่น เช่น “เมี่ยงกะทิ” เป็นอาหารพื้นเมืองโคราชชนิดหนึ่ง ซึ่งแบบดั้งเดิมนั้นจะนิยมกินกับใบทองหลาง เพราะกลิ่นใบทองหลางจะไม่แรงเหมือนกับกลิ่นของใบชะพลูที่มีกลิ่นฉุนและมีรสเผ็ด รสชาติของใบทองหลางจะมีความมัน ไม่ขม และไม่เหม็นเขียว

เมี่ยงคำ (โคราช) จะราดด้วยน้ำกะทิ ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของชาวโคราชแบบโบราณ และรับประทานเคียงกับ พริกขี้หนูแห้งทอดกรอบ ขิงหั่นเต๋า หอมแดงหั่น คนโบราณนิยมทำเมี่ยงคำเป็นอาหารว่างทานเล่น และใช้ต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยียน อีกทั้งการห่อเมี่ยงคำโดยใช้ใบทองหลาง ก็เป็นกุศโลบายภูมิปัญญาของคนสมัยก่อน เพื่อให้ลูกหลานเด็กเล็กได้ทานเมี่ยงคำที่ห่อด้วยใบทองหลาง (กินเป็นยา) เพราะใบทองหลางมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยขับพยาธิ นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติในการบำรุงรักษาธาตุทั้งสี่ของร่างกายเพื่อให้สมดุลกัน
ส่วนผสมเมี่ยงคำ
- เนื้อหมูสับละเอียด 200 กรัม
- มะพร้าวทึนทึกขูด 400 กรัม
- น้ำตาลปี๊บ 100 กรัม
- น้ำมะขามเปียกข้น 30 กรัม
- ถั่วลิสงป่นหยาบ 100 กรัม
- เกลือ 10 กรัม

เครื่องแนม
- หอมแดงหั่นเต๋า 100 กรัม
- ขิงอ่อนหั่นเต๋า 100 กรัม
- พริกขี้หนูแห้งทอด 30 เม็ด
- หัวกะทิ 300 กรัม
- เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
- ใบทองหลาง สำหรับห่อเมี่ยง

วิธีทำเมี่ยงคำ
- นำกระทะตั้งไฟให้ร้อน ใส่น้ำเปล่าเล็กน้อย ใส่เนื้อหมูลงไปผัดให้เนื้อหมูพอสุก ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก เกลือป่น คนให้น้ำตาลละลาย แล้วใส่มะพร้าวขูดลงไปผัด ชิมให้รสหวานนำ ติดเปรี้ยวเล็กน้อย จากนั้นใส่ถั่วลิสงบดหยาบลงไปผัดให้เข้ากัน ใส่ภาชนะพักไว้
- การเตรียมใบเมี่ยง ตั้งน้ำให้เดือดใส่เกลือเล็กน้อย นำใบทองหลางใส่ลงไป ลวกพอสุก แล้วตักขึ้นแช่น้ำเย็น พักไว้
- นำหัวกะทิ เคี่ยวด้วยไฟอ่อน ใส่แป้งมันเล็กน้อย ให้น้ำกะทิพอข้นตามด้วยเกลือ 1/2 ช้อนชา ก็จะได้น้ำกะทิสำหรับราดเมี่ยงคำ
- การห่อเมี่ยงคำ นำส่วนผสมที่ผัดไว้ มาตักใส่ใบทองหลาง แล้วพับเป็นสี่เหลี่ยม ให้ได้พอดีคำ
- จัดเมี่ยงคำใส่จาน แล้วราดด้วยหัวกะทิ ทานคู่กับเครื่องแนม
เมี่ยงคำ (โคราช) | สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครราชสีมา
เมี่ยงตาสวด หรือ เมี่ยงตาเหลือก
‘เมี่ยงตาสวด ไทแสก’ หรือ เมี่ยงตาเหลือก เป็นหนึ่งในอาหารพื้นบ้าน ที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์และความเป็นมาของชาวไทแสกในจังหวัดนครพนม มีเครื่องเคียงค่อนข้างเยอะ จึงต้องรับประทานคำใหญ่ ทำให้เวลากินจะต้องอ้าปากกว้าง จนตาสวด (ตาเหลือก) ตามชื่อนั่นเอง

เมี่ยงตาสวด คือ การนำใบชะพลูสดมาม้วนกับมะเดื่อ มะเฟือง กล้วยดิบ มะเขือเทศ ตะไคร้ พริกสด หอมแดง ใบชะพลู กะหล่ำปลี ขนมจีน แคปหมู แล้วราดด้วยราดด้วยน้ำจิ้ม ก่อนจะรับประทาน มาเที่ยวนครพนมแล้วห้ามพลาด ลองชิมเมี่ยงตาสวดอาหารพื้นบ้าน ได้ที่ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ที่ทำให้คุณได้สัมผัสรสชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง อร่อยจนต้องติดใจทุกคำ!
วัตถุดิบและเครื่องปรุง
- น้ำปลาร้าปรุงสุก ปริมาณ 800 มิลลิลิตร (2 ขวด)
- น้ำตาลทรายแดง ปริมาณ 1 กิโลกรัม
- น้ำตาลปี๊บ ปริมาณ ครึ่ง กิโลกรัม
- พริกป่น ปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ
- ข้าวคั่ว ปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ
- วัตถุดิบเครื่องเคียงเมี่ยงตาสวด (มะเดื่อ มะเฟือง กล้วยดิบ มะเขือเทศ ตะไคร้ พริกสด หอมแดง ใบชะพลู กะหล่ำปลี ขนมจีน แคปหมู)
เมี่ยงตาสวด วิธีทำ เมี่ยงตาเหลือก | ครัวกัณฐมณี channel
วิธีการและขั้นตอนการปรุง
- เตรียมวัตถุดิบเครื่องเคียง ประกอบด้วย มะเดื่อ มะเฟือง กล้วยดิบ มะเขือเทศ ตะไคร้ พริกสด หัวหอมแดง ใบชะพลู กะหล่ำปลี ขนมจีน แคปหมู
- หั่นวัตถุดิบเครื่องเคียงให้เป็นลูกเต๋าชิ้นเล็กๆ พอดีคำ ประกอบด้วย มะเดื่อ มะเฟือง กล้วยดิบ มะเขือเทศ ตะไคร้ พริกสด หอมแดง ยกเว้น กะหล่ำปลี และขนมจีนหั่นชิ้นพอดีคำ
- มะเดื่อ กับ กล้วยดิบ หั่นเสร็จแล้วควรแช่น้ำมะนาว น้ำส้มสายชู หรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว (ป้องกันไม่ให้เปลี่ยนเป็นสีดำ ไม่น่ารับประทาน)
- จัดเรียงวัตถุดิบเครื่องเคียงที่หั่นเสร็จเรียบร้อยแล้วใส่ภาชนะ ให้เรียบร้อยและสวยงามน่ารับประทาน
- เตรียมเครื่องปรุงน้ำจิ้มเมี่ยงตาสวด ซึ่งประกอบไปด้วย น้ำปลาร้าปรุงสุก น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลปี๊บ พริกป่น และข้าวคั่ว
- ติดไฟตั้งหม้อ เทน้ำปลาร้าปรุงสุกลงไปก่อน แล้วตามด้วยใส่น้ำตาลทรายแดงและน้ำตาลปี๊บ เคียวให้ส่วนผสมทั้งหมดเป็นเนื้อเดียวกัน ปิดไฟยกหม้อลง พักให้น้ำจิ้มเย็นตัวแล้วค่อยตักน้ำจิ้มใส่ถ้วยน้ำจิ้มใบเล็ก ขั้นตอนสุดท้ายโรยพริกป่นและข้าวคั่วให้ทั่วบริเวณด้านบน เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อมยิ่งขึ้น
- จัดเรียงวัตถุดิบเครื่องเคียงและน้ำจิ้มเมี่ยงตาสวดที่ทำเสร็จเรียบร้อย ใส่ภาชนะให้ครบถ้วนและสวยงามน่ารับประทาน วิธีรับประทานให้ห่อเครื่องเคียงเมี่ยงตาสวดทั้งหมดด้วยใบชะพลู หรือกะหล่ำปลีแล้วราดด้วยน้ำจิ้มเมี่ยงตาสวด
![]()
- Details
- Written by: ทิดหมู มักหม่วน
- Category: Food
- Hits: 151

เมนูประจำจังหวัดภาคอีสานของเมืองไทย
งงทั้งจังหวัด! ดรามา '1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น' คนพื้นถิ่นไม่รู้จัก แต่โคราชเลือก 'เมี่ยงคำ' ที่อื่นก็มีกิน
ซึ่งตั้งแต่เผยแพร่อาหารประจำจังหวัดออกมา ก็มีดรามา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ออกมาเต็มไปหมดในสื่อโซเชียล เช่น เป็นอาหารหาทานยากตรงไหน เป็นรสชาติที่หายไปตรงไหน ทำไมอาหารบางประเภทไม่ติด มีอาหารบางประเภทที่แม้แต่คนในจังหวัดก็ไม่รู้จัก
โครงการนี้เคยเป็นไวรัลไปเมื่อตอนปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา กับโครงการจาก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ในชื่อ "1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste" โดยเป็นโครงการภายใต้การส่งเสริมและพัฒนายกระดับอาหารถิ่นสู่มรดกทางวัฒนธรรม และอัตลักษณ์ความเป็นไทย (Thaland Best Local Food)

วิธีการหลักๆ ของแต่ละปีคือ การเปิดให้ทุกจังหวัดคัดเลือก 'เมนูอาหารท้องถิ่น' ของตัวเองมาจังหวัดละ 5 เมนู ผ่านวัตถุประสงค์หลักๆ ดังนี้
- เมนูเหล่านั้นต้องสะท้อนประวัติศาสตร์ท้องถิ่น มีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตผู้คนในจังหวัดนั้นๆ
- มีการใช้สมุนไพรหรือพืชพรรณท้องถิ่นมาประกอบอาหาร
- เป็นมรดกทางภูมิปัญญาและทางวัฒนธรรมท้องถิ่นอีกด้วย
จากนั้นจะมีการคัดเลือกส่วนแรก โดยผู้ทรงคุณวุฒิและกรรมการจากส่วนกลาง เหลือเพียง 3 เมนู โดยผู้ทรงคุณวุฒิด้านอาหารและเชฟที่มีชื่อเสียงร่วมกลั่นกรองและคัดเลือกตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 5 ด้าน ประกอบด้วย
- ด้านอัตลักษณ์และภูมิปัญญา
- ความเสี่ยงต่อการสูญหาย
- ด้านวัตถุดิบท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อม
- ด้านการต่อยอดและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์
- ด้านโภชนาการ
และคัดเลือกส่วนที่สองโดยประชาชน ผ่านการโหวตบนช่องทางออนไลน์ ผ่าน Facebook Page ของ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ตามห้วงเวลาที่กำหนด (ระหว่างเดือนกรกฎาคม) จนเหลือเพียง 1 เมนูอาหารที่สะท้อนความเป็นท้องถิ่นของจังหวัดนั้นๆ ในทุกปี
“วุ้นตาลน้ำกะทิ” เมนูเชิดชูถิ่น จ.อุบลฯ
ตัวอย่างในปี พ.ศ. 2567 จังหวัดอุบลราชธานี (บ้านของอาวทิดหมูเอง) ก็มีรายการอาหารเข้ามาให้คัดเลือกจากกรรมการสรรหาระดับจังหวัดมากกว่า 30 เมนู โดยคณะกรรมการได้กลั่นกรองและลงคะแนนคัดเลือกในด้านต่างๆ อาทิ ประวัติความเป็นมา คุณค่าทางโภชนาการ วัตถุดิบในท้องถิ่น ผลปรากฏว่ามี 6 เมนู ที่ผ่านการคัดเลือก เพื่อเปิดให้ประชาชนทั่วไปร่วมโหวต ได้แก่ 1. แกงไข่ผำ 2. ข้าวผัดน้ำผักสมุนไพร 3. หลนเค็มบักนัด 4. บักม่วงยัดโบก 5. วุ้นตาลน้ำกระทิ และ 6. ตำกล้วย
เมื่อส่งผ่านขั้นตอนไปจนสิ้นสุดในส่วนกลาง ทั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ และการโหวตภาคประชาชน ปรากฏว่า ปี พ.ศ. 2567 ได้เป็น วุ้นตาลน้ำกระทิ นั่นเอง (เสียงเงียบจากประชาชนส่วนใหญ่ได้แต่สงสัย ทำไมไม่ใช่ หลนเค็มบักนัด) จังหวัดอื่นๆ ก็คงจะมีความเป็นมาเป็นเช่นเดียวกัน
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา มีเมนูที่ได้รับการโหวตเมนูทั้ง 20 จังหวัดมา ตามรายการข้างล่าง พวกเจ้าพากันอยู่ไส บ้านใด๋ อำเภอ/จังหวัดใด๋ ฮู้จักแนวกินบ้านเจ้าของบ่ล่ะ
ปี พ.ศ. 2566
- ข้าวแดะงา จังหวัดกาฬสินธุ์
- ปลาแดกบองสมุนไพร จังหวัดขอนแก่น
- คั่วเนื้อคั่วปลา จังหวัดชัยภูมิ
- เมี่ยงตาสวด จังหวัดนครพนม
- เมี่ยงคำ (โคราช) จังหวัดนครราชสีมา
- หมกหม้อปลาน้ำโขง จังหวัดบึงกาฬ
- ขนมตดหมา (เวือระพอม) จังหวัดบุรีรัมย์
- แจ่วร้อนท่าขอนยาง จังหวัดมหาสารคาม
- ตำเมี่ยงตะไคร้ ลำข่าสดใส่มดแดง จังหวัดมุกดาหาร
- อั่วกบ (กบยัดไส้) จังหวัดยโสธร
- ข้าวปุ้นน้ำยาปลาหลด จังหวัดร้อยเอ็ด
- ส้าปลาน้ำโขง จังหวัดเลย
- ละแวกะตาม จังหวัดศรีสะเกษ
- แกงหวาย จังหวัดสกลนคร
- เบาะโดง (น้ำพริกมะพร้าวโบราณ) จังหวัดสุรินทร์
- หลามปลาน้ำโขง จังหวัดหนองคาย
- เมี่ยงคำลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู
- อู๋พุงปลา จังหวัดอำนาจเจริญ
- ข้าวต้มมัดบัวแดง จังหวัดอุดรธานี
- ลาบหมาน้อย จังหวัดอุบลราชธานี
ปี พ.ศ. 2567
- ซว้าไก่ จังหวัดกาฬสินธุ์
- ข้าวโจ้โรยงา จังหวัดขอนแก่น
- หมกลาบปลาตอง จังหวัดชัยภูมิ
- กะละแมโบราณนครพนม จังหวัดนครพนม
- น้ำพริกหมู (โคราช) จังหวัดนครราชสีมา
- ชั่วไก่ จังหวัดบึงกาฬ
- กุ้งจ่อมผัดสมุนไพร จังหวัดบุรีรัมย์
- ลาบปูนา จังหวัดมหาสารคาม
- ข้าวต้มพันตองหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร
- ลาบปลาแม่น้ำชี จังหวัดยโสธร
- ลาบปูนา จังหวัดร้อยเอ็ด
- เมี่ยงโค้นน้ำผักสะทอน จังหวัดเลย
- ปาดหรือแป้งปิ้งโบราณ - เซาอัง จังหวัดศรีสะเกษ
- ส้มตีนโคขุนโพนยางคำ จังหวัดสกลนคร
- นมเนียล จังหวัดสุรินทร์
- ผัดจังโก้ (แบบดั้งเดิม) จังหวัดหนองคาย
- ป่นปลาเข็ง จังหวัดหนองบัวลำภู
- ลาบปลาคังแม่น้ำโขงสมุนไพร จังหวัดอำนาจเจริญ
- ข้าวเม่า บ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
- วุ้นตาลน้ำกะทิ จังหวัดอุบลราชธานี
ปี พ.ศ. 2568
- แกงไข่ผำใส่ใบหมากไฟ - กาฬสินธุ์
- แกงไข่ผำ - ขอนแก่น
- หม่ำ - ชัยภูมิ
- หมกจ๊อของกิน ไทญ้อ เมืองอุเทน - นครพนม
- ตำส่มโคราช - นครราชสีมา
- อุเอาะปลาน้ำโขง - บึงกาฬ
- จรั๊วะโดง - บุรีรัมย์
- ต้มส้มปลาบู่ - มหาสารคาม
- หลามปลาข่อ - มุกดาหาร
- กบพ่นไฟ - ยโสธร
- แกงไข่ผำ - ร้อยเอ็ด
- ไก่ซั๊วสาวหลง - เลย
- อาซอม - ศรีสะเกษ
- แจ่วแมงแคงกับลวกผักป่าภูพาน - สกลนคร
- ซันลอเจก (แกงกล้วย) - สุรินทร์
- โหย่ย - หนองคาย
- ลาบเทา - หนองบัวลำภู
- ปลายำตะไคร้ - อำนาจเจริญ
- พิคานย่าวัวบ้านย่างเตาถ่าน - อุดรธานี
- ข้าวเม่าคลุก - อุบลราชธานี
รายการอาหารเหล่านี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ย้ำว่า!! "เป็นการหยิบยกเมนูที่คนท้องถิ่นหรือคนในพื้นที่นั้นๆ ไม่รู้จักขึ้นมา เป็นวัตถุประสงค์หลักที่ต้องการทำให้คนรุ่นใหม่ได้พบกับ “รสชาติที่หายไป” หมายความว่า เมนูประจำถิ่นของแต่ละจังหวัดอาจไม่ได้มีชื่อเสียงในปัจจุบัน แต่เป็นการขุดคุ้ยเมนูที่เคยมีอยู่ในพื้นที่นั้นๆ ในอดีต ให้กลับมาเป็นเมนูเชิดชูถิ่นได้ในปัจจุบันนั่นเอง"

สำพอดอก ข้าน้อยกะหัวกะฮู้ว่ามีชื่ออาหารชนิดนี้อยู่ วิญญาณนักชิมอย่า อาวทิดหมู มักหม่วน นี้กระชุ่มกระชวยขึ้นมาเลยทีเดียว เพื่อให้มีความสมบูรณ์พร้อมทั้งวัตถุดิบ วิธีการปรุง ความอร่อยของอาหารขึ้นชื่อในอดีตเหล่านี้ ท่านเว็บมาดเซ่อ พร้อมสิเป็นสปอนเซอร์ให้ท่อใดครับ (อย่าขี้เหนียวหลายเด้อ บัดผู้สาวเสิร์ฟคือจกให้ทิปไวแท้ล่ะ!😁😄😅) สิได้ตระเวนหาชิมเพื่อมาถ่ายทอดให้แฟนนานุแฟนอีสานบ้านเฮาได้แจ่มแจ้งกันต่อไป สวัสดี
![]()
- Details
- Written by: ทิดหมู มักหม่วน
- Category: Food
- Hits: 413

นึกจะเขียนเรื่องนี้เพราะไปหลงสาวตระการ เอ้ย! โทษทีข้าน้อยลืมตัวไปหน่อย ผู้สาวขายของอยู่ตลาดเพิ่นน่าฮักแท้ๆ ไปธุระส่วนตัวทางอำเภอตระการพืชผลแวะตลาดซื้อ "ข้าวเม่า" ตามคำขอของเว็บมาดเซ่อ เพิ่นว่า "เข้าไปในตลาดโลด ไทบ้านเอามาขายบักหลาย หาบ่ยากดอก" หลายอีหลีพี่น้อง ตำมาใหม่ๆ หอม นุ่ม ดีต่อสุขภาพคัก
มาทำความรู้จักกับข้าวเม่ากันก่อน
ข้าวเม่า คือ ข้าวที่ทำจากข้าวเปลือกเหนียวที่ยังไม่แก่จัด (ระยะน้ำนม) นำมาคั่วแล้วตำให้เปลือกแตกหลุดออกไป มีลักษณะแบน นุ่ม สีออกเขียว ข้าวเม่านำมารับประทานเป็นของหวานและของกินเล่น การบริโภคข้าวเม่าพบในทุกประเทศที่ปลูกข้าว ตั้งแต่ไทย ลาว กัมพูชา เรียก អំបុក (อ่านว่า ออม-โบ๊ะ หรือ อม-บุก ขึ้นอยู่กับสำเนียงท้องถิ่น) เวียดนาม พม่า ภูฏาน อินเดีย ทิเบต ในประเทศภูฏานใช้เป็นอาหารว่างกินกับน้ำชา ในไทยเป็นขนมที่นิยมกินมาตั้งแต่สมัยโบราณ ยามเดินทางไกลหรือออกรบพบข้าศึกก็สามารถห่อติดตัวไปกินได้หลายวัน โดยไม่ต้องมาเสียเวลาก่อไฟหุงหาให้ยาก (สมัยนั้นยังไม่มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่าง มาม่า ให้พึ่งพา)

ข้าวเม่า นำมาปรุงได้หลายแบบ เช่น
- ข้าวเม่าที่พรมน้ำเกลือเคล้าให้นุ่ม นำมาคลุกกับมะพร้าวขูด โรยน้ำตาลทราย เรียกว่า ข้าวเม่าคลุก นิยมรับประทานกับกล้วยไข่
- ข้าวเม่าที่ผสมน้ำตาลและมะพร้าวขูดนำไปพอกกล้วยไข่ ชุบแป้งให้ติดกันเป็นแพ ทอดในน้ำมัน โรยหน้าด้วยแป้งทอดกรอบ เรียกว่า ข้าวเม่าทอด มีลักษณะนามว่า แพ

- ข้าวเม่าที่นำไปคั่ว เรียกว่า ข้าวเม่าราง รับประทานกับน้ำกะทิเป็นของหวาน หรือนำไปทำกระยาสารท
- ถ้านำข้าวเม่าไปทอดให้กรอบแล้วใส่เครื่องปรุงอื่นๆ ได้แก่ เต้าหู้หั่นชิ้นเล็กๆ ทอดกรอบ กุ้งแห้งทอด ถั่วลิสงทอด โรยน้ำตาลทราย และเกลือเล็กน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน เรียกว่า ข้าวเม่าหมี่ เป็นของกินเล่นที่นิยมกันมาก
ข้าวเม่า นอกจากจะให้ความอิ่มอร่อยแล้ว ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร ไขมัน วิตามินบี 1, บี 2, ไนอะซิน, ธาตุเหล็ก, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, โปรตีน และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต จึงเป็นทั้งอาหารอร่อยและดีต่อสุขภาพ
การผลิตข้าวเม่าจำหน่ายเป็นอาชีพ มีอยู่หลายจังหวัดในภาคอีสาน เช่น อุดรธานี สกลนคร ส่วนทางอุบลราชธานี บ้านของอาวทิดหมูนี้ ก็มีแหล่งผลิตข้าวเม่ากันเป็นอาชีพ เช่น ตำบลโพธิ์ศรี อำเภอพิบูลมังสาหาร และตำบลคำเจริญ อำเภอตระการพืชผล เนื่องจากมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ และเก็บเกี่ยวข้าวได้เร็วกว่าที่อื่นๆ บ้างก็ไปซื้อข้าวที่ออกรวงแล้วพร้อมทำข้าวเม่า มาจากอำเภอใกล้เคียงเพื่อมาผลิตส่งขายไปทั่ว ชาวบ้านจะเริ่มลงมือทำข้าวเม่ากันตั้งแต่ช่วงปลายเดือนสิงหาคมไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ท้องนาเต็มไปด้วยรวงข้าวที่ยังไม่แก่จัดกำลังดี สร้างรายได้ให้แต่ละครอบครัวได้ถึง 10,000-30,000 บาทเลยทีเดียว ทั้งนี้ ราคาของข้าวเม่าจะแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาและแหล่งผลิต โดยข้าวเม่าในช่วงต้นฤดูจะมีความนุ่มหอมและราคาสูงกว่าปกติ

พันธุ์ข้าวเหนียวที่นิยมนำมาทำข้าวเม่า
การเลือกสายพันธุ์ข้าวเหนียวที่เหมาะสม ถือเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตข้าวเม่าที่อร่อยถูกปาก ผู้ผลิตข้าวเม่าจะวางแผนและเลือกปลูกสายพันธุ์ข้าวเนียวที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัว และมีช่วงออกดอกใกล้เคียงกัน เพื่อให้สามารถการเก็บเกี่ยวและแปรรูปได้อย่างต่อเนื่อง หากแปรรูปไม่ทันก็สามารถปล่อยข้าวทิ้งไว้ในแปลง เพื่อเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์ในปีต่อไป โดยในพื้นที่ตำบลโพธิ์ศรี อำเภอพิบูลมังสาหาร นิยมใช้สายพันธุ์ข้าวที่หลากหลาย เช่น กข 6, กข 8, อีดอ, ดอมะขาม และดอบุญมา ขณะที่ในตำบลคำเจริญ อำเภอตระการพืชผล จะนิยมใช้สายพันธุ์ข้าวอย่าง กข 6, กข 8, ดอมะขาม, ดอชมนก และดอเหลืองบุญมา

คุณภาพของข้าวเม่าที่ได้ก็แตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ เช่น ข้าวเม่าจากข้าว กข 6 ขึ้นชื่อเรื่องความหอมหวานและนุ่มนวลกว่าพันธุ์อื่น ขณะที่ ข้าวเม่าจากพันธุ์ดอมะขาม แม้คุณภาพจะไม่ดีเท่า แต่ก็มีข้อดีที่สามารถผลิตและจำหน่ายได้ในช่วงต้นฤดู ทำให้ได้ราคาที่ดีกว่า
ขั้นตอนการผลิตข้าวเม่า
วิธีทำข้าวเม่าอีสาน อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี
ขั้นตอนแรก คือ การเลือกเก็บเกี่ยว รวงข้าวเหนียว ที่อยู่ในระยะหลังดอกบานประมาณ 15 วัน หรือเมื่อบีบเมล็ดแล้วมีน้ำสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม เรียกว่า ระยะน้ำนม (ปลายสีเขียว แต่ไม่แก่จัด) จากนั้นจึงนำรวงข้าวมาเคาะเบาๆ เพื่อให้เมล็ดข้าวที่แก่เกินไปหลุดออกไปก่อน จึงจะใช้เครื่องมือเฉพาะในการกะเทาะเมล็ดที่เหลือออกจากรวง จากนั้นนำเมล็ดข้าวที่ได้ไปแช่น้ำเพื่อคัดเมล็ดลีบที่ลอยน้ำออก
ขั้นตอนที่สอง หลังจากคัดเลือกเมล็ดข้าวแล้ว จะนำไปนึ่งในหวดจนสุก จากนั้นจึงนำมาคั่วในกระทะด้วยไฟอ่อนๆ เพื่อให้ข้าวมีกลิ่นหอม คั่วจนเมล็ดข้าวเกือบแห้งแล้วตั้งทิ้งไว้ให้เย็นลง (บางท้องถิ่นอาจคั่วเพียงอย่างเดียวโดยไม่นึ่งก่อน) ในขั้นตอนการคั่วอาจมีการปรุงแต่งกลิ่น ด้วยการใส่ใบเตยลงไปคั่วด้วยเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม หรืออาจใส่สีเขียวผสมอาหาร เพื่อให้ข้าวเม่ามีสีสันสวยงามน่ารับประทานมากขึ้น
ขั้นตอนที่สาม การนำข้าวที่คั่วแล้วมาตำในครกกระเดื่อง เพื่อเอาเปลือกแข็งออก โดยจะตำและฝัดแกลบออกซ้ำๆ 2-3 ครั้ง จนได้ ข้าวเม่าสีเขียว นุ่มน่ารับประทาน
ปัจจุบัน เพื่อให้การผลิตข้าวเม่าเพียงพอและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค จึงมีการนำเอาเครื่องมือ เครื่องจักรเข้ามาช่วยในการผลิตให้ได้ผลผลิตได้อย่างสะดวก รวดเร็วขึ้นในปัจจุบัน
วิถีคนทำข้าวเม่า บ้านนายอ จ.สกลนคร | ซีรีส์วิถีคน
การแปรรูปข้าวเม่า
ข้าวเม่า นอกจากจะรับประทานได้ทันที (เพราะสุกจากการนึ่งและคั่วสุก พร้อมทั้งกระเทาะเปลือกออกแล้ว) เพื่อให้มีรสชาติที่อร่อยหลากหลาย รัปประทานได้ทุกที่ทุกเวลา จึงมีการนำข้าวเม่ามาแปรรูปเพิ่มเครื่องปรุงอีกมากมายให้ได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาให้ได้ลิ้มรสกัน เช่น
1. ข้าวเม่าคลุก
เริ่มกันที่สูตรแรกกับ ข้าวเม่าคลุก จะนำเอา ข้าวเม่า มากวนกับน้ำใบเตย (เพิ่มสีเขียวน่ารับประทานและกลิ่นหอม) ให้เหนียวและแห้ง จากนั้น คลุกกับมะพร้าวแก่ (ทึนทึก) ขูดละเอียด โรยหน้าด้วยมะพร้าวขูดเส้น งาขาวคั่วผสมน้ำตาล กินแบบแห้งๆ แล้วอร่อยมาก เหมาะกับกินเป็นของว่างหรือของหวานก็ได้ เรียกว่าอิ่มท้อง อยู่ท้องได้นานสุดๆ เลยละครับ

ส่วนผสม
- ข้าวเม่าแบบเขียวเข้ม หรือ เขียวอ่อน 500 กรัม
- น้ำสะอาด 1 ถ้วย
- น้ำมะพร้าวอ่อน 1 ถ้วย
- ใบเตยมัด 3 – 4 ใบ
- เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
- มะพร้าวทึนทึกขูดเส้น 1 ถ้วยตวง
- มะพร้าวแก่ขูดละเอียด ถ้วยตวง
- งาขาวคั่ว 1 ถ้วย
- น้ำตาล คลุกกับงาขาวคั่ว 1 ถ้วยตวง
วิธีทำ
- นำข้าวเม่ามาฝัดกับกระด้ง เพื่อเอาสิ่งสกปรกออกอีกครั้ง จากนั้น นำข้าวเม่าใส่ชามผสมเตรียมไว้
- ทำน้ำต้มใบเตย โดยใช้น้ำสะอาด และน้ำมะพร้าว นำใบเตยมัดเป็นก้อน ใส่เกลือและน้ำตาลทราย คนให้ละลายเข้ากัน แล้วต้มให้น้ำเดือด พอมีกลิ่นหอมแล้วให้ปิดไฟ พักทิ้งไว้ให้เย็น
- ค่อยๆ ตักน้ำต้มใบเตยใส่ลงไปชามข้าวเม่า แล้วใช้มือคลุกให้ข้าวเม่าพอเปียก พร้อมทั้งกวนไปเรื่อยๆ จนข้าวเม่าเหนียวติดกัน เสร็จแล้วพักทิ้งไว้ให้แห้ง เป็นเวลา 5 – 10 นาที
- นำมะพร้าวทึนทึกมาขูดเป็นเส้น แล้วคลุกกับเกลือเล็กน้อย ส่วนมะพร้าวแก่ให้ขูดละเอียด แล้วคลุกกับเกลือเช่นกัน (ให้มีรสเค็มเล็กน้อย) เตรียมไว้
- ตั้งซึ้งนึ่ง ต้มน้ำให้เดือด รองด้วยผ้าขาวบาง แล้วใส่มะพร้าวทึนทึกขูดละเอียด มะพร้าวแก่ขูดเส้นลงไป นึ่งให้สุกเป็นเวลา 10 นาที
- นำงาขาวไปคั่วในกระทะให้มีกลิ่นหอม เสร็จแล้วตักใส่ชาม ตักน้ำตาลทรายมาผสมให้เข้ากัน
- พอนึ่งมะพร้าวทึนทึก และมะพร้าวแก่สุกดีแล้ว ให้ใส่มะพร้าวแก่ขูดละเอียดลงไป คลุกกับข้าวเม่าให้เข้ากัน แล้วโรยหน้าด้วย มะพร้าวทึนทึกขูดเส้น งาขาวคั่วผสมน้ำตาลทราย ตามชอบ เป็นอันเสร็จ
2. ข้าวเม่าหมี่
สูตรที่สอง ข้าวเม่าแบบทรงเครื่อง ที่จะใส่วัตถุดิบนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น กุ้งแห้งทอด เต้าหู้แข็ง หอมแดง ถั่วลิสง โดยเคล็ดลับในการทำให้อร่อยคือ จะต้องนำทุกอย่างไปทอดกรอบเสียก่อน สำหรับถั่วลิสงต้องนำไปคั่วให้มีกลิ่นหอม จะทำให้ข้าวเม่าหมี่มีรสชาติที่อร่อย

ส่วนผสม
- ข้าวเม่า 1 กิโลกรัม
- กุ้งแห้งทอด 500 กรัม
- เต้าหู้แข็งทอดกรอบ 4 แผ่น
- หอมแดงซอยเจียว 100 กรัม
- ถั่วลิสงคั่ว 500 กรัม
- น้ำตาลทราย 600 กรัม
- น้ำสะอาด 160 มิลลิลิตร
- ดอกเกลือ 7 กรัม
วิธีทำ
- ตั้งกระทะใส่น้ำมันลงไป จุดไฟปรับระดับให้น้ำมันร้อนจนได้ที่ ใส่ข้าวเม่าลงไปทอดให้พองกรอบ แล้วตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน
- ล้างกุ้งแห้งเพื่อลดความเค็มลงและคัดเอาสิ่งสกปรกออก พักให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นปรับไฟทอดน้ำมันเป็นไฟอ่อน ใส่กุ้งแห้งลงไปในกระทะทอดให้พอกรอบ แล้วตักขึ้นพักไว้
- นำเต้าหู้มาล้างน้ำให้สะอาด หั่นซอยเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงในกระทะทอดด้วยไฟอ่อน ให้พอกรอบ เสร็จแล้ว ตักขึ้นพักไว้
- หั่นซอยหอมแดงใส่ลงไปกระทะ เจียวให้มีสีเหลืองกรอบ พักไว้
- เทน้ำมันออกแล้วตั้งกระทะใหม่ ไม่ต้องใส่น้ำมัน ใส่ถั่วลิสงลงไป คั่วให้มีกลิ่นหอม ตักออกพักไว้
- ตั้งกระทะอีกครั้ง ใส่น้ำเปล่าลงไป ตามด้วยน้ำตาลทราย และดอกเกลือ คนให้ละลายเข้ากัน จากนั้นเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ให้น้ำมีความข้นเหนียว
- พอน้ำในกระทะใกล้ข้นเหนียวดีแล้ว ให้ใส่ข้าวเม่าลงไป ตามด้วย เต้าหู้ทอด กุ้งแห้งทอด คลุกเคล้าให้เข้ากัน
- ใส่หอมเจียว ถั่วลิสงคั่ว ลงไป คลุกเคล้าให้พอกัน เสร็จแล้ว ตักใส่ถาด พักทิ้งไว้ให้เย็น เป็นอันเสร็จ
3. ข้าวเม่าเบื้อง
สูตรนี้ได้วิธีการมาจากหนังสือ แม่ครัวหัวป่าก์ โดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ซึ่งดัดแปลงมาจาก วิธีทำขนมเบื้อง อีกทีหนึ่ง โดยสูตรนี้ไม่ได้ทำตามหนังสือเป๊ะๆ แต่จะดัดแปลงให้ทำได้ง่ายขึ้นไปอีก เพียงแค่นำข้าวเม่ากวนกับน้ำเชื่อมที่ทำจากน้ำตาลปี๊บ แล้วบีบอัดเป็นแผ่น โรยด้วยมะพร้าวขูดเส้น เท่านี้ก็จะได้ ข้าวเม่าเบื้องไว้รับประทานกันแล้ว

ส่วนผสม
วิธีทำ
- ตั้งกระทะใส่น้ำมันลงไป ตั้งไฟให้น้ำมันร้อนได้ที่ ใส่ข้าวเม่าลงไป ทอดให้ข้าวเม่ากรอบดี
- ตั้งหม้อใส่น้ำเปล่า เติมน้ำตาลปี๊บลงไป แล้วเปิดไฟอ่อน คนให้น้ำตาลปี๊บละลายในน้ำให้ดี
- ใส่มะพร้าวแก่ขูดละเอียดลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วเคี่ยวให้มีความข้นเหนียว เสร็จแล้ว ปิดเตา
- ใส่ข้าวเม่าทอดลงไป กวนข้าวเม่าทอดกับมะพร้าวขูดละเอียดและน้ำตาลให้เข้ากัน เสร็จแล้ว ตักใส่พิมพ์ หรือ ภาชนะถ้วยกลม กดให้เป็นแผ่นกลม แล้วพักทิ้งไว้ให้เย็น เป็นอันเสร็จ รับประทานได้แล้ว
4. ข้าวเม่าทอด
ขนมไทยสุดฮิตที่อาวทิดหมูติดหนึบ ผ่านร้านขายกล้วย-มันทอดถ้ามี ข้าวเม่าทอด ด้วยถูกใจแบบจัดทุกอย่างเลยทีเดียว จากกล้วยไข่ธรรมดาจับมาห่อด้วยข้าวเม่าแล้วนำไปทอดมันช่างอร่อยหวานมันเสียจริงๆ

เตรียมส่วนผสมสำหรบข้าวเม่าทอด
- กล้วยไข่สุกงอม 1 หวี
- ข้าวเม่า 2 ถ้วย
- มะพร้าวขูด 350 กรัม
- น้ำ 1/2 ถ้วย
- น้ำตาลปี๊บ 250 กรัม
- แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
- หัวกะทิ 1 ถ้วย
- เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
- น้ำปูนใส 2 ช้อนโต๊ะ
- ไข่ไก่ 1 ฟอง
- น้ำมันพืช (สำหรับทอด)
วิธีการทำข้าวเม่าทอด
- แบ่งข้าวเม่า 1 ถ้วย นำไปคั่วด้วยไฟอ่อนจนพองกรอบแล้วกดบี้ให้แตก เตรียมไว้
- นำข้าวเม่าที่เหลือผสมกับน้ำแล้วนวดพอนุ่ม (อย่าให้แฉะเกินไป) ใส่มะพร้าวขูดลงไป ตามด้วยน้ำตาลปี๊บ นวดให้ละลายเข้ากัน จากนั้นใส่ข้าวเม่าที่คั่วไว้ลงไป นำขึ้นตั้งไฟอ่อนแล้วกวนจนเหนียวจนสามารถปั้นเป็นก้อนได้ (เรียก หน้ากระฉีก)
- ทำแป้งชุบฝอย โดยผสมแป้งข้าวเจ้า หัวกะทิ เกลือ และน้ำปูนใส (เพื่อเพิ่มความกรอบของแป้ง) นวดจนส่วนผสมข้นและละลายเข้ากัน เตรียมไว้
- นำกล้วยมาห่อด้วยหน้ากระฉีก (ข้าวเม่า ในข้อ 2) ให้สวยงาม เตรียมไว้
- ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟแรง จากนั้นนำกล้วยชุบลงในแป้ง (ที่เตรียมไว้ในข้อ 3) แล้วนำลงทอด
- ทำฝอยข้าวเม่า โดยใช้มือจุ่มแป้งชุบทอดแล้วโรยลงในกระทะในขณะที่กำลังทอดกล้วยอยู่ ใช้ตะหลิวเขี่ยมารวมกันเป็นแพ ตักขึ้นวางบนกล้วยข้าวเม่า ตักน้ำมันราดบนฝอยจนเหลืองกรอบ
- พอกล้วยข้าวเม่าสุกเหลืองตักขึ้นวางบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน จัดใส่จาน วางฝอยข้าวเม่าด้านบน
การแปรรูปข้าวเม่าแบบอื่นๆ

ยังมีการแปรรูปให้มีรูปแบบอื่นๆ อีกเพื่อการค้าและการขนส่งไปยังผู้บริโภคได้สะดวก รวมทั้งเพื่อให้เก็บได้นาน คงรสชาติไว้เหมือนกับวันแรกๆ ที่ทำขึ้น เช่น เค้กข้าวเม่า ช้าวเม่าคั่ว ข้าวเม่ากระยาสารท แสน็คข้าวเม่าแฟนสี (แบบแท่งกรุบกรอบ) และอื่นๆ อีกมาก ลองค้นหาในร้านค้าออนไลน์ดูมีแปลกๆ อีกเยอะ สามารถสั่งซื้อมารับประทานกันได้
ปัจจุบันนี้ระบบการชลประทานบ้านเราดี ชุมชนบางแห่งอยู่ใกล้แหล่งน้ำ เช่น เขื่อนชลประทาน จึงสามารถทำนาได้หลายๆ ครั้งต่อปี หมู่บ้านเหล่านี้ก็เลยหันมาปลูก "ข้าวเหนียวดอ, ข้าว กข 6" เพื่อเก็บเกี่ยวมาทำข้าวเม่ากัน เพราะเป็นพืชหมุนเวียนอายุเก็บเกี่ยวสั้น วางแผนดีๆ ก็สามารถนำมาทำข้าวเม่าได้ทุกเดือน ตลอดปีกันเลยทีเดียว
ข้าวเม่าอบกรอบบ้านกุดเรือใหญ่ จ.สกลนคร | อาชีพทั่วไทย ThaiPBS
![]()
![]()
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Food
- Hits: 1231

นำเสนอเรื่องของ "ผลไม้อีสานหายาก" ที่บางคนลืมเลือนไปในตอนที่แล้ว เกินความคาดหมายมากครับ หลังจากเสนอไปแล้ว 4 ตอน ได้รับการต้อนรับล้นหลาม ติดตามให้กำลังใจ แล้วยังมีจดหมายก้อมแบบอีเล็กทรอนิกส์ส่งมาว่า "ขออีกๆๆ" เลยต้องจัดให้ตามคำขอเป็นตอนที่ 5 ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลทุกๆ ที่ในโลกอินเทอร์เน็ต (ทั้ง Facebook Page, Blog, Website, Tiktok, Youtube etc.) ที่มีอยู่กระจัดกระจายที่ผมไปรวบรวมมาไว้ที่เดียว เพื่อประโยชน์ต่อลูกหลานในอนาคต ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง
บักงิ้ว | บักก่อ | บักแต้ | บักกล้วยน้อย | บักหม่อน | บักม่วงป่า | มะสัง

บักงิ้ว (นุ่น)
บักงิ้ว, ต้นบักงิ้ว, นุ่น ชื่อสามัญ White silk cotton tree, Ceiba, Kapok, Java cotton, Java kapok, Silk-cotton ชื่อวิทยาศาสตร์ Ceiba pentandra (L.) Gaertn. ชื่อวงศ์ Bombacaceae มีชื่ออื่นๆ เช่น ง้าว งิ้วน้อย งิ้วสร้อย งิ้วสาย (ภาคกลาง), งิ้ว (คนเมือง), ปั้งพัวะ (ม้ง), นุ่น (ไทลื้อ), ต่อเหมาะ (กะเหรี่ยงแดง) ภาษาเขมรเรียกว่า "แพล ก็วร (กวร)"
ในสมัยก่อนนั้นตอนอาวทิดหมูยังเป็นเด็กน้อย ตามหมู่บ้านในชนบทนิยมปลูกต้นบักงิ้วไว้ตามรั้วตามสวน เพื่อเอาฝักที่แก่จัด มาแกะเนื้อในที่เรียกว่า "นุ่น" มายัดหมอนและที่นอน เคยไปปีนหาเก็บเอาบักงิ้วไปแลกขนมไข่ขี้เกี้ยมที่ร้านค้าในหมู่บ้าน แต่สมัยนี้เริ่มหายากแล้ว นอกจากนั้นยังไปเลาะเอาหนามต้นงิ้วแก่ๆ มาแกะเป็นพระไม้แขวนคอดูเท่ๆ เข้าไปอีกด้วย
ต้นนุ่น จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบในช่วงฤดูแล้ง ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน ลำต้นสูงใหญ่เปลาตรง สูงได้ประมาณ 10-30 เมตร ตรงยอดแผ่เป็นพุ่มกว้าง ลำต้นเป็นสีเขียวและมีหนาม ขึ้นอยู่ทั่วไปบริเวณโคนต้น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่มีถิ่นดั้งเดิมอยู่ในแถบอันดามัน และมีปลูกมากในเขตร้อนทั่วไปเพื่อใช้ปุยจากผลนำมาทำหมอนและที่นอน ดอกนุ่น ออกดอกเป็นช่อกระจะบริเวณซอกใบ ขนาดประมาณ 2-3.5 เซนติเมตร ดอกย่อยมีจำนวนมาก หรือช่อหนึ่งมีดอกประมาณ 1-5 ดอก ออกดอกในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม ผลนุ่น ลักษณะของผลเป็นรูปยาวรี ปลายและโคนผลแหลม เปลือกแข็ง ผลมีขนาดกว้างประมาณ 2 นิ้ว และยาวประมาณ 4-5 นิ้ว เมื่อแห้งจะแตกออกได้เป็น 5 พู ภายในผลจะมีนุ่นสีขาวเป็นปุยอยู่ และมีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดนุ่น เมล็ดเป็นสีดำ มีเส้นใยสีขาวคล้ายเส้นไหมยาวหุ้มเมล็ดเป็นปุยนุ่นอยู่
สรรพคุณของนุ่น
- ยาพื้นบ้านอีสาน ใช้ เปลือกต้น ต้มน้ำดื่ม แก้บิด แก้อาหารเป็นพิษ
- ตำรายาไทย ใช้ ทั้งต้น ต้มน้ำดื่ม แก้ไอ แก้ไข้ เปลือกต้น รสเย็นเอียน แก้ไข้ แก้บิด แก้ร้อนใน ขับปัสสาวะ ทำให้อาเจียน บำรุงกำหนัด ต้มดื่มแก้หืด แก้หวัดในเด็ก ต้มร่วมกับหมาก ลูกจันทน์เทศ และน้ำตาล ดื่มขับปัสสาวะ ใช้ได้ดีในรายที่เป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ดอกแห้ง แก้ไข้ แก้ปวด
- ราก รสจืดเอียน ต้มน้ำดื่ม เป็นยาบำรุงกำลัง แก้บิดเรื้อรัง แก้ท้องเสีย ทำให้อาเจียน ขับปัสสาวะ แก้พิษแมลงป่อง ตำคั้นเอาน้ำดื่ม แก้เบาหวาน
- เมล็ด รสเอียนมัน น้ำมันจากเมล็ด รสร้อน เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ
- ยางไม้ รสฝาดเมา เป็นยาบำรุงกำลัง ฝาดสมาน แก้ท้องร่วง แก้ระดูขาวมากเกินไป
- ใบ รสเย็นเอียน ตำพอกแก้ฟกช้ำ เผาไฟ ผสมหัวขมิ้นอ้อยและข้าวสุก พอกฝี ต้มน้ำดื่มแก้ไข้ แก้โรคเรื้อน ตำกับหัวหอม ขมิ้น ผสมน้ำดื่มแก้ไอ แก้เสียงแหบ แก้หวัดลงท้อง แก้ท่อปัสสาวะอักเสบ ใบอ่อนรับประทานแก้เคล็ดบวม ผลอ่อน รสหวานฝาดเย็น เป็นยาสมาน ราก แก้บิด แก้ลำไส้อักเสบ คั้นเอาน้ำ ทานแก้โรคเบาหวาน เมล็ด ขับปัสสาวะ

บักก่อ (เกาลัคอีสาน)
บักก่อ, มะก่อ หรือ ต้นหมากก่อ ชื่อวิทยาศาสตร์ Lithocarpus ceriferus อยู่ในวงศ์ Fagaceae มีชื่ออื่นๆ เช่น ก่อหนาม ก่อดาน (พังงา), ก่อตี๋, ก่อผา, ก่อหนามแหลม, ก่อหยุม (เชียงใหม่), ก่อ (กาฬสินธ์), มะก่อ (เพชรบูรณ์), ก่อขี้หมู, ก่อหม่น (ตะวันออก), ก่อหุ้ม (ตะวันออกเฉียงเหนือ), หมากก่อ
ต้นหมากก่อ เดิมมักจะขึ้นตามธรรมชาติ ตามป่าริมภูเขา มะก่อ เป็นไม้หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกา ไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530 เนื่องจากเป็นไม้ผลที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและคุณค่าทางปกป้องสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ เพราะส่วนใหญ่ชอบขึ้นตามป่าดิบเขา ตามที่ลาดชันสูง จึงเป็นกลุ่มพืชที่สำคัญที่ช่วยปกป้องการพังทลายของดิน รักษาอุณหภูมิและดูดซับความชุ่มชื้นเก็บไว้ในดินได้ดี ต้นก่อเป็นไม้ป่าที่ลำต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ 30 เมตร ยามเมื่อออกผลแล้วหล่นลงมาบนพื้น ชาวบ้านจะเก็บลูกก่อที่เปลือกมีขนคล้ายเงาะ แต่ขนเป็นหนามแหลม เวลาเก็บจึงต้องใช้ความระมัดระวังจากหนามแหลมบนเปลือกที่ตำมือ เมื่อแกะเปลือกออกแล้วนำมาคั่วให้สุกเพื่อแกะกินเนื้อข้างใน ที่มีรสชาติมันออกหวานและอร่อย

ประโยชน์และสรรพคุณมะก่อ
- บักก่อ เป็นพืชตระกูลถั่วเปลือกแข็งที่มีไขมันไม่อิ่มตัว มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย อุดมไปด้วยวิตามินอี ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ นิยมนำเมล็ดมาคั่วแล้วรับประทาน ซึ่งให้รสชาติดี เหมือนเกาลัดจีน
- มะก่อ ยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย แก้วัณโรค อาเจียนเป็นเลือด ช่วยห้ามเลือด แก้ไอ ละลายเสมหะ แต่ก็มีข้อควรระวังคือ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องอืดบ่อยๆ อาหารไม่ย่อย ไม่ควรกิน ผู้ที่เป็นโรคไขข้ออักเสบ ร้อนใน ตาบวม ห้ามกิน

บักแต้
บักแต้ มะค่าแต้ ชื่อสามัญ Ma kha num มีชื่อวิทยาศาสตร์ Sindora siamensis Miq. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Galedupa cochinchinensis (Baill.) Prain, Galedupa siamensis (Teijsm.) Prain, Sindora cochinchinensis Baill., Sindora siamensis var. siamensis, Sindora wallichii var. siamensis (Teijsm.) Baker) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)
สมุนไพรมะค่าแต้ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มะค่าหยุม มะค่าหนาม (ภาคเหนือ), แต้ (ภาคอีสาน), มะค่าหนาม มะค่าแต้ มะค่าลิง (ภาคกลาง), กอกก้อ (ชาวบน-นครราชสีมา), กอเก๊าะ ก้าเกาะ (เขมร-สุรินทร์), กรอก๊อส (เขมร-พระตะบอง), แต้หนาม กระทงลาย กระทุงลาย เป็นต้น
ต้นมะค่าแต้ มีเขตการกระจายพันธุ์จากภูมิภาคอินโดจีนจนถึงมาเลเซีย ในประเทศไทยสามารถพบได้ตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าโคกข่าว ป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้ง และป่าชายหาดที่ระดับใกล้กับน้ำทะเลไปจนถึงที่ระดับความสูง 400 เมตร โดยจัดเป็นไม้ยืนต้น มีความสูงของต้นประมาณ 10-15 เมตร แตกกิ่งก้านแผ่กว้าง มีเรือนยอดเป็นรูปร่มหรือเป็นทรงเจดีย์ต่ำ กิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาล เปลือกต้นเรียบเป็นสีเทาคล้ำ
ผลมะค่าแต้ ออกผลเป็นฝักเดี่ยวแบนค่อนข้างกลม ที่ผิวเปลือกมีหนามแหลมอยู่ทั่วไป ผลเป็นรูปไข่กว้างหรือเป็นรูปโล่ โคนเบี้ยวและมักมีติ่งแหลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4.5-10 เซนติเมตร พอแห้งจะแตกออกเป็น 2 ซีก ภายในมีเมล็ดสีดำประมาณ 1-3 เมล็ด โดยผลจะแก่ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน (ยอมรับมาเสียดีๆ ว่ามีไผเคยเอาในบักแต้มาเล่นในวัยเด็กแหน่)
สรรพคุณของมะค่าแต้
- เปลือก ใช้ต้มแก้ซาง แก้ลิ้นเป็นฝ้า
- ปุ่มที่เปลือก มีรสเมาเบื่อ ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้พยาธิ ปุ่มที่เปลือกนำมาต้มรมให้หัวริดสีดวงทวารหนักฝ่อได้
- ส่วนเมล็ดมีรสเมาเบื่อสุขุมเป็นยาขับพยาธิเช่นกัน มีรสเบื่อขม ทำให้ริดสีดวงทวารแห้ง
- เปลือกต้นมะค่าแต้ใช้ผสมกับเปลือกต้นมะกอกเหลี่ยม เปลือกต้นหนามทัน เปลือกต้นยางยา และรากถั่วแปบช้าง นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อีสุกอีใส
- ผล, ปุ่มเปลือก, เมล็ด ใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง
ประโยชน์ของมะค่าแต้
- เมล็ดแก่ เมื่อนำมาเผาไฟแล้วกะเทาะเปลือกออก เอาแต่เนื้อข้างในมารับประทานเป็นอาหารว่างได้ โดยเนื้อจะมีลักษณะแข็ง ๆ คล้ายกับเมล็ดมะขามและมีรสมัน
- ฝักและเปลือก ให้น้ำฝาดชนิด Catechol และ Pyrogallol ใช้สำหรับฟอกหนัง ส่วนเปลือกต้นจะนิยมนำมาใช้ย้อมสีเส้นไหม ย้อมแห โดยจะให้สีแดง
- ในด้านเชื้อเพลิง สามารถนำมาใช้ทำเป็นถ่านได้ดี โดยจะให้ความร้อนได้สูงถึง 7,347 แคลอรีต่อกรัม
- เนื้อไม้ เป็นสีน้ำตาล่อนหรือเป็นสีน้ำตาลแก่ เมื่อทิ้งไว้นานๆ จะเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น มีเส้นสีเข้มกว่าสลับกับเนื้อไม้ที่ค่อนข้างหยาบ เสี้ยนสนแต่สม่ำเสมอ มีความแข็งแรงทนทาน ทนต่อปลวกได้ดี เลื่อย ผ่า ไสกบตบแต่งได้ยาก สามารถนำมาใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนได้ดี แต่จะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ใช้ทำเสา รอด ตง พื้น พื้นรอง เครื่องเรือน เครื่องบน เครื่องมือทางการเกษตร เครื่องเกวียน เครื่องไถนา หมอนรองรางรถไฟ ลูกกลิ้งนาเกลือ กระดูกเรือ หรือใช้ทำโครงเรือใบเดินทะเล ฯลฯ

บักกล้วยน้อย
บักกล้วยน้อย, กั้นทาง ตันทาง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Xylopia vielana Pierre. เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์กระดังงา (Annonaceae) มีชื่อเรียกในถิ่นอื่นๆ เช่น สะทาง (อุบลราชธานี), เกรา (สุรินทร์), ตาเหลว, ตาแหลว (นครราชสีมา), ทัดทาง (กรุงเทพมหานคร), ต้นทาง, กั้นทาง, ตันทาง, นมแมว
ลำต้นมีเปลือกเรียบสีน้ำตาลหรือดำ ใบเดี่ยว ดอกเดี่ยว กลีบดอกสีเหลืองอ่อนหรือเหลืองอมน้ำตาล โคนกลีบมีสีม่วงแดงแซม เกสรตัวผู้จำนวนมาก ผลกลุ่ม ทรงรี แตกตามตะเข็บด้านเดียว ผลออกเป็นกลุ่ม รูปทรงกระบอก ผลแก่สีเหลืองอมส้ม มีเมล็ด 2-3 เมล็ด เมล็ดสีดำมีเยื่อหุ้มสีแดง พบกระจายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของไทย ในประเทศ สปป.ลาวและกัมพูชา ขึ้นในป่าดิบแล้งที่ระดับความสูง 50-600 เมตร ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ผลจะแก่ในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน
ประโยชน์ของต้นกล้วยน้อย
- ใช้ทำฟืน เสารั้ว ดอกเป็นส่วนผสมของยาหอม
- ชาวไทยอีสานไม้ชนิดนี้ปิดบังเส้นทางของวิญญาณได้ จึงใช้กิ่งขวางทางเข้าหมู่บ้าน หรือบ้านหลังจากเสร็จงานศพ
สรรพคุณ
- ตำรายาไทย ดอก บำรุงหัวใจ
- ยาพื้นบ้านอีสานใช้ ดอก เข้ายาเป็นเกสรร้อยแปด ปรุงยาหอมบำรุงหัวใจ
- ชาวบ้านจังหวัดอำนาจเจริญ รับประทาน ผลสุกและใบอ่อน เนื้อไม้ใช้ก่อสร้าง ทำฟืนอยู่ไฟ และใช้ในพิธีกรรม โดยใช้กิ่งของต้นกล้วยน้อยขีดที่ดินเพื่อแบ่งดินแดนระหว่างคนกับผี หลังจากเสร็จพิธีเผาผี เชื่อว่าวิญญาณข้ามเส้นที่ขีดไว้ไม่ได้

บักม่อน
บักม่อน หม่อน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Morus sp. ชื่อภาษาอังกฤษคือ White Mulberry, Mulberry Tree และมีชื่อภาษาท้องถิ่นได้แก่ หม่อน, มอน (อีสาน), ซึมเฮียะ (จีน) อยู่ในวงศ์ Moraceae ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของหม่อน เป็นไม้พุ่มขนาดย่อม เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง ใบเดี่ยวออกสลับสีเขียวเข้มรูปหัวใจขอบจักฟันเลื่อย ผิวสาก สีเขียวเข้ม เส้นใบตามยาว 3 เส้น ดอกเล็กๆ กลม เป็นช่อแท่งกลมเล็กๆ ดอกตัวผู้และตัวเมียแยกกัน ดอกย่อยมี 4 กลีบ ออกตามซอกใบที่ปลายกิ่งยาวราว 1 นิ้ว ผลเป็นผลรวมออกเป็นพวงวงกลมเล็ก เมื่อสุกมีสีม่วงแดงถึงดำผลกลมเล็กๆ เมื่อสุกสีน้ำตาลดำเป็นพวง และยังเป็นพืชอาหารตามธรรมชาติของหนอนไหม
ประโยชน์หม่อน
- ใบสด เมื่อนำใบมาเคี้ยวสดๆ จะมีรสหวานอมขมเย็นเล็กน้อย บางท้องถิ่นนำมากินสด
- ปัจจุบันนิยมนำใบมาตากแห้ง และชงดื่มเป็นน้ำชาใบหม่อน ซึ่งจะให้กลิ่นหอมมีเอกลักษณ์ และรสชาติเหมือนชา แต่อมหวานเล็กน้อย
- บางท้องถิ่น เช่น ภาคอีสาน ภาคเหนือ นิยมใบมาปรุงอาหารในเมนูจำพวกต้มต่าง ซึ่งจะเพิ่มรสชาติให้อร่อยมากยิ่งขึ้น
- ในส่วนของผลสุก สามารถกินเป็นผลไม้หรือเป็นอาหารนกได้
- ในบางพื้นที่ที่มีการปลูกหม่อนมากจะนำผลหม่อนมาหมักเป็นไวน์จำหน่าย ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามสถาน Otop ต่างๆ ลักษณะไวจากผลหม่อนจะเป็นสีม่วงอมแดง หรือนำผลสุกมารับประทานสดซึ่งจะให้รสเปรี้ยวอมหวานเล็กน้อย หรือจำหน่ายผลหม่อนสุกกินสด

สรรพคุณหม่อน
- ผลหม่อน เป็นผลหม่อนมีลักษณะสีแดง สีม่วงแดง และสุกจัดจะออกสีม่วงดำหรือสีดำ พบสารในกลุ่ม anthocyanin ที่มีฤทธิ์ต่อต้านอาการขาดเลือดในสมอง ต่อต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นยังพบวิตามินซี ในปริมาณสูง ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันอีกด้วย
- ใบหม่อน (ต้มน้ำหรือใบแห้งชงเป็นชาดื่ม) ช่วยในการผ่อนคลาย, แก้ร้อนใน กระหายน้ำ, ช่วยลดไข้หวัด และอาการปวดหัว, ช่วยแก้อาการวิงเวียนศรีษะ, แก้ไอ แก้เจ็บคอ แก้คอแห้ง, ต้านอนุมูลอิสระ ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์, ช่วยลดน้ำตาลในเลือด และช่วยทุเลาอาการจากโรคเบาหวาน, ลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด, ป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือด, ช่วยลดความดันเลือด และต้านแบคทีเรีย ช่วยแก้อาการท้องเสีย
- ส่วนของกิ่ง ลำต้น พบสารหลายชนิดที่กล่าวในข้างต้น ทำหน้าที่ออกฤทธิ์ต่อต้านการสร้างเมลานินที่เป็นสารสร้างเม็ดสี จึงมีการสกัดสารดังกล่าวมาใช้ในเครื่องสำอางเพื่อความสวยความงามทำให้ผิวขาวนวล ผลจากฤทธิ์ทางยาอย่างอื่นมีการศึกษาพบช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ กล้ามเนื้อ ลดอาการมือเท้าเป็นตะคริว

บักม่วงป่า
บักม่วงป่า, มะม่วงป่า ชื่อวิทยาศาสตร์ : Mangifera caloneura Kurz อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มะม่วงกะล่อน (ภาคกลาง) มะม่วงเทียน (ประจวบคีรีขันธ์) มะม่วงขี้ใต้ (ภาคใต้) มะม่วงเทพรส (ราชบุรี)
ลักษณะเป็นไม้ต้นขนาดกลาง สูง 20 – 25 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มสูงถึงแผ่กว้าง ต้นเปลาตรง เปลือกต้นสีน้ำตาล แตกเป็นร่องเปลือกนอกสีน้ำตาลปนเทา แตกแบบสี่เหลี่ยม เปลือกในสีเหลืองปล่อยทิ้งไว้จะเป็นสีน้ำตาลดำ มีใบลักษณะใบเดี่ยว เรียงแบบสลับหรือเวียนสลับ ใบรูปหอกขอบขนาน โคนมนหรือแหลม ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม กว้าง 3.5 – 8 เซนติเมตร ยาว 4.5 – 22 เซนติเมตร ผิวใบเกลี้ยง ใบอ่อนสีม่วงแดง
ออกดอกเป็นช่อแยกแขนง ตั้งขึ้นคล้ายช่อฉัตร ออกที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยสีเหลืองอ่อน ขนาดเล็ก มีกลีบดอกและกลีบเลี้ยงอย่างละ 5 กลีบ มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและดอกไม่มีสมบูรณ์เพศ (เกสรฝ่อ) เกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์มี 5 อัน ดอกมีกลิ่นหอม ผลมีเนื้อเมล็ดเดียวแข็ง สีขาวหรือเหลือง มีลักษณะแบน ผลดิบมีสีเขียว เมื่อผลแก่มีสีเหลือง ออกดอกเดือนธันวาคม – เดือนกุมภาพันธ์ ติดผลหลังออกดอก
การใช้ประโยชน์
- ผลอ่อน : มีวิตามินซีป้องกันโรค
- ผลสุก : ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง และต้านความชรา
- ใบอ่อน : ใช้เป็นผักสด
- เนื้อไม้: ใช้ทำฟืน ทำโครงสร้างส่วนต่างๆ ของบ้าน เช่น ฝาบ้าน
- เปลือก: เปลือกด้านในใช้เป็นสีย้อมผ้า
- ใบ: ใบอ่อนรับประทานเป็นผักสดได้

บักสัง
บักสัง มะสัง ชื่อสามัญ Wood apple มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Citrus lucida (Scheff.) Mabb. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Feroniella lucida (Scheff.) Swingle) จัดอยู่ในวงศ์ส้ม (RUTACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อย AURANTIOIDEAE มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ผักสัง (มุกดาหาร), หมากกะสัง มะสัง (ภาคกลาง), กะสัง (ภาคใต้), หมากสัง, กระสัง เป็นต้น
มะสังจัดเป็นพืชในวงศ์ส้ม (Ruraceae) เช่นเดียวกันกับมะขวิด และมีลักษณะทั่วไปคล้ายๆ กันแต่จะต่างกันตรงผล โดยมะสังเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิเช่น ไทย พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ลาว และกัมพูชา เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วภูมิภาคของประเทศ แต่จะพบมากได้ทางภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ บริเวณป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง และตามชายป่า หรือ ตามทุ่งนาต่างๆ
มะสัง จัดเป็นพืชที่มีถิ่นกำนิดในประเทศไทยชนิดหนึ่ง ที่มีการใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ มาตั้งแต่ในอดีตแล้ว เช่น มีการใช้ผลดิบของมะสังแทนมะนาว เนื่องจากมีรสเปรี้ยว โดยนำใช้ปรุงนำพริก ยำต่างๆ หรือ แกงส้ม ยังใช้กินสดๆ จิ้มพริกเกลือได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังนำมาแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารอย่างอื่น เช่น ไวน์มะสัง แยมมะสัง วุ้นมะสัง และเยลลี่มะสัง เป็นต้น ส่วนยอดอ่อนและใบอ่อน มีรสฝาดมัน สามารถใช้กินเป็นผักสดหรือนำไปปิ้งไฟให้หอมแล้วนำมารับประทานร่วมกับลาบ ก้อย และซุปหน่อไม้ และในปัจจุบันยังมีการปลูกเลี้ยงต้นมะสังเป็นไม้ดัด หรือ บอนไซเนื่องจากมีรูปทรงของต้นที่สวยงาม กิ่งก้านมีความเหนียวและใบดก

สรรพคุณของมะสัง
- ใบมีรสฝาดมัน สรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยแก้ท้องเดิน ช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช้เป็นยาสมานแผล
- รากและผลอ่อนเป็นยาแก้ไข้ ตำรายาไทยจะใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่มหรือฝนกับน้ำกินเป็นยาแก้ไข้
- แก่นมะสังใช้ร่วมกับแก่นมะขาม ใช้ต้มกับน้ำดื่มขณะอยู่ไฟ
ประโยชน์ของมะสัง
- ผลมะสังมีรสเปรี้ยว สามารถนำมาใช้แทนมะนาวได้ โดยใช้ปรุงน้ำพริก หรือใส่แกง นอกจากนี้ยังใช้กินและนำมาทำน้ำผลได้อีกด้วย
- ยอดอ่อนและใบอ่อนมะสังใช้กินเป็นผักสด หรือนำไปปิ้งไฟให้หอมก็ใช้รับประทานร่วมกับลาบ ก้อย ซุปหน่อไม้
- ในปัจจุบันนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ ทำเป็นไม้แคระประดับหรือไม้ดัด เนื่องจากมีความสวยงามจากเปลือกที่ขรุขระ มีรูปทรงของต้นที่สวยงาม ออกใบดกและมีขนาดเล็ก และง่ายต่อการดัดเพราะกิ่งก้านมีความเหนียว
![]()
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Food
- Hits: 1310

นำเสนอเรื่องของ "ผลไม้อีสานหายาก" ที่บางคนลืมเลือนไปในตอนที่แล้ว เกินความคาดหมายมากครับ แค่วันแรกมีคนคลิกเข้ามาอ่านมากกว่า 150 ครั้ง แล้วยังมีจดหมายก้อมส่งมาว่า "ขออีกๆๆ" เลยต้องจัดให้ตามคำขอเป็นตอนที่ 4 ใครมีข้อมูลเพิ่มเติม จะช่วยชี้แนะก็ช่วยบอกมานะขอรับ ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง
บักเม็ก | บักถั่วแฮ | บักเดื่อ | บักหูลิง | บักเกลี้ยง | บักโกนา | หมากหวาย | บักเหลี่ยม

บักเม็ก
บักเม็ก, ต้นเม็ก, หมากคำเม็ก หรือ ขะเม็ก ในภาษากลาง คือ เสม็ดแดง เม็กในชื่ออื่นๆ ไคร้เม็ด (เชียงใหม่ ภาคกลาง) เม็ก (ตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ) เสม็ดแดง เสม็ดชุน เสม็ด (สกลนคร สตูล) เสม็ดขาว เสม็ดเขา (ตราด) เม็ดชุน (นครศรีธรรมราช) ขะเม็ก ยีมือแล (มลายู – ภาคใต้) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Syzygium gratum (Wight) S.N.Mitra var. gratum ชื่อวงศ์ : Myrtaceae
ต้นเม็ก เป็นไม้ต้น สูงได้ถึง 20 เมตร กิ่งเป็นสันสี่เหลี่ยม ลำต้นสีน้ำตาลแดง เปลือกบาง ซ้อนกันหลายๆชั้น แตกกิ่งก้านมาก ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่ รูปรีถึงรูปใบหอก หรือรูปไข่ กว้าง2.5-4 เซนติเมตร ยาว 6-8 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบแหลมหรือมน ขอบใบเรียบ ใบแก่ผิวด้านบนเกลี้ยงมันวาว ใบอ่อนสีน้ำตาลปนชมพู ผิวใบด้านล่างเกลี้ยง มีจุดโปร่งแสงหนาแน่น ดอกช่อ แบบช่อแยกแขนง ยาว 1.5-3 เซนติเมตร ออกที่ซอกใบและปลายยอด ดอกย่อยสีขาว ไม่มีก้านดอก ฐานดอกรูปถ้วย ทรงรูปกรวยแกมทรงกระบอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปสามเหลี่ยม กลีบดอก 5 กลีบ แยกกัน สีขาว รูปเกือบกลม สีเหลืองอ่อน เกสรเพศผู้จำนวนมาก เกสรเพศเมียมีรังไข่ขนละเอียด อยู่ใต้วงกลีบ ผลสด ทรงกลม สีขาว ฐานผลนูนออกมาและบุ๋ม กระจายพันธุ์แถบป่าผลัดใบ และริมลำธาร ออกดอกช่วงเดือน เมษายน ถึงพฤษภาคม ยอดอ่อนรับประทานเป็นผักได้
สรรพคุณทางยา
- ยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี ใช้ ราก ต้มน้ำดื่ม แก้เบื่อเมา แก้ผิดสำแดง ยอดอ่อน รับประทานสด ขับลม
- ตำรายาไทย ใช้ เปลือก ต้มทา ลมพิษ หรือแก้พิษน้ำเกลี้ยง ใบแก่ ตำพอกแก้ฟกช้ำ

บักถั่วแฮ
บักถั่วแฮ, ถั่วแระ ถั่วแระ ชื่อสามัญ Pigeon pea , Angola pea, Congo pea มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cajanus cajan (L.) Millsp. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Cajanus indicus Spreng. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE สมุนไพรถั่วแระ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ถั่วแรด (ชุมพร), มะแฮะ มะแฮะต้น ถั่วแระต้น (ภาคเหนือ), ถั่วแฮ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), ถั่วแระ ถั่วแระผี ถั่วแม่ตาย (ภาคกลาง), พะหน่อเซะ พะหน่อซิ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), มะแฮะ (ไทลื้อ), ย่วนตูแฮะ (ปะหล่อง), เปล๊ะกะแลง (ขมุ), ถั่วแฮ เป็นต้น
ต้นถั่วแระ จัดเป็นพรรณไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดย่อม อายุฤดูเดียวหรือหลายฤดู ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง สูงประมาณ 1-3.5 เมตร กิ่งแผ่ออกด้านข้างเป็นคู่ ผิวของลำต้นเกลี้ยงเป็นสีเขียวหม่น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด มีทั้งถั่วแระขาวและถั่วแระแดง พบขึ้นในที่โล่งแจ้งชายป่าเบญจพรรณ
ผลถั่วแระ ลักษณะของผลเป็นฝักแบนยาวสีม่วงเข้มปนเขียว เป็นห้องๆ และมีขน ฝักหนึ่งจะแบ่งออกเป็นห้อง 3-4 ห้อง ภายในมีเมล็ดลักษณะกลมหรือแบนเล็กน้อย ห้องละ 1 เมล็ด เมล็ดมีขนาดเท่ากับเมล็ดถั่วเหลือง สีของเมล็ดเป็นสีเหลือง ขาว และสีแดง
สรรพคุณของถั่วแระ
- เมล็ด มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง ทั้งฝักมีรสมันเฝื่อนเล็กน้อย มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยลดระดับคอเลสเตรอล ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ด้วยการใช้เมล็ดนำมาต้มรับประทานเป็นของกินเล่น
- รากและเมล็ด ใช้ปรุงเป็นยากินรักษาไข้ ถอนพิษ
- ใบ ช่วยแก้อาการไอ น้ำคั้นจากใบใช้ใส่แผลในปากหรือหู ใบใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย ใบใช้เป็นยารักษาบาดแผล
- ต้นและใบ มีสรรพคุณเป็นยาขับลมลงเบื้องต่ำ
- ต้น ราก และใบ มีสรรพคุณเป็นยาขับผายลม
- ตำรายาไทย จะใช้รากปรุงยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ ปัสสาวะแดงขุ่น ปัสสาวะน้อย ช่วยละลายนิ่วในไต ส่วนรากและเมล็ดใช้ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการปัสสาวะเหลืองหรือแดง
- ตำรายาพื้นบ้าน จะใช้ทั้งต้น 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 3 ครั้ง เป็นยารักษาอาการตกเลือด แก้ไข้ทับระดู (ทั้งต้น)
- รากและเมล็ด ใช้ปรุงเป็นยากินแก้น้ำเหลืองเสีย รักษาน้ำเบาเหลืองและแดงดังสีขมิ้น หรือน้ำเบาออกน้อย
- ต้นและใบ มีสรรพคุณเป็นยาแก้เส้นเอ็นพิการ (ความผิดปกติของระบบเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ มักมีอาการเจ็บต่างๆ ปวดเมื่อยเสียวไปทุกเส้น ตามตัว ใบหน้า ถึงศีรษะ)
- เมล็ด มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงไขข้อ บำรุงเส้นเอ็น ส่วนทั้งฝักมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกระดูก บำรุงเส้นเอ็น (เมล็ด, ทั้งฝัก)
หมายเหตุ : ต้นถั่วแระ ที่กล่าวถึงในบทความนี้ เป็นคนละชนิดกันกับถั่วแระที่ได้มาจากการเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองในระยะที่ฝักยังไม่แก่หรือไม่อ่อนเกินไป แล้วนำมาต้มหรือนึ่งทั้งต้นและฝัก

บักเดื่อ
บักเดื่อ, มะเดื่อชุมพร ชื่อสามัญ Cluster fig, Goolar (Gular), Fig มีชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus racemosa L. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Ficus glomerata Roxb. จัดอยู่ในวงศ์ขนุน MORACEAE มะเดื่อชุมพร มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า เดื่อเกลี้ยง (ภาคเหนือ), มะเดื่อน้ำ มะเดื่อหอม หมากเดื่อ เดื่อเลี้ยง (ภาคอีสาน), มะเดื่อ มะเดื่อเกลี้ยง มะเดื่อชุมพร เดื่อน้ำ กูแซ (ภาคใต้), มะเดื่อดง, มะเดื่อไทย, มะเดื่ออุทุมพร เป็นต้น
มะเดื่อชุมพร มีถิ่นกำเนิดครอบคลุมในเขตร้อนของทวีปเอเชีย ไล่ตั้งแต่ประเทศอินเดียไปจนถึงประเทศจีน โดยจัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ทรงพุ่มกว้าง ใบหนาทึบ ลำต้นสูงประมาณ 5-20 เมตร ลำต้นเกลี้ยง เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลปนเทา กิ่งอ่อนเป็นสีเขียว ส่วนกิ่งแก่เป็นสีน้ำตาลเกลี้ยง ส่วนใบจะเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับตามกิ่ง ใบเป็นรูปทรงรี หรือรูปหอก โคนใบมนหรือกลม ปลายใบแหลม ผิวใบเกลี้ยงหรือมีขนไม่หลุดร่วงง่าย ขอบใบเรียบ มีเส้นแขนงในใบประมาณ 6-8 คู่ และก้านยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร ส่วนดอกมะเดื่อชุมพร จะออกดอกเป็นช่อยาวตามกิ่ง โดยแต่ละช่อก็จะมีดอกย่อยขนาดเล็กเป็นกลุ่ม ดอกช่อจะเกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปร่างคล้ายผล และดอกมีสีขาวอมชมพู ลักษณะของลูกมะเดื่อชุมพร มีลักษณะทรงกลมแป้นหรือรูปไข่ ผลจะเกาะกลุ่มอยู่ตามต้นและตามกิ่ง ห้อยเป็นระย้าสวยงาม โดยผลอ่อนจะเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเป็นสีแดงม่วง มีรสฝาดอมหวาน สามารถรับประทานได้ ซึ่งดอกและผลนี้จะออกตลอดปี
มะเดื่อ ปัจจุบันยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก สาเหตุคงมาจากผลสุกมักจะมีแมลงหวี่อยู่ในผลด้วยเสมอ ทำให้หลายๆ คนรู้สึกไม่ค่อยดีนัก หรืออาจมองว่ามันสกปรกจนไม่น่ารับประทาน แต่ในต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับมะเดื่ออย่างมาก เพราะเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกและน่าสนใจอยู่มากเลยทีเดียว โดยต้นมะเดื่อกับแมลงหวี่ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน โดยมะเดื่ออาศัยให้แมลงหวี่ช่วยผสมเกสรให้ติดเมล็ด ส่วนแมลงหวี่ก็อาศัยมะเดื่อเป็นอาหาร และฟักไข่จนเป็นตัว จะเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องอาศัยกันและกันในการสืบพันธุ์ต่อไป
ประโยชน์ของมะเดื่อ
- ราก ใช้เป็นยาแก้ไข้ ถอนพิษไข้ กระทุ้งพิษไข้ แก้ไข้หัว ไข้กาฬ หรือไข้พิษทุกชนิด ช่วยกล่อมเสมหะและโลหิต ช่วยแก้อาการร้อนใน (ในคาบสมุทรมลายู) ในคาบสมุทรมลายูจะใช้รากต้มกับน้ำ ปรุงเป็นยาบำรุงหลังการคลอดบุตร
- เปลือก ช่วยแก้อาเจียน ช่วยแก้ธาตุพิการ เปลือกต้นใช้รับประทานแก้อาการเสีย ท้องร่วง (ที่ไม่ใช่บิดหรืออหิวาตกโรค) ช่วยแก้ประดงเม็ดผื่นคัน
- ผลดิบ ช่วยแก้โรคเบาหวาน
- ผลสุก ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก ผลสุกมีฤทธิ์เป็นยาระบาย เปลือกต้น ช่วยห้ามเลือดและชะล้างบาดแผล ใช้เป็นยาสมานแผล
- ไม้มะเดื่อ จัดเป็นไม้มงคลที่สามารถปลูกไว้ในบ้านและยังเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะในสมัยอดีตจะใช้ไม้มะเดื่อทำพระที่นั่งในพระราชพิธีราชาภิเษก ใช้ทำเป็นกระบวยตักน้ำเจิมถวาย และใช้ทำหม้อน้ำสำหรับกษัตริย์ทรงใช้ในพระราชพิธี
- ผลสุก สามารถใช้เป็นอาหารสัตว์ได้หลายชนิด เช่น กระรอก นก หนู ฯลฯ แถมยังเป็นการขยายพันธุ์มะเดื่อชุมพรไปด้วยในตัว เพราะเมล็ดของมะเดื่อจะงอกดีมากขึ้นเพราะมีน้ำย่อยในกระเพาะของสัตว์
- ยางเหนียว ใช้ลงพื้นสำหรับปิดทอง
- เนื้อไม้ ของต้นมะเดื่อสามารถใช้ทำเป็นแอกไถ หีบใส่ของ ไม้จิ้มฟันได้
- ใบอ่อน ใช้นึ่งกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก ยอดอ่อนใช้ลวกกินกับน้ำพริก
- ผลอ่อน ใช้รับประทานเป็นอาหารได้
- หัวใต้ดิน สามารถนำไปนึ่งรับประทานได้
- ช่อดอก หรือที่คนไทยเรียกว่า ผล หรือ ลูกมะเดื่อ สามารถนำมารับประทานเป็นผักได้โดยใช้จิ้มกับผัก หรือใช้ทำแกงอย่างแกงส้มก็ได้เช่นกัน
ข้อควรรู้ ! : สาเหตุที่มีชื่อว่า มะเดื่อชุมพร ก็เนื่องมาจากเป็นพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดชุมพร และต้นมะเดื่อชุมพรจัดเป็นพันธุ์ไม้พระราชทาน (มะเดื่อชุมพรกับมะเดื่อฝรั่งเป็นคนละชนิดกันนะครับ !)

บักหูลิง
บักหูลิง, หัวลิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Sarcolobus globosus Wall. จัดอยู่ในวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (ASCLEPIADOIDEAE หรือ ASCLEPIADACEAE) สมุนไพรหัวลิง มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า เถาหัวลิง (กรุงเทพฯ), หงอนไก่ใหญ่ (ตราด), เถรอดเพล ตองจิง หัวลิง อ้ายแหวน (ประจวบคีรีขันธ์), หัวกา (สุราษฎร์ธานี), มะปิน ตูดอีโหวด (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), บาตูบือแลกาเม็ง (มาลายู-นราธิวาส) ก้างปลาขาว (สุโขทัย), หมักแฟบ (พิษณุโลก), หูด้าง (สุรินทร์), หัวลิง (นครพนม, อุบลราชธานี, สุรินทร์, ขอนแก่น, นครราชสีมา), แควบ แฟบ (ชลบุรี), แฟบหัวลิง (ใต้) หูลิง
- ต้นหัวลิง หรือ เถาหัวลิง จัดเป็นพรรณไม้เถา ลำต้นอยู่เหนือดิน เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาล ผิวขรุขระ ไม่มียาง อาศัยอยู่บนบก ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ชอบอากาศค่อนข้างชุ่มชื้น
- ใบหัวลิง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงกันเป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือเป็นรูปขอบขนานหรือรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบมน ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 4.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8 เซนติเมตร
- ดอกหัวลิง ออกดอกเป็นช่อกระจะบริเวณตามง่าม ก้านช่อดอกมีความยาวประมาณ 6-13 มิลลิเมตร ลักษณะของดอกมีกลีบดอกและกลีบรองกลีบดอก อย่างละ 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน มีสีม่วงภายในกลีบ ดอกมีทั้งเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียเชื่อมติดอยู่ มีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดโตประมาณ 1 เซนติเมตร ดอกไม่มีกลิ่น
- ผลหัวลิง ผลเป็นผลเดี่ยว ลักษณะของผลเป็นฝักรูปกลมมน เปลือกฝักเป็นสีน้ำตาล มีขนาดกว้างยาวประมาณ 4 นิ้ว ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และจะแตกกลางพู ภายในฝักมีเมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไข่แบน ยาวได้ประมาณ 18 มิลลิเมตร มีขอบหนาเป็นสีน้ำตาลแก่
สรรพคุณของหัวลิง
- ใบสดนำมาตำผสมกับผลมะเยาให้ละเอียด แล้วนำมาใช้เป็นยาแก้โรคปวดข้อหรือแก้ไข้ส่า
- ตำรายาไทยใช้ แก่น มีรสมึนเมาเล็กน้อย แก้พิษทั้งปวง แก้พิษไข้เซื่องซึม เป็นยาถอนพิษ แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้ปวดหลังปวดเอว แก้กระษัย (การป่วยที่เกิดจากหลายสาเหตุ ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม ซูบผอม โลหิตจาง ปวดเมื่อย) และขับปัสสาวะ ราก รักษากามโรค
- ยาพื้นบ้านอีสานใช้ ลำต้น ผสมลำต้นการเวก รากตับเต่าต้น รากเอนอ้าขน รากกำจาย ลำต้นอ้อยแดง ต้มน้ำดื่ม แก้ผิดสำแดง ลำต้นและใบ นำมาเผาให้เกิดควันไฟ รักษาฝีหนองในสัตว์เลี้ยง
- ยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานีใช้ ราก เข้ายากับรากส้มกุ้ง ฝนกับน้ำดื่ม แก้ไข้มาลาเรีย ลำต้น เข้ายากับขมิ้นต้น และขมิ้นเครือ ต้มน้ำดื่ม แก้ซางเด็ก
- ประเทศกัมพูชาใช้ ผล มีรสเปรี้ยว ปรุงอาหาร
- เมล็ดเป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ชาวพื้นเมืองในทวีปเอเชียนิยมนำมาใช้เป็นยาเบื่อหมา แมว และสัตว์ป่า (โดยมีฤทธิ์ยับยั้งกล้ามเนื้อระบบประสาท อาการเป็นพิษที่แสดง คือ ปัสสาวะเป็นเลือด ไตเสื่อม)

บักเกลี้ยง
บักเกลี้ยง, รักใหญ่ ชื่อสามัญ Red zebra wood, Vanish tree, Burmese lacquer tree, Burmese vanish wood, Black lacquer tree, Thai vanish wood มีชื่อวิทยาศาสตร์ Gluta usitata (Wall.) Ding Hou ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Melanorrhoea usitata Wall. จัดอยู่ในวงศ์มะม่วง (ANACARDIACEAE) มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า รักเทศ มะเรียะ (เชียงใหม่), น้ำเกลี้ยง (สุรินทร์), ฮักหลวง (ภาคเหนือ), รัก (ภาคกลาง), รัก ซู้ สู่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), ฮัก, รักหลวง เป็นต้น
ต้นรักใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย บังกลาเทศ พม่า ลาว กัมพูชา จีน และไทย โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงของต้นประมาณ 15-20 เมตร และอาจสูงได้ถึง 25 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มค่อนข้างกลม เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลปนสีเทา เปลือกแตกเป็นร่องตามยาว ส่วนเปลือกชั้นในเป็นสีชมพูอ่อน ใบคล้ายใบมะม่วงหิมพานต์ มักมีแมลงมาไข่ไว้ตามใบ ทำให้เกิดตุ่มกลมๆ ตามแผ่นใบ ใบรักใหญ่เป็นใบเดี่ยว กิ่งอ่อนและยอดปกคลุมไปด้วยขนยาวสีขาว ส่วนกิ่งแก่เกลี้ยงหรือมีขนสั้นๆ ออกดอกเป็นช่อแบบแยกแขนง โดยจะออกตามปลายกิ่งหรือใกล้กับปลายกิ่งและซอกใบ มักทิ้งใบก่อนการออกดอก โดยดอกจะเริ่มบานจากสีขาว แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูและสีแดงสด โดยจะออกดอกเป็นกลุ่มช่อหนาแน่นตามซอกใบช่วงบน และติดผลในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ พบขึ้นกระจายพันธุ์ทั่วไปตามป่าผลัดเบญจพรรณ ป่าผลัดใบ ป่าเต็งรัง ป่าดิบเขา ทุ่งหญ้าโล่ง เขาหินปูน ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-1,000 เมตร ในประเทศไทยพบได้ที่จังหวัดอุทัยธานี ชัยภูมิ กำแงเพชร และหนองบัวลำภู
สรรพคุณของรักใหญ่
- เปลือกต้นมีรสเมา ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้กามโรค ใช้เข้ายาบำรุงกำลัง ยางช่วยแก้มะเร็ง ช่วยแก้ไข้เรื้อรัง ใช้เป็นยารักษาโรคเรื้อน
- เมล็ดใช้เป็นยาแก้ปากคอเปื่อย ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยแก้คุดทะราด ช่วยแก้อักเสบ
- เมล็ดและยางมีสรรพคุณช่วยแก้ปวดฟัน และยางยังใช้ผสมกับน้ำผึ้ง เป็นยารักษาโรคที่ปาก เอาสำลีชุลอุดฟันที่เป็นรูช่วยแก้ปวดได้
- เปลือกรากมีรสเบื่อเมา มีสรรพคุณช่วยแก้โรคไอ ช่วยแก้โรคท้องมาน ใช้แก้พยาธิลำไส้ บ้างว่ารากเป็นยาขับพยาธิ ใช้รากเป็นยาพอกแก้พยาธิลำไส้ แก้ริดสีดวงทวาร ใช้รักษาโรคผิวหนัง
- ยางใช้ทำเป็นยาแก้พยาธิ ใช้ผสมกับยางสลัดไดเป็นยารักษาโรคผิวหนัง ขี้กลาก และกัดเนื้อสด นำมาทำเป็นยารักษาโรคเรื้อน
- เปลือกต้นมีสรรพคุณช่วยขับเหงื่อ ทำให้อาเจียน ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้บิด ท้องร่วง
- ตำรับยาพื้นบ้านอีสานจะใช้ลำต้นหรือรากรักใหญ่ ผสมกับลำต้นหรือรากมะค่าโมง นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาเจียนเป็นเลือด
- น้ำยางมีรสขมเอียน มีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง ช่วยแก้อาการปวดไส้เลื่อน แก้ไส้เลื่อนในกระเพาะปัสสาวะ ช่วยแก้ริดสีดวง
- ยางใช้ทำเป็นยารักษาโรคตับ เปลือกรากมีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคตับ
- ใบและรากใช้เป็นยาพอกแผล ช่วยแก้ส้นเท้าแตก
- แก่นใช้ต้มกับน้ำอาบรักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน
- เปลือกต้นหรือใบรักใหญ่ ใช้ผสมกับรากสะแอะหรือรากหนวดหม่อน, แก่นฝาง, เปลือกต้นหรือใบแจง, เปลือกต้นกันแสง, และต้นสังวาลย์พระอินทร์ทั้งต้น นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้น้ำเหลืองเสีย มีแผลเปื่อยตามตัวของผู้ป่วยเอดส์ ช่วยแก้อาการปวดข้อเรื้อรัง
ประโยชน์ของรักใหญ่
- น้ำยาง สามารถนำมาใช้ทำน้ำมันเคลือบเงาได้ โดยน้ำยางใสเมื่อถูกอากาศจะเปลี่ยนเป็นสีดำและเป็นมัน การใช้ยางรักจากต้นรักใหญ่ทางภาคเหนือรู้จักกันมาช้านานแล้ว โดยนำมาใช้เป็นวัสดุสำคัญในงานศิลปกรรมเพื่อผลิตเครื่องรักประเภทต่างๆ (การลงพื้นหรือทาสิ่งต่าง ๆ เรียกว่า "ลงรัก") ซึ่งเป็นงานประณีตศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทย เช่น การนำใช้ทาไม้เครื่องเขินเพื่อลงลวดลาย, ทากระดาษกันน้ำซึม, ทาไม้รองพื้นสำหรับปิดทอง ที่เรียกว่า "ลงรัก ปิดทอง", งานประดับมุก, งานเขียนลายรดน้ำ ฯลฯ

- นอกจากนี้ยางไม้ยังใช้ทำงานฝีมือที่เรียกว่า เครื่องเขินและทาผ้า หรือเครื่องจักสานกันน้ำซึมได้ด้วย
- เนื้อไม้ของต้นรักใหญ่มีเนื้อไม้เป็นสีแดงเข้ม มีริ้วสีแก่แทรก เป็นมันเลื่อม แต่เสี้ยนสน เนื้อไม้ค่อนข้างเหนียวละเอียด มีความแข็งแรงทดทาน ไสกบตบแต่งยาก แต่ชักเงาได้ดี สามารถใช้ทำบัวประกบฝาเครื่องเรือน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องกลึง เครื่องมือทางการเกษตร เสา คาน ไม้อัด กระสวย รางปืน รางรถไฟ ฯลฯ
พิษของรักใหญ่
- น้ำยางสดมีสารพิษ Phenol ซึ่งออกฤทธิ์ระคายเคืองต่อผิวหนัง ทำให้ผิวหนังอักเสบและมีอาการคันมาก ทำให้เกิดอาการบวมแดง พองเป็นตุ่มน้ำใส และอาจลุกลามรุนแรงจนเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังได้ สำหรับวิธีการรักษาเบื้องต้นให้รีบล้างออกด้วยสบู่และน้ำสะอาด และทาด้วยครีมสเตียรอยด์วันละ 1-2 ครั้ง เช่น ครีม prednisolone 5% หรือ triamcinolone acetonide 0.025%-0.1% ส่วนผู้ที่มีอาการแพ้ปานกลางหรือรุนแรง จำเป็นต้องรับประทานเพรดนิโซโลน (Prednisolone) ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า หรือทั้งเช้าและเย็น แล้วอาการจะดีขึ้นภายใน 6-12 ชั่วโมง ส่วนผู้ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง ก็อาจจะต้องรับประทานยานี้นานถึง 2 สัปดาห์ โดยให้ลดขนาดลงมาทุกวันจนกระทั่งหยุดยา
- ขนจากใบแก่เป็นพิษต่อผิวหนัง เมื่อถูกผิวหนังจะทำให้เกิดอาการคันทั่วตัว และอาจทำให้คันอยู่นานนับเดือน ผิวหนังอาจบวม ซึ่งชาวบ้านจะแก้โดยวิธีการใช้เปลือกและใบสักมาต้มกับน้ำอาบ

บักโกนา
บักโกนา หรือ หมากโก, ตะโกนา ชื่อสามัญ Ebony มีชื่อวิทยาศาสตร์ Diospyros rhodocalyx Kurz จัดอยู่ในวงศ์มะพลับ (EBENACEAE) มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มะถ่านไฟผี (เชียงใหม่), นมงัว (นครราชสีมา), ตะโก มะโก พญาช้างดำ พระยาช้างดำ (ภาคเหนือ), โก (ภาคอีสาน), ตองโก พะแล ตะกอ (ภาษาเขมร) ไปล ตะโก (ภาษากูย)
ตะโกนา เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียบริเวณประเทศอินเดีย ศรีลังกา แล้วมีการกระจายพันธุ์ไปยังบังคลาเทศ พม่า จีนตอนใต้ ไทย มาเลเซีย หมู่เกาะแปซิฟิก รวมถึงในออสเตรเลียด้วย สำหรับ ในประเทศไทยสามารถพบ ตะโกนา ได้ทุกภาคของประเทศตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น และป่าละเมาะ รวมถึงตามทุ่งนา ที่มีความสูง 40-300 เมตร จากระดับน้ำทะเล
ผลตะโกนา ผิวผลเรียบ ผลอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดงคลุมอยู่หนาแน่น ซึ่งขนเหล่านี้มักหลุดร่วงได้ง่าย ส่วนปลายผลและโคนผลมักบุ๋ม กลีบจุกผลชี้ออกหรือแนบลู่ไปตามผิวของผล ข้างในมีขนสีน้ำตาลแดงและมีขนนุ่มทางด้านนอกพื้นกลีบและขอบกลีบมักเป็นคลื่น เส้นสายกลีบพอเห็นได้ชัด ผลเมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือแดงปนส้ม ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 3-5 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไข่รีหรือแบน เมล็ดเป็นสีน้ำตาล มีเนื้อหุ้มสีขาวและฉ่ำน้ำ โดยจะติดผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน
สรรพคุณของตะโกนา
- เปลือกต้นหรือแก่นใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้มีอายุยืนยาว ตำรายาไทยจะใช้เปลือกต้นตะโกนา เถาบอระเพ็ด ผสมกับเปลือกทิ้งถ่อน เมล็ดข่อ ผลพริกไทยแห้ง และหัวแห้วหมู อย่างละเท่ากันนำมาต้มกับน้ำดื่มหรือดองกับเหล้าดื่มเป็นยาอายุวัฒนะ แก่นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นชาช่วยแก้อาการร้อนในได้
- เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นชาช่วยบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย ช่วยทำให้เจริญอาหาร ใช้เข้ายารักษามะเร็ง
- ผลนำมาตากแดด ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้กษัย ช่วยแก้อาการคลื่นไส้ แก้อาเจียนเป็นโลหิต
- ราก บ้างว่าใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่ม ช่วยแก้โรคผอมแห้งหลังการคลอดบุตรเนื่องมาจากอยู่ไฟไม่ได้
- ต้น ใช้เป็นยาแก้ไข้ ช่วยแก้พิษผิดสำแดง
- ราก ต้น และแก่นเป็นยาแก้ไข้กลับ ไข้ซ้ำ จากการกินของแสลงที่เป็นพิษ
- เปลือกต้นหรือแก่นนำมาต้มกับเกลือใช้อมรักษาโรครำมะนาดหรือโรคปริทันต์ (โรคที่มีอาการอักเสบของอวัยวะรอบ ๆ ฟัน) ช่วยขับน้ำย่อย ช่วยในการย่อยอาหาร
- ผลมีรสฝาดหวาน ช่วยแก้อาการมวนท้อง เอามาตากแดดใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการท้องร่วง ท้องเสีย แก้บิดบวมเป่ง
- ส่วนเปลือกผลใช้แก้อาการท้องร่วง
- ผลต้มกับน้ำดื่มใช้เป็นยาแก้พยาธิ ขับพยาธิ บ้างว่าผลก็เป็นยาขับระดูขาวเช่นกัน ใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง
- เปลือกผลนำมาเผาจนเป็นถ่าน ใช้แช่กับน้ำกินเป็นยาขับปัสสาวะ ใช้แช่กับน้ำกินเป็นยาขับระดูขาวของสตรี ส่วนเปลือกต้นหรือแก่นก็ขับมุตกิดระดูขาวได้ด้วยเช่นกัน แก้อาการปวดมดลูก แก้ตกเลือด
- แก่นหรือเปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคกามตายด้าน บำรุงความกำหนัด เพิ่มพลังทางเพศ กระตุ้นร่างกายให้สดชื่นแข็งแรง
- รากตะโกนาใช้ต้มกับน้ำดื่มแก้โรคเหน็บชา อาการปวดเมื่อย อ่อนเพลีย
- ส่วนตำรับยาพื้นบ้านของอีสานนั้นจะใช้รากตะโกผสมกับรากมะเฟืองเปรี้ยว รากเครือปลาสงแดง และรากตีนนก นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการปวดเมื่อย รากและต้นช่วยบำรุงน้ำนมของสตรี
ประโยชน์ของตะโกนา
- ผลสุก ของตะโกนาสามารถใช้รับประทานได้ โดยจะมีรสหวานฝาด บ้างว่านำผลมารับประทานโดยนำมาทำเหมือนกับส้มตำ โดยคุณค่าทางโภชนาการของผลตะโกนาต่อ 100 กรัม ประกอบไปด้วย พลังงาน 99 แคลอรี, คาร์โบไฮเดรต 24.5 กรัม, น้ำ 73.6 กรัม, เส้นใย 1.5 กรัม, โปรตีน 0.3 กรัม, วิตามินบี 2 1.37 มิลลิกรัม, วิตามินซี 79 มิลลิกรัม, ธาตุแคลเซียม 19 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 0.4 มิลลิกรัม และธาตุฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม
- ต้นตะโกจะออกผลดกทุกปี จึงเป็นอาหารให้แก่สัตว์ได้จำนวนมาก
- ผลอ่อนหรือผลดิบใช้สำหรับย้อมสีผ้า แห อวน มาตั้งแต่โบราณ โดยสีที่ได้คือสีน้ำตาล แต่คุณภาพจะไม่ดีมากนัก เพราะสีของเส้นไหมจะตกและไม่ทนทานต่อแสง และคุณภาพที่ได้จะไม่ดีเท่ากับมะพลับ โดยยางของลูกตะโกที่นำมาละลายน้ำใช้สำหรับการย้อมแหและอวนนั้น จะมีราคาถูกกว่ายางมะพลับ จึงมีพ่อค้าหัวใสนำยางของผลตะโกมาปลอมขายเป็นยางมะพลับ จึงเกิดคำพังเพยที่ว่า “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก”
- เนื้อไม้ เป็นสีขาวหรือออกสีน้ำตาลอ่อน มีความแข็งแรง มีความเหนียว เนื้อค่อนข้างละเอียด สามารถนำมาใช้ทำเป็นเครื่องเรือน เครื่องใช้ เครื่องมือทางการเกษตร เช่น ทำเสา รอด ตง คาน ฯลฯ
- ต้นตะโก เป็นพันธุ์ไม้ที่นิยมปลูกเพื่อใช้นำมาทำไม้ดัดมากที่สุด ใช้ปลูกเพื่อตกแต่งสวนหรือสนามหญ้า เพราะมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี ง่ายต่อการเพาะเลี้ยงและบำรุงรักษา
- เนื่องจากต้นตะโกเป็นไม้ที่มีอายุยืน และทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี เชื่อว่าเป็นไม้มงคล หากนำมาปลูกไว้ในบริเวณบ้านทางทิศใต้ จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านมีความอดทนเหมือนต้นตะโก

หมากหวาย
หมากหวาย หวาย (อังกฤษ: Rattan palm) เป็นพืชที่อยู่ในเผ่าหวาย พบทั่วไปในเขตร้อนของทวีปแอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสตราเลเชีย ทั่วโลกมีหวายเกือบ 600 ชนิด ในประเทศไทย หวาย เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งของประเทศในเขตร้อน พบมากทางเขตภาคใต้ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี สงขลา ระนอง กระบี่ ปัตตานี รวมถึง สกลนคร ขอนแก่น ฯลฯ มีประมาณ 40 กว่าชนิด แต่ชนิดที่มีมากเป็นหวายในสกุล Calamus หวายที่นิยมใช้ในการจักสาน เป็นหวายชนิดผิวแข็งได้แก่ หวายแดง หวายกาหลง หวายหอม หวายชุมพร หวายโอมัด หวายขี้ขาว ฯลฯ
ลักษณะโดยทั่วไปของหวาย เป็นพันธุ์ไม้เลื้อยหรือไม้รอเลื้อยตระกูลปาล์ม ลำเถาชอบพันเกาะต้นไม้ใหญ่ มีกาบหุ้มต้น และมีหนามแหลม มีความเหนียว ใบเป็นรูปขนนกเล็กๆ ใบย่อยนั้นเรียวยาว มีสีเขียวสด ก้านใบหนึ่งๆ มีใบย่อยราว 60 - 80 คู่ ออกดอกเป็นช่อ สีขาวปนเหลือง ผลค่อนข้างกลม เปลือกเป็นเกล็ด ลูกอ่อนเปลือกสีเขียว เนื้อสีขาว ผลแก่เปลือกสีเหลือง เปลือกล่อน เนื้อแข็ง รสเปรี้ยวฝาด

การปลูกหวายเชิงการค้า นิยมนำส่วนลำต้นที่สูงและมีความ ยืดหยุ่นมากเป็นพิเศษมาสานเป็นเฟอร์นิเจอร์ ลูกหวายอ่อนใช้กินเป็นผักจิ้มน้ำพริก แกะเปลือกออกแล้วนำไปทำส้มตำ หน่อหวายใช้ทำอาหาร เช่น แกงอ่อม ซุบหน่อหวาย ยำ ข้าวเกรียบและหวายทอดกรอบ หวายบางชนิดในผลมีเรซินสีแดงเรียกเลือดมังกร ซึ่งใช้เป็นยาในสมัยโบราณ
สรรพคุณ
- ตำรายาไทย หัวหรือรากและยอดหวาย มีรสขมเย็นเมาเล็กน้อย ใช้ปรุงยากินดับพิษร้อน พิษไข้ แก้เซื่องซึม แก้พิษ ตับปอดพิการ แก้ไอ บำรุงน้ำดี แก้ร้อนในกระหายน้ำ
- หน่อหวาย คือ ลำต้นอ่อนของหวาย แทงขึ้นจากเหง้าใต้ดิน มีกาบแข็งเต็มไปด้วยหนามหุ้ม เนื้อในอ่อน กรอบ สีขาว มีรสขม นำมาปรุงอาหาร ก่อนนำไปปรุงอาหารต้องนำไปต้มให้หายขม จากนั้นนำไปทำแกง ดอง หรือจิ้มน้ำพริก หน่อหวาย มีธาตุสังกะสี ในปริมาณสูง ใช้เสริมธาตุสังกะสี ช่วยเจริญอาหาร ลดภาวะเครียด ช่วยส่งเสริมสมรรถภาพทางเพศชาย เนื้อหุ้มเมล็ด รับประทานได้

คุณค่าอาหารและประโยชน์
- ลูกหวาย อุดมไปด้วยแคลเซียมและวิตามินซี ใน 100 กรัม ให้พลังงานถึง 79 แคลอรี คาร์โบไฮเดรต 18.6 กรัม
- หน่อหวาย มีโปรตีและเส้นใย รสขมของหวายมีสรรพคุณทางยาคือ แก้โรคท้องร่วง หน่อหวายมีธาตุสังกะสีในปริมาณสูง ช่วยให้ไม่เครียดง่าย

บักเหลี่ยม
บักเหลี่ยม หรือหมากเหลี่ยม เป็นภาษาอีสาน ภาษากลางเรียกว่า "ต้นมะกอกเกลื้อน" มีชื่อสามัญ Kenari, Upi มีชื่อวิทยาศาสตร์ Canarium subulatum Guillaumin จัดอยู่ในวงศ์มะแฟน (BURSERACEAE) สมุนไพรมะกอกเกลื้อน มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มะเลื่อม (พิษณุโลก, จันทบุรี), มักเหลี่ยม (จันทบุรี), โมกเลื่อม (ปราจีนบุรี), มะกอกเกลื้อน (ราชบุรี), มะเหลี่ยมหิน (มหาสารคาม), มะเกิ้ม (ภาคเหนือ), กอกกัน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), มะกอกเลื่อม (ภาคกลาง), มะกอกเลือด (ภาคใต้), มะกอกกั๋น (คนเมือง), มะเกิ้ม (ไทลื้อ), เกิ้มดง เพะมาง สะบาง ไม้เกิ้ม (ขมุ), ซาลัก (เขมร) เป็นต้น
เป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ สูง 10-25 เมตร ลำต้นตั้งตรง เรือนยอดกลม เปลือกสีน้ำตาลอมเทาถึงเทาแก่ แตกเป็นสะเก็ด หรือแตกเป็นร่องตามยาว มียางใสหรือขาวขุ่น เมื่อแห้งเป็นสีน้ำตาลดำ เปลือกชั้นในสีน้ำตาลอ่อนมีขีดเส้นขาวๆ กิ่งอ่อนมีขนสี้น้ำตาอมส้มหนาแน่น ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงเวียน ใบย่อย 2-5 คู่ เรียงตรงข้าม ผลอ่อนสีเหลือง ผลแก่สีเขียวอมเหลือง กว้างประมาณ 2 ซม. ยาว 2.5-3.5 ซม. โคนผลมีกลีบเลี้ยงติดทน ขนาดกว้าง 6-15 มิลลิเมตร เมล็ดรูปกระสวย 3 เมล็ด เรียงกันเป็นรูปสามเหลี่ยม ชั้นหุ้มเมล็ดแข็งมาก ออกดอกราวเดือน มกราคมถึงพฤษภาคม ติดผลเดือนพฤษภาคมถึงธันวาคม เกิดตามหัวไร่ปลายนาและตามป่าทั่วไป ผลและเมล็ดกินได้
ตอนเด็กๆ ในโรงเรียนมีต้นบักเหลี่ยมต้นใหญ่มาก เอาลูกแก่ๆ มาจิ้มเกลือกิน เปรี้ยวเฝื่อน ผ่ากินเนื้อในเมล็ด มันๆ อร่อยครับ ในป่าบนภูเขามีเยอะมาก ที่บ้านจะเรียกมะกอเลิ่ม หรือ มะกอกเหลี่ยม นำไปดองหรือเชื่อมก็อร่อยนะ เนื้อแน่นๆ หนึบหนับครับ
สรรพคุณของบักเหลี่ยม
- ตำรายาไทย ยาง รสฝาด ทาแก้เม็ดผื่นคัน และเป็นเครื่องหอม ผล เป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว แก่น รสเฝื่อน แก้โลหิตระดูพิการ แก้ประดง ผลสด มีรสฝาดเปรี้ยว นำมาดองและแช่อิ่ม กินเป็นอาหาร เนื้อในเมล็ด สีขาวรับประทานได้ มีรสมัน
- ตำรายาพื้นบ้านอีสาน ใช้ เปลือกต้น ใช้รักษาโรคลักปิดลักเปิด ผล แก้ไอ ขับเสมหะ
- ชาวเขาเผ่าแม้ว ใช้ ทั้งต้น ต้มน้ำอาบ บำรุงร่างกายให้มีกำลัง แข็งแรง
- แก่นมีรสเฝื่อนใช้เป็นยาแก้โลหิตระดูพิการ
- ยางสดใช้เป็นยาทาภายนอกแก้อาการคัน ตุ่มคันหรือเม็ดผื่นคัน
- แก่นใช้เป็นยาแก้ประดง (อาการของโรคผิวหนังที่เป็นเม็ดขึ้นคล้ายผด มีอาการคันมากและมักมีไข้ร่วมด้วย)
![]()
















