99/169 Sarin7 UBN 34190 081 878 3521 This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
  • ธรรมะในดินแดนอีสาน

    พุทธศาสนา : งดงามในดินแดนอีสาน

  • เทียนพรรษา

    งานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี

  • เที่ยวนครพนม

    เที่ยวนครพนมชมความงดงามริมแม่น้ำโขง

  • ธรรมชาติงดงามบนภูกระดึง

    ความสุขที่คุณเดินได้เพื่อพิชิตภูกระดึง

  • สามพันโบก

    รุ่งอรุณ ณ สามพันโบก มหัศจรรย์กลางลำน้ำโขง

  • รุ่งอรุณ ณ ผาแต้ม

    ตะวันขึ้นก่อนใครในสยามประเทศ ผาแต้ม

  • เขาใหญ่

    ไปชื่นชมธรรมชาติมรดกโลกที่เขาใหญ่กัน

  • ผามออีแดง

    ปลายฝนต้นหนาวไปชมทะเลหมอก ณ ผามออีแดง

  • ม่วนซื่นโฮแซวแนวอีสาน

    อีสานมีทั้งธรรมชาติสวยงาม ผลไม้ขึ้นชื่อ งานประเพณีแปลกตา

  • ตะวันตกดิน

    มุมสงบใจให้ดื่มด่ำยามพลบค่ำสิ้นแสงสุรีย์

: Our Sponsor

adv200x300 2

: Our Fanpage

: My Web Site

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail

ปู่ปะหลาน

poo pa lan

เมื่อได้ยินคำว่า 'ทุ่งกุลาร้องไห้' หลายคนก็อาจคิดถึงทุ่งที่กว้างใหญ่ไพศาลดุจทะเลทราย ซึ่งเป็นอีกภูมิประเทศในไทยเมื่อหลายล้านปีก่อน หรือบางคนอาจจะคิดถึงพื้นที่แห่งความแห้งแล้ง แต่สำหรับผมเองยังนึกถึงประวัติศาสตร์ที่เล่าขานกันมาอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือ นิทาน หรือ ตำนานเรื่อง "ปู่ป๋าหลาน" หรือ "ปู่ป่ะหลาน" สำหรับคำว่า "ป๋า" หรือ "ปะ" เป็นภาษาลาวที่คนในภาคอีสานใช้พูดกัน มีความหมายว่า ทิ้ง, ทอดทิ้ง หรือแยกทางกัน ดังนั้นคำว่า "ปู่ป๋าหลาน" จึงมีความหมายว่า ปู่ทิ้งหลานไว้ หรือแยกทางกับหลานไป นั่นเอง ความน่าสนใจของตำนานปู่ป๋าหลาน ในทุ่งกุลาร้องไห้บริเวณอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม คือ อิทธิพลที่ทำให้เกิดลายพิณ ชื่อว่า ลายปู่ป๋าหลาน ผู้ที่เล่นพิณได้นั้นจำเป็นจะต้องเรียนรู้ลายพิณนี้ เพราะเป็นลายแรกๆ ที่ใช้เล่นเวลาเดี่ยวพิณหรือการแสดงของมือพิณ หากเทียบกับการเดี่ยวโปงลาง ก็จะเป็น 'ลายกาเต้นก้อน' ที่มือเดี่ยวโปงลางต้องฝึกเล่นนั่นเอง

"เดี่ยวพิณปู่ป๋าหลาน" บรรเลงพิณ : ทองเบส ทับถนน

ทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นทุ่งกว้างใหญ่ของภาคอีสาน มีพื้นที่กว้างประมาณ 2 ล้านไร่ และมีอาณาเขตครอบคลุมถึง 5 จังหวัด คือ จังหวัดสุรินทร์ ในเขตอำเภอชุมพลบุรี และอำเภอท่าตูม จังหวัดยโสธร ในเขตอำเภอมหาชนะชัย จังหวัดมหาสารคาม ในเขตอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดบุรีรัมย์ ในเขตอำเภอพุทไธสง และจังหวัดร้อยเอ็ด ในเขตอำเภอปทุมรัตต์ อำเภอเกษตรวิสัย อำเภอสุวรรณภูมิ และ อำเภอโพนทราย ซึ่งกินเนื้อที่ทุ่งกุลาร้องไห้มากที่สุดประมาณ 3 ใน 5 อาจกล่าวได้ว่า ทุ่งกุลาร้องไห้ ป็นที่ราบที่มีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน ส่วนพื้นที่ที่ต่อเนื่องกันมากที่สุด กว้างยาวที่สุดนั้น เริ่มตั้งแต่อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคามเรื่อยขึ้นไปทางตะวันออก ส่วนกว้างที่สุดอยู่ในท้องที่อำเภอปทุมรัตต์ อำเภอเกษตรวิสัย อำเภอสุวรรณภูมิ อำเภอโพนทราย มีเนื้อที่ประมาณ 847,000 ไร่ 

สำหรับลายพิณ ปู่ป๋าหลาน นิยมบรรเลงโดยพิณสองสาย คือ สาย 1 และสาย 2 ที่ตั้งโน้ตตัว ลา ทั้งสองสาย โดยในลายปู่ป๋าหลาน เล่าตำนานแห่งทุ่งกุลาออกมาเป็น 3 องค์ คือ 1. บทพรรณา 2. บทจ่ม 3. บทหย่าว

นิทานพื้นบ้านอีสาน : ปู่ป๋าหลาน

ส่วนตำนานหรือนิทานเรื่องนี้สันนิษฐานว่า เกิดในเขตจังหวัดมหาสารคาม เรามาเล่านิทานกันดีกว่า เรื่องย่อๆ เหมือนกันหลายสำนวน ผมเลยเอามายำรวมกันใหม่ ใส่บทสนทนาเข้าไปอีกนิดเพื่อเพิ่มอรรถรสของนิทานพื้นบ้านไทย เรื่องมีดังนี้

poo pa lan 1

พิณบทที่ 1 บทพรรณนา จะเล่นในจังหวะตีสายคู่พร้อมกัน ซึ่งบรรยายอารมณ์ในลักษณะปู่กับหลานคู่หนึ่ง ที่กำลังเดินผ่านทุ่งกุลาร้องไห้ในท้องที่ของจังหวัดมหาสารคาม ในปัจจุบันมีหมู่บ้านหนึ่งชื่อ บ้านปะหลาน ใน อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว แดดยามสายแผดเผาราวกับจะต้มเลือดคนเดินเท้าให้เดือด ทุ่งที่ทอดยาวไร้จุดจบนี้คือ “ทุ่งกุลาร้องไห้” ดินแดนแห้งแล้งทุรกันดารที่ยาวนักกว้างนัก ยังมีชายชรากับหลานน้อยสองคนเดินลัดเลาะไปท่ามกลางความร้อนที่ไม่มีร่มไม้ให้พิง ไม่มีเงาใดให้พัก สู้ทนฝ่าแดด ฝ่าลม ฝ่าความเหนื่อยอ่อน ทั้งสองเดินเรื่อยไปด้วยใจที่มีเพียงคำว่า “ต้องไปให้ถึงอีกฟากฝั่งของทุ่งกว้างนี้” แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปใกล้จะถึงเที่ยงวัน ความเหนื่อยล้าเริ่มครอบงำโดยเฉพาะกับหลานน้อย

เด็กน้อยร่างเล็กเริ่มซวนเซ ดวงตาพร่ามัว ปากแห้งแตกระแหง น้ำเสียงงัวเงีย เริ่มกลายเป็นเสียงสะอื้น “ปู่… มื้อใด๋สิฮอดบ้าน…” เสียงเบาๆ ดังขึ้นจากปากเด็กที่แทบจะไม่เหลือแรงพูด ปู่เหลียวมองหลานด้วยใจสั่น มือเหี่ยวย่นลูบหัวเด็กเบาๆ แต่ก็รู้ดีว่า หากหยุดเดินตอนนี้ จะไม่มีน้ำให้หลาน และเขาเองก็อ่อนแรงเกินกว่าจะเดินย้อนกลับ

จึงจำต้องตัดสินใจ ปู่นำผ้าขาวม้าเก่าผืนเดียวที่ติดตัวมาห่อร่างหลานให้แน่นหนา แล้วอุ้มไปวางไว้ใต้พุ่มไม้ต้นหนึ่งที่พอมีร่มเงารับแดดจ้าได้บ้าง เขาก้มลงกระซิบเบาๆ ข้างหูเด็กน้อย “หลานเอ้ย หลับพักก่อนเด้อ ปู่สิไปหาน้ำมาให้… อย่าตื่นหนีปู่เด้อ”

poo pa lan 2

จากนั้นปู่ก็หันหลังเดินจากไป ตาไม่กล้ามองย้อน เสียงฝีเท้าแผ่วเบา รอยเท้าทิ้งไว้บนผืนดินแตกระแหง เวลาผ่านไปเนิ่นนานไม่รู้กี่นาที หรืออาจเป็นชั่วโมง เด็กน้อยก็ตื่นขึ้นมาด้วยความกระหาย ตาเล็กๆ มองไปรอบๆ ตัว ไม่มีเงาปู่ ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีแม้แต่คำสัญญาใดๆ “ปู่… ปู่ไปไส…” เด็กน้อยร้องเรียกเสียงสั่น พลางขยับตัวช้าๆ ออกจากผ้าขาวม้าที่ห่อไว้ ความกลัว ความหิว ความร้อน และความเข้าใจผิด เริ่มเกาะกินใจดวงเล็ก

“ปู่บ่ฮักหลานแล้วบ้อ… ปู่คือป๋าหลานไว้… ปู่ป๋าหลาน… ปู่ป๋าหลานไว้…”

เสียงเด็กพร่ำคร่ำครวญซ้ำๆ เหมือนคนละเมอ ดวงตาเริ่มแดง ร่างเล็กเดินโซซัดโซเซออกจากพุ่มไม้ ดวงอาทิตย์ยังอยู่กลางฟ้า แต่แสงแดดตอนนี้ไม่เหมือนเดิม มันเหมือนมีน้ำหนักที่กดตัวเขาไว้กับพื้นทุกฝีก้าว เขาเดินไปตามทิศทางที่ไม่แน่ใจ เพียงเพื่อหวังว่าปู่จะอยู่ตรงหน้า หรือตรงข้าง หรือแม้แต่ตรงหลัง แต่... มันไม่มีเลย ปู่อยู่ไหน???

บางช่วง เขาหยุดเพื่อสะอื้น บางช่วงก็ล้มลงกับพื้น บ่นเบาๆ กับลม “ปู่… หลานเจ็บ หลานบ่ไหวแล้วเด้อปู่”

จนกระทั่งขาเล็กๆ หยุดเดินเองโดยที่สมองไม่ได้สั่ง เด็กน้อยล้มลงกลางดินแห้ง ดวงตาค้างมองฟ้า ริมฝีปากแห้งไม่มีแรงขยับเสียงอีกต่อไป เสียงพร่ำ “ปู่ป๋าหลาน” ยังค้างอยู่ในลม… แม้เจ้าของเสียงจะเงียบไปแล้วก็ตาม

อีกด้านหนึ่งของทุ่ง ปู่เดินเร่งเท้าเต็มกำลัง แม้หลังจะโก่ง แม้เท้าจะสั่น พอเห็นหลังคาเรือนปลายตีนบ้าน น้ำตาที่อั้นไว้พลันรื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เขาเข้าไปในหมู่บ้าน ร้องขอน้ำจากชาวบ้านด้วยเสียงที่แหบพร่า คนในหมู่บ้านเมื่อเห็นชายชราเต็มไปด้วยฝุ่นดิน ก็เร่งนำบั้งทิง (กระบอกไม้ไผ่) มาตักน้ำให้อย่างไม่รีรอ ปู่ก้มลงซดน้ำเพียงคำเดียว แล้วรีบตักใส่บั้งทิงจนเต็ม ก่อนจะหอบกลับด้วยสองมือที่สั่นระริก ใจคิดเพียงอย่างเดียว ให้ทัน ให้เร็ว ให้ถึงหลานก่อนที่แสงแดดจะกินแรงเขาทั้งหมด

พิณบทที่ 2 บทจ่ม จะเป็นการเล่าความเศร้าของปู่ เมื่อพบกับหลานของตนโดยไม่มีลมหายใจแล้ว เพราะหลานได้สลบและสิ้นใจ เพราะความกระหายน้ำ ประกอบกับอากาศที่ร้อนระอุ ปู่แทบขาดใจ น้ำตาร่วง ที่ทำให้หลานมาพบชะตากรรมเช่นนี้ ในขณะเดียวกันก็โทษตัวเองที่ให้หลานอยู่คนเดียวจนหลานสิ้นลมหายใจ

แต่เมื่อเขากลับมาถึงพุ่มไม้ที่เคยวางหลานไว้ใต้ร่ม ไม่มีเสียง ไม่มีร่าง ไม่มีรอยใดที่เคยมี หัวใจปู่หายวาบ มือที่ถือบั้งทิงหลุดจากแรงจับจนเสียงน้ำกระเซ็นใส่พื้น “หลาน… หลานเอ้ย…” เสียงปู่สั่นสะท้านขณะตะโกนออกไปทั่วทุ่ง เขาออกเดินหาอย่างไร้ทิศทาง สายตากวาดไปตามแนวพุ่ม ตามรอยเท้า ตามเงาแดดที่ไหว จนในที่สุด เขาก็เห็นร่างเล็กๆ นอนแน่นิ่งอยู่กลางแดดร้อนเปรี้ยง

“หลานเอ้ยยยยย…” เสียงปู่กึกก้องกว่าลม เสียงสะอื้นดังยิ่งกว่าเสียงทุ่งที่เงียบสนิท เด็กน้อยนอนแน่นิ่ง ใบหน้าเล็กมีรอยมดไต่ แมลงไชเข้าไปตามรูจมูก ตามหู และมุมปาก ร่างเล็กที่เคยร้อน กลับเย็นเฉียบเหมือนไร้ลมหายใจ ปู่ทรุดลงข้างๆ อุ้มร่างนั้นขึ้นมาช้าๆ เหมือนกลัวจะทำให้แตกสลายยิ่งไปกว่านี้ ดวงตาของชายชราไม่เหลือหยดน้ำใดจะร้องอีก มีเพียงหัวใจที่เต้นช้าลงทีละน้อย คล้ายจะแตกตามไปด้วย

poo pa lan 3

ปู่ค่อยๆ อุ้มร่างหลานกลับไปยังตีนบ้าน น้ำหนักนั้นแม้เบา แต่หัวใจของเขาหนักจนแทบเดินไม่ไหว คนในหมู่บ้านเมื่อเห็นต่างพากันนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดเอื้อนคำ มีเพียงสายตาที่มองปู่กับร่างหลานอย่างรู้ว่าควรเงียบไว้ ปู่ไม่กล่าวโทษใคร ไม่ร่ำร้อง ไม่ร้องขอ เพียงแต่ขุดดินตรงชายบ้านแห่งหนึ่ง ฝังหลานน้อยไว้ใต้เงาไม้ ใต้พุ่มไม้ที่อ่อนกว่าแดด แต่ไม่อ่อนกว่าใจคนที่จากไป

เมื่อวันเวลาผ่านไป หมู่บ้านนั้นจึงเริ่มเรียกพื้นที่ตรงนั้นว่า “บ้านป๋าหลาน” คำว่า “ป๋า” ภาษาอีสานนั้น แปลว่า ทิ้ง และ หลาน ก็คือผู้ถูกทิ้ง แม้ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดจึงทิ้ง แต่เสียงร่ำไห้ของวันนั้นยังไม่จางไปจากลม ชื่อจึงค่อยเพี้ยนเป็น “บ้านปะหลาน” และยังคงอยู่จนถึงวันนี้ ในท้องที่ใกล้ๆ กับอำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคามในปัจจุบัน

พิณบทสุดท้าย บทที่ 3 หย่าว ของลายปู่ป๋าหลาน เมื่อความเจริญได้เข้ามาถึงเขตทุ่งกุลา มีการสร้างระบบชลประทาน ทำให้มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์กลายเป็นทุ่งปลูกข้าวมะลิเลื่องชื่อของประทศ พิณก็จะเล่นใน "จังหวะเต้ย" ที่เป็นจังหวะสนุกสนานเฮฮา ครื้นเครง

ปัจจุบันนี้ ด้วยพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ต้องการให้ประชาชนของพระองค์พึ่งพาตนเองได้ ด้วยระบบชลประทานเพื่อการเกษตร รัฐบาลได้เร่งจัดทำแหล่งน้ำ ปลูกข้าวหอมมะลิได้ผลดี ประชาชนอยู่ดีกินดี มีถนนหนทาง มีการปลูกป่าเพิ่มเติม ทำให้ชื่อด้านความเลวร้ายของทุ่งกุลาจางหายไป "ไม่มีใครจำหน้าปู่ ไม่มีใครจำเสียงหลาน แต่ทุกคนจำได้ว่า เคยมีคนหนึ่งแบกความรักไว้ทั้งชีวิต แล้วเสียมันไปเพียงเพื่อจะกลับมาพร้อมน้ำหนึ่งบั้ง"

ลายพิณปู่ป๋าหลาน บรรเลงโดย ทองใส ทับถนน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความรักแม้จะจริงแท้เพียงใด หากเดินช้ากว่าความเปราะบางของชีวิต ก็อาจไม่ทันให้ใครรับรู้ ปู่ไม่ได้ทอดทิ้งหลานเพียงแค่กลับมาช้ากว่าความตายเล็กน้อย และหลานก็ไม่ได้โกรธปู่เขาแค่อยากให้คนที่เขารักอยู่ข้างเขาในวันที่กลัวเกินจะเข้าใจเหตุผล

รักที่แท้… ถ้ามาช้าเพียงก้าวเดียว ก็อาจกลายเป็นความเจ็บที่ไม่มีใครรอฟัง”

lilred

backled1

isan word tip

ประตูสู่อีสานบ้านเฮา

IsanGate.com

ปณิธานของเรา :

"ชนชาติที่เป็นอารยะ ต้องมีรากเหง้า และที่มาอันยาวนาน ด้วยภาษาและขนบธรรมเนียมของตนเอง"

: Our Web Site.

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail
นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)