• ธรรมะในดินแดนอีสาน

    พุทธศาสนา : เผยแผ่ เบ่งบาน งดงามในดินแดนอีสาน

  • เที่ยวงานแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี

    ชมความงามวิจิตรอุบลราชธานีแสงสีตระการตา และงานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี

  • เที่ยวนครพนม

    เที่ยวนครพนมชมความงดงามริมแม่น้ำโขง ร่วมงานไหว้พระธาตุพนม ขอพรประจำปี

  • ธรรมชาติงดงามบนภูกระดึง

    ความสุขที่คุณเดินได้ให้จดจำว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตเราเคยพิชิตภูกระดึง

  • สามพันโบก

    รุ่งอรุณ ณ สามพันโบก มหัศจรรย์ลานหินกลางลำน้ำโขง

  • รุ่งอรุณ ณ ผาแต้ม

    ตะวันขึ้นก่อนใครในสยามประเทศ @ผาแต้ม อุบลราชธานี

  • เขาใหญ่

    ไปเที่ยวชื่นชมธรรมชาติมรดกโลก @อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นครราชสีมา

  • ผามออีแดง

    ปลายฝนต้นหนาวไปชมทะเลหมอก @ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ

  • อีสานธรรมชาติสวยงามหลากหลาย

    ภาคอีสานมีธรรมชาติสวยงาม น้ำตก เสาหิน และมหัศจรรย์ธรรมชาติกุ้งเดินขบวน

  • เทศกาลดอกลำดวนบาน

    เทศกาลดอกลำดวนบาน สืบสานประเพณีสี่เผ่าไท ศรีสะเกษ การแสดงแสงสีเสียงละครอิงประวัติศาสตร์ “ศรีพฤทเธศวร”

: Our Sponsor

adv200x300 2

: Our Fanpage

: My Web Site

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail

ผลไม้หายากภาคอีสาน (4)

isan fruit

นำเสนอเรื่องของ "ผลไม้อีสานหายาก" ที่บางคนลืมเลือนไปในตอนที่แล้ว เกินความคาดหมายมากครับ แค่วันแรกมีคนคลิกเข้ามาอ่านมากกว่า 150 ครั้ง แล้วยังมีจดหมายก้อมส่งมาว่า "ขออีกๆๆ" เลยต้องจัดให้ตามคำขอเป็นตอนที่ 4 ใครมีข้อมูลเพิ่มเติม จะช่วยชี้แนะก็ช่วยบอกมานะขอรับ ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง

บักเม็ก | บักถั่วแฮ | บักเดื่อ | บักหูลิง | บักเกลี้ยง | บักโกนา | หมากหวาย | บักเหลี่ยม

bug meg 2

บักเม็ก

บักเม็ก, ต้นเม็ก, หมากคำเม็ก หรือ ขะเม็ก ในภาษากลาง คือ เสม็ดแดง เม็กในชื่ออื่นๆ ไคร้เม็ด (เชียงใหม่ ภาคกลาง) เม็ก (ตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ) เสม็ดแดง เสม็ดชุน เสม็ด (สกลนคร สตูล) เสม็ดขาว เสม็ดเขา (ตราด) เม็ดชุน (นครศรีธรรมราช) ขะเม็ก ยีมือแล (มลายู – ภาคใต้) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Syzygium gratum (Wight) S.N.Mitra var. gratum ชื่อวงศ์ : Myrtaceae

ต้นเม็ก เป็นไม้ต้น สูงได้ถึง 20 เมตร กิ่งเป็นสันสี่เหลี่ยม ลำต้นสีน้ำตาลแดง เปลือกบาง ซ้อนกันหลายๆชั้น แตกกิ่งก้านมาก ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่ รูปรีถึงรูปใบหอก หรือรูปไข่ กว้าง2.5-4 เซนติเมตร ยาว 6-8 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบแหลมหรือมน ขอบใบเรียบ ใบแก่ผิวด้านบนเกลี้ยงมันวาว ใบอ่อนสีน้ำตาลปนชมพู ผิวใบด้านล่างเกลี้ยง มีจุดโปร่งแสงหนาแน่น ดอกช่อ แบบช่อแยกแขนง ยาว 1.5-3 เซนติเมตร ออกที่ซอกใบและปลายยอด ดอกย่อยสีขาว ไม่มีก้านดอก ฐานดอกรูปถ้วย ทรงรูปกรวยแกมทรงกระบอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปสามเหลี่ยม กลีบดอก 5 กลีบ แยกกัน สีขาว รูปเกือบกลม สีเหลืองอ่อน เกสรเพศผู้จำนวนมาก เกสรเพศเมียมีรังไข่ขนละเอียด อยู่ใต้วงกลีบ ผลสด ทรงกลม สีขาว ฐานผลนูนออกมาและบุ๋ม กระจายพันธุ์แถบป่าผลัดใบ และริมลำธาร ออกดอกช่วงเดือน เมษายน ถึงพฤษภาคม ยอดอ่อนรับประทานเป็นผักได้

สรรพคุณทางยา  
  • ยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี  ใช้  ราก ต้มน้ำดื่ม แก้เบื่อเมา แก้ผิดสำแดง ยอดอ่อน รับประทานสด ขับลม
  • ตำรายาไทย  ใช้  เปลือก ต้มทา ลมพิษ หรือแก้พิษน้ำเกลี้ยง ใบแก่ ตำพอกแก้ฟกช้ำ

สนับสนุนคลิกดูโฆษณาของเราสักวันละครั้ง เพื่อให้เรามีแรงสร้างงานต่อไป ขอบคุณครับ

bug tua hae 2

บักถั่วแฮ

บักถั่วแฮ, ถั่วแระ ถั่วแระ ชื่อสามัญ Pigeon pea , Angola pea, Congo pea มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cajanus cajan (L.) Millsp. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Cajanus indicus Spreng. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE สมุนไพรถั่วแระ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ถั่วแรด (ชุมพร), มะแฮะ มะแฮะต้น ถั่วแระต้น (ภาคเหนือ), ถั่วแฮ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), ถั่วแระ ถั่วแระผี ถั่วแม่ตาย (ภาคกลาง), พะหน่อเซะ พะหน่อซิ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), มะแฮะ (ไทลื้อ), ย่วนตูแฮะ (ปะหล่อง), เปล๊ะกะแลง (ขมุ), ถั่วแฮ เป็นต้น

ต้นถั่วแระ จัดเป็นพรรณไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดย่อม อายุฤดูเดียวหรือหลายฤดู ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง สูงประมาณ 1-3.5 เมตร กิ่งแผ่ออกด้านข้างเป็นคู่ ผิวของลำต้นเกลี้ยงเป็นสีเขียวหม่น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด มีทั้งถั่วแระขาวและถั่วแระแดง พบขึ้นในที่โล่งแจ้งชายป่าเบญจพรรณ

ผลถั่วแระ ลักษณะของผลเป็นฝักแบนยาวสีม่วงเข้มปนเขียว เป็นห้องๆ และมีขน ฝักหนึ่งจะแบ่งออกเป็นห้อง 3-4 ห้อง ภายในมีเมล็ดลักษณะกลมหรือแบนเล็กน้อย ห้องละ 1 เมล็ด เมล็ดมีขนาดเท่ากับเมล็ดถั่วเหลือง สีของเมล็ดเป็นสีเหลือง ขาว และสีแดง

สรรพคุณของถั่วแระ
  • เมล็ด มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง ทั้งฝักมีรสมันเฝื่อนเล็กน้อย มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยลดระดับคอเลสเตรอล ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ด้วยการใช้เมล็ดนำมาต้มรับประทานเป็นของกินเล่น
  • รากและเมล็ด ใช้ปรุงเป็นยากินรักษาไข้ ถอนพิษ
  • ใบ ช่วยแก้อาการไอ น้ำคั้นจากใบใช้ใส่แผลในปากหรือหู ใบใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย ใบใช้เป็นยารักษาบาดแผล
  • ต้นและใบ มีสรรพคุณเป็นยาขับลมลงเบื้องต่ำ
  • ต้น ราก และใบ มีสรรพคุณเป็นยาขับผายลม
  • ตำรายาไทย จะใช้รากปรุงยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ ปัสสาวะแดงขุ่น ปัสสาวะน้อย ช่วยละลายนิ่วในไต ส่วนรากและเมล็ดใช้ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการปัสสาวะเหลืองหรือแดง
  • ตำรายาพื้นบ้าน จะใช้ทั้งต้น 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 3 ครั้ง เป็นยารักษาอาการตกเลือด แก้ไข้ทับระดู (ทั้งต้น)
  • รากและเมล็ด ใช้ปรุงเป็นยากินแก้น้ำเหลืองเสีย รักษาน้ำเบาเหลืองและแดงดังสีขมิ้น หรือน้ำเบาออกน้อย
  • ต้นและใบ มีสรรพคุณเป็นยาแก้เส้นเอ็นพิการ (ความผิดปกติของระบบเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ มักมีอาการเจ็บต่างๆ ปวดเมื่อยเสียวไปทุกเส้น ตามตัว ใบหน้า ถึงศีรษะ)
  • เมล็ด มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงไขข้อ บำรุงเส้นเอ็น ส่วนทั้งฝักมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกระดูก บำรุงเส้นเอ็น (เมล็ด, ทั้งฝัก)

หมายเหตุ : ต้นถั่วแระ ที่กล่าวถึงในบทความนี้ เป็นคนละชนิดกันกับถั่วแระที่ได้มาจากการเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองในระยะที่ฝักยังไม่แก่หรือไม่อ่อนเกินไป แล้วนำมาต้มหรือนึ่งทั้งต้นและฝัก

 bug duea choompon

บักเดื่อ

บักเดื่อ, มะเดื่อชุมพร ชื่อสามัญ Cluster fig, Goolar (Gular), Fig มีชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus racemosa L. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Ficus glomerata Roxb. จัดอยู่ในวงศ์ขนุน MORACEAE มะเดื่อชุมพร มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า เดื่อเกลี้ยง (ภาคเหนือ), มะเดื่อน้ำ มะเดื่อหอม หมากเดื่อ เดื่อเลี้ยง (ภาคอีสาน), มะเดื่อ มะเดื่อเกลี้ยง มะเดื่อชุมพร เดื่อน้ำ กูแซ (ภาคใต้), มะเดื่อดง, มะเดื่อไทย, มะเดื่ออุทุมพร เป็นต้น

มะเดื่อชุมพร มีถิ่นกำเนิดครอบคลุมในเขตร้อนของทวีปเอเชีย ไล่ตั้งแต่ประเทศอินเดียไปจนถึงประเทศจีน โดยจัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ทรงพุ่มกว้าง ใบหนาทึบ ลำต้นสูงประมาณ 5-20 เมตร ลำต้นเกลี้ยง เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลปนเทา กิ่งอ่อนเป็นสีเขียว ส่วนกิ่งแก่เป็นสีน้ำตาลเกลี้ยง ส่วนใบจะเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับตามกิ่ง ใบเป็นรูปทรงรี หรือรูปหอก โคนใบมนหรือกลม ปลายใบแหลม ผิวใบเกลี้ยงหรือมีขนไม่หลุดร่วงง่าย ขอบใบเรียบ มีเส้นแขนงในใบประมาณ 6-8 คู่ และก้านยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร ส่วนดอกมะเดื่อชุมพร จะออกดอกเป็นช่อยาวตามกิ่ง โดยแต่ละช่อก็จะมีดอกย่อยขนาดเล็กเป็นกลุ่ม ดอกช่อจะเกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปร่างคล้ายผล และดอกมีสีขาวอมชมพู ลักษณะของลูกมะเดื่อชุมพร มีลักษณะทรงกลมแป้นหรือรูปไข่ ผลจะเกาะกลุ่มอยู่ตามต้นและตามกิ่ง ห้อยเป็นระย้าสวยงาม โดยผลอ่อนจะเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเป็นสีแดงม่วง มีรสฝาดอมหวาน สามารถรับประทานได้ ซึ่งดอกและผลนี้จะออกตลอดปี

มะเดื่อ ปัจจุบันยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก สาเหตุคงมาจากผลสุกมักจะมีแมลงหวี่อยู่ในผลด้วยเสมอ ทำให้หลายๆ คนรู้สึกไม่ค่อยดีนัก หรืออาจมองว่ามันสกปรกจนไม่น่ารับประทาน แต่ในต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับมะเดื่ออย่างมาก เพราะเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกและน่าสนใจอยู่มากเลยทีเดียว โดยต้นมะเดื่อกับแมลงหวี่ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน โดยมะเดื่ออาศัยให้แมลงหวี่ช่วยผสมเกสรให้ติดเมล็ด ส่วนแมลงหวี่ก็อาศัยมะเดื่อเป็นอาหาร และฟักไข่จนเป็นตัว จะเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องอาศัยกันและกันในการสืบพันธุ์ต่อไป

ประโยชน์ของมะเดื่อ
  • ราก ใช้เป็นยาแก้ไข้ ถอนพิษไข้ กระทุ้งพิษไข้ แก้ไข้หัว ไข้กาฬ หรือไข้พิษทุกชนิด ช่วยกล่อมเสมหะและโลหิต ช่วยแก้อาการร้อนใน (ในคาบสมุทรมลายู) ในคาบสมุทรมลายูจะใช้รากต้มกับน้ำ ปรุงเป็นยาบำรุงหลังการคลอดบุตร
  • เปลือก ช่วยแก้อาเจียน ช่วยแก้ธาตุพิการ เปลือกต้นใช้รับประทานแก้อาการเสีย ท้องร่วง (ที่ไม่ใช่บิดหรืออหิวาตกโรค) ช่วยแก้ประดงเม็ดผื่นคัน
  • ผลดิบ ช่วยแก้โรคเบาหวาน
  • ผลสุก ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก ผลสุกมีฤทธิ์เป็นยาระบาย เปลือกต้น ช่วยห้ามเลือดและชะล้างบาดแผล ใช้เป็นยาสมานแผล
  • ไม้มะเดื่อ จัดเป็นไม้มงคลที่สามารถปลูกไว้ในบ้านและยังเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะในสมัยอดีตจะใช้ไม้มะเดื่อทำพระที่นั่งในพระราชพิธีราชาภิเษก ใช้ทำเป็นกระบวยตักน้ำเจิมถวาย และใช้ทำหม้อน้ำสำหรับกษัตริย์ทรงใช้ในพระราชพิธี
  • ผลสุก สามารถใช้เป็นอาหารสัตว์ได้หลายชนิด เช่น กระรอก นก หนู ฯลฯ แถมยังเป็นการขยายพันธุ์มะเดื่อชุมพรไปด้วยในตัว เพราะเมล็ดของมะเดื่อจะงอกดีมากขึ้นเพราะมีน้ำย่อยในกระเพาะของสัตว์
  • ยางเหนียว ใช้ลงพื้นสำหรับปิดทอง
  • เนื้อไม้ ของต้นมะเดื่อสามารถใช้ทำเป็นแอกไถ หีบใส่ของ ไม้จิ้มฟันได้
  • ใบอ่อน ใช้นึ่งกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก ยอดอ่อนใช้ลวกกินกับน้ำพริก
  • ผลอ่อน ใช้รับประทานเป็นอาหารได้
  • หัวใต้ดิน สามารถนำไปนึ่งรับประทานได้
  • ช่อดอก หรือที่คนไทยเรียกว่า ผล หรือ ลูกมะเดื่อ สามารถนำมารับประทานเป็นผักได้โดยใช้จิ้มกับผัก หรือใช้ทำแกงอย่างแกงส้มก็ได้เช่นกัน

ข้อควรรู้ ! : สาเหตุที่มีชื่อว่า มะเดื่อชุมพร ก็เนื่องมาจากเป็นพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดชุมพร และต้นมะเดื่อชุมพรจัดเป็นพันธุ์ไม้พระราชทาน (มะเดื่อชุมพรกับมะเดื่อฝรั่งเป็นคนละชนิดกันนะครับ !)

bug hau ling

บักหูลิง

บักหูลิง, หัวลิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Sarcolobus globosus Wall. จัดอยู่ในวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (ASCLEPIADOIDEAE หรือ ASCLEPIADACEAE) สมุนไพรหัวลิง มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า เถาหัวลิง (กรุงเทพฯ), หงอนไก่ใหญ่ (ตราด), เถรอดเพล ตองจิง หัวลิง อ้ายแหวน (ประจวบคีรีขันธ์), หัวกา (สุราษฎร์ธานี), มะปิน ตูดอีโหวด (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), บาตูบือแลกาเม็ง (มาลายู-นราธิวาส) ก้างปลาขาว (สุโขทัย), หมักแฟบ (พิษณุโลก), หูด้าง (สุรินทร์), หัวลิง (นครพนม, อุบลราชธานี, สุรินทร์, ขอนแก่น, นครราชสีมา), แควบ แฟบ (ชลบุรี), แฟบหัวลิง (ใต้) หูลิง

  • ต้นหัวลิง หรือ เถาหัวลิง จัดเป็นพรรณไม้เถา ลำต้นอยู่เหนือดิน เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาล ผิวขรุขระ ไม่มียาง อาศัยอยู่บนบก ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ชอบอากาศค่อนข้างชุ่มชื้น
  • ใบหัวลิง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงกันเป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือเป็นรูปขอบขนานหรือรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบมน ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 4.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8 เซนติเมตร
  • ดอกหัวลิง ออกดอกเป็นช่อกระจะบริเวณตามง่าม ก้านช่อดอกมีความยาวประมาณ 6-13 มิลลิเมตร ลักษณะของดอกมีกลีบดอกและกลีบรองกลีบดอก อย่างละ 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน มีสีม่วงภายในกลีบ ดอกมีทั้งเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียเชื่อมติดอยู่ มีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดโตประมาณ 1 เซนติเมตร ดอกไม่มีกลิ่น
  • ผลหัวลิง ผลเป็นผลเดี่ยว ลักษณะของผลเป็นฝักรูปกลมมน เปลือกฝักเป็นสีน้ำตาล มีขนาดกว้างยาวประมาณ 4 นิ้ว ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และจะแตกกลางพู ภายในฝักมีเมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไข่แบน ยาวได้ประมาณ 18 มิลลิเมตร มีขอบหนาเป็นสีน้ำตาลแก่
สรรพคุณของหัวลิง
  • ใบสดนำมาตำผสมกับผลมะเยาให้ละเอียด แล้วนำมาใช้เป็นยาแก้โรคปวดข้อหรือแก้ไข้ส่า
  • ตำรายาไทยใช้ แก่น มีรสมึนเมาเล็กน้อย แก้พิษทั้งปวง แก้พิษไข้เซื่องซึม เป็นยาถอนพิษ แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้ปวดหลังปวดเอว แก้กระษัย (การป่วยที่เกิดจากหลายสาเหตุ ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม ซูบผอม โลหิตจาง ปวดเมื่อย) และขับปัสสาวะ ราก รักษากามโรค
  • ยาพื้นบ้านอีสานใช้ ลำต้น ผสมลำต้นการเวก รากตับเต่าต้น รากเอนอ้าขน รากกำจาย ลำต้นอ้อยแดง ต้มน้ำดื่ม แก้ผิดสำแดง  ลำต้นและใบ นำมาเผาให้เกิดควันไฟ รักษาฝีหนองในสัตว์เลี้ยง
  • ยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานีใช้ ราก เข้ายากับรากส้มกุ้ง ฝนกับน้ำดื่ม แก้ไข้มาลาเรีย ลำต้น เข้ายากับขมิ้นต้น และขมิ้นเครือ ต้มน้ำดื่ม แก้ซางเด็ก
  • ประเทศกัมพูชาใช้ ผล มีรสเปรี้ยว ปรุงอาหาร
  • เมล็ดเป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ชาวพื้นเมืองในทวีปเอเชียนิยมนำมาใช้เป็นยาเบื่อหมา แมว และสัตว์ป่า (โดยมีฤทธิ์ยับยั้งกล้ามเนื้อระบบประสาท อาการเป็นพิษที่แสดง คือ ปัสสาวะเป็นเลือด ไตเสื่อม)

bug kliang 2

บักเกลี้ยง

บักเกลี้ยง, รักใหญ่ ชื่อสามัญ Red zebra wood, Vanish tree, Burmese lacquer tree, Burmese vanish wood, Black lacquer tree, Thai vanish wood มีชื่อวิทยาศาสตร์ Gluta usitata (Wall.) Ding Hou ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Melanorrhoea usitata Wall. จัดอยู่ในวงศ์มะม่วง (ANACARDIACEAE) มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า รักเทศ มะเรียะ (เชียงใหม่), น้ำเกลี้ยง (สุรินทร์), ฮักหลวง (ภาคเหนือ), รัก (ภาคกลาง), รัก ซู้ สู่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), ฮัก, รักหลวง เป็นต้น

ต้นรักใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย บังกลาเทศ พม่า ลาว กัมพูชา จีน และไทย โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงของต้นประมาณ 15-20 เมตร และอาจสูงได้ถึง 25 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มค่อนข้างกลม เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลปนสีเทา เปลือกแตกเป็นร่องตามยาว ส่วนเปลือกชั้นในเป็นสีชมพูอ่อน ใบคล้ายใบมะม่วงหิมพานต์ มักมีแมลงมาไข่ไว้ตามใบ ทำให้เกิดตุ่มกลมๆ ตามแผ่นใบ ใบรักใหญ่เป็นใบเดี่ยว กิ่งอ่อนและยอดปกคลุมไปด้วยขนยาวสีขาว ส่วนกิ่งแก่เกลี้ยงหรือมีขนสั้นๆ ออกดอกเป็นช่อแบบแยกแขนง โดยจะออกตามปลายกิ่งหรือใกล้กับปลายกิ่งและซอกใบ มักทิ้งใบก่อนการออกดอก โดยดอกจะเริ่มบานจากสีขาว แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูและสีแดงสด โดยจะออกดอกเป็นกลุ่มช่อหนาแน่นตามซอกใบช่วงบน และติดผลในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ พบขึ้นกระจายพันธุ์ทั่วไปตามป่าผลัดเบญจพรรณ ป่าผลัดใบ ป่าเต็งรัง ป่าดิบเขา ทุ่งหญ้าโล่ง เขาหินปูน ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-1,000 เมตร ในประเทศไทยพบได้ที่จังหวัดอุทัยธานี ชัยภูมิ กำแงเพชร และหนองบัวลำภู

สรรพคุณของรักใหญ่
  • เปลือกต้นมีรสเมา ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้กามโรค ใช้เข้ายาบำรุงกำลัง ยางช่วยแก้มะเร็ง ช่วยแก้ไข้เรื้อรัง ใช้เป็นยารักษาโรคเรื้อน
  • เมล็ดใช้เป็นยาแก้ปากคอเปื่อย ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยแก้คุดทะราด ช่วยแก้อักเสบ
  • เมล็ดและยางมีสรรพคุณช่วยแก้ปวดฟัน และยางยังใช้ผสมกับน้ำผึ้ง เป็นยารักษาโรคที่ปาก เอาสำลีชุลอุดฟันที่เป็นรูช่วยแก้ปวดได้
  • เปลือกรากมีรสเบื่อเมา มีสรรพคุณช่วยแก้โรคไอ ช่วยแก้โรคท้องมาน ใช้แก้พยาธิลำไส้ บ้างว่ารากเป็นยาขับพยาธิ ใช้รากเป็นยาพอกแก้พยาธิลำไส้ แก้ริดสีดวงทวาร ใช้รักษาโรคผิวหนัง
  • ยางใช้ทำเป็นยาแก้พยาธิ ใช้ผสมกับยางสลัดไดเป็นยารักษาโรคผิวหนัง ขี้กลาก และกัดเนื้อสด นำมาทำเป็นยารักษาโรคเรื้อน
  • เปลือกต้นมีสรรพคุณช่วยขับเหงื่อ ทำให้อาเจียน ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้บิด ท้องร่วง
  • ตำรับยาพื้นบ้านอีสานจะใช้ลำต้นหรือรากรักใหญ่ ผสมกับลำต้นหรือรากมะค่าโมง นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาเจียนเป็นเลือด
  • น้ำยางมีรสขมเอียน มีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง ช่วยแก้อาการปวดไส้เลื่อน แก้ไส้เลื่อนในกระเพาะปัสสาวะ ช่วยแก้ริดสีดวง
  • ยางใช้ทำเป็นยารักษาโรคตับ เปลือกรากมีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคตับ
  • ใบและรากใช้เป็นยาพอกแผล ช่วยแก้ส้นเท้าแตก
  • แก่นใช้ต้มกับน้ำอาบรักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน
  • เปลือกต้นหรือใบรักใหญ่ ใช้ผสมกับรากสะแอะหรือรากหนวดหม่อน, แก่นฝาง, เปลือกต้นหรือใบแจง, เปลือกต้นกันแสง, และต้นสังวาลย์พระอินทร์ทั้งต้น นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้น้ำเหลืองเสีย มีแผลเปื่อยตามตัวของผู้ป่วยเอดส์ ช่วยแก้อาการปวดข้อเรื้อรัง
ประโยชน์ของรักใหญ่
  • น้ำยาง สามารถนำมาใช้ทำน้ำมันเคลือบเงาได้ โดยน้ำยางใสเมื่อถูกอากาศจะเปลี่ยนเป็นสีดำและเป็นมัน การใช้ยางรักจากต้นรักใหญ่ทางภาคเหนือรู้จักกันมาช้านานแล้ว โดยนำมาใช้เป็นวัสดุสำคัญในงานศิลปกรรมเพื่อผลิตเครื่องรักประเภทต่างๆ (การลงพื้นหรือทาสิ่งต่าง ๆ เรียกว่า "ลงรัก") ซึ่งเป็นงานประณีตศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทย เช่น การนำใช้ทาไม้เครื่องเขินเพื่อลงลวดลาย, ทากระดาษกันน้ำซึม, ทาไม้รองพื้นสำหรับปิดทอง ที่เรียกว่า "ลงรัก ปิดทอง", งานประดับมุก, งานเขียนลายรดน้ำ ฯลฯ

long rak

  • นอกจากนี้ยางไม้ยังใช้ทำงานฝีมือที่เรียกว่า เครื่องเขินและทาผ้า หรือเครื่องจักสานกันน้ำซึมได้ด้วย
  • เนื้อไม้ของต้นรักใหญ่มีเนื้อไม้เป็นสีแดงเข้ม มีริ้วสีแก่แทรก เป็นมันเลื่อม แต่เสี้ยนสน เนื้อไม้ค่อนข้างเหนียวละเอียด มีความแข็งแรงทดทาน ไสกบตบแต่งยาก แต่ชักเงาได้ดี สามารถใช้ทำบัวประกบฝาเครื่องเรือน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องกลึง เครื่องมือทางการเกษตร เสา คาน ไม้อัด กระสวย รางปืน รางรถไฟ ฯลฯ
พิษของรักใหญ่
  • น้ำยางสดมีสารพิษ Phenol ซึ่งออกฤทธิ์ระคายเคืองต่อผิวหนัง ทำให้ผิวหนังอักเสบและมีอาการคันมาก ทำให้เกิดอาการบวมแดง พองเป็นตุ่มน้ำใส และอาจลุกลามรุนแรงจนเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังได้ สำหรับวิธีการรักษาเบื้องต้นให้รีบล้างออกด้วยสบู่และน้ำสะอาด และทาด้วยครีมสเตียรอยด์วันละ 1-2 ครั้ง เช่น ครีม prednisolone 5% หรือ triamcinolone acetonide 0.025%-0.1% ส่วนผู้ที่มีอาการแพ้ปานกลางหรือรุนแรง จำเป็นต้องรับประทานเพรดนิโซโลน (Prednisolone) ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า หรือทั้งเช้าและเย็น แล้วอาการจะดีขึ้นภายใน 6-12 ชั่วโมง ส่วนผู้ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง ก็อาจจะต้องรับประทานยานี้นานถึง 2 สัปดาห์ โดยให้ลดขนาดลงมาทุกวันจนกระทั่งหยุดยา
  • ขนจากใบแก่เป็นพิษต่อผิวหนัง เมื่อถูกผิวหนังจะทำให้เกิดอาการคันทั่วตัว และอาจทำให้คันอยู่นานนับเดือน ผิวหนังอาจบวม ซึ่งชาวบ้านจะแก้โดยวิธีการใช้เปลือกและใบสักมาต้มกับน้ำอาบ

bug go na 2

บักโกนา

บักโกนา หรือ หมากโก, ตะโกนา ชื่อสามัญ Ebony มีชื่อวิทยาศาสตร์ Diospyros rhodocalyx Kurz จัดอยู่ในวงศ์มะพลับ (EBENACEAE) มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มะถ่านไฟผี (เชียงใหม่), นมงัว (นครราชสีมา), ตะโก มะโก พญาช้างดำ พระยาช้างดำ (ภาคเหนือ), โก (ภาคอีสาน), ตองโก พะแล ตะกอ (ภาษาเขมร) ไปล ตะโก (ภาษากูย)

ตะโกนา เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียบริเวณประเทศอินเดีย ศรีลังกา แล้วมีการกระจายพันธุ์ไปยังบังคลาเทศ พม่า จีนตอนใต้ ไทย มาเลเซีย หมู่เกาะแปซิฟิก รวมถึงในออสเตรเลียด้วย สำหรับ ในประเทศไทยสามารถพบ ตะโกนา ได้ทุกภาคของประเทศตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น และป่าละเมาะ รวมถึงตามทุ่งนา ที่มีความสูง 40-300 เมตร จากระดับน้ำทะเล

ผลตะโกนา ผิวผลเรียบ ผลอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดงคลุมอยู่หนาแน่น ซึ่งขนเหล่านี้มักหลุดร่วงได้ง่าย ส่วนปลายผลและโคนผลมักบุ๋ม กลีบจุกผลชี้ออกหรือแนบลู่ไปตามผิวของผล ข้างในมีขนสีน้ำตาลแดงและมีขนนุ่มทางด้านนอกพื้นกลีบและขอบกลีบมักเป็นคลื่น เส้นสายกลีบพอเห็นได้ชัด ผลเมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือแดงปนส้ม ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 3-5 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไข่รีหรือแบน เมล็ดเป็นสีน้ำตาล มีเนื้อหุ้มสีขาวและฉ่ำน้ำ โดยจะติดผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน

สรรพคุณของตะโกนา
  • เปลือกต้นหรือแก่นใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้มีอายุยืนยาว ตำรายาไทยจะใช้เปลือกต้นตะโกนา เถาบอระเพ็ด ผสมกับเปลือกทิ้งถ่อน เมล็ดข่อ ผลพริกไทยแห้ง และหัวแห้วหมู อย่างละเท่ากันนำมาต้มกับน้ำดื่มหรือดองกับเหล้าดื่มเป็นยาอายุวัฒนะ แก่นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นชาช่วยแก้อาการร้อนในได้
  • เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นชาช่วยบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย ช่วยทำให้เจริญอาหาร ใช้เข้ายารักษามะเร็ง
  • ผลนำมาตากแดด ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้กษัย ช่วยแก้อาการคลื่นไส้ แก้อาเจียนเป็นโลหิต
  • ราก บ้างว่าใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่ม ช่วยแก้โรคผอมแห้งหลังการคลอดบุตรเนื่องมาจากอยู่ไฟไม่ได้
  • ต้น ใช้เป็นยาแก้ไข้ ช่วยแก้พิษผิดสำแดง
  • ราก ต้น และแก่นเป็นยาแก้ไข้กลับ ไข้ซ้ำ จากการกินของแสลงที่เป็นพิษ
  • เปลือกต้นหรือแก่นนำมาต้มกับเกลือใช้อมรักษาโรครำมะนาดหรือโรคปริทันต์ (โรคที่มีอาการอักเสบของอวัยวะรอบ ๆ ฟัน) ช่วยขับน้ำย่อย ช่วยในการย่อยอาหาร
  • ผลมีรสฝาดหวาน ช่วยแก้อาการมวนท้อง เอามาตากแดดใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการท้องร่วง ท้องเสีย แก้บิดบวมเป่ง
  • ส่วนเปลือกผลใช้แก้อาการท้องร่วง
  • ผลต้มกับน้ำดื่มใช้เป็นยาแก้พยาธิ ขับพยาธิ บ้างว่าผลก็เป็นยาขับระดูขาวเช่นกัน ใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง
  • เปลือกผลนำมาเผาจนเป็นถ่าน ใช้แช่กับน้ำกินเป็นยาขับปัสสาวะ ใช้แช่กับน้ำกินเป็นยาขับระดูขาวของสตรี ส่วนเปลือกต้นหรือแก่นก็ขับมุตกิดระดูขาวได้ด้วยเช่นกัน แก้อาการปวดมดลูก แก้ตกเลือด
  • แก่นหรือเปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคกามตายด้าน บำรุงความกำหนัด เพิ่มพลังทางเพศ กระตุ้นร่างกายให้สดชื่นแข็งแรง
  • รากตะโกนาใช้ต้มกับน้ำดื่มแก้โรคเหน็บชา อาการปวดเมื่อย อ่อนเพลีย
  • ส่วนตำรับยาพื้นบ้านของอีสานนั้นจะใช้รากตะโกผสมกับรากมะเฟืองเปรี้ยว รากเครือปลาสงแดง และรากตีนนก นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการปวดเมื่อย รากและต้นช่วยบำรุงน้ำนมของสตรี
ประโยชน์ของตะโกนา
  • ผลสุก ของตะโกนาสามารถใช้รับประทานได้ โดยจะมีรสหวานฝาด บ้างว่านำผลมารับประทานโดยนำมาทำเหมือนกับส้มตำ โดยคุณค่าทางโภชนาการของผลตะโกนาต่อ 100 กรัม ประกอบไปด้วย พลังงาน 99 แคลอรี, คาร์โบไฮเดรต 24.5 กรัม, น้ำ 73.6 กรัม, เส้นใย 1.5 กรัม, โปรตีน 0.3 กรัม, วิตามินบี 2 1.37 มิลลิกรัม, วิตามินซี 79 มิลลิกรัม, ธาตุแคลเซียม 19 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 0.4 มิลลิกรัม และธาตุฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม
  • ต้นตะโกจะออกผลดกทุกปี จึงเป็นอาหารให้แก่สัตว์ได้จำนวนมาก
  • ผลอ่อนหรือผลดิบใช้สำหรับย้อมสีผ้า แห อวน มาตั้งแต่โบราณ โดยสีที่ได้คือสีน้ำตาล แต่คุณภาพจะไม่ดีมากนัก เพราะสีของเส้นไหมจะตกและไม่ทนทานต่อแสง และคุณภาพที่ได้จะไม่ดีเท่ากับมะพลับ โดยยางของลูกตะโกที่นำมาละลายน้ำใช้สำหรับการย้อมแหและอวนนั้น จะมีราคาถูกกว่ายางมะพลับ จึงมีพ่อค้าหัวใสนำยางของผลตะโกมาปลอมขายเป็นยางมะพลับ จึงเกิดคำพังเพยที่ว่า “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก”
  • เนื้อไม้ เป็นสีขาวหรือออกสีน้ำตาลอ่อน มีความแข็งแรง มีความเหนียว เนื้อค่อนข้างละเอียด สามารถนำมาใช้ทำเป็นเครื่องเรือน เครื่องใช้ เครื่องมือทางการเกษตร เช่น ทำเสา รอด ตง คาน ฯลฯ
  • ต้นตะโก เป็นพันธุ์ไม้ที่นิยมปลูกเพื่อใช้นำมาทำไม้ดัดมากที่สุด ใช้ปลูกเพื่อตกแต่งสวนหรือสนามหญ้า เพราะมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี ง่ายต่อการเพาะเลี้ยงและบำรุงรักษา
  • เนื่องจากต้นตะโกเป็นไม้ที่มีอายุยืน และทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี เชื่อว่าเป็นไม้มงคล หากนำมาปลูกไว้ในบริเวณบ้านทางทิศใต้ จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านมีความอดทนเหมือนต้นตะโก

mak wai pa

หมากหวาย

หมากหวาย หวาย (อังกฤษ: Rattan palm) เป็นพืชที่อยู่ในเผ่าหวาย พบทั่วไปในเขตร้อนของทวีปแอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสตราเลเชีย ทั่วโลกมีหวายเกือบ 600 ชนิด ในประเทศไทย หวาย เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งของประเทศในเขตร้อน พบมากทางเขตภาคใต้ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี สงขลา ระนอง กระบี่ ปัตตานี รวมถึง สกลนคร ขอนแก่น ฯลฯ มีประมาณ 40 กว่าชนิด แต่ชนิดที่มีมากเป็นหวายในสกุล Calamus หวายที่นิยมใช้ในการจักสาน เป็นหวายชนิดผิวแข็งได้แก่ หวายแดง หวายกาหลง หวายหอม หวายชุมพร หวายโอมัด หวายขี้ขาว ฯลฯ

ลักษณะโดยทั่วไปของหวาย เป็นพันธุ์ไม้เลื้อยหรือไม้รอเลื้อยตระกูลปาล์ม ลำเถาชอบพันเกาะต้นไม้ใหญ่ มีกาบหุ้มต้น และมีหนามแหลม มีความเหนียว ใบเป็นรูปขนนกเล็กๆ ใบย่อยนั้นเรียวยาว มีสีเขียวสด ก้านใบหนึ่งๆ มีใบย่อยราว 60 - 80 คู่ ออกดอกเป็นช่อ สีขาวปนเหลือง ผลค่อนข้างกลม เปลือกเป็นเกล็ด ลูกอ่อนเปลือกสีเขียว เนื้อสีขาว ผลแก่เปลือกสีเหลือง เปลือกล่อน เนื้อแข็ง รสเปรี้ยวฝาด

wai ferniture

การปลูกหวายเชิงการค้า นิยมนำส่วนลำต้นที่สูงและมีความ ยืดหยุ่นมากเป็นพิเศษมาสานเป็นเฟอร์นิเจอร์ ลูกหวายอ่อนใช้กินเป็นผักจิ้มน้ำพริก แกะเปลือกออกแล้วนำไปทำส้มตำ หน่อหวายใช้ทำอาหาร เช่น แกงอ่อม ซุบหน่อหวาย ยำ ข้าวเกรียบและหวายทอดกรอบ หวายบางชนิดในผลมีเรซินสีแดงเรียกเลือดมังกร ซึ่งใช้เป็นยาในสมัยโบราณ

สรรพคุณ
  • ตำรายาไทย หัวหรือรากและยอดหวาย มีรสขมเย็นเมาเล็กน้อย ใช้ปรุงยากินดับพิษร้อน พิษไข้ แก้เซื่องซึม แก้พิษ ตับปอดพิการ แก้ไอ บำรุงน้ำดี แก้ร้อนในกระหายน้ำ
  • หน่อหวาย คือ ลำต้นอ่อนของหวาย แทงขึ้นจากเหง้าใต้ดิน มีกาบแข็งเต็มไปด้วยหนามหุ้ม เนื้อในอ่อน กรอบ สีขาว มีรสขม นำมาปรุงอาหาร ก่อนนำไปปรุงอาหารต้องนำไปต้มให้หายขม จากนั้นนำไปทำแกง ดอง หรือจิ้มน้ำพริก หน่อหวาย มีธาตุสังกะสี ในปริมาณสูง ใช้เสริมธาตุสังกะสี ช่วยเจริญอาหาร ลดภาวะเครียด ช่วยส่งเสริมสมรรถภาพทางเพศชาย เนื้อหุ้มเมล็ด รับประทานได้

kaeng nor waii

คุณค่าอาหารและประโยชน์
  • ลูกหวาย อุดมไปด้วยแคลเซียมและวิตามินซี ใน 100 กรัม ให้พลังงานถึง 79 แคลอรี คาร์โบไฮเดรต 18.6 กรัม
  • หน่อหวาย มีโปรตีและเส้นใย รสขมของหวายมีสรรพคุณทางยาคือ แก้โรคท้องร่วง หน่อหวายมีธาตุสังกะสีในปริมาณสูง ช่วยให้ไม่เครียดง่าย

bug liam 2

บักเหลี่ยม

บักเหลี่ยม หรือหมากเหลี่ยม เป็นภาษาอีสาน ภาษากลางเรียกว่า "ต้นมะกอกเกลื้อน" มีชื่อสามัญ Kenari, Upi มีชื่อวิทยาศาสตร์ Canarium subulatum Guillaumin จัดอยู่ในวงศ์มะแฟน (BURSERACEAE) สมุนไพรมะกอกเกลื้อน มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มะเลื่อม (พิษณุโลก, จันทบุรี), มักเหลี่ยม (จันทบุรี), โมกเลื่อม (ปราจีนบุรี), มะกอกเกลื้อน (ราชบุรี), มะเหลี่ยมหิน (มหาสารคาม), มะเกิ้ม (ภาคเหนือ), กอกกัน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), มะกอกเลื่อม (ภาคกลาง), มะกอกเลือด (ภาคใต้), มะกอกกั๋น (คนเมือง), มะเกิ้ม (ไทลื้อ), เกิ้มดง เพะมาง สะบาง ไม้เกิ้ม (ขมุ), ซาลัก (เขมร) เป็นต้น

เป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ สูง 10-25 เมตร ลำต้นตั้งตรง เรือนยอดกลม เปลือกสีน้ำตาลอมเทาถึงเทาแก่ แตกเป็นสะเก็ด หรือแตกเป็นร่องตามยาว มียางใสหรือขาวขุ่น เมื่อแห้งเป็นสีน้ำตาลดำ เปลือกชั้นในสีน้ำตาลอ่อนมีขีดเส้นขาวๆ กิ่งอ่อนมีขนสี้น้ำตาอมส้มหนาแน่น ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงเวียน ใบย่อย 2-5 คู่ เรียงตรงข้าม ผลอ่อนสีเหลือง ผลแก่สีเขียวอมเหลือง กว้างประมาณ 2 ซม. ยาว 2.5-3.5 ซม. โคนผลมีกลีบเลี้ยงติดทน ขนาดกว้าง 6-15 มิลลิเมตร เมล็ดรูปกระสวย 3 เมล็ด เรียงกันเป็นรูปสามเหลี่ยม ชั้นหุ้มเมล็ดแข็งมาก ออกดอกราวเดือน มกราคมถึงพฤษภาคม ติดผลเดือนพฤษภาคมถึงธันวาคม เกิดตามหัวไร่ปลายนาและตามป่าทั่วไป ผลและเมล็ดกินได้

ตอนเด็กๆ ในโรงเรียนมีต้นบักเหลี่ยมต้นใหญ่มาก เอาลูกแก่ๆ มาจิ้มเกลือกิน เปรี้ยวเฝื่อน ผ่ากินเนื้อในเมล็ด มันๆ อร่อยครับ ในป่าบนภูเขามีเยอะมาก ที่บ้านจะเรียกมะกอเลิ่ม หรือ มะกอกเหลี่ยม นำไปดองหรือเชื่อมก็อร่อยนะ เนื้อแน่นๆ หนึบหนับครับ

สรรพคุณของบักเหลี่ยม  
  • ตำรายาไทย ยาง รสฝาด ทาแก้เม็ดผื่นคัน และเป็นเครื่องหอม ผล เป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว แก่น รสเฝื่อน แก้โลหิตระดูพิการ แก้ประดง ผลสด มีรสฝาดเปรี้ยว นำมาดองและแช่อิ่ม กินเป็นอาหาร เนื้อในเมล็ด สีขาวรับประทานได้ มีรสมัน
  • ตำรายาพื้นบ้านอีสาน ใช้ เปลือกต้น ใช้รักษาโรคลักปิดลักเปิด ผล แก้ไอ ขับเสมหะ
  • ชาวเขาเผ่าแม้ว ใช้ ทั้งต้น ต้มน้ำอาบ บำรุงร่างกายให้มีกำลัง แข็งแรง
  • แก่นมีรสเฝื่อนใช้เป็นยาแก้โลหิตระดูพิการ
  • ยางสดใช้เป็นยาทาภายนอกแก้อาการคัน ตุ่มคันหรือเม็ดผื่นคัน
  • แก่นใช้เป็นยาแก้ประดง (อาการของโรคผิวหนังที่เป็นเม็ดขึ้นคล้ายผด มีอาการคันมากและมักมีไข้ร่วมด้วย)

lilred

backled1

isan word tip

: Our Web Site.

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail
นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)