
นำเสนอเรื่องของ "ผลไม้อีสานหายาก" ที่บางคนลืมเลือนไปในตอนที่แล้ว เกินความคาดหมายมากครับ หลังจากเสนอไปแล้ว 4 ตอน ได้รับการต้อนรับล้นหลาม ติดตามให้กำลังใจ แล้วยังมีจดหมายก้อมแบบอีเล็กทรอนิกส์ส่งมาว่า "ขออีกๆๆ" เลยต้องจัดให้ตามคำขอเป็นตอนที่ 5 ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลทุกๆ ที่ในโลกอินเทอร์เน็ต (ทั้ง Facebook Page, Blog, Website, Tiktok, Youtube etc.) ที่มีอยู่กระจัดกระจายที่ผมไปรวบรวมมาไว้ที่เดียว เพื่อประโยชน์ต่อลูกหลานในอนาคต ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง
บักงิ้ว | บักก่อ | บักแต้ | บักกล้วยน้อย | บักหม่อน | บักม่วงป่า | มะสัง

บักงิ้ว (นุ่น)
บักงิ้ว, ต้นบักงิ้ว, นุ่น ชื่อสามัญ White silk cotton tree, Ceiba, Kapok, Java cotton, Java kapok, Silk-cotton ชื่อวิทยาศาสตร์ Ceiba pentandra (L.) Gaertn. ชื่อวงศ์ Bombacaceae มีชื่ออื่นๆ เช่น ง้าว งิ้วน้อย งิ้วสร้อย งิ้วสาย (ภาคกลาง), งิ้ว (คนเมือง), ปั้งพัวะ (ม้ง), นุ่น (ไทลื้อ), ต่อเหมาะ (กะเหรี่ยงแดง) ภาษาเขมรเรียกว่า "แพล ก็วร (กวร)"
ในสมัยก่อนนั้นตอนอาวทิดหมูยังเป็นเด็กน้อย ตามหมู่บ้านในชนบทนิยมปลูกต้นบักงิ้วไว้ตามรั้วตามสวน เพื่อเอาฝักที่แก่จัด มาแกะเนื้อในที่เรียกว่า "นุ่น" มายัดหมอนและที่นอน เคยไปปีนหาเก็บเอาบักงิ้วไปแลกขนมไข่ขี้เกี้ยมที่ร้านค้าในหมู่บ้าน แต่สมัยนี้เริ่มหายากแล้ว นอกจากนั้นยังไปเลาะเอาหนามต้นงิ้วแก่ๆ มาแกะเป็นพระไม้แขวนคอดูเท่ๆ เข้าไปอีกด้วย
ต้นนุ่น จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบในช่วงฤดูแล้ง ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน ลำต้นสูงใหญ่เปลาตรง สูงได้ประมาณ 10-30 เมตร ตรงยอดแผ่เป็นพุ่มกว้าง ลำต้นเป็นสีเขียวและมีหนาม ขึ้นอยู่ทั่วไปบริเวณโคนต้น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่มีถิ่นดั้งเดิมอยู่ในแถบอันดามัน และมีปลูกมากในเขตร้อนทั่วไปเพื่อใช้ปุยจากผลนำมาทำหมอนและที่นอน ดอกนุ่น ออกดอกเป็นช่อกระจะบริเวณซอกใบ ขนาดประมาณ 2-3.5 เซนติเมตร ดอกย่อยมีจำนวนมาก หรือช่อหนึ่งมีดอกประมาณ 1-5 ดอก ออกดอกในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม ผลนุ่น ลักษณะของผลเป็นรูปยาวรี ปลายและโคนผลแหลม เปลือกแข็ง ผลมีขนาดกว้างประมาณ 2 นิ้ว และยาวประมาณ 4-5 นิ้ว เมื่อแห้งจะแตกออกได้เป็น 5 พู ภายในผลจะมีนุ่นสีขาวเป็นปุยอยู่ และมีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดนุ่น เมล็ดเป็นสีดำ มีเส้นใยสีขาวคล้ายเส้นไหมยาวหุ้มเมล็ดเป็นปุยนุ่นอยู่
สรรพคุณของนุ่น
- ยาพื้นบ้านอีสาน ใช้ เปลือกต้น ต้มน้ำดื่ม แก้บิด แก้อาหารเป็นพิษ
- ตำรายาไทย ใช้ ทั้งต้น ต้มน้ำดื่ม แก้ไอ แก้ไข้ เปลือกต้น รสเย็นเอียน แก้ไข้ แก้บิด แก้ร้อนใน ขับปัสสาวะ ทำให้อาเจียน บำรุงกำหนัด ต้มดื่มแก้หืด แก้หวัดในเด็ก ต้มร่วมกับหมาก ลูกจันทน์เทศ และน้ำตาล ดื่มขับปัสสาวะ ใช้ได้ดีในรายที่เป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ดอกแห้ง แก้ไข้ แก้ปวด
- ราก รสจืดเอียน ต้มน้ำดื่ม เป็นยาบำรุงกำลัง แก้บิดเรื้อรัง แก้ท้องเสีย ทำให้อาเจียน ขับปัสสาวะ แก้พิษแมลงป่อง ตำคั้นเอาน้ำดื่ม แก้เบาหวาน
- เมล็ด รสเอียนมัน น้ำมันจากเมล็ด รสร้อน เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ
- ยางไม้ รสฝาดเมา เป็นยาบำรุงกำลัง ฝาดสมาน แก้ท้องร่วง แก้ระดูขาวมากเกินไป
- ใบ รสเย็นเอียน ตำพอกแก้ฟกช้ำ เผาไฟ ผสมหัวขมิ้นอ้อยและข้าวสุก พอกฝี ต้มน้ำดื่มแก้ไข้ แก้โรคเรื้อน ตำกับหัวหอม ขมิ้น ผสมน้ำดื่มแก้ไอ แก้เสียงแหบ แก้หวัดลงท้อง แก้ท่อปัสสาวะอักเสบ ใบอ่อนรับประทานแก้เคล็ดบวม ผลอ่อน รสหวานฝาดเย็น เป็นยาสมาน ราก แก้บิด แก้ลำไส้อักเสบ คั้นเอาน้ำ ทานแก้โรคเบาหวาน เมล็ด ขับปัสสาวะ

บักก่อ (เกาลัคอีสาน)
บักก่อ, มะก่อ หรือ ต้นหมากก่อ ชื่อวิทยาศาสตร์ Lithocarpus ceriferus อยู่ในวงศ์ Fagaceae มีชื่ออื่นๆ เช่น ก่อหนาม ก่อดาน (พังงา), ก่อตี๋, ก่อผา, ก่อหนามแหลม, ก่อหยุม (เชียงใหม่), ก่อ (กาฬสินธ์), มะก่อ (เพชรบูรณ์), ก่อขี้หมู, ก่อหม่น (ตะวันออก), ก่อหุ้ม (ตะวันออกเฉียงเหนือ), หมากก่อ
ต้นหมากก่อ เดิมมักจะขึ้นตามธรรมชาติ ตามป่าริมภูเขา มะก่อ เป็นไม้หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกา ไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530 เนื่องจากเป็นไม้ผลที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและคุณค่าทางปกป้องสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ เพราะส่วนใหญ่ชอบขึ้นตามป่าดิบเขา ตามที่ลาดชันสูง จึงเป็นกลุ่มพืชที่สำคัญที่ช่วยปกป้องการพังทลายของดิน รักษาอุณหภูมิและดูดซับความชุ่มชื้นเก็บไว้ในดินได้ดี ต้นก่อเป็นไม้ป่าที่ลำต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ 30 เมตร ยามเมื่อออกผลแล้วหล่นลงมาบนพื้น ชาวบ้านจะเก็บลูกก่อที่เปลือกมีขนคล้ายเงาะ แต่ขนเป็นหนามแหลม เวลาเก็บจึงต้องใช้ความระมัดระวังจากหนามแหลมบนเปลือกที่ตำมือ เมื่อแกะเปลือกออกแล้วนำมาคั่วให้สุกเพื่อแกะกินเนื้อข้างใน ที่มีรสชาติมันออกหวานและอร่อย

ประโยชน์และสรรพคุณมะก่อ
- บักก่อ เป็นพืชตระกูลถั่วเปลือกแข็งที่มีไขมันไม่อิ่มตัว มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย อุดมไปด้วยวิตามินอี ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ นิยมนำเมล็ดมาคั่วแล้วรับประทาน ซึ่งให้รสชาติดี เหมือนเกาลัดจีน
- มะก่อ ยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย แก้วัณโรค อาเจียนเป็นเลือด ช่วยห้ามเลือด แก้ไอ ละลายเสมหะ แต่ก็มีข้อควรระวังคือ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องอืดบ่อยๆ อาหารไม่ย่อย ไม่ควรกิน ผู้ที่เป็นโรคไขข้ออักเสบ ร้อนใน ตาบวม ห้ามกิน

บักแต้
บักแต้ มะค่าแต้ ชื่อสามัญ Ma kha num มีชื่อวิทยาศาสตร์ Sindora siamensis Miq. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Galedupa cochinchinensis (Baill.) Prain, Galedupa siamensis (Teijsm.) Prain, Sindora cochinchinensis Baill., Sindora siamensis var. siamensis, Sindora wallichii var. siamensis (Teijsm.) Baker) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)
สมุนไพรมะค่าแต้ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มะค่าหยุม มะค่าหนาม (ภาคเหนือ), แต้ (ภาคอีสาน), มะค่าหนาม มะค่าแต้ มะค่าลิง (ภาคกลาง), กอกก้อ (ชาวบน-นครราชสีมา), กอเก๊าะ ก้าเกาะ (เขมร-สุรินทร์), กรอก๊อส (เขมร-พระตะบอง), แต้หนาม กระทงลาย กระทุงลาย เป็นต้น
ต้นมะค่าแต้ มีเขตการกระจายพันธุ์จากภูมิภาคอินโดจีนจนถึงมาเลเซีย ในประเทศไทยสามารถพบได้ตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าโคกข่าว ป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้ง และป่าชายหาดที่ระดับใกล้กับน้ำทะเลไปจนถึงที่ระดับความสูง 400 เมตร โดยจัดเป็นไม้ยืนต้น มีความสูงของต้นประมาณ 10-15 เมตร แตกกิ่งก้านแผ่กว้าง มีเรือนยอดเป็นรูปร่มหรือเป็นทรงเจดีย์ต่ำ กิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาล เปลือกต้นเรียบเป็นสีเทาคล้ำ
ผลมะค่าแต้ ออกผลเป็นฝักเดี่ยวแบนค่อนข้างกลม ที่ผิวเปลือกมีหนามแหลมอยู่ทั่วไป ผลเป็นรูปไข่กว้างหรือเป็นรูปโล่ โคนเบี้ยวและมักมีติ่งแหลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4.5-10 เซนติเมตร พอแห้งจะแตกออกเป็น 2 ซีก ภายในมีเมล็ดสีดำประมาณ 1-3 เมล็ด โดยผลจะแก่ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน (ยอมรับมาเสียดีๆ ว่ามีไผเคยเอาในบักแต้มาเล่นในวัยเด็กแหน่)
สรรพคุณของมะค่าแต้
- เปลือก ใช้ต้มแก้ซาง แก้ลิ้นเป็นฝ้า
- ปุ่มที่เปลือก มีรสเมาเบื่อ ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้พยาธิ ปุ่มที่เปลือกนำมาต้มรมให้หัวริดสีดวงทวารหนักฝ่อได้
- ส่วนเมล็ดมีรสเมาเบื่อสุขุมเป็นยาขับพยาธิเช่นกัน มีรสเบื่อขม ทำให้ริดสีดวงทวารแห้ง
- เปลือกต้นมะค่าแต้ใช้ผสมกับเปลือกต้นมะกอกเหลี่ยม เปลือกต้นหนามทัน เปลือกต้นยางยา และรากถั่วแปบช้าง นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อีสุกอีใส
- ผล, ปุ่มเปลือก, เมล็ด ใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง
ประโยชน์ของมะค่าแต้
- เมล็ดแก่ เมื่อนำมาเผาไฟแล้วกะเทาะเปลือกออก เอาแต่เนื้อข้างในมารับประทานเป็นอาหารว่างได้ โดยเนื้อจะมีลักษณะแข็ง ๆ คล้ายกับเมล็ดมะขามและมีรสมัน
- ฝักและเปลือก ให้น้ำฝาดชนิด Catechol และ Pyrogallol ใช้สำหรับฟอกหนัง ส่วนเปลือกต้นจะนิยมนำมาใช้ย้อมสีเส้นไหม ย้อมแห โดยจะให้สีแดง
- ในด้านเชื้อเพลิง สามารถนำมาใช้ทำเป็นถ่านได้ดี โดยจะให้ความร้อนได้สูงถึง 7,347 แคลอรีต่อกรัม
- เนื้อไม้ เป็นสีน้ำตาล่อนหรือเป็นสีน้ำตาลแก่ เมื่อทิ้งไว้นานๆ จะเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น มีเส้นสีเข้มกว่าสลับกับเนื้อไม้ที่ค่อนข้างหยาบ เสี้ยนสนแต่สม่ำเสมอ มีความแข็งแรงทนทาน ทนต่อปลวกได้ดี เลื่อย ผ่า ไสกบตบแต่งได้ยาก สามารถนำมาใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนได้ดี แต่จะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ใช้ทำเสา รอด ตง พื้น พื้นรอง เครื่องเรือน เครื่องบน เครื่องมือทางการเกษตร เครื่องเกวียน เครื่องไถนา หมอนรองรางรถไฟ ลูกกลิ้งนาเกลือ กระดูกเรือ หรือใช้ทำโครงเรือใบเดินทะเล ฯลฯ

บักกล้วยน้อย
บักกล้วยน้อย, กั้นทาง ตันทาง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Xylopia vielana Pierre. เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์กระดังงา (Annonaceae) มีชื่อเรียกในถิ่นอื่นๆ เช่น สะทาง (อุบลราชธานี), เกรา (สุรินทร์), ตาเหลว, ตาแหลว (นครราชสีมา), ทัดทาง (กรุงเทพมหานคร), ต้นทาง, กั้นทาง, ตันทาง, นมแมว
ลำต้นมีเปลือกเรียบสีน้ำตาลหรือดำ ใบเดี่ยว ดอกเดี่ยว กลีบดอกสีเหลืองอ่อนหรือเหลืองอมน้ำตาล โคนกลีบมีสีม่วงแดงแซม เกสรตัวผู้จำนวนมาก ผลกลุ่ม ทรงรี แตกตามตะเข็บด้านเดียว ผลออกเป็นกลุ่ม รูปทรงกระบอก ผลแก่สีเหลืองอมส้ม มีเมล็ด 2-3 เมล็ด เมล็ดสีดำมีเยื่อหุ้มสีแดง พบกระจายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของไทย ในประเทศ สปป.ลาวและกัมพูชา ขึ้นในป่าดิบแล้งที่ระดับความสูง 50-600 เมตร ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ผลจะแก่ในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน
ประโยชน์ของต้นกล้วยน้อย
- ใช้ทำฟืน เสารั้ว ดอกเป็นส่วนผสมของยาหอม
- ชาวไทยอีสานไม้ชนิดนี้ปิดบังเส้นทางของวิญญาณได้ จึงใช้กิ่งขวางทางเข้าหมู่บ้าน หรือบ้านหลังจากเสร็จงานศพ
สรรพคุณ
- ตำรายาไทย ดอก บำรุงหัวใจ
- ยาพื้นบ้านอีสานใช้ ดอก เข้ายาเป็นเกสรร้อยแปด ปรุงยาหอมบำรุงหัวใจ
- ชาวบ้านจังหวัดอำนาจเจริญ รับประทาน ผลสุกและใบอ่อน เนื้อไม้ใช้ก่อสร้าง ทำฟืนอยู่ไฟ และใช้ในพิธีกรรม โดยใช้กิ่งของต้นกล้วยน้อยขีดที่ดินเพื่อแบ่งดินแดนระหว่างคนกับผี หลังจากเสร็จพิธีเผาผี เชื่อว่าวิญญาณข้ามเส้นที่ขีดไว้ไม่ได้

บักม่อน
บักม่อน หม่อน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Morus sp. ชื่อภาษาอังกฤษคือ White Mulberry, Mulberry Tree และมีชื่อภาษาท้องถิ่นได้แก่ หม่อน, มอน (อีสาน), ซึมเฮียะ (จีน) อยู่ในวงศ์ Moraceae ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของหม่อน เป็นไม้พุ่มขนาดย่อม เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง ใบเดี่ยวออกสลับสีเขียวเข้มรูปหัวใจขอบจักฟันเลื่อย ผิวสาก สีเขียวเข้ม เส้นใบตามยาว 3 เส้น ดอกเล็กๆ กลม เป็นช่อแท่งกลมเล็กๆ ดอกตัวผู้และตัวเมียแยกกัน ดอกย่อยมี 4 กลีบ ออกตามซอกใบที่ปลายกิ่งยาวราว 1 นิ้ว ผลเป็นผลรวมออกเป็นพวงวงกลมเล็ก เมื่อสุกมีสีม่วงแดงถึงดำผลกลมเล็กๆ เมื่อสุกสีน้ำตาลดำเป็นพวง และยังเป็นพืชอาหารตามธรรมชาติของหนอนไหม
ประโยชน์หม่อน
- ใบสด เมื่อนำใบมาเคี้ยวสดๆ จะมีรสหวานอมขมเย็นเล็กน้อย บางท้องถิ่นนำมากินสด
- ปัจจุบันนิยมนำใบมาตากแห้ง และชงดื่มเป็นน้ำชาใบหม่อน ซึ่งจะให้กลิ่นหอมมีเอกลักษณ์ และรสชาติเหมือนชา แต่อมหวานเล็กน้อย
- บางท้องถิ่น เช่น ภาคอีสาน ภาคเหนือ นิยมใบมาปรุงอาหารในเมนูจำพวกต้มต่าง ซึ่งจะเพิ่มรสชาติให้อร่อยมากยิ่งขึ้น
- ในส่วนของผลสุก สามารถกินเป็นผลไม้หรือเป็นอาหารนกได้
- ในบางพื้นที่ที่มีการปลูกหม่อนมากจะนำผลหม่อนมาหมักเป็นไวน์จำหน่าย ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามสถาน Otop ต่างๆ ลักษณะไวจากผลหม่อนจะเป็นสีม่วงอมแดง หรือนำผลสุกมารับประทานสดซึ่งจะให้รสเปรี้ยวอมหวานเล็กน้อย หรือจำหน่ายผลหม่อนสุกกินสด

สรรพคุณหม่อน
- ผลหม่อน เป็นผลหม่อนมีลักษณะสีแดง สีม่วงแดง และสุกจัดจะออกสีม่วงดำหรือสีดำ พบสารในกลุ่ม anthocyanin ที่มีฤทธิ์ต่อต้านอาการขาดเลือดในสมอง ต่อต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นยังพบวิตามินซี ในปริมาณสูง ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันอีกด้วย
- ใบหม่อน (ต้มน้ำหรือใบแห้งชงเป็นชาดื่ม) ช่วยในการผ่อนคลาย, แก้ร้อนใน กระหายน้ำ, ช่วยลดไข้หวัด และอาการปวดหัว, ช่วยแก้อาการวิงเวียนศรีษะ, แก้ไอ แก้เจ็บคอ แก้คอแห้ง, ต้านอนุมูลอิสระ ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์, ช่วยลดน้ำตาลในเลือด และช่วยทุเลาอาการจากโรคเบาหวาน, ลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด, ป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือด, ช่วยลดความดันเลือด และต้านแบคทีเรีย ช่วยแก้อาการท้องเสีย
- ส่วนของกิ่ง ลำต้น พบสารหลายชนิดที่กล่าวในข้างต้น ทำหน้าที่ออกฤทธิ์ต่อต้านการสร้างเมลานินที่เป็นสารสร้างเม็ดสี จึงมีการสกัดสารดังกล่าวมาใช้ในเครื่องสำอางเพื่อความสวยความงามทำให้ผิวขาวนวล ผลจากฤทธิ์ทางยาอย่างอื่นมีการศึกษาพบช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ กล้ามเนื้อ ลดอาการมือเท้าเป็นตะคริว

บักม่วงป่า
บักม่วงป่า, มะม่วงป่า ชื่อวิทยาศาสตร์ : Mangifera caloneura Kurz อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มะม่วงกะล่อน (ภาคกลาง) มะม่วงเทียน (ประจวบคีรีขันธ์) มะม่วงขี้ใต้ (ภาคใต้) มะม่วงเทพรส (ราชบุรี)
ลักษณะเป็นไม้ต้นขนาดกลาง สูง 20 – 25 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มสูงถึงแผ่กว้าง ต้นเปลาตรง เปลือกต้นสีน้ำตาล แตกเป็นร่องเปลือกนอกสีน้ำตาลปนเทา แตกแบบสี่เหลี่ยม เปลือกในสีเหลืองปล่อยทิ้งไว้จะเป็นสีน้ำตาลดำ มีใบลักษณะใบเดี่ยว เรียงแบบสลับหรือเวียนสลับ ใบรูปหอกขอบขนาน โคนมนหรือแหลม ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม กว้าง 3.5 – 8 เซนติเมตร ยาว 4.5 – 22 เซนติเมตร ผิวใบเกลี้ยง ใบอ่อนสีม่วงแดง
ออกดอกเป็นช่อแยกแขนง ตั้งขึ้นคล้ายช่อฉัตร ออกที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยสีเหลืองอ่อน ขนาดเล็ก มีกลีบดอกและกลีบเลี้ยงอย่างละ 5 กลีบ มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและดอกไม่มีสมบูรณ์เพศ (เกสรฝ่อ) เกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์มี 5 อัน ดอกมีกลิ่นหอม ผลมีเนื้อเมล็ดเดียวแข็ง สีขาวหรือเหลือง มีลักษณะแบน ผลดิบมีสีเขียว เมื่อผลแก่มีสีเหลือง ออกดอกเดือนธันวาคม – เดือนกุมภาพันธ์ ติดผลหลังออกดอก
การใช้ประโยชน์
- ผลอ่อน : มีวิตามินซีป้องกันโรค
- ผลสุก : ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง และต้านความชรา
- ใบอ่อน : ใช้เป็นผักสด
- เนื้อไม้: ใช้ทำฟืน ทำโครงสร้างส่วนต่างๆ ของบ้าน เช่น ฝาบ้าน
- เปลือก: เปลือกด้านในใช้เป็นสีย้อมผ้า
- ใบ: ใบอ่อนรับประทานเป็นผักสดได้

บักสัง
บักสัง มะสัง ชื่อสามัญ Wood apple มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Citrus lucida (Scheff.) Mabb. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Feroniella lucida (Scheff.) Swingle) จัดอยู่ในวงศ์ส้ม (RUTACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อย AURANTIOIDEAE มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ผักสัง (มุกดาหาร), หมากกะสัง มะสัง (ภาคกลาง), กะสัง (ภาคใต้), หมากสัง, กระสัง เป็นต้น
มะสังจัดเป็นพืชในวงศ์ส้ม (Ruraceae) เช่นเดียวกันกับมะขวิด และมีลักษณะทั่วไปคล้ายๆ กันแต่จะต่างกันตรงผล โดยมะสังเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิเช่น ไทย พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ลาว และกัมพูชา เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วภูมิภาคของประเทศ แต่จะพบมากได้ทางภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ บริเวณป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง และตามชายป่า หรือ ตามทุ่งนาต่างๆ
มะสัง จัดเป็นพืชที่มีถิ่นกำนิดในประเทศไทยชนิดหนึ่ง ที่มีการใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ มาตั้งแต่ในอดีตแล้ว เช่น มีการใช้ผลดิบของมะสังแทนมะนาว เนื่องจากมีรสเปรี้ยว โดยนำใช้ปรุงนำพริก ยำต่างๆ หรือ แกงส้ม ยังใช้กินสดๆ จิ้มพริกเกลือได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังนำมาแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารอย่างอื่น เช่น ไวน์มะสัง แยมมะสัง วุ้นมะสัง และเยลลี่มะสัง เป็นต้น ส่วนยอดอ่อนและใบอ่อน มีรสฝาดมัน สามารถใช้กินเป็นผักสดหรือนำไปปิ้งไฟให้หอมแล้วนำมารับประทานร่วมกับลาบ ก้อย และซุปหน่อไม้ และในปัจจุบันยังมีการปลูกเลี้ยงต้นมะสังเป็นไม้ดัด หรือ บอนไซเนื่องจากมีรูปทรงของต้นที่สวยงาม กิ่งก้านมีความเหนียวและใบดก

สรรพคุณของมะสัง
- ใบมีรสฝาดมัน สรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยแก้ท้องเดิน ช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช้เป็นยาสมานแผล
- รากและผลอ่อนเป็นยาแก้ไข้ ตำรายาไทยจะใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่มหรือฝนกับน้ำกินเป็นยาแก้ไข้
- แก่นมะสังใช้ร่วมกับแก่นมะขาม ใช้ต้มกับน้ำดื่มขณะอยู่ไฟ
ประโยชน์ของมะสัง
- ผลมะสังมีรสเปรี้ยว สามารถนำมาใช้แทนมะนาวได้ โดยใช้ปรุงน้ำพริก หรือใส่แกง นอกจากนี้ยังใช้กินและนำมาทำน้ำผลได้อีกด้วย
- ยอดอ่อนและใบอ่อนมะสังใช้กินเป็นผักสด หรือนำไปปิ้งไฟให้หอมก็ใช้รับประทานร่วมกับลาบ ก้อย ซุปหน่อไม้
- ในปัจจุบันนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ ทำเป็นไม้แคระประดับหรือไม้ดัด เนื่องจากมีความสวยงามจากเปลือกที่ขรุขระ มีรูปทรงของต้นที่สวยงาม ออกใบดกและมีขนาดเล็ก และง่ายต่อการดัดเพราะกิ่งก้านมีความเหนียว
![]()
















