กลุ่มชาติพันธุ์ไทเบิ้ง ไทเดิ้ง และไทโคราช เป็นชื่อเรียกแทนกลุ่มคน ที่มีความคล้ายคลึงกันทางด้านวัฒนธรรม และความเป็นอยู่ที่คงเอกลักษณ์ ต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ มีภาษาที่สำเนียงเสียงคล้ายภาษาของกลุ่มคนภาคกลาง แต่มีสำเนียงการใช้ภาษาเป็นสำเนียงของชาวเวียงจันทน์ เมื่อศึกษาแหล่งข้อมูลอื่นๆ พบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ไทเบิ้ง มีการประกอบกิจกรรมในวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ที่มีตัวตนชัดเจน เช่น ข้อสันนิษฐานว่า การตีหม้อที่มีอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของภาคอีสานนั้น ส่วนใหญ่เป็นคนที่อพยพมาจากโคราชทั้งสิ้น จนมีคำกล่าวว่า “ไทโคราชชอบตีหม้อ ตีมีด แต่ลาวชอบทอผ้า” (วิโรฒ ศรีสุโร, 2528)
ไทเบิ้ง มีถิ่นฐานดั้งเดิมในเวียงจันทน์ สปป.ลาว (เดิมเรียกกันว่า "ลาวเวียง" = ชาวลาวที่มาจากเมืองเวียงจันทน์) ถูกกวาดต้อนมายังประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 ส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานบริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสัก มีความเชื่อต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องผี เมื่อเจ็บป่วยที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการแพทย์สมัยใหม่ ชาวไทเบิ้ง จะทำพิธีกรรมเสี่ยงทาย หรือ "การบูน" โดยมีหมอบูนเป็นผู้นำพิธีกรรม
ไทเบิ้ง หรือ ไทเดิ้ง เป็นชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งที่ตั้งถิ่นฐานในเขตลุ่มแม่น้ำป่าสัก คำว่า “เบิ้ง” มีความหมายตรงกับคำว่า “บ้าง” ในภาษาไทยกลางคำว่า ไทเบิ้ง จึงหมายถึง มีความเป็นไทยอยู่บ้าง ส่วนคำว่า “เดิ้ง” มีความหมายว่า “ด้วย” ในภาษาไทโคราช คำว่า ไทเดิ้ง จึงหมายถึง มีความเป็นไทยด้วย ทั้งสองคำนี้มักปะปนในภาษาพูด จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์นี้
ชนกลุ่มไทเบิ้ง หรือ ไทเดิ้ง นี้เป็นชาวลาวกลุ่มหนึ่ง ที่ถูกกวาดต้อนมาจากเมืองเวียงจันทน์ พร้อมกับชาวลาวกลุ่มอื่นๆ ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีการทำสงครามเพื่อการกอบกู้เอกราช และปราบปรามหัวเมืองต่างๆ จนถึงในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อมีชัยชนะในการทำศึกสงครามแต่ละครั้ง จะมีการกวาดต้อนผู้คนกลับมา และให้ตั้งถิ่นฐานในเมืองต่างๆ บริเวณภาคกลาง และภาคอีสาน ส่งผลให้ผู้คนแถบนี้มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ และสำเนียงภาษา นับได้ว่า "ไทเบิ้ง" มีถิ่นฐานอยู่ในแถบนี้มานานกว่าสองทศวรรษ ปัจจุบัน ไทเบิ้งกระจายตัวอยู่ในพื้นที่รอยต่อระหว่างภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสัก กระจายตัวในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่
- จังหวัดลพบุรี ในเขตอำเภอพัฒนานิคม อำเภอชัยบาดาล อำเภอสระโบสถ์
- จังหวัดสระบุรี ในเขตอำเภอวังม่วง
- จังหวัดเพชรบูรณ์ ในเขตอำเภอศรีเทพ อำเภอวิเชียรบุรี
- จังหวัดบุรีรัมย์ ในเขตอำเภอนางรอง อำเภอเมือง อำเภอลำปลายมาศ
- จังหวัดชัยภูมิ ในเขตอำเภอจัตุรัส อำเภอบำเหน็จณรงค์
- จังหวัดนครราชสีมา ในทุกอำเภอ ยกเว้น อำเภอหนองบัวใหญ่ อำเภอสูงเนิน
จากการตั้งถิ่นฐานของชาวไทเบิ้งในพื้นที่เขตรอยต่อระหว่างภูมิภาค ส่งผลให้ผู้คนในพื้นที่ดังกล่าวมีความผสมผสานทางวัฒนธรรม ระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง มีสำเนียงภาษาพูดที่มีอัตลักษณ์เฉพาะ ผสมผสานระหว่างสำเนียงสุพรรณบุรี สำเนียงภาคใต้ ซึ่งเป็นสำเนียงที่ไม่สะท้อนความเป็นอีสาน ในขณะเดียวกันก็มีคำที่แตกต่างจากภาษากลาง
ไทยเบิ้ง ในอีสาน 'เบิ้ง' ที่มีภาษาไทยลาวปะปนอยู่บ้าง แต่คำพื้นฐานทั่วไปของชาวไทยเบิ้งตรงกับภาษาไทยภาคกลาง ซึ่งชาวไทยเบิ้งมีขนบธรรมเนียม ประเพณี และศิลปะวัฒนธรรมที่คล้ายกับกลุ่มชนไทยภาคกลาง และกลุ่มชนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสัก และกลุ่มชนที่มีการตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดอื่นๆ พบการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำอื่น ๆ อีกด้วย เช่น ลุ่มน้ำมูล และลุ่มน้ำชี
จาากศึกษาข้อมูลการตั้งถิ่นฐานเพิ่มเติม พบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ไทยเบิ้งและไทเดิ้ง มีถิ่นฐานอยู่ในจังหวัดลพบุรีมานานมากกว่าสองทศวรรษ ซึ่งพื้นที่ของกลุ่มไทยเบิ้งอยู่ในเขตรอยต่อของภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย มีเส้นทางการติดต่อระหว่างภูมิภาคทั้งสอง ผู้คนที่อาศัยในพื้นที่แถบนี้ จะมีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน ซึ่งมีลักษณะวัฒนธรรมผสมผสานระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง
ชุมชนไทยเบิ้ง เป็น ชุมชนเกษตรกรรม ในอดีตทำการเกษตรและหาของป่าเป็นหลัก ต่อมา สังคมเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัย ทำให้วิถีการผลิตเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ที่ปลูกเพื่อยังชีพในครัวเรือนก็กลายเป็นการผลิตเพื่อขาย วิถีการดำรงชีพของชาวไทเบิ้งจึงมีความหลากหลายทั้งการทำนา การทำประมง และงานจักสานและการทอผ้า
การทำนา ในอดีตชาวไทเบิ้ง นิยมปลูกข้าวแบบนาปีเพื่อบริโภคในครัวเรือน ส่วนที่เหลือจะแบ่งขาย ส่วนในปัจจุบัน การปลูกข้าวเพื่อขายได้กลายเป็นอาชีพหลักของผู้คนในชุมชน จะมีความเชื่อเรื่อง การไหว้แม่โพสพ จะจัดขึ้นในช่วงข้าวตั้งท้อง การไหว้จะมีการจัดเตรียมผ้าหรือกระดาษสีแดงตัดเป็นธงใช้สำหรับปักติดก้านธง ภายในกระทงกรวยใส่ข้าวสุก ส้ม กล้วย อ้อย หมากพลู ขนมตามที่มี สิ่งที่ขาดไม่ได้จะต้องมีส้ม เพราะเป็นผลไม้รสเปรี้ยวที่คนท้องนิยมรับประทาน เนื่องจากเปรียบต้นข้าวที่กำลังออกรวงเป็นแม่โพสพที่กำลังตั้งท้อง ติดกระทงกับก้านธงแล้วนำไปปักรับท้องแม่โพสพที่คันนา ก่อนปักธงก็จะพูดแต่สิ่งที่ดีๆ การไหว้แม่โพสพเป็นประเพณีที่มีการปฏิบัติอย่างเข้มข้นในอดีต และเลือนหายในปัจจุบัน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม วัฒนธรรมและระบบนิเวศชุมชน (ภูธร ภูมะธน, 2541, คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร 2559) อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาต่อมา มีการสร้างเขื่อน สร้างฝายและอ่างเก็บน้ำ มีการเวนคืนพื้นที่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่นา จากข้อจำกัดด้านพื้นที่ทำกินเชิงพื้นที่ ทำให้ชาวไทเบิ้งมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตหันไปเป็นแรงงานในภาคอุตสาหกรรมกันมากขึ้น
การทำประมง ในอดีตชาวไทยเบิ้งมีความชำนาญในการจับปลาจากแม่น้ำเพื่อยังชีพ ภายหลังจากการสร้างเขื่อน มีอ่างเก็บน้ำ ทำให้จำนวนปลาเพิ่มจำนวนมากขึ้น ปัจจุบันมีชาวบ้านหลายครัวเรือนหันมาทำอาชีพประมงเป็นอาชีพหลักเพิ่มมากขึ้น
งานจักสานและการทอผ้า ในอดีตชาวไทยเบิ้งมองว่า งานจักสานเป็นงานของผู้ชาย ส่วนงานทอผ้าเป็นของผู้หญิง ฝ่ายชายจึงมักจะทำหน้าที่สานเครื่องมือเครื่องใช้ขึ้น เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ในการดำรงชีพ เช่น อุปกรณ์จับสัตว์หรือของใช้ทั่วไป ประกอบด้วย ข้อง ไซ หงอบ ตะกร้า เป็นต้น
ส่วนฝ่ายหญิงมีหน้าที่ทอผ้า เพื่อนำมาเป็นเสื้อผ้าสวมใส่ให้กับตัวเองและสมาชิกในบ้าน เอกลักษณ์การแต่งกายผู้หญิงนุ่งผ้าโจงกระเบน ใส่เสื้อ “อีหิ้ว หรืออีแปะ” ใช้ผ้าขาวสไบเฉียงห่มทับเสื้อ ผมทรงดอกกระทุ่ม ที่ไม่เหมือนชุมชนไหนๆ และใช้ย่ามเป็นวิถีควบคู่กันมา เช่น ไปตลาด ไปป่า หรือเข้าเมือง และใช้ผ้าขาวสไบเฉียงไปวัด ไว้นุ่ง ไว้ห่มตัว อุ้มเด็กเล็ก ใช้โพกหัว ใช้ห่อข้าว ส่วนเด็กๆ สะพายย่ามใส่หนังสือไปโรงเรียน
จนถึงปัจจุบัน ยังรักษาภูมิปัญญาการทอผ้าด้วยกี่โบราณ เรียกว่า “ทอหูก” มีลวดลายสืบต่อมาแต่โบราณ คือ ผ้าขาว (ผ้าขาวม้า) ลายตาสองลอน ลายตาเดี่ยว ลายตาราย ลายแปะ และลายตาห่าง ส่วนย่าม มีลายไส้ปลาไหล และลายข้างกระแต โดยนำสีธรรมชาติมาย้อมกับผ้าฝ้าย และพัฒนาต่อยอดมาเป็นสินค้า จนกลายเป็นสโลแกนว่า “ผ้าขาวม้างาม ถุงย่ามสวย ทอด้วยกี่โบราณ บ้านโคกสลุง” ปัจจุบันจากเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงของสภาพ เศรษฐกิจ สังคม ทำให้ค่านิยมดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป จากการผลิตเองกลายเป็นการหาซื้อจากตลาดแทน
ครอบครัวและระบบเครือญาติ
ระบบครอบครัวของชาวไทยเบิ้ง มีลักษณะคล้ายคลึงกับชุมชนท้องถิ่นทั่วไป คือ มีลักษณะครอบครัวขยาย สมาชิกในครอบครัวถือเป็นแรงงานสำคัญในการทำการเกษตร ดังนั้น ทรัพย์สินที่ดิน วัว ควาย และเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับประกอบอาชีพ จึงกลายเป็นสินทรัพย์ส่วนกลาง โดยสมาชิกภายในครอบครัวช่วยเหลือเกื้อกูล และร่วมแรงร่วมใจทำมาหากิน ในฐานะเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
การจัดการและแบ่งงานกันทำภายในครอบครัว จะให้ความสำคัญกับ พ่อในฐานะผู้นำครอบครัว ที่มีอิทธิพลและอำนาจเหนือกว่าสมาชิกคนอื่นๆ อีกทั้งเป็นผู้หารายได้และจัดการทรัพย์สินเงินทอง รวมถึงอุปการะเลี้ยงดูสมาชิกทุกคนในครอบครัว ส่วนผู้เป็นแม่ถือเป็นผู้ตาม มีหน้าที่จับจ่ายใช้สอยเงินที่สามีหามาให้ จัดอาหาร เสื้อผ้า อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน ทำงานบ้านและเลี้ยงดูลูก ลูกสาวมีหน้าที่ช่วยเหลือการงานภายในบ้าน ช่วยเลี้ยงน้องและดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่า ขณะที่ลูกชายมีหน้าที่เป็นหัวเรียวหัวแรงในเรื่องการทำงาน ทั้งทำไร่และทำนา โครงสร้างสังคมเช่นนี้เรียกว่าเป็นสังคมชายเป็นใหญ่เช่นเดียวกันสังคมไทย
การแต่งงาน
วิถีชีวิตของชาวไทยเบิ้งในอดีต ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนาหาเลี้ยงชีพตลอดเวลาช่วงกลางวัน โอกาสที่ชายหนุ่มจะได้พบปะพูดคุยเกี้ยวพาหญิงสาวจึงมีน้อย เว้นแต่โอกาสในงานบุญ งานวัด งานตรุษ สารท และช่วงเวลากลางคืนที่บ้านหญิงสาวจะจุดตะเกียงสว่างไสว ทำงานอยู่ใต้ถุนบ้าน เช่น ทอผ้า ตำข้าว กรองแฝก กะเทาะเปลือกละหุ่ง ชายหนุ่มจะไปเที่ยวบ้านหญิงสาว ช่วยทำงานหรือนั่งคุยเป็นเพื่อนขณะหญิงสาวทำงาน เป็นโอกาสที่หนุ่มได้พบปะเกี้ยวพากัน หรือบางครั้งเพื่อนบ้านในหมู่บ้านมีงานบวช งานศพ หญิงสาวจะไปช่วยงานที่บ้านเจ้าภาพ เช่น ทำอาหาร ทำขนม ก็เป็นอีกโอกาสหนึ่งที่ชายหนุ่มได้มีโอกาสพบปะพูดคุยทำความรู้จักกัน เมื่อรู้จักสนิทสนมกันแล้ว ถ้าชายหนุ่มพึงพอใจ จะติดตามไปพูดคุยพบปะหญิงสาวถึงบ้านในโอกาสต่อไป เพื่อศึกษานิสัยใจคอ
เมื่อชายหนุ่มตกลงใจต้องการหญิงสาวนั้นเป็นคู่ชีวิต ชายหนุ่มจะบอกบิดามารดา ให้จัดหาเถ้าแก่ไปทาบทามและสู่ขอ เถ้าแก่ที่ไปทาบทามจะเป็นบุคคลที่มีศีลธรรม เป็นที่เคารพนับถือของผู้คน ในการทาบทามนั้น ฝ่ายหญิงก็จะมีผู้ใหญ่ที่นับถือเป็นพยานรับรู้ด้วย เมื่อทาบทามแล้วเห็นว่า ฝ่ายหญิงสาวไม่รังเกียจก็จะมีการพูดจาสู่ขอ และนัดหมายวันที่จะหาฤกษ์งามยามดี เพื่อกำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานต่อไป
เมื่อได้ทาบทามสู่ขอแล้ว จะให้พระสงฆ์หรือหมอดูกำหนดฤกษ์ เพื่อเป็นวันหมั้น ซึ่งจะต้องเป็น “วันฟู” เพราะตามความเชื่อไทยเบิ้งจะไม่จัดใน “วันจม” วันฟู หมายถึง วันอธิบดี วันธงชัย ส่วนวันจม หมายถึง วันอุบาทว์และวันโลกาวินาศ สำหรับเดือนที่นิยมจัดงานจะเป็นเดือนคู่ ทั้งนี้ จะไม่จัดงานระหว่างเข้าพรรษา เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีสำหรับการหมั้นแล้ว ฝ่ายชายจะจัดเถ้าแก่และเตรียมเงินทองและของหมั้นตามที่ฝ่ายหญิงเรียกร้อง นำไปทำพิธีที่บ้านฝ่ายหญิง ซึ่งอาจจะหมั้นไว้นาน 3-5 ปี แล้วจึงแต่งงาน แต่ส่วนมากในยุคปัจจุบันจะนิยมหมั้นพร้อมด้วยการแต่งงาเลยทีเดียว
หนุ่มสาวบางคู่ที่ชอบพอกัน แต่บิดามารดาของหญิงสาวไม่ชอบหนุ่มผู้นั้น อาจจะเพราะยากจน หรือบิดามารดาและญาติผู้ใหญ่อาจจะชอบชายหนุ่มคนอื่นมากกว่า หญิงสาวอาจจะหนีตามชายหนุ่มคนที่ตนรักไป ซึ่งจะทำให้บิดามารดาของฝ่ายหญิงอับอาย เมื่อหนีไปอยู่ด้วยกันระยะหนึ่งแล้ว ฝ่ายชายจะจัดผู้ใหญ่ไปขอขมาต่อบิดามารดาของฝ่ายหญิง ซึ่งจะไม่กล้าเรียกร้องเงินทองขอขมานี้มากนัก
เมื่อใกล้ถึงวันแต่งงาน ทั้งบ้านฝ่ายชายและบ้านฝ่ายหญิงจะมีการเตรียมตำข้าว หาฟืน หาปลา หาผักป่า เพื่อเตรียมทำอาหารในวันงาน เนื้อสัตว์ที่ใช้ทำอาหารของชาวไทยเบิ้งนิยมใช้ "ปลา" จะไม่มีการฆ่าหมู วัว หรือควาย อาหารที่ทำเลี้ยงพระและเลี้ยงแขกในงานแต่งงาน จะเป็นอาหารพื้นบ้านที่เรียบง่าย เช่น แกงหัวค้อ แกงหัวลาน แกงขนุน แกงหน่อไม้ป่า ขนมจีน และแกงบอน ส่วนขนมหวานที่นิยม ได้แก่ ลอดช่องน้ำกะทิ ข้าวตอก ข้าวโป่ง ข้าวเหนียวแดง อาหารทั้งคาวและหวานนั้นจะจัดทำกันเองโดยมีเพื่อนบ้านช่วยกันทำ
ขบวนขันหมาก เมื่อขึ้นไปบนเรือนพร้อมทั้งมอบของขันหมากแก้ฝ่ายเจ้าสาวแล้ว ฝ่ายเจ้าสาวจะมอบแป้งกระสอบหนึ่งถุง เป็นดินสอพองปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ บรรจุในซองกระดาษแก้วสีต่างๆ เป็นของชำร่วย จากนั้นเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาวจะตรวจนับสินสอดที่ฝ่ายเจ้าบ่าวนำมา เมื่อตรวจสอบว่าครบถ้วนถูกต้อง จึงจะทำพิธีผูกข้อมือ โดยบิดามารดาของฝ่ายเจ้าสาวจะผูกข้อมือเจ้าบ่าว เรียกว่า ผูกเอาเขย และมอบเงินรับไหว้ จากนั้นบิดามารดาฝ่ายเจ้าบ่าวจะผูกข้อมือเจ้าสาว เรียกว่า ผูกเอาสะใภ้
หลังจากนั้น จะเชิญญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพนับถือผูกข้อมืออวยพรให้แก่บ่าวสาว เมื่อเสร็จพิธีผูกข้อมือ จึงจะยกสำรับอาหารเลี้ยงผู้มาร่วมงาน และจะมีพิธีเกี่ยวกับบ่าวสาวอีกครั้งในตอนเย็น ซึ่งเป็นพิธีมอบที่นอน หรือพิธีส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว เป็นที่น่าสังเกตว่าพิธีแต่งงานของชาวไทยเบิ้งในอดีต จะไม่มีพิธีรดน้ำหรือหลั่งน้ำสังข์ แต่ในระยะเวลาต่อมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันจะมีพิธีหลั่งน้ำสังข์เช่นเดียวกับเพราะจำลองคนลพบุรี (ภูธร ภูมะธน, 2541)
หลังจากการแต่งงานมีการออกเรือน ฝ่ายชายจะเข้ามาอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิง หรือปลูกเรือนอยู่บริเวณใกล้เคียงกับบ้านพ่อแม่ หรือญาติพี่น้องฝ่ายหญิง โดยครัวเรือนดังกล่าว จะได้รับมรดกที่ดินมาจากพ่อแม่ของตน ซึ่งลูกสาวมักจะได้รับมรดกมากกว่าลูกชาย เนื่องจากถือว่า ลูกชายจะต้องแต่งงานเข้าไปอยู่กับฝ่ายหญิง ปัจจุบันพบว่า มีการแต่งงานทั้งแบบดั้งเดิมที่ฝ่ายชายแต่งเข้ามาอยู่กับฝ่ายหญิง และฝ่ายหญิงแต่งออกไปอยู่กับฝ่ายชาย
ระบบครอบครัวและเครือญาติชาวไทยเบิ้ง จึงอาจพิจารณาได้จากการใช้ นามสกุล กล่าวคือ หลังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเก้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกาศพระราชบัญญัติขนานนามสกุลขึ้น พ.ศ. 2455 และประกาศใช้ในปี พ.ศ. 2456 พบว่า นามสกุลกลายเป็นอัตลักษณ์ที่แสดงความเป็นชาวไทยเบิ้ง
ชาวไทยเบิ้ง นิยมตั้งนามสกุลตามภูมิลำเนาที่เกิดหรือที่อยู่อาศัย โดยใช้ชื่อตำบลเป็นส่วนท้ายหรือส่วนหน้าของนามสกุล เช่น ในอำเภอโคกสลุง จะใช้ สลุงอยู่ เกิดสลุง เดิมสลุง เป็นต้น ส่วนคำท้ายได้มาจากชื่อบรรพบุรุษ ปู่ย่าตายาย รวมทั้งเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเอง เพราะเชื่อว่า ตระกูลที่นามสกุลที่มีคำว่า “สลุง” ต่อท้าย หรือนำหน้านามสกุล จะต้องมีบรรพบุรุษเป็นชาวไทยเบิ้งโคกสลุง เข้ามาประกอบอาชีพในตำบลโคกสลุง และสร้างที่อยู่อาศัยในตำบลโคกสลุงเป็นเวลานาน จนกลายเป็นคนโคกสลุงในเวลาต่อมา (คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร 2559)
นามสกุลอื่นๆ ที่ปรากฏในชาวไทเบิ้งที่กระจายอยู่ในจังหวัดอื่นๆ เช่น นครราชสีมา ก็จะมี จันทึก สักจอหอ เสือสูงเนิน เติมขุนทด ทอดขุนทด หมิวกระโทก ฯลฯ มีคนรวบรวมไว้ใน Facebook ที่นี่นครราชสีมา ส่วนในจังหวัดบุรีรัมย์ก็จะลงท้ายด้วย รัมย์, ประโคน, ไธสง เป็นต้น
การแต่งกาย
การแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยเบิ้ง เริ่มตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ ชายและหญิง การแต่งกายคล้ายคนไทยแถบภาคกลาง และแถบนครราชสีมา ทั้งลักษณะของแบบเสื้อ ผ้านุ่ง ทรงผม และการแต่งหน้า เสื้อที่ใช้ในแต่ละวันคล้ายๆ กันเช่น
ผู้หญิง ใช้เสื้อกระโจม เสื้ออีแปะ ต่อมาเป็นเสื้อปกฮาวาย ปกเชิ้ต และปกตามสมัยนิยม ผ้านุ่ง คือ ผ้าโจงกระเบน และนุ่งผ้าถุง (ส่วนใหญ่สตรีสูงอายุนุ่ง)
ผู้ชาย ใช้เสื้อ คอกลม เสื้อกุยเฮง คอกระบอก ต่อมาเป็นปกฮาวาย ปกเชิ้ต นุ่งผ้าโจงกระเบน กางเกงขาก๊วย กางเกงแพร กางเกงขาสั้น กางเกงขายาว และผ้านุ่งตาหมากรุก การแต่งกายของชาวไทยเบิ้งยังคงรักษารูปแบบการแต่งกายไว้เป็นอย่างดีจนถึงปัจจุบัน
อาหาร
อาหารชาวไทยเบิ้งใช้วัตถุดิบจากธรรมชาตินำมาผลิต และใช้ปรุงอาหาร การปรุงอาหารเป็นวิธีการปรุงอาหารแบบง่ายๆ และกินง่าย นิยมกินอาหารที่สดใหม่ อาหารสุกแล้ว อาหารประเภทเนื้อปลา ผักพื้นเมือง ข้าวเจ้า ไม่นิยมกินอาหารใส่กะทิหรือทอด การเก็บรักษาอาหารไว้หลายๆ วัน โดยมีวิธีการถนอมอาหารแบบธรรมชาติเช่น ตากแห้ง การทำเค็ม หรือการดองเปรี้ยว ไม่มีการใช้สารปรุงแต่งอาหารประเภทสารสังเคราะห์ เช่น สารกันบูด สารกันรา ผงชูรส อาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยเบิ้งคือ แกงหัวลาน แกงไก่สามสิบ แกงบุก และแกงมันนก-เหมือดยอดตำลึง-ใส่ปลากาย่าง เป็นอาหารที่หากินได้ง่ายในท้องถิ่น
ประเพณีและความเชื่อของชาวไทยเบิ้ง
ประเพณี หมายถึง สิ่งที่เป็นความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ทัศคติ การประพฤติปฏิบัติตลอดจนประกอบพิธีกรรมในโอกาสต่างๆ ที่ปฏิบัติกันอยู่ในสังคมและได้รับการยอมรับจาคนส่วนใหญ่ในสังคมว่าถูกต้อง และยอมรับยึดถือปฏิบัติเป็นแบบแผนสืบต่อๆ กันมา
ประเพณีที่ประพฤติปฏิบัติกันอยู่ในสังคมจำแนกได้ 2 ลักษณะ คือ
- ประเพณีเกี่ยวกับชีวิตส่วนบุคคลในครอบครัว
- ประเพณีส่วนรวมที่กระทำเป็นกลุ่มตามเทศกาล เช่นทำบุญ การรื่นเริง สนุกสนาน ตามเทศกาลต่างๆ
ประเพณีชาวไทยเบิ้งก็ไม่ต่างจากชาติพันธุ์ชาวไทยกลุ่มอื่นๆ มากนัก และในเรื่องความเชื่อบางอย่าง ก็มีเหตุผล และบางอย่างก็ไม่มีเหตุผล ความเชื่อดังกล่าวจึงทำให้เกิดผล 2 ประการ คือ ทำให้เกิดข้อห้ามไม่ควรปฏิบัติ และข้อควรปฏิบัติ ซึ่งเชื่อว่าเมื่อปฏิบัติแล้วจะเกิดศิริมงคล เกิดผลดี มีความมั่นคงทางจิตใจและเกิดความสามัคคีในหมู่คณะ
ความเชื่อของชาวไทยเบิ้งที่ยึดถือปฏิบัติกันมา คือ
- ความเชื่อเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
- ความเชื่อเกี่ยวกับยากลางบ้าน
- ความเชื่อเกี่ยวกับโชคลาง
- ความเชื่อเกี่ยวกับนิมิตและความฝัน
- ความเชื่อเกี่ยวกับไสยาศาสตร์ ของคลัง คาถาอาคม ผ้ายันต์ ตะกรุด ลูกประคำ
- ความเชื่อเรื่องลักษณะของคนและสัตว์
- ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือศาสนา
- ความเชื่อเรื่องเคล็ด
- ความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ ผีกระสือ
- ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์
- ความเชื่อด้านโหราศาสตร์ หมอดู
- ความเชื่อเกี่ยวกับการทำมาหากิน
ความคิด ความเชื่อที่ยึดถือปฏิบัติกันมาจนตลอดเป็นประเพณี จึงเป็นรากฐานส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดวิถีชีวิตของคนในสังคม และปรากฏ ในทุกขั้นตอนของการดำรงชีวิต ซึ่งโบราณได้กำหนดขั้นตอนที่สำคัญของชีวิต มี 4 ครั้ง คือ ตอนเกิด บวช แต่งงาน และตอนตาย เมื่ออายุแต่ละคน ผ่านถึงวัยหรือมาถึงขั้นตอนของชีวิตดังกล่าวจึงนิยมจัดทำพิธีต่างๆ เพื่อให้เกิดสวัสดิมงคลแก่ตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง
ประเพณีท้องถิ่นชาวไทยเบิ้ง
ชาวไทยเบิ้งที่อาศัยอยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำป่าสักมีความเชื่อและประเพณีต่างๆ คล้ายกับชาวไทยในภาคกลาง ส่วนชาวไทยเบิ้ง หรือไทยโคราช ก็จะมีความเชื่อและประเพณีต่างๆ คล้ายกับชาวไทยอีสานส่วนใหญ่ เช่นกัน
ความเชื่อเรื่องภูตผี สิ่งลึกลับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชาวไทยเบิ้งที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ยังคงมีความเชื่อเรื่องผีที่สำคัญ ดังนี้
- ผีบ้านผีเรือนหรือผีปู่ย่าตายาย ชาวไทยเบิ้งไม่นิยมตั้งศาลบูชาผีบ้านผีเรือนผีปู่ย่าตายาย หรือศาลเจ้าที่ แต่เชื่อว่ามีผีประจำอยู่ในบ้านเรือน
- ผีปอบ ชาวไทยเบิ้ง มีความเชื่อว่า ปอบมีอยู่จริง ชาวบ้านบางคนเคยพบเห็น และผีปอบเคยสิงคนในหมู่บ้าน คนที่ถูกผีเข้าบางคนยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน คนที่ถูกสิงจะมีอาการแปลกประหลาก เช่น กินของดิบบางคนเดินแก้ผ้า
- ผีนางไม้ ส่วนใหญ่ชาวไทเบิ้งมีความเชื่อเรื่อง ผีนางตะเคียน มากที่สุด และต่างเชื่อกันว่า ตามต้นไม้ใหญ่จะมีผีประจำอยู่ หากมีผู้ใดไปทำอะไรไม่ดีจะถูกลงโทษ
- ผีกระสือ ชาวไทยเบิ้งเล่าว่า เคยพบเห็นผีกระสือเข้ามาในหมู่บ้านช่วงค่ำๆ หรือตอนกลางคืน ในลักษณะของดวงไฟแวบๆ ลอยมาวนเวียนใต้ถุนบ้าน บางทีก็ดูดกินตับไตไส้พุงของสัตว์ที่เลี้ยงไว้ในใต้ถุนบ้านจนตาย
- ผีพราย หรือ ผีเงือก ผีพรายหรือผีน้ำหรือผีเงือกจะมีความเหมือนกัน ชาวไทเบิ้ง เชื่อว่า ผีเงือกอยู่ประจำวังน้ำ หากผู้ใดไปหาปลา ลงเล่นน้ำหรือถ่ายปฏิกูลลงแม่น้ำ อาจจะถูกผีเงือกหลอกหลอนได้
- ผีปะกำ หรือ ผีประกำ ในอดีตชาวไทยเบิ้งโคกสลุงเชื่อว่า ผีปะกำเคยมีอาชีพเกี่ยวกับการคล้องช้าง ก่อนจะออกไปคล้องช้างจะต้องทำพิธีเซ่นสรวงบูชาผีปะกำ จึงจะเกิดผลดีต่อการไปคล้องช้าง
- ผีโรงผีโลง เป็นผีของบรรพบุรุษ ของแต่ละบ้านชาวไทเบิ้ง เชื่อว่า ผีพวกนี้จะไม่ทำร้ายผู้ใดแต่ต้องกราบไหว้บูชา
- ผีตายโหง หมายถึงคนที่ตายแบบผิดปกติ ผีเหล่านี้จะมาหลอกหลอนคนอื่น ไม่ยอมไปผุดไปเกิดง่าย ๆ
- ผีตะมอย ชาวบ้านบางหมู่บ้านเชื่อเรื่องผีตะมอย แต่ไม่สามารถระบุรูปร่างได้แน่ชัด แต่เป็นผีขี้ขโมย ชอบลักขโมยกินข้าวของชาวบ้าน
ความเชื่อในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
ในอดีตชาวไทยเบิ้งมีความเชื่อเรื่องเจ้าพ่อ และศาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก ศาลเหล่านี้สร้างขึ้นจาก การที่ชาวบ้านบนบานศาลกล่าวต่อเจ้าพ่อองค์ใดองค์หนึ่งที่ตนรู้จัก หลังจากได้รับผลสมตามที่ต้องการ จะมีการตั้งศาลถวาย ต่อมาจึงมีผู้คนมากราบไหว้บูชาบนบานศาลกล่าวให้พ้นเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ หลังจากได้ตามที่ขอจึงพากันเซ่นสรวงบูชาเป็นการบำรุงศาล ภายหลังไม่มีคนดูแล ศาลจึงถูกทิ้งให้ชำรุดและทรุดโทรม
ความเชื่อในเรื่องการตั้งครรภ์และการคลอดบุตร
ชาวไทยเบิ้งมีประเพณีความเชื่อเกี่ยวกับการเกิด (ภูธร ภูมะธน, 2541) นับตั้งแต่ผู้หญิงท้องจะมีข้อห้ามต่างๆ คือ คนท้องห้ามทำบาป ไม่ตกปลา ไม่ฆ่าสัตว์ ห้ามเตรียมของใช้ของลูกไว้ก่อน เช่น ผ้าอ้อม ที่นอน หมอน ถ้าจะเตรียมที่นอนและหมอนไว้ต้องไม่เย็บปิดปากที่นอน หรือปากหมอน เมื่อคลอดแล้วจึงจะเย็บปิดปากหมอนปาก
นอกจากนี้ ยังห้ามคนท้องข้ามขอนไม้ใหญ่ ไม่ไปเยี่ยมคนไข้หนัก ไม่ไปงานศพ ถ้าจะไปงานศพต้องหาเข็มกลัด กลัดผ้าถุงด้านในบริเวณท้อง เพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่ดีไม่ให้เกิดในท้อง ไม่ไปดูคนอื่นคลอดลูก เพราะมีความเชื่อว่าจะทำให้คลอดยาก ห้ามอาบน้ำตอนกลางคืนเพราะกลัวจะเกิดแฝดน้ำ ส่วนการรับประทานอาหารตต้องรีบอิ่มก่อนบุคคลอื่น แม้ว่าจะยังไม่อิ่ม แล้วจึงกลับไปกินต่อภายหลังเพราะมีความเชื่อว่า อิ่มก่อนจะทำให้คลอดง่าย
อีกทั้งยังมีความเชื่อว่า ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หากได้ลอดท้องช้างหรือดื่มน้ำในรอยเท้าช้างจะทำให้คลอดง่าย ในอดีตหากมีคนเข้าป่าแล้วพบรอยเท้าช้างมีน้ำขังอยู่จะตักน้ำในรอยเท้านั้นใส่กระบอกกลับบ้านให้หญิงตั้งครรภ์ได้ดื่มกิน รวมถึงเมื่อเกิดจันทรคราสหรือสุริยคราสจะต้องปลุกลูกในท้องให้รู้ตัวด้วยโดยเอามือตบท้องเบา ๆ และบอกให้ลูกรู้ว่าเกิดคราสจะทำให้คลอดง่าย โดยมีเนื้อความว่า “เกิดจันทรคราสแล้วลูกเอ๊ย อยู่เย็นเป็นสุข สนุกสบายนะ ลูกนะ เกิดมาก็ขอให้มาค้ำมาคูณกันเน้อ”
ส่วนการกินอาหาร เชื่อว่า คนท้องไม่ควรรับประทานอาหารรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด และไม่ให้กินอาหารพร่ำเพรื่อ ห้ามกินกล้วยแฝด กลัวว่าจะมีลูกแฝด ทำให้คลอดยาก ไม่ให้นั่งหรือยืนบริเวณบันไดหรือประตู
ขั้นตอนการเตรียมการคลอด เมื่อท้องแก่ ผู้เป็นสามีต้องทำงานบ้านที่หนักแทนภรรยา เช่น หาบน้ำ ตำข้าว หาปลาไว้ทำปลาแห้ง เพื่อเป็นอาหารสำหรับคนอยู่ไฟ และหายาประเภทว่านไพลเตรียมไว้ให้ภรรยา และเตรียมตัดฟืนไว้เพื่อใช้ในการอยู่ไฟ ส่วนมากจะใช้ไม้แสมสาร ไม้สะแก
นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์บางคน โดยเฉพาะการตั้งครรภ์ลูกคนแรกจะกลับไปคลอดที่บ้านแม่ตนเอง โดยจัดเตรียมห้อง “ในเรือน” เป็นห้องคลอด บางบ้านจะทำด้วยสายสิญจน์วนรอบห้องคลอด บางคนอาจทำสายสิญจน์คล้องคอคนท้องไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผีมารบกวน ภายในห้องที่ถูกใช้เป็นห้องคลอดต้องทำเตาไฟ โดยเอาไม้ขอนวางขวางกันเป็นคอกหมู เอากาบกล้วยปูรองพื้นและนำดินใส่จนเต็ม เตรียมแคร่นอนไว้ข้างเตาไฟ ใต้ถุนของห้องคลอดจะขุดหลุมตรงกับร่องสำหรับขับถ่ายของเสียไว้ รอบหลุมจะตัดหนามพุทราหรือหนามอื่นมาสะไว้โดยรอบเพื่อป้องกันผีปอบ ผีกระสือไม่ให้มากินเลือด กินของคาว ของเสียที่ถ่ายทิ้งลงมาทางร่องนั้น
การคลอด เมื่อท้องแก่และเริ่มปวดท้องจะไปตามหมอตำแยมาทำคลอด เริ่มด้วยหมอตำแยจะทำพิธีไหว้ผีบ้านผีเรือน เครื่องเซ่นไหว้ประกอบด้วยขนมต้ม ข้าวเหนียวนึ่ง กล้วย ดอกไม้ ธูป เทียน และเงิน จัดใส่พานเพื่อไหว้ “ปู่ ย่า ตา ยาย ทางพ่อก็ดี ให้มาช่วยให้คลอดง่ายให้มาปกปักรักษาให้คลอดง่าย” การเตรียมตัวคลอดจะนิยมให้คนท้องนั่งหันหน้าไปทางทิศเหนือ หรือทิศตะวันออก และให้นั่งพิงครกหรือพิงหลังสามีเอาเท้ายันฝาไว้ เมื่อเด็กคลอดออกมาแล้วผู้เป็นสามีหรือคนในบ้านจะรีบติดไฟต้มน้ำร้อนเพื่อเตรียมอาบน้ำเด็กต่อไป ถ้าการคลอดมีอาการผิดปกติจะใช้หมอพื้นบ้านมาเสกมาเป่า หรือทำน้ำมนต์ให้ดื่มเป็นการสะเดาะเคราะห์ เมื่อเด็กตกฟากแล้วจะเอาด้ายมัดสะดือ 3 เปลาะ ใช้ขมิ้นรองมือ วางสายสะดือบนขมิ้นใช้ผิวไม้รวกตัดออก 2 เปลาะ ใช้รังหมาร่าเผาไฟให้ละเอียดนำไปพอกสะดือ เพื่อให้สะดือแห้งและต้องระมัดระวังไม่ให้สะดือเปียกน้ำ
ส่วน "รก" จะนำใส่หม้อตาลและนำเกลือใส่เพื่อไม่ให้เน่า หลังจากนั้นผู้เป็นสามีหรือแม่ใหญ่จะเป็นผู้นำรกไปฝังไว้ที่ใต้บันได เพราะมีความเชื่อว่า เมื่อเด็กเติบโตขึ้นจะได้เป็นคนรักบ้านเป็นห่วงบ้าน จะไปที่ใดก็ตามจะต้องกลับบ้านเสมอ เมื่อฝังรกใต้บันไดแล้วจะสุมไฟไว้เหนือหลุมที่ฝังรก เพื่อป้องกันสัตว์ไปขุดคุ้ย
ส่วนแม่ เมื่อคลอดและรกออกแล้ว หมอตำแยจะให้ดื่มน้ำมะขามเปียกใส่เกลือซึ่งเป็นยาสมุนไพร หลังจากนั้นจะนำเด็กไปอาบน้ำอุ่น ทาขมิ้นดินสอพอง วางแด็กนอนในกระด้ง ถ้าเป็นผู้ชายจะนิยมจัดหาสมุดดินสอวางในกระด้ง ถ้าเป็นลูกสาวจะหาด้าย เข็ม วางในกระด้ง แล้วหมอตำแยจะทำพิธีทิ้งกระด้ง (ร่อนกระด้ง) และพูดว่า “3 วันเป็นลูกผี 4 วันเป็นลูกคน ลูกใครหลานใครก็มารับไปเด้อ” ว่าดังนี้ 3 ครั้งจะมีคนมารับกระด้งไป คนที่มารับกระด้งนี้จะต้องเป็นคนเลี้ยงลูกง่าย เป็นคนดีมีศีลธรรม เมื่อรับกระด้งมาแล้วจะกล่าวว่า “ลูกฉันเอง ฉันจะผูกเอามิ่งเอาขวัญลูก” เมื่อรับไปแล้ววางกระด้งลงทำพิธีเรียกขวัญ ผูกข้อมือรับเป็นลูก เป็นหลาน “ขวัญเอ๋ยมาเฮอะมาลูกมาแม่จะผูกเป็นลูกเป็นเต้า อยู่เย็นเป็นสุขสนุกสบาย ความเจ็บก็ไม่ได้ความไข้ก็ไม่มี ตั้งแต่วันนี้ไปให้เลี้ยงง่าย”
หลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอนการอยู่ไฟ การอยู่ไฟ หรือภาษาพื้นบ้านชาวไทยเบิ้งเรียกว่า “อยู่กรรม” เป็นการอยู่ไฟฟืน แม่เด็กจะนอนข้างไฟ โดยนอนเหยียดแขนเหยียดขาบนแคร่ซึ่งส่วนมากจะเป็นไม้กระดานแผ่นเดียว การนอนอยู่ไฟจะไม่ให้งอแขนงอขาและห้ามไม่ให้ออกนอนบริเวณที่อยู่ไฟ เมื่อแข็งแรงดีแล้วจะลุกขึ้นเดินได้เล็กน้อย ผู้ที่ไปเยี่ยมเยียนห้ามทักถามเรื่องร้อน เช่น “ร้อนไหม” อาหารสำหรับผู้อยู่ไฟ สามารถรับประทานได้เฉพาะข้าวกับเกลือ โดยการกัดก้อนเกลือกินกับข้าวสวย แล้วดื่มน้ำร้อนตามเข้าไป จะทำให้รู้สึกว่าข้าวมีรสหวาน หรือกินข้าวกับปลาช่อนแห้ง น้ำที่ใช้ดื่มจะต้องดื่มน้ำร้อนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามไม่ให้กินของเย็น เช่น แตงโม ฟัก อาหารบางชนิดเป็นอาหารต้องห้าม ได้แก่ ผักประเภทมีมือ เช่น ตำลึง ปลาประเภทที่มีเงี่ยง เช่น ปลาดุก ปลาแขยง เพราะกลัวแสลง เมื่อออกจากไฟแล้วจึงสามารถรับกินหมู ไก่ และแกงเลียง
หมายเหตุ : สำหรับประเพณีความเชื่อนี้ ในอดีตยังหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ก็มักจะเลือกทำตามผู้เกิดมาก่อน ทำตามกันมา จนบางสิ่งบางอย่างในยุคหลังต่อมา วิทยาศาสตร์ การแพทย์ก้าวหน้าแล้ว มีความรู้ มีคำตอบที่ชัดเจน ความเชื่อเหล่านี้ก็จางหายไปมากแล้ว (แอบบ่นในฐานะเป็นคนรอยต่อ ที่เคยต้องไปแบกต้นกล้วยมาทำคีไฟให้เมียอยู่กรรม ทั้งหนักทั้งเหนื่อย ไม่ทำก็ไม่ได้ พ่อตา-แม่ยายถมึงตาสั่งอยู่ เมียอยู่ไฟได้ไม่ถึงวัน ทนไม่ได้ตามโบราณ เฮ้อ! เหนื่อยเปล่าจริงๆ)
การรักษาโรค
ชาวไทยเบิ้งในอดีตจะรักษาโรคภัยตามความเชื่อคือ การทำพิธีเสี่ยงทาย ที่เรียกกันว่า "การบูน" คือ พิธีกรรมการเสี่ยงทาย ผู้ทำหน้าที่ในพิธีกรรมนี้เรียกว่า “หมอบูน” ทำหน้าที่เสี่ยงทายสิ่งต่างๆ ที่เป็ความวิตกกังวลของคนในชุมชน โดยเฉพาะโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
แม้ฝนยุคปัจจุบัน เมื่อมีอาการเจ็บป่วยที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการเพทย์สมัยใหม่ ชาวไทเบิ้งจะไปหา “หมอบูน” เพื่อทำพิธีกรรมเสี่ยงทาย เพื่อค้นหาสาเหตุของความเจ็บป่วย ทำให้เกิดสาเหตุที่เกิดขึ้น พร้อมวิธีการแก้ไข กล่าวคือ เวลาป่วยไปหาหมอแล้วไม่หายจากอาการเจ็บป่วย วิธีการตรวจ หมอบูนจะสอบถามอาการผู้ป่วย ด้วยการตั้งคำถามว่าเป็นโรคใด โดนฤทธิ์จากผีใด หรือเจอภัยจากกระสือ กระหัง เปรต ปอบ ผีพราย ผีบ้านผีเรือน ผีโป่งค่าง ผีเงือก ผีตายโหง ฯลฯ เมื่อสอบถามเสร็จแล้ว หากกรรไกรที่ถืออยู่ในมือของหมอบูนแกว่งไกว แสดงว่า คำตอบ คือ “ใช่” จากนั้นจะถึงช่วงการรักษา จะมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันไปตามแต่โรค ตามความเชื่อของชาวไทเบิ้งหากโดนผีตายโหงจะให้นำของเซ่นไปไหว้ขอขมา วางไว้บริเวณทางสามแพร่ง จากนั้นอาการเจ็บป่วยก็จะหายส่วนการตรวจโรค นอกจากจะใช้หมากพลูเป็นเครื่องไหว้ครูแล้ว ยังมีค่าครูอีก 1 บาท แต่ชาวบ้านบางรายอาจให้มากกว่านี้ตามกำลังศรัทธา
ความตาย และการทำศพ
การทำศพ หรือ ปลงศพ ของชาวไทยเบิ้ง ในอดีตนิยมเผา หากเป็นศพที่เสียชีวิตผิดธรรมชาติเช่น การถูกฆาตกรรม ตกต้นไม้ ฟ้าผ่า จมน้ำ คลอดบุตร หรืออุบัติเหตุจะนำศพฝังไว้ 3-5 ปี แล้วจึงทำพิธีเผาในภายหลัง เมื่อมีผู้เสียชีวิต จะเริ่มจากการทำความสะอาดศพด้วยน้ำร้อนต้มใส่ใบมะขาม ใบฝรั่ง การอาบน้ำศพจะทำเฉพาะลูกหลาน และญาติใกล้ชิด จากนั้นจะแต่งตัวศพ ทาขมิ้น ผัดแป้ง หวีผม โดยจะหวีไปในทางตรงข้ามกับตอนมีชีวิตอยู่ ใส่เสื้อผ้ากลับด้านหน้าไว้ข้างหลัง จัดทำกรวยใบตองใส่ดอกไม้ ธูป เทียน ใส่มือพนมไว้เพื่อให้ผู้ตายนำไปบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และบอกกับศพว่าใครขอก็ไม่ให้ นำเงินเหรียญใส่ในปากศพ แล้วใช้ผ้าขาวมัดตราสังข์ศพ แล้วทำพิธีเบิกโลงก่อนนำศพลงบรรจุในโลง
การเบิกโลง เป็นหน้าที่ของสัปเหร่อ โดยใช้ไม้ไผ่ผ่าซีกเป็นปากกา มีลักษณะเป็นไม้คีบเหมือนไม้ปิ้งปลา 8 อันนำไปคีบตามขอบโลงด้านละ 2 อัน แล้วนำด้ายสายสิญจน์มัดโยงตามไม้คีบปากกาทั้ง 8 อัน ทำกระทงใบฝรั่ง 4 กระทง ใส่ข้าวดำ ข้าวแดง เพื่อวางในโลงเป็นเครื่องสังเวย ทำน้ำมนต์ธรณีสารพรมที่โลงและศพ แล้วใช้เทียนจุดด้ายสายสิญจน์ที่โยงไว้ระหว่างไม้คีบปากโลง ให้สายสิญจน์ขาดเป็นช่อง ๆ เป็นการแสดงว่าได้ตัดขาดจากญาติพี่น้อง ลูกหลานให้หมด ต่อจากนั้นจึงม้วนด้ายสายสิญจน์และนำไม้คีบปากทั้งหมดใส่ในโลงด้วย หลังจากนั้นจะยกโลงไปตั้งบนเรือนหันด้านศีรษะไปทางทิศตะวันตกเพื่อทำพิธีสวดศพต่อไป
การสวดศพ ในอดีตจะตั้งศพที่บ้าน ไม่นิยมตั้งศพที่วัดดังเช่นปัจจุบัน ทั้งนี้ ชาวไทยเบิ้งจะตั้งศพบำเพ็ญกุศลเพียง 1-3 วัน เนื่องจากยังไม่มีการฉีดยาป้องกันศพเน่าเปื่อย ตลอดเวลาของการตั้งศพสวดจะจุดธูป หรือจุดตะเกียงตลอดไม่ให้ดับ เมื่อถึงเวลาอาหาร ญาติของผู้ตายจะจัดสำรับอาหารไปวางข้างโลง และเคาะโลงเรียกให้กินอาหาร เมื่อพระสงฆ์สวดพระอภิธรรมก็จะเคาะโลงเรียกให้ฟังพระสวด
การเผาศพ เมื่อสวดศพวันสุดท้ายจะหามศพไปทำพิธีที่วัด ในกรณีที่ผู้เสียชีวิตเป็นพ่อ แม่หรือญาติผู้ใหญ่ หลังจากการหามศพลงจากบ้านแล้วจะคว่ำโอ่งน้ำ 1 ใบ ขบวนศพที่หามไปนั้นจะนำหน้าศพด้วยหม้อไฟ ซึ่งเป็นหม้อตาลใส่ฝ้ายจุดไฟ และมีถาดใส่มะพร้าวปอกเปลือกแล้ว 1 ลูก กระทงใบฝรั่งหรือกระทงใบตองใส่ข้าวดำข้าวแดง และสตางค์กระทงละ 1 บาท แต่ละกระทงจะปักธงสามเหลี่ยม ขณะที่หามศพไปจะโรยข้าวตอกไปตลอดทาง เป็นการนำไปสู่สวรรค์ และตลอดทางที่หามศพไปจะไม่มีการหยุดพักระหว่างกลางทาง
การกำหนดวันเผาศพของชาวไทยเบิ้งจะห้ามเผาศพวันพระและวันคู่ ห้ามเผาวันศุกร์ วันเสาร์และวันอังคาร การเผาศพจึงเกิดขึ้นเฉพาะวันคี่ การแต่งกายของผู้ไปร่วมงานศพจะแต่งกายสีใดก็ได้ ไม่ถือว่าผิดธรรมเนียมประเพณีแต่อย่างใด ต่อมาชาวไทเบิ้งได้รับเอาประเพณีการแต่งกายสีดำ หรือสีขาว-ดำ ไปงานศพจากคนภาคกลาง
หลังจากเผาศพ 3 วัน จะทำพิธีกลบธาตุหรือกลับธาตุ โดยจะนิมนต์พระสงฆ์ไปที่เชิงตะกอน สวดบังสุกุลตายพรมน้ำมนต์ที่กระดูก แล้วเขี่ยกระดูกเป็นรูปคนหันศีรษะไปทางตะวันออก แล้วพระสงฆ์สวดบังสุกุลเป็นเพื่อเป็นการแสดงการเกิด แล้วจึงเก็บกระดูกใส่โกศไว้บนหิ้งบูชาหรือ เก็บไว้ที่วัด เมื่อถึงวันตรุษสงกรานต์ แต่ละปีจะนำโกศไปวัดให้พระสงฆ์สวดบังสุกุล หรือนิมนต์พระสงฆ์ไปทำบุญที่บ้าน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ นับเป็นการทำบุญใหญ่ประจำปี
นอกจากนี้ คนไทยเบิ้งยังมีการต่ออายุและการดูใจผู้ป่วยระยะท้ายสุดของชีวิต กล่าวคือ เมื่อมีผู้ป่วยหนักมักจะทำพิธีต่ออายุโดยนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีที่บ้าน มีการทำบุญเลี้ยงพระ สวดต่อชะตา ชักบังสุกุลเป็นการสร้างเสริมกำลังใจผู้ป่วย และยืดอายุผู้ป่วยไปอีกระยะหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นการบอก “ทาง” โดยนัยแก่คนใกล้สิ้นใจ เมื่อผู้ป่วยอาการหนักเห็นว่า ไม่มีทางรอดมีอาการใกล้สิ้นใจ ญาติพี่น้องจะบอกทางแก่ผู้ป่วยให้นึกถึงพระอรหันต์ หรือบอกให้ท่องพุทโธๆ หรือจะกล่าวนำดังๆ ให้ผู้ป่วยได้ยินจะได้ยึดคำพุทโธๆ เป็นพุทธานุสติ ให้จิตใจสบายและเชื่อมั่นว่าเมื่อจากโลกนี้ไปแล้วจะไปสู่ภพภูมิที่ดี (ภูธร ภูมะธน, 2541)
ภาษาไทเบิ้ง
ชาวไทยเบิ้งมีภาษาพูดคล้ายกับภาษาไทยภาคกลาง แต่มีเสียงวรรณยุกต์ต่างไป และนิยมลงท้ายประโยคด้วยคำว่า "เบิ้ง เดิ้ง เหว่ย ด๊อก" มีผู้เรียกภาษานี้ว่า ภาษาไทยเดิ้ง หรือภาษาไทยโคราช ด้านวรรณกรรมเก่าแก่ที่พบมีรูปแบบตัวอักษรที่เขียนคือ "อักษรไทยและอักษรขอม" เป็นส่วนใหญ่ วัสดุที่ใช้เขียนเป็นสมุดไทยดำ สมุดไทยขาว(สมุดข่อย) และเขียนบนใบลาน เนื้อเกี่ยวกับนิทาน นิยาย คำสอนและคติธรรม ตำรายา ตำราหมอดู และกฎหมาย เป็นต้น
ดนตรีและการแสดง
เครื่องดนตรีพื้นบ้านชาวไทยเบิ้งเขตลุ่มแม่น้ำป่าสักพบน้อยชิ้นที่สำคัญ การละเล่นและการประดิษฐ์จะไม่มีความซับซ้อน เช่น เพี้ย (บางครั้งเรียกจิ้งน่อง หรือ หืน) ปี โทน และกลองยาว อาจจะได้รับอิทธิพลจากชุมชนไทยลาว
เพี้ย, จิ้งน่อง, หืน เป็นเครื่องดนตรีกึ่งดีดกึ่งเป่าอย่างหนึ่งมี ทั้งที่ทำด้วยไม้ไผ่และโลหะเซาะร่องตรง กลางเป็นลิ้นในตัว เวลาเล่นประกบหืนเข้ากับ ปาก ดีดที่ปลายข้างหนึ่งด้วยนิ้วหัวแม่มือ หรือนิ้วชี้ อาศัยกระพุ้งปากเป็นกล่องเสียง ทำให้ เกิดเสียงสูงต่ำตามขนาดของกระพุ้งปากที่ทำ สามารถดีดเป็นเสียงแท้คล้ายเสียงคนออกเสียงสระ เครื่องดนตรีนี้มีเล่นกันในพวกชนเผ่ามูเซอ เรียกชื่อว่า เปี๊ยะ ชาวไทเบิ้งเรียก เพี้ย เครื่องดนตรีชนิดนี้มิ ได้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่มีใน ทุกส่วนของโลก เช่น แถบมองโกเลีย ปาปัว นิวกินี อัฟริกา และยุโรป นับเป็น เครื่องดนตรีโบราณชิ้นหนึ่งที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง
ส่วนเพลงพื้นบ้าน มีทั้งประเภทให้อารมณ์สนุกสนาน ครึกครื้น โดยใช้เครื่องดนตรีประกอบจังหวะ เช่น เพลงรำโทน แต่เพลงพื้นบ้านบางชนิด ให้อารมณ์แก่ผู้ฟังจากปฎิภานของผู้ขับร้อง ที่คิดเนื้อเพลงขึ้นสดๆ ใช้โต้ตอบหรือเกี้ยวพาราสี เช่น เพลงหอมดอกมะไพ เพลงพวงมาลัย เพลงระบำบ้านไร่ เพลงโนเน เพลงพิษฐาน เพลงช้าเจ้าหงส์ และเพลงโคราช เป็นต้น เพลงโคราชได้รับความนิยมสูงสุดมีผู้เล่นได้บ้างจนถึงปัจจุบัน
ที่มาข้อมูล : กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย โดย เอกรินทร์ พึ่งประชา
การศึกษาการย้ายถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ไทเบิ้งในลุ่มแม่น้ำชี : ศุภโชค สนธิไชย และ อาติยาพร สินประเสริฐ
