- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Drama Acting
- Hits: 339
"ดนตรี" เป็นมรดกทางวัฒนธรรม เป็นดังภูมิปัญญาท้องถิ่นอันเป็นรากฐานของสังคมนั้นๆ ไม่เพียงแต่ใช้บรรเลงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ยังใช้ประกอบเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมต่างๆ อยู่เสมอ เครื่องดนตรีมีทั้งที่ทำจากไม้ โลหะ โดยมีส่วนประกอบของสัตว์ เช่น หนัง มาช่วยให้เกิดเสียง รวมทั้งมีการใช้ส่วนของเขาสัตว์มาทำเครื่องดนตรีด้วย เช่น “เสนง” หรือ “สะไน” ที่เรียกกันในภาคอีสาน ใกล้เคียงกับคำว่า “แสนง” ในภาษาเขมร ขณะที่ภาคใต้มีคำเรียกว่า “อูด” และชาวกูยเรียกว่า “ซัง” หรือ “เสนงเกล” เหล่านี้ล้วนเป็นชื่อเรียกของเครื่องเป่าที่ทำขึ้นจากเขาควาย ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
สะไน เครื่องเป่าที่ทำขึ้นจากเขาสัตว์ ที่คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เก็บรักษาไว้
เป็นของรับมอบจาก นายเมธี สุตันตานนท์ ที่ได้รับตกทอดมาจากพันเอกนายวรกรบัญชา (บุญเกิด สุตันตานนท์)
เครื่องเป่าเขาควายชิ้นนี้มีลักษณะโค้งงอน ตัดส่วนแหลมที่ปลายเขาออก ประดับด้วยแผ่นเงินดุนลายห่างกันเป็นระยะ ส่วนกลางของเครื่องเป่าเจาะช่องทำเป็นรูลิ้น บ้างเรียก “รูลิ้นสะไน” การเป่าจะเป่าบริเวณรูลิ้นสะไน ส่วนปลายเขาจะใช้นิ้วหัวแม่มืออุดเอาไว้ ขณะที่มืออีกข้างใช้ปิดหรือตบให้เกิดเสียงที่แตกต่างกัน
เสนงเกล ซัง สะไน หรือปี่เขาควาย ภูมิปัญญาเครื่องดนตรีศักดิ์สิทธิ์ มีบทบาทหน้าที่คล้ายกับสังข์ และกาหลของอินเดียโบราณ ในขณะที่ทำพิธีก็จะมีการเป่า "ซัง" หรือ "สเนงเกล" ทำจากเขาควายป่า เป็นเครื่องเป่าประเภทลิ้นเดียว ตัวกล่องเสียงทำด้วยเขาควายมีลิ้นไม้ไผ่บางๆ ติดอยู่ด้านหนึ่ง เวลาเป่าจะอมตรงลิ้น ด้านปากลำโพงเขาควายมีแผ่นไม้บางๆ ติดด้วยขี้สูด เวลาเป่าจะใช้มือปิดเปิดด้านปลายยอดเขา บังคับเสียงสูงต่ำได้ด้วย ทั้งเป่าออกและสูดเข้า ซึ่งเป็นเครื่องเป่าชนิดเดียวที่ใช้บรรเลงในพิธีกรรม และให้สัญญาณเวลาเข้าป่าในสมัยโบราณ เป็นการสืบทอดวัฒนธรรมดนตรี และยังรักษาขนบเนียมประเพณีดั้งเดิมอย่างเคร่งครัด จากภาพเป็นการเป่าเสนงเกลในพิธีกรรมช้างของชาวกูยอาจีงที่ศูนย์คชอาณาจักร จังหวัดสุรินทร์
เครื่องเป่าชนิดนี้จะว่า เป็นเครื่องดนตรีก็ได้ แต่เชิงการใช้งานมักปรากฏในทางพิธีกรรมเสียมากกว่า ดังในภาคอีสาน หมอช้างจะใช้เป่าเพื่อทำพิธีเพื่อสื่อไปถึงเจ้าป่าเจ้าเขาก่อนไปคล้องช้าง ภาคใต้ใช้เป่าเรียกลมในการออกเดินทะเล นอกจากนี้ยังเป่าเพื่อฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล เป่าเพื่อรวมพล และบอกอาณัติสัญญาณ
อีกทั้งในกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเยอในอดีต เมื่อมีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานยังเป่าเครื่องเป่าเขาสัตว์นี้เสมอ โดยเชื่อว่าช่วยให้เดินทางปลอดภัย เสริมสร้างความเป็นสิริมงคล คอยปกปักษ์รักษาจากสิ่งชั่วร้าย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันชาวเยอมีลักษณะการตั้งถิ่นฐานถาวร ทำให้มิได้ใช้เป่าในการเดินทางแล้ว แต่ยังใช้เป็นเครื่องเป่าประกอบพิธีกรรมบูชาพระยากตะศิลา ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 เนื่องจากชาวเยอนับถือให้เป็นผีบรรพบุรุษ ณ ศาลพระยากตะศิลา อำเภอราศีไศล จังหวัดศรีสะเกษ
ลำนำอีสานขับขานสะไน
นอกจากนี้ ยังถูกใช้เป็นเครื่องดนตรีร่วมบรรเลงกับวงโปงลางในปัจจุบัน รวมทั้งมีการนำไปใช้ในการแสดงนาฏศิลป์ เซิ้งสะไน อีกด้วย
เซิ้งสะไน
ซาวด์ดนตรีพื้นบ้าน [เซิ้งสะไนจังหวะช้า]
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Drama Acting
- Hits: 240
ถ้าจะกล่าวถึงเครื่องดนตรีที่มีชื่อแปลกๆ ต้องมีชื่อของเครื่องประกอบจังหวะชนิดหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า "บักกั๊บแก้บ" คำว่า “กั๊บแก้บ” นั้นเป็นชื่อเรียกของ "กรับ" เรียกชื่อตามสำเนียงเสียงของกรับเมื่อกระทบกันจะมีเสียงดังว่า “กั๊บแก้บ” ตามที่ได้ยินของชาวไทยลาวในภาคอีสาน ซึ่งรู้จักใช้กั๊บแก้บมาแล้วหลายชั่วอายุคน ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเริ่มต้นเมื่อใด แต่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงปี พ.ศ. 2493 – 2495 เพราะในช่วงนั้นมีการแสดงหมอลำขึ้นประเภทหนึ่งเรียกว่า “หมอลำกั๊บแก้บ” เวลาลำทางสั้นเดินกลอน หมอลำจะเจ้ากำกั๊บแก้บนี้ไว้ในมือ มือละคู่ เมื่อขยับมือเอาแผ่นกั๊บแก้บกระทบกันทำให้เกิดกระสวนจังหวะเข้ากันกับจังหวะลำและท่าฟ้อนของหมอลำด้วย
คำว่า “บักกั๊บแก้บ” เป็นชื่อการละเล่นพื้นเมืองอีสานชนิดหนึ่ง สันนิษฐานว่า คงออกมาจากเสียงไม้กระทบกันดังกั๊บแก้บนั่นเอง เหมือนเสียงตุ๊กแก หรือเสียงแมวร้องบอกชื่อตัวเอง โดยถือเป็นศิลปะการแสดงเก่าแก่ คนอีสานใช้เล่นในเทศกาลต่างๆ มาเป็นเวลานาน มีการละเล่นในจังหวัดต่างๆ ทางภาคอีสานและนิยมนำมาเล่นในงานเทศกาลรื่นเริงในโอกาสต่างๆ ซึ่งวงดนตรีต่างๆ เช่น วงโปงลาง วงโหวด ซอ พิณ แคน และวงดนตรีผู้ไท ล้วนใช้กั๊บแก้บทั้งสิ้น เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงนั้นจะมี กั๊บแก้บ พิณ แคน ฉิ่ง รำมะนา กริ่งกรอด กลองยาว ฉาบ
สำหรับ กั๊บแก้บ ทำจากไม้ที่เนื้อไม้มีความกังวาน (sonority) ในตัว เช่น ไม้ชิงชัน ประดู่ พะยูง มะหาด หมากเลื่อม เป็นต้น ชาวไทย-ลาวทำกั๊บแก้บขึ้นใช้หลายรูปร่าง ที่นิยมมากคือทำเป็นแท่งยาวประมาณ 1 คืบ (ประมาณ 8 นิ้ว) โดยใช้ไม้แปรรูปขนาดไม้หน้าสอง (มีขนาดหน้า ตัด 2 x 2 นิ้ว) เวลาบรรเลงใช้นิ้วมือทั้งสองจับตรงกึ่งกลางลำตัวกั๊บแก้บ เอากั๊บแก้บทั้งคู่ตีกระทบกัน กั๊บแก้บรูปร่างอื่นๆ เช่น ทำเป็นแผ่นบาง กว้างประมาณ 2 นิ้ว ยาวประมาณ 4 นิ้ว มักทำเป็น 2 คู่ เวลาบรรเลงใช้กำไว้ในมือทั้งสองข้างข้างละคู่ ขยับมือเอาแผ่นกั๊บแก้บกระทบกัน
อีกรูปร่างหนึ่งทำเป็นแท่งยาวประมาณ 1 ศอก ที่ปลายแท่งด้านหนึ่ง เอาตะปูตอกยึดแผ่นฝาจีบหรือเหรียญโลหะที่มีรูอยู่จุดกึ่งกลางติดไว้ 3 – 4 ชิ้น และที่ลำตัวของแท่งกั๊บแก้บด้านตรงข้ามนั้น เอาเลื่อยเซาะ เป็นร่องรูปฟันปลาหลายๆ ร่อง เวลาบรรเลงมักเอาแท่งกั๊บแก้บตีกระทบกันบ้าง เอาร่องขูดถูกันบ้าง ขณะที่ตีกระทบหรือขูดถูกันนั้นแผ่นฝาจีบ หรือเหรียญที่ติดอยู่ที่ส่วนหัว ก็จะเลื่อนขึ้นลงตามแนวตะปูกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋งๆ ด้วย
ฟ้อนหมากกั๊บแก๊บ
หมากกั๊บแก๊บ เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะของภาคอีสาน มีด้วยกัน 2 ประเภท คือ
- กั๊บแก้บไม้สั้น เป็นไม้ผิวเรียบยาวประมาณ 4-6 นิ้ว
- กั๊บแก้บไม้ยาว เป็นไม้ผิวเรียบมีการหยักร่องฟันปลา เพื่อขูดกันให้ เกิดเสียง
การเล่นหมากกั๊บแก๊บนั้น สามารถเล่นได้ทุกโอกาสที่มีการบรรเลงดนตรีพื้นบ้าน และผู้เล่นส่วนใหญ่มักจะแต่งกายเหมือนชาวอีสานโบราณ คือนุ่งผ้าเตี่ยวมีการสักลวดลายบนร่างกาย ในการแสดงความเป็นชายมีความเชื่อเกี่ยวกับการอยู่ยงคงกระพัน การเล่นหมากกั๊บแก๊บ เป็นการเล่นที่ไม่มีรูปแบบตายตัว สุดแท้แต่ใครมีความสามารถในการแสดงออกถึงลีลาท่าทางที่โลดโผนให้เป็นที่ประทับใจของหญิงสาวหรือชาวบ้าน ในอีสานของความสนุกสนานความองค์อาจขี้เล่น ของชาวบ้านในชุมชุน หากเล่นกันเป็นคู่มีฝ่ายรุกฝ่ายรับ แล้วเปลี่ยนลีลาสลับกันก็ขึ้นอยู่กับโอกาสและปฏิภาณของผู้เล่น
การแสดงบักกั๊บแก้บที่มีชื่อเสียงโดดเด่น เช่น รำกั๊บแก้บของชาวผู้ไท อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร และหมู่บ้านส้มป่อย ตำบลนาด่าน อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู ได้มีการละเล่นบักกั๊บแก้บมาช้านาน ซึ่งในบางครั้งก็ได้รับความสนใจดี บางครั้งก็ถูกละเลยไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งมีการรวบรวมวงเล่นอย่างจริงจังขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากนั้นจึงมีการเชิญวงบักกั๊บแก้บไปแสดงในงานประจำปี และงานเทศกาลต่างๆ ในพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งถือเป็นการอนุรักษ์ในทางหนึ่ง
ฟ้อนหมากกั๊บแก๊บลำเพลิน วงโปงลางสาเกตนคร วิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด
เครื่องดนตรี "บักกั๊บแก้บ" ได้รับการประกาศเป็น "รายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม" แต่ยังไม่ได้รับการประกาศขึ้นบัญชีเป็น "มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ"
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Drama Acting
- Hits: 10574
ลำตังหวาย เป็นศิลปะการแสดงที่ปรากฏในวัฒนธรรมร่วมสองฝั่งแม่น้ำโขง ไทย - ลาว โดยเริ่มต้นจากการขับลำประกอบดนตรี ภายหลังมีการฟ้อนรำประกอบ ทำนองการลำตังหวาย จนเป็นที่นิยมนำมาขับลำเพื่อความบันเทิงสองฝั่งแม่น้ำโขง และมีการนำมาสร้างสรรค์การขับลำและประกอบการแสดงอยู่เสมอ การลำตังหวายเริ่มต้นที่ บ้านตังหวายโคก เมืองซนนะบุรี แขวงสะหวันนะเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และเผยแพร่มายังประเทศไทยข้ามฝั่งแม่น้ำโขงสู่ บ้านม่วงเจียด ตำบลเจียด อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ภายหลัง วิทยาลัยครูอุบลราชธานี (มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ในปัจจุบัน) ได้นำการแสดงลำตังหวายมาสร้างสรรค์การแสดงใหม่ และเผยแพร่จนเป็นที่รู้จักมาถึงปัจจุบัน
การลำตังหวาย ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เนื้อหาในการแสดงเน้นหนักในเรื่องของ การร้องในทำนองลำตังหวาย เป็นหลัก มีท่าฟ้อนรำ 4 ท่า เปลี่ยนสลับไปมาไม่ซับซ้อน มีการร้องรับในบทสร้อยว่า ยวกๆ ยวกๆ (Attapaiboon, 2006) ส่วนการฟ้อนรำตังหวายที่ บ้านม่วงเจียด ตำบลเจียด อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี มีการร้องบทสร้อย ยวกๆ ยวกๆ โดยมีท่าฟ้อนรำอยู่ 12 ท่า ส่วนท่าฟ้อนรำของ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี มีท่ารำเปลี่ยนไปตามบทร้องทุกท่อน และมีท่าฟ้อนรำเฉพาะในบทสร้อย ยวกๆ ยวกๆ เช่นเดียวกัน
ต้นกำเนิดการลำตังหวาย
การขับลำตังหวาย คือการขับลำพื้นเมืองประเภทหนึ่ง ของชนเผ่าลาวเทิง บรูกระตาก แขวงสะหวันนะเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และในแขวงสะหวันนะเขตจะมี 8 ชนเผ่าด้วยกัน เช่น ในเขตดอย (ภูเขาสูง) ประกอบด้วย ตะโอ้ย จะลี และ กะเลิง ในเขตที่ราบสูงและที่ราบทั่วไปมี เผ่ากะตาง ละว้า ส้อย และเผ่ามะกอง ที่ราบลุ่ม คือ กลุ่มเผ่าลาว
การแต่งกายชนเผ่าในแขวงสะหวันนะเขต จากซ้ายมือ บรูส่วย ลาว บรูกระตาง ผู้ไท บรูมังกอง
บรูตรี บรูตะโอ๋ย บรูปะโกะ เผ่าบรูกระตาง คนที่ 3 จากซ้ายมือ
ที่มาของภาพ : กระทรวงวัฒนธรรมและท่องเที่ยว แขวงสะหวันนะเขต
การลำตังหวาย เดิมเรียกว่า "ลำตำหลอย" (Tamwisit, n.d.) โดยกลอนลำตำหลอยหรือตังหวายนั้น คือได้สืบทอดมาจากการเหยายา (การลำเพื่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ) ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์และคณะ ที่กล่าวว่า "ลำตังหวาย" สืบทอดมาจากการขับลำในพิธีกรรม “การเหยายา” หรือการรักษาคนป่วย เช่น ลำผีฟ้า ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชนเผ่ากะตางมาเนิ่นนาน (Singyaboot et al., 2002) การลำตังหวายนี้ ถ้าหากการลำอยู่แถวที่ราบสูง เป็นภาษาชนเผ่า เรียกว่า “ลำกะล็องเยาะ” ถ้าหากลำอยู่แถวที่ราบทั่วไป เป็นภาษาเผ่าชนเหมือนกัน เรียกว่า “ลำตำหลอย” ถ้าหากลาวลุ่มใช้ขับลำตามจังหวะเดิมมาเป็นภาษาลาวลุ่มเรียกว่า “ลำตังหวาย” เหตุที่เรียกว่า ตังหวาย เพราะเรียกการขับลำนี้ตามชื่อหมู่บ้าน “ตังหวายโคก”
ລຳຕັງຫວາຍຕົ້ນສະບັບແທ້ - เจ้าพ่อลำตั่งหวายขนานแท้ สปป.ลาว
จากข้อมูลของ ท้าวทองเสน วงคีรี นายบ้านตังหวายโคก เมืองซนนะบุรี แขวงสะหวันนะเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้ให้ข้อมูลว่า "ชาวบ้านตังหวายโคก เป็นชาวกลุ่มลาวเทิง เผ่ากระตาง สื่อสารภายในหมู่บ้านใช้ภาษาบรู กลุ่มภาษามอญ-เขมร และสามารถใช้ภาษาลาวได้ อดีตนับถือผี ปัจจุบันนับถือศาสนาพุทธ แต่ยังคงถือผีควบคู่กันไป การลำตังหวายสืบทอดมาจากปู่ ย่า ตา ยาย การแสดงลำตังหวายในอดีตยังไม่มีชื่อ เรียกว่า ลำกลองเญาะ ภายหลังได้ใช้ชื่อว่า ลำตำหลอย" ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของโพสีแก้ว ทำวิสิด (Tamwisit, n.d.) ที่ได้นำเสนอข้างต้น
การลำตังหวาย สามารถลำกันได้ทุกเพศ ทุกวัย ในอดีต ผู้ชายจะเป็นฝ่ายลำเพื่อการเกี้ยวพาราสีฝ่ายหญิง (ในภาษาบรู เรียกการเกี้ยวสาวว่า ปา-รา-เยอะ-กะ-โมล) ถ้าฝ่ายหญิงมีความสามารถโต้ตอบได้ ก็จะตอบกลับโดยใช้ผญาโต้ตอบฝ่ายชาย การลำตังหวายไม่มีการประพันธ์ไว้ล่วงหน้า จึงเป็นการลำแบบด้นสด สามารถคิดการลำได้เอง โดยใช้ทำนองลำตังหวาย บุญชู วงคีรี (Wongkeeree, 2018) ให้ข้อมูลว่า "ในอดีต ตนลำตังหวายเป็นเองโดยไม่ได้เรียนกับครูท่านใด เริ่มลำจากการไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายที่ทุ่งนา และนึกอยากจะลำก็ลองลำ และสามารถลำได้เองจนมาถึงปัจจุบันนี้"
เครื่องดนตรีประกอบ ประกอบด้วย แคน กระจับปี่ (พิณ) ซอ (ซอบั้งไม้ไผ่)
การแต่งกาย เสื้อผ้าฝ้ายย้อมคราม นุ่งซิ่นผ้าฝ้ายมัดหมี่ย้อมคราม แพรเบี่ยงโดยใช้ผ้าสีขาวหรือผ้าขาวม้า ผู้ชายสวมเสื้อย้อมคราม ใส่ผ้าโสร่ง ผ้าผูกเอว
ບົດຟ້ອນ ລຳຕັງຫວາຍ ໂດຍ: ມສ ເມືອງເງິນ
เวลามีงาน หรือเวลามีแขกต่างถิ่นมาเยี่ยมเยือน จะมีการลำตังหวายให้ชม ปัจจุบัน มีการสืบทอดรุ่นใหม่ โดยผู้ที่มีพรสวรรค์จะมาลำตังหวาย โดยส่วนใหญ่จะใช้นักเรียนในโรงเรียนเป็นผู้สืบทอด ชาวบ้านตังหวายโคก เองเคยได้รับเชิญไปทำการแสดงที่ประเทศเวียดนาม และภายในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามโอกาสสำคัญ
การลำตังหวาย สปป.ลาว สู่ราชอาณาจักรไทย
การรับเอาวัฒนธรรมลำตังหวาย จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สู่ราชอาณาจักรไทย โดยข้ามฝั่งแม่น้ำโขงเข้าสู่บ้านม่วงเจียด ตำบลเจียด อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ชาวบ้านม่วงเจียด เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ไทย-ลาว มีประเพณีการเลี้ยงผีปู่ตาซึ่งสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่อดีต ในพิธีกรรมเลี้ยงผีปู่ตา จะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยจัดให้มีการลำตังหวายเพื่อถวายแด่ปู่ตาในช่วงบุญเดือนหก ก่อนเริ่มการทำการเกษตรของชุมชนบ้านม่วงเจียด เพื่อขอให้ฝนตกตามฤดูกาล มีน้ำเพียงพอในการทำการเกษตร โดยทำ “การบ๋า” (การบน) ต่อปู่ตา เพื่อให้คนในชุมชนมีน้ำใช้เพียงพอต่อความต้องการอุปโภค บริโภค เพื่อให้ลูกหลานในชุมชนอยู่เย็นเป็นสุข ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
เมื่อถึงวันที่กำหนดในการทำพิธีบ๋าปู่ตา คนในหมู่บ้านม่วงเจียดจะไปพร้อมกันที่ศาลปู่ตา และจะนำเอาเครื่องเซ่นสังเวย ได้แก่ ดอกไม้ ธูป เทียน สุรา อาหารคาว ขนมหวาน น้ำดื่ม บุหรี่ หมาก พลู ไก่ต้ม เป็ดต้ม หัววัวหรือควาย หัวหมู สิ่งของเครื่องเซ่นสังเวยบวงสรวงเหล่านี้จะนำไปตั้งไว้ที่ศาลปู่ตา ผู้ประกอบพิธีกรรมคือ เจ้ากวน หรือ เฒ่ากวน เฒ่าจ้ำ จะเป็นผู้กล่าวเชิญเจ้าปู่ตาให้มารับเครื่องสังเวยเลี้ยงดูเหล่านี้ และกล่าวขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ให้พืชผลทางการเกษตรอุดมสมบูรณ์ ผู้คนอยู่ดีมีความสุข
พิธีกรรมนี้มีการละเล่นสนุกสนานรื่นเริงประกอบด้วย รำถวย (การฟ้อนรำถวายปู่ตา) หมายถึง การฟ้อนรำเพื่อถวายแด่ปู่ตา และการขับลำตังหวาย บรรเลงดนตรีพื้นบ้านอีสานในพิธีกรรมนี้ ในอดีตจะมีการขับลำประกอบดนตรีเท่านั้น ภายหลังได้มีการฟ้อนรำประกอบด้วย และสืบทอดศิลปะการแสดงนี้มาจนถึงปัจจุบัน บทประพันธ์การลำตังหวายที่ อาจารย์ประดิษฐ์ แก้วชิน อดีตครูใหญ่โรงเรียนชุมชนบ้านเจียด ได้ประพันธ์ไว้เพื่อบูชาปู่ตา มีดังนี้ (เนื้อร้องนี้ได้ข้อมูลจาก ผศ.ทินกร อัตไพบูลย์ (Attapaiboon, 2006))
ข้าขอยอ นอแหม่นมือน้อม ต่างเทียนนอ แห่แหม่นเทิงธูป ถวายแด่พระแหม่นแผ่นหล้า ฤทธีกล้ากว่าไตร ไทยเมืองแมน ยวกๆ ยวกๆ
ขอให้มานอนแม่เนายั้ง ในผามเพียงบ่อนเลี้ยงบ่าว ชาวสรรค์นอแม่แมกฟ้า จงมาพร้อมแม่นผ่ำมวล ขอเชิญชวน ยวกๆ ยวกๆ
ขอให้มานอแม่นเอาท้อน ขอถวายพรทุกถ้วนอย่าง ทางเผ่าฝูงนอแม่นข้าน้อย มายอยื่นหยื่นถวาย สายคอแนน ยวกๆ ยวกๆ
สรรพสิ่งนอแหม่นของเลี้ยง ทั้งคาวหวานทุกถ้วนถั่ว ยูถ่างสรรนอแหม่นเลือกเฟ้น ประเคนยื้อหยื่นถวาย สายคอแนน ยวกๆ ยวกๆ
มีทั้งปูนอแหม่นปลาพร้อม วัวควาย ฉีกงาด่วน ถั่วและงาเป็ดไก่พร้อม ดอกไม้แหน่มหมากพลู มูลคูนใจเอย ยวกๆ ยวกๆ
ขอให้เหวยต่อประสงค์ซึ่ง ตามพระทัยทะลอนโปรด โทษข้ามีดอก แหม่นเผื่อแก้ในปากนี้แหม่นส่วง เอาเบาใจนาง ยวกๆ ยวกๆ
ถอดความโดยสรุป
ลำตังหวายที่ใช้ในพิธีกรรมเลี้ยงปู่ตา ข้าพเจ้าขอพนมมือน้อม เทียน ธูป ถวายต่อผืนแผ่นดิน ทั้งผู้มีฤทธิ์ ขอเชิญชาวสวรรค์มายังปะรำพิธี โดยพร้อมเพียงกัน ขอให้มาประทานพร ให้แก่พวกข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าได้นำ ของอาหารคาวหวาน ที่เลือกสรรอย่างดีเพื่อมาน้อมถวาย ปู ปลา วัว ควาย เป็ด ไก่ ถั่ว งา หมาก พลู ดอกไม้ และของมงคล ขอให้รับประทานตามประสงค์ "
ดนตรีใช้ประกอบ ได้แก่ แคน พิณ กลอง ไม้งับแงบ ฆ้อง ฉิ่ง ฉาบ อิเล็กโทน (ใช้ในภายหลัง) ผู้ขับร้องลำตังหวาย สามารถขับร้องได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
อาจารย์ประดิษฐ์ แก้วชิณ ดำรงตำแหน่ง ครูใหญ่โรงเรียนชุมชนบ้านเจียด ได้ริเริ่มการแสดงลำตังหวาย มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 โดยการฝึกหัดให้ชาวบ้านรำตังหวายถวายปู่ตา และได้นำออกแสดงในงานต่างๆ จนเป็นที่นิยม จากนั้นได้พัฒนาท่าฟ้อนรำให้เหมาะสมยิ่งขึ้น พร้อมทั้งประพันธ์เนื้อร้องขึ้นใหม่ ท่านได้นำลำตังหวายมาฝึกหัดฟ้อนรำให้กับนักเรียน ตั้งแต่ระดับชั้น ป.2 ถึงชั้น ป.7 (สมัยนั้นเปิดถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 7) และได้รับความร่วมมือจากคณะครู-อาจารย์ และนักเรียนโรงเรียนชุมชนบ้านเจียดเป็นอย่างดี
ต่อมา ผศ.ทินกร อัตไพบูลย์ สาขาวิชาดนตรี และผศ.ศิริเพ็ญ อัตไพบูลย์ สาขาวิชานาฏศิลป์ วิทยาลัยครูอุบลราชธานี ได้พบการแสดงรำตังหวายของบ้านม่วงเจียดที่มาทำการแสดงในงานขึ้นปีใหม่ ที่สนามทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เห็นว่าการแสดงนี้มีเอกลักษณ์ จึงคิดที่จะส่งเสริมและสืบทอด ภายหลังได้ไปศึกษาข้อมูลการลำตังหวายจาก อาจารย์ประดิษฐ์ แก้วชิณ และได้นำเอาท่าฟ้อนรำตังหวายและบทร้องไปปรับประยุกต์ใหม่ จนเป็นเอกลักษณ์ของ วงโปงลางสังข์เงิน วิทยาลัยครูอุบลราชธานี ได้นำการแสดงฟ้อนรำตังหวาย แสดงในงานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี ปี 2523 ทำให้การฟ้อนรำตังหวายเป็นที่รู้จัก และได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ภายหลังได้นำการแสดงออกเผยแพร่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนทำให้การฟ้อนรำตังหวายเป็นที่รู้จัก และสร้างชื่อเสียงให้กับวิทยาลัยครูอุบลราชธานี และจังหวัดอุบลราชธานีมาถึงปัจจุบัน
"ลำตังหวาย"
เนื้อร้องฉบับของ วิทยาลัยครูอุบลราชธานี (มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ปัจจุบัน)
(เกริ่นนำ)
โอ..... บุญเอ๋ย บุญอีนางที่เคยสร้าง ซางบ่เป็นหนทาง โอ๊ยหนทาง พอให้น้องได้เที่ยว
ละซางมีบาปมาแล่นเข็น ละซางมีเวรมาแล่นต้อง ทำให้น้องห่างพี่ชาย ห่างพี่ชาย โอ๊ยละนา ....
(กล่าวคำกลอน)
ตังหวายนี้มีมาแต่โบราณ ชาวอีสานบำรุงไว้อย่าให้หาย
ของเขาดีมีไว้อย่าทำลาย ขอพี่น้องทั้งหลายจงได้ชม
เขมราฐอำเภอถิ่นบ้านเกิด ช่วยกันเถิดรักษาไว้อย่าได้สูญ
ท่าฟ้อนรำต่างๆ ช่วยเพิ่มพูน อย่าให้สูญเสียศิลปะเรา
(ขึ้นทำนองลำ)
(หญิง) บัดนี้ ข้าขอยอนอแม่นมือน้อม ชุลีกรเด้อแม่นก้มกราบ ชูสลอนนอนบนอบนิ้ว ถวายไท้ดอกผู้อยู่เทิง อ้ายพี่คนงามนี่นา หนาคิงกลม (ยวกๆๆๆ)
(หญิง) ชายเอย จุดประสงค์นอแม่นหมายแม้น เพื่อเผยศิลป์นอพื้นบ้านเก่า ของไทยเฮานอตั้งแต่ก่อน โบราณผู้ให้เฟื่องให้ฟู อ้ายพี่ของน้องนี่นา คนงามเอย (ยวกๆๆๆ)
(ชาย) คำนาง ปูเป็นทางนอเพื่อเลือกแต้ม ทางอีสานนอบ่ให้หลุดหล่น มรภ.อุบลฯ เฮาแม่นพวกพ้อง นำมาฮ้อง ออกโฆษณา หล่าพี่คนงามนี่เอย หนองหมาว้อ (ยวกๆๆๆ)
(หญิง) ชายเอย หาเอาตังกะละแม่นหวายเซิ้ง ลำแต่เทิงน้อบ้านเจียดก่อ สืบแต่กอเด้อซุมผู้เฒ่า ใบลานพู้นดอกพื้นกะหาย ดอกพื้นกะหาย ดอกพื้นกะหาย อ้ายพี่ของน้องนี่นา คนงามเอย (ยวกๆๆๆ)
(ชาย) คำนาง คนจบๆ เด้อแม่นจั่งน้อง งามๆ เด้อแม่นจั่งน้อง ซางบ่ไปน้อแม่นกินข้าว หัวมองหนอแม่นนำไก่ คนขี้ฮ้ายคือว่าจั่งอ้าย กินข้าวแม่นบ่ายปลา หล่าพี่คนงามนี่เอย ครูบ้านนอก (ยวกๆๆๆ)
(หญิง) ชายเอย คิดถึงคราวนอแม่นเฮาเว้า อยู่เถียงนาน้อบ่มีฝา แม่สิฟาดนอแม่นไม้ค้อน แม่สิย้อนนอแม่นไม้แส้ ตีน้องนั่นแต่ผู้เดียว นั่นแต่ผู้เดียว นั่นแต่ผู้เดียว อ้ายพี่ของน้องนี่นา คนงามเอย (ยวกๆๆๆ)
(ชาย) นางเอย ไปบ่เมือนอแม่นนำอ้าย เมือนำนอแม่นอ้ายบ่ ค่ารถอ้ายบ่ให้เสีย ค่าเฮืออ้ายบ่ให้จ้าง อ้ายสิตายนอแม่นเป็นซ้าง เอราวัณนอให้น้องขี่ ตายเป็นรถนอแม่นแท็กซี่ ให้น้องนี่ขี่ผู้เดียว ขี่ผู้เดียว ขี่ผู้เดียว หล่าพี่คนงามนี่เอย คนงามเอย (ยวกๆๆๆ)
(หญิง) ชายเอย ย้านบ่จริงนอแม่นจั่งว่า สีชมพูนอแม่นจั่งว่า หย้านคือตอกกะลิแม่นมัดกล้า ดำนาแล้วดอกเหยียบใส่ตม เหยียบใส่ตม เหยียบใส่ตม อ้ายพี่ของน้องนี่นา คนงามเอย (ยวกๆๆๆ)
(ชาย) บัดนี้ ขอสมพรนอแม่นไปให้ ทหารไทยนอแม่นกล้าแกร่ง ทั้งชายแดนและตำรวจน้ำ อ.ส.กล้าท่านจงเจริญ สรรเสริญภิญโญนอเจ้า ขอให้สุขนอแม่นทั่วหน้า ชาวประชาทุกคืนทุกวัน ทุกคืนทุกวัน ทุกคืนทุกวัน หล่าพี่คนงามนี่เอย คนงามเอย (ยวกๆๆๆ)
(ขึ้นทำนองเต้ยโขง)
เอ้าลาลาลาลาที เอ้าลาลาลาลาที ขอให้โชคดีเถิดนะแฟนจ๋า
เสียงจากลูกทุ่งบ้านนา เสียงจากลูกทุ่งบ้านนา โชคดีเถิดหนาลองฟังกันใหม่
ถ้าหากสนใจฉันขอขอบคุณ ถ้าหากสนใจฉันขอขอบคุณ
คันไกลคันไกลกันแล้ว คันไกลคันไกลกันแล้ว เฮือแจวมันไกลจากฝั่ง เฮือแจวมันไกลจากฝั่ง
ดอกสะมังละมันไกลจากต้น จากต้นละจากต้น จากต้น บ่มีได้แม่นกลิ่นหอม
นั่นละนาหนานวลนา ละนาคนไทยนี่นา หางตาเจ้าลักท่าลา พวกฉันขอลาไปแล้ว พวกฉันขอลาเจ้าไปแล้ว
ต้นตำหรับรำตังหวายฉบับ วิทยาลัยครูอุบลราชธานี
เรียบเรียงคำร้อง ทำนองดนตรี โดย ผศ.ดร.ทินกร อัตไพบูลย์ และท่าฟ้อนรำ โดย ผศ.ดร.ศิริเพ็ญ อัตไพบูลย์
การแสดงลำตังหวายในปัจจุบัน
ปัจจุบันการแสดงฟ้อนรำตังหวาย ได้รับการสืบทอดโดย อาจารย์อนิรุทธิ์ แก้วชิณ บุตรชายของ อาจารย์ประดิษฐ์ แก้วชิณ และยังคงยึดการแสดงนี้เป็นศิลปะการแสดง และถือเป็นต้นตำรับการแสดงฟ้อนรำตังหวาย ที่เป็นศิลปะการแสดงคู่บ้านม่วงเจียด ตำบลเจียด เป็นเอกลักษณ์ ที่ปรากฎในคำขวัญของอำเภอเขมราฐ ที่ว่า
ต้นตำรับรำตังหวาย ถิ่นไทยนักปราชญ์ ทวยราษฎร์น้ำใจงาม สุดเขตแดนสยาม มะขามหวานหลายหลาก กล้วยตากรสดี ประเพณีแห่เทียนพรรษา แข่งนาวาสองฝั่งโขง "
ลำตังหวาย ลำโดย เซียงสะหวัน-นวนละออ 1
ส่วนในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การลำตังหวาย ยังคงมีการแสดงโดยคนในชุมชน บ้านตังหวายโคก เมืองซนนะบุรี แขวงสะหวันนะเขต และมีการสืบทอดศิลปะการแสดงนี้ และใช้การแสดงนี้เป็นหนึ่งในทุนทางวัฒนธรรมประจำแขวง ตามคำขวัญที่ว่า
สะหวันนะเขต ผืนแผ่นดินคำ พระธาตุอิงฮัง สถานบูรานงามสง่า สัตว์โลกดึกดำบรรณ ไดโนเสาร้อยล้านปี ประเพณี วัฒนธรรมเลิศล้ำ ถิ่นกำเนิด ขับลำสี่จังหวะ ”
ลำตังหวาย ลำโดย เซียงสะหวัน-นวนละออ 2
หมายเหตุ : "ขับลำสี่จังหวะ" ประกอบไปด้วย ลำคอนสะหวัน ลำตังหวาย ลำภูไท ลำบ้านซอก ซึ่งทั้งสี่ลำมีต้นกำเนิดจากแขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Drama Acting
- Hits: 13117
กลอง เป็นเครื่องดนตรีประเภทตีกระทบ ประกอบด้วยแผ่นวัสดุบางหุ้มทับไม้ที่มีโพรงกลวง วัสดุนี้มักทำด้วย "แผ่นหนังสัตว์" ขึงยึดติดกับโครงให้ตึง ทำให้เกิดเสียงโดยการตีด้วยไม้ หรืออวัยวะของผู้เล่น กลอง จัดเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในอดีตวัสดุหุ้มกลองจะทำจากหนังสัตว์ฟอกให้เป็นแผ่นบาง ตากให้แห้ง จึงนำมาขึงหุ้มเป็นหน้ากลอง ปัจจุบันมีการพัฒนากลองที่ใช้วัสดุจำพวกพลาสติกหุ้ม ซึ่งจะให้เสียงที่แตกต่างกันออกไป
การใช้อุปกรณ์ในการตี กลองที่ทำจากพลาสติกจะต้องใช้ไม้ช่วยตี เพื่อช่วยให้เกิดเสียงที่ดังขึ้น เช่น กลองสแนร์ และ กลองชุด เป็นต้น ส่วนกลองที่ทำมาจากหนังสัตว์ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ไม้ตี เนื่องจากเราสามารถใช้แค่มือตีลงไปโดยตรง ก็จะทำให้เกิดเสียงดังก้องกังวานพอตัวอยู่แล้ว เช่น กลองยาว กลองรำมะนา ตะโพน เป็นต้น แต่ก็มีกลองหนังที่จำเป็นต้องใช้ไม้ตีก็มี เช่น กลองสะบัดชัย และกลองทัด เนื่องจากเป็นกลองขนาดใหญ่จึงไม่สามารถใช้มือตีอย่างเดียวได้
โดยปกติกลองจะใช้ในการให้จังหวะดนตรี เพื่อความบันเทิง สนุกสนาน รื่นเริง แต่ก็ยังมีการนำใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ ด้วย เช่น การตีกลองเพื่อส่งสัญญาณเรียกประชุม ตีกลองเพื่อบอกเหตุร้าย การตีกลองเพื่อร้องทุกข์ต่อศาล การตีกลองเพื่อเปิดศึกสงครามในสมัยก่อน และการตีกลองเพื่อบอกเวลาต่างๆ (เช่น เวลาย่ำรุ่ง เพล ย่ำค่ำ) ในสมัยยังไม่มีนาฬิกาก็ตีเป็นสัญญาณเพื่อบอกให้ชาวบ้านนำภัตตาหารไปถวายพระสงฆ์ เป็นต้น
กลองที่ใช้ในการตีบอกเหตุส่วนใหญ่จะใช้ "กลองเพล" ยามมีเหตุเภทภัยต่างๆ จะตีส่งสัญญาณให้ทราบได้กว้างไกลเท่าที่เสียงกลองจะดังไปถึง มีปรากฏว่าใช้เป็นที่หลบภัยร้ายตามนิทานพื้นบ้านอีสาน เรื่อง "นางคำกลอง" อันเป็นนิทานที่มีทั้งในฝั่ง สปป.ลาว และไทย ในการตีบอกเหตุต่างๆ นั้น "กลองเพล" จะถูกเรียกชื่อต่างออกไปตามสถานการณ์ที่บอกเหตุ (สมัยโบราณนั้นยังไม่มีเครื่องขยายเสียง หอกระจายข่าวของหมู่บ้าน การใช้สัญญาณกลองจึงเป็นสื่อที่เข้าใจกันได้ของชาวบ้าน) ดังนี้
- กลองงัน น. กลองเพลที่ใช้ตีในวัน 7-8 ค่ำ และ 14-15 ค่ำของทุกเดือน ใช้ตีในเวลาทุ่มเศษ การตีใช้ช่วงสั้นๆ เพียง 3 บท เพื่อเตือนญาติโยม, ชายหนุ่มหญิงสาว, ลูกเล็กเด็กแดงภายในบ้าน ให้ออกมาทำวัตรสวดมนต์ หรือฟังคำสั่งสอนจากพระสงฆ์ . drumming of Isan temple drum at about 7 P.M. on four monthly Buddhist holy days to villagers to worship.
- กลองเดิก น. กลองเพลที่ใช้ตีในเวลาตีสี่ ของวัน 7-8 ค่ำ และวัน 14-15 ค่ำของทุกเดือน เมื่อถึงวันเช่นนี้พระสงฆ์ในวัดทุกวัดภาคอีสานจะลุกขึ้นตีกลอง เพื่อเตือนญาติโยมให้รู้ว่า พรุ่งนี้จะเป็นวันพระแล้ว ให้เตรียมตัวเตรียมใจให้มารับศิลกินทาน กลองที่ตีในวันเช่นนี้ เรียก "กลองเดิก" (ดึกดื่น, เที่ยงคืน นั่นเอง). drumming of Isan temple drum at 4 A.M. on four monthly Buddhist holy days.
- กลองท้วง น. กลองเพลที่ใช้ตีในเวลาเกิดเหตุ เช่น ไฟไหม้เรือน หรือพระตกแม่ออก (ยุ่งเกี่ยวกับสตรี) คือ พระต้องอาบัติปาราชิก การตีกลองท้วงนี้จะตีในเวลาไหนก็ได้ แต่ต้องตีให้ใกล้กับเวลาเกิดเหตุเพื่อเตือนให้ช่วยกันหาทางดับเหตุ. drumming of Isan temple drum used to signal emergency (fire, etc.),or mark start of ordination procession.
- กลองเพล น. กลองขนาดใหญ่ หุ้มสองหน้า ใช้ตีในเวลา 5 โมงเช้าทุกวัน การตีใช้ตีสามช่วง ตีจากห่างไปหาถี่ กลองที่ตีในระยะนี้เรียก "กลองเพล" ตีเพื่อเตือนพระสงฆ์และเตือนญาติโยมให้นำภัตตาหารมาถวายพระเณร. large, two-headed drum at Isan temples, also, drumming on temple drum at 11 A.M. which marks time for monks final meal of day.
- กลองแลง น. กลองเพลที่ใช้ตีบอกเวลาลงฟังเทศน์ของญาติโยม เรียก "กลองแลง" วัดในภาคอีสานเมื่อถึงเวลาบ่ายสามโมงพระสงฆ์จะตีกลอง เพื่อเตือนให้ผู้เฒ่าผู้แก่มาฟังเทศน์ทุกวัน เรื่องที่พระสงฆ์นำมาเทศน์ให้ญาติโยมฟัง เป็นวรรณคดีอีสานเกี่ยวกับนิทานต่างๆ และศีลธรรมในทางพระพุทธศาสนา. drumming of Isan temple drum daily at 3 P.M. to call to evening sermon.
- กลองโฮม น. กลองเพลที่ใช้ตีในเมื่อบ้านเมืองมีธุระจำเป็น เช่น จะสร้างวัดทำถนนหนทาง สร้างศาลากลางบ้านหรือสร้างสิ่งสาธารณะอื่นใด ซึ่งจะต้องใช้ประโยชน์ร่วมกัน การตีกลองในเวลาเช่นนี้ เรียก "ตีกลองโฮม, กลองรวม" ก็ว่า จะใช้ตีในเวลาไหนก็ได้ที่เห็นว่าเหมาะสม. drumming of lsan temple drum to call community meeting.
กลองอีสาน
ในภาคอีสานมีการนำ "กลอง" มาใช้เพื่อการต่างๆ ข้างต้น รวมทั้งการนำ "กลอง" มาเป็นเครื่องดนตรีประเภทตีให้จังหวะ หรือคุมจังหวะ โดยกลองที่จัดว่าเป็น "เครื่องดนตรีพื้นเมืองอีสาน" มีอยู่ 3 ชนิดคือ กลองตึ้ง กลองรำมะนา และกลองแอว (กลองยาว)
กลองตึ้ง
กลองตึ้ง เป็นกลองที่ให้เสียงทุ้มต่ำ คุมจังหวะตกของเพลง มีลักษณะทรงกระบอกกลมข้างในกลวง ตัวกลองทำจากต้นไม้ขนาดใหญ่เจาะตรงกลางเป็นรูทะลุ หุ้มด้านหนึ่งด้วยหนังสัตว์ ซึ่งนิยมใช้หนังวัว ขึงให้ตึงด้วยเชือกหนังสัตว์ตัดเป็นริ้วยาว (ปัจจุบันใช้เชือกไนล่อนแทน) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของกลองตึ้งใหญ่พอๆ กับกลองเพล แต่ความยาวจะน้อยกว่า หรือยาวประมาณหนึ่งศอก
กลองตึ้ง นิยมใช้ประกอบขบวนแห่ เช่น วงมโหรี และวงกลองยาว เนื่องจากมีขนาดใหญ่มาก ไม่สามารถถือตีคนเดียวได้ จึงผูกเชือกหนังเป็นห่วงเล็กๆ ไว้ที่ขอบกลองตึ้ง สำหรับสอดไม้เข้าไป และหามกันสองคน โดยคนที่เดินตามหลังเป็นคนตี
กลองตึ้ง ให้เสียงคุมจังหวะตกเท่านั้น จึงตีเพียง ตึ้ง ตึ้ง (ไม่มีเสียงปะ) ที่จังหวะตกของเพลง ดังนั้น เพียงใช้ไม้ตีก็พอ ไม้สำหรับตีกลองตึ้ง ทำจากไม้ไผ่ ด้านปลายหุ้มมัดเป็นก้อนกลมด้วยเศษผ้า แต่หากไม่มีไม้ตี ก็สามารถใช้มือตีได้
กลองรำมะนา
กลองรำมะนา เป็นกลองที่ให้เสียงทุ้มต่ำเหมือนกลองตึ้ง ลักษณะทรวดทรงก็เหมือนกับกลองตึ้ง ต่างกันแต่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า ลักษณะคล้ายกลองพาเหรดหรือเบสดรัม (Bass Drum) ของวงดุริยางค์ ตัวกลอง ทำจากต้นไม้ขนาดกลาง เป็นไม้เนื้อแข็ง เช่น ก้ามปู ขนุน หรือต้นตาล เจาะรูทะลุตรงกลาง หุ้มด้านหนึ่งด้วยหนังวัวขึงให้ตึงด้วยเชือกหนังหรือเชือกไนล่อน ซึ่งกลองรำมะนามีน้ำหนักน้อยกว่ากลองตึ้ง จึงสามารถสะพายตีด้วยคนคนเดียวได้ กลองรำมะนา ใช้ตีประกอบวงมโหรี วงกลองยาว หรือตีให้จังหวะการเล่นพิณ แคน เป็นต้น
กลองรำมะนา นอกจากคุมจังหวะตกแล้ว ยังสามารถตีส่งจังหวะได้ด้วย ซึ่งนั่นก็คือ มีทั้งเสียง ตึ้ง ตึ้ง และเสียง ปะ เวลาตีนิยมใช้มือเดียว ตีเป็นเสียง “ปะ” ใช้ฝ่ามือตีลงบนหน้ากลองพร้อมกับกดไว้ ตีเสียง “ตึ้ง” โดยใช้ฝ่ามือตีบริเวณตรงกลางหน้ากลองแล้วยกขึ้นทันที แต่อย่างไรก็ตาม วงโปงลางพื้นบ้านส่วนใหญ่ใช้กลองรำมะนาเป็นตัวช่วยคุมจังหวะ ซึ่งใช้หลักการของกลองตึ้ง แต่กลองตึ้งใหญ่มากเกินไป หายาก จึงใช้กลองรำมะนามาใช้แทน และตีคุมจังหวะตก เหมือนกลองกระเดื่องเหยียบในกลองชุดดนตรีสากล
กลองยาว
กลองยาว บางแห่งเรียก "กลองหาง" บางแห่งเรียก "กลองแอว" แต่โดยทั่วไปนิยมเรียกชื่อว่า กลองยาว เป็นเครื่องดนตรีในตระกูลของเสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของแผ่นหนัง (Membranophones) ทำจากไม้เนื้อแข็ง ชาวผู้ไทเรียกชื่อว่า “กลองหาง” ทำด้วยไม้ขนุน ขึงด้วยหนังวัว หน้าเดียว นิยมนำมาบรรเลงในขบวนแห่หรือเซิ้งต่างๆ และใช้ในวงดนตรีพื้นบ้านอีสาน (วงโปงลาง) ลักษณะของกลองหางหรือกลองยาว โดยทั่วไปนิยมเรียกชื่อว่า “กลองยาว” ซึ่งลักษณะทรวดทรงคล้ายกับกลองยาวภาคกลาง แต่ก็แตกต่างกัน คือ รูปทรงนับจากช่วงหน้ากลองลงมา จะเห็นว่า ตัวกลองจะยาวกว่ากลองยาวภาคกลาง ส่วนหางกลองจะสั้นกว่าของกลองยาวภาคกลาง และหางของกลองยาวอีสานจะบานออก สามารถตั้งได้อย่างมั่นคงโดยไม่ล้ม นอกจากนั้น การขึงหนังกลองแอวหรือกลองหางจะเอาด้านนอก หรือด้านที่มีขนสัตว์ไว้ด้านนอก
กลองยาว นิยมทำจากไม้ขนุน เนื่องจากไม้ขนุนให้เสียงก้องกำทอนดี เนื้อแข็งพอประมาณไม่หนักมาก และมีสีสันสวยงาม มีขนาดความสูงประมาณ 80 - 90 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางของหน้ากลอง ประมาณ 9 – 10 นิ้ว นำมาขุดให้ภายในกลวง โดยปลายด้านหนึ่งจะบานออกคล้ายดอกลำโพง เรียกว่า “ตีนกลอง” ตอนกลางเรียวคอด ด้านบนป่องออกเป็นกล่องเสียง หนังกลองนิยมทำจากหนังวัวน้อย หรือวัวรุ่นๆ เพราะมีหนังที่บาง มีความยืดหยุ่นดี ส่วนวัวแก่ จะมีหนังที่หนา ทำให้เสียงไม่ดี
การขึงหน้ากลอง เริ่มจากเอาหนังวัวไปตากแดด ใช้ไม้ตีเป็นสี่เหลี่ยม เพื่อที่จะนำเอาหนังวัวไปขึงให้ตึงแล้วนำไปตากแดดจนแห้ง นำหนังวัวที่แห้งแล้วมาตัดเท่ากับขนาดของหน้ากลองที่ต้องการ พอตัดเสร็จก็นำหนังวัวไปแช่น้ำไว้ 1 คืน แล้วนำหนังวัวมาทุบกับพื้นดินโดยใช้ค้อนที่ทำจากไม้ทุบจนกว่าหนังวัวจะนิ่ม พอทุบเสร็จก็นำไปแช่น้ำอีก 30 นาที แล้วจึงนำหนังที่แช่แล้วมาสับรู (เจาะรู) เพื่อที่จะใช้เป็นที่ร้อยสายตึงหนังกลอง เชือกที่ใช้ร้อยสายโบราณใช้หนังสัตว์ตัดเป็นริ้วทำเส้นยาวๆ ปัจจุบันจะใช้เชือกไนล่อนเพราะว่ามีความเหนียวทน ไม่ยืดง่าย สะดวกและหาได้ง่ายกว่า
กลองยาว ที่ใช้ในคณะกลองยาวจะมีขนาดของกลองแต่ละลูกเท่ากัน เวลาจะใช้งานต้องใช้ข้าวเหนียวนึ่งสุก บดให้ละเอียดจนเหนียว นำมาติดหน้ากลอง บางแห้งก็ใช้กล้วยตากแห้งมาตำให้ละเอียดเหนียว เพื่อนำไปติดตรงกลางหน้ากลอง เพื่อปรับระดับโทนเสียง ให้กลองทุกลูกดังในคีย์เสียงเดียวกัน (ติดมากจะให้เสียงทุ้ม ติดน้อยจะให้เสียงแหลมกังวาน) เมื่อเล่นเสร็จแล้วจะขูดข้าวเหนียวหรือกล้วยตากแห้งออก ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาด คราบข้าวเหนียวออกจนหมด ก่อนนำไปเก็บ (ถ้าไม่ขูดออกจะทำให้หนังเกิดรา)
วิธีการตีกลองหาง กลองหางหรือกลองยาว บรรเลงโดยการใช้มือตี การตีให้เป็นเสียง “ปะ” โดยการใช้ฝ่ามือตีลงบนหน้ากลองพร้อมกับกดไว้ การตีให้เป็นเสียง “เปิ้ด” โดยการใช้ครึ่งฝ่ามือท่อนบนตีลงบนริมหน้ากลอง แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งกดหน้ากลองไว้ทันที การตีให้เป็นเสียง “เปิง” โดยการใช้ครึ่งฝ่ามือท่อนบนตีลงบนริมหน้ากลองแล้วยกขึ้นทันที
ในวงดนตรีโปงลางพื้นบ้าน จะใช้กลองยาว 4 ลูก เรียงลำดับเล็กไปหาใหญ่ ขึงขึ้นเสียงกลองให้ได้เสียงที่มีระดับตัวโน้ตตามต้องการ เรียงลำดับเสียงสูงไปหาต่ำ ไล่จากขวาไปซ้าย คือ โด ลา ฟา เร วางกลองแต่ละลูกบนขาตั้งกลอง (โครงเหล็กโค้งเล็กน้อย เพื่อให้ผู้ตีสามารถใช้มือตีไล่เสียงได้สะดวก ที่ระยะแขนเท่าๆ กัน) นิยมบรรเลงร่วมกับ กลองตึ้ง โดยมีกลองตึ้ง 1 ใบ กลองหาง หรือ กลองยาว 4 ใบรวมเป็นชุดกลองอีสาน หรืออาจจะใช้บรรเลงในขบวนแห่ต่างๆ ก็เรียกว่า วงกลองยาว
คณะกลองยาวอีสาน
คณะกลองยาว หรือ วงกลองยาว เกิดขึ้นก่อนที่วงดนตรีโปงลางจะโด่งดังเป็นที่รู้จักเช่นในปัจจุบัน แต่คณะกลองยาวก็ได้รับการปรับปรุงพัฒนา ประยุกต์รูปแบบนำเสนอใหม่ๆ และกำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในภูมิภาคอีสาน โดยคณะกลองยาวนิยมใช้สำหรับประกอบขบวนแห่ต่างๆ เช่นเดียวกับวงมโหรีอีสาน
คณะกลองยาว ตามหมู่บ้านในสมัยก่อน ใช้กลองยาวเป็นเครื่องดนตรีหลัก โดยใช้กลองตึ้ง 1 และกลองยาวประมาณ 3-5 ลูก ไม่มีพิณหรือแคนบรรเลงลายประกอบ อาศัยเพียงลวดลายของจังหวะกลอง และลีลาการตีฉาบใหญ่เป็นสิ่งดึงดูด ซึ่งคณะกลองยาวยุคนี้ยังไม่มี "ขบวนนางรำ" ฟ้อนรำประกอบ (และอาจยังไม่มีชุดแต่งกายประจำคณะด้วย)
เมื่อคณะกลองยาวพัฒนาขึ้นเป็น "คณะกลองยาวยุคใหม่" จริงๆ เพื่อดึงดูดให้เจ้าภาพงานมาว่าจ้าง บางคณะจึงได้เพิ่มจำนวนกลองขึ้นมาให้ดูยิ่งใหญ่อลังการมากขึ้น เช่น ใช้กลองยาว 10 ลูกบ้าง 14 ลูกบ้าง จนมากถึง 20 ลูกบ้าง และนอกจากจะให้ผู้ชายตีกลอง บางคณะอาจใช้ผู้หญิงมาวาดลวดลายการตีก็มี แต่ในยุคนั้น ยังเป็นการโชว์ลวดลายการตีกลองยาวอย่างเดียวอยู่ จึงยังไม่มีพิณ-แคนมาบรรเลงประกอบ และยังไม่มีขบวนนางรำฟ้อนประกอบ คนตีกลองจะรับหน้าที่วาดลวดลายการฟ้อนไปด้วยในขณะตีกลองไปด้วย
กลองยาวศิลป์อีสาน มมส ชนะเลิศอันดับ 1 ออนซอนกลองยาวชาววาปี 2563
ส่วนคณะกลองยาวในยุคปัจจุบัน ได้นำเครื่องดนตรีหลายๆ อย่างมาประยุกต์เสริมเข้าไป เพื่อให้ดูทันสมัยขึ้น นั่นคือ นอกจากใช้การโชว์กลองเป็นจุดขายแล้ว ยังขายความบันเทิงอื่นๆ ด้วย เช่น ใช้เครื่องดนตรีพิณ- แคนบรรเลงประกอบ บางวงมีอีเล็กโทนบรรเลงด้วย มีการใช้เครื่องขยายเสียงร่วมด้วยเพื่อให้เสียงพิณ-แคน หรืออีเล็กโทนที่ระดับเสียงเบากว่ากลองดังได้ไกลขึ้น มีขบวนนางรำฟ้อนประกอบขบวนแห่ มีเครื่องแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ และบางคณะอาจมีการจัดรูปแบบขบวน ตกแต่งรถสำหรับขบวนแห่แบบต่างๆ เป็นต้น ซึ่งนี่คือตัวอย่างแห่งศิลปวัฒนธรรมที่ไม่หยุดนิ่งของกลองยาวอีสาน
เครื่องดนตรีหลัก ประจำคณะกลองยาว
- กลองยาว
- กลองตึ้ง (บางแห่งก็ไม่ใช้)
- รำมะนา
- ฉิ่ง
- ฉาบเล็ก + ฉาบใหญ่
- พิณ, แคน, หรืออีเล็กโทน, เบส (ประยุกต์ใช้ร่วมคณะกลองยาวในภายหลัง)
คณะกลองยาววงใหญ่ หรือ วงเล็ก ในสมัยก่อนขึ้นอยู่กับจำนวนกลองยาวที่ใช้ โดยวงขนาดเล็ก ใช้กลองยาวประมาณ 3-5 ลูก หากกลองยาวไม่เกิน 20 ลูก ก็ยังถือว่าเป็นวงขนาดกลางอยู่ หากมีจำนวนเกิน 20 ลูกขึ้นไป จัดว่าเป็นวงขนาดใหญ่ ในปัจจุบัน นอกจากจะดูเรื่องจำนวนกลองยาวแล้ว ยังต้องดูขบวนนางรำประกอบด้วยว่า มีจำนวนกี่คน
กลองยาว ที่ใช้ในคณะกลองยาว จะต้องปรับเสียงให้กลองทุกลูกดังในคีย์เสียงเดียวกัน โดยใช้ข้าวเหนียวนึ่งสุก นำมาบดให้ละเอียด ติดที่หนังหน้ากลอง ปรับขนาด ทดลองตีเทียบจนได้เสียงที่เท่ากัน และเมื่อการละเล่นเสร็จแล้วทุกครั้ง ก็ต้องนำมาทำความสะอาด เอาคราบข้าวเหนียวที่ติดอยู่หน้ากลองออกให้หมด ก่อนนำกลองไปเก็บเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราในหนังหน้ากลองนั่นเอง
คณะมโหรีอีสาน
คณะมโหรีอีสาน หรือ วงมโหรีอีสาน เป็นวงดนตรีพื้นบ้านอีสาน ซื่งได้รับความนิยมกันมากในยุคก่อนที่วงดนตรีโปงลางจะโด่งดัง นิยมใช้บรรเลงประกอบขบวนแห่ต่างๆ ซึ่งเครื่องดนตรีหลักประเภทให้จังหวะจะคล้ายๆ กันเกือบทุกหมู่บ้านหรือทุกคณะ ส่วนเครื่องดนตรีประเภทบรรเลงทำนองอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่า หมู่บ้านไหนจะสามารถเล่นเครื่องดนตรีอะไรได้ชำนาญกว่ากันบ้าง
ลายมโหรีอีสาน โดย วงโปงลางศิลป์อีสาน มมส.
โดยเครื่องดนตรีหลักของคณะมโหรี อีสานจะประกอบด้วย
- กลองตึ้ง
- รำมะนา
- ฉาบ
- เครื่องดนตรีบรรเลงทำนองอย่างน้อย 1 ชนิด (อาจเป็น พิณ แคน ซอ โหวด)
เครื่องดนตรีประจำวงมโหรีอีสานที่พบมาก คือ
- กลองตึ้ง
- รำมะนา
- ฉาบ
- ฉิ่ง
- ฆ้องโหม่ง
- ซออีสาน
- ปี่
หรือ บางคณะอาจใช้แตกต่างออกไปเช่น
- กลองตึ้ง
- รำมะนา
- ฉาบ
- ฉิ่ง
- พิณ
- แคน
"มโหรีอีสาน - ฉบับเต็ม" บรรเลงพิณ : ทองเบส ทับถนน
ลายเพลงที่ใช้บรรเลงหลักๆ แล้วจะใช้เพลง มโหรีอีสาน ซึ่งแต่ละวงอาจจะมีลูกเล่น หรือท่วงทำนองแตกต่างกันออกไป นั่นคือเพลงหลัก แม้จะเรียกว่า มโหรีอีสาน เหมือนกัน แต่ทำนองเพลงอาจจะไม่เหมือนกันทีเดียวนัก ซึ่งนักดนตรีที่มีความสามารถทางการเดี่ยวเครื่องดนตรีอาจจะสอดใส่ลวดลายพิเศษเข้ามาร่วมด้วย และนอกจากเพลงมโหรีอีสานแล้ว อาจจะมีลายเพลงอื่นๆ เข้ามาประกอบด้วย ให้เกิดความสนุกสนานครึกครื้นถูกใจเจ้าภาพให้จ้างงานในโอกาสต่อไป
การเส็งกลอง
นอกจากการนำกลองชนิดต่างๆ มาตีเพื่อให้เกิดจังหวะดนตรี ให้เกิดความสนุกสนาน รื่นเริง ใช้ในการตีบอกเพื่อเหตุต่างๆ แล้ว กลองยังถูกนำมาใช้ในการแข่งขันในการตีให้เกิดเสียงดังด้วย เรียกว่า "การเส็งกลอง" ซึ่งมีคำในภาษาการพูดของคนอีสานที่น่าสนใจอยู่ 2 คำ คือ
- กลองเส็ง เป็นคำนาม หมายถึง กลองที่นำมาแข่งขัน มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก มีหน้ากลอง 1 ด้าน หุ้มด้วยหนังวัว ส่วนด้านล่างปล่อยกลวงทะลุตลอดตามยาวของกลอง กลองที่นำมาใช้ในการแข่งขันนี้เรียก "กลองเส็ง" หรือ "กลองกิ่ง"
- เส็ง เป็นภาษาอีสานหมายถึง การแข่งขัน การประชันกัน ซึ่ง “เส็งกลอง” เป็นคำกริยา หมายถึง การแข่งขันกลองหรือการแข่งขันการตีกลอง เส็งกลองเป็นการละเล่นของชาวอีสาน เริ่มขึ้นเมื่อไรนั้นไม่มีหลักฐานปรากฏบันทึกไว้
การเส็งกลอง หรือ การตีกลอง เป็นประเพณีการละเล่นของชาวอีสานเพื่อขอฝนจากพญาแถน นิยมเล่นกันในงานประเพณีบุญบั้งไฟ และบุญผะเหวดตามฮีตสิบสองของคนอีสาน ชุมชนอีสานในหลายจังหวัด เช่น นครพนม อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ฯลฯ ยังคงอนุรักษ์และสืบสานประเพณีไว้ให้ลูกหลานได้เรียนรู้ ได้ชื่นชมกัน
กลองกิ่ง หรือ กลองเส็ง ชาวบ้านจะช่วยกันทำกลองขึ้นมาเอง ไม้ที่นิยมนำมาทำกลองคือ ไม้ประดู่ ไม้มะรุมป่า และไม้ขนุน หนังที่ใช้ขึงหน้ากลองจะเป็นหนังวัว นิยมทำกลองเป็นคู่ๆ มีขนาดเท่ากัน และเรียกชื่อตามขนาดความยาวของรัศมีหน้ากลอง เช่น กลองเส็งขนาด 50, 60, 70 นิ้ว กลองทั้งคู่เมื่อตีแล้วจะต้องได้เสียงในระดับเดียวกัน จึงต้องมีการปรับจูนเสียงให้เป็นเสียงเดียวกัน ชาวบ้านเรียกว่า “การเข่งกลอง” คือการหมุนหรือขันเส้นเชือกที่รั้งหนังหน้ากลอง ถ้าต้องการให้ได้เสียงดังจะต้องขันหนังกลองให้ตึงที่สุด
ไม้ที่ใช้ตี ด้ามจับทำด้วยไม้ขนาดพอเหมาะและทำสายคล้องมือ เพื่อไม่ให้ไม้หลุดมือเวลาตี ส่วนก้านมักจะทำด้วยเหล็กเส้น ส่วนหัวจะทำด้วยตะกั่ว
ผู้ที่จะเส็งกลองได้ดีจะต้องสามารถตีกลองทั้งคู่ทั้งสองมือได้พร้อมๆ กัน และมีความแม่นยำในการตี ก่อนตีจะมีการพรมน้ำลงที่หนังหน้ากลองให้หนังนิ่ม เสียงที่ตีได้จะมีความทุ้มนุ่มนวลกว่าการตีกลองที่หนังหน้ากลองแห้ง หากตีกลองจนไม้ที่ทำกลองแตกหรือปริ จะทำให้กลองเสียงไม่ดี ภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใช้คือ การนำเปลือกยางบงมาป่นให้เป็นผงละเอียด นำมาผสมน้ำและยาลงไปบนเนื้อไม้บริเวณที่แตกหรือปรินั้น บ้างก็ตีจนหนังหน้ากลองแตก ก็จะมีการเปลี่ยนหน้ากลองใหม่ [ อ่านเพิ่มเติม : กลองเส็งบ้านเป้า ]