- Details
- Written by: Webmaster
- Category: Isan Dance
- Hits: 25266
การฟ้อนพื้นบ้านแบบต่างๆ
ศิลปการฟ้อนรำของชาวอีสาน มีหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละถิ่น ตามอิทธิพลของกลุ่มชนพื้นเมืองในละแวกนั้นๆ เช่น ทางอีสานใต้ก็จะมีอิทธิพลของเขมรปะปนอยู่มาก ทางด้านเหนือก็มีอิทธิพลจากทางล้านช้าง ทางสกลนคร นครพนม มุกดาหารก็มีชนเผ่าพื้นเมืองในถิ่นนั้นเช่น ย้อ โซ้ ภูไท อย่างไรก็ตามเราก็พอจะจำแนกการฟ้อนออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้
สังคมและวัฒนธรรมแถบลุ่มแม่น้ำโขง ยังคงยึดมั่นกับความเชื่อในเรื่อง ภูติ ผี วิญญาณ ผีฟ้า ผีแถน ผีปู่ย่าตายาย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ดังนั้น ลูกหลานที่สืบทอดความเชื่อนี้ จะต้องให้ความเคารพและเซ่นสังเวย เพื่อบูชาเป็นประจำทุกๆ ปี ซึ่งเชื่อว่า เมื่อได้ทำการเซ่นสังเวยตามพิธีกรรมแล้ว จะทำให้ผู้ปฏิบัตินั้นได้รับผลดี ถ้าไม่ปฏิบัติแล้วจะให้ร้ายแก่ผู้ไม่ปฏิบัติ ดังนั้น จึงมีการฟ้อนเพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภูตผี วิญญาณ นั้นพึงพอใจ เพื่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข การฟ้อนเพื่อเซ่นสรวงบัดพลีหรือบูชานั้น สามารถแบ่งย่อยได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
การฟ้อนเพื่อบูชา
การฟ้อนเพื่อบูชา นั้น ส่วนใหญ่เป็นการฟ้อนชุดดั้งเดิมที่มีมาแต่โบราณ เพื่อบูชาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นที่นับถือของคนโดยทั่วไป เช่น การฟ้อนผู้ไท เพื่อบูชาพระธาตุเชิงชุม ของชาวจังหวัดสกลนคร เพื่อบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชนกลุ่มนั้น การฟ้อนเพื่อบูชา ได้แก่
ฟ้อนแถบลาน - ฟ้อนบายศรี - เรือมมม๊วต - เชิ้งตูมกาอธิษฐาน
ฟ้อนภูไทหรือผู้ไท
พระธาตุเชิงชุม เป็นปูชนียสถานที่สำคัญของจังหวัดสกลนคร ซึ่งในสมัยโบราณนั้นต้องมีคนคอยเฝ้าดูแล รักษาทำความสะอาดอยู่ตลอดทั้งปี ซึ่งพวกที่ดูแลทำนุบำรุงพระธาตุเชิงชุมนี้ จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีรัษฏชูปการ ซึ่งมีหลายชนเผ่าด้วยกัน ซึ่งในกลุ่มผู้ดูแลนั้นมีชาวผู้ไทรวมอยู่ด้วย ในตอนนั้นมักจะมีงานบุญทอดผ้าป่าและฉลององค์พระธาตุเชิงชุม ชาวบ้านจะนำข้าวเม่า ปลาย่าง มาติดกัณฑ์เทศน์ ชาวผู้ไทซึ่งเป็นกลุ่มที่อาสาเป็นผู้ปฏิบัติรักษาองค์พระธาตุ โดยเฉพาะผู้ชายจะแต่งตัวนุ่งกางเกงขาก๊วย และนุ่งโสร่งทับ สวมเสื้อดำ จะฟ้อนด้วยลีลาอันอ่อนช้อยสวยงาม โดยร้องและฟ้อนกันเป็นหมู่ๆ แล้วจึงถวายผ้าป่า ต่อมาได้มีการดัดแปลงท่าฟ้อนให้สวยงามยิ่งขึ้น เปลี่ยนจากผู้แสดงชายมาเป็นหญิงล้วน
เครื่องแต่งกาย
ผู้แสดงหญิงจะนุ่งผ้าซิ่นสีดำขลิบแดง นุ่งยาวกรอมเท้า สวมเสื้อสีดำขลิบแดง หรือแดงขลิบดำก็ได้ แต่ขลิบคอ แขนและชายเสื้อ สวมเล็บมือแปดเล็บ ติดพู่สีแดง ผมเกล้ามวยผูกผมด้วยผ้าสีแดง
ฟ้อนภูไทสกลนคร
เครื่องดนตรี
ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ลายผู้ไท ของจังหวัดสกลนคร ซึ่งมีลีลาและจังหวะเร็วกว่าลายผู้ไทของจังหวัดอื่นๆ
เพลงประกอบการฟ้อนผู้ไท
เพลงประกอบการฟ้อนผู้ไทของจังหวัดสกลนครจะมีเนื้อร้องประกอบ แต่งโดย คุณคมคาย ณ หนองคาย ซึ่งมีเนื้อเพลงดังนี้
เพลงฟ้อนผู้ไท (สกลนคร) | ||
---|---|---|
ไปเยอเฮาไป ไปโฮมพี่และโฮมน้อง เทิงเขาแสนจน ข้อยสู่ทนยาก มีโชคมีชัย พ้นภัยไร้ทุกข์ หลับไปให้ได้เงินหมื่น อิ่มใจเหมือนแป้น มาเน้อเฮามา มาให้พรทั้งพี่และน้อง |
ไปให้เอาชัยเอาช่อง (ซ้ำ) ไปโห่เอาช่องเอาชัย หนทางก็ลำบาก (ซ้ำ) มาฟ้อนรำให้เพิ่นเบิ่ง ให้ท่านมีสุขสมใจ ตื่นให้ได้เงินแสน มีคู่มีแฟนคู่ใจเงินทองไหลมาไวไว มาโห่มาลาพี่น้อง มาโห่เอาช่องเอาชัย |
แต่เนื้อร้องที่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปนั้น แต่งโดย คุณครูบัวผัน วงศ์เทพ โรงเรียนบ้านหนองศาลา ตำบลพังขว้าง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร และเพลงฟ้อนภูไทนี้ทางกรมศิลปากรได้นำไปเผยแพร่ จนเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ซึ่งมีเนื้อเพลงดังนี้
เพลงฟ้อนผู้ไท | ||
---|---|---|
ไปเย้อเฮาไป ไปโฮมพี่โฮมน้อง เพิ่งเขาแสนจน ข้อยสู้ทนยาก ข้อยอยู่เทิงเขา พวกข้อยขออำนวย ขออำนาจไตรรัตน์ ชาวไทยทั่วหน้า เวลาก็จวน ขอความมีชัย ข้อยลาละเน้อ |
ไปโห่เอาชัยเอาช่อง (รับ) ไปช่วยแซ่ฮ้องอวยพร หนทางก็ลำบาก (รับ) มาร้องรำให้เพิ่นซม เอาใจมาช่วย (รับ) อวยชัยให้ละเนอ จงปกปักฮักษา (รับ) ให้วัฒนาสืบไป ข้อยสิด่วนไป (รับ) แต่ทุกท่านเทอญ ข้อยลาละเน้อ |
การฟ้อนภูไทของจังหวัดสกลนครนี้ จะมีการฟ้อนใน 2 ลักษณะ คือ
- ฟ้อนตีบทตามเนื้อเพลง ให้เหมาะสมกับเนื้อเพลงในแต่ละท่อน
- ฟ้อนประกอบทำนองเพลง ซึ่งก็คือเพลงรับนั้นเอง เมื่อขับร้องเนื้อเพลงจบในแต่ละท่อนก็จะมีดนตรีรับ ซึ่งท่าฟ้อนนั้นจะใช้ท่ามาตรฐานที่ชาวผู้ไทประดิษฐ์ขึ้นเป็นท่าหลักที่ใช้ในการฟ้อนซึ่งได้แก่
ท่าดอกบัวตูม มีลักษณะคล้ายฟ้อนเล็บของภาคเหนือ ใช้สองมือจีบกรีดนิ้วออกหลังมือชนกันหมุนสลับไปสลับมา เป็นท่าเริ่มต้นของการฟ้อน
ท่าดอกบัวบาน มีลักษณะคล้ายท่าสร้อยมาลาแปลง คือ มีการตั้งวงบนสลับกับการจีบหงายระดับหัวเข็มขัด สลับกับการคลายจับไปตั้งวงบน
ท่าแซงแซวลงหาด มือซ้ายและขวาจีบหงายพร้อมกันที่ระดับเอว เริ่มจากจีบด้านซ้ายแล้วเปลี่ยนมาด้านขวา คล้ายจีบส่งมือไปด้านหลังในท่ายูงฟ้อนหาง ลากมือกลับจีบระดับหน้าแล้วม้วนมือคลายจีบในระดับศีรษะ
ท่าบังแสง คล้ายท่าชักแป้งผัดหน้า หงายมือทั้ง 2 ข้าง มือขวาปะที่แก้ม มือซ้ายเหยียดตึงไปข้างหน้า
ท่านางไอ่เลาะดอนหรือนางไอ่เลียบหาด มือขวายกสูงจีบและคลายมือแบหงาย มือซ้ายจีบส่งไปด้านหลัง หมุนตัวอยู่กับที่ 2 ครั้ง หมุนครั้งที่สองสลับมือสูงมาต่ำ มือต่ำไปสูงเดินสลับแถว หมุนตัว 2 ครั้ง แล้วกลับมาแถวเดิม
ท่านาคีม้วนหาง มือทั้งสองจีบเข้าหาตัวพร้อมกันในระดับเอว แล้วกรีดมือทั้งสองออกพร้อมกัน มือหนึ่งคลายจีบออกด้านนอก ตั้งวงบน มือหนึ่งคลายจีบส่งมือไปด้านหลังแล้วกลับมาเริ่มด้านใหม่เป็นท่าจบ
แสกเต้นสาก
ชาวแสก มีถิ่นฐานเดิมอยู่ใกล้กับญวณแถบเมืองรอง ซึ่งขึ้นอยู่กับกรุงเว้ ในตอนกลางของประเทศเวียตนาม จากนั้นค่อยๆ อพยพเข้ามาอยู่ตามลุ่มแม่น้ำโขงในประเทศลาว และอพยพเข้ามาอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ในราวสมัยพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา และอพยพครั้งใหญ่อีกครั้งในสมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวส่งกองทัพไปปราบกบฎเจ้าอนุวงศ์ ได้กวาดต้อนผู้คนจากฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขงมายังฝั่งไทย โดยเริ่มตั้งถิ่นฐานที่บ้านอาจสามารถ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ในปัจจุบัน นอกจากที่บ้านอาจสามารถแล้ว ยังมีชาวแสกที่ บ้านมะหว้า บ้านดอนส้มมอ บ้านท่าบ่อสงคราม อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม และยังกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดสกลนคร และมุกดาหารอีกด้วย
ชาวแสก ซึ่งยังคงดำรงรักษาขนบธรรมเนียมและความเชื่อดั้งเดิม ดังนั้นในเดือนสามข้างขึ้น 1-3 ค่ำของทุกปี ชาวแสกจะมีประเพณีตรุษแสก ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อบวงสรวงบูชาศาลเจ้าองมู่ ซึ่งชาวแสกเชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษ ซึ่งคุ้มครองรักษาให้ชาวแสกปราศจากภยันตรายทั้งปวง โดยมี หมอเหยา หรือ เจ้าจ้ำ หรือที่ภาษาแสกเรียกว่า ก๋วนจ้ำ เป็นผู้ทำพิธี เมื่อทำพิธีบวงสรวงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะร่วมรับประทานอาหารดื่มสุรา และร้องรำทำเพลงกัน การละเล่นที่นิยมเล่นในวันตรุษนี้ก็คือ การเต้นสาก ซึ่งชาวแสกเองเรียกว่า แสกแซงสาก ซึ่งในคราวที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จไปตรวจราชการมณฑลอุดรและมณฑลอีสานในปี พ.ศ. 2449 นั้นได้ทรงเล่าถึงการเต้นสากไว้ในหนังสือนิทานโบราณคดีไว้ว่า
"เขาพาพวกผู้หญิงแสกมา มีการเล่นให้ฉันดูอย่างหนึ่งเรียกว่า "เต้นสาก" มีผู้หญิง 10 คู่นั่งหันหน้าหากันเรียงเป็นแถว แต่ละคนถือปลายไม้พลองมือละอันทั้งสองข้าง วางไม้พลองบนไม้ขอนที่ทอดไว้ตรงหน้า 2 ท่อน มีทางอยู่ตรงกลาง เวลาหญิงทั้งสิบคู่นั้นขับร้อง แล้วเอาไม้พลองที่ถือลงกระทบไม้ขอนพร้อมๆ กัน เป็นจังหวะ 1 กับจังหวะ 2 คือ ไม้พลองให้ห่างกัน ถึงจังหวะ 3 รวบไม้พลองเข้าชิดกัน มีหญิงสาว 4 คน ผลัดกันเต้นทีละคู่ เต้นตามจังหวะไปในระหว่างช่องไม้พลองทั้ง 10 คู่นั้น ต้องระวังเมื่อถึงจังหวะ 3 อย่าให้ถูกไม้พลองหนีบข้อเท้า กระบวนการเล่นมีเท่านั้น"
การเต้นสากของชาวแสกนี้นับว่า เป็นการแสดงพื้นบ้านของชาวอีสานที่เก่าแก่ และยังคงรูปลักษณ์ของการละเล่นพื้นบ้านไว้คงเดิมมากที่สุด การแสดงเต้นสากนี้ถ้าเป็นการแสดงของชาวบ้านจริงๆ จะไม่มีดนตรีประกอบ จะใช้เสียงกระทบไม้พลองเป็นจังหวะที่เร้าใจ การเต้นสากนี้ผู้เต้นไม่จำกัดเพศและวัย แต่ส่วนใหญ่ผู้หญิงยังคงนิยมเต้นมากกว่าผู้ชาย ในสมัยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ การแสดงแสกเต้นสากนี้มีการร้องประกอบ แต่ในปัจจุบันไม่มีการขับร้องแต่อย่างใด ส่วนท่ารำก็ไม่มีแบบแผนมาตรฐาน มีเพียงการเต้นเข้าสากตามจังหวะกระทบของสากเท่านั้น มือก็จีบขึ้นลงแบบง่ายๆ
เครื่องแต่งกาย
การแสดงแสกเต้นสากนี้ถ้าเป็นการแสดงของชาวบ้านแท้ๆ จะใช้ผู้แสดงหญิงล้วน สวมชุดสีดำแขนกระบอก ผ้าซิ่นดำห่มสไบแดง ส่วนการแสดงแสกเต้นสากที่วิทยาลัยครูสกลนครนำไปประยุกต์นั้น จะใช้ผู้แสดงชายและหญิง ผู้แสดงหญิงจะสวมชุดสีดำ แขนกระบอก ผ้าถุงดำห่มสไบแดงเช่นกัน แต่ผู้ชายจะใส่เสื้อม่อฮ่อม กางเกงขาก๊วย ดพกผ้าขาวม้า และใช้ผ้าขาวม้าคาดเอว
เครื่องดนตรี
อาศัยจังหวะของการกระทบไม้ เครื่องดนตรีจึงประกอบด้วยไม้กระทบ 5 - 6 คู่ กลอง ฉิ่ง ซึ่งจังหวะในการกระทบไม้จะมี 2 จังหวะ จังหวะช้าและเร็ว การแสดงจะเริ่มต้นด้วยจังหวะช้าเพื่อเป็นการเริ่มต้น จากนั้นจะเริ่มเร็วขึ้น การกระทบไม้ในจังหวะเร็วจะทำให้เกิดความสนุกสนานมีชีวิตชีวา ดังนั้นผู้ที่มีความสามารถหรือเป็นผู้ชำนาญเท่านั้น ที่จะเข้าออกตามจังหวะของการกระทบไม้ได้ ในขณะเดียวกันจะต้องฟ้อนประกอบให้เกิดความสวยงามกลมกลืนกับลีลาการเต้นสากด้วย โดยทั่วไปการเต้นสากจะมี 3 ลีลาคือ ลีลาการเต้นเดี่ยว ลีลาการเต้นคู่ในทิศทางเดียวกัน และลีลาการเต้นคู่สลับสวนทิศกัน การเต้นสากของวิทยาลัยครูสกลนครจะใช้เพลง บ้งไต่ขอน ประกอบการกระทบสาก
โส้ทั่งบั้ง
ชาวโส้ เป็นชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่ที่ ตำบลนาโพธิ์ ตำบลโพธิ์ไพศาล ตำบลนาเพีย อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร และยังกระจัดกระจายอยู่ที่อื่นๆ เช่น ตำบลล้านค้อ ตำบลขมิ้น อำเภอท่าอุเทน อำเภอปลาปาก อำเภอศรีสงคราม กิ่งอำเภอดงหลวง และกิ่งอำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม ในคราวสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จไปตรวจราชการมณฑลอุดรและอีสานในปี พ.ศ. 2449 ซึ่งกล่าวถึงคนต่างจำพวกไว้ว่า
"พวกกะโซ้ เป็นข่าผิวคร้ามกว่าชาวเมืองพวกอื่น และพูดภาษาของตนต่างหาก มีในมณฑลอุดรหลายแห่ง แต่รวมกันอยู่มากเป็นปึกแผ่นที่เมืองกุสุมาลย์มณฑลในจังหวัดสกลนคร เจ้าเมือง กรมการเมือง และราษฎรล้วนเป็นข่ากะโซ้ทั้งนั้น บอกว่าถิ่นเดิมอยู่ ณ เมืองมหาชัยกรองแก้วทางฝ่ายซ้าย" ชาวโส้มีการอพยพถิ่นฐานหลายครั้งด้วยกัน ส่วนใหญ่การอพยพเกิดขึ้นหลังจากไทยส่งกองทัพไปปราบกบฎเจ้าอนุวงศ์ ในปี พ.ศ. 2369 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้กล่าวถึงการละเล่นของชาวโส้ในนิทานโบราณคดี ไว้ว่า
"ฉันเห็นการเล่นอย่างหนึ่ง ซึ่งพระอรัญอาษาเจ้าเมืองกุสุมาลย์มณฑลเอามาให้ดูเรียกว่า "สะลา" คนเล่นล้วนเป็นชายเปลือยตัวเปล่า นุ่งผ้าขัดเตี่ยวหรือมีชายห้อยข้างหน้ากับข้างหลังอย่างเดียวกับเงาะนุ่ง "เลาะเตี๊ยว" ลักษณะเล่นนั้นมีหม้ออุตั้งอยู่ตรงกลางหม้อหนึ่ง คนเล่นเดินเป็นวงรอบหม้ออุ มีต้นบทนำขับร้องคนหนึ่ง สะพายหน้าไม้คนหนึ่งมีฆ้องเรียกว่า "เพนาะ" คนหนึ่ง ถือไม้ไผ่ 3 ปล้องสำหรับกระทุ้งดินเป็นจังหวะ 2 คน คนรำ 3 คน ถือชามติดเทียน 2 มือคนหนึ่ง ถือตะแกรงคนหนึ่ง ถือมีดกับสิ่วเคาะกันเป็นจังหวะคนหนึ่ง รวม 8 คนด้วยกัน กระบวนการเล่นไม่มีอะไรนอกจากเดินร้องรำเวียนเป็นวง เล่นพักหนึ่งแล้วก็นั่งลง กินอุ แล้วก็ร้องรำไปอีกอย่างนั้น เห็นได้ว่าเป็นการเล่นของพวกข่าตั้งแต่ยังเป็นคนป่า เมื่อมาเล่นให้ดู ดูคนเล่นก็ยังสนุกกันดี"
การฟ้อนโส้ทั้งบั้งได้มีการปรับปรุงขึ้นใหม่โดยใช้ผู้แสดงหญิงล้วน ซึ่งแตกต่างจากการแสดงดั้งเดิม มีดนตรีประกอบทำนองลำผู้ไทของสกลนคร การฟ้อนโส้ทั้งบั้งประกอบด้วย
1. ล่ามผู้ชาย 3. เพื่อนนางเทียม 5. คนทั่งบั้ง 7. นางรำ |
1 คน 3 คน 6 คน 10-12 คน |
2. นางเทียม 4. นักดนตรีชาย 6. ผู้แสดงประกอบ |
1 คน 6 คน 6 คน |
เครื่องดนตรี
เครื่องดนตรีประกอบด้วย กลองเส็ง 1 คู่ ฉาบ แคน ฉิ่ง กระจับปี่ ซอ บั้งไม้ไผ่ และพะเนาะ การแสดงจัดรูปขบวนโดยล่ามนางเทียม เพื่อนนางเทียม พร้อมด้วยนักดนตรี 3 คน นั่งเป็นวงกลมล้อมรอบคายขนาบด้วยนางรำ 3-5 คู่ ปิดท้ายด้วยคนตีกลองข้างหลังของพวกตีกลองจะเป็นนักดนตรีและคนทั่งบั้ง
เมื่อเริ่มการแสดง ล่ามจะสะเหน็ดโส้ เชิญผีฟ้าให้เข้าทรงนางเทียม ล่ามพร้อมนางเทียม เพื่อนนางเทียม และนักดนตรีจะลุกขึ้นร่ายรำไปรอบๆ คาย เมื่อเสร็จพิธีจะนั่งลง คนตีกลองจะเริ่มรัวกลองเป็นสัญญาณ ให้นางรำลุกขึ้นฟ้อน ดนตรีจะเริ่มบรรเลงเพลงผู้ไท ล่ามจะสะเหน็ดโส้ไปเรื่อยๆ พร้อมกับทิ้งจังหวะให้พวกทั่งบั้งเปล่งเสียง เออเลอะ เออเลอะ เออเลอะ เออเลอ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจบท่าฟ้อนซึ่งมีท่าต่างๆ ดังนี้ ท่าเชิญผีฟ้า ท่าส่งผีฟ้า โส้ทั่งบั้ง ถวายแถน และเลาะตูบ
ฟ้อนแถบลาน - ฟ้อนบายศรี - เรือมมม๊วต - เชิ้งตูมกาอธิษฐาน
- Details
- Written by: Webmaster
- Category: Isan Dance
- Hits: 21549
การฟ้อนพื้นบ้านแบบต่างๆ
ศิลปการฟ้อนรำของชาวอีสาน มีหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละถิ่น ตามอิทธิพลของกลุ่มชนพื้นเมืองในละแวกนั้นๆ เช่น ทางอีสานใต้ก็จะมีอิทธิพลของเขมรปะปนอยู่มาก ทางด้านเหนือก็มีอิทธิพลจากทางล้านช้าง ทางสกลนคร นครพนม มุกดาหารก็มีชนเผ่าพื้นเมืองในถิ่นนั้นเช่น ย้อ โซ้ ภูไท อย่างไรก็ตามเราก็พอจะจำแนกการฟ้อนออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้
ในภาคอีสานมี หมอลำ ซึ่งเป็นการแสดงดั้งเดิมของชาวอีสาน หากแบ่งขั้นตอนตามวิวัฒนาการ และลักษณะพิเศษเฉพาะอย่างแล้ว พอจะจัดแบ่งหมอลำออกได้ 5 ประเภทคือ หมอลำพื้น หมอลำกลอน หมอลำหมู่ หมอลำเพลิน และหมอลำผีฟ้า
หมอลำหมู่ เป็นการแสดงลำชนิดหนึ่งใช้ตัวละครแสดงเป็นหมู่ คณะ และแสดงเป็นเรื่องราวอย่างลิเก หรืองิ้ว ตัวละครจะเป็นชายจริงหญิงแท้ ซึ่งบางครั้งจะถูกเรียกว่า ลิเกลาว เพราะการแต่งกายของตัวเอกนั้น จะแต่งตัวแบบเดียวกันกับลิเกทั้งชายและหญิง ในตอนแรกใช้หมอแคนหนึ่งคนเป่าประกอบทำนอง ต่อมามีการดัดแปลงนำเครื่องดนตรีสากล อย่างวงดนตรีลูกทุ่งเข้ามาผสม ทำนองที่ใช้ลำมี 3 ทำนอง คือ ลำทางยาว ลำเดิน และลำเต้ย ในระยะแรกๆ นิยมนำนิทานชาดกมาแสดงเช่น เรื่อง สินไชย การะเกด นางผมหอม สุธน-มโนราห์ นางแตงออ่อน ท้าวก่ำกาดำ เป็นต้น การฟ้อนเนื่องมาจากวรรณกรรม เป็นการฟ้อนที่ได้แนวคิดมาจากวรรณกรรมพื้นบ้านเหล่านี้ ซึ่งเป็นที่นิยมของหมอลำหมู่คณะต่างๆ
ฟ้อนมโนราห์เล่นน้ำ
เป็นการนำเนื้อเรื่องจากวรรณกรรมพื้นบ้านอีสาน เรื่อง ท้าวสีทน หรือ ศรีธน หรือ พระสุธน มโนราห์ ซึ่งโครงเรื่องได้มาจาก สุธนชาดก แต่มีความแตกต่างไปจากเดิมบ้าง วิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด ได้ประดิษฐ์ชุดฟ้อนนี้ขึ้น ในอันที่จริงแล้ว เรื่อง พระรถเมรี และพระสุธน-มโนราห์ เป็นนิทานพื้นบ้านที่รู้จักกันโดยทั่วไปในประเทศไทย ที่เรื่องทั้งสองโดดเด่นกว่านิทานพื้นบ้านเรื่องอื่นๆ คงอยู่ที่ผู้แต่งหรือผู้รวบรวมได้ทำให้เห็นว่า เนื้อหาที่ดำเนินมาตลอดเป็นเรื่องคู่กัน หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นเรื่องของการเกิดแต่ละชาติที่ต่อเนื่องกัน
เรื่องพระรถเมรีจะมีกระจายอยู่ตามท้องถิ่น ทั้งในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และภาคอีสานของไทย ส่วนเรื่องพระสุธน-มโนราห์เป็นการแสดงของท้องถิ่นภาคใต้ เรื่อยไปจนตลอดแหลมมลายู ผู้คนส่วนใหญ่จึงรู้จักว่า การรำมโนราห์ หรือโนรา เป็นการแสดงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้
แต่เรื่อง พระสุธน-มโนราห์ เป็นเรื่องที่มีเค้ามาจากชาดก ซึ่งเป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนา จึงแพร่หลายทั่วไปในทุกๆ ภาคของประเทศไทย
การฟ้อนชุดมโนราห์เล่นน้ำ จึงจับเอาตอนที่มโนราห์และพี่ๆ ทั้งหก มาเล่นน้ำที่สระโบกขรณี เมื่อนายพรานป่ามาพบเห็นกินรีเล่นน้ำอยู่ จึงอยากจะจับไปถวายแก่ท้าวสีทน การฟ้อนชุดมโนราห์เล่นน้ำ ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสานประกอบการฟ้อน ซึ่งแตกต่างจากการรำมโนราห์บูชายันต์ของภาคกลาง หรือการรำโนราของทางภาคใต้ การฟ้อนชุดนี้จะแสดงให้เห็นถึงกริยาอาการของกินรี ในการอาบน้ำ ขัดถูตัว ซึ่งมีท่าฟ้อนที่อ่อนช้อยสวยงาม และเร้าใจไปพร้อมๆ กัน จะจบลงเมื่อนายพรานจับตัวมโนราห์ได้แล้ว
การฟ้อนชุดมโนราห์เล่นน้ำ นี้ ได้นำท่าฟ้อนของเก่าทั้งหมด ที่ใช้อยู่ในท่าฟ้อนของหมอลำเพลิน หรือลำกกขาขาว และการลำสังข์ศิลป์ชัยมาปรับปรุง ให้สอดคล้องกับการเล่นน้ำของนางมโนราห์ โดยอาจารย์ฉวีวรรณ ดำเนิน ออกแบบเครื่องแต่งกาย จัดท่าทำนองโดย อาจารย์ทองคำ ไทยกล้า และ อาจารย์ทรงศักดิ์ ประทุมสินธุ์ ปรับปรุงตกแต่งความกลมกลืนของท่าฟ้อน ลายทำนองเพลงเครื่องแต่งกายโดย อาจารย์จีรพล เพชรสม
เครื่องแต่งกาย
- ชุดการแสดงของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม ใส่เสื้อรัดอกไม่มีแขน ใส่กรองคอสีดำขลิบทอง ใช้ผ้าสีทองรัดเอว คาดเข็มขัดสีทองทับ ใส่ปีกและหาง ผมเกล้ามวยใส่เกี้ยวยอดแหลมครอบทับมวยผม
- ชุดการแสดงของวิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ดและกาฬสินธุ์ ใช้ผ้าถุงลายทางลง ใส้เสื้อแขนสั้นสีเหลืองเดินเส้นสีทอง คาดเข็มขัดทอง ใส่ปีกผ้าแก้วเดินเส้นทองเป็นลายปีก ใส่หาง ผมเกล้ามวยใส่มงกุฏ
ฟ้อนมโนราห์เล่นน้ำ
เครื่องดนตรี
- ชุดการแสดงของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสานโปงลางลายนกไซบินข้ามทุ่ง
- ชุดการแสดงของวิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ดและกาฬสินธุ์ ใช้ลายลำเพลินซึ่งเป็นทำนองการขับร้องอยู่ในหมอลำเรื่อง แต่เป็นทำนองลำเพลิน
ฟ้อนสังข์ศิลป์ไซ
ฟ้อนสังข์ศิลป์ไซ ประดิษฐ์ขึ้นโดยวิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด สังข์ศิลป์ชัย เป็นนิทานพื้นบ้านที่รู้จักกันแพร่หลายในภาคอีสานของไทย ในชื่อเรื่อง สินไชย หรือ ศิลป์ชัย หรือ สินไซ และยังเป็นนิทานพื้นบ้านที่รู้จักกันแพร่หลายในท้องถิ่นอื่นๆ ของประเทศไทยอีกด้วย เรื่องมีอยู่ว่า "ท้าวกุศราชครองเมืองปัญจาล มีมเหสีชื่อ นางจันทาเทวี และมีน้องสาวชื่อสุมณฑา เมื่อนางสุมณฑาอายุได้ 17 ปี ได้ถูกยักษ์ชื่อ กุมภัณฑ์ แห่งเมืองอโนราชลักพาตัวไป ท้าวกุศราชจึงได้ปลอมตัวเป็นพระภิกษุออกไปสืบหานางสุมณฑาไปจนถึงเมืองจำปา และได้ลูกสาวทั้ง 7 ของเศรษฐีเมืองจำปามาเป็นมเหสีต่อจากนางจันทา แล้วได้จัดการประชุมมเหสีทั้ง 8 ว่า ต้องการมีลูกชายผู้มีฤทธิ์เดช เพื่อจะไปปราบยักษ์ชิงเอาตัวน้องสาวกลับคืนมา
พระอินทร์จึงให้เทวดาตนหนึ่งมาเกิดในท้องของนางจันทา ซึ่งเมื่อคลอดออกมาเป็นราชสีห์ใช้ชื่อว่า ท้าวสีโห และให้เทวดาอีก 2 ตนไปเกิดในท้องของมเหสีคนที่ 8 เมื่อคลอดออกมาเป็นฝาแฝดชื่อว่า สินไชและหอยสังข์ ส่วนมเหสีทั้งหกคนมีลูกเป็นคนธรรมไม่มีฤทธิอะไร มเหสีทั้งหกจึงตัดสินบนโหรให้ทำนายว่าลูกของนางจันทาและมเหสีคนที่ 8 เป็นลูกกาลิณี ท้าวกุศราชจึงเนรเทศออกไปจากเมือง
ต่อมากุมารลูกมเหสีทั้งหกโตเป็นหนุ่ม แล้วออกไปเรียนวิชา ได้พบสินไชเข้า และกลับมาโกหกพ่อว่า พวกตนเรียนวิชาสำเร็จแล้ว ท้าวกุศราชจึงสั่งให้ทั้งหกคนไปตามหานางสุมณฑา กุมารทั้งหกจึงไปโกหกสินไชว่า พ่อให้ไปตามอา สินไชเชื่อจึงออกเดินทางโดยมีสีโหเดินทางตามไปอารักขา บนบกผ่านดงดอนและภูเขา ส่วนสังข์ทองไปทางน้ำเพื่ออารักขาสินไช การเดินทางไปนั้นสินไชต้องทำศึกกับงูซวง และยักษ์ตามทาง และไปเที่ยวชมป่าหิมพานต์ ซึ่งเรียกว่า ตอนสินไชเดินดง มีกลอนอยู่ว่า
"เว้าท่อนี้กลอนใหม่มาสับ เอาเดินดงมารับเบิ่งแดนดอกไม้ ศิลป์ชัยเจ้าสีโหอ้ายพี่สังข์ทองน้อยตามก้นบ่ไกล ชมเบิ่งไม้ต้นต่ำลำหนา วาโยพัดแก่งมาเชยก้าน นานหลายมื้อหลายวันล้ำล่วง สังข์กะเป็นห่วงเจ้าองค์เหง่าอยู่ไส หยับเข้ามาใกล้ถึงด่านกินรี ศิลป์ชัยมาเล่าซบนางน้อย กินรีสร้อยสาวงามฟ้อนแอ่น แขนเนือดน้าวในน้ำแก่งหาง น้ำฟาดป้างบาเล่าเชยชม โจมนางงามกอดมาชมกั้วมัวมิ่นหน้าสีโหยังอยู่ บากะคอยแต่น้องเดินได้ไต่ตาม ฮอดแม่น้ำศิลป์เล่าแปงขัว แล้วจึงพากันยกฝั่งชลเลยมั้น ลมใส่ต้องตองแกดังควก ต้นไม้แห้งขลู้มใส่ดิน ใบไม้ปิ้นลมปีนตีนตบ ใบตลบตามลมแก่งใบนวยค้อม คอมกวยน้าวกานกวยแก่ง เป็นละแห่งแตงเต้าถั่วงา
หน่อยบ่ช้าถึงด่านงูซวง ศิลป์ชัยแปลงดาบลงเทียมข้าง งูซวงม้างพาชีเลยฟาด มาขจัดตามกล้าเป็นถิ่นเคิ่งกลาง งูซวงม้างหลดชั่วชีวา สามบกดัดล่วงเลยไปหน้า มาเถิงแล้วหอปางยักษ์ใหญ่ สุมณฑาหน่อไท้นอนนิ่งอยู่ใน ยักษ์นั้นได้เดินเที่ยวหากิน ศิลป์ชัยดักล่วงเถิงผาแก้ว ไปเถิงแล้ววาจาเชิงหลอก บอกว่าขอเข้าซ้นเทียมได้บ่ดาย อาเคืองฮ้ายอ้ายบ่าวทางได๋สิมาเสียชีวีบ่ดีนาท้าว ศิลป์ชัยห้าวผญาตอยเต้ยใส่ อากะเลยใคร่รู้ศิลป์ท้าวว่าหลาน หลานบ่ย้านหรือจึ่งเดินเถิง ศิลป์ชัยพระกล่าวจายอต้าน หลานสิมาเอาเจ้าเอ้ยให้กลับต่าง ขอให้กลับต่างบ้านเมืองก้วงแต่หลัง อายั่งย้อยน้ำตาหลั่งโฮมไหล โจมเอาหลานกอดมาดมแก้ม อาบ่คืนเมื่อแหล่วเบ็งจาญบ้านเก่า ศิลป์กะเลยจากเว้าควมกล้าด่าผลาญ ถ้าหากเจ้าอามิ่งขืนคำ บอกว่าชีวามุดมอดไปวันนี้ พอดีได้ศิลป์ชัยยอดาบเหลือบมาบโม้งผ่าฝืน คันบ่คืนเมืองพร้อมสิฟันอาขาดท่อง"
ฟ้อนสังข์สินไซ
เรื่องสังข์ศิลป์ชัยนี้ หมอลำหมู่นิยมนำเรื่องราวไปแสดง ท่าฟ้อนชุดสังข์ศิลป์ชัยได้ปรับปรุงมาจากท่าฟ้อนของหมอลำหมู่ หรือที่เรียกว่า ลำกกขาขาว ซึ่งในตอนชมดงจะใช้ทำนองคล้ายทำนองลำเพลิน ซึ่งเป็นตอนที่มีทำนองเร้าใจแตกต่างจากการลำเล่าเรื่องธรรมดา และตอนชมดงจะเป็นตอนที่สนุกสนานที่สุดของเรื่อง จึงได้นำทำนองชมดงมาจัดทำเป็นชุดฟ้อน
เครื่องแต่งกาย
การแต่งกายจะแบ่งผู้แสดงหญิงออกเป็น 2 ฝ่าย ใช้ผ้าแพรวาบ้านโพน และผ้าถุงมัดหมี่ไหมใช้ผ้าขิดผูกเอว เกล้าผมมวยคาดผ้าแพรมน ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งใช้ผ้าสไบเวียงและผ้าถุงเวียงลายใหญ่ใช้ผ้าขิดผูกเอว เกล้าผมมวยคาดด้วยผ้าขิด
เครื่องดนตรี
ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ลายสังข์ศิลป์ชัย
ฟ้อนสังข์ศิลป์ชัย วงโปงลางวิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด
คลิกไปอ่าน การฟ้อนเพื่อเซ่นบวงสรวงบัดพลีหรือบูชา
- Details
- Written by: Webmaster
- Category: Isan Dance
- Hits: 14027
การฟ้อนพื้นบ้านแบบต่างๆ
ศิลปการฟ้อนรำของชาวอีสาน มีหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละถิ่น ตามอิทธิพลของกลุ่มชนพื้นเมืองในละแวกนั้นๆ เช่น ทางอีสานใต้ก็จะมีอิทธิพลของเขมรปะปนอยู่มาก ทางด้านเหนือก็มีอิทธิพลจากทางล้านช้าง ทางสกลนคร นครพนม มุกดาหารก็มีชนเผ่าพื้นเมืองในถิ่นนั้นเช่น ย้อ โซ้ ภูไท อย่างไรก็ตามเราก็พอจะจำแนกการฟ้อนออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้
รวมเผ่าไทยบุรีรัมย์
จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นจังหวัดหนึ่งที่อยู่ในเขตอีสานใต้ มีประชาชนหลายกลุ่มอาศัยอยู่ภายในจังหวัด ซึ่งแต่ละกลุ่มมีภาษาถิ่นเป็นของตนเอง คือ ภาษาไทยโคราช ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่พูดสำเนียงภาษาไทยโคราช ส่วนใหญ่อาศัยอยู่แถบอำเภอนางรอง หนองกี่ ส่วนกลุ่มที่ใช้ภาษาลาว อาศัยอยู่แถบอำเภอพุทไธสง กลุ่มที่ใช้ภาษาเขมร อาศัยอยู่ในแถบอำเภอประโคนชัย อำเภอบ้านกรวด และอำเภอละหานทราย และกลุ่มที่ใช้ภาษาส่วย คือกลุ่มที่อาศัยอยู่แถบอำเภอสตึก
ทางภาควิชานาฏศิลป์ วิทยาลัยครูบุรีรัมย์ เห็นว่า ชนทั้ง 4 กลุ่มที่อาศัยอยู่ในจังหวัดบุรีรัมย์ ถ้าสามารถนำมาผสมผสานให้อยู่ในรูปของการแสดงโดยอาศัยเพลง คำร้อง และท่าทางด้านนาฏศิลป์ เป็นเครื่องชักจูงให้เกิดการรวมกลุ่มและความสามัคคีกลมเกลียวกันของคนทั้ง 4 กลุ่มอีกด้วย การแสดงชุดรวมเผ่าไทยบุรีรัมย์จะใช้ผู้หญิงแสดงล้วนเผ่าละ 2 คน การแต่งกายของแต่ละเผ่าดังนี้
- กลุ่มพูดภาษาไทยโคราช ใช้เสื้อคอกลมแขนสั้นนุ่งโจงกระเบน มีผ้าขาวม้าคาดเอว เกล้าผมสูง ไม่ใส่เครื่องประดับ
- กลุ่มพูดภาษาลาว ใช้ผ้าขาวม้ารัดอก ปล่อยชาย นุ่งซิ่นมีเชิง เกล้าผมสูงทัดดอกไม้
- กลุ่มพูดภาษาเขมร ใช้เสื้อคอกลมแขนกระบอก ห่มผ้าสไบสีสด นุ่งโจงกระเบนคาดเข็มขัดทับ
- กลุ่มพูดภาษาส่วย ใช้เสื้อคอกลมแขนกระบอก นุ่งซิ่นยาวมีเชิง มีผ้าสไบเฉียงบ่าผูกเป็นโบว์ และทัดดอกไม้ขาว 2 ข้าง
เพลงที่ใช้ประกอบการฟ้อน ของกลุ่มที่พูดภาษาโคราชจะใช้ทำนองเพลงโคราช กลุ่มที่พูดภาษาลาวใช้ทำนองเพลงโปงลาง กลุ่มภาษาเขมรใช้ทำนองแกวนอ กลุ่มที่พูดภาษาส่วยใช้ทำนองเพลงโมเวยงูดตึก และเพลงรวมใช้ทำนองเพลงอาไยจ๊ะส์ บทร้องการแสดงชุดรวมเผ่าไทยบุรีรัมย์แต่งโดย สงบ บุญคล้าย และพิเชษ ชัยพร (ผกา เบญจกาญจน์. ม.ป.ป. : 11-15)
เพลงรวมเผ่าไทยบุรีรัมย์โดย : สงบ บุญคล้าย และพิเชษ ชัยพร
|
||
เพลงที่ 1 | จะเอื้อนเอ่ยคำเป็นทำนองไทยเบิ้ง ให้คึกคักร่าเริง บันเทิงอารมณ์ กลุ่มไทยนางรอง ปรองดองสุขสม พรักพร้อมเกลียวกลม ป่านิยมสมไทย | |
เพลงที่ 2 | ในภาคพื้นเมืองใหญ่บุรีรัมย์ ซุมไทยลาวอยู่เนานานวัน (ซ้ำ) ซ่อยกันสร้างนาสวนฮัวไฮ่ เฮาทุกคนไม่แล้งน้ำใจ อยู่กันไปตามลำน้ำมูล | |
เพลงที่ 3 | บอง ป โอนโกนเจา สัจเซียมเผ่าพงศ์ แจ๊ะเทอแจ๊ะดำ รวมขลวนเดนียเกิด |
สรกราว สรกกน็อง กือเซียมเจือบเจ็ด ยูรฉนำกำเนิด เสราะแซร์ยแซมร์เซียม |
เพลงที่ 4 | นุเพะแซมซายไฮมวง กูเปอเวาเบอเจอปนาย มอไฮกูลาปะซากุย แนคือมอไฮไทกวย |
ตะโปนคลวงกวยเทาเนาปาย จังฮายฮือซัลระคัลคะเนีย ดิงจูย ดึงจา ดิงบาย บางคนเรียกว่าส่วยก็มี |
เพลงที่ 5 | ชุมชนเผ่าไทย ผ้าไหมงามล้ำ งามประสาทหิน จึงเสริมส่งให้ |
เมืองใหญ่บุรีรัมย์ วัฒนธรรมงามวิไล ถิ่นภูเขาไฟ ชาติไทยพัฒนา |
รวมเผ่าไทยบุรีรัมย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เผ่าไทยโคราช
การแสดงชุดนี้ประดิษฐ์ขึ้นโดย วิทยาลัยครูนครราชสีมา (มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ปัจจุบัน) ซึ่งมีคนเชื้อสายต่างๆ อาศัยอยู่ ลักษณะของคนไทยในโคราชหรือในจังหวัดนครราชสีมามีเชื้อสายที่สำคัญๆ 4 เผ่า คือ เขมร มอญ ลาว ไทย
- กลุ่มคนที่พูดภาษาลาว อาศัยอยู่ในแถบอำเภอบัวใหญ่ ประทายและสูงเนิน
- กลุ่มคนที่พูดภาษามอญและเขมร อาศัยอยู่ในแถบอำเภอปักธงชัย
- และคนที่พูดภาษาไทยโคราช กระจายอยู่ทั่วไปทุกๆ อำเภอในจังหวัดนครราชสีมา
ฟ้อนไทโคราช ห้วยเกิ้ง
ฟ้อนผู้ไท 3 เผ่า - ฟ้อนเผ่าไทยภูพาน | รวมเผ่าไทยบุรีรัมย์ - เผ่าไทยโคราช
คลิกไปอ่าน การฟ้อนอันเนื่องมาจากวรรณกรรม
- Details
- Written by: Webmaster
- Category: Isan Dance
- Hits: 24321
การฟ้อนพื้นบ้านแบบต่างๆ
ศิลปการฟ้อนรำของชาวอีสาน มีหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละถิ่น ตามอิทธิพลของกลุ่มชนพื้นเมืองในละแวกนั้นๆ เช่น ทางอีสานใต้ก็จะมีอิทธิพลของเขมรปะปนอยู่มาก ทางด้านเหนือก็มีอิทธิพลจากทางล้านช้าง ทางสกลนคร นครพนม มุกดาหารก็มีชนเผ่าพื้นเมืองในถิ่นนั้นเช่น ย้อ โซ้ ภูไท อย่างไรก็ตามเราก็พอจะจำแนกการฟ้อนออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่ในภาคต่างๆ ของประเทศเป็นจำนวนมาก นอกเหนือไปจากชาวจีน ชาวเขา ชาวไทยมุสลิม ชาวมอญ และชาวญวณอพยพที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว ยังมีชนกลุ่มน้อยที่กระจัดกระจายอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีก เช่น ภูไท กะเลิง ย้อ แสก โส้ โย้ย ฯลฯ
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้เสด็จไปตรวจราชการมณฑลอุดร และอีสาน ในปี พ.ศ. 2447 ซึ่งกล่าวถึงคนต่างจำพวกไว้ว่า
"พวกพลเมืองในมณฑลอุดรและมณฑลอีสาน ที่ฉันไปพบมีไทยลานช้างเป็นพื้น แต่ยังมีคนจำพวกอื่นที่ผิดกับไทยลานช้าง และมีชื่อเรียกเป็นอย่างอื่นๆ ต่างหากอีกหลายจำพวก ฉันได้ลองไถ่ถามดูได้ความว่ามี 8 จำพวกต่างกันคือ
- พวกผู้ไท ถิ่นเดิมอยู่ทางเมืองพวนข้างฝ่ายเหนือพูดภาษาไทย ใช้ถ้อยคำผิดกับไทยลานช้างบ้าง และเสียงแปร่งไปอย่างหนึ่ง ฉันพบตามเมืองต่างๆ ในสองมณฑลนั้นหลายแห่ง แต่ที่เรณูนคร ขึ้นเมืองสกลนครดูจะมีมากกว่าที่อื่นๆ
- พวกกะเลิง พบในแขวงจังหวัดสกลนครมีมากกว่า ถิ่นเดิมอยู่เมืองกะตาก
- พวกย้อ พบที่เมืองท่าอุเทน พูดภาษาไทยได้แต่สำเนียงแปร่งไปอีกอย่างหนึ่ง ถามถึงถิ่นเดิมว่าอยู่เมืองชัยบุรี ใกล้กับเมืองท่าอุเทนนั่นเอง
- พวกแสก อยู่ที่เมืองอาจสามารถ ขึ้นเมืองนครพนมว่าถิ่นเดิมอยู่ทางฝั่งซ้ายใกล้เชิงเขาบรรทัดต่อแดนญวณ
- พวกโย้ย อยู่ที่เมืองอากาศอำนวย ขึ้นเมืองสกลนครถามไม่ได้ความว่าถิ่นเดิมอยู่ที่ไหน
- พวกกะตาก พบที่เมืองสกลนคร ว่ามีแต่แห่งละเล็กละน้อย สืบไม่ได้ความว่าถิ่นเดิมอยู่ที่ไหน
- พวกกะโซ้
- พวกเขมรป่าดง สอบได้ความว่าอาศัยอยู่เมืองสุรินทร์ เมืองสังคะ เมืองขุขันธ์ เมืองศรีสะเกษ และอำเภอประโคนชัย จังหวัดนครราชสีมา"
ชุดฟ้อนชุมชนเผ่าต่างๆ จึงได้มีการประดิษฐ์ขึ้นโดยได้แนวคิดมาจาก การฟ้อนชุดชุมชนเผ่าไทยของทางภาคกลาง ชุดฟ้อนชุมชนเผ่าต่างๆ ชุดแรกเป็น เซิ้งเก้าเผ่า ซึ่งเป็นการประดิษฐ์โดย อาจารย์พนอ กำเนิดกาญจน์ วิทยาลัยครูอุดรธานี ซึ่งประกอบไปด้วยเผ่าต่างๆ 9 เผ่า ดังนี้ ไทยพวน ข่าสาละวัน แม้ว ผู้ไท ล้านช้าง ไทยดำ ไทยย้อ ไทยเวียงจันทน์ และข่ากะโส้
ต่อมา ได้มีการพัฒนาชุดฟ้อนขึ้นใหม่อีก 5 ชุด ได้แก่ ฟ้อนผู้ไท 3 เผ่า เผ่าไทยภูพาน รวมเผ่าไทยบุรีรัมย์ รวมเผ่าไทยมุกดาหาร และเผ่าไทยโคราช
ฟ้อนผู้ไท 3 เผ่า
ชาวผู้ไท เป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย แต่เดิมนั้นชาวผู้ไทตั้งบ้านเรือนอยู่แถบสิบสองจุไทย คือ บริเวณลาวตอนเหนือ บางส่วนของเวียตนามเหนือ และทางตอนใต้ของจีน มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองไล เมืองแถง เรียกว่า ผู้ไทดำ ชาวผุ้ไทสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ถึงแม้จะมีผู้แบ่งเป็นกลุ่มผู้ไทแดงและผู้ไทลาย แต่ก็ไม่มีประวัติชัดเจน (ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ. 2526 : 2) ชาวผู้ไทยที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยนั้นส่วนใหญ่มาจากเมืองวัง และเมืองตะโปน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองสวันเขต ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในปัจจุบัน และแยกย้ายกันตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณเทือกเขาภูพานในเขต 3 จังหวัด คือ
- ชาวผู้ไทจังหวัดกาฬสินธุ์ อาศัยอยู่ในเขตอำเภอเขาวง อำเภอกุฉินารายณ์ อำเภอสหัสขันธุ์ อำเภอคำม่วง
- ชาวผู้ไทจังหวัดสกลนคร อยู่ในอำเภอพรรณานิคม อำเภอวาริชภูมิ
- ชาวผู้ไทจังหวัดนครพนม อยู่ในอำเภอเรณูนคร อำเภอคำชะอี อำเภอหนองสูง
การฟ้อนผู้ไทนั้น เริ่มมีมาในสมัยที่เริ่มสร้าง พระธาตุเชิงชุม จังหวัดสกลนคร ผู้ไทเป็นชนเผ่าที่รับอาสาที่จะเป็นผู้ปฏิบัติรักษา หาเครื่องสักการะบูชาพระธาตุทุกๆ ปีเมื่อถึงฤดูข้าวออกรวงกำลังแก่ จะมีการเก็บเกี่ยวข้าวบางส่วนมาทำข้าวเม่า ชาวผู้ไทจะนำข้าวเม่ามาถวายสักการะบูชาพระธาตุเชิงชุม การนำข้าวเม่ามาถวายพระธาตุนั้น เรียกว่า "แห่ข้าวเม่า" จะมีขบวนฟ้อนรอบๆ พระธาตุ ผู้ฟ้อนเป็นหญิงล้วน ผู้หญิงแต่งตัวพื้นเมือง ใส่เล็บยาว ผู้ชายเล่นดนตรี เช่น กลองเส็ง กลองยาว ตะโพน รำมะนา ฉิ่งฉาบ เป็นต้น (พนอ กำเนิดกาญจน์. 2519:38)
ต่อมาชาวผู้ไทในท้องถิ่นอื่นได้มาเห็น จึงได้นำไปประยุกต์ท่าฟ้อนให้สวยงาม และมีการแต่งเนื้อร้องประกอบการฟ้อนขึ้น การฟ้อนผู้ไท 3 เผ่า ประกอบด้วย
- ฟ้อนผู้ไทจังหวัดนครพนม เป็นฟ้อนที่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีคือ การฟ้อนผู้ไทของอำเภอเรณูนคร จนถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดนครพนม ในปี พ.ศ. 2498 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จมานมัสการพระธาตุพนม นายสง่า จันทรสาขา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมในสมัยนั้นได้จัดให้มีการฟ้อนผู้ไทถวาย โดยมีนายคำนึง อินทร์ติยะ ศึกษาธิการอำเภอเรณูนคร ได้ปรับปรุงท่าฟ้อนผู้ไทให้สวยงามกว่าเดิม โดยเชิญผู้สูงอายุที่มีประสบการณ์ในการฟ้อนผู้ไทมาให้คำแนะนำ จนกลายเป็นท่าฟ้อนแบบแผนของชาวเรณูนคร
ได้ถ่ายทอดให้แก่ลูกหลานสืบทอดต่อมา ท่าฟ้อนผู้ไทได้แก่ ท่าเตรียม ท่านกกระบาบิน ท่าลำเพลิน ท่ากาเต้นก้อน ท่ารำม้วน ท่าฉาย ท่ารำส่าย ท่ารำบูชา ท่าก้อนข้าวเย็น ท่าเสือออกเหล่า ท่าจระเข้ฟาดหาง ซึ่งการฟ้อนจัดเป็นคู่ๆ ใช้ชายจริงหญิงแท้ตั้งแต่ 10 คู่ขึ้นไป เครื่องดนตรีประกอบด้วย กลองกิ่ง กลองแตะ กลองยาว ฆ้องโหม่ง พังฮาด และกั๊บแก๊บ
สำหรับเครื่องแต่งกาย ฝ่ายหญิงนิยมใช้เสื้อสีน้ำเงินเข้มขลิบสีแดงทั้งเสื้อและผ้าถุง ผ้าสไบสีขาว เครื่องประดับใช้เครื่องเงินตั้งแต่ตุ้มหู สร้อยคอกำไลเงิน ผมเกล้ามวยสูงทัดดอกไม้สีขาว ห่มผ้าเบี่ยงสีขาว ซึ่งปัจจุบันใช้ผ้าถักสีขาว ส่วนผู้ชายจะใส่เสื้อม่อฮ่อมขลิบผ้าแดงนุ่งกางเกงขาก๊วยมีผ้าคาดเอวและโพกศีรษะ เครื่องแต่งกาย จะใส่เสื้อสีดำ ผ้าถุงดำขลิบแดง สวมเล็บทำด้วยโลหะหรือบางแห่งใช้กระดาษทำเป็นเส้นมีพู่ตรงปลายสีแดง ห่มผ้าเบี่ยงสีแดง ผมเกล้ามวยทัดดอกไม้สีขาว บางครั้งผูกด้วยผ้าสีแดงแทน ในปัจจุบันพบว่า เสื้อผ้าชุดฟ้อนผู้ไทจังหวัดสกลนครได้เปลี่ยนไปบ้าง คือ ใช้เสื้อสีแดงขลิบสีดำ ผ้าถุงสีดำมีเชิง ผ้าเบี่ยงอาจใช้เชิงผ้าตีนซิ่นมาห่มแทน
- ฟ้อนผู้ไทจังหวัดกาฬสินธุ์ มีลักษณะการแต่งกายแตกต่างจากฟ้อนผู้ไทในถิ่นอื่น จะสวมเสื้อสีดำขลิบด้วยผ้าขิด ห่มผ้าแพรวา นุ่งผ้าถุงมัดหมี่มีเชิง ลีลาการฟ้อนได้รับการผสมผสานจากท่าฟ้อนผู้ไท และเซิ้งบั้งไฟ ท่าฟ้อนจะเริ่มจากท่าฟ้อนไหว้ครู ท่าเดิน ท่าช่อม่วง ท่ามโนราห์ ท่าดอกบัวบาน ท่ามยุรี ท่ามาลัยแก้ว โดยใช้ผู้หญิงฟ้อนล้วนๆ ฟ้อนผู้ไทของกาฬสินธุ์จะมีการขับลำประกอบเรียกว่า "ลำภูไท" ฟ้อนผู้ไท 3 เผ่าเป็นการประยุกต์การฟ้อนผู้ไทของทั้ง 3 ถิ่น ให้เห็นถึงลีลาการฟ้อนที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละถิ่น ซึ่งการฟ้อนผู้ไท 3 เผ่าจะแสดงให้เห็นถึงลักษณะร่วมกันของชาวผู้ไททั้ง 3 เผ่า
ฟ้อนผู้ไท 3 เผ่าจะเริ่มจากฟ้อนผู้ไทกาฬสินธุ์ ผู้ไทสกลนคร และผู้ไทเรณูนคร ในการฟ้อนผู้ไท 3 เผ่านี้จะเพิ่มผู้ชายฟ้อนประกอบทั้ง 3 เผ่า มีการโชว์ลีลาของรำมวยโบราณต่อสู้ระหว่างเผ่า และ/หรือการเกี้ยวพาราสีกันระหว่างชายหญิง
การฟ้อนภูไทสามเผ่า
ฟ้อนชุดเผ่าไทยภูพาน
บริเวณเทือกเขาภูพานซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนมและอุดรธานี นับเป็นเทือกเขาภูพานที่มีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่หลายเผ่าด้วยกัน
- เผ่าผู้ไท ซึ่งเดิมอาศัยอยู่แถบเมืองแถง ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า สิบสองเจ้าไทย หรือ สิบสองจุไทย หรือสิบสองภูไท ต่อมาได้เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองไทยนั้น ส่วนใหญ่ถูกกวาดต้อนมาในคราวที่ไทยกวาดต้อนผู้คนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงในคราวกบฏเจ้าอนุวงศ์ ปัจจุบัน ชาวผู้ไทตั้งบ้านเรือนอยู่ในท้องที่อำเภอวาริชภูมิ และอำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร อำเภอธาตุพนม อำเภอเรณูนคร อำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม และอำเภอกุฉินารายณ์ อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์
- เผ่าแสก เดิมอาศัยอยู่แถบเทือกเขาบรรทัดต่อแดนญวณ ต่อมาชาวแสกเห็นว่าที่อยู่เดิมไม่ค่อยจะอุดมสมบูรณ์ จึงอพยพข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ฝั่งไทย ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง แต่ก็มีพวกพ้องพอใจกับความอุดมสมบูรณ์ก็เลยตั้งรกรากตามระยะทางที่อพยพมา จึงมีชาวแสกบางส่วนอาศัยอยู่ในประเทศลาว พวกที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยนั้นตั้งบ้านเรือนอยู่ที่อาจสามารถ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม และในคราวกบฏเจ้าอนุวงศ์ไทยได้กวาดต้อนชาวแสกเข้ามาอีกจำนวนหนึ่ง เดิมชาวแสกมีเจ้าเมืองปกครองตนเอง และไม่ได้ขึ้นต่อหัวเมืองต่างๆ แต่ก็ต้องส่งส่วยให้กับกรุงเทพฯ ปัจจุบันชาวแสกอาศัยอยู่มากที่ บ้านอาจสามารถ บ้านไผ่ล้อม บ้านมะหว้า และบ้านดอนส้มมอ อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม
- เผ่าโส้ ถิ่นเดิมอาศัยอยู่แถบเมืองมหาชัยกรองแก้ว ในประเทศลาว อพยพและถูกกวาดต้อนเข้ามาอาศัยอยู่ในภาคอีสานของไทย มีภาษาพูดคล้ายภาษามอญปนเขมร อาศัยอยู่มากที่อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร อำเภอศรีสงคราม กิ่งอำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม
- เผ่าย้อ เดิมตั้งถิ่นฐานแถบเมืองคำเกิด คำม่วง ขึ้นอยู่ในความปกครองของนครเวียงจันทน์ ต่อมาเวียงจันทน์ตกเป็นของไทย ราวปี พ.ศ. 2379 เจ้าเมืองคำเกิดจึงสวามิภักดิ์ต่อกรุงเทพฯ และอพยพราษฎรจากเมืองคำเกิด คำม่วน มาตั้งถิ่นฐานในประเทสไทย พวกที่มาถึงก่อนก็ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณจังหวัดนครพนม สกลนคร มุกดาหาร อุดรธานี กาฬสินธุ์ และมหาสารคาม
- เผ่ากะเลิง มีถิ่นฐานเดิมอยู่เมืองกะตาก แต่ไม่รู้ว่าเมืองกะตากอยู่ที่ไหน ส่วนมากอาศัยอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร ที่บ้านเชิงชุม ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม
นอกจากนี้ ยังมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ พวกโย้ย และกะตาก ซึ่งมีอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น การฟ้อนชุดเผ่าไทยภูพานจึงได้นำเอาชนกลุ่มน้อยพวกต่างๆ 5 กลุ่ม ข้างต้นมาจัดทำเป็นชุดฟ้อน พร้อมมีเนื้อร้องประกอบอธิบายให้ทราบถึงที่มาของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ พร้อมหลักแหล่งอาศัยในปัจจุบัน ซึ่งในปัจจุบันชนกลุ่มน้อยต่างๆ เหล่านี้ก็มีลักษณะไม่แตกต่างจากชาวอีสานโดยทั่วๆ ไป การฟ้อนชุดนี้ใช้ผู้แสดงเป็นหญิง 10 คน โดยใช้ผู้แสดงเผ่าละ 2 คน
ฟ้อนเผ่าไทยภูพาน
เครื่องแต่งกายชุดฟ้อนเผ่าไทยภูพาน
กลุ่มแรกชุดผู้ไท สวมเสื้อแขนกระบอกเข้ารูปสีดำ ขลิบสีแดง เสื้อผ่าอกตลอด ติดกระดุมสีขาวเรียงเป็นแถว ตั้งแต่คอจนถึงเอว ชายเสื้อด้านหน้าแยกจากกัน ผ้านุ่งสีดำยาวต่อเชิงด้วยผ้าขิด สวมเล็บมือทั้งสิบเล็บ ปลายเล็บมีพู่ เกล้าผมสูงเอียงซ้าย คาดผ้าสีแดงปล่อยชายลงข้าง ห่มสไบผ้าขิด
กลุ่มที่สองชุดกะเลิง สวมเสื้อแขนสั้น คอรูปตัวยู จีบรูดรอบๆ คอ นุ่งผ้าหมี่สั้นยาวกรอมเท้า คาดเข็มขัดเงิน เกล้าผมมวย สวมเครื่องประดับเงิน
กลุ่มที่สามชุดย้อ ใช้ผ้าขาวม้าคาดอกเก็บชาย นุ่งผ้าซิ่นหมี่สั้นมีเชิง ผ้าขาวม้าคาดเอวห้อยชายข้างซ้าย เกล้าผม เครื่องประดับทำด้วยเงิน เช่น กำไล ตุ้มหู
กลุ่มที่สี่ชุดโส้ เสื้อสีแดงทรงตรง ยาวแค่ตะโพก แขนยาวแค่ข้อศอก คอเสื้อแหลมป้ายข้างขลิบชายเสื้อด้วยสีดำ ติดกระดุมเรียงกัน นุ่งผ้าซิ่นหมี่มีเชิง ห่มสไบตวัดลงข้างหน้า เกล้าผมคาดด้วยสีขาว เครื่องประดับทำด้วยเงิน ได้แก่ สร้อยคอ ตุ้มหู กำไลแขน กำไลเท้า
กลุ่มที่ห้าชุดแสก เสื้อขาวแขนกระบอกขลิบดำหรือน้ำเงิน ติดกระดุมเรียงถี่ๆ นุ่งผ้าซิ่นหมี่ทับเสื้อ คาดเข็มขัดเงิน เกล้าผม มีเครื่องประดับทำด้วยเงินที่ข้อมือข้อเท้า
เครื่องดนตรี
ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสาน เพลงผู้ไท เพลงเต้ยโขง เพลงแมงตับเต่า เพลงบ้งไต่ขอน เพลงลำเพลินและเพลงลำยาว
เพลงรำเผ่าไทยภูพานผู้แต่ง : วิรัช บุษยกุล (วิทยาลัยครูสกลนคร)
(ผู้ไท) ซุมข้าน้อยเป็นชาวภูไท ถิ่นอยู่ไกลอีสานบ้านเกิด แสนประเสริฐอุดมสมบูรณ์ ศูนย์โอมใจคือองค์พระธาตุ สาวน้อยนางเอย สาวภูไทเอย (กะเลิง) ซุมข้าน้อยสาวกะเลิงน้อยอ่อน มาอยู่สกลนคร บ่อนดินดำน้ำซุ่ม แถบที่ลุ่มน้ำใหญ่แม่นหนองหารนี้ละนา (ย้อ) ซุมข้าน้อยกะคือไทยย้อ บ่อนอยู่ม่อเมืองท่าอุเทน มาหลายเซ่นหลายซั่วลูกหลาน ข้าวปลาอาหารบ่อึดบ่อยาก มาได้มากพออยู่พอมี ของแซบอีหลี่แม่นปลาแดกอึ่ง (โส้) หมู่ข้าน้อยไทยโส้กุสุมาลย์ เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ที่ฮาบลุ่มเขาภูพาน ติดเขตแดนหนองหาร อยู่สำราญกันตลอดมา (แสก) สาวน้อยแสกเพิ่นหากงามแท้น้อ แม้นไผได้พ้อกะจิตต่อใจฝัน แต่ก่อนนั้นอยู่ฝั่งซ้ายน้ำของ แล้วจึงล่องลงมาสู่อีสานคู่มื้อนี้ (เผ่าไทยภูพาน)
|
ฟ้อนเผ่าไทยภูพานต้นฉบับ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
ฟ้อนผู้ไท 3 เผ่า - ฟ้อนเผ่าไทยภูพาน | รวมเผ่าไทยบุรีรัมย์ - เผ่าไทยโคราช