- Details
- Written by: Webmaster
- Category: Isan Dance
- Hits: 21929
การฟ้อนพื้นบ้านแบบต่างๆ
ศิลปการฟ้อนรำของชาวอีสาน มีหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละถิ่น ตามอิทธิพลของกลุ่มชนพื้นเมืองในละแวกนั้นๆ เช่น ทางอีสานใต้ก็จะมีอิทธิพลของเขมรปะปนอยู่มาก ทางด้านเหนือก็มีอิทธิพลจากทางล้านช้าง ทางสกลนคร นครพนม มุกดาหารก็มีชนเผ่าพื้นเมืองในถิ่นนั้นเช่น ย้อ โซ้ ภูไท อย่างไรก็ตามเราก็พอจะจำแนกการฟ้อนออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้
เซิ้งกระหยัง
เซิ้งกระหยัง เป็นชุดฟ้อนที่ได้แบบอย่างมาจากเซิ้งกระติบข้าว โดยเปลี่ยนจากกระติบข้าวมาเป็น "กระหยัง" ซึ่งเป็นภาชนะทำด้วยไม้ไผ่ มีลักษณะคล้ายกระบุง แต่มีขนาดเล็กกว่า เซิ้งกระหยัง เป็นการแสดงอย่างหนึ่งของชาวกาฬสินธุ์ โดยอำเภอกุฉินารายณ์ได้ประดิษฐ์ขึ้น โดยดัดแปลงและนำเอาท่าฟ้อนจากเซิ้งอื่นๆ เช่น เซิ้งกระติบข้าว เซิ้งสาละวัน ฯลฯ เข้าผสมผสานกันแล้วมาจัดกระบวนขึ้นใหม่มีอยู่ 19 ท่า ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆ กัน เช่น
ท่าไหว้ ท่าไท ท่าโปรยดอกไม้ ท่าขยับสะโพก ท่าจับคู่ถือกะหยัง ท่านั่งเกี้ยว ท่าสับหน่อไม้ ท่ายืนเกี้ยว ท่ารำส่าย ท่าเก็บผักหวาน ท่ากระหยังตั้งวง ท่าตัดหน้า ท่าสาละวัน ท่ากลองยาว ท่ารำวง ท่าชวนกลับ ท่าแยกวง ท่านั่ง ที่ได้ชื่อว่าเซิ้งกระหยังเพราะผู้ฟ้อนจะถือกระหยังเป็นส่วนประกอบในการแสดง
เครื่องแต่งกาย ฝ่ายหญิงสวมเสื้อแขนกระบอกสีดำ หรือน้ำเงินขลิบขาว นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่ ผมเกล้ามวยทัดดอกไม้ ฝ่ายชายสวมเสื้อม่อฮ่อมกางเกงขาก๊วย ใช้ผ้าขาวม้าคาดเอว และโพกศีรษะ
เครื่องดนตรี ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสานซึ่งประกอบด้วย กลองยาว ฉาบ และฉิ่ง ซึ่งเป็นเครื่องกำกับจังหวะ ใช้แคน พิณ ปี่แอ้ เป็นเครื่องดำเนินทำนอง
อุปกรณ์การแสดง กระหยัง
เซิ้งกระหยัง วิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์
เซิ้งครกมอง
ชาวชนบทในภาคอีสานส่วนใหญ่ จะมี "ครกมอง" หรือ "ครกกระเดื่อง" ไว้ให้สำหรับตำข้าวเปลือกอยู่แทบทุกครัวเรือน ส่วนมากจะทำไว้ใกล้ๆ กับเล้าข้าวโดยต่อหลังคาลงมาเรียกว่า "เทิบมอง" มุงเพื่อกันแดดกันฝนที่ทำครกมองไว้ใกล้ๆ เล้าข้าว เพื่อสะดวกในการตักข้าวเปลือกจากเล้ามาตำ การตำข้าวเปลือกนั้นชาวอีสานถือว่า เป็นหน้าที่ของผู้หญิง สำหรับเรือนที่มีลูกสาวเขาจะตำข้าวหลังจากกินข้าวเย็นแล้ว ในการนี้จะมีชายหนุ่มมาช่วยตำด้วย และมีการเกี้ยวพาราสีกัน ครกมองจะมีส่วนประกอบที่สำคัญดังนี้
- ตัวครก ทำด้วยไม้เนื้อแข็งตัดเป็นท่อนยาวพอสมควร ด้านที่เป็นตัวครกเจาะเป็นร่องลึกตรงกลาง ส่วนอีกด้านหนึ่งฝังลงดินให้แน่น
- แม่มอง ใช้ไม้เนื้อแข็งยาวประมาณ 4-5 เมตร ส่วนหัวซึ่งเป็นโคนต้นเจาะรูสำหรับใส่สากมอง ส่วนทางปลายจะถากออกเพื่อใช้เป็นที่เหยียบเพื่อให้แม่มองกระเดื่องขึ้น
- เสามองและคานมอง แม่มองจะถูกเจาะให้เป็นช่องทะลุตรงช่วงที่ค่อนไปทางหางมอง เพื่อจะได้สอดคานมองและมีเสามองไว้สำหรับยึดคานมองไว้ทั้งสองข้าง ซึ่งจะทำให้แม่มองวางเกือบขนานกับพื้นดิน เมื่อนำสากมองสวมเข้าแล้วหัวแม่มองจะเชิดขึ้นเล็กน้อย
- หลักจัน หมายถึงหลักไม้สำหรับให้ผู้ตำข้าวใช้จับเวลาตำ หลักจับอาจจะมีหลักเดียวหรือ 2 หลักก็ได้
- สากมอง เป็นส่วนสำคัญของครกมอง การตำข้าวจะออกมาสวยหรือไม่สวย จะขึ้นอยู่กับสากมอง สากมองทำด้วยไม้เนื้อแข็งความยาวประมาณ 60 เซนติเมตร โดยใช้สวมกับแม่มอง สากมองมี 3 ชนิด คือ สากตำเป็นสากขนาดเล็กใช้ตำข้าวเปลือกซึ่งเรียกว่า ตำแหลกเปลือก ต่อไปก็ใช้สากต่าวซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าสากตำ เรียกว่า การตำต่าว และใช้สากส้อมเป็นสากที่มีขนาดใหญ่ที่สุด การเปลี่ยนสากแต่ละครั้งจะต้องนำข้าวนั้นตักออกใส่กระด้งนำไปฝัดเสียครั้งหนึ่ง
อุปกรณ์การแสดง ที่ใช้ในการประกอบในการตำข้าว ได้แก่
- กระด้ง ใช้สำหรับผัดข้าว ซึ่งเรียกว่า กระด้งผัดมีลักษณะทรงกลมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เมตร
- กระบุง ในการตำข้าวแต่ละครั้งอย่างน้อยต้องใช้กระบุง 2 ใบ สำหรับใส่ข้าวเปลือกกระบุงหนึ่งและข้าวสารอีกกระบุงหนึ่ง
- เขิง หรือ ตะแกรงร่อนเพื่อจะเอารำข้าว ทำด้วยไม้ไผ่สานเป็นลายตารางเล็กๆ ใช้ร่อนข้าวหลังจากตำเสร็จแล้ว เพื่อจะได้รำข้าว
วิธีการตำข้าว คนตำจะใช้เท้าเหยียบที่หางครกมอง หรือที่เรียกว่า แม่มอง ออกแรงกดเท้าให้แม่มองกระเดื่องยกขึ้นพร้อมกับปล่อยเท้าลง เพื่อให้สากมองไปกระเทาะเปลือกเมล็ดข้าวให้หลุดออก
การเซิ้งครกมอง จึงได้นำเอาขั้นตอนการตำข้าวตั้งแต่การนำเอาครกมาตั้ง ส่วนแม่มองจะใช้ผู้แสดงหญิงล้วนราว 6 คน แสดงให้เห็นถึงการกระเดื่องขึ้นลง ใช้ผู้ชายสองคนเพื่อแสดงแทนหลักจับ ใช้ผู้แสดงหญิงอีก 5 คนเป็นผู้ตำข้าวและฝัดข้าว หลังจากเสร็จสิ้นการตำข้าวจะเพิ่มการละเล่นของเด็กอีกชุดหนึ่ง เรียกว่า เสือกินวัว
เซิ้งครกมอง
เครื่องแต่งกาย ผู้แสดงหญิงที่แสดงเป็นแม่มองนั้นจะนุ่งโจงกระเบนใส่เสื้อแขนกระบอกคอกลม ส่วนผู้แสดงเป็นคนตำข้าวจะนุ่งผ้าถุงสั้นห่มผ้าแทบใช้ผ้าพันรอบเอว ผู้ชายจะใส่เสื้อม่อฮ่อมนุ่งกางเกงขาก๊วยกัน ใช้ผ้าคาดเอว
เครื่องดนตรี ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ทำนองเซิ้งบั้งไฟ
อุปกรณ์การแสดง ตัวครก กระด้ง กระบุง
เซิ้งข้าวจี่
บุญข้าวจี่ เป็นฮีตหรือจารีตที่สำคัญของชาวอีสาน พอถึงเดือนสามต้องการทำบุญข้าวจี่ จนมีคำพูดที่ว่า
พอถึงเดือนสามคล้อย ปั้นข้าวจี่ใส่น้ำอ้อย เจ้าหัวคอยปั้นข้าวจี่ จัวน้อยเช็ดน้ำตา"
บุญข้าวจี่ ไม่ได้เป็นการทำบุญที่ใหญ่โตนัก แต่ถึงกระนั้นบุญข้าวจี่ก็มีจุดเด่นที่แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวอีสาน ในชนบทเมื่อถึงเดือนสามเป็นเวลาที่ชาวบ้านหมดภาระจากการทำงาน จึงร่วมกันทำข้าวจี่ถวายพระสงฆ์ ตำนานการทำบุญข้าวจี่นั้นมีเล่าไว้ว่า "กระทำกันมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล วันหนึ่งพระพุทธองค์เสร็จไปบิณฑบาตที่บ้านเศรษฐีปุณณะ ขณะนั้นนางปุณณทาสี คนใช้ของเศรษฐีเจ้าบ้านกำลังย่างข้าวเหนียวเพื่อรับประทานเอง ครั้นนางเห็นพระพุทธองค์ออกรับบิณฑบาต นางไม่มีปัจจัยสิ่งอื่นที่พอจะถวายได้จึงเอาข้าวย่างก้อนนั้นใส่บาตรแด่พระพุทธองค์
เมื่อนางใส่บาตรไปแล้วนางทาสีก็มีจิตพะวงว่า "พระพุทธองค์คงจะไม่เสวย เพราะภัตตาหารที่นางถวายไม่ประณีต" ข้าวย่างหรือข้าวจี่นั้นเป็นอาหารของชาวบ้านที่ค่อนข้างจะยากจน พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของนาง จึงรับสั่งให้พระอานนท์ปูอาสนะลงตรงนั้น ให้ศีลและฉันภัตตาหารของนาง เมื่อฉันเสร็จแล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดนาง ทำให้นางปลื้มปิติและตั้งใจฟังธรรมจนบรรลุโสดาปัตติผล ครั้นนางตายไปได้ไปเกิดบนสวรรค์ด้วยอานิสงฆ์ของการให้ทานข้าวจี่ก้อนนั้น" ดังนั้นชาวอีสานจึงมีความเชื่อว่า หากทำบุญด้วยข้าวจี่นั้นเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า ความยากจนไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
พิธีทำบุญข้าวจี่ เมื่อทางวัดกำหนดวันกับทางบ้านเรียบร้อย แล้วทางชาวบ้านจะจัดทำข้าวเกรียบ (ข้าวโป่ง) เอาไว้ เมื่อถึงวันทำบุญข้าวจี่ก็จะจี่ข้าว ย่างข้าวเกรียบ (ข้าวโป่ง) จัดไปถวายพระที่วัด เมื่อชาวบ้านไปรวมกันที่วัด ทายกก็จะนำสวดมนต์ไหว้พระ รับศีล ชาวบ้านก็จะถวายข้าวจี่ จากนั้นก็ฟังเทศน์ตามประเพณี
วิธีทำข้าวจี่ ข้าวจี่หรือข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้ว ปั้นเป็นก้อนกลมหรือแบนก็ได้ นำไปเสียบไม้ไผ่ แล้วนำไปจี่หรือย่างไฟ พอจวนจะสุกก็ทาไข่ให้ทั่วแล้วทาเกลือเล็กน้อย หรืออาจจะใส่น้ำอ้อยในการปั้นข้าวจี่ก็ได้ ย่างให้หอม ภาควิชานาฏศิลป์ วิทยาลัยครูมหาสารคาม ได้นำขั้นตอนของการทำข้าวจี่มาประดิษฐ์เป็นท่ารำชุดฟ้อนขึ้น เรียกว่า "เซิ้งข้าวจี่"
เครื่องแต่งกาย ฝ่ายหญิงสวมเสื้อคอกลมแขนกระบอก นุ่งผ้าเวียงห่มสไบผ้าเบี่ยงทางไหล่ขวา ผูกโบว์ที่เอวซ้าย ผมเกล้ามวยทัดดอกไม้ ฝ่ายชายนุ่งกางเกงขาก๊วย สวมเสื้อคอกลมสีพื้นขลิบริมชายเสื้อ ใช้ผ้าเวียงคาดเอวและโพกศีรษะ
เครื่องดนตรี ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ทำนองเซิ้ง
ฟ้อนบุญข้าวจี่
รำหมากข่าแต้
การฟ้อนชุดนี้ได้ประยุกต์มาจากลีลาของการละเล่นพื้นบ้านของเด็กอีสาน ที่เรียกว่า "เม็ดแต้" หรือ "บักแต้" การละเล่นเม็ดแต้นิยมเล่นแถบลานบ้านหรือบริเวณลานวัดที่มีพื้นเรียบ อุปกรณ์ในการเล่นก็ได้แก่ เม็ดแต้ ซึ่งเป็นเมล็ดของต้นแต้ (มะค่าแต้) จำนวนผู้เล่นต้องไม่ต่ำกว่า 2 คน และไม่ควรเกิน 6 คน
วิธีการเล่น
- เอาเม็ดแต้มาลงกัน โดยให้แต่ละคนได้จำนวนเม็ดแต้เท่าๆ กัน
- ขีดวงกลมไว้หนึ่งวงให้แต่ละคนโยนเม็ดแต้ใส่ในวงกลม ถ้าของใครอยู่ในวงกลมมากที่สุดก็จะได้เล่นก่อน และถ้าของใครอยู่ไกลออกไปจากวงกลมมาก็เล่นทีหลัง โดยพิจารณาจากความใกล้ไกลของเม็ดแต้กับวงกลม
- ตั้งเม็ดแต้เรียงเป็นแถวจนหมดจำนวนของผู้ที่เล่น
- ขีดเส้นสำหรับเล่น โดยคนที่หนึ่งจะเล่นก่อนไปยืนยิง (หมุนเม็ดแต้) ที่เส้นเริ่มโดยยิงไปใส่เป้าคือเม็ดแต้ที่เรียงไว้ ถ้าเม็ดแต้ล้มเท่าไหร่ก็แปลว่าคนนั้นเล่นได้เท่านั้น
- คนต่อไปที่เล่นต่อ ถ้ายิงไม่ล้มก็ไม่ได้เลย ในบางครั้งเล่นยังไม่ครบคนแม็ดแต้ที่ตั้งไว้ก็หมด ก็จะมีการลงเม็ดแต้เพื่อเล่นเกมส์ใหม่ต่อไป คนไหนยิงเม็ดแต้ได้มากก็กำไร คนที่เล่นได้น้อยก็ขาดทุน
การรำหมากข่าแต้นี้จึงได้ดัดแปลงจากวิธีเล่นเม็ดแต้นี้มาทำเป็นชุดฟ้อน โดยอาศัยผู้หญิงแทนเม็ดแต้ ผู้ชายจะใช้ลีลาต่างๆ ในการยิงเม็ดแต้ให้ล้มลง
เครื่องแต่งกาย ผู้หญิงสวมเสื้อคอกระเช้า นุ่งโจงกระเบนใช้ผ้าขิดสอดใต้หว่างข่าแบบขี่ม้า ใช้เข็มขัดรัดทิ้งชายทั้ง 2 ชาย ผมเกล้ามวยทัดดอกไม้ ฝ่ายชายสวมเสื้อคอกลมแขนสั้น นุ่งโจงกระเบนสีพื้นใช้ผ้าขาวม้าพื้นเมืองสอดใต้หว่างข่าแบบขี่ม้า ใช้เข็มขัดรัดทิ้งชายทั้ง 2 ชาย เช่นเดียวกัน
เครื่องดนตรี ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ลายนกไซบินข้ามทุ่ง
อุปกรณ์การแสดง ไม้ที่ทำเป็นเม็ดแต้แต่มีขนาดใหญ่กว่า

ฟ้อนอุบล - ฟ้อนกลองตุ้ม - เซิ้งกะโป๋ - เซิ้งทำนา | เซิ้งกุบ - เซิ้งสาวน้อยเลียบดอนสวรรค์ - เซิ้งสวิง - เซิ้งกระติบข้าว



- Details
- Written by: Webmaster
- Category: Isan Dance
- Hits: 26332
การฟ้อนพื้นบ้านแบบต่างๆ
ศิลปการฟ้อนรำของชาวอีสาน มีหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละถิ่น ตามอิทธิพลของกลุ่มชนพื้นเมืองในละแวกนั้นๆ เช่น ทางอีสานใต้ก็จะมีอิทธิพลของเขมรปะปนอยู่มาก ทางด้านเหนือก็มีอิทธิพลจากทางล้านช้าง ทางสกลนคร นครพนม มุกดาหารก็มีชนเผ่าพื้นเมืองในถิ่นนั้นเช่น ย้อ โซ้ ภูไท อย่างไรก็ตามเราก็พอจะจำแนกการฟ้อนออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้
เซิ้งกุบ
กุบ ในภาษาของชาวอีสานแปลว่า หมวก เซิ้งกุบ เป็นชุดการแสดงที่ได้นำลีลาชีวิตของชาวอีสานพื้นบ้านมาแสดง ในรูปลักษณ์ที่แปลกตาไปจากชุดอื่นๆ โดยทางวิทยาลัยครูมหาสารคามได้ดัดแปลงสภาพชีวิตพื้นบ้านอีสาน ซึ่งในฤดูฝนชาวบ้านจะดำนา พอตกค่ำอาจจะมีฝนรินๆ ชาวอีสานก็จะเตรียมอุปกรณ์ออกไปจับกบ โดยถือตะเกียงที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่และไม้สำหรับตีกบ การฟ้อนชุด "เซิ้งกุบ" นี้จึงได้นำลีลาขั้นตอนของการออกไปจับกบมาประยุกต์ เป็นชุดฟ้อนขึ้นอย่างงดงาม แปลกตา
เครื่องแต่งกาย ฝ่ายหญิงสวมชุดพื้นเมืองอีสาน โดยสวมเสื้อแขนกระบอกสีคล้ำ นุ่งผ้าซิ่นพื้นเมือง สวมหมวกงอบ ฝ่ายชายนุ่งกางเกงขาก๊วยสั้น สวมเสื้อม่อฮ่อม มือถือตะเกียงและไม้ตีกบ
อุปกรณ์สำหรับการแสดง หมวกงอบ ตะเกียง กระบอกไม้ไผ่ ไม้สำหรับตีกบ
เครื่องดนตรี ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ทำนองเซิ้ง
เซิ้งสาวน้อยเลียบดอนสวรรค์
ดอนสวรรค์ เป็นเกาะใหญ่อยู่กลางหนองหาร อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เป็นเกาะที่มีความงดงามตามธรรมชาติ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันสำคัญของจังหวัดสกลนคร โดยเฉพาะในเวลาเย็น หนุ่มสาวชาวบ้านต่างพากันไปพายเรือเที่ยวชมทิวทัศน์อันงดงามของเกาะดอนสวรรค์เป็นจำนวนมาก ทางภาควิชานาฏศิลป์ วิทยาลัยครูสกลนคร จึงจัดทำเป็นชุดฟ้อนขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงความงดงามของเกาะดอนสวรรค์ โดยฟ้อนตามบทร้องและดนตรี
เครื่องแต่งกาย ผู้แสดงใช้หญิงล้วน สวมเสื้อแขนกระบอกคอกลม ห่มสไบ นุ่งซิ่นสั้นคลุมเข่า เกล้าผมมวยทัดดอกไม้
เครื่องดนตรี ใช้ดนตรีพื้นเมืองเพลงผู้ไทยน้อย และเพลงเซิ้งแข่งเรือ
เซิ้งสาวน้อยเลียบดอนสวรรค์
เซิ้งสวิง
เซิ้งสวิง เป็นการละเล่นพื้นบ้านของภาคอีสาน ซึ่งเป็นการละเล่นเพื่อการส่งเสริมทางด้านจิตใจของประชาชนในท้องถิ่น อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ เซิ้งสวิงเป็นชุดฟ้อนที่มีความสนุกสนาน โดยดัดแปลงท่าฟ้อนจากการที่ชาวบ้านอีสานออกไปหาปลา โดยมี "สวิง" เป็นเครื่องมือหลักในการหาปลาของชาวบ้าน ซึ่งมีอาชีพในการจับสัตว์น้ำ นอกจากมีสวิงแล้วยังมี "ข้อง" ซึ่งเป็นภาชนะสำหรับใส่ปลาที่จับได้
เซิ้งสวิง มีการประยุกต์กันมาเรื่อยๆ และในปี พ.ศ. 2515 ทางกรมศิลปากรจึงได้นำท่าฟ้อนของท้องถิ่นมาปรับปรุงให้มีท่วงท่ากระฉับกระเฉงขึ้น ท่าฟ้อนจะแสดงให้เห็นถึงการออกไปหาปลา การช้อนปลา จับปลา และการรื่นเริงใจ เมื่อหาปลาได้มากๆ ผู้แสดงฝ่ายหญิงจะเป็นผู้ถือสวิงไปช้อนปลา ส่วนฝ่ายชายจะนำข้องไปคอยใส่ปลาที่ฝ่ายหญิงจับได้
เซิ้งสวิง
เครื่องแต่งกาย ฝ่ายหญิงสวมเสื้อแขนกระบอกคอกลม นุ่งซิ่นมัดหมี่ เกล้าผมมวยทัดดอกไม้ ฝ่ายชายสวมเสื้อม่อฮ่อม นุ่งกางเกงขาก๊วย เอาผ้าขาวม้าคาดพุง
เครื่องดนตรี ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสานในจังหวะเซิ้ง
เซิ้งกระติบข้าว
เซิ้งกระติบข้าว เป็นการแสดงของภาคอีสานที่เป็นที่รู้จักกันดี และแพร่หลายที่สุดชุดหนึ่ง จนทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า การแสดงของภาคอีสานมีลักษณะเป็นการรำเซิ้งเพียงอย่างเดียว เซิ้งกระติบข้าวได้แบบอย่างมาจากการเซิ้งบั้งไฟ ซึ่งแต่เดิมเซิ้งอีสานจริงๆ ไม่มีท่าทางอะไร มีแต่กินเหล้า ยกมือไม้สะเปะสะปะให้เข้ากับจังหวะเสียงกลองไปตามใจ (มีผู้นิยามว่า ฟ้อนตามแบบกรมสรรพสามิต) โดยไม่ได้คำนึงถึงความสวยงาม นอกจากให้เข้าจังหวะกลอง ตบมือไปตามเรื่องตามฤทธิ์เหล้า
ในราว พ.ศ. 2507 สมเด็จพระบรมราชินีนาถ (ในรัชกาลที่ ๙) ต้องการการแสดงของภาคอีสาน เพื่อต้อนรับสมเด็จพระนางเจ้าอะเลียนา และเจ้าหญิงบีทริกซ์ แห่งประเทศเนเธอแลนด์ จึงมีการนำเอาเพลงอีสานคือ หมอลำจังหวะช้าเร็ว โดยมีท่าถวายบังคม ท่านกบิน ท่าเดิน ท่าดูดาว ท่าม้วนตัว ท่าสนุกสนาน ท่าปั้นข้าวเหนียว ท่าโปรยดอกไม้ ท่าบังแสงอาทิตย์ ท่าเตี้ย (รำเตี้ย) และในการแต่งกายครั้งแรกนั้นจะนุ่งผ้าซิ่นห่มผ้าสไบ เกล้าผมสูง แต่ไม่มีใครยอมห้อยกระติบข้าวเพราะเห็นว่ารุงรัง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๙) เสด็จทอดพระเนตร พระองค์จึงรับสั่งให้ใครสักคนหนึ่งลองรำดูว่า ถ้าไม่ห้อยกระติบข้าว หรือห้อยกระติบข้าวแล้วจะเป็นอย่างไร? คุณหญิงเบญจวรรณ อรวรรณ เป็นผู้ทดลองรำดู ครั้งแรกไม่ห้อยกระติบข้าวก็น่ารักดี ครั้งที่สองรำโดยห้อยกระติบข้าวทุกคนก็คิดว่า กำลังน่ารัก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งคำเดียวว่า "น่าเอ็นดูดีนี่" ผู้รำทุกคนก็พากันรีบห้อยกระติบข้าวกันใหญ่ทางไหล่ขวาทุกคน การเซิ้งครั้งนั้น ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค เรียกชื่อว่า "เซิ้งอีสาน" ต่อมามีผู้นำเซิ้งอีสานไปแสดงกันทั่วไปแต่เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "เซิ้งกระติบข้าว"
เซิ้งกระติบข้าว
เครื่องแต่งกาย ผู้แสดงใช้ผู้หญิงล้วน สวมเสื้อแขนกระบอกคอกลมสีพื้น นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่ ห่มผ้าสไบเฉียง ผมเกล้ามวยทัดดอกไม้ห้อยกระติบข้าวทางไหล่ขวา
เครื่องดนตรี ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ทำนองเซิ้ง
อุปกรณ์การแสดง กระติบข้าว

ฟ้อนอุบล - ฟ้อนกลองตุ้ม - เซิ้งกะโป๋ - เซิ้งทำนา | เซิ้งกุบ - เซิ้งสาวน้อยเลียบดอนสวรรค์ - เซิ้งสวิง - เซิ้งกระติบข้าว



- Details
- Written by: Webmaster
- Category: Isan Dance
- Hits: 24763
การฟ้อนพื้นบ้านแบบต่างๆ
ศิลปการฟ้อนรำของชาวอีสาน มีหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละถิ่น ตามอิทธิพลของกลุ่มชนพื้นเมืองในละแวกนั้นๆ เช่น ทางอีสานใต้ก็จะมีอิทธิพลของเขมรปะปนอยู่มาก ทางด้านเหนือก็มีอิทธิพลจากทางล้านช้าง ทางสกลนคร นครพนม มุกดาหารก็มีชนเผ่าพื้นเมืองในถิ่นนั้นเช่น ย้อ โซ้ ภูไท อย่างไรก็ตามเราก็พอจะจำแนกการฟ้อนออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้
ฟ้อนอุบล
ฟ้อนอุบล เป็นชุดฟ้อนที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยชาวอุบลราชธานี การฟ้อนมุ่งความอ่อนช้อยสวยงาม ท่วงทำนองเพลงที่ใช้ประกอบการฟ้อนคือ เพลงอุบลราชธานี (ลาวอุบล) การฟ้อนอุบลนี้เดิมไม่มีปรากฏ ชาวอุบลส่วนใหญ่จะได้ยินได้ฟังเฉพาะเพลงลาวอุบล ซึ่งแต่งและบรรเลงโดยครูดนตรีไทยอาวุโสผู้หนึ่ง สำหรับเป็นเพลงประจำจังหวัด ระยะหลังจึงมีผู้คิดท่าฟ้อนประกอบเพลงขึ้น เนื้อเพลงจะถ่ายทอดให้เห็นถึงจังหวัดอุบลราชธานี เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานที่มีความอุดมสมบูรณ์และความเจริญในหลายด้านจนได้ชื่อว่าเป็น "ถิ่นไทยดี" ผู้คนเต็มไปด้วยความโอบอ้อมอารี มีน้ำใจ สมชื่อว่าเป็นเมืองแห่งดอกบัวงาม
เครื่องแต่งกาย ผู้แสดงใช้ผู้หญิงล้วน แต่งกายด้วยผ้าขิดรูดหน้าอก คลุมไหล่ด้วยผ้าโปร่งสีนวล ผ้าถุงจะเป็นผ้าสีชมพูจีบหน้านาง ในมือถือดอกบัวสีขาวคนละ 1 ดอก
เครื่องดนตรี ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ทำนองเพลงอุบลราชธานี
อุปกรณ์ประกอบการแสดง ดอกบัวประดิษฐ์คนละ 1 ดอก
เพลงอุบลราชธานี (ลาวอุบล) |
---|
อุบลราชธานี นี้ไทยดีเมืองหนึ่ง หากอยู่ถึงแดนแม่โขง ที่คดโค้งไหลลงเป็นทาง ไหลไปหว่างกลาง ไม่มีเหินไม่มีห่าง เมืองไทยอยู่ทาง พี่น้องลาวอยู่ทาง อุบลราชธานี นี้เป็นที่ชุมชน แห่งดอกโกสุม หรือเจ้าปทุมมาลย์ นั้นคือดอกบัวบาน ตระการก้านใบ มีดีอย่างไร ทั่วแคว้นแดนไทย ไม่น้อยหน้าใคร ศึกษาซึ่งความดี เหมือนบัวมีสีรื่นรมย์ กลิ่นหอมชื่นชม ภิรมย์หฤหรรษ์ กลิ่นของบัวนั้นสุขสันต์เพิ่มพูน อยู่ในแม่น้ำ..มูล นั้นเหมือนอุบล เป็นสุข นิราศทุกข์ปวงภัย อุบลนั้นไซร้ถิ่นไทยของไทย |
ลำดับขั้นตอนการแสดง ท่าทางในการฟ้อนอุบลจะมี 2 ประเภท คือ
- ท่าฟ้อนประกอบเนื้อเพลง เป็นการฟ้อนประกอบเนื้อหาของเพลงหรืออาจเรียกว่า รำตีบท
- ท่าสลับเพลง เป็นการฟ้อนแปรท่าต่างๆ เน้นความสวยงาม และความพร้อมเพรียงกัน
ดังนั้นในการฟ้อนจะมีลำดับขั้นตอนดังนี้
- เริ่มต้นด้วยการบรรเลงเพลงลาวอุบลท่อนละ 1 เที่ยว ทั้ง 3 ท่อน ผู้ฟ้อนจะออกด้วยท่ามือขวาถือกระทงในระดับสูงกว่าศีรษะ เอียงตัวตามมือสูง มือซ้ายจีบหงายระดับต่ำส่งมือไปด้านหลัง ผู้ฟ้อนจะยืนเรียงแถวหน้ากระดาน 2 แถว แถวหน้า 4 คน แถวหลัง 4 คน
- ร้องเพลงท่อนที่ 1 ผู้ฟ้อนทำท่าให้สอดคล้องกับเนื้อเพลง
- ดนตรีบรรเลงรับท่อน 1 ผู้ฟ้อนแบ่งเป็น 2 กลุ่มๆ ละ 4 คน นำดอกบัวมารวมกันเป็นสี่มุม สลับการหมุนตัวเข้าออกภายในวงและนอกวง มือทั้งสองเปลี่ยนท่าสลับไปมาตามจังหวะที่หมุนตัว พอจบท่อนเพลงกลับไปยืนเรียง 2 แถวเหมือนเดิม
- ร้องเพลงท่อนที่ 2 ผู้ฟ้อนทำท่าให้สอดคล้องกับเนื้อเพลง จบลงด้สยการแปรแถว 4 แถว ผู้ฟ้อนนั่งหันหน้าเข้าหากัน
- ดนตรีรับท่อน 2 ผู้ฟ้อนทั้งหมดยก 2 มือ ประคองดอกบัวยกสลับซ้ายขวา
- ร้องเพลงท่อนที่ 3 ผู้ฟ้อนทำท่าให้สอดคล้องกับเนื้อเพลง จบลงด้วยท่าที่ผู้ฟ้อนทั้ง 8 คนจะยืนเรียงเป็นครึ่งวงกลม
- ดนตรีรับท่อน 3 ผู้ฟ้อนยืนแถวเรียงสองทะแยงกับความยาวของเวที มือซ้ายตั้งวงบนไว้ตลอด มือขวายกกระทงร่อนสูงขนานกับวงบน สลับกับการส่งกระทงไปด้านหลัง มือสูงระดับเอว
ท่ารำเพลงอุบลราชธานี
ฟ้อนกลองตุ้ม
ฟ้อนกลองตุ้ม บางที่เรียกกันว่า เซิ้งกลองตุ้ม เป็นการฟ้อนเซิ้งแบบสนุกสนานของชาวบ้านภาคอีสานในเทศกาลบุญเดือนหก หรือบุญบั้งไฟ หรือบุญเดือนสี่หรือบุญมหาชาติของชาวอีสาน ฟ้อนกลองตุ้ม เป็นการฟ้อนรำประกอบจังหวะกลองที่เรียกว่า "กลองตุ้ม" ผู้ชายฟ้อนล้วนๆ ท่าฟ้อนเป็นท่าอิสระไม่จำกัดตายตัว สุดแต่ผู้ฟ้อนจะคิดขึ้น จุดมุ่งหมายในการฟ้อนเป็นไปเพื่อขอเหล้าหรือปัจจัยไทยทาน โดยผู้ฟ้อนจะว่ากลอนเซิ้งขอบริจาค หรือเล่าเรื่องราวที่สนุกสนานให้ชาวบ้านฟัง
จากการพิจารณาที่มาของฟ้อนกลองตุ้มจะเห็นว่า มีความเกี่ยวพันกับบุญบั้งไฟอย่างใกล้ชิด เพราะทำนองที่ใช้ในการว่ากลอนเซิ้งนี้เหมือนทำนองเซิ้งบั้งไฟทุกประการ เพียงแต่ช้าเนิบนาบกว่าเล็กน้อย ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่า ฟ้อนกลองตุ้มนี้มีที่มาจากเซิ้งบั้งไฟนี่เอง แต่เป็นไปในตอนที่ชาวบ้านเดินทางไปตามบ้าน และว่ากลอนเพื่อขอปัจจัยตามบ้านต่างๆ และในการไปไม่ได้ใช้เครื่องดนตรีมากนัก นอกจากกลองตุ้มคอยตีให้จังหวะ
โดยปกติเรามักจะรู้จักการรำเซิ้งในขบวนแห่บั้งไฟเป็นส่วนใหญ่ ฟ้อนกลองตุ้มไม่ค่อยมีผู้ใดรู้จักมากนัก เมื่อ นายนิพนธ์ รองทอง นิสิตภาคสมทบวิชาเอกภาษาไทย รุ่น 12 นำมาเผยแพร่ ทางมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม เห็นว่า ควรอนุรักษ์ไว้ จึงได้มีการฝึกฟ้อนกลองตุ้มขึ้น โดยท่าทางฟ้อนรำนำมาจากการได้เห็นฟ้อนกลองตุ้ม ของชาวตำบลนาคำใหญ่ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ผู้ควบคุมการฝึกซ้อมคือ อาจารย์จารุวรรณ ธรรมวัตร
เครื่องแต่งกาย เมื่อพิจารณาเครื่องแต่งกายฟ้อนกลองตุ้ม พบว่าที่น่าสนใจศึกษาเป็นพิเศษก็คือ เครื่องประดับศีรษะ จะเห็นว่าทำมาจากเส้นใยของบวบแห้งประดับด้วยดอกไม้ต่างๆ น่าสังเกตว่า เครื่องสวมหัวทำนองนี้ไม่ค่อยมีในภาคอีสาน เท่าที่ปรากฏอยู่มักเป็นเครื่องสวมศีรษะของชาวภาคเหนือ ใช้สวมให้เด็กชายหรือหนุ่มในพิธีบวช ซึ่งจะมาปรากฏในภาคอีสานได้อย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่น่าศึกษาต่อไป ส่วนเสื้อผ้าจะถือเอาตามสะดวก บางหมู่บ้านจะนุ่งกางเกง บางหมู่บ้านนุ่งโสร่ง เสื้อบางทีเป็นเสื้อที่ใช้ทั่วไป บางทีอาจเป็นเสื้อม่อฮ่อม มีฝ้ายคล้อยเฉียงไหล่เป็นเครื่องประดับ มือสวมเล็บซึ่งทำจากโครงไม้ไผ่พันรอบๆ ด้วยฝ้ายสีต่างๆ
ทางมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม ได้ดัดแปลงจากเดิมเล็กน้อย นั่นคือสวมเสื้อม่อฮ่อม นุ่งโสร่ง และให้ผู้ฟ้อนแต่งกายเหมือนกันทุกคนเพื่อความสวยงาม
ฟ้อนกลองตุ้ม
เครื่องดนตรี ประกอบด้วยกลองตุ้ม ฉิ่ง ฉาบ
เพลงฟ้อนกลองตุ้ม
คำร้อง : อาจารย์จารุวรรณ ธรรมวัตร
| ||
---|---|---|
โอมพุทโธกะนโมเป็นเจ้า เป็นจังได๋ตั้งใจซอมเบิ่ง เป็นทำนองเอิ้นว่ากลองตุ้ม |
โอ เฮาโอ กะเฮาโอเฮาโอ เซิ้งกินเหล้ายามบุญบั้งไฟ ตุ้ม ตุ้ม เติง ตุ้ม ตุ้ม เสียงกลอง ตุ้มอ้ายแน สาวตุ้มอ้ายแน |
|
โอมพุทโธนโมเป็นเจ้า เป็นภาระมีมาหลายเทื่อ มีละครฟ้อนรำระบำแอ่น ขอเหล้าแน ขอเหล้าอ้ายแน อ้ายขอเป็นแฟนแน สาวสงขลา มีใจผูกพันแน สาวประสานมิตร ขางามๆ แม่นสาวพิษณุโลก ความงามเกินเกณฑ์เห็นสาวพละ โอนอ โอนอ สาวเอย |
โอเฮาโอ กะเฮาโอ เฮาโอ ข้อยสิเว้าเรื่องงานศิลปะ เบิ่งบ่เบื่อจิตใจฮ่ำฮอน มีหมอแคนแล่นแตแล่นแต ใจเผื่อแผ่แก่สาวบางแสน มีจิตเมตตาแน สาวปทุมวัน นุ่งฟิตๆ แม่นสาวสารคาม ตาโศกๆ แม่นสาวบางเขน เชฟบ๊ะๆ แม่นพวกผู้ชม ขอเหล้าแน ขอเหล้าอ้ายแน... |
ความรู้เพิ่มเติม
การฟ้อนกลองตุ้ม เป็นศิลปะการฟ้อนรำพื้นบ้านที่พบเห็นทั่วไปในภาคอีสานเขตลุ่มน้ำมูล เป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านที่นิยมฟ้อนในงานเทศกาลบุญบั้งไฟ เป็นการละเล่นอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญต่อวิถีวัฒนธรรมท้องถิ่นและพบมากที่สุดในกลุ่มสังคมวัฒนธรรมแบบลาว เนื่องจากจังหวัดศรีสะเกษมีประชากรที่มีลักษณะสังคมวัฒนธรรมถึง 4 ชาติพันธุ์ คือ เขมร ส่วย ลาว และเยอ โดยเฉพาะในพื้นที่ อำเภอ กันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ขึ้นชื่อว่า “กันทรารมย์ ลีลากลองตุ้ม ลุ่มนทีแม่มูล” การฟ้อนกลองตุ้มจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การฟ้อนเพื่อความสนุกสานแต่ยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อของท้องถิ่นที่สะท้อนภาพสังคมได้ในหลายมิติ โดยชาวบ้านถือว่าการฟ้อนกลองตุ้มเป็นการฟ้อนรำหรือการร่ายรำที่มีความศักดิ์สิทธิ์เพื่อบูชาพญาแถน ที่คนอีสานเชื่อว่าเป็นเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่คนอีสานให้ความเคารพนับถือเปรียบผู้ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์และช่วยดลบันดาลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่แผ่นดิน พืชพันธุ์ธัญญาหารด้วยการดลบันดาลให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ซึ่งน้ำฝนที่ได้จากฟ้าถือว่ามีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของเป็นอย่างยิ่งชาวจังหวัดศรีสะเกษและคนอีสานทั่วไปจึงมีความพิถีพิถันและให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงในการฟ้อนกลองตุ้มมีอยู่ด้วยกันสองชนิดคือ กลองตุ้ม กับ พางฮาด กลองตุ้ม ถือว่าเป็นเครื่องดนตรีหลักมีความสำคัญอย่างยิ่งในการฟ้อนกลองตุ้ม ตามความเชื่อของชาวบ้านกลองตุ้มเปรียบเสมือนเสียงของฟ้าร้อง เสียงตุ้ม ตุ้ม ตุ้ม เป็นเสียงที่ฟังแล้วดูหนักแน่น ถ้าถึงช่วงเทศกาลบุญบั้งไฟแล้วเมื่อได้ยินเสียง ตุ้ม ตุ้ม ตุ้ม ชาวบ้านจะมีความรู้สึกตื้นเต้น มีความกระตือลือล้นอยากจะมาร่วมเล่นและร่วมฟ้อน เสียงกลองตุ้มจึงถือว่าเป็นพระเอกของงาน ลักษณะทางกายภายของกลองตุ้มจะเป็นกลองสองหน้า ทำจากไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้ขนุน ไม้มะม่วง เป็นต้น หน้ากลองจะทำจากหนังวัวหรือหนังควาย ในอดีตจะขึงหน้ากลองด้วยหนังสัตว์แต่ปัจจุบันขึงหน้ากลองด้วยเชือก ไม้ตีจะทำขึ้นอย่างง่ายเพื่อความสะดวก กลองตุ้มเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนให้เห็น ศิลปะและความเชื่อ การประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้และนำมาประยุกต์ใช้ในด้านศิลปะบวกกับความเชื่อ จึงถือว่าเป็นภูมิปัญญาในการดำเนินชีวิตที่มีความสอดคล้องกับลักษณะทางภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อมของมนุษย์
เครื่องดนตรีอีกชิ้นหนึ่งที่ขาดไม่ได้เหมือนกัน คือ พางฮาด เสียงของพางฮาดชาวบ้านมีความเชื่อและมีจินตนาการว่าเป็นเสียงของฟ้าผ่า (เมื่อมีฟ้าร้องแล้วต้องมีฟ้าผ่า) พางฮาดทำจากทองเหลืองหลอมและนำมาตีเป็นแผ่นเหมือนฆ้อง แต่ด้านหน้าไม่มีลักษณะนูนออกมาหรือเรียกอีกอย่างว่า ฆ้องหน้าแบน หรือ ฆ้องหน้าเรียบ ถ้าจะให้ชัดแล้วพางฮาดกับฆ้องของคนจีนก็มีลักษณะทั้งกายภาพและเสียงเหมือนกัน เสียงของพางฮาดจะมีเสียงดัง พาง พาง พาง สลับกับเสียงกลองตุ้ม เมื่อฟังแล้วจึงเหมือนกับเสียงฟ้าร้องกับเสียงฟ้าผ่า ตามจินตนาการของชาวบ้านจริงๆ
เซิ้งกะโป๋
เซิ้งกะโป๋ เป็นการละเล่นที่เน้นความสนุกสนานเป็นหลักโดยใช้ กะโป๋ หรือ กะลามะพร้าว เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการเล่น เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศต่างๆ ในแถบเอชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย โดยเฉพาะมาเลเซีย มีการละเล่นซึ่งใช้กะลาประกอบอยู่ ซึ่งเมื่อเสร็จจากการเก็บเกี่ยวชาวมาเลย์ก็จะมีการรื่นเริงและฉลองกัน บ้างก็ช่วยกันขูดมะพร้าวและตำน้ำพริก จึงได้นำเอากะลามะพร้าวมาเคาะประกอบจังหวะกันเป็นที่สนุกสนาน ระบำกะลาของมาเลเซียมีชื่อเป็นภาษามาเลย์ว่า "เดมปุรง" หรือแม้แต่ประเทศกัมพูชาก็มีการละเล่นที่ใช้กะลาเป็นอุปกรณ์เช่นเดียวกัน เซิ้งกะโป๋คงได้แบบอย่างมาจากระบำกะลาที่นิยมเล่นกันในกัมพูชาและแถบอีสานใต้ ระบำกะลามีจังหวะเนิบนาบ จึงมีการปรับปรุงใหม่โดยใช้เพลงพื้นเมืองอีสาน และยังนำเอาเพลงพื้นเมืองของอีสานใต้มาใช้ประกอบอยู่คือเพลง เจรียงซันตรูจ
เครื่องแต่งกาย เซิ้งกะโป๋จะแบ่งผู้แสดงออกเป็น 2 ฝ่าย คือ หญิงและชาย ฝ่ายหญิงนุ่งซิ่นพื้นเมืองอีสาน สวมเสื้อแขนกระบอก เกล้าผมมวยใช้แพรมนรัดมวย ฝ่ายชายนุ่งกางเกงขาก๊วย สวมเสื้อคอกลม มีผ้าขาวม้าผูกเอว
เครื่องดนตรี ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสาน แต่เล่นลายพื้นเมืองของอีสานใต้คือ เจรียงซันตรูจ
เซิ้งกะโป๋ หรือ เซิ้งกะลา นี้มีผู้ประดิษฐ์จัดทำเป็นชุดฟ้อนที่แตกต่างกันออกไป เช่น
- วิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ จะใช้ลีลาการกระทบกะลาที่ไม่คล้ายกับระบำกะลาของอีสานใต้มากนัก และนำการละเล่นของพื้นเมืองของเด็กอีสานมาประกอบ เช่น การเดินกะโป๋ หรือ หมากกุ๊บกั๊บ ฯลฯ
- วิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด จะใช้ลีลาการกระทบกะลา ซึ่งพอจะเห็นเค้าว่าได้แบบอย่างมาจากระบำกะลาของอีสานใต้ แต่งกายเช่นเดียวกับระบำกะลา คือฝ่ายหญิงนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อแขนกระบอก คล้องสไบผูกชายที่เอว ฝ่ายชายนุ่งโจงกระเบนสวมเสื้อคอกลมแขนสั้น มีผ้าขาวม้าพับทบด้านหน้า ทิ้งชายด้านหลัง
เซิ้งกระโป๋
เซิ้งทำนา
เซิ้งทำนา เป็นชุดฟ้อนที่สะท้อนให้เห็นขั้นตอนของการทำนา ซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวอีสาน ตั้งแต่การเดินไปนา หว่านกล้า ดำนา เกี่ยวข้าว ตีข้าว กอบข้าวใส่ตะกร้า เก็บขึ้นสู่ยุ้งฉาง เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการทำนา
การแต่งกาย ฝ่ายหญิงจะสวมเสื้อแขนกระบอกสีน้ำเงิน ผ่าหน้าใช้กระดุมสีขาวติดรอบชายทั้งตัว นุ่งซิ่นพื้นมีเชิงตีนซิ่น สวมหมวกงอบ ห่มสไบซึ่งทำจากตีนซิ่น เหน็บเคียวคนละอัน ฝ่ายชาย นุ่งกางเกงขาก๊วยสั้นแค่เข่า สวมเสื้อม่อฮ่อม ใช้ผ้าผูกเอวและโพกศีรษะ มีตะกร้าห้อยและเหน็บเคียวคนละอัน
เครื่องดนตรี ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ลายเซิ้งบั้งไฟ
อุปกรณ์การแสดง ตะกร้าและเคียว

ฟ้อนอุบล - ฟ้อนกลองตุ้ม - เซิ้งกะโป๋ - เซิ้งทำนา | เซิ้งกุบ - เซิ้งสาวน้อยเลียบดอนสวรรค์ - เซิ้งสวิง - เซิ้งกระติบข้าว



- Details
- Written by: Webmaster
- Category: Isan Dance
- Hits: 20617
การฟ้อนพื้นบ้านแบบต่างๆ
ศิลปการฟ้อนรำของชาวอีสาน มีหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละถิ่น ตามอิทธิพลของกลุ่มชนพื้นเมืองในละแวกนั้นๆ เช่น ทางอีสานใต้ก็จะมีอิทธิพลของเขมรปะปนอยู่มาก ทางด้านเหนือก็มีอิทธิพลจากทางล้านช้าง ทางสกลนคร นครพนม มุกดาหารก็มีชนเผ่าพื้นเมืองในถิ่นนั้นเช่น ย้อ โซ้ ภูไท อย่างไรก็ตามเราก็พอจะจำแนกการฟ้อนออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้
ฟ้อนโปงลาง
โปงลาง ดิมเป็นชื่อของโปงที่แขวนอยู่ที่คอของวัวต่าง โปงทำด้วยไม้หรือโลหะ ที่เรียกว่า โปง เพราะส่วนล่างปากของมันโตหรือพองออก ในสมัยโบราณชาวอีสานเวลาเดินทางไปค้าขายยังต่างแดน โดยใช้การบรรทุกสินค้าบนหลังวัว ยกเว้นวัวต่าง เพราะเป็นวัวที่ใช้นำหน้าขบวนผูกโปงลางไว้ตรงกลางส่วนบนของต่าง เวลาเดินจะเอียงซ้ายทีขวาทีสลับกันไป ทำให้เกิดเสียงดัง ซึ่งเป็นสัญญาณบอกให้ทราบว่าหัวหน้าขบวนอยู่ที่ใด และกำลังมุ่งหน้าไปทางไหนเพื่อป้องกันมิให้หลงทาง
ส่วนระนาดโปงลางที่ใช้เป็นดนตรีปัจจุบันนี้ พบมากที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เรียกว่า "ขอลอ" หรือ "เกาะลอ" ดังเพลงล้อสำหรับเด็กว่า "หัวโปก กระโหลกแขวนคอ ตีขอลอดังไปหม่องๆ" ชื่อ "ขอลอ" ไม่ค่อยไพเราะจึงมีคนตั้งชื่อใหม่ว่า "โปงลาง" และนิยมเรียกกันมาจนถึงปัจจุบัน ไม้ที่นำมาทำเป็นโปงลางที่นิยมกันได้แก่ ไม้มะหาด และไม้หมากเหลื่อม การเล่นทำนองดนตรีของโปงลางจะใช้ลายเดียวกันกับ แคน และพิณ ลายที่นิยมนำมาจัดท่าประกอบการฟ้อน เช่น ลายลมพัดพร้าว ลายช้างขึ้นภู ลายแม่ฮ้างกล่อมลูก ลายนกไซบินข้ามทุ่ง ลายแมงภู่ตอมดอก ลายกาเต้นก้อน เป็นต้น
เครื่องแต่งกาย ใช้ผู้แสดงหญิงล้วนสวมเสื้อแขนกระบอกสีพื้น นุ่งผ้ามัดหมี่ใช้ผ้าสไบเฉียงไหล่ ผูกโบว์ตรงเอว ผมเกล้ามวยทัดดอกไม้
เครื่องดนตรี ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ลายโปงลางหรือลายอื่นๆ
ฟ้อนโปงลาง
ฟ้อนไทยภูเขา
ฟ้อนไทยภูเขา เป็นชุดฟ้อนที่ได้นำสภาพชีวิตของชาวผู้ไทกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ซึ่งอยู่ที่อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศแตกต่างจากผู้ไทกลุ่มอื่นๆ เพราะอาศัยอยู่ในเขตเทือกเขาภูพาน ฟ้อนไทยภูเขาจะแสดงให้เห็นถึงสภาพชีวิตของชาวอีสานที่มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ โดยอาศัยธรรมชาติเป็นหลัก และแสดงให้เห็นการดำรงชีวิตของชาวผู้ไทตั้งแต่ การเดินขึ้นภู ไปเก็บเห็ด ผักหวาน ใบย่านาง ขุดหน่อไม้ และการตัดหวาย โดยใช้ดนตรีที่รุกเร้าสนุกสนาน นับเป็นฟ้อนชุดหนึ่งที่มีความสนุกสนานและสวยงามมากในการโชว์ผ้าแพรวา
เครื่องแต่งกาย ฝ่ายหญิงสวมเสื้อคอกลมแขนกระบอกสีแดงหรือดำ นุ่งซิ่นมัดหมี่ใช้ผ้าขิดมัดเอว แล้วใช้ผ้าแพรแบ่งครึ่งทบไขว้ทับที่เอว ทิ้งชายไปด้านข้างทั้ง 2 ชาย และใช้แพรวาโพกศรีษะ โดยใช้ปลายด้านกว้างของแพรวาทิ้งชายปกหน้าผาก ให้ชายรุ่ยๆ ปกหน้า ฝ่ายชายสวมเสื้อม่อฮ่อมนุ่งกางเกงขาก๊วย ใช้ผ้าขาวม้าผูกเอว และโพกศรีษะ แขวนย่าม
เครื่องดนตรีและอุปกรณ์ประกอบ ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสาน มีย่ามเป็นอุปกรณ์ประกอบการแสดง
ฟ้อนสาวอีสานเล่นน้ำ
ฟ้อนชุดสาวอีสานเล่นน้ำ เป็นชุดฟ้อนที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยอาจารย์ภาควิชานาฏศิลป์ วิทยาลัยครูมหาสาราคาม ชุดฟ้อนนี้จะแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตพื้นบ้านของชาวอีสาน หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน เมื่อถึงเวลาเย็นก็ชวนกันไปอาบน้ำชำระร่างกาย ตามห้วย หนอง คลอง บึง ซึ่งชุดสาวอีสานเล่นน้ำนี้คงได้แบบอย่างมาจากฟ้อนมโนราห์เล่นน้ำ แต่มีลีลาสวยงามแปลกตาไปอีกแบบหนึ่ง รูปแบบการฟ้อนจะแสดงให้เห็นขั้นตอนต่างๆ ในการอาบน้ำของสาวชาวอีสาน มีการถูเนื้อถูตัว ขัดสีฉวีวรรณ สางผม ปะแป้ง เป็นต้น
เครื่องแต่งกาย ใช้ผู้แสดงหญิงล้วน นุ่งผ้าถุงพื้นเมืองชักชายขึ้นหนึ่งข้าง สวมเสื้อในบางทับด้วยผ้าแพรวารัดอก
เครื่องดนตรี ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ทำนองเปิดผ้าม่านกั้งอีสานหรือลายน้ำโตนตาด
ฟ้อนคูณลาน
ชาวอีสานมีอาชีพในการทำนาเป็นหลัก ประเพณีหนึ่งที่อยู่ในฮีต 12 คือ บุญคูณลาน ซึ่งจะจัดทำในเดือนยี่ จุดมุ่งหมายในการทำบุญคูณลานก็เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ข้าวในลานข้าว ดังนั้นการทำบุญคูณลานจะทำที่ลานนวดข้าว หลังฤดูกาลเกี่ยว นวด ก่อนที่จะขนข้าวขึ้นยุ้งฉาง ดังกลอนโบราณอีสานว่า
เถิงฤดูเดือนยี่มาฮอดแล้วให้แต่งการบุญ
ให้นิมนต์พระสงฆ์องค์สวดมุงคุณค้ำ
ให้ทำการสร้างบุญคูณลาน
อย่าได้หล่าพากันเข้าป่าหาหมู่ไม้มาไว้เฮ็ดหลัว
อย่าได้มัวหลงลืมถิ้มคลองเดิมฮีตเก่า เฮาเดอ "
การทำบุญคูณลาน นั้นต่างคนต่างทำไม่พร้อมกัน ขึ้นอยู่กับการนวดข้าวของแต่ละคนว่า เสร็จช้าเร็วต่างกัน นาไผได้ข้าวหลายก็จะเสร็จช้ากว่า คนได้ข้าวน้อยก็จะเสร็จเร็ว ก่อนจะขนข้าวขึ้นเล้าหรือยุ้งฉางให้ทำบุญคูณลานในวันนั้นเสียก่อน จะมีโชค
ทางวิทยาลัยคณาสวัสดิ์ โดยอาจารย์พัชราภรณ์ จันทร์เหลือง และอาจารย์สนอง จิตรโคกกรวด จึงได้ประดิษฐ์ชุดฟ้อนบุญคูณลานขึ้น เพื่อสืบทอดประเพณีดั้งเดิมของชาวอีสานไว้ โดยจะเริ่มตั้งแต่การเริ่มต้นทำนา หว่านข้าวปลูก ปักดำ เกี่ยวข้าว จนกระทั่งขนข้าวขึ้นยุ้งฉาง
เครื่องแต่งกาย ฝ่ายหญิงนุ่งผ้าซิ่นพื้นเมือง สวมเสื้อแขนกระบอก ห่มผ้าสไบ ผมกล้าวมวยทัดดอกไม้ ฝ่ายชายสวมเสื้อม่อฮ่อม นุ่งกางเกงขาก๊วยสั้น ใช้ผ้าขาวม้าคาดเอว และโพกศรีษะ
เครื่องดนตรี ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ทำนองเซิ้งและจังหวะกลอง เช่นเดียวกับเซิ้งกระหยัง มีอุปกรณ์ประกอบการแสดงคือ กระบุง กระด้ง เคียว
ฟ้อนบุญคูนลาน โดย นาฏยศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

ฟ้อนอุบล - ฟ้อนกลองตุ้ม - เซิ้งกะโป๋ - เซิ้งทำนา | เซิ้งกุบ - เซิ้งสาวน้อยเลียบดอนสวรรค์ - เซิ้งสวิง - เซิ้งกระติบข้าว


