- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Food
- Hits: 22004
ก้อย | แกง | แจ่ว | ลาบ/ซกเล็ก
ก้อย
เมื่อพูดถึง “ก้อย” ในฐานะสำรับกับข้าวไทย ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักนึกถึง "ก้อยแบบภาคอีสาน" เป็นหลัก จนพูดได้ว่า "ก้อย" คืออาหารสไตล์อีสาน
เมื่อไปค้นที่วิกิพีเดีย ก็อธิบายว่า "ก้อย" คือ “อาหารท้องถิ่นทางภาคอีสาน คล้ายกับลาบและส้มตำ นิยมปรุงจากเนื้อสัตว์ดิบรวมถึงไข่และตัวอ่อนของแมลงที่กินได้ เช่น เนื้อวัว เนื้อกวาง เนื้อเก้ง เนื้อหมูป่า เนื้อปลา (ตะเพียน หรือ ปลาขาว) กุ้งฝอย หอยเชอรี่" ส่วน พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ระบุว่า “ก้อย น. ชื่ออาหารชนิดหนึ่ง คล้ายพล่า ทำด้วยกุ้งสด เรียกว่า ก้อยกุ้ง”
ก้อย เป็นอาหารที่มีส่วนประกอบหลัก คือ เนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ ได้แก่ กุ้ง หอย ปลา หมู วัว ควาย ไข่มดแดง และสัตว์ป่าอื่นๆ เป็นต้น การก้อยจะหั่นเนื้อสัตว์เป็นชิ้นบางๆ อาจดิบหรือสุก โดยการย่าง ลวก หรือนำส่วนผสมก้อยที่ปรุงดิบ นำไปคั่ว (ตั้งไฟอ่อน) ให้สุก ปรุงรสด้วยน้ำปลาร้า น้ำปลา น้ำมะนาว หรือเครื่องปรุงรสเปรี้ยวอื่นๆ เช่น มะม่วงดิบ ตัวมดแดง ตามด้วยพริกแห้งป่น ข้าวคั่ว หัวหอมซอยหรือต้นหอมหั่นฝอย หอมเป (หอมห่อหรือผักชีฝรั่ง) ใบมะกรูด ใบสะระแหน่ ชิม ให้ออกรสเปรี้ยวนำ รับประทานกับผักสดชนิดต่างๆ เช่น ลิ้นฟ้าเผา (เพกา) ยอดติ้วอ่อน ใบมะตูม อ่อน ใบมะกอกอ่อน ถั่วฝักยาว มะเขือ แตงกวา เป็นต้น
ข้อสังเกตหนึ่งของ "ก้อย" ที่แตกต่างจาบ "ลาบ" คือ การมีรสเปรี้ยวนำจากพืช/ผัก/ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว และสัตว์ที่ให้รสเปรี้ยว เช่น มดแดง เป็นส่วนประกอบหลัก ในขณะที่ลาบจะไม่เน้นที่รสเปรี้ยวมากนัก จะนัวกลมกล่อมมากกว่า ถ้าเป็นสัตว์เนื้อ อย่าง วัว ควาย จะเน้นมีรสขมของ น้ำเพลี้ยอ่อน (ต้มสุก) หรือน้ำดีสัตว์ชนิดนั้นๆ เป็นรสนำ
อีกข้อหนึ่งก็คือ ถ้าเป็นเนื้อสัตว์ ไก่ เป็ด หมู เนื้อ การทำก้อยจะไม่สับให้เนื้อละเอียด แต่จะทำให้สุกด้วยการต้ม ย่าง นำมาฉีกหรือหั่นเป็นฝอยก่อนการปรุง ยกเว้น ก้อยปลา ที่นิยมสับให้ละเอียด (อาจเพื่อสับก้างให้แหลกไปในตัว) แล้วนำไปคลุกกับมดแดงคั้นบีบจนเนื้อขาว นำไปคั่วให้สุกจึงมาปรุงด้วยเครื่องลาบ
ส่วน "ก้อยกุ้ง" นั่นจะเอากุ้งฝอยดิบๆ มาล้างทำความสะอาด ใส่หม้อ/ชาม (ขณะยังเป็นๆ กระโดดได้) เติมเครื่องปรุงทั้งหลาย ข้าวคั่ว หัวหอม พริกสดหั่น พริกป่น น้ำปลาร้า น้ำมะนาวลงคลุก ปิดด้วยฝาหม้อเขย่าให้เข้ากัน ก็จะได้กุ้งเต้นแบบแซบๆ จนแทบจะตะครุบกินกันเลยทีเดียว
การเรียกชื่ออาหารก็จะเรียกนำด้วยคำว่า "ก้อย" ตามด้วยชนิดของเนื้อสัตว์นั้นๆ เช่น ก้อยกุ้ง ก้อยหมู ก้อยไข่มดแดง เป็นต้น เมื่อยามหน้าฝนเดือนหก ฝนตกพรำๆ แผ่นดินที่เคยแห้ง แล้งก็จะชุ่มฉ่ำ ช่วงนี้จะมีเห็ดออกดอกเป็นจำนวนมาก ได้มีผู้คิดประดิษฐ์อาหารด้วยการนำมา ก้อย ที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยแท้จริงคือ ก้อยเห็ดปลวก (เห็ดโคน) จะแม่นแซบหลายเด้อแนวบ่มีเลือด
ก้อยไข่มดแดง
ส่วนผสม
1. ไข่มดแดง | 300 กรัม |
2. หัวหอมซอย | 7 - 8 หัว |
3. น้ำปลาร้า | 2 ช้อนโต๊ะ |
4. น้ำปลา | 1 ช้อนโต๊ะ |
5. น้ำมะนาว | 1 ช้อนชา |
6. พริกแห้งป่น | 1.5 ช้อนโต๊ะ |
7. ข้าวคั่วป่น | 2 ช้อนโต๊ะ |
8. ต้นหอมหั่นฝอย | 3 ช้อนโต๊ะ |
9. ใบสะระแหน่ | 5 - 6 ต้น (เด็ดเป็นใบ) |
วิธีทำ
- นำไข่มดแดงล้างให้สะอาดใส่กระชอน พักให้สะเด็ดน้ำ ใส่อ่างผสม
- นำเครื่องปรุงทั้งหมดใส่คลุกเคล้าให้เข้ากัน
- ใส่พริกแห้งป่น ข้าวคั่วป่น หัวหอมซอย ต้นหอมหั่นฝอยชิมรส ตักใส่จาน โรยหน้าด้วย ใบสะระแหน่และพริกชี้ฟ้าสด
ผักเครื่องเคียง
ผักที่นิยมรับประทานเป็นเครื่องเคียงได้แก่ ผักกะโดน ผักเม็ก ผักติ้ว ผักหนอก (ใบบัวบก) มะเขือ ถั่วฝักยาว แตงกวา และอื่น ๆ
หมายเหตุ
ส่วนผสมอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : อาชีพเสริมเลี้ยงมดแดงเอาไข่
แกง
แกง เป็นการปรุงอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ รสชาติเข้มข้น มีรสเผ็ดเค็มเป็นหลัก เครื่องปรุงแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
- ส่วนน้ำพริก ประกอบด้วย พริกแห้งหรือพริกสด ตะไคร้และหัวหอม อาจใส่ขมิ้นชันเล็กน้อย (บางครอบครัว) ในแกงที่มีปลา กบ เขียดหรืออึ่งอ่าง เพื่อดับกลิ่นคาว
- เครื่องปรุงอื่น ประกอบด้วย เนื้อสัตว์เช่น ปลา ปลาย่าง กบ เขียด หอยขม ไก่ หมู วัว ควาย ไข่มดแดงและแมลงต่าง ๆ เช่น แมงจินูน ผักชนิดต่างๆ เช่น หน่อไม้สด หน่อไม้ดอง ฟักทอง ฟัก มะเขือ ผักหวาน หยวกกล้วย หัวปลี ใบขี้เหล็ก สายบัว ผักอีเลิด (ใบชะพลู) อีลอก บุก หวาย ผำ ขนุนอ่อน เป็นต้น ส่วนผักที่นิยมใส่ในการแต่งกลิ่นเช่น ผักอีตู่ (ใบแมงลัก) ผักแขยง ผักชี ลาว เป็นต้น ปรุงรสด้วยปลาร้า น้ำปลา เกลือ
น้ำที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นน้ำเปล่า แต่แกงบางชนิดอาจใช้น้ำใบย่านาง เพื่อเพิ่มรสชาติ และ ลดรสขื่นของผัก เช่น แกงหน่อไม้สด แกงขี้เหล็ก แกงขนุนอ่อน แกงหวายและแกงเห็ด ส่วนน้ำกะทิ จะใช้น้อยมากในแกงพื้นเมืองอีสาน จะมีบ้างเช่น แกงหน่อไม้สด (ไผ่ตง) แกงไก่หรือแกงปลาที่ใส่ วุ้นเส้นเป็นหลัก (บางครอบครัว)
แกงขี้เหล็ก
ส่วนผสม
1. ใบขี้เหล็กที่ต้มแล้ว (ต้มรินน้ำทิ้ง 2 ครั้ง) | 500 กรัม |
2. หนังวัวต้มหั่น หรือไข่มดแดง | 100 กรัม |
3. น้ำใบย่านาง | 3 ถ้วยตวง |
4. ต้นหอมตัดท่อนสั้น | 1/4 ถ้วยตวง |
5. ใบอีตู่ (แมงลัก) | 1/4 ถ้วยตวง |
6. ตะไคร้ ตัดท่อนยาว 2 นิ้ว | 2 - 3 ชิ้น |
ส่วนผสมน้ำพริกแกง
1. พริกแห้งหรือพริกสด | 15 เม็ด |
2. หัวหอมแดง | 10 หัว |
3. ตะไคร้หั่นฝอย | 7 - 8 ต้น |
4. เกลือ | 2 ช้อนชา |
5. น้ำปลาร้า | 4 ช้อนโต๊ะ |
6. น้ำปลา | 2 ช้อนโต๊ะ |
วิธีทำ
- โขลกตะไคร้ พริกแห้งหรือพริกสด หัวหอมแดงพอหยาบๆ ใส่เกลือ
- นำน้ำใบย่านางที่โขลก ใส่หม้อตั้งไฟใส่ใบขี้เหล็ก คนให้เข้ากัน ใส่ตะไคร้ พอเดือดปรุงรสด้วย น้ำปลาร้า น้ำปลา ใส่หนังวัวหั่นหรือไข่มดแดง ต้มต่อไปให้เดือดอีกครั้ง ชิมรส ใส่ผักแต่งกลิ่น ต้นหอม อีตู่ ยกลงรับประทาน
หมายเหตุ
ส่วนผสมอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม [ ไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ ]
แจ่ว
แจ่ว เป็นอาหารพื้นฐานของอาหารหลายชนิด แจ่วเป็นเครื่องจิ้มเพื่อเสริมรสของอาหาร ทุกมื้อและทุกบ้านเรือน มีวิธีทำง่ายมาก กล่าวคือ ใช้น้ำปลาร้าและพริกผสมกัน พริกนั้นใช้ได้ทั้ง พริกแห้งและพริกสด สิ่งที่นำมาจิ้มแจ่วอาจเป็นผักหรือเนื้อสัตว์ หรือทั้งผักและเนื้อสัตว์ ผักที่จิ้มแจ่ว ในขั้นแรกน่าจะเป็นผักที่มีรสเปรี้ยว ต่อมาแจ่วจึงวิวัฒนาการ เป็นแจ่วที่มีส่วนผสมหลายอย่างขึ้น เช่น มีน้ำมะนาวหรือมะเขือเทศผสม เพื่อให้มีรสชาติกลมกล่อม และเมื่อแจ่วนำมาใช้จิ้มอาหาร ประเภทเนื้อสัตว์ด้วย อาหารเนื้อสัตว์ไม่ว่าจะเป็นปลา ไก่ วัว ล้วนมีกลิ่นคาวเฉพาะตัว แจ่วจึงได้มี วิวัฒนาการต่อไป โดยการนำพืชสมุนไพรที่ให้กลิ่นเพื่อดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ สมุนไพรเหล่านั้น ได้แก่ หัวหอม กระเทียม ข่า ตะไคร้ เป็นต้น
ดังนั้น จากแจ่วที่มีเครื่องปรุงพื้นฐานจากน้ำปลาร้าผสมพริก จึงมีวิวัฒนาการ ขั้นตอน กระบวนการทำ ที่ซับซ้อนขึ้น ด้วยเครื่องปรุงหลากชนิด มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามลักษณะของ เครื่องปรุง หรือชนิดของอาหารที่นำมาจิ้ม เช่น แจ่วพริกสด (แจ่วต้นตระกูลดั้งเดิม) แจ่วมะเขือเทศ แจ่วบอง (เก็บไว้ได้นาน เหมาะแก่การนำติดตัวเดินทางไกล มีส่วนผสมของปลาย่าง และพืชสมุนไพรหลากหลาย) แจ่วเพลี้ย เป็นต้น
ลาบ ซกเล็ก งัวน้อยเกือกตม เลือดแปลง
ลาบ เป็นการปรุงอาหารโดยนำเนื้อสัตว์ เช่น หมู วัว ควาย มาสับหรือหั่น แล้วนำไปทำให้สุกด้วยความร้อนอาจคั่วหรือลวกในน้ำเดือด ปรุงรสด้วย พริกแห้งป่น ข้าวคั่ว น้ำปลาร้า น้ำปลา และน้ำมะนาว (สำหรับผู้ชอบรสเปรี้ยว) หรือน้ำดี (สำหรับผู้ชอบรสขม) คลุกเคล้าให้เข้ากัน แต่งกลิ่นด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย ต้นหอมหั่นฝอย หอมเปและใบสะระแหน่ รับประทานกับผักสด เช่น ลิ้นฟ้า ผักหนอก (ใบบัวบก) ผักแพว (ไผ่) กระโดน เม็ก ใบมะตูมอ่อน ถั่วฝักยาว แตงกวา ผักกาดหิ่น เป็นต้น
ซกเล็ก วิธีการทำเหมือนกับลาบทุกประการ แต่ไม่นำไปลวกหรือทำให้สุกอย่างลาบ เมื่อปรุงเครื่องปรุงชิมรสได้ที่แล้ว (อาจทำให้รสจัดกว่าลาบ) แล้วนำเอาเลือดสัตว์นั้นๆ มาคั้นให้เลือดแตก (ไม่จับเป็นก้อนด้วยใบตะไคร้) นำไปคลุกเคล้ากับลาบดิบๆ นั้นก็จะได้ซกเล็กรสแซ่บ ถ้าใส่เลือดน้อยแต่เพิ่มน้ำขี้เพลียและดีให้ออกรสขม จะเรียกว่า "งัวน้อยเกือกตม" ในกรณีที่เป็นหมูอาจทำให้เนื้อสุกก่อน (เพราะในเนื้อหมูมีพยาธิเยอะ) จึงค่อยใส่เลือด
เลือดแปลง เป็นการทำลาบเลือดจากเครื่องในหมู โดยนำเครื่องในหมูเช่น ปอด ตับ หัวใจ กระเพาะ ใส้อ่อน มาทำความสะอาดให้ปราศจากกลิ่นคาว แล้วจึงนำไปต้มให้สุก นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พอคำแล้วนำมาปรุงรสด้วยเครื่องปรุงเช่นเดียวกับลาบ จากนั้นจึงเติมด้วยเลือดหมูลงไป
สำหรับท่านที่ไม่กล้ารับประทานแบบดิบๆ จะนำไปคั่วให้สุก จะได้รสชาติที่แตกต่างไป อีกแบบ มีกลิ่นหอมน่ารับประทานทีเดียว
นอกจากจะใช้เนื้อหมู วัว ควายมาทำเป็นลาบแล้ว ในปัจจุบันชาวอีสานพลิกแพลงได้จากเนื้อสัตว์แทบทุกชนิด เช่น เป็ด ไก่ ปลา ในโอกาสต่อไปจะได้นำสูตรเด็ดๆ ของอาหารประเภทลาบมานำเสนอต่อไป
ลาบไทอีสาน | Cook Culture
ก้อย | แกง | แจ่ว | ลาบ/ซกเล็ก
[ เรื่องที่เกี่ยวข้อง : ลาบเทา | ลาบหมาน้อย | ลาบไก่งวง | ลาบนกคุ่ม | ลาบเหนียวปลาตอง | วิญญาณ ๕ ชาวอีสาน ]
- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Food
- Hits: 19478
วันนี้ (7 เมษายน 2545) หลบลมร้อนไปนั่งแพริมฝั่งน้ำมูลที่หาดศรีภิรมย์ ห่างจากตัวเมืองอุบลราชธานี ไปตามเส้นทางอุบลราชธานี - อำเภอตาลสุม ระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตร ถึงบ้านปากน้ำเลี้ยวขวาไปประมาณ 2 กิโลเมตร มีแพริมน้ำมูลอยู่มากมาย น้ำใสสะอาดดีครับ ก็ขอเชิญชวนทุกท่านได้ไปเที่ยวพักผ่อนกันในหน้าร้อนอย่างนี้
นอกจากจะนั่งแพพักผ่อนได้ลงเล่นน้ำให้เย็นใจแล้ว ที่นี่ยังมีบริการห่วงยางรถยนต์ จักรยานน้ำไว้บริการ ที่สำคัญคือ อาหารพื้นเมืองรสอร่อยให้ลิ้มลองกันมากมายทีเดียว ที่ขึ้นชื่อก็เห็นจะเป็นปลาเผา กุ้งเต้น ไก่อบ ก้อยไข่มดแดง ส้มตำ ฯลฯ ยังมีอีกมากสาธยายไม่หมด ไปลองเองดีกว่าครับ
ปลาเผารสเลิศ
เป็นปลาช่อนที่คลุกด้วยเครื่องปรุงรสและเครื่องเทศ อย่างตะไคร้ ใบมะกรูด รากผักชี ห่อด้วยกระดาษฟอยล์ อบในปี๊บเผาด้วยใยมะพร้าว หรือฟาง จนสุกได้ที่ และอีกแบบปลาเผาทาเกลือ ย่างไฟจนสุกเกลือจะแทรกรสเค็มนิดๆ เข้าไปในเนื้อปลา อร่อยไม่แพ้กันครับ วางเคียงด้วยผักกาดขาว ผักกาดหอม ผักชี ต้นหอมสด และใบสะระแหน่ พร้อมด้วยน้ำจิ้ม 2 รสทั้งแบบรสเปรี้ยวหวานพริกสด และแบบน้ำจิ้มหวานแป๊ะซะ หอมกลิ่นเครื่องเทศจนน้ำลายสอทีเดียวแหละครับ เนื้อปลารสกลมกล่อมจากเครื่องปรุงรสพอดีๆ ไม่ต้องจิ้มก็ยังอร่อย
กุ้งเต้นระบำ รสแซบๆ
อาหารพื้นเมืองขึ้นชื่ออีกชนิดหนึ่งครับ เป็นการปรุงจากกุ้งฝอยสดๆ คลุกเคล้ากับเครื่องปรุงรสข้าวคั่ว พริกป่น หอมซอย ใบสะระแหน่ น้ำปลาดี และเหยาะน้ำปลาร้าต้มสักหน่อย รสชาติแซบอย่าบอกใครเชียว ภาพประกอบบนนั่นเป็นแบบนำไปคั่วให้สุกก่อนสำหรับคนที่ไม่กล้ารับประทานแบบดิบๆ ก็หอมอร่อยไปอีกแบบ
ส่วนภาพล่างนี่แบบดั้งเดิม สดไม่สดก็ขนาดต้องนำจานเปล่าครอบปิดมาเสิร์ฟกันเลยทีเดียว พอเปิดจานเท่านั้นแหละครับตะครุบแทบไม่ทันเลยทีเดียว ผมมีเคล็ดที่ไม่ลับครับก่อนจะเปิดขึ้นมาเปิบ ต้องเขย่าจานพร้อมฝาปิด เพื่อให้กุ้งและเครื่องปรุงคลุกเคล้าให้เข้ากันเสียก่อน ภาษาอีสาน "เขย่าจนกุ้งเยา" (เกือบตาย) จะได้รับประทานอย่างออกรสชาติ ไม่กระโดดออกจากจานไปไกล (ออกแนวซาดิสค์เล็กน้อย)
เครื่องเคียงที่คู่กันก็ต้องยอดผักกระโดนน้ำห่อกุ้งเป็นคำๆ จะได้รสชาดที่เยี่ยมยอด บางคนก็ชอบผักแพว แตงกวา หรือจะถั่วฝักยาวก็ได้ ระวังให้ดีก็ 'ลูกโดด' พริกสดหั่นเล็กครับ (ถูกซ่อนไว้ในก้อยกุ้ง) เผ็ดสลบเชียวนา กุ้งที่นี้เมื่อซื้อมาจากชาวประมงพื้นบ้านจะยังไม่ตาย สดๆ อยู่ก็จะนำมาใส่ในข้อง หรือพิเศษหน่อยก็ทำโครงโลหะหุ้มด้วยตาข่ายไนล่อนสีฟ้า แช่ไว้ในน้ำมูลนี่แหละครับ จึงรับประกันการเต้นทุกตัวในจาน
อาหารแนะนำ "เมี่ยงแมงกิซอน"
ผมก็พึ่งได้ลิ้มลองรสชาดวันนี้แหละครับ แมงกะชอนหรือแมงกิซอนตามสำเนียงอีสาน นำไปคั่วกับเกลือให้สุก นำมาห่อด้วยยอดใบกระโดนน้ำอ่อนๆ ใส่เครื่องเคียงคือ ตะไคร้หั่นฝอย พริกสดหั่น (นี่สูตรชาวบ้านครับ) สำหรับผมถ้าได้ หอมแดงซอย กระเทียมสด และ มะนาวหั่นชิ้นเล็กๆ จะได้รสชาดเปรี้ยวและมันเพิ่มขึ้นอีกเยอะ ลองดูนะครับ ห่อนี้ผมซื้อด้วยราคาสิบบาทครับ
บางช่วงฤดูอาจจะมีปูทอด กุ้งทอด อ่อมหอยจูบ ก้อยหอยโข่งด้วย แต่ที่ขาดไม่ได้แน่นอน ส้มตำ/ไก่ย่าง นี่มันของคู่กันขาดไม่ได้เลย ยิ่งได้ปลาแดกต่วงปรุงแซบๆ นี่หอมหวลชวนน้ำลายสอมาแต่ไกลเลยทีเดียวครับ
- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Food
- Hits: 23207
เมื่อวันมาฆะบูชา (23 กุมภาพันธ์ 2548) ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปนมัสการพระธาตุพนมและทำบุญผ้าป่ากับญาติๆ ก็เดินทางจากอุบลราชธานีตอนตีสี่ ไปถึงวัดพระธาตุพนมตอนประมาณเกือบ 7 โมงเช้า (มีการก่อสร้างถนนช่วงอำเภอนิคมคำสร้อยไปถึงจังหวัดมุกดาหาร เลยเสียเวลานิดหนึ่ง)
ช่วงนี้ทางวัดกำลังบูรณะองค์พระธาตุพนม เนื่องจากมีนกไปถ่ายอุจจาระที่เป็นเมล็ดพืชไว้ตามลวดลาย ชั้นปูนปั้นบนองค์พระธาตุ มีรากไม้เกาะทำให้องค์พระธาตุเสียหาย จึงต้องเก็บทำความสะอาด ทาสีและลงรักปิดทองใหม่
ศิษยานุศิษย์และผู้เลื่อมใสมาจากทั่วสารทิศเลยครับ มุ่งหน้าสู่พระธาตุพนมในช่วงเวลาดังกล่าว (งานมี 9 วัน วันที่ผมไปเป็นวันที่ 8 ของงาน) ต่างก็ตั้งใจมาเคารพสักการะ ทำบุญกันถ้วนหน้า ทั้งตั้งกองผ้าป่าถวาย ตักบาตรวันเกิดและบริจาคตามกำลังศรัทธา
ก็คงเหมือนกับงานวัดทั่วๆ ไปแหละครับที่มีการจัดมหรสพ จัดจำหน่ายสินค้าโดยพ่อค้าแม่ค้ามากมาย สิ่งที่ผมพบและคงจะต้องฝากไปยังทางวัดก็คือเรื่อง ห้องน้ำห้องท่า หรือห้องสุขานี่แหละครับ ที่แม้จะมีมากเพียงพอในยามปกติ แต่ตอนมีงานอย่างนี้ไม่พอครับเพราะโดนยึดจากพ่อค้าแม่ค้าใช้เป็นที่อาบน้ำ ต่อสายยางนำน้ำไปใช้เลยปิดประตูไม่ได้ ทางแก้ก็ง่ายๆ ครับ ทำห้องสุขาชายให้สบายโดยไม่ต้องเข้าไปในห้องเพิ่มขึ้น เพิ่มก็อกน้ำสำหรับบริการหน่อยเท่านั้นเองครับ
จะอย่างไรก็ตาม นั่นเป็นปัญหาหนักใจของคนทุกข์หนักที่ไปร่วมงานบุญครับ แต่ในส่วนอื่นๆ ก็มีสิ่งดีๆ อยู่เยอะครับ อย่างการบูชาดอกไม้ธูปเทียนตามใจศรัทธาของญาติโยม (หย่อนลงตู้รับบริจาคเลย) การห้ามไม่ให้มีการจำหน่ายสิ่งของเครื่องใช้อันเป็นการรบกวนผู้มาร่วมงานบุญในเขตวัดก็เป็นสิ่งดี
จะมีรบกวนหน่อยก็กลุ่มช่างภาพรับจ้างนั่นแหละ ที่มีมากขาดระเบียบ จุ้นจ้านไปทั่ว และดูเหมือนจะเป็นการกันท่ามุมสวย ไม่ให้คนมีกล้องได้เข้าไปส่วนนั้นเสียด้วย น่าจะมีการตั้งซุ้มบริการเป็นกิจลักษณะหน่อยก็ดี มีคิวของช่างภาพที่ให้บริการ มีการกำหนดบริเวณเฉพาะไว้ อย่างในแหล่งท่องเที่ยวในต่างประเทศที่ผมเคยไปพบมา (ทั้งๆ ที่มีป้ายประกาศห้ามช่างภาพมารบกวนนักท่องเที่ยวตั้งเด่นเป็นสง่า แต่ก็ยังมารบกวนมิได้ขาด หรือช่างภาพพวกนี้อ่านภาษาไทยไม่ออกกันแน่)
ถ้าอยากให้สะดวกก็สามารถเดินทางไปนมัสการพระธาตุพนมในช่วงเวลาปกติ ที่ไม่มีงานบุญ เพราะหาที่จอดรถราสะดวก ผู้คนน้อยไม่มีสิ่งมากวนใจ จะได้จิตใจผ่องใสได้บุญกุศลสมดังเจตนา เสร็จจากการทำบุญแล้ว ก็ย้อนกลับตามเส้นทางพระธาตุพนม-มุกดาหาร-อำนาจเจริญ-อุบลราชธานี ออกมาประมาณสัก 10 กว่ากิโลเมตรจะพบป้ายแหล่งท่องเที่ยว แก่งกะเบา เลี้ยวซ้ายแวะเข้าไป 8 กิโลเมตร ก็ถึงแล้วครับ
แก่งกะเบา
เป็นแก่งหินกลางลำน้ำโขง ทิวทัศน์ก็พอดูได้ครับ (ไม่สวยเท่ากับน้ำตกหลี่ผี คอนพระเพ็ง) ทางฝั่งไทยเราจะมีโขดหินเรียงรายยื่นออกไป มีจุดที่สามารถลงเล่นน้ำได้ (สงกรานต์ที่นี่จะคึกคักพอสมควร)
หมูหัน
ริมฝั่งจะมีร้านหมูหันหลายเจ้าครับ (ถ้ามาแก่งกระเบาไม่ได้ชิมหมูหัน เขาถือว่ามายังไม่ถึงนะครับ) ก็เลือกเอาตามใจชอบนะครับ ผมเลือกร้านที่มีกระท่อมตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงเลย จะได้ชมทัศนียภาพของฝั่งแม่น้ำมิตรภาพลาว-ไทยไปด้วย ชิมไปด้วยอากาศเย็นสบายทีเดียว
ราคาอาหารก็ไม่แพงนักครับ อย่างหมูหันตัวหนึ่งก็เริ่มที่ 400-500 บาทแล้วแต่ขนาด (ราคาเมื่อปี 2548 ล่าสุดผมไปมาเมื่อก่อนเข้าพรรษา 2560 ราคาตัวละ 1,200 - 2,000 บาทแล้วครับ) ชี้เอาได้เลยชอบตัวไหน ที่หันเตรียมไว้แล้วใกล้สุกได้ที่ก็มีหลายขนาด เลือกได้แล้วทางร้านจะนำไปย่างอุ่นไฟอีกรอบ จนหนังกรอบ หอม (น่าอร่อยจนน้ำลายสอขณะไปถ่ายภาพมาให้ชม) ผมก็เลือกมาตัวหนึ่งขนาดกำลังเหมาะ (500) ระหว่างที่รอก็คุยสอบถามกันหน่อยตามธรรมเนียม ถึงวิธีการทำและสูตรเด็ดของทางร้าน (ไม่ได้คิดจะมาทำแข่งหรอกครับ ขอชิมอย่างเดียวดีกว่า)
เริ่มจากหมูที่นำมาหัน เป็นลูกหมูครับที่ทางฟาร์มเขาคัดออก เนื่องจากมีสภาพที่แคระแกรน เลี้ยงขุนไม่ขึ้นเปลืองรำเปล่าๆ (เขาว่ามาอย่างนั้น) ทางฟาร์มจะคัดตัวที่สมบูรณ์เพื่อเลี้ยงหรือขายให้เกษตรกรไป แม่หมูตัวหนึ่งตกลูก 8-10 ตัวก็อาจจะได้ลูกหมูที่ดี 5-6 ตัวเป็นอย่างมาก ที่เหลือก็จะจำหน่ายให้กับผู้ทำร้านอาหารหมูหันไป
ทางร้านก็จะนำมาชำแหละ นำเครื่องในออกตามขั้นตอน จนได้ตัวหมูอย่างที่เห็นนำไปล้างทำความสะอาด ผึ่งลม แล้วจึงนำไปหมักในเครื่องเทศสูตรเฉพาะของแต่ละร้าน (ความจริงก็จะใช้คล้ายๆ กันครับ มีรากผักชี พริกไทย กระเทียม ตำให้ละเอียด ใช้ซีอิ้วขาว ซอสถั่วเหลือง ซอสน้ำมันหอย ผงพะโล้นิดหน่อย สัดส่วนเขาไม่บอกผมเลย) นำมาคลุกเคล้าให้ทั่วโดยเฉพาะด้านในตัวหมู หมักทิ้งไว้ 3-4 ชั่วโมง เสียบเหล็กง่ามให้ตัวหมูแผ่ออก ย่างบนไฟอ่อนๆ หมุน (หัน) ไปเรื่อยๆ นำน้ำมันหอมเจียวทาที่หนังไม่ให้ไหม้ไฟเป็นระยะๆ
ได้ที่แล้วนำมาสับเป็นชิ้นพอเหมาะ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด พริกสด/กระเทียมตำให้ละเอียด รสเปรี้ยว/หวานนำเค็ม หรือบางท่านอาจจะชอบจิ้มกับซีอิ๊วดำก็ได้ตามชอบ
อาหารจากปลาแม่น้ำโขง
ส่วนอาหารอื่นที่แนะนำสำหรับแก่งกระเบา ก็จะเป็นพวกอาหารปลาที่ทำจากปลาแม่น้ำโขง (ปลาเคิง ปลาคัง) จะลวก ลาบ ต้มยำก็อร่อยเด็ดพอๆ กัน ปลาเนื้ออ่อนทอดก็อร่อย มาที่นี่ต้องสั่งหมูหัน ถ้าจะสั่งแต่ไก่ย่าง/ส้มตำ ถือว่ายังมาไม่ถึงแก่งกระเบานะครับ อิ่มแล้วก็ค่อยเดินทางไปมุกดาหารแวะชม/ช็อปสินค้าในตลาดอินโดจีนกันต่อไป
เที่ยวแก่งกะเบา กินหมูหันริมฝั่งโขง
อิ่มทองเดินทางออกจากแก่งกะเบาผ่าน "เมืองมุก" จังหวัดมุกดาหาร ก็แวะพักผ่อนชมวิวริมแม่น้ำโขง หรือจะช็อปปิ้งในตลาดอินโดจีนก็ได้เช่นกัน สินค้าส่วนใหญ่จะมาจากจีนและเวียดนาม คุณภาพก็ตามราคานะแหละจะหวังให้ทนทานได้มาตรฐานก็คงไม่ได้ ทำใจก่อนนะครับถ้าจะซื้อ
- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Food
- Hits: 36740
มื้อนี้ขอเสนอเมนูอีสานรสเด็ดที่จัดได้ว่า เข้าข่ายอาหารโบราณอีกชนิดหนึ่ง ที่อีกไม่นานจะลางเลือนไปจากความทรงจำ คงมีเพียงภาพและคำบรรยายเก็บไว้เป็นข้อมูลเท่านั้น อาหารชนิดนี้ก็คือ ลาบเทา และ แกงไข่ผำ มีหลายท่านไม่กล้ารับประทานเพราะความกลัวว่า จะนำเอาสาหร่าย เทา และไข่ผำ มาจากแหล่งน้ำสกปรก โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่และแหล่งโรงงานอุตสาหกรรม อาวทิดหมูขอยืนยันด้วยเกียรติและหลักการทางวิทยาศาสตร์ว่า เทา และไข่ผำ จะเจริญเติบโตได้เฉพาะในน้ำที่สะอาด ไม่มีสารพิษเท่านั้น ฉะนั้น จงมั่นใจได้ว่าไม่มีพิษภัยแน่นอน
เทา (Spirogyra)
เทา เป็นสาหร่ายน้ำจืดชนิดหนึ่ง ชื่อภาษาอังกฤษคือ Spirogyra (สไปโรไจรา) (คนอีสานเรียกสาหร่ายชนิดนี้ว่า "เทา") เป็นสาหร่ายที่ชอบขึ้นในน้ำจืดที่สะอาดทั้งน้ำนิ่ง และน้ำไหลเอื่อยๆ มีสีเขียวเป็นเส้นกลมยาวขนาดเล็กพันกันเป็นเกลียวนิ่มลื่นมือ พบได้ในแหล่งน้ำภาคเหนือและอิสาน เรียกสาหร่ายชนิดนี้ว่า เทา หรือผักไก นิยมนำมาบริโภคในรูปผักจิ้มน้ำพริก ทำลาบ และมีรายงานว่าเป็นสาหร่ายที่นิยมบริโภคในประเทศพม่า เวียตนาม และอินเดียด้วย
เทา คือ Spirogyra (สไปโรไจรา) เป็นสาหร่ายที่ชอบขึ้นในน้ำจืดที่สะอาดทั้งน้ำนิ่ง และน้ำไหลเอื่อยๆ มีสีเขียวเป็นเส้นกลมยาวขนาดเล็กพันกันเป็นเกลียว
ประโยชน์ของเทา นอกเหนือจากเป็นอาหาร คือ ใช้เป็นปุ๋ยชีวภาพ จากการวิจัยของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พบว่า สาหร่ายสีเขียวในนาข้าวบางชนิด สามารถตรึงไนโตรเจนในอากาศให้เป็นสารประกอบไนโตรเจน เช่น แอมโมเนียม ทำให้ข้าวเจริญเติบโต
ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง สาหร่ายประกอบด้วยสารเคมีบางชนิด ที่ช่วยในการรักษาผิวหนัง ชนเผ่า Kanembu ได้ใช้สาหร่ายเกลียวทองรักษาโรคผิวหนังบางชนิด การศึกษาในประเทศญี่ปุ่นพบว่า เครื่องสำอางที่ผสมสาหร่ายและสารสกัดจากสาหร่าย ช่วยให้ผิวพรรณดีขึ้นและลดริ้วรอย ส่วนในประเทศไทย ก็ได้มีบริษัทหลายแห่งที่ใช้สาหร่ายเป็นเครื่องสำอางในรูปครีมบำรุงผิว
ใช้ในอุตสาหกรรมยา นักวิทยาศาสตร์ และนายแพทย์หลายท่าน ได้ทดลองใช้สาหร่ายในการป้องกัน และรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคกระเพาะ อีกทั้งยังช่วยลดความเครียด และความไม่สมดุลในร่างกาย ในประเทศฝรั่งเศส ได้มีการทดลองใช้ธาตุแมกนีเซียมในคลอโรฟิลล์ของสาหร่าย ในการรักษาบาดแผล ซึ่งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ ป้องกันการเกิดของแบคทีเรีย และช่วยสร้างเซลล์ขึ้นมาใหม่ด้วย คลอโรฟิลล์ในสาหร่ายมีโครงสร้างเหมือนสารสีแดงในเลือด (hemo-globin) นักวิทยาศาสตร์จึงแนะนำให้ใช้คลอโรฟิลล์รักษาโรคโลหิตจาง สาหร่ายบางชนิดเป็นสารปฏิชีวนะซึ่งเป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์
ขั้นตอนการทำลาบเทา
การทำลาบเทา ไม่ยุ่งยากเลย ไปหา ทาว(ช้อน)เอาเทาตามห้วยหนองคลองบึง ไฮ่นา ควรเลือกแหล่งน้ำที่สะอาด เชื่อใจได้ เทาจะเกิดก็ต่อเมื่อมีอุณหภูมิและช่วงเวลาที่เหมาะสม ปีหนึ่งมักจะเกิดแค่ 2 ครั้ง คือ ช่วงข้าวเขียว (กลางฤดูฝน ) และในฤดูหนาว สภาพอุณหภูมิ และระบบนิเวศของน้ำมีความสำพันธ์กันอย่างเหมาะสม จึงจะเกิดเทาขึ้นมาได้มากน้อยต่างกัน พบว่า... แหล่งน้ำในช่วงฤดูหนาว เป็นช่วงที่เกิดเทาได้มาก และพบเทาได้มากกว่าในช่วงฤดูอื่น (เดือนพฤศจิกายน - มกราคม) ได้เทามาแล้วก็เตรียมเครื่องปรุงต่างๆ ดังนี้
- หอมแดง พริกสด ต้นหอม ยี่หร่า (ผักหอมเป) ใบหูเสือ มะเขือ(ขื่น) ถั่วฝักยาว
- ป่นปลา (ตามชอบหรือหาได้ ป่นปลาข่อ ปลาเข็ง ปลาทู)
- พริกป่น ข้าวคั่ว
- น้ำปลา น้ำปลาแดก ผงชูรส (ถ้าชอบ)
- หอยจูบต้มสุก
ขั้นตอนการทำลาบเทา นำเทามาล้างน้ำหลายๆ ครั้ง จนได้เนื้อเทาที่สะอาด สีเขียวมรกต ต้มน้ำฮ้อนๆ มาลวกเทา แล้วเทน้ำทิ้ง ลวกใหม่อีกครั้ง ทำประมาณ 3 ครั้ง เพื่อฆ่าแม่พยาธิ (สำคัญครับ เพราะอาจได้พยาธิใบไม้ตับมาเป็นของแถมได้) หากต้องการรับประทานลาบเทาสดๆ ให้นำเทาไปแช่แข็งก่อนปรุงที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งประมาณ 10 - 20 นาที ไข่พยาธิก็จะแตก (ตาย) เขาว่างั้นนะครับ ตัดเทาเป็นท่อนสั้นๆ นำผักสดอย่างอื่นมาล้างให้สะอาด หอมแดง พริกสด ต้นหอม ผักหอมเป มะเขือขื่น ถั่วฝักยาวหั่นไว้พร้อม
นำน้ำปลาร้าต้ม หรือป่นปลาที่เตรียมไว้แล้วลงในหม้อ ใส่เทาลงไปคนให้เข้ากัน ตามด้วยพริกป่นและข้าวคั่ว ใส่ผักนานาชนิดที่หั่นเตรียมไว้ลงไป ชิมปรุงรสด้วยน้ำปลาตามชอบ ใส่หอยจูบต้มลงไปเพื่อเพิ่มรสสัมผัสในการเคี้ยวกรุบกรอบ อร่อยมากครับ
อาจเสริมรสชาติด้วยผักเคียงอื่นๆ ตามชอบ เช่น บักแข้ง (มะเขือพวง) ผักกาดหี่น ถั่วฝักยาว มะเขือเปราะ ใบหูเสือ ใบมันปลา แซบบ่กะลองเบิ่งเด้อพี่น้องเอย
ผำ (Water Meal)
ผำ มีอีกชื่อหนึ่งว่า ไข่น้ำ เป็นสาหร่ายน้ำจืดชนิดหนึ่งเหมือนกัน ที่ไหนมีเทา ที่นั่นย่อมมีผำ ความรู้เรื่อง ไข่แหน หรือ ไข่น้ำ หรือ ไข่ขำ หรือ ผำ (อังกฤษ: Water Meal, Swamp Algae; ชื่อวิทยาศาสตร์: Wolffia globosa) เป็นพืชมีดอกที่มีขนาดเล็กที่สุด จัดอยู่ในวงศ์ Lemnaceae สกุล Wolffia อาศัยลอยอยู่บนผิวน้ำ อาจลอยอยู่เป็นกลุ่มล้วนๆ หรือลอยปนกับพืชชนิดอื่นๆ เช่น แหน แหนแดง ก็ได้ มีรูปร่างรีๆ ค่อนข้างกลม มีขนาดยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร แต่ละต้นมีสีเขียว ไม่มีราก ไม่มีใบ ต้นประกอบด้วยเซลล์ชนิดพาเรงคิมาเป็นส่วนใหญ่ มีช่องอากาศแทรกอยู่ระหว่างเซลล์ ทำให้เห็นเป็นฟองน้ำ และช่วยให้มีการลอยตัวอยู่ในน้ำได้ ไม่มีเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่นำน้ำและอาหาร มีช่องให้อากาศเข้าออกได้อยู่ทางบนของต้น ไข่ผำนี่ไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ นะครับ เพราะมันจะเกิดอยู่แหล่งน้ำนิ่ง แหล่งน้ำจะต้องสะอาด และมีสารอาหารครบถ้วน ถ้าแหล่งน้ำไม่สะอาดหากปล่อยไข่ผำลงไปเลี้ยง ก็อาจจะตายหมดได้
ขั้นตอนการทำแกงไข่ผำ
ไม่ยากเลยครับ ถ้าเรามีวัตถุดิบสำคัญคือ "ไข่ผำ" ที่ล้างสะอาดแล้ว ก็เตรียมเครื่องแกง ประกอบด้วย
- หอมแดง พริกแห้ง ต้นหอม ตะไคร้ ใบมะกรูด ใบแมงลัก (ผักอี่ตู่)
- เนื้อหมู ซี่โครงหมู ไก่ กบ ปลาย่าง (เลือกเอาตามชอบครับ ไทอุบลฯ นิยมใส่ปลาหลดเด้อ)
- หน่อไม้ต้ม หรือหวาย (ถ้ามี นี่สุดยอดเลยครับ ไม่มีไม่เป็นไร)
- น้ำปลา น้ำปลาแดก ผงชูรส (ถ้าชอบ)
นำหอมแดง พริกแห้ง ตะไคร้หั่นฝอย มาโขลกเป็นเครื่องแกงนำลงหม้อ ใส่น้ำนิดหน่อยตั้งไฟให้เดือด ใส่ใบมะกรูดฉีกฝอย นำเนื้อหมู ซี่โครงหมู หรือเนื้อสัตว์อื่นๆ ลงรวนให้สุกหอม เติมน้ำปลาร้า น้ำปลาปรุงรสตามชอบ แล้วใส่ไข่ผำที่ล้างสะอาดแล้วลงไปต้มให้สุก (แกงชนิดนี้ใช้น้ำน้อยนะครับ) ชิมรส/ปรุงรสถูกใจแล้วใส่ต้นหอมหั่นท่อนสั้นๆ ใบแมงลัก คนให้เข้ากันยกลงตักออกมาเปิปกันได้เลย
ผำ มีสารอาหารเยอะ ผำ 100 กรัม ให้พลังงาน 8 กิโลแคลอรี่ เยื่อใย 0.3 กรัม ให้แคลเซี่ยม 59 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 25 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 66 มิลลิกรัม และยังมีวิตามิน A B C ไนอาซีน ผำจึงมีคุณค่าและให้สารอาหารสูง ผำ (Wolffia Globos HARTOG&PLAS) มีลักษณะเป็นไม้น้ำ ใบเป็นก้อนกลมสีเขียวลอยอยู่เหนือผิวน้ำ มีขนาดของเม็ดรวมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.1 - 0.2 ม.ม. ซึ่งมีขนาดเล็กมาก ดูเผินๆ คล้ายไข่ปลา แต่เป็นสีเขียวจำนวนแสนหรือล้านต้น ลอยกระจายคลุมผิวน้ำที่เป็นแหล่งน้ำนิ่งเต็มไปหมด
เทา แซบหลายสาหร่ายอีสาน รายการ ทีวีชุมชน ทาง ThaiPBS
ผำ ขยายพันธุ์ตามธรรมชาติและเพิ่มปริมาณเอง โดยในช่วงฤดูฝนจะขยายพันธุ์ได้มาก "ผำ" จัดเป็นอาหารชั้นต้นของห่วงโซ่อาหาร มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก คือ ไข่น้ำ (กลาง) ไข่ผำ (อีสาน) และไข่แหน (ทั่วไป) การปลูกก็แค่นำต้น โดยเอามือขยุ้มไปปล่อยในน้ำนิ่งจะกระจายพันธุ์ในเวลาไม่ช้า ปลูกในอ่างบัวหรืออ่างดินมีน้ำสะอาดๆ สามารถช้อนขึ้นไปปรุงเป็นอาหารได้
ผำ พืชจิ๋วสรรพคุณแจ๋ว : มหาอำนาจบ้านนา
เกร็ดน่ารู้เรื่อง 'ผำ'
ผำ หรือ ไข่น้ำ เป็นพืชที่มีประโยชน์มาก หลายคนจัดมันให้เป็น Super food ชนิดใหม่ของโลก ทั้งที่จริงๆ คนไทยรู้จักบริโภคมันมาหลายร้อยปีแล้ว โดยทำเป็นเมนูเด็ดแสนอร่อย ได้แก่ ไข่เจียวผำ ลาบผำ คั่วผำ ยำไข่ผำ แกงไข่ผำ ฯลฯ
ซึ่ง "ผำ" จากไทยเรา ได้มีผู้สนใจนำไปวิจัยเพาะเลี้ยง เพื่อทำเป็นอาหารอุดมคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งในอิสราเอล สหรัฐอเมริกา และหลายๆ ที่ทั่วโลก ในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมเป็นอย่างดี ผำ เป็นพืชในสกุลเดียวกับ แหน แม้ว่าด้วยความเล็กของมันคนจะเข้าใจผิดว่ามันเป็น "สาหร่าย" ก็ตาม แต่ที่จริงแล้วมันเป็น "ดอกไม้ที่เล็กที่สุดในโลก" มันจัดเป็นพืชในวงศ์บอน (Araceae) วงศ์ย่อยแหน (Lemnoideae) นั่นเอง
The tiny aquatic plant Wolffia, also known as duckweed, is the fastest-growing plant known.
Credit: Sowjanya Sree/Philomena Chu
ผำ มีชื่อเรียกทั่วไปเป็นภาษาอังกฤษว่า duckweed หรือ mankai ซึ่งญาติๆ ของพันธุ์ที่ไปจากไทยเรา (Wolffia globosa) ก็มีพันธุ์ออสเตรเลีย (Wolffia australiana) และพันธุ์ที่มีพื้นเพในทวีปอเมริกาเหนือ (Wolffia borealis) อีกด้วย
ด้วยความที่ "ผำไทย" โตไวมาก มันเติบโตเป็นต้นใหม่ได้ในเวลาเพียง 72 ชั่วโมง ซึ่งเร็วที่สุดในโลก เลยมีนักวิจัยกลุ่มหนึ่งจากสถาบัน Salk Institute ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ตั้งอยู่ในชุมชน La Jolla เมืองซานดิเอโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา นำโดย ศาสตราจารย์ Todd Michael ที่สนใจศึกษาในประเด็นนี้
อุตสาหกรรมการเลี้ยงผำที่เขาเอาพันธุ์จากเราไปคัดและศึกษา เพื่อทำ Super food
พวกเขาพบด้วยความประหลาดใจว่า พืชปกติทั่วไป จะมีชุดของยีนหลายตัวที่ตอบสนองต่อวงรอบของวัน สว่าง-มืด ซึ่งจะทำให้พืชเติบโตได้เร็วที่สุดในช่วงเช้า แต่ "ผำ" ไม่ใช่ ! มันมีจำนวนของยีนที่ตอบสนองต่อรอบวันสว่าง-มืด เพียงครึ่งหนึ่ง เลยทำให้ไม่มีขีดจำกัดต่อการเจริญเติบโตเลย ซึ่งศาสตราจารย์ไมเคิลวิจารณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า "เหมือนมันสลัดยีนที่ไม่จำเป็นทิ้งไปยังงั้นแหละ"
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ Joseph Ecker นักวิจัยที่มีส่วนรับผิดชอบงานวิจัยนี้อีกครึ่งหนึ่ง เป็นผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการวิเคราะห์จีโนม ของสถาบัน Salk ก็กล่าวว่า "ข้อมูลจากการศึกษาผำ น่าจะทำให้เราเข้าใจการที่พืชพัฒนาส่วนต่างๆ ของต้น และการเจริญของมันได้มากขึ้น"
ทีมวิจัยหวังว่า จากงานนี้ จะนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจที่จะสร้างพืชผลการเกษตรที่เติบโตได้ดีขึ้น และอาจออกแบบประดิษฐ์พืชชนิดใหม่ตั้งแต่ต้น ทำให้ได้พืชที่มีการปรับพฤติกรรมการเจริญได้อย่างเหมาะสม เพื่อที่จะเฟ้นหาพืชที่มีขีดความสามารถในการดึงคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ มาเก็บไว้ที่รากของมันให้ได้ดีที่สุด เพื่อช่วยแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกในอนาคต นี่คือจุดหมายท้ายสุดของทีมวิจัยนี้
เกษตรไฮเทค ง่าย สบายด้วยปลายนิ้ว | มหาอำนาจบ้านนา
หวังว่า ในอนาคต เราคงจะอยู่ในโลกที่มีพืชยักษ์ โตพรวดเอา พรวดเอาได้อย่าง แหน หรือไข่ผำ เข้าสักวัน
ที่มา : https://phys.org/news/2021-02-world-fastest-growing.html