Subcategories
Paya & Soi
รวมผญา สุภาษิต และคำสอย
Klonlum
กลอนลำ
Song
เพลงลูกทุ่งอีสาน มาเข้าใจความหมายของคำภาษาอีสานในเพลงลูกทุ่ง
Alphabet Group
ภาษาอีสานแยกตามหมวดอักษร
Klon Pasit Boran Isan
กลอน ภาษิตโบราณอีสาน
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Word
- Hits: 15402
นิทานพื้นบ้านเรื่อง เซียงเมียง หรือ ศรีธนญชัย เป็นวรรณกรรมร่วมของอุษาคเนย์ และมีมากมายหลายตอนที่เล่าสืบทอดกันมาทั้งสองฝั่งโขง ในภาคกลางเรียก "นิทานศรีธนญชัย" ส่วนทางภาคเหนือ ภาคอีสานของไทย และฝั่งประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เรียกชื่อเดียวกันคือ "เซียงเมี่ยง" หรือ "เซียงเหมี้ยง" ดังที่กล่าวรายละเอียดมาแล้วในบทความก่อนหน้า ในบทความนี้ขอกล่าวถึงเฉพาะเนื้อเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาในฝั่ง สปป. ลาว ดังนี้
เรื่องย่อ 'เซียงเมี่ยง' ใน สปป.ลาว
ยังมีเมืองใหญ่กว้างเรียกว่าเมือง “ทวารวดี” ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งริมนํ้าเป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งมี “พระเจ้าทาวราวดี” เป็นผู้ปกครองเมือง ซึ่งหลายปีผ่านไปพระมเหสีของพระองค์ได้ทรงตั้งครรภ์ และได้ประสูติพระโอรส พระราชาได้มีรับสั่งให้โหรหลวงมาทายทักตรวจดูดวงชะตาของพระโอรส และโหรหลวงได้กราบทูลทํานายไว้ว่า พระโอรสพระองค์นี้จะมีความสะดวกสบายแต่เมื่ออายุ 15 ชันษาจะได้สืบราชสมบัติครองเมืองแทนพระราชาองค์ปัจจุบัน แต่หากติดตรงที่พระโอรสพระองค์นี้ดื้อ จึงควรหาเด็กมาเลี้ยงควบคู่กับพระโอรสไปด้วยเพื่อแก้เคล็ด
ทําให้พระราชามีพระราชโองการสั่งหาเด็กมาเลี้ยงคู่กับพระโอรส และเด็กชายคนนั้นก็คือ “ท้าวคํา” หรือนั้นก็คือ "เซียงเมี่ยง" นั้นเอง แต่ด้วยเนื่องว่าในวังตอนนั้นยังมีแม่นมไม่พอ ข้าราชบริพารท่านหนึ่งจึงอาสาเอาพระราชบุตรบุญธรรมไปเลี้ยงแทน จนมีอายุครบ 7 ปี จึงนําเอาท้าวคําไปถวายคืนให้พระราชา หลังจากนั้นท้าวคําก็ได้เจริญเติบโตเคียงคู่กับพระโอรส จนได้ถึงคราที่พระโอรสจะขึ้นครองบ้านครองเมือง แล้วก็พระราชาก็ทรงสั่งให้ "ท้าวคํา" เอ็นดูพระราชาองค์ใหม่เป็นดั่งน้อง
ท้าวคําได้มีโอกาสได้บวชเรียนในวัดหลวง ซึ่งมีสมภาร 3 องค์คิดจะมีสติปัญญาฉลาดหลักแหลม ด้วยการทำพิธีกรรมปลุกเสกอ้อย โดยที่สมภารได้คิดจะหลอกใช้ให้เณรคําไปถืออ้อยไปให้ถึงป่าช้า เพื่อทําพิธีปลุกเสกในตอนกลางคืนหลังปลุกเสกเสร็จแล้ว สมภารก็ออกอุบายให้เณรคําเป็นผู้เฝ้าอ้อยที่ปลุกเสก เพราะต้องทิ้งไว้ให้ถึงเช้ากว่าจะได้ผล ด้วยกลอุบายของสมภารทําให้เณรคําต้องอยู่เฝ้ารอจนรุ่งสาง และนำอ้อยไปไว้หลังกุฏิ
พอเณรคําหลับสนิทด้วยความง่วง สมภารทั้งสามองค์ก็มากินอ้อยทั้งหมด โดยที่เหลือไว้แค่ข้อกับชานอ้อยเท่านั้น และเมื่อเณรคําตื่นขึ้นมาเห็นว่าเหลือแค่ข้ออ้อยและชานอ้อย เณรคําก็นึกแค้นใจแต่อย่างไรก็ต้องกินด้วยความหิว หลังจากนั้นสามวัน ผลของการกินข้อและชานอ้อยส่งผลให้เณรคํามีปัญญาที่เฉลียวฉลาด โดยที่เณรคําได้ประลองทายปัญญากับสมภาร ผลเณรคําเป็นฝ่ายชนะ โดยที่สมภารไม่รู้เลยว่า "พลังของการปลุกเสกอ้อยครั้งนั้น ผลมันอยู่ที่ข้อของอ้อยที่ปลุกเสก"
ในวันหนึ่งมี พ่อค้าเมี่ยงต้องการข้ามคลองหน้าวัด และได้สนทนากับเณรคํา ถามว่าคลองนี้สามารถข้ามได้ไหม แล้วเณรก็บอกไปว่า ถ้าข้ามได้ก็ข้าม ถ้าข้ามไม่ได้ล่ะ ทําให้พ่อค้าเกิดความคิดอยากพนันกับเณรคําว่า หากพ่อค้าข้ามคลองไปได้จะขอให้เณรเปลื้องจีวรที่สวมใส่อยู่ แต่หากพ่อค้าข้ามไปไม่ได้พ่อค้าต้องเสียเมี่ยงให้แก่เณร และแล้วพ่อค้าได้มายังอีกฝั่งจนได้ แต่เณรก็ไม่ได้ถอดจีวรที่สวมใสให้ เพราะบอกว่าพ่อค้าว่ายนํ้ามาไม่ได้ข้ามลําคลองนี้มา จนเกิดเหตุถกเถียงกัน
แล้วเรื่องได้ล่วงรู้ถึงพระราชาทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า พ่อค้าเมี่ยงผิดจริงตามที่เณรคําบอก จึงบอกว่าให้พ่อค้ายกเมี่ยงให้แก่เณร แล้วเณรคําก็พูดว่า เอาเมี่ยงมาแค่ สี่ซ้าห้าบาทก็พอแล้ว (ในที่นี้คือ สี่ตะกร้า และ ห้าบาตรพระ) ซึ่งความนี้รู้แก่พระราชา ทําให้พระราชาจับเณรคําสึกออกมาโดยทันที โดยบอกว่า "การกระทําอย่างนี้มันเกินไปโดยไม่ใช่วิสัยของพระเณรที่จะทํากัน"
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คนก็เรียก เณรคํา ว่า “เซียงเมี่ยง” หลังจากที่เซียงเมี่ยงสึกจากบวชเรียนนั้น เขาก็ไม่ได้หายหน้าหายตาไปไหน เขายังคงเป็นข้าราชบริพารรับใช้ราชสํานักอยู่นั้นเอง และมีเรื่องราวฉลาดแกมโกง ใช้ปัญญาเอาชนะผู้อื่น โดยตลอดป็นเรื่องเล่ามายาวนานนั่นเอง...
มีผู้ทำการ์ตูนนืทานลาว เล่าเรื่อง เซียงเมี่ยง ตอน "เซียงเมี่ยงตั่วพระยาลงหนอง" (เซียงเมี่ยงโกหกพระยาลงหนองน้ำ)
ນິທານລາວ ເລືອງ ຊຽງໝ້ຽງ ຕອນ ຕົວະພະຍາລົງໜອງ
นิทานลาว เรื่อง เซียงเมี่ยง ตอน ตั่วพระยาลงหนอง
ตัวอย่างตอนหนึ่งของนิทาน 'เซียงเหมี้ยง'
ได้รับรูปภาพที่ถ่ายมาจากหนังสือนิทานลาว เป็น ตัวอักษรภาษาลาว นิทานเรื่อง "เซียงเหมี้ยง" ตอนหนึ่งมา เลยถอดความออกมาเป็นภาษาไทยให้ได้อ่านกันครับ เนื้อหามีดังนี้
เซียงเหมี้ยง แม่นชื่อตัวละครเอกในนิทานตลก และ ทังแม่นชื่อนิทานดังกล่าวนี้พร้อม เรื่อง "เชียงเหมี้ยง" แม่นเรื่องที่ประชาชนมักเล่า และมักฟังหลาย เพราะเป็นเรื่องม่วนซื่นอุรา (สนุกสนาน) ทั้งสะท้อนให้เห็นความมุ่งหวังของขะเจ้า (พวกเขา) ในการเอาชนะกับชนชั้นปกครองด้วยภูมิปัญญา เรื่องนี้มีหลายบั้น (หลายตอน) และแต่ละบั้นก็กะทัดรัดทั้งมีลักษณะขึ้นอยู่กับผู้เล่าอีกนำ
บั้นตั่วไปการก่อนไก่ (ตอนโกหกไปทำงานก่อนไก่)
เซียงเหมี้ยง เป็นคนขี้ลัก ยามไปเฮ็ดเวียกการ (งาน) ให้พระยา ก็ไปลุน (ทีหลัง) หมู่เพราะได้เฮ็ดเวียกน้อย ในสมัยก่อนยังบ่ทันมีเครื่องบอกโมง (นาฬิกา) ที่แน่นอนคือเดี๋ยวนี้ ชาวบูฮาน (โบราณ) ได้กำหนดมื้อ กำหนดยาม ตามการสังเกตเหตุการณ์ต่างๆ ในธรรมชาติและสังคม ส่วนหลายชาวบูฮานเริ่มไปเฮ็ดเวียกแต่ตอนข้อนแจ้ง (ย่ำรุ่ง) สิ่งหนึ่งที่พาให้ฮู้จัก (รู้จัก) ยาม เวลา ในตอนนี้ก็แม่นเสียงไก่ขัน แต่ละคืนไก่จะขันสามเทื่อ (ครั้ง) จั่งเอิ้นตามลำดับว่า ไก่ขันกก ไก่ขันกลาง และไก่ขันเลย เมื่ออยากไปเฮ็ดเวียกแต่เดิก ขะเจ้าจึงมักเอิ้น (เรียก) ติดปากว่า ไปก่อนไก่ขันเดิก/กลาง/เลย ต่อมาข้อความก็เหลือเพียงแต่ "ไปก่อนไก่ขัน และ ไปก่อนไก่" ตามลำดับของความเข้าใจของผู้ใช้
เจ้าลองทวย (ทาย) ก่อนเบิ่ง (ดู) ว่า เซียงเหมี้ยงจะไปเฮ็ดการ (ทำงาน) ให้พระยาก่อนไก่ขันเทื่อ (ครั้ง) ที่เท่าใด? ลาวได้ไปเฮ็ดเวียกให้พระยาแท้บ่ หรือ มีเหตุการณ์แนวใดอีก?
มันอาจจะเป็นย้อนว่า เซียงเหมี้ยงเป็นคนขี้ตั๋ว (โกหก) และคนขี้คร้านบ่? ลาวจึงไปเฮ็ดการให้พระยาช้ากว่าผู้อื่น ทุกเทื่อที่ถืกโฮม (ถูกเรียกรวม) ไปเฮ็ดเวียก หมู่เฮ็ดจนตาเว็น (ตะวัน) ใกล้สิเที่ยง ลาวจึงไปฮอด (ถึง) เมื่อพระยาฮู้เรื่องนั้นแล้วก็ให้เสนาไปเอิ้น (เรียก) เซียงเหมี้ยงเข้าพบจะได้ลงโทษลาว
พระยา : เซียงเหมี้ยง !
เซียงเหมี้ยง : โดยขะน้อย! พระยามีเวียกหยังสิให้ขะน้อยเฮ็ดอีกบ่ ?
พระยา : มื้ออื่นนี่ ให้มึงมาการก่อนไก่ ได้ยินบ่ ?
เซียงเหมี้ยง : โดยขะน้อย !
พระยาเว้าแนวนั้นก็เพราะอยากให้เซียงเหมี้ยงไปเฮ็ดเวียกก่อนหมู่ ต่าง (เป็นการ) ลงโทษ มื้อต่อมา ผู้อื่นไปเฮ็ดเวียกตามปกติ แต่เซียงเหมี้ยงกับไปบ่ทันหมู่คือเก่า มื้อนั้นเซียงเหมี้ยงแฮ่งไปการช้ากว่ามื้อก่อนๆ จนฮอดตาเว็นใกล้สิเที่ยง ลาวจึงเอาเชือกมัดตีนไก่โตหนึ่งแล้วแก่ (ลาก) เข้าไปในวัง เมื่อเสนาเห็นแล้วก็ฟ้าว (รีบ) ไปทูลให้พระยาฮู้ พระยาจึงเอิ้น (เรียก) เซียงเหมี้ยงเข้าไปหา เพื่อจะตัดสินใจลงโทษให้สมใจ
พระยา : วานนี้ กูบอกมึงว่าแนวใดลืมแล้วบ่ หือ !
เซียงเหมี้ยง : ยังบ่ลืม ขะน้อย !
พระยา : กูบอกแนวใด ?
เซียงเหมี้ยง : พะยาบอกขะน้อยว่าให้มาการก่อนไก่
พระยา : ซั้น เป็นหยังมึงบ่มาก่อนไก่ ?
เซียงเหมี้ยง : กะย้อนว่า อยากมาก่อนไก่นี้แหล้ว จั่งได้มาสาย
พระยา : มึงว่าหยังเกาะ?
เซียงเหมี้ยง : ย้อนว่าอยากมาก่อนไก่คือพระยาบอก จั่งได้มาสาย
พระยา : มาก่อนไก่ แม่นมาสายนั้นบ้อ หือ ?
เซียงเหมี้ยง : กะบ่แม่น ขะน้อย !
พระยา : คันบ่แม่น เป็นหยังจั่งได้มาสาย ?
เซียงเหมี้ยง : ขอพระยาจิ่งอภัยโหดห้อน! มื่อตื่นมาแล้ว ขะน้อยก็จับไก่มาโตหนึ่ง แล้วบอกมันว่า "มื้อนี้ พระยาบอกกูให้ไปการก่อนมึง มึงต้องไปการนำกู บ่ซั้นพระยาสิลงโทษกู กูสิหย่างก่อน มึงย่างนำหลังเด้อ" บอกมันแล้วก็ปลงมันลง และหย่างก่อน เมื่อขะน้อยเหลียวคืนผัดเห็นมันแล่นไปทางอื่น ขะน้อยจับโตใดมาก็เป็นคือกันหมด ไก่ขะน้อยตั้ง 20 กว่าโต ก่อนสิจับโตใดก็ไล่เมื่อยเกือบตาย ขะน้อยไล่จับบ่ทันครบซ้ำ เหลียวเบิ่งตาเว็นผัดใกล้สิเที่ยงแล้ว ขะน้อยคิดว่า ย้านพ่อพระยาสิลงโทษ จึงได้เอาเชือกมัดตีนแล้วแก่มา ตำอิด (ครั้งแรก) ก็ว่าสิจูงมา จึงมัดตีนเดียว มันผัดบ่ยอมหย่างจักหน่อย บทละแล่นก่อน หน่อยกะแล่นออกนอกทาง ขะน้อยทังย้านพระยาลงโทษ ทังอยากฮ้ายให้มัน จึ่งได้มัดทั้งสองตีน แล้วแก่มันมานี่แหละ !
พระยา : (ได้แต่คิดในใจว่า) มึงเด้อ บักเซียงเมี่ยงเด้อ !!
จบตอนแต่เพียงเท่านี้ !
นี่และปัญญาของ "เซียงเหมี้ยง" ไม่ต้องรีบร้อน มาทำงานสายก็ได้ ไม่ต้องถูกลงโทษทัณฑ์ โดยหาสาเหตุมาอ้างจนเจ้านายไม่สามารถลงโทษได้ ที่คนไทยเรียกว่า "ฉลาดแกมโกง" นั่นเอง
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Word
- Hits: 9663
นิทานพื้นบ้านเรื่อง "กาฬเกษ" หรือ "กาละเกด" ออกเสียงตามสำเนียงอีสาน ที่ปรากฏมีหลายสำนวน สั้นบ้าง ยาวบ้าง เพื่อสะดวกเหมาะสมต่อการเล่าเรื่อง เช่น การเล่าโดยพระสงฆ์ (การเทศน์) อาจจะมีความยาวและเป็นคำกลอน ที่ปรากฏในใบลานเป็นอักษรธรรมหรืออักษรไทยน้อย การเล่าโดยผู้เฒ่าผู้แก่ให้เด็กๆ ฟังในวาระโอกาสต่างๆ ก็จะสั้นกระชับ เป็นต้น ที่นำมาเสนอนี้มี สำนวน คือ
'ท้าวกาฬเกษ' สำนวนที่ 1
เดิมเป็นต้นฉบับ "กาฬเกษ" เป็นใบลานจารด้วยอักษรไทยน้อย มีหลายสำนวน ท่านเจ้าคุณอริยานุวัตร (เขมจารี นธ. เอก ปธ.๕ อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาชัย ตำบลตลาด อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม) กล่าวไว้ในคำนำ หนังสือ "กาฬเกษ (กาละเกด)" ฉบับปริวรรตและพิมพ์เป็นรูปเล่มได้ถอดออกเป็นอักษรไทยเผยแพร่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศิริธรรม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี หนังสือหนาขนาด ๔๘๐ หน้า ว่า ได้ต้นฉบับมาจาก วัดสว่างอารมณ์ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด หนังสือ "กาละเกด" นั้น ชาวอีสานนิยมทุกยุคทุกสมัย มักมีไว้ประจำบ้านเรือนและวัดวาอาราม สำนวนนี้ถือว่าเป็นสำนวนเอกสำนวนหนึ่ง มีเนื้อหากล่าวไว้ดังนี้ (โปรดอ่านออกเสียงตามสำเนียงอีสาน ไม่ได้พิมพ์ผิดเพียงแต่อยากให้เป็นการบอกเล่าสำเนียงอีสานเท่านั้น)
บันแต่ท้าวบรมหลวงกาละเกด เสวยอยู่สร้างเมืองกว้างชอบธรรม
อยู่สนุกล้นโยธาพลไพร่ ก็บ่ทุกข์ยากไร้สังแท้สำราญ "
จักกล่าวเถิงเบื้อง "พาราณสี" เมืองใหญ่ มีกษัตริย์ไท้ออกซื่อ "ท้าวสุริวงษ์" มีมเหสีซื่อว่า "นางเกษ" เทิงสองพระองค์มีโอรสซื่อว่า "ท้าวกาฬเกษ" เป็นองค์โพธิสัตว์มาซดซาติไซ้กรรม แล้วกะมีม้า "มณีกาบ" เป็นม้าวิเศษคู่บารมี
อยู่มาฮอดมื้อหนึ่ง "ท้าวกาฬเกษ" ขี่ม้า "มณีกาบ" เหาะออกจากเมืองไปทางป่าหิมพานต์ ซ่วงที่ออกจากเมืองนั้น ท้าวกาฬเกษเลยได้พบพ้อกับ "นกสาฮิกา" (สาลิกา) คู่หนึ่ง เลยฝากความไปว่าให้ไปทูลเสด็จพ่อสุริยวงษ์ว่า "เฮาสิออกไปเที่ยวป่าหิมพานต์จัก 3 ปี จั่งสิหลบบ้านเมือเมือง" พอแต่สั่งความแล้วกะเลยเดินทางไปต่อจนว่าฮอด "เมืองผีมนต์" ของ "ท้าวผีมนต์" กับ "นางมาลีทอง"
ท้าวกาฬเกษเลยพักอยู่นอกเมืองสาก่อน เลยพ้อ(พบ)คนฟันฟืนซาวบ้านซาวเมืองผีมนต์ ถามไถ่ได้ฮู้แจ้งเถิงลูกสาวท้าวผีมนต์ ซื่อว่า "นางมาลีจันทร์" เป็นญิงผู้งามคักเหลือหลาย กะเลยพยามไปหานางอยู่สวนดอกไม้ พอแต่นางมาลีจันทร์มาซมสวนกะเลยได้พ้อกันกับท้าวกาฬเกษ พอแต่ท่อนั้นต่างคนกะต่างมักกัน ตกฮอดยามกลางคืนกะจอบหลอยไปหากัน
หลายมื้อลายคืนเข้า ท้าวผีมนต์ผู้เป็นพ่อนางมาลีจันทร์ ฮู้ความแล้วเลยเฮ็ด "หอกยนต์" ดักยิง ซ่วงที่ท้าวกาฬเกษลักไปหานั่นเอง ท้าวกาฬเกษได้ถืกหอกยนต์ยิง เลยตายใจขาด ก่อนสิตายได้สั่งความนางมาลีจันทร์ว่า "อย่าเผาศพ ให้เอาใส่แพลอยลงในนทีแม่น้ำใหญ่" นางมาลีจันทร์กะเลยเฮ็ดตามที่เว้าสั่งความ
แพเลยลอยทวนน้ำไปฮอด(ถึง)อาศรมพระฤาษี พระฤาษีมาพ้อกะเลยเป่ามนต์คาถาซุบซีวิตให้ท้าวกาฬเกษฟื้นคืนมา จึงได้เรียนศาสตรศิลป์อยู่กับพระฤาษีจนสำเร็จ พร้อมกันกะเลยได้ให้ "ดาบแก้ว" แล "ธนูวิเศษ" ให้เป็นอาวุธคู่มือ ท้าวกาฬเกษพอได้สิ่งวิเศษแล้วเลยได้กราบลาพระฤาษีหลบไปหานางมาลีจันทร์
ท้าวผีมนต์ฮู้เฮื่องแล้ว กะเลยเกิดการฮบฮาฆ่าฟันกันขึ้น ปรากฏว่าทหารยักษ์ทั้งหลายถืกฆ่าตายเบิดเกลี้ยง ยังเหลือแต่ท้าวผีมนต์ผู้เดียวได้ขอยอมแพ้ ท้าวกาฬเกษกะเลยใซ้ดาบแก้วกับธนูซุบซีวิตให้ซุมทหารทั้งหลาย ท้าวผีมนต์กะเลยยกบ้านเมืองให้ครอบครอง แล้วกะยกลูกสาวคือ นางมาลีจันทร์ ให้เป็นพระมเหสี
ท้าวกาฬเกษครองเมืองอยู่บ่นานดน กะพานางมาลีจันทร์ออกเดินทางกลับบ้านเมือเมืองพาราณสี ระหว่างทางท้าวกาฬเกษได้พบกับนางยักษ์อันธพาล 3 ตน คือ ยักษ์สาระกัน ยักษ์คันธะยักษ์ และยักษ์ขีนีสาระกาย เข้ามาขัดขวางการเดินทาง แต่กะถืกท้าวกาฬเกษฆ่าตาย แล้วกะซุบซีวิตขึ้นมาใหม่ สอนสั่งให้เป็นคนฮู้ผู้ดี อยู่ในศีลกินในธรรม
บัดทีนี้ท้าวกาฬเกษกับนางมาลีจันทร์กะเลยพากันเดินทางต่อ จนมาฮอดป่าใหญ่ยามเดิกดื่น ท้าวกาฬเกษกะเลยพามิ่งเมียแก้วหาบ่อนนอนเซามีแฮง เลยไปนอนอยู่เคียงกกไม้ใหญ่กกหนึ่ง ทั้งคู่นอนหลับอยู่นั้น กะเลยมีนางกินรี 3 ตนเป็นลูกเลี้ยงของพระฤาษีมาพ้อ เห็นท้าวกาฬเกษเป็นผู้บ่าวฮูปงาม กะเลยเกิดความหลงใหลมักท้าวกาฬเกษ นางทั้งสามกะเลยพากันเอาโตท้าวกาฬเกษหลบไปเมืองกินรี ย้อนว่าอยากอยู่กินเป็นผัวเมียกัน
ตื่นเซ้ามามื้อใหม่ นางมาลีจันทร์บ่เห็นท้าวกาฬเกษเห็นแต่ม้ามณีกาบ กะเลยพากันออกนำหาท้าวกาฬเกษ หาท่อได๋กะบ่เห็น ม้ามณีกาบเลยบอกให้นางมาลีจันทร์อยู่ถ่า(รอ)อยู่บ่อนกกไม้ใหญ่หั่น ส่วนจะของกะออกนำหาต่อไป
แต่ย้อนว่ากรรมคือการกระทำ กรรมเก่าที่ได้กระทำมาเฮ็ดให้ทั้งสามต้องมาพลัดหลงกัน คือว่า ท้าวกาฬเกษหลงใหลในความงามของนางกินรีเลยอยู่เมืองกินนร นางมาลีจันทร์กะออกนำหาตามยถากรรมของตน ส่วนม้ามณีกาบกะออกนำหานายของตนไปอีกทางหนึ่ง นางมาลีจันทร์ซัดเซพเนจรอยู่ในป่าอย่างเป็นตาซิโตน ส่วนทางพระอิศวรเห็นว่านางลำบากอยู่ทุกยาก อยู่ลำพัง กะเลยเสด็จลงมาฮับไปอยู่เมืองนำถ่า(รอ)ท้าวกาฬเกษอยู่หั่น
ทางฝ่ายท้าวกาฬเกษพอแต่เบื่อนางกินรีเทิงสามพี่น้อง กะคึดฮอดนางมาลีจันทร์ เลยได้หลอยหนีจากเมือง กินรีเทิงสามเลยไปเว้าเฮื่องสู่พ่อฟัง แต่กะบังเอิญว่า ม้ามณีกาบกะอยู่อาศรมฤาษีเลยฮู้เฮื่องนำ ฮู้ว่าท้าวกาฬเกษออกจากเมืองกินนรแล้ว กะเลยนำก้นไปหานายของจะของจนพ้อกัน แล้วจั่งได้พากันไปนำหานางมาลีจันทร์ต่อไป
เทิงสองออกเดินทางมาฮอดเมืองของพระอิศวร กะเลยถามทหารผู้เฝ้าประตูอยู่หั่นจั่งฮู้ว่านางมาลีจันทร์มาถ่าอยู่นี่ดนแล้ว ฮู้จั่งซั่นท้าวกาฬเกษกะเลยควบม้าไปหาพระอิศวร เลยเว้าจาต้านเฮื่องฮาวเทิงเบิดสู่ฟัง แล้วกะฟ้าวไปหานางมาลีจันทร์อยู่อุทยานทันที ท้ายที่สุดท้าวกาฬเกษกะเลยได้ฮับนางมาลีจันทร์ไปอยู่นำ ครองเมืองอย่างสงบสุข
ท้าวกาละเกด : นิทานพื้นบ้านอีสาน
'ท้าวกาฬเกษ' สำนวนฉบับที่ 2
ได้มาจาก อักษรธรรม ๑ ผูก วัดแสงเกษม อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี
ณ เมืองพาราณสี มีกษัตริย์นามว่า สุริวงษ์ และมเหสีนามว่า กาฬ และท้าวสุริวงษ์มี ม้ามณีกาบ ซึ่งเป็นม้าวิเศษเป็นพาหนะคู่บารมี ครั้งหนึ่งท้าวสุริวงษ์ได้ลามเหสีและชาวเมืองไปเรียนวิชาอาคม โดยมีม้ามณีกาบเป็นพาหนะไปพบกับพญาครุฑ และยักษ์กุมภัณฑ์ ต่อมาได้เป็นสหายกัน และพระองค์ก็เรียนศาสตรศิลป์กับพระฤาษีจนสำเร็จ แล้วกลับมาปกครองเมืองต่อไป
เมื่อท้าวสุริวงษ์กลับมาครองเมืองแล้ว ก็ต้องการจะมีบุตรชายเพื่อเอาไว้สืบราชสมบัติแทนพระองค์ ดังนั้นจึงทำพิธีขอลูกกับพระอินทร์ พระอินทร์ได้ส่งเทพบุตรกับเทพธิดาลงมาเกิดในเมืองมนุษย์ เพื่อให้เป็นคู่สามีภรรยากัน โดยเทพบุตรองค์หนึ่งมาเกิดในท้อง นางกาฬ มเหสีของท้าวสุริวงษ์ เมื่อนางกาฬประสูติออกมาเป็นชาย ชื่อว่า "กาฬเกษ" กาฬเกษกุมารนี้ได้เจริญเติบโต มาเป็นลำดับ ครั้งหนึ่งเข้าไปเล่นในโรงม้า อันเป็นที่อยู่ของม้ามณีกาบ ได้แอบขึ้นขี่ม้า แล้วม้ามณีกาบก็พากาฬเกษกุมารเหาะไปในอากาศออกจากเมืองมุ่งเข้าป่าหิมพานต์
ขณะที่ท้าวกาฬเกษหนีออกจากเมืองนั้น ได้พบกับนกสาริกาคู่หนึ่ง จึงได้สั่งความให้กลับไปบอกท้าวสุริวงษ์ด้วยว่า จะออกไปเที่ยวในป่าถึง 3 ปี แล้วจะกลับมา เมื่อสั่งความแล้วก็เดินทางต่อไปจนเข้าเขตเมืองผีมนต์ของท้าวผีมนต์ และนางมาลีทอง ซึ่งมีเทพธิดามาจุติในครรภ์ของนาง มีชื่อว่า "นางมาลีจันทน์" ได้พักอยู่นอกเมือง พบกับชาวเมืองที่ออกมาหาฟืนแล้วได้ทราบว่า ท้าวผีมนต์มีลูกสาวสวยชื่อ มาลีจันทน์ จึงพยายามจะไปพบนางในสวนดอกไม้
เมื่อนางมาลีจันทน์มาชมสวน ท้าวกาฬเกษจึงเข้าไปหา แล้วชอบพอรักใคร่กัน ดังนั้นเมื่อตอนกลางคืนจึงแอบเข้าไปหานางเป็นเวลานาน ต่อมาท้าวผีมนต์สืบได้จึงทำหอกยนต์ดักยิง ขณะที่ท้าวกาฬเกษแอบเข้าไปนั้น พระองค์ได้ถูกหอกยนต์ตายลง แต่ก่อนจะตายท้าวเธอได้สั่งว่า "อย่าเผาศพ ให้เอาใส่แพลอยน้ำไป" นางมาลีจันทน์ ได้ปฏิบัติตามที่ท้าวกาฬเกษสั่งทุกประการ
ศพของท้าวกาฬเกษลอยทวนกระแสน้ำจนไปถึงอาศรมพระฤาษี แล้วพระฤาษีมาพบเข้าจึงร่ายมนต์ชุบชีวิตให้ฟื้นคืนขึ้นมา ท้าวกาฬเกษจึงเรียนศาสตรศิลป์อยู่กับพระฤาษี จนสำเร็จแล้วลาพระฤาษีกลับไปหานางมาลีจันทน์ใหม่ ท้าวผีมนต์ทราบข่าวอีกจึงเกิดรบกัน ในที่สุด ท้าวผีมนต์พ่ายแพ้ ยกเมืองและลูกสาวคือนางมาลีจันทน์ให้แก่ท้าวกาฬเกษ
ท้าวกาฬเกษอยู่ที่นั่นไม่นานก็พานางมาลีจันทน์เดินทางต่อไปอีก ในการเดินทางต่อนี้ ยักษ์หลายเมืองเช่น ยักษ์ชื่อสาระกัน ชื่อคันธะยักษ์ และยักษ์ขีนีสาระกาย ต่างต้องการจะให้ท้าวกาฬเกษอยู่ครองเมือง แต่ท้าวกาฬเกษยังต้องการเดินทางต่อไป หลังจากเดินทางตามที่ต้องการแล้ว ในที่สุดท้าวกาฬเกษก็รับนางมาลีจันทน์ ไปครองเมืองพาราสี สืบต่อไป
ที่มา : อักษรธรรม ๑ ผูก วัดแสงเกษม อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี
ลำเรื่องต่อกลอน เรื่อง ท้าวการะเกตุ ตอน 1-3 โดย คณะรังสิมันต์ (ทองคำ เพ็งดี - ฉวีวรรณ ดำเนิน)
แม้เนื้อหาทั้งสองสำนวนดังกล่าวจะแตกต่างกัน แต่ก็มีตัวละครหลักเหมือนกัน ซึ่งต่างก็มีคุณธรรมที่ปรากฏในเนื้อเรื่องดังนี้
- ท้าวกาฬเกษ เป็นคนดี มีคุณธรรม มีความเมตตา ในตอนที่ทำสงครามกับพวกยักษ์ ท้าวกาละเกิดไดฆ่าพวกยักษ์จนหมด แต่กลับ ช่วยชีวิตและอบรมสั่งสอนพวกยักษ์ให้อยู่ข้างธรรมมะ
- นางมาลีจันทร์ เป็นหญิงที่มีความซื่อสัตย์ต่อสามี รอคอยการกลับมาของสามีด้วยความภักดี
- ม้ามณีกาบ เป็นม้าวิเศษมีความสามารถมาก มีความซื่อสัตว์ต่อท้าวกาฬเกษ และนางมาลีจันทร์
ลำเรื่องต่อกลอน เรื่อง ท้าวการะเกตุ ตอน 4-6 โดย คณะรังสิมันต์ (ทองคำ เพ็งดี - ฉวีวรรณ ดำเนิน)
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Word
- Hits: 7755
นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่อง "กำพร้าไก่แก้ว" หรืออีกชื่อหนึ่งคือ "ไก่แก้วหอมฮู" เป็นเรื่องเล่าที่มีมาแต่โบราณ และปราฏมีอยู่ในใบลานจารด้วยอักษรธรรม เท่าที่พบมีอยู่หลายสำนวน ซึ่งเนื้อหาและชื่อตัวละครอาจแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่แก่นธรรมหรือคติของเรื่องนั้นเป็นอันเดียวกัน คือ "กตัญญูกตเวทีต่อบุพการี จะทำให้ผู้นั้นมีความเจริญในชีวิต" นั่นเอง เลยนำเอามาเสนอในที่นี้เพียง 2 สำนวนมาให้ได้อ่านกันดังนี้
สำนวนที่ ๑
ณ เมืองแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลโพ้น ชาวเมืองได้พบฮู (รู) ขนาดใหญ่ที่มีกลิ่นหอมออกมาจากฮูนั้นมิได้ขาด ทำให้เป็นที่อยากรู้อยากเห็นของชาวเมืองทุกคน ต่างก็ร่ำลือไปต่างๆ นานา ดังนั้นพระราชาแห่งเมืองนั้นจึงได้ประกาศหาอาสาสมัครที่จะลงไปสำรวจในฮูนั้น เพื่อจะดูว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างล่างจึงส่งกลิ่นหอมมิได้ขาด แต่ก็ไม่มีใครกล้าอาสาไปดู
ในเมืองนี้นั้นมีหนุ่มน้อยคนหนึ่งชื่อ "เทศจันทสมุทร์" อาศัยอยู่กับ "ย่าจำสวน" (คนสวนของพระราชา) ท้าวเทศจันทร์นี้เห็นว่า ไม่มีใครกล้าไปแล้วจึงรับอาสากับพระราชาที่จะลงไปพิสูจน์
พระราชาจึงมีรับสั่งให้ทำอู่ (กรง) เหล็ก และทำโซ่เหล็กแทนเชือก เพื่อให้ท้าวเทศจันทสมุทร์นั่งอยู่ในอู่นั้น แล้วหย่อนลงไปตามรู จนไปถึงเมืองแห่งหนึ่ง
เมื่อลงไปถึงนั้นอู่เหล็กไปลงตรงเกาะพอดี ขณะที่ท้าวเทศจันทสมุทร์ขึ้นกินหมากเดื่ออยู่บนต้นไม้ ได้มีหมูตัวหนึ่งคาบ "แก้ววิเศษ" ไต่น้ำขึ้นมา ท้าวเทศจันทสมุทร์จึงโยนหมากเดื่อให้หมูกินห่างออกไปเรื่อยๆ แล้วรีบมาขโมยเอาแก้ววิเศษไป
เมื่อเดินต่อไปอีกก็พบชายคนหนึ่ง ถือ "น้ำเต้า" เหาะผ่านมา ท้าวเทศจันทสมุทร์จึงขอเอาแก้วแลกกับน้ำเต้านั้น เมื่อได้น้ำเต้าแล้วก็เดินต่อไป ส่วนแก้ววิเศษได้เหาะกลับมาอยู่กับท้าวเทศจันทสมุทร์เหมือนเดิม
เมื่อเดินต่อไปก็ได้พบกับคนถือขวาน ถือดาบ ถือขดหนัง เหาะมาเช่นเดียวกัน ท้าวเทศจันทสมุทร์ก็ขอแลกเอาสิ่งของเหล่านั้นกับแก้ววิเศษเหมือนครั้งก่อน แล้วแก้ววิเศษก็กลับมาเช่นเดียวเดิม
ดังนั้นท้าวเทศจันทสมุทร์จึงมีของดีถึง ๕ อย่าง คือ แก้ว น้ำเต้า ขวาน ดาบ และขดหนัง แล้วเดินทางไปอาศัยอยู่กับย่าจำสวนของเมืองนั้น เพื่อสืบดูว่า ใครกันนะที่ส่งกลิ่นหอมๆ นั้น จนทราบว่า เป็นธิดาของเมืองนั้น ผู้มีผมหอมเป็นที่เลื่องลือ เมื่อรู้แล้วจึงขอร้องให้ย่าจำสวนไปสู่ขอให้ แต่ย่าจำสวนกล่าวว่า ท้าวเทศจันทสมุทร์ไม่หล่อเหลา จึงพาไปเสริมความหล่อใหม่แล้วจึงนำไปพบนางผมหอมเพื่อสู่ขอ เมื่อนางผมหอมเห็นท้าวเทศจันทสมุทร์แล้วก็เกิดรักสมัครใคร่
แต่พระราชาพ่อของนางผมหอมไม่ยอม เพราะมีลูกเจ้าพระยา มหากษัตริย์มาสู่ขอหลายคนแล้ว และบอกว่าถ้าอยากได้ลูกสาวของเราให้มารบสู้แย่งเอา ท้าวเทศจันทสมุทร์จึงเข้าสู้รบด้วยการใช้ของดี ๕ อย่างจนชนะ จึงได้นางผมหอมมาอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอน
เมื่ออยู่เมืองนี้มานานวัน ก็คิดจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่ตนจากมา จึงพานางผมหอมมาที่รูเก่าที่เคยลงมา ในขณะที่ขึ้นไปนั่งบนอู่เหล็กทั้งสองคนแล้วกระตุกให้สัญญาณกับคนด้านบนให้ดึงอู่ขึ้นไป ขณะนั้นผ้าของนางผมหอมผืนหนึ่งตกลงไป ท้าวเทศจันทสมุทร์จึงอาสาลงไปเอา ขณะเดียวกันนั้นคนที่อยู่ข้างบนไม่ทราบเรื่อง ก็ดึงเอานางขึ้นไปเพียงผู้เดียว แล้วนำเอานางผมหอมมาถวายพระราชา พระราชาชอบพอนางแต่ก็ไม่สามารถเข้าใกล้นางได้
ส่วนท้าวเทศจันทสมุทร์ก็พยายามเดินเพื่อจะหาหนทางขึ้นไปด้านบน จนวันหนึ่งได้พบนกกระจอก ๒ ตัวที่พระอินทร์แปลงกายลงมา ได้ให้ท้าวขี่ขึ้นมาปล่อยไว้นอกเมืองใกล้แม่น้ำ ขณะนั้นมีพ่อค้านายสำเภามาพบเข้า ท้าวเทศจันทสมุทร์จึงขออาศัยเดินทางไปด้วย แล้วกลับไปอยู่กับย่าจำสวนเหมือนเดิม
ส่วนนางผมหอมนั้นได้ยินว่าผัวของนาง (ท้าวเทศจันทสมุทร์) กลับมาแล้ว จึงออกอุบายหลบหนีมาอยู่ด้วยกับท้าวเทศจันทสมุทร์ที่สวนท้ายวัง เมื่อพระราชารู้ข่าวก็ส่งคนไปรับนางกลับคืนไป แต่ท้าวเทศจันทสมุทร์ไม่ยอมให้
พระราชาจึงส่งกองทหารมาช่วงชิงเอานางไป แต่กองทัพก็พ่ายแพ้เพราะของวิเศษ ๕ อย่างเหล่านั้น พระราชาหมดปัญญาต่อสู้ จึงยอมยกเมืองให้ท้าวเทศจันทสมุทร์ครองครึ่งหนึ่ง แล้วท้าวเทศจันทสมุทร์ก็อยู่กับนางผมหอมที่ได้มาจากรูนั้นด้วยความสุขต่อมา
จาก อักษรธรรม ๑๒ ผูก วัดธัญญุตตมาราม อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี
สำนวนที่ ๒
กล่าวถึงหญิงชายคู่หนึ่งแต่งงานกัน แล้วให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคน ต่อมาสามีได้ตายจากไป ทิ้งให้หญิงหม้ายเลี้ยงลูกตามลำพัง หญิงหม้ายจึงพาลูก "ท้าวกำพร้า" ไปอาศัยอยู่เมืองอุดม ซึ่งมี "พระยากุญชโร" ปกครอง เมื่อท้าวกำพร้าลูกชายโตเป็นหนุ่ม ได้ไปเรียนวิชาต่อไก่ (ภูมิปัญญาท้องถิ่น) จากชายคนหนึ่งจนชำนาญ
ที่เมืองพญานาค มี "ท้าวกะโยงคำ" เป็นผู้ปกครอง มีธิดาชื่อว่า "นางสีดา" ในอดีตชาตินางเคยเป็นภรรยาของท้าวกำพร้า นางยังคิดถึงอดีตสามีอยู่เสมอ วันหนึ่งขณะที่ท้าวกำพร้ากำลังต่อไก่อยู่ในป่า นางสีดาได้แปลงกายเป็น ไก่แก้ว (ไก่เผือก) ไปปรากฏให้ท้าวกำพร้าเห็น ท้าวกำพร้ากระโดดตะครุบไก่แก้ว แต่ไก่แก้ววิ่งหนีลงรูหายไป ท้าวกำพร้ากำได้เพียงขนหางนางเส้นหนึ่ง กลิ่นขนนั้นหอมมาก ส่งกลิ่นไปถึงวังของพระยากุญชโร
พระองค์จึงมีรับสั่งให้ท้าวกำพร้าเข้าเฝ้า และใช้ให้ลงรูเพื่อตามไก่หอมนั้นมาถวาย เมื่อท้าวกำพร้าลงไปในรู ซึ่งเป็นเมืองบาดาล ได้พบนางสีดา (ภรรยาคนที่ ๑) ซึ่งเป็นภรรยาแต่อดีตชาติ จึงแต่งงานกัน ท้าวกำพร้าอยู่เมืองบาดาลชั่วระยะหนึ่งก็คิดถึงมารดา จึงพานางสีดาขึ้นมาเมืองมนุษย์
แต่ด้วยกรรมเก่าทั้งสองจึงต้องพลัดพรากจากกัน นางสีดาถูกพระยากุญชโรแย่งชิงนำไปขังไว้ (ผิดศีลธรรม) เพื่ออภิเษกเป็นมเหสี แต่พระยากุญชโร (ไม่มีศีลธรรม) ไม่สามารถเข้าใกล้นางได้ เพราะร่างกายนางสีดาร้อนดังไฟ
ฝ่ายท้าวกะโยงคำ (บิดานางสีดา) คิดหาทางที่จะช่วยท้าวกำพร้าตามหานางสีดา เมื่อท้าวกำพร้านอนหลับจึงอุ้มขึ้นไปจากใต้บาดาล แล้วนำไปไว้ในป่าแห่งหนึ่งบนเมืองมนุษย์ เมื่อตื่นขึ้นมาท้าวกำพร้าก็ออกตามหานางสีดา ระหว่างทางนั้นได้พบกับ "นางอำคา" ลูกสาวยักษ์กันดาร และได้นางอำคาเป็นภรรยา (ภรรยาคนที่ ๒)
นอกจากนั้นยังได้ของวิเศษจากยักษ์ คือ เกือกแก้วและดาบกายสิทธิ์ คำหมากเคี้ยวและปลายลิ้นของพญาปากเข็ด ซึ่งเป็นของวิเศษ ถ้าใครเคี้ยวอยู่ในปากขณะที่ยังไม่จืด สามารถเหาะได้ และสั่งให้ผู้จะมาทำร้ายตนตายตามได้ จากนั้นจึงมาพบหมูใหญ่ ชื่อ "พรหมขันธ์" เป็นหมูที่มีฤทธิ์เดชมาก เมื่อต่อสู้กันท้าวกำพร้าจึงได้ฆ่าหมูตาย
ต่อมาเดินทางมาพบ "นางจันทา" ธิดา "พระยาผาจวง" ซึ่งถูกพิษงูกัด ท้าวกำพร้ารักษาเสกมนต์ชุบชีวิตให้ฟื้นคืนเป็นปกติ และได้นางจันทาเป็นภรรยา (ภรรยาคนที่ ๓) จากนั้นท้าวกำพร้าจึงพานางอำคาและนางจันทา ไปยังเมืองอุดม เพื่อพบมารดาของตน และจะไปรับนางสีดาคืนจากพระยากุญชโร
เมื่อไปถึงท้าวกำพร้าทราบว่า มารดาถึงแก่กรรมแล้ว จึงใช้ของวิเศษที่มีอยู่ชุบชีวิตมารดาให้ฟื้นคืนดังเดิม และเมื่อมารดาได้บอกที่ฝังศพของบิดา จึงชุบชีวิตบิดาคืนเช่นเดียวกัน ท้าวกำพร้าได้เนรมิตเมืองใหม่ให้บิดามารดาอยู่อย่างเป็นสุข เป็นการตอบแทนบุญคุณของบิดามารดา
ท้าวกำพร้าจึงพานางอำคาและนางจันทาไปอยู่ในสวนท้ายเมืองอุดม โดยให้นางทั้งสองแต่งตัวสวยงามราวนางกษัตริย์ ส่วนท้าวกำพร้านั้นแต่งตัวเป็นคนยากจน พระยากุญชโรให้ทหารมารับนางธิดาทั้ง ๒ นางเข้าไปในวัง และให้จับท้าวกำพร้าไว้ ท้าวกำพร้าต่อสู้กับทหารโดยเสกทหารตัวแข็งดังหิน เหลือไว้เพียงคนเดียว เพื่อไปบอกพระยากุญชโรยกทัพมาต่อสู้กับตน
เมื่อมีการต่อสู้ท้าวกำพร้าก็เสกให้พระยากุญชโรตัวแข็งดังหิน เสกให้น้ำท่วมเมือง ทุกคนในเมืองตายหมด เหลือเพียงนางสีดาและบริวาร ๑๐๐ คน ท้าวกำพร้าไปพบนางสีดาและเสกให้น้ำแห้ง ชุบชีวิตพระยากุญชโรและชาวเมืองทุกคนให้ฟื้นคืนดังเดิม
พระยากุญชโรยอมรับผิดทั้งหมดและส่งนางสีดาคืนท้าวกำพร้า และได้ยกบ้านเมืองให้ท้าวกำพร้าครอบครอง แต่ท้าวกำพร้าปฏิเสธ จึงยกเมืองคืนให้พระยากุญชโรครอบครองดังเดิม พร้อมกับสั่งสอนให้พระยากุญชโรตั้งตนอยู่ในศีลธรรม
ยักษ์กันดารบิดาเลี้ยงนางอำคาทราบว่า นางหายไปพร้อมกับขโมยเกือกแก้วและดาบกายสิทธิ์ของตนไปด้วย จึงออกตามหาพบนางอำคาและท้าวกำพร้าได้ต่อสู้กัน ยักษ์กันดารถูกท้าวกำพร้าไก่แก้วฆ่าตาย หลังจากนั้นจึงชุบชีวิตกลับคืนและได้ขอร้องยักษ์กันดารให้เลิกกินคน ยักษ์รับคำแล้วจึงลากลับเมืองตน
จากนั้นท้าวกำพร้าไก่แก้วพร้อมด้วยภรรยาทั้งสาม คือ นางสีดา นางอำคา และนางจันทาได้เนรมิตเมืองขึ้นใหม่ และได้ครองเมืองอย่างมีความสุข ต่อมานางสีดาให้กำเนิดบุตรชายชื่อ "ปุณนาคคงคา" ส่วนนางอำคาและนางจันทาไม่มีบุตร จึงรักปุณนาคคงคาดังบุตรตน ปุณนาคคงคาเป็นคนดี จึงเป็นที่รักของทุกๆ คน
จาก เอกสารใบลาน (อักษรธรรมอีสาน) วัดบ้านไร่น้อย ตำบลไร่น้อย อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
ส่วนสำนวนอื่นๆ ที่น่าสนใจสามารถไปอ่านเพิ่มเติมได้จากลิงก์ด้านล่างนี้ครับ
- วรรณคดีเรื่อง จันทร์สมุทร์ (ท้าวกำพร้า หรือ กำพร้าไก่แก้ว หรือไก่แก้วหอมชู) ปริวรรตจากอักษรไทยน้อย หอพุทธศิลป์วัดธาตุ (พระอารามหลวง) โดย พระครูสุเทพสารคุณ
- “ปรางค์บ้านสีดา” ตำนานไก่แก้วหอมชู ดู “อัปสรา”ที่หายไป โดย วรณัย พงศาชลากร
- Details
- Written by: ทิดหมู มักหม่วน
- Category: Word
- Hits: 7570
นิทานพื้นบ้านอีสาน เรื่อง "บักหูดสามเปา" หรืออีกชื่อหนึ่งคือ "ท้าวแสนปม" ที่มีการเล่าสืบต่อกันมานานมีหลายสำนวนที่มีแก่นเรื่องคล้ายกัน แต่มีรายละเอียดที่แตกต่างกันบ้าง (หูด เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่เกิดจากไวรัสชนิดหนึ่ง ที่กระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังมีความหนาหรือแข็งตัวขึ้น เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยไม่จำกัดเพศ และอายุ แม้ว่าจะไม่ได้อันตรายมากนัก แต่ต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้อง มิฉะนั้นอาจเป็นแผลติดเชื้อที่หนักกว่าเดิม รักษายากกว่าเดิมได้) นิทานเรื่องนี้ให้คติธรรมในเรื่อง "การพิจารณาคนอื่นอย่าดูแต่ภายนอก ให้ดูที่จิตใจและการกระทำของเขา" นี่คือสำนวนหนึ่งที่พบทั่วไปในภาคอีสาน
บักหูดสามเปา หรือ ท้าวแสนปม
"บักหูดสามเปา" เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่รูปบ่งามเลย ด้วยเกิดมาแล้วอัปลักษณ์ มีแต่เม็ดตุ่มตามผิวหนังเต็มตัว มีความเกียจคร้านเป็นอาจิณ ชนิดที่ต้องบอกว่า "กินแล้วกะมีแต่นอน กินเป็นหนอน นอนเป็นดักแด้" จนพ่อกับแม่อิจหนาระอาใจหลาย สั่งสอนบอกกล่าวอย่างไรก็ไม่ฟัง พ่อกับแม่เลยตัดสินใจให้ไปอยู่วัดแห่งหนึ่ง กับยาคู (สมภาร เจ้าอาวาสวัด) แมัจะได้รับการอบรมสั่งสอนจากยาคูอย่างไร ความขี้เกียจของมันก็ไม่หมดหายไปสักที
ยาคูกะเลยคิดว่า "ต้องหาความรับผิดชอบให้สักเรื่อง" จึงเอาเม็ดแตงโมให้บักหูดสามเปาไปปลูก และบอกว่าให้ไปรดน้ำทุกวันอย่าได้ขาด แต่ด้วยความขี้คร้านของมันก็บ่เคยตักน้ำไปหด (รด) จักเทื่อ แต่ยังดีที่มันก็ยังลุกไปเยี่ยว (ฉี่) รดทุกๆ มื้อ ทุกเวลาที่มันปวดนั่นหล่ะ
จนบักแตงโมเติบใหญ่ (ได้คือกันเนาะ) พอบักโมสุกบักหูดสามเปาก็เลยเอาไปถวายให้พ่อพระยา (เจ้าเมือง) อันว่าพระยาผู้นี้ก็มีลูกสาวผู้หนึ่งงามขนาด ชื่อว่า "นางลุน" ลูกสาวพระยาเกิดอยากกินบักโมลูกนั้นมาก ก็รับเอาไปกินแต่เพียงผู้เดียวไม่แบ่งใคร สิ่งอัศจรรย์ได้เกิดขึ้น "นางลุน" เกิดตั้งครรภ์ได้โดยไม่มีการสมสู่ ท้องใหญ่ขึ้นทุกวัน พระยานั้นแม้จะคาดคั้นถามลูกสาวว่า "มีลูกนำไผ บอกมา..." ลูกสาวก็ได้แต่บอกว่า "บ่ฮู้ ๆๆ"
พระยาก็จนปัญญาที่จะถามอีก ก็เลยสั่งให้ตีฆ้องร้องป่าวกับชาวเมืองว่า "ให้ชายหนุ่มทุกคนในเมืองนี้เอากล้วยมาคนละหนึ่งหน่วย ถ้าลูกสาวของเฮา (นางลุน) เลือกเอากล้วยนำผู้ได๋ ผู้นั่นนสิได้เป็นพ่อของลูกในท้องของนาง เฮาสิยกให้"
เมื่อถึงวันนัดหมาย ชาวบ้านหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ต่างก็นำกล้วยเข้ามาให้นางลุนเลือก ด้วยหวังจะได้เป็นเขยเจ้าเมือง ส่วนนางลุนลูกสาวพระยานั้น ไผ๋ยื่นกล้วยให้นาง นางก็ไม่ยอมรับเอาเสียที จนว่ามาฮอด "บักหูดสามเปา" เด่ (ยื่น) กล้วยให้ นางลุนก็หยิบเอาปั๊บทันที พระยาเห็นอย่างนั้นก็โกรธมากที่ลูกไปลักลอบได้เสียกับชายหนุ่มหุ่นขี้ล่าย (รูปไม่หล่อ) อย่างนั้น เลยไล่ "บักหูดสามเปา" กับ "นางลุน" ให้หนีเข้าไปอยู่ในป่าด้วยกัน พร้อมกับให้มีดดวงหนึ่ง เสียมดวงหนึ่ง บักจก (จอบ) ดวงหนึ่ง บักหูดสามเปาเอามีดตัดต้นไม้เพื่อทำที่อยู่ ส่วนนางลุนก็ไม่เอ่ยปากพูดด้วยกับมันสักที ทำอย่างไรนางก็ไม่ยอมพูด จนบักหูดสามเปาคร้านที่จะเว้านำแล้ว แต่พอนานๆ ไปสักพัก นางก็พูดออกมาเอง (บ่ฮู้ว่าเป็นหยัง?)
ต่อมา เมีย (นางลุน) ก็เลยบอกให้ผัวไปถางป่าเพื่อจะปลูกผักปลูกหญ้า ปรากฏว่า บักหูดสามเปาถางต้นไม้ไว้แล้วจากเช้ายันเย็น ยามมื้อเช้าตื่นขึ้นมาก็เห็นต้นไม้ที่ตัดถางไปนั้น ก็กลับมาตั้งต้นอยู่ที่เก่าทั้งหมด ทำการถางป่าฟันต้นไม้อีกหลายครั้ง หลายวัน วันรุ่งขึ้นต้นไม้ก็กลับมาขึ้นหนาแน่นเป็นเหมือนเดิม
บักหูดสามเปา คับแค้นใจก็เลยตั้งใจสิจอบเบิ่ง (แอบดู) พอแต่ตะเว็นตกดินกะมีลิงโตหนึ่งถือฆ้องเดินออกมา พอแต่ลิงตีฆ้องต้นไม้ก็ลุกพรึบขึ้นมา บักหูดสามเปาเห็นดังนั้น ก็เลยแล่น (วิ่ง) ออกไปจับลิง ทำท่าทางเงื้อมีดสิฆ่าลิง ลิงกะเลยฮ้องขอชีวิตไว้
บักหูดสามเปาก็เลยสำทับถามไปว่า "มึงเป็นหยังจั่งเฮ็ดจังซี่ กูสิปลูกบักแตง บักโมไว้ให้เมียกูกิน"
ลิงกะเลยตอบว่า "ฆ้องนี้มันเป็นฆ้องวิเศษ" บักหูดสามเปากะเลยว่า "มันวิเศษจั่งได๋ บอกมา"
ลิงบอกว่า "เมื่อเจ้าตีฆ้องจะอธิษฐานให้เป็นคนงามกะได้ ตีให้เป็นผู้เฒ่ากะได้ ตีเอาบ้านเอาเมืองกะได้"
บักหูดสามเปาก็เลยลองตีฆ้องดู เมื่อตีก็อธิษฐานว่า "ให้หูดกูหายกะนา" พอแต่ตีฆ้องหูดที่มีอยู่ก็หายไป จากนั้นก็อธิษฐานต่อ "เอาตีให้กูผู้เป็นผู้งามๆ ได้บ่ได้" ว่าแล้วเลากะเลยตีฆ้องให้เป็นผู้บ่าวงามๆ ส่วนลิงนั้นรักตัวกลัวตายกะเลยเอาฆ้องยกให้บักหูดสามเปาไป
พอแต่ได้ฆ้องแล้ว บักหูดสามเปาก็เลยกลับบ้านไปหาเมีย ด้วยรูปร่างใหม่ที่เป็นหนุ่มหล่อเหลา ไม่มีตุ่มตามร่างกายอีกแล้ว พร้อมทั้งร้องเรียกเมียว่า "นางลุนเอย อ้ายหูดกลับมาแล้ว มาเบิ่งนี่"
นางลุนไม่เชื่อในสายตาว่า ชายหนุ่มตรงหน้าคือ "บักหูดสามเปา" ก็เลยตอบไปว่า "อย่ามาเอิ้นข้อย ข้อยมีผัวแล้ว ข้อยหลูโตนผัวข้อย"
บักหูดสามเปากะเลยว่า "ข้อยนี่แหละผัวเจ้า ลุนเอย" นางลุนว่า "ข้อยบ่เชื่อดอก"
บักหูดสามเปาเลยบอกว่า "เอ้า … ข้อยสิตีฆ้องให้เป็นหูดคือเก่าเด้อ" ว่าแล้วก็อธิษฐานก่อนตีฆ้องให้เป็นหูดเหมือนเก่า นางลุนเมียรักเห็นกับตาดังนั้นก็เลยเชื่อ จากนั้น บักหูดสามเปากะเลยตีฆ้องให้เจ้าของกลับเป็นคนงามคือเก่า ต่อจากนั้นแล้ว บักหูดสามเปาก็เลยใช้ฆ้องอธิษฐานตีเอาบ้านเอาเมืองอื่นๆ ให้มาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
กล่าวถึงพระยาหลังจากไล่ลูกเขยและลูกสาวไปอยู่ป่า เกิดความสงสัยว่า บักหูดสามเปามันตายหรือยังหนอ? เลยบอกเสนาอามาตย์ไปเเอบดู พอแต่เสนาไปดูพบเห็นความจริง เลยกลับมาบอกพระยาว่า "บักหูดสามเปารูปงามกว่าเก่า ไม่ได้เป็นหูดแล้ว"
พระยาเลยขอไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง และได้ขอให้บักหูดสามเปาตีฆ้องให้ตัวพระยาเองเป็นหนุ่มแน่น แล้วกลับเข้าบ้านเมืองด้วยรูปร่างใหม่ พร้อมกับหูดสามเปา (ลูกเขยรัก แล้วตอนนี้) พอกลับเข้าในเมือง พอแต่เมียเห็นพระยา นางก็ไม่เชื่อว่าเป็นผัวเจ้าของ พระยาเลยบอกเมียว่า "ตอนนี้มีฆ้องศักดิ์สิทธิ์อยู่กับหูดสามเปา นี่เด้ ลูกเขยเฮา"
เมียกะเลยว่า "ข้อยกะอยากเป็นสาวงามคือกัน ฮิๆๆ หูดสามเปาส่อยให้แม่เป็นสาวงามๆ แหน่"
ว่าแล้วบักหูดสามเปาก็เลยอธิษฐานตีฆ้องให้นางเป็นสาวงาม เมียพระยาก็เลยกลับเป็นคนงามคนสวยเริ่ดประเสริฐศรี ปรากฏว่า ในบ้านเมืองนั้นมีแต่คนงามๆ มีแต่หนุ่มๆ สาวๆ สวยๆ เริดๆ หมดทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะหูดสามเปาอธิษฐานตีฆ้องให้กับทุกคน
ทั้งสอง (หูดสามเปา และนางลุน) ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แฮ็บปี้เอนดิ้ง… จบจ้อย
ลำเรื่องต่อกลอน "หูดสามเปา" (ท้าวแสนปม) คณะซุปเปอร์ดวงวิเศษ
นี่แหละเผิ่นว่า
เบิ่งคนอย่างเบิ่งแต่เพียงภายนอก ให้เบิ่งจิตใจเขานำ "
บ๋า! ฆ้องนั้น อยู่ไสหนอ! ข่อยสิตีให้คนอีสานอยู่ดีกินดีตลอดเบิ้ดซาตินี้ มั่งมีเงินทอง ถูกหวยรวยเบอร์กันสู่งวด บ่ต้องรอ "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" ลูกหลานไปโรงเรียนกะให้ได้เกรด 4 เบิดสู่วิชาเด้อ เพี้ยงๆ