กลอนเซิ้ง
"เซิ้ง" หรือ "กาพย์เซิ้งบั้งไฟ" เป็นร้อยกรองท้องถิ่นอีสาน หรือเป็นเพลงพื้นบ้าน ประเภทเพลงประกอบพิธีของชาวบ้านอีสาน ที่ร้องในขบวนแห่บั้งไฟในงานประเพณีบุญบั้งไฟ เดือน 6 มีผู้นำคนหนึ่งเป็นคนขับเนื้อความ แล้วคนอื่นๆ ในขบวนจะร้องรับไปเรื่อยๆ เรียกว่า "การเซิ้ง" ประกอบการฟ้อนตามจังหวะของกลองตุ้มและเครื่องดนตรีอื่นๆ ที่ใช้ประกอบ เช่น พังฮาด โทน
กาพย์เซิ้งบั้งไฟ แต่งด้วยคำประพันธ์ที่เรียกว่า กาพย์ 7 คำ วรรคหนึ่งมี 7 คำ ข้างหน้า 3 คำ ข้างหลัง 4 คำ คำสุดท้ายของวรรคที่ 1 จะส่งเสียงสัมผัสไปที่คำใดก็ได้ในวรรคต่อไป (คำสัมผัสในภาษาอีสานเรียกว่า คำก่าย) นิยมสัมผัสกับคำที่ 3 โดยใช้ระดับเสียงของคำที่สัมผัสเป็นเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน บทหนึ่งจะมีกี่วรรคก็ได้แล้วแต่เนื้อความ นิยมใช้กับการเซิ้งแบบต่างๆ เช่น เซิ้งนางด้ง เซิ้งนางแมว คำสอน บทกล่อมเด็ก
ปัจจุบันนี้ รูปแบบและเนื้อหาของกาพย์เซิ้งบั้งไฟก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย คณะเซิ้งจะมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง มีการฟ้อนช้าๆ ตามจังหวะช้าๆ ของกลองตุ้ม ต่อมาก็ถูกเปลี่ยนเป็นการประดิษฐ์ท่ารำให้อ่อนช้อย สวยงาม มีจังหวะ และท่วงทำนองเปลี่ยนเป็นสนุกสนาน ตามลีลาของกลองยาวและแคน ในปัจจุบันเนื้อหาของกาพย์เซิ้ง ในขบวนแห่มีหลากหลายมากขึ้น ทั้งการร้องเล่าตำนาน เช่น เรื่องผาแดงนางไอ่ เล่าคำสอน เช่น เรื่องกาพย์พระมุนี เล่าเกี่ยวกับสังคมและเหตุการณ์ปัจจุบัน รวมถึงยังนิยมใช้เพลงลูกทุ่งแทนกาพย์เซิ้งแบบเดิม การลำกลอนเซิ้งใช้ลำขอสิ่งของในวันรวมบุญบั้งไฟ หรือหลังจากจุดบั้งไฟไปแล้วซึ่งจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "เซิ้งนำฮอยไฟ ใช้ดนตรีพื้นเมืองอีสานตามที่กล่าวมา
ลายแห่เซิ้งบั้งไฟม่วนๆ ในจังหวะกลองยาว : งานบุญบั้งไฟ อำเภอพังโคน ประจำปี 2566
เซิ้งขอสิ่งของ
โอ่เฮาโอ่พวกฟ้อนเฮาโอ่ เฮือนผู้ใดหลังใหญ่อาดหลาด เจ้าผู้ทุกข์ทานมาอย่าหน อย่าได้ขาดในเรื่องกินทาน พวกแม่ป้าเฮือนอื่นกะมี หรือสิเตื้องขึ้นฮอดสลึง บ่ให้ขาดเรื่องกินเรื่องทาน ให้เราแผ่โตม้อนโตไหม เลี้ยงควายด่อนให้เป็นโตเขาคำ เลี้ยงใหญ่แล้วให้ลูกแพ่คือปูยามนา ลาเฮือนนี้หนีไปเฮือนใหม่ |
มาฮอดนี่เถิงที่เฮือนใผ บ่ได้บาทหลานน้อยบ่หนี เจ้าผู้จนทานมาอย่าขาด ศีลแลทานแห่หลังบังหน้า เป็นเศรษฐีบ่อยากทานพอเฟื้อง ทานตำลึงให้เลาได้แปดบาท เลาให้แล้วแถมพรเลาแหน่ เลี้ยงส่ำใดให้ได้ส่ำนั้น เลี้ยงควายดำให้เป็นโตเขาแก้ว ลาเฮาลาพวกฟ้อนเฮาลา |
เซิ้งบุญบั้งไฟ
ในเวลาจุดบั้งไฟ มีการลำเซิ้งเพื่อให้บั้งไฟขึ้น ไม่ให้แตกหรือชุ การลำเซิ้งในเวลาจุดบั้งไฟนี้ เป็นการลำเซิ้งของบุคคลคนเดียว กลอนเซิ้งว่าดังนี้
ขึ้นเดอหล้าเอย ...... อย่าได้เสียแฮงสร้างบุป่ายางหาถ่าน อย่าได้ลงมากลั้วดินแดนชุแตก ให้นางทวยทงขึ้นเมืองเทิงเกิ่งเดิ่ง อันว่าสีทรงน้องลายทองเจี้ยกระดาษ คันทรงซามกะดีล้นสมควรเหมิดคู่อย่าง อย่าได้ลงมาใต้จุไฟให้เข้าโลด คันบัดนี้ให้เจ้าก่งโค้งโน้งให้คนแห่แหนนำ อันว่าไหมคำคล้องลายงามเจ้ากว่าหมู่ อย่าได้เสียทีอ้ายผู้สับลายมาแต่ง อย่าได้เสียทีอ้ายผู้สับลายหาถ่าน ให้เอาพระจันทร์เป็นเพื่อนเอาเดือนดาวเป็นหมู่ ไปสาเด้อหล้าไปหาเมียไว้ถ้าพี่ |
อย่าได้เสียแฮงสร้างบุป่าไผ่ลอดหาหาง ให้นางผ่านขึ้นฟ้าเมือฝ้าสู่พรหม พี่ได้แบกขึ้นค้างนางหล้าอย่าเงี่ยงหงวย ขึ้นเมื่อเทิงหมอกฟ้าเพลตุ้มจั่งค่อยลง อ้ายได้วาดแลแต้มดีแล้วค่องงาม ให้อี่นางลอดฝ้าเมือฟ้าดั่งประสงค์ โทษเถาะนกอีหล้าเมือฟ้าจั่งค่อยลง ละน้า เจ้าผู้คำลายงามอย่าได้ลงมาใต้ ลายดอกดู่ดอกซ้อนทะลอนเอ้แต่งดี ดำแลแดงอ้ายกะเอ้อย่าเวซ้ายก่ายหน หาทางกะพ่องนี้มาเอ้ซู่อัน อี่ลายงามแก่นชู้ไปถ้อนก่อนพี่ชาย... น้า ไปหาหีไว้ถ้าอ้ายตาเว็นค้อยจั่งอ่วยลง... น้า |
เซิ้งบั้งไฟ - มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม
การเซิ้งโดยขบวนฟ้อนรำของคุ้มต่างๆ ที่มาแห่แหนบั้งไฟของตนจะสวยงามน่าชม ตามแบบแผนของกรมศิลป์ ส่วนพวกเซิ้งที่มาทีหลังการจุดบั้งไฟนั้นจะเป็นพวกแก่ดีกรี การเซิ้งจึงไปในทางสนุกสนาน ตลกขบขัน เอามันเข้าว่า ตามแบบกรมสรรพสามิต (ผู้ดูแลการผลิตสุราโดยแท้) แต่ชาวบ้านอีสานก็ไม่เคยแล้งน้ำใจยังสนุกสนานตามกันได้