คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
เป็นนักร้องลูกทุ่งหญิงเสียงดี ที่ถนัดในแนวเพลงลูกทุ่งอีสาน และหมอลำ ปัจจุบันได้อำลาวงการเพลงไปแล้ว หงษ์ทอง ดาวอุดร เริ่มโด่งดังมาจากเพลง “รักติ๋มแน่หรือ”
หงษ์ทอง ดาวอุดร มีชื่อจริงว่า กุหลาบ ยศอ่อน เป็นชาวอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เริ่มก้าวเข้าสู่วงการเพลงด้วยการตระเวนประกวดร้องเพลงตามงานวัดต่างๆ มากมาย ตั้งแต่อายุแค่ 7 – 8 ขวบ เธอบอกว่าเคล็ดลับในการคว้าชัยชนะมากมายของเธอก็คือ "การศึกษาว่า คู่ต่อสู้บนเวทีของเธอจะร้องเพลงอะไร" จากนั้นเธอก็จะคิดหาเพลงมาสู้ แต่โดยมากตัวเธอจะร้องเพลงของ นกน้อย อุไรพร เป็นหลัก
เมื่อ พ.ศ. 2519 อดีตนักร้องและผู้นำวงดนตรี “ศรีไพร ใจพระ” ได้จัดการประกวดหานักร้องเวทีใหญ่ เพื่อค้นหานักร้องรุ่นเยาว์ที่มีความสามารถ 4 คน ตอนนั้น “กุหลาบ ยศอ่อน” อายุ 16 ปี เป็นคนที่สามที่ได้รับการคัดเลือก ด้วยพรสวรรค์ ทำให้สามารถคว้าชัยชนะในการประกวดรอบเดือน ที่เวทีวัดป่าโนนนิเวศน์ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีการประกวดอยู่ 3 เดือน
ศรีไพร ใจพระ เดินทางไปพบพ่อแม่ของเธอ และสัญญาว่าจะทำให้เธอนักร้องที่มีชื่อเสียงให้ได้ โดยพานักร้องประกวดที่เข้ารอบทั้ง 4 คนเข้ากรุงเทพฯ แต่ไปๆ มาๆ ก็เหลือเธอคนเดียว แต่ ตในขณะนั้นศรีไพรเองก็ต้องการโปรโมต “หงส์หยก” ซึ่งเป็นยี่ห้อครีมรองพื้นของตัวเองที่ทำออกมาจำหน่าย เขาเลยต้องตั้งชื่อนักร้องทั้ง 4 คนที่ได้รับการคัดเลือกมาเป็น “หงษ์น้อย”, “หงษ์ฟ้า”, “หงษ์ทอง” และ ”หงษ์เงิน” ตามลำดับ
ตอนแรก “หงษ์ทอง” ถูกมองว่ามีแววจะรุ่งน้อยที่สุดในกลุ่ม แต่เมื่อเพื่อนร่วมวงของเธออย่าง “หงษ์น้อย” ไม่สามารถร้องเพลงหนึ่งเพลงคือ “บั๊มพ์…ลำเพลิน” ได้ตามที่คาด “หงษ์ทอง” จึงใช้โอกาสนี้ให้เป็นของเธอ ด้วยพื้นเพความสามารถการร้องเพลงหมอลำมาก่อน หงษ์ทอง ดาวอุดร ทำให้เพลง “บั๊มพ์…ลำเพลิน” กลายเป็นเพลงฮิตของเธอได้
ต่อมาก็เริ่มเห็นได้ชัดเจนว่า ชีวิตของพวกเธอ ("หงษ์" ทั้งสี่คน) ภายใต้การชี้แนะของศรีไพรนั้นไม่ตรงกับที่คาดฝันไว้ เมื่อครูเพลงของวง “ดอย อินทนนท์” เขียนเพลงเสร็จเรียบร้อย “หงษ์ทอง” ต้องรีบท่องจำเนื้อเพลงให้ได้ ถ้าจำเนื้อเพลงไม่ได้ “ศรีไพร” จะลงโทษพร้อมขู่ว่า “ร้องไม่ได้ก็กลับบ้าน” ด้วยความที่ “หงษ์ทอง” เป็นคนรูปร่างอวบ บางครั้ง “ศรีไพร” ก็จะบังคับให้เธออดอาหารสามวัน ให้ดื่มแต่น้ำเปล่าเพื่อลดหุ่นให้ได้
ไม่นานหลังจากนั้น “หงษ์น้อย” ก็ชวนนักร้องรุ่นน้องอีกสองคนไปเข้าร่วมวงดนตรีของ ศรชัย เมฆวิเชียร แต่ หงษ์ทอง ดาวอุดร ก็ยังร้องเพลงอยู่กับ “ศรีไพร” เพราะรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเขาอยู่ เธอเล่าว่า “ศรีไพร” มีความรู้มากมายที่จะสั่งสอนส่งต่อให้กับเธอ แต่มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นหรือจริงๆ แล้วอาจจะมีแค่ “หงษ์ทอง” คนเดียว ที่สามารถทนอยู่กับ “ศรีไพร” และเรียนรู้ทุกอย่างจากเขาได้
แม้ว่าเพลงของ หงษ์ทอง ดาวอุดร จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่การอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ก็เป็นเรื่องยากสำหรับเธอ เพราะหงษ์ทอง ดาวอุดร ต้องอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์แออัดร่วมกับนักร้องคนอื่นๆ ในสังกัดและคนงานโรงงานครีมทาหน้าของ “ศรีไพร ใจพระ”
หงษ์ทอง เล่าว่าทุกๆ 5 วัน นักร้องทุกคนจะได้รับเงิน 100 บาทจาก “ศรีไพร” แต่บางทีเขาก็ลืมแล้วก็เงียบหาย บางครั้งก็เดินทางไปต่างจังหวัด แม้ว่าหงษ์ทอง และนักร้องคนอื่นๆ ก็มีเงินแทบไม่พอใช้อยู่แล้ว บางทีมีเพื่อนบ้านที่เป็น นักศึกษา ม. รามคำแหง ที่อาศัยอยู่ห้องใกล้ๆ กันก็ขอยืมเงินจากเธอและเพื่อนนักร้อง ด้วยความผูกพันผ่านสภาพชีวิตอันยากลำบาก เพื่อนร่วมอพาร์ตเมนต์เหล่านี้ก็จะร่วมกันทำต้มจืดเต้าหู้ใส่น้ำเยอะมากๆ มาแบ่งกันกิน
เมื่อครอบครัวของ หงษ์ทอง ดาวอุดร เดินทางไกลจากอีสานมาเยี่ยมเยือนถึงกรุงเทพฯ พวกเขาก็ต้องตะลึงกับสภาพความเป็นอยู่อันคับแค้น และแทบไม่มีข้าวปลาอาหารไว้หุงกินเลย ดังนั้น ปลาที่ครอบครัวนำมาจากบ้านเกิด จึงถูกแบ่งสรรให้กับเพื่อนบ้านร่วมอพาร์ตเมนต์ที่ขอไปทำกับข้าวให้ประทังต่อชีวิต
เมื่อปี 2521 การตัดสินใจของ หงษ์ทอง ดาวอุดร ที่เลือกอยู่ต่อภายใต้สังกัดของ ศรีไพร ใจพระ ก็เริ่มส่งผลลัพธ์ด้านบวกให้กับชีวิตนักร้องของเธอ ในปีเดียวกันนี้เอง หงษ์ทอง ได้มีโอกาสร้องเพลงแก้ (เพลงที่มีเนื้อเพลงทำนองโต้ตอบกับเพลงเดิม) กับนักร้องลูกทุ่งชื่อดังถึง 2 เพลง ได้แก่ “รักติ๋มแน่หรือ” ซึ่งเป็นการร้องแก้เพลงของ สายันต์ สัญญา ในเพลง “รักติ๋มคนเดียว” กับเพลง “บัวหลวงรอรัก” ซึ่งเป็นเพลงแก้เพลง “บัวหลวงบึงพลาญ” ของ ศรชัย เมฆวิเชียร
หลังจากที่ หงษ์ทอง ดาวอุดร ผ่านการสอบได้รับใบผู้ประกาศเพื่อจัดรายการวิทยุ เธอก็เริ่มต้นอาชีพเป็นดีเจ อีกทั้งยังทำงานเขียนบทและจัดทำซิงเกิ้ลประกอบโฆษณารายการวิทยุ และแสดงในโฆษณาทางทีวี สำหรับเพลงโฆษณาอย่าง “ฉันรักจักรยานมิกกี้ ดูสิสง่าสวยดี ขี่ไปไหน” หงษ์ทองเล่าว่าเธอได้รับค่าตอบแทนมากถึง 100,000 บาทหลังจากนั้น หงษ์ทอง ดาวอุดร ก็ปรากฏตัวบนหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ โพสต์ท่าถ่ายรูปกับจักรยานมิกกี้ เธอยังเป็นคอลัมนิสต์ประจำของหนังสือพิมพ์บ้านเมือง ภายใต้นามปากกาว่า “ช่อผกา”
หงษ์ทอง ดาวอุดร ยังเป็นหุ้นส่วนทาฝธุรกิจกับ ศรีไพร ใจพระ ซึ่งบ้านบนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ชั้นบนของเขาเป็น โรงงานผลิตครีมทาหน้า และชั้นล่างเป็น บริษัท เอส.เอ.เอส.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัทจัดหาแรงงานอีสานส่งไปยังประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งยุคนั้นคนงานไทยชอบไปทำงานกันก็คือ ตะวันออกกลาง
หงษ์ทองคะนองลำ : หงษ์ทอง ดาวอุดร
ศรีไพร ใจพระ จึงคิดสร้างภาพยนตร์โปรโมทธุรกิจจัดหาแรงงานชื่อ “คุณนายซาอุ” เมื่อปี 2525 โดยดาราที่ร่วมแสดงหนังเรื่องนี้ได้แก่ สรพงษ์ ชาตรี ลลนา สุลาวัลย์ และ เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ ส่วนดารานำหญิงอีกคน คือ หงษ์ทอง ดาวอุดร เพราะนักร้องหญิงคนอื่นๆ ได้ออกจากสังกัดไปหมดแล้ว โดยหงษ์ทอง รับบทบาทแสดงเป็นภรรยาของแรงงานอีสาน และร้องเพลงประกอบถึง 3 เพลงด้วยกัน ได้แก่ “หงษ์ทองคะนองลำ” ผลงานของครูดอย อินทนนท์ เพลง “ถ่าพี่” (รอพี่กลับมา) และ “คุณนายซาอุ” ในแบบสไตล์ญี่ปุ่น
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ศรีไพร ใจพระ หลอกแรงงานคนอีสานโดยพาพวกเขาขึ้นเครื่องบินไปกรุงเทพฯ แล้วบินกลับไปอุดรธานี พวกเขาคิดว่าตัวเองนั้นได้เดินทางไปถึงซาอุฯ แล้ว จนกล่าวติดตลกว่า “คืออุดรแท้.. เอิ้นมันว่า ‘ซาอุดร’ ซะบ้อ” อีกมุกเด็ดคือมุกที่แรงงานอีสานไม่รู้จักเนย เมื่อตอนอยู่บนเครื่องบินจึงไม่รู้ว่าจะเอาเนยไปทำอะไร ก็เลยพากันเก็บใส่กระเป๋ากางเกงจนเนยละลายเปื้อนหมด
รอรักจากซาอุ : หงษ์ทอง ดาวอุดร
มีบทหนึ่งตัวละครในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ หงษ์ทอง ดาวอุดร ได้รับบทบาทให้แสดงถูกถามว่า ทำไมเธอถึงมีเพชรพลอยใส่เยอะแยะมากมายขนาดนี้ เธอตอบว่า “ก็ส่งควายไปทำงานเมืองนอกยังไงล่ะ” ซึ่งบทพูดนี้มีที่มาจากการที่คนมักพูดกันว่า “ควายเมืองอุดรแข็งแรง” ซึ่งหงษ์ทองได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ว่า “คนกรุงเทพฯ ไม่เข้าใจว่าประโยคนี้มีที่มาอย่างไร และคิดว่ามันเป็นคำที่มีความหมายทางเพศ”
ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ได้ประสบความสำเร็จด้านรายได้ แต่ก็มีชื่อเสียงมากพอที่จะทำให้คนที่ต้องการไปทำงานที่ซาอุฯ คิดถึงบริษัทของ “ศรีไพร” ก่อนใคร บทบาทของ “หงษ์ทอง” ในภาพยนตร์ยังทำให้เธอมีงานเพลงเข้ามาอีกมากมาย สร้างรายได้ให้กับเธอมากถึงเดือนละประมาณ 30,000 บาท จำนวนมากพอที่ทำให้เธอสามารถซื้อบ้านหนึ่งหลังได้ก่อนจะมีบัตรประจำตัวประชาชนเสียอีก
จากนั้น หงษ์ทอง ดาวอุดร ก็ตั้งวงดนตรีรับงานแสดงทั่วไป ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก พอถึงหน้าฝนเมื่อมีการหยุดเดินสาย เธอก็เข้าห้องอัดเสียง ช่วงระหว่างปี 2521-2525 หงษ์ทอง ดาวอุดร มีผลงานออกอัลบั้มเทปคลาสเซตต์ 15 อัลบั้ม โดยเจ้าตัวบอกว่า ผลงานของเธอก็มีทั้งที่ประสบความสำเร็จบ้าง และไม่ประสบความสำเร็จบ้าง วงดนตรีหงษ์ทอง ดาวอุดร เดินสายอยู่ 4 ปีก็ยุบวง เพราะภาวะขาดแคลนน้ำมันในยุคนั้น (ระหว่างปี 2525-2526) ที่ทำให้ทางการประกาศปิดปั้มน้ำมันตอน 4 ทุ่ม แต่วงดนตรีต้องเดินสายกันตลอดวันตลอดคืนเพื่อไปทำการแสดงที่ต่างๆ เมื่อไม่มีน้ำมันเติม ก็ทำให้ต้องพบกับความลำบากกันมาก กอร์ปกับการที่ในช่วงนั้น หงษ์ทอง ดาวอุดร เริ่มมีปัญหาเส้นเสียงอักเสบ ทำให้เธอต้องลดรับงานคอนเสิร์ตลง
หลังหยุดวง หงษ์ทอง ดาวอุดร เข้ามาช่วยงานบริษัทจัดหางานของศรีไพร ใจพระ นอกจากนั้นก็มาจัดรายการวิทยุควบคู่ไปด้วย หลังจากหยุดวงดนตรีไม่นาน ปี 2528 หงษ์ทอง ดาวอุดร ก็แต่งงานมีครอบครัว และหายหน้าไปจากวงการเพลงลูกทุ่ง หงษ์ทองให้กำเนิดลูกชายเมื่อปี 2530 และหย่ากับสามีในปี 2537 เธอย้ายจากกรุงเทพฯ กลับไปอยู่อุดรธานีบ้านเกิด
พอถึงปี 2539 หง ษ์ทอง ดาวอุดร มีปัญหาเรื่องการใช้เสียงมากขึ้น ก็เลยเข้ารับการผ่าตัดต่อมไธรอยด์ หลังการผ่าตัดในครั้งนั้นก็ทำให้เธอพูดไม่ได้นานถึง 6 เดือน เวลาจะสื่อสารต้องใช้วิธีการเขียนหนังสือเอา แต่ล่าสุด (ปี 2550) เธอบอกว่า เสียงของเธอกลับมา 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว
หงษ์ทอง ดาวอุดร : รายการไมค์ทองคำหมอลำฝังเพชร
ปัจจุบัน หงษ์ทอง ดาวอุดร ผันตัวเองมาเป็นนักจัดรายการวิทยุ ประเภทข่าวและเพลงคลื่นทางวิทยุ ที่จังหวัดอุดรธานี รวมทั้งรับเป็นพิธีกรตามงานของสมาชิกผู้ฟังคลื่น และขึ้นร้องเพลงบ้างเป็นครั้งคราว
นางสุภาพ ติณรัตน์ หรือที่รู้จักกันในนาม หมอลำสุภาพ ดาวดวงเด่น เกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2499 ณ บ้านภูเงิน ตำบลหนองกุง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนวัดศรีกัลยานุสรณ์ ด้วยมีฐานะทางบ้านยากจน จึงไม่ได้เรียนต่อทั้งๆ ที่ผลการเรียนดี และมีความขยัน รักการเรียนมาตลอด เด็กหญิงสุภาพ จึงต้องหาวิธีการหาเงินมาจุนเจือเลี้ยงดูครอบครัว หนึ่งในอาชีพที่หารายได้ในยุคนั้น ก็คือ "หมอลำ" ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันอีกประการหนึ่งของเธออีกด้วย
จึงตัดสินใจไปเรียนหมอลำกลอนจาก อาจารย์บัวพา พันแสน ที่จังหวัดอุบลราชธานี เป็นการลำทำนองอุบล (วาทอุบล) เมื่อมีความสามารถในการลำได้เป็นอย่างดีแล้ว จึงออกรับการแสดง และพัฒนาผลงานการแสดงหน้าเวที จนได้รับสมญานามว่า “สุภาพน้อยนกเขาหอง” (เสียงกังวานดุจเสียงนกเขาร้องนั่นเอง) มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วภาคอีสาน
ต่อจากนั้นได้มาสังกัด สมาคมหมอลำ พ่อมหันต์ นครไชย จังหวัดมหาสารคาม และได้เป็นศิลปินหมอลำเรื่องต่อกลอน รับบทเป็นนางเอก ให้กับ คณะเพชรบูรพา ด้วยความสามารถและพรสรรค์ในการลำ มีน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ได้มีโอกาสบันทึกแผ่นเสียงกับ คุณเทพบุตร สติรอดชมพู โดยเข้าสังกัดใน บริษัท เสียงสยามแผ่นเสียง ในรูปแบบทั้งการลำในรูปแบบต่างๆ และการขับร้องเพลงลูกทุ่งไทยอีสาน
คิดถึงเสียงซอ - สุภาพ ดาวดวงเด่น
สุภาพ ดาวดวงเด่น มีผลงานด้านเพลงลูกทุ่งไทยอีสานออกมาหลายชุด แต่ที่สร้างชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักโด่งดังในขณะนั้น คือ คึดถึงเสียงซอ ลำเพลินสลับเต้ย ลำเพลินสลับเต้ย โดยเฉพาะเพลง "คึดถึงเสียงซอ" เป็นเพลงที่นำเอาเสียงซอ มาประกอบบทบาทเพลงลูกทุ่งอีสานเป็นครั้งแรก จากการบรรเลงของอาจารย์ทองฮวด ฝ้ายเทศ ซึ่งทั้งสองบทเพลงนี้ทำให้มหาชนได้กล่าวถึงตลอดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีอีกหลายผลงานที่ยังอยู่ในความทรงจำของผู้ฟังไม่รู้ลืม
และนั่นคือ จุดที่ทำให้เธอมีโอกาสได้กลับมาทำตามความฝันในวัยเด็กอีกครั้ง ด้วยการกลับมาเรียนหนังสืออีกครั้งที่ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน จังหวัดมหาสารคาม จนจบชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 ด้วยหลักสูตร กศน. (การเรียนและสอบเทียบในระบบการศึกษานอกโรงเรียน) เมื่ออายุ 46 ปีเข้าไปแล้ว แต่เธอยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น ได้ผลักดันตัวเองให้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ปริญญาตรี สาขารัฐประศาสนศาสตร์ ปริญญาโท สาขา รัฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง และจบการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขา วัฒนธรรมและสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เมื่ออายุได้ 57 ปี
ด้วยความมุ่งมั่น พยายามต่อสู้กับอุปสรรคนานัปการกว่าจะมาเป็นหมอลำ และเป็นเจ้าของผงงานเพลงลูกทุ่งอีสานที่ได้รับความนิยมนั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับชีวิตศิลปินสาวชาวอีสานคนหนึ่ง แต่ปัจจุบันเธอได้ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานในฐานะจ้าของกิจการ และยังช่วยเหลือสังคมในโอกาสต่างๆ โดยได้ใช้ความสามารถในความเป็นศิลปินของเธอเสมอมา รวมทั้งการลงสนามการเมือง โดยเคยสมัครรับเลือกตั้งทั้ง สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในฐานะตัวแทนของชาวจังหวัดร้อยเอ็ด แต่ก็พลาดหวังทั้งสองสนาม
นางสุภาพ ติณรัตน์ หรือ ดาวดวงเด่น ได้รับการเชิดชูเกียรติเป็น ศิลปินมรดกอีสาน สาขาศิลปะการแสดง (ขับร้องเพลงลูกทุ่ง) ประจำปี พุทธศักราช 2550 จาก มหาวิทยาลัยขอนแก่น
สุภาพ ดาวดวงเด่น ศิลปินมรดกอีสาน พ.ศ.๒๕๕๐
เวียง นฤมล หรือชื่อจริง นฤมล พลพุทธา เป็นลูกหลานคนเมืองเกินร้อย 'สาเกตนคร' เกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2534 ที่บ้านเหล่าตำแย ตำบลศรีแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เล่าเรียนในระดับประถมศึกษาที่ โรงเรียนชุมชนบ้านศรีแก้ว มาต่อระดับมัธยมต้นที่ วิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด และจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ เป็นบุตรีของนักดนตรี/หมอลำชื่อ คุณพ่อสุวรรณ พลพุทธา และแม่ที่เป็นแดนเซอร์ในวงเดียวกัน
ในวัยเด็กซึมซับเส้นทางการเป็น 'ศิลปิน' มาจากครอบครัว มีลุงเป็นหมอลำชื่อดังในยุคก่อนคือ ร้อยเอ็ด เพชรสยาม มีป้าชื่อ วรรณภา สารคาม เป็นหมอลำดังมีชื่อในคณะ 'นกยูงทอง' รวมทั้งพ่อกับแม่ที่มีอาชีพเป็นนักดนตรีหมอลำ จึงได้ติดสอยห้อยตามพ่อแม่ไปในการแสดงตามที่ต่างๆ โดยมีคุณพ่อสนับสนุนให้รู้จักการร้องรำกลอนต่างๆ ของศิลปินที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น
จนอายุย่างเข้า 11 ปี (ยังเรียนอยู่ชั้น ป. 5) ถูกชักชวนจากลูกวงของพ่อ ให้มาช่วยเต้นเป็นแดนเซอร์ในคณะ ซึ่งมีรายได้ด้วย ดีกว่ามานั่งดูแม่แสดงเฉยๆ เป็นแดนเซอร์จนกลายมาเป็นนักร้อง/หมอลำในวงดนตรีของพ่อ ต่อมารุ่นพี่ชักชวนไปเป็นแดนเซอร์ และตัวประกอบในหมอลำคณะ "นกเอี้ยงโหม่ง" อยู่ 3 ปี ในระหว่างที่ทำงานนี้ ก็ยังเรียนหนังสือที่โรงเรียนไม่เคยทอดทิ้งจนกระทั่งจบชั้น ป.6
จากนั้นได้ขอทางบ้านไปเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาที่ วิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด เพราะในช่วงที่เรียนอยู่ชั้นประถมทางโรงเรียนส่งเสริมให้ขับร้องเพลงและส่งเข้าประกวดจนได้รับรางวัลที่ 1 มาโดยตลอด เลยคิดว่าตัวเองน่าจะชอบทางด้านนี้หรือมีแววทางนี้ (ไม่แน่ใจตัวเอง แม่ก็ถามว่า ทำไมต้องเรียนวิทยาลัยนาฏศิลป์ เรียนจบมาแล้วจะทำอะไร?) จึงน่าจะไปเรียนรู้ในศาสตร์และศิลป์เพื่อนำไปต่อยอดในอนาคต โดยการเรียนในวิชาเอก 'ขับร้องเพลงไทย' ได้พบครูบาอาจารย์ที่ดีคอยสนับสนุนส่งเสริม ได้ร่วมแสดงและขับร้องในวงดนตรีโปงลาง ของวิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด สร้างประสบการณ์ในการเป็นศิลปินและความรับผิดชอบ
ทางด้านการลำได้รับการชี้แนะขัดเกลาจากแม่ครูหมอลำ ฉวีวรรณ ดำเนิน ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปการแสดง (หมอลำ) ปี พ.ศ. 2536 ที่ท่านมาทำการสอนอยู่ที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด ทำให้ได้รับประสบการณ์มากมาย ทั้งสังวาสการลำแบบต่างๆ ความแตกต่างของการลำในท้องถิ่นต่างๆ ทั้งการลำทำนองขอนแก่น ลำทำนองสารคาม ลำทำนองอุบลฯ หรือแม้แต่การลำทางฝั่งเพื่อนบ้าน สปป.ลาว เช่น ลำสาลวัน ลำตังหวาย เต้ยเกี้ยว เต้ยหัวโนนตาล เป็นต้น
จนได้เรียนต่อยอดทางด้านศิลปะในระดับปริญญาตรีที่ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กรุงเทพฯ ด้วยที่แม่อยากให้ลูกสาวเป็นข้าราชการการ รับราชการครู จะได้ไม่ลำบากเหมือนแม่ แต่หัวใจของ เวียง นฤมล นั้นหลงใหลในการเป็นศิลปิน ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักร้อง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้ช่องทางไหนจึงจะประสบผลสำเร็จ
จนกระทั่งวันหนึ่ง มีรุ่นพี่มาชักชวนให้ไปเป็นเพื่อนเดินทางไปพบกับ อาจารย์อำไพ มณีวงษ์ นักแต่งเพลงและกลอนลำดังๆ ให้กับนักร้อง-หมอลำดังหลายคนอย่าง มนต์แคน แก่นคูณ ในระหว่างการหาเพลงที่เหมาะสมให้พี่ๆ อาจารย์อำไพ เกิดสะดุดตาในตัว เวียง นฤมล ว่า มีมาด มีทรง มีท่าทางที่แสดงออกว่าเป็นหมอลำ เวียงเลยตอบอาจารย์ไปว่า เคยลำ และเคยเป็นศิษย์ของแม่หมอลำฉวีวรรณ ดำเนิน ศิลปินแห่งชาติ จึงได้ลองร้องหมอลำทำนองขอนแก่นให้อาจารย์ฟัง อาจารย์อำไพจึงขอบันทึกเสียงการลำไว้ บอกว่าจะนำไปให้ ครูสลา คุณวุฒิ ฟัง และให้เบอร์โทรครูสลา มาบอกว่า ให้ส่งข้อความไปบอกครู แนะนำตัวว่า เป็นใคร อยู่ที่ไหน ถ้าใจอยากเป็นศิลปินนักร้องจริงๆ
จนเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบปี จึงได้รับการติดต่อจาก ครูสลา คุณวุฒิ ในการเข้าไปทดสอบเสียงเพื่อเข้าร่วมในโครงการ "น้องใหม่ไต่ดาว โครงการ 2" ผ่านการทดสอบและฝึกการเป็นศิลปิน-นักร้อง ด้วยการไปร่วมแจมเป็นตัวเสริมให้กับนักร้องรุ่นพี่อย่าง มนต์แคน แก่นคูณ ต่าย อรทัย ไผ่ พงศธร เอิ้นขวัญ วรัญญา จนผ่านเลยมา 3 ปี ก็ได้ถึงวันที่ได้เข้าไปห้องบันทึกเสียงเพลง ฮักบ่ได้แต่ลืมอ้ายบ่ลง และ น้องตั้งใจฮักอ้ายตั้งใจทิ้ง ซึ่งเจ้าตัวก็ถ่ายทอดเพลงแต่ละเพลงออกมาได้เป็นอย่างดี รวมทั้งบทบาทในการแสดงที่เธอก็ทำออกมาได้ดีไม่แพ้กัน จนได้รับคำชื่นชมจาก ครูสลา คุณวุฒิ ว่า "ใช่ทุกสำเนียง เวียง นฤมล"
แม้กระแสตอบรับไม่หวือหวาเท่ากับศิลปินแก๊งเดียวกันอย่าง “ตรี ชัยณรงค์, เน๊ค นฤพล” ที่ต้นสังกัดแกรมมี่โกลด์กำลังซุ่มทำอัลบั้มเดี่ยวให้ แต่การได้เปิดตัวในฐานะศิลปินค่ายลูกทุ่งยักษ์ใหญ่ ที่ใครๆ ก็อยากเข้ามาอยู่ใต้ชายคา นับว่าเป็นความสำเร็จอีกขั้นของดาวจากดินแดนที่ราบสูงคนนี้ โดยเวียงได้เล่าความหลังครั้งนั้นว่า
“อาจารย์อำไพท่านอัดเสียงหนูให้ครูสลาฟัง ครูสลาท่านบอกว่าชอบเสียงน้อง ที่ร้องหมอลำแท้ๆ ตอนนี้หายาก ครูสลาเรียกมาเทสต์เสียงที่ ห้องอัดซำบายใจ ตอนแรกๆ อยู่ค่าย "ลมพัดไผ่" ฝึกฝนตัวเองอยู่ประมาณ 3-4 ปี กับการไปขึ้นเวทีร้องคั่นเวลา พี่ต่าย อรทัย พี่ไผ่ พงศธร ช่วงนี้ยังเรียนอยู่กรุงเทพฯ ที่ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ระหว่างไปเป็น 'อาจารย์ฝึกสอน' ที่ โรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์ ประชานิเวศ 3 ก็ได้เข้ามาเป็นนักร้องแกรมมี่ฯ ดีใจมาก ความฝันกลายเป็นความจริง แกรมมี่ฯ เป็นค่ายเพลงที่คนมีใจรักในเสียงเพลง อยากเป็นนักร้องเข้ามาร่วมงานด้วย ภูมิใจที่ได้เป็นนักร้องอาชีพ ช่องทางหารายได้เลี้ยงครอบครัวเปิดกว้างมากขึ้น”
เวียง นฤมล นักร้องสาว ชาวจังหวัดร้อยเอ็ดโดยกำเนิด กล่าวด้วยว่า สองเพลงที่ปล่อยออกมาตนตั้งใจถ่ายทอดสุดความสามารถ โดยเพลง ฮักบ่ได้แต่ลืมอ้ายบ่ลง มีเนื้อหาใกล้เคียงจนแทบจะถอดแบบออกมาจากประสบการณ์ “รัก ลวง พราง” ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงมาแล้ว
“ใกล้เคียงกับประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว เคยมีผู้ชายคนหนึ่งแต่งงานแล้ว มาจีบ หลอกว่ายังโสด ก็เปิดใจคบกันอยู่ประมาณปี ก่อนที่ภรรยาฝ่ายชายโทรมาแฉว่า ผู้ชายคนนี้มีเขาเป็นภรรยา รักกันไม่ได้ โชคดีที่ไหวตัวทัน นับว่าเรายังมีบุญคุ้มครองรักษา แต่ก็รู้สึกเสียใจที่โดนหลอกจนเราเริ่มรู้สึกดี คิดว่าทำไมความรักต้องเป็นแบบนี้หรอ ผู้ชายต้องหลอกตลอดหรอ”
ประสบการณ์ “รัก ลวง พราง” กลายเป็นแผลใจทำให้ในทุกวันนี้ นักร้องสาวไม่กล้ารักใครจริงจัง แม้มีคนเข้ามาทำให้รู้สึกดี แต่ก็ยังไม่กล้าให้หัวใจใครอีกเลย “ไม่กล้าให้หัวใจใครแล้ว กลัวซ้ำรอย อยากบอกผู้ชายที่มีคนรักอยู่แล้ว มีคู่ครองอยู่แล้ว อย่าทำเจ้าชู้หลอกผู้หญิงเลย การกระทำแบบนี้ ทำให้มีคนต้องเจ็บพร้อมกันทีเดียวถึง 2 คน คนที่โดนหลอกก็เจ็บ คนที่เป็นภรรยาอยู่แล้วก็เจ็บ อยากให้มีความรู้สึกสงสารผู้หญิงบ้าง อย่ามองผู้หญิงเป็นแค่เครื่องมืออะไรบางอย่าง ที่ปล่อยผ่านไปโดยไม่แคร์”
ทุกลมหายใจของ “เวียง นฤมล” วันนี้จึงขอทุ่มเทให้กับการเดินตามความฝันก้าวต่อไป ประสบความสำเร็จเป็นนักร้องขวัญใจมหาชนให้ได้เหมือนกับ “ต่าย อรทัย, มนต์แคน แก่นคูน” และ “ฝน ธนสุนธร” นักร้องในดวงใจ จากวันเริ่มต้นแห่งความสำเร็จในปี พ.ศ. 2560 ได้เป็นศิลปินสังกัดแกรมมี่โกลด์ และได้ปริญญาบัตรไปฝากพ่อกับแม่ ซึ่งพ่อก็อยู่ดูความสำเร็จของลูกได้ไม่นานก็จากไปด้วยมะเร็งร้ายในกระเพาะอาหาร เมื่อ 6 พฤษภาคม 2563 ในวัย 53 ปี
จนถึงปลายปี พ.ศ. 2563 เวียง นฤมล ก็ได้จับคู่กับ เบียร์ พร้อมพงษ์ กับงานเพลง “เรวัตตะฮักนะลีลาวดี” ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในชาร์ตเพลงสถานีวิทยุแทบทุกคลื่น และติดอันดับ 1 สถานีวิทยุชื่อดังใน กทม. อีกด้วย ถือว่าเป็นเพลงที่แฟนๆ ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี โดยยอดวิวใน Youtube ตอนนี้ก็แรงทะลุ 100 ล้านวิวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่ายอดวิวคงพุ่งทะยานไปอีกอย่างต่อเนื่อง ทำเอาศิลปินทั้ง 2 คน เบียร์ และ เวียง ถึงกับยิ้มไม่หุบ เพราะนี่คือผลงานชิ้นแรกที่ทั้งสองคนโคจรมาพบกัน และเรายังเห็นหลากหลายศิลปินนำมา Cover เพลงนี้โดยจับคู่ร้องกันอย่างน่ารัก อีกทั้งจัดเต็มเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่เป็นสีสันของวงการลูกทุ่งในช่วงต้นปี 2564 นี้
เรวัตตะฮักนะลีลาวดี ศิลปิน : เวียง นฤมล x เบียร์ พร้อมพงษ์
และตามมาด้วยเพลง "งิ้วต่องต้อนฮ่ำฮอนผู้บ่าวเก่า" ที่จะเป็นการพิสูจน์ความสามารถในการลำทำนองโบราณ ทำนองงิ้วต่องต้อน ซึ่งในอดีตเพลง "งิ้วต่องต้อนอ้อนผู้บ่าว" นั้นเคยโด่งดังจากสุดยอดราชินีหมอลำ บานเย็น รากแก่น เคยขับร้อง และฟ้อนรำในท่วงท่าลีลาที่สวยงามไว้เมื่อปี พ.ศ. 2542 ผ่านมา 22 ปีก็ไม่เคยมีใครนำมาร้อง Cover อีกเลย จนในปีนี้ อาจารย์ดอย อินทนนท์ ผู้ประพันธ์เพลงงิ้วต่องต้อนฯ ได้ประพันธ์เพลงภาคต่อออกมาอีกครั้ง เพื่อให้ เวียง นฤมล ได้ทดสอบความสามารถในครั้งนี้ ว่าความรู้ที่ได้มาจากครูศิลปินแห่งชาติ สาขาหมอลำทั้ง 2 ท่าน คือ แม่ฉวีวรรณ ดำเนิน และแม่บานเย็น รากแก่น จะสามารถสอบผ่านไปได้หรือไม่?
เวียง นฤมล ถูกเคี่ยวเข็ญจากครูบาอาจารย์ไม่ว่าจะเป็น 'ครูสลา คุณวุฒิ' โปรดิวเซอร์, อ.ดอย อินทนนท์ และ อ.สวัสดิ์ สารคาม ทั้งสองท่านเป็นผู้เขียนและทำดนตรี ไว้เมื่อปี พ.ศ. 2542 และกลับมาร่วมกันเขียนเนื้อและทำดนตรีใหม่อีกครั้งหนึ่ง เรียกได้ว่า ได้คนเขียนเนื้อร้อง และคนทำดนตรีคนเดิม เพื่อรำลึก 'ทำนองงิ้วต่องต้อน' ให้กลับมาสร้างความสุขอีกครั้ง และยังได้ไปร่ำเรียนการฟ้อนจากศิลปินแห่งชาติ 'บานเย็น รากแก่น' ราชินีหมอลำ ผู้ขับร้องตำนานงิ้วต่องต้อนที่โด่งดังเมื่อ 22 ปีที่แล้ว
งิ้วต่องต้อนฮำฮอนผู้บ่าวเก่า ศิลปิน : เวียง นฤมล
เวียง นฤมล เผยว่า "การเข้าสอบวิชาหมอลำในทำนองงิ้วต่องต้อน นับว่ายากและหินที่สุดในชีวิต ทำนองเพลง 'งิ้วต่องต้อน' เป็นทำนองที่ยากสุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ค่ะ วันนี้ได้มีโอกาสร่วมสืบสานทำนองหมอลำเพลง 'งิ้วต่องต้อนฮ่ำฮอนผู้บ่าวเก่า' เป็นเนื้อร้องใหม่ ดนตรีใหม่ เป็นความภาคภูมิใจในชีวิตของเวียง ขอบคุณจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ค่ายแกรมมี่โกลด์ ผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน ครูอาจารย์ พี่ๆ ทีมงานเบื้องหลัง ทุกคนเหนื่อย ตั้งใจกับผลงานเพลงนี้อย่างที่สุด ตั้งแต่ได้รับโจทย์มาจนถึงวันถ่าย MV เสร็จ เหนื่อยมากและหินมากจริงๆ ในทุกขั้นตอนค่ะ"
ในสถานการณ์โควิดระบาด งานการแสดงก็ลดน้อยลง เวียง นฤมล ก็ได้เปิดร้าน "ร้านตำแซบ คนส่า" กับญาติๆ เพื่อหารายได้จุนเจืออีกทาง ร้านนี้ตั้งอยู่เยื้องๆ กับ วิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด ใครผ่านไปมาทางนั้นก็ไปอุดหนุนกันได้ ถ้ามีเวลาว่างจากงานการแสดง เวียง นฤมล ก็จะไปอยู่ที่ร้านช่วยทำอาหารและเสิร์ฟความอร่อยให้กับแฟนๆ เสมอ อย่าลืมไปอุดหนุนกัน
ร้านตำแซ่บคนส่า ตำยำรสเด็ด ของ เวียง นฤมล
และถ้าต้องการติดตามความเคลื่อนไหว อยากให้ เวียง นฤมล ได้รับใช้แฟนๆ ก็เชิญทาง Facebook : ViengNarumon ได้เลย
จากอีสานบ้านนา มาอยู่กรุง จากแดนทุ่งลุยลาย... ชัยภูมิบ้านเดิม ถิ่นเกิดกาย บ่ได้หมายจากจร กลางคืนนอนฝัน ฉันนี้ก็ยังอาวรณ์ ก่อนหลับก่อนอน ฉันอาวรณ์อาลัย..."
เพลง "คิดถึงทุ่งลุยลาย" จังหวะชวนเต้น จากปลายปากกา ครูสุมทุม ไผ่ริมบึง สร้าง "อีแหล่" หรือ "สาวผิวดำ" อย่าง นางสาวส้มกลีบ ตรีชุมนอก เด็กสาวจาก อำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น กลายมาเป็นนักร้องลูกทุ่งชื่อดังที่มีเสียงเป็นเอกลักษ์ชื่อ "เย็นจิตร พรเทวี" มีชื่อเป็นที่รู้จักของคอเพลงลูกทุ่งแพร่หลาย ร่วมสมัยกับ อรอุมา สิงห์ศิริ เจ้าของเพลง สาวอีสานรอรัก เพราะถูกสร้างมาจากครูเพลงคนเดียวกันคือ "กัวราช่า" หรือครูสุมทุม ไผ่ริมบึง นั่นเอง
เย็นจิตรเล่าถึงชีวิตวัยเยาว์ว่า "สมัย เด็กๆ อายุ 6-8 ขวบ เวลามีหนังล้อมผ้าหรือมีงานต่างๆ ที่ไหน ก็มักจะขอเขาร้องเพลง ร้องจนคนรู้จักไปทั่วเลย เขาจะเรียกกันว่า "อีแหล่" (เด็กตัวดำ) เป็นลูกพ่อกว้าง แม่เพียร ซึ่งมีลูกชายลูกสาวอยู่ทั้งหมด 8 คน เย็นจิตร เป็นคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้องทั้ง มีนิสัยชอบการร้องรำทำเพลง แต่งตัวสวย (คงจะงานเบากว่าการทำนา พี่น้องจึงให้ทำงานเสร็จก่อนจึงจะได้ไปร้องเพลง แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ห้าม) พอมีการประกวดร้องเพลงที่ไหนก็ไปสมัครประกวด แข่งขันกับเขา สมัยนั้น การประกวดร้องเพลงสมัครกันทีเป็น 100 คน แข่งขันกันจนเหลือคนเดียว ซึ่งก็ได้ที่ 1 มาตลอด"
เย็นจิตร พรเทวี เล่าถึงพรสวรรค์ของเธอที่ติดตัวมาว่า ด้วยความสามารถของตัวเอง ราวปี 2519 หลังจากเธอชนะเลิศคว้ารางวัลในการประกวดร้องเพลง ด้วยน้ำเสียงที่แปลกของเธอ ไปถูกใจเจ้าของร้านอาหารชื่อ ทุ่งศรีเมือง ที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งบังเอิญอยู่สถานที่ประกวดที่นั่นพอดี เธอจึงได้รับการติดต่อให้เป็นนักร้องประจำห้องอาหารดังกล่าวนับจากนั้น
เย็นจิตร พรเทวี ได้รับเงินเดือน 800 บาท (ในสมัยที่ ทองคำ บาทละไม่ถึงสามร้อย) แขกห้องอาหารติดใจมาฟังเยอะเลย พวกร้านอาหารก็แย่งตัวกัน โดยเสนอเงินเดือนให้เป็นหมื่นๆ ก็เลยไปร้องให้ร้านอาหารหลายแห่งใน อุดรธานี ข่อนแก่น แถบนั้นไปร้องหลายที่ จนมาร้องที่ห้องอาหารชื่อ "วาเลนไทน์" ที่ จังหวัดขอนแก่น ช่วงปี 2524 นั้นได้พบกับครูสุมทุม ไผ่ริมบึง ซึ่งมานั่งฟังเสียงมานานนับเดือน ครูเขาเรียกไปนั่งที่โต๊ะ ครูก็บอกว่า "สนใจเสียงร้องของเธอนะ มานั่งฟังอยู่เป็นเดือนแล้ว มันแปลกดี อยากบันทึกแผ่นเสียงไหม"
เย็นจิตร แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ครูบอก เลยลองถามทดสอบครูว่า ครูมานั่งฟังเราร้องเพลงจริงหรือเปล่า เลยถามครูว่า "เมื่อวานหนูใส่ชุดสีอะไร อาทิตย์ที่แล้วใส่สีอะไรบ้าง" ครูแกก็ตอบได้หมด ก็เลยเชื่อว่าครูมาฟังการร้องเพลงจริงๆ ก็เลยบอกกับครูว่า "ถ้าอยากให้หนูเป็นนักร้องจริงๆ ครูต้องไปขอกับพ่อแม่ของหนู ว่าจะยอมให้ครูพาไปอัดแผ่นไหม?"
หลังจากนั้น เมื่อพ่อ-แม่อนุญาตแล้ว ครูก็เริ่มสอนการร้องเพลงหมอลำให้กับเย็นจิตร แต่ด้วยความที่เราไม่เคยลำหมอลำ ลิ้นแข็ง ทำให้ร้องเพลงหมอลำไม่ค่อยได้ ครูก็เลยมาฝึกเรื่องการออกเสียง และให้เคาะจังหวะตามไปด้วย นอกจากเรื่องการร้องเพลงแล้ว ครูก็สอนเรื่องการอยู่ การกิน เรียกได้ว่าครูสอนการดำรงชีวิตทุกอย่างให้เราเพื่อให้ได้เป็นนักร้องที่ดี
คิดถึงทุ่งลุยลาย - เย็นจิตร พรเทวี
เย็นจิตร พรเทวี กล่าวถึงการพบกับ ครูสุมทุม ไผ่ริมบึง ครูที่วางเส้นทางการเป็นนักร้องให้แก่เธอ ซึ่งตลอดชีวิตของเย็นจิตร นอกเหนือจากพ่อ-แม่แล้ว ก็มีครูสุมทุม นี่แหละที่มีพระคุณกับเธอ หลังจากถูกบ่มเพาะจนได้ที่แล้ว งานเพลงชุดแรกของเธอจึงเผยโฉมออกมาในชุด "ลำเพลินโต้ลมหนาว" งานชุดนี้ยังไม่เปรี้ยงปร้างนักอาจเป็นที่เพลงยังไม่ถูกร่องเสียงของเธอ จนมาเป็น "คิดถึงทุ่งลุยลาย" ผลงานชุดที่ 2 คนรู้จักกันมากขึ้นด้วยเสียงที่มีเสน่ห์ ลูกคอที่ติดปากคนฟัง
พอชุดนี้ดังมาก "นายห้างเสียงสยาม" ก็เลยทำวงให้ โดยไปขอซื้อวงดนตรีของเพลิน พรหมแดน ทำอยู่ 6 ปี ทางเสียงสยามก็หยุดทำ ช่วงหลังมีพี่กำนันมาช่วยทำให้อีก รวมๆ แล้ว เย็นจิตร พรเทวี ทำวงดนตรีอยู่นาน 15 ปี แล้วหยุดทำวงไปมาเป็นนักร้องรับเชิญ จนมาอยู่กับค่ายท็อปไลน์ มิวสิก อีก 17 ปี
จนเมื่อ ปี 2539 ก่อนที่ครูสุมทุม ไผ่ริมบึง จะเสียชีวิต ตอนนั้น เย็นจิตร พรเทวี เดินสายแสดงอยู่ทางภาคอีสาน เธอเล่าว่า "พอรู้ว่า ครูไม่สบาย อยากเจอ เราก็รีบมาหาครูเลย พอมาถึงครูบอกว่า ไม่เป็นไรแล้ว และครูก็ยังทำท่ากำหมัดชกลมให้เราดูอีกด้วย เราก็ว่า ครูแข็งแรงดี พอรุ่งเช้าเท่านั้นแหละ ภรรยาครูที่เคยเป็นลูกน้องในวงของเรา ก็โทรศัพท์มาบอกว่าครูเสียแล้ว เราก็ยังย้ำว่าเสียได้ยังไง เมื่อวานยังดีอยู่เลย แต่เขาก็ยืนยันว่าครูเสียแล้วจริงๆ" เย็นจิตรเสียใจมากๆ ตลอดชีวิตของเย็นจิตร พรเทวี นอกเหนือจากพ่อ-แม่แล้ว ก็มี ครูสุมทุม ไผ่ริมบึง นี่แหละที่มีพระคุณกับเย็นจิตรอย่างมาก "เย็นจิตรจะไม่ลืมพระคุณของครูเลย ไม่ว่าครูจะอยู่ที่ไหนก็ตาม"
เย็นจิตร พรเทวี ถือว่าเป็นนักร้องที่ถูกมรสุมรุมกระหน่ำต่อเนื่อง ผ่านเรื่องราวเฉียดตายมาก็หลายครั้ง เส้นเลือดในลำคอแตกจนเกือบร้องเพลงไม่ได้ ในปี พ.ศ. 2545 เพราะถูกชายที่หลงรักยิง จนเกือบยื้อลมหายใจไว้ไม่ได้ ขึ้นพาดหัวข่าวบนหน้า 1 หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ทุกฉบับ เธอเล่าว่า
"ตอนโดนยิง คือมีคนมารัก มาชอบ ความรู้สึกเขาประมาณว่า ถ้าเขาไม่ได้ คนอื่นก็ต้องไม่ได้ ก็มายิงเราเลย แต่ไม่ได้เอาเรื่องเขาเลยนะ อโหสิกรรมให้เขาทุกอย่าง คิดว่าชาติที่แล้วเราคงไปยิง หรือทำร้ายเขาไว้ก่อน จึงต้องมาชดใช้กรรมในชาตินี้ จากนั้นคุณพ่อ คุณแม่ก็มาเสียในเวลาใกล้เคียงกัน มีปัญหาต่อเนื่อง มองไม่เห็นทางกลับมาเหมือนกัน ก็หันหน้าไปปฏิบัติธรรม ที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี จนใจไปทางธรรมแล้วรู้ว่าทางสายเอกคืออะไร รู้ว่าทำไมถึงเกิด มีคนจน คนรวย คนสวย คนขี้เหร่"
เมื่อทางธรรมช่วยเยียวยาจิตใจจนมีพลังเปี่ยมท้น เย็นจิตร พรเทวี ฮึดทำเพลง "ลบได้แต่เบอร์" ใช้เดินสายหารายได้เลี้ยงครอบครัวที่มีลูกและหลานต้องดูแล จนได้หวนกลับมาร่วมงานกับ "ท็อปไลน์ มิวสิค" อีกหน
ลบได้แต่เบอร์ - เย็นจิตร พรเทวี
"หลังจากที่โดนยิง ปี 2546 ก็อยู่กับวงดนตรี เอกชัย ศรีวิชัย ขึ้นเวทีกับเขา ร้องไห้ทุกวัน ไม่คิดว่าแฟนสายใต้จะให้การตอบรับเรามากมายขนาดนี้ ร้องเพลง "ชู้ในตู้เสื้อผ้า", "ผ่านเลย" กับ นายห้างทวีชัย ที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยยังเป็น มิวสิคไลน์ ยังไม่เป็นท็อปไลน์ฯ เลย ที่ทำเพลงนี้ก็ไม่คิดว่าจะกลับมาได้ขนาดนี้นะ คือตั้งใจทำเพื่อร้องให้แฟนๆ ฟัง ทีนี้ คุณท็อป (ศราวุธ พลอยประดับ) ดีเจลูกทุ่งรักไทย เอฟเอ็ม 90 เขาบอกว่า เพราะ ก็เอาไปเปิดในคลื่น เปิดได้ไม่นานคุณท็อปก็โทรศัพท์มาบอกว่า กระแสเพลงนี้ดีมากนะมี คนขอมากันมาก เราก็ดีใจ แล้วนายห้างทวีชัยก็อ้าแขนรับ เลยตัดสินใจกลับบ้านเก่า ท่านเป็นคนดี ช่วยเหลือพี่มาก เคยให้เงิน 8 แสน ไปไถ่บ้าน ไถ่นา พี่ไม่ลืมพระคุณท่าน เราเป็นนักร้องตัวคนเดียว ขับรถเอง ทำเอง อิสระจริงๆ เพลงก็ทำไปขายให้เจ้านายเอง ทำเป็นมาสเตอร์ไปเลย ความดีของท่านเยอะ พอท่านอ้าแขนรับก็มาอยู่เลย ส่วนค่ายอื่นที่มาทาบทามไว้ก่อนก็กราบขอโทษเขาแล้ว ชี้แจงเหตุผลว่าเราไม่ลืมบุญคุณของนายห้างที่มีกับเรามากมายเหลือเกิน"
เย็นจิตร พรเทวี ได้รับการยกย่องว่า เป็นนักร้องคุณภาพคับแก้ว ครบเครื่องเรื่องร้องเต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 มาถึงปี พ.ศ. 2558 จนอายุล่วงเลยเข้าสู่หลัก 6 ไม่น่าเชื่อว่าเธอไม่เคยได้รับรางวัลการันตีความสามารถมาก่อน "รู้สึกตื้นตันใจ ในฐานะที่เป็นนักร้องมายาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 สามสิบกว่าปีแล้วที่อยู่วงการมา เพิ่งได้รับรางวัลจากสยามดารา เป็นรางวัลแรกในชีวิต ไม่เคยคิดว่าจะได้เลย จะเลิกร้องเพลงอยู่แล้วด้วย ตั้งแต่โดนยิง พ่อแม่เสีย ชีวิตล้มเหลว เส้นเสียงแตก วูบต่อเนื่อง"
สาวดำรำพัน เย็นจิตร พรเทวี กล่าวในงาน "สยามดารา สตาร์ส อวอร์ดส์ 2015" หลังจากรับรางวัล "นักร้องลูกทุ่งยอดเยี่ยม" จากเพลง "ลบได้แต่เบอร์" ผลงานที่ออกกับค่าย "ท็อปไลน์ มิวสิก" ของ นายห้างทวีชัย จริยะเอี่ยมอุดม "ก่อนวันประกาศผลรางวัล ได้ซื้อหนังสือพิมพ์สยามดารามาอ่าน มีชื่อเข้าชิงรางวัลก็ภูมิใจแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้รางวัลอะไร เพราะผลงานของศิลปินที่เข้าชิงด้วยกันโดดเด่นทุกคน มองไม่ออกว่าของเราจะโผล่มาได้อย่างไร พอได้รางวัลแรกของชีวิตก็ดีใจมาก ขอบคุณ 'สยามดารา' ที่มองเห็นคุณค่า ขอบคุณค่ายท็อปไลน์ฯ ขอบคุณบุคคลที่มีส่วนร่วมสร้างสรรค์ผลงานทุกคน"
ในวัยเข้าสู่หลัก 6 เย็นจิตร พรเทวี ยังต้องต่อสู้ชีวิต ไม่แตกต่างจากสมัยวัยรุ่น ขึ้นอีสานล่องใต้ ลุ้นมีงานมีรายได้มาปลดหนี้ท่วมหัว ไถ่ที่ทางและบ้านที่เอาไปจำนองไว้กับ ธกส. แลกเงินออกมาให้ลูกได้ค้าขาย แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เป็นดั่งใจหวัง
"ทุกวันนี้อยู่กับสุนัขพันธุ์ชิสุ ชื่อว่า โตโต้ ไปไหนด้วยกัน เช่าบ้านที่หาดใหญ่ เดือนละ 3,500 บาท ไว้ใช้หลับนอนตอนมาเดินสายภาคใต้ ทุกวันนี้มีงานภาคใต้มากกว่าภาคอื่น มีงานก็ลงมาอยู่ที่นี่ ช่วงไม่มีงานก็กลับไปอยู่บ้านที่ขอนแก่น ทุกวันนี้ค่าตัว 1 หมื่น 5 พันบาท ใกล้ไกลเท่ากันหมด เรียกเท่านี้แหละ เพราะเราเป็นนักร้องมายาวนานแล้ว อยู่ในดวงใจแฟนๆ ได้เพราะแบบนี้ สมัยรุ่งๆ มีวงก็จริง แต่ค่าตัวก็ได้วันละ 300-400 บาท คือ ค่าวงดนตรี 6-7 หมื่นบาท แต่ของเราได้เท่านี้ ที่อยู่ได้เพราะให้ลูกน้องขายหนังสือประวัติ รูปภาพ จริงๆ นะ ไม่เคยจับเงินแสน เย็นจิตรไม่เคยโกหก เป็นคนพูดตรงๆ เชื่อในเรื่องกรรม ตอนนี้บอกตรงๆ เลยอยากประสบความสำเร็จอีกครั้ง เพื่อมีเงินมาใช้หนี้ให้หมด มีหนี้ ธกส. อยู่ประมาณ 2 ล้านบาท เอานาไปจำนองให้ลูกไปทำมาค้าขาย เศรษฐกิจไม่ดีลูกเต้าก็ไปไม่รอด ตอนแรกหนี้ไม่เยอะ แต่ค้างเขา 10 ปี ดอกเพิ่มมาเรื่อยๆ บ้านลูกก็เอาไปจำนองกับคนนอกอีก รวมแล้วก็มีหนี้กว่า 3 ล้าน ทุกวันนี้ทยอยจ่ายทุกเดือนเพื่อตัดดอก เดือนละ 5 พันบ้าง 3 พันบ้าง ลูกทำแต่แม่ต้องรับภาระ เขายืนไม่ได้ก็ต้องช่วย ยินดีค่ะ เพราะเขาเป็นคนขยัน มุมานะ ไม่ได้ขี้เกียจ แต่ขายของไม่ดีหนี้เลยพอกหน้าพอกหลัง เคยท้อนะ แต่ไม่ถอย ต้องสู้"
แม้รู้สึกเหนื่อยจนท้อแต่ก็ไม่เคยถอย หากปลดหนี้ได้แล้ว เจ้าของรางวัลนักร้องยอดเยี่ยมสยามดารา บอกว่าจะนำเงินไปสร้างเมรุหลังใหม่ วัดบ้านเกิดที่ร้าว แทนหลังเก่าที่นับวันมีแต่ทรุด พร้อมทั้งสร้างซุ้มประตูเข้าวัดด้วย
"เคยท้อ แต่ไม่ถอย อายุ 60 ปี ร้องเพลง 2 ชั่วโมง ไม่มีเจ้าภาพบ่นไม่พอใจด้านหน้าเวที อายุมากแล้วแต่ก็ร้องเต้นเต็มที่เหมือนเดิม เชื่อว่าพระเจ้าสร้างมาให้กล่อมโลก ทำหน้าที่ตนเองให้ดีที่สุด ส่งหลานเรียนหนังสืออีก 2 คน เรารายได้ทางอื่นไม่มี รับจ้างร้องเพลงอย่างเดียว อยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่ปี 2531 ไม่เคยมีแฟนใหม่อีกเลย และไม่คิดรักใครแล้ว อยากอยู่กับแฟนเพลง อยู่หน้าเวทีแล้วมีความสุขมาก เป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้ว่าครอบครัวไม่สมดุลแต่ก็สู้เต็มที่ เพราะลูกๆ เราไม่ได้ขี้เกียจ ขยันทำมาหากิน เพียงแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ อยากมีเงินทำบุญให้กับคุณพ่อคุณแม่ หาเงินสร้างเมรุที่บ้านจังหวัดขอนแก่น ตอนที่เผาศพท่านเห็นเมรุร้าว ถ้ามีโอกาสก็อยากเป็นแกนนำสร้างเมรุหลังใหม่ และสร้างซุ้มประตูเข้าวัดที่ทั้งสองท่านบอกไว้ก่อนเสียชีวิต ผ่านมาหมดแล้วชีวิต เป็นนักร้องดัง ตกต่ำ จน รวย โดนยิง โดนไล่ล่า ปัญหาอะไรเข้ามาสู้ไหวค่ะ ตอนนี้เพลง "สั่งฟ้าไปหาพี่" ที่ออกมาต่อ "ลบได้แต่เบอร์" ก็เริ่มดี ขอบคุณแฟนๆ ทุกท่านที่ให้การสนับสนุนนะคะ"
อีกสิ่งที่เย็นจิตรเพียรทำทุกวันคือ "ความดี" ด้วยเชื่อว่าโลกเรามี 3 โลก ประกอบด้วย โลกปัจจุบัน นรก และสวรรค์ เส้นทางเมื่อดับสูญแล้วไปไหน สามารถเลือกได้ ตั้งแต่ยังอยู่ในโลกมนุษย์ ความรัก โลภ โกรธ หลง และทรัพย์สมบัติ ไม่มีใครสามารถนำติดตัวไปได้ เมื่อร่างสลายเป็นเถ้าธุลี
ตอนนี้ เย็นจิตร พรเทวี ออกมาจากบริษัทท็อปไลน์แล้ว มาทำเพลงเอง ชื่อชุด "ส่ะจ่าย...แล้วม่าย" เป็นเพลงใต้ผสมกับลูกทุ่งอีสาน ก็ได้แฟนเพลง พี่ๆ สื่อมวลชน นักจัดรายการที่ให้ความเมตตา ช่วยสนับสนุนมาตลอด ลูกทุ่งอีสาน เย็นจิตร พรเทวี ได้ใช้ธรรมะนำทำเพลงสะท้อนสังคมคนยุคใหม่ที่ใครๆ ก็ 'ชอบจิ้ม'
ชอบจิ้ม - เย็นจิตร พรเทวี
“ตอนนี้จะมาทำเพลงชุดใหม่ มี 4 เพลง อาจารย์สวัสดิ์ สารคาม ทำดนตรีเสร็จแล้ว มีเพลง “ชอบจิ้ม” เนื้อหามันจะดูเป็นเรื่องราวของการชอบเล่นไลน์กัน ก้มหน้าก้มตาจิ้มแต่โทรศัพท์ อีกเพลงจะเป็นเพลง “สาวเลี้ยงควาย” ควายเราเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก พอโตก็ใช้งานเนื้อหาสนุกๆ “คึกนำผัวเขา” เนื้อหาแอบชอบผัวเขาตามตลาดนิยม และก็เพลง ”ขอบคุณเจ้าแม่นางนอน” วันนี้มาใส่เสียงและก็มิกซ์เรียบร้อยแล้ว”
เมื่อถามถึงช่วงที่เงียบหายไปนาน ยังใช้ชีวิตอยู่ที่ภาคใต้หรือไม่ เจ้าของเสียงเพลง ”ทุยลุยลาย” บอกว่า “ที่หายๆ ไปพี่ก็ยังร้องเพลงอยู่ภาคใต้มีงาน 5 งานต่อเดือนบ้าง ก็พอมีร่ายได้มาเลี้ยงตัวเอง นานแล้วไม่ได้ออกเพลงใหม่ เพิ่งมาเที่ยวนี้ ช่วงที่หายหน้าไปพี่ก็ ไปนั่งสมาธิที่วัดหลวงพ่อจรัญ ที่สิงห์บุรี หลายปีมาแล้ว น่าจะสัก 10 กว่าปี เดินสายธรรมสภาพจิตใจเราตอนนี้ปฎิบัติตัวเรียบง่ายไม่กินน้ำเย็น ไม่ดูทีวีนอนกับพื้นธรรมดา มันไม่ได้อยากได้อะไรใช้ชีวิตแบบสมถะ นั่งวิปัสสนา เดินจงกรม พี่จะแต่งตัวเฉพาะตอนไปร้องเพลงเท่านั้น การกินดื่มก็หายไป อยู่แบบง่ายๆ ชีวิตดีขึ้น ความสุขไม่ใช่อยู่ที่การร่ำรวย จิตใจเราสงบสุข ถือเป็นความสุขที่แท้จริง ถึงเวลาก็ไปร้องเพลง“ เย็นจิตรกล่าวทิ้งท้าย ซึ่งต้องกราบขอบคุณแฟนเพลงทุกคนมาก ซึ่งใครสนใจจะติดต่องานก็ติดต่อมาได้ที่ โทร. 08-1367-3267
ลำม่วนชวนเพลิน "สนธยา เจอ เย็นจิตร" : สารพันลั่นทุ่ง บางเขน
เรียบเรียงข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก, สยามดารา และจากรายการ บุปผาสวรรค์
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)