“ไทยพวน” เป็นชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกแทนตนเองด้วยคำว่า พวน (Phuen, Puen) คำว่า พวน (ພວນ) ตรงกับคำว่า โพน (ໂພນ) ในภาษาลาว และ พูน ในภาษาไทย หมายถึง เมืองอันตั้งอยู่บริเวณพื้นที่สูงหรือที่ราบสูง พวนจึงเป็นคำที่เรียกกลุ่มชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแคว้นเชียงขวาง หรือบริเวณที่ราบสูง ในประเทศสาธารณรัฐธิปไตยประชาชนลาว มีอาณาเขตติดต่อกับญวน ได้ชื่อว่า "พวน" เพราะเชียงขวางมีแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่านพื้นที่ ชื่อแม่น้ำพวน ชาวพวนนิยมตั้งถิ่นฐานสร้างที่ทำกิน บริเวณลุ่มแม่น้ำ ด้วยมีอาชีพเกษตรกรรม ทำไร่ไถนา นำมาเรียกชื่อกลุ่มของตน ชื่อเรียกนี้มีทั้งเขียนด้วย “ไทพวน” และคำว่า “ไทยพวน” โดยคำว่า “ไท” นั้นหมายถึง “คน" เมื่อย้ายถิ่นฐานเข้ามาในประเทศไทยช่วงแรกๆ ถูกเรียกว่า “ลาวพวน” เพื่อบ่งบอกว่ามาจากลาว ภายหลังมีการเรียกใหม่ว่า “ไทยพวน” เพื่อแสดงถึงความเป็นกลุ่มคนเชื้อสายพวนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยมีชื่อเรียกอื่นๆ ในอีกหลากหลายบริบท ได้แก่ “ไทพวน” “ลาวพวน” “ไทยพวน” “พวน” “ลาวกะเลอ” และ “ไทยกะเลอ” ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่หมายถึงชาวไทยพวนทั้งสิ้น
ชาวพวนได้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยหลายครั้งด้วยกัน คือ สมัยกรุงธนบุรีตอนปลาย ประมาณปี พ.ศ. 2322 เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงโปรดเกล้าให้ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์และหัวเมืองต่างๆ ซึ่งมีชื่อเรียกรวมกันว่า หัวพันทั้งห้าทั้งหก ประกอบด้วย เมืองคำม่วน เมืองคำเกิด เมืองเวียงไชย เมืองไพศาลลี เมืองซำเหนือ และเมืองเชียงขวาง ได้กวาดต้อนเอาลาวเวียง (ลาวเวียงจันทน์) ลาวพวน และไทดำ (ปัจจุบันนิยมเรียกว่าไทยทรงดำ หรือ ลาวโซ่ง) มาไว้ที่เมืองร้าง (เพราะถูกพม่ากวาดต้อนราษฎรไปตั้งแต่สมัยเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า เมื่อ พ.ศ. 2310) เช่น เมืองสระบุรี ลพบุรี นครนายก และฉะเชิงเทรา
ระยะที่สอง ในราวปี พ.ศ. 2335 สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมืองแถงและเมืองพวนแข็งข้อต่อเมืองเวียงจันทน์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์จึงได้ยกทัพไปปราบ และกวาดต้อนครอบครัวไทดำและลาวพวนส่งมากรุงเทพฯ ลาวทรงดำถูกส่งไปอยู่ที่เพชรบุรี ลาวพวนถูกส่งมาที่เมืองลพบุรี สระบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา ราชบุรีและจันทบุรี ด้วย
ระยะที่สาม ในราวปี พ.ศ. 2370 เมื่อเจ้าอนุวงศ์ แห่งเมืองเวียงจันทน์ ได้ก่อกบฏต่อกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าให้พระยาราชสุภาวดี (เจ้าพระยาบดินทรเดชา) เป็นแม่ทัพขึ้นไปปราบกบฏ และได้กวาดต้อนครอบครัวลาวพวนมาไว้ที่อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดสระแก้ว จังหวัดลพบุรี และจังหวัดพิจิตร เป็นต้น
ปัจจุบันชาวไทยพวนในประเทศไทย กระจายตัวและตั้งถิ่นฐานในหลายภูมิภาค ดังนี้
- ภาคกลาง พบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทพวนในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสระบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี พิจิตร สุโขทัย สุพรรณบุรี นครสวรรค์ และอุทัยธานี
- ภาคเหนือ พบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทพวนในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดน่าน แพร่ อุตรดิตถ์ พะเยา เชียงราย และเพชรบูรณ์
- ภาคตะวันออก พบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทพวนในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และชลบุรี
- ภาคตะวันตก พบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทพวนในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดราชบุรี เพชรบุรี และกาญจนบุรี
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) พบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทพวนในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดหนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี และเลย
สภาพเศรษฐกิจและสังคมชาวไทยพวน
วิถีการดำรงชีพของชาวไทพวนนั้น มีความผูกพันกับอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ทำสวน ทำไร่ ปัจจุบัน สังคมคนไทพวนส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพเกษตรกรรม ที่มีความแตกต่างกันไปในแต่ละบริบทจังหวัดที่มีชาวพวนอาศัยอยู่ นอกจากนี้ ชาวไทพวนยังมีค่านิยมในการส่งลูกหลานให้เข้าสู่ระบบการศึกษาที่สูงขึ้น เนื่องจากมองว่า อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพที่ต่ำกว่าอาชีพอื่น ในปัจจุบัน ลูกหลานชาวไทยพวนหลายคนจึงหันไปประกอบอาชีพตามค่านิยมของสังคม เช่น รับราชการ ทหาร ตำรวจ หมอ และพยาบาล
สังคมคนไทยพวนส่วนมากเป็นสังคมชนบท บางพื้นที่เป็นสังคมกึ่งเมืองกึ่งชนบท ในชุมชนส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และเด็ก ส่วนวัยกลางคนและวัยรุ่นนิยมไปศึกษาต่อ และเป็นแรงงานรับจ้างในตัวเมือง ในต่างจังหวัด และกรุงเทพมหานคร
บ้านคนไทพวน มักเป็นเรือนไม้จริง หลังคาจั่วมุงแป้นเกล็ด ยกใต้ถุนสูง ฝาไม้ตีซ้อนเกล็ด หน้าต่างเป็นบานคู่ไม้ขนาดเล็ก ตัวเรือนแต่ละหลังเชื่อมต่อกันด้วยชานไม้ และมียุ้งข้าวแยกต่างหากอีกหลังหนึ่ง เรือนชาวไทพวนจะใช้บันไดพาดกันชานด้านในการขึ้นลง และจะเก็บบันไดขึ้นบนเรือนในตอนกลางคืน เพื่อความปลอดภัย เป็นรูปแบบหนึ่งของเรือนพื้นถิ่นในประเทศไทย
ไทพวน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีถิ่นอาศัย ณ แขวงเชียงขวาง ของ สปป.ลาว
ผ้าทอมือไทพวน การทอผ้าแบบโบราณของชาวไทยพวน เดิมจะปลูกฝ้ายและนำฝ้ายมาปั่นด้วยมือ เรียกว่า ฝ้ายเข็น และย้อมสีธรรมชาติ ในการทอผ้าสีที่ใช้ในการทอผ้าส่วนมากจะเป็นสีเข้ม ซึ่งสตรีชาวไทพวนจะนิยมนุ่งผ้าที่ตนเองเป็นผู้ทอขึ้นไว้ใช้เอง มีลวดลายสีสันสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละชุมชนได้แก่ ผ้าทอมือไทพวน จังหวัดเลย กลุ่มทอผ้าพื้นเมือง อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย มีการรวมกลุ่มกันและได้สร้างโรงเรือนทอผ้า อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายทอมือสะท้อนให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ และความประณีตอย่างมีศิลปะของบรรพบุรุษ ในการนำวัตถุดิบที่มีอยู่ในธรรมชาติมาแปรรูปที่สวยงามมีคุณค่า และเป็นที่ต้องการของผู้พบเห็นการเชื่อมโยงการทอผ้าและวัฒนธรรมชุมชน
ผ้าขะม้าอีโป้ เป็นผ้าสารพัดประโยชน์ที่ชาวไทพวนมีใช้กันทุกครัวเรือน ซึ่งผ้าขาวม้าของแต่ละท้องถิ่นก็มีความแตกต่างกัน เป็นผ้าเอกลักษณ์ท้องถิ่น เป็นงานหัตถกรรมของชาวไทยพวน ที่มีความสามารถในการทอผ้าใช้เองจนเก่ง และมีลวดลายสวยงาม ได้ใช้ภูมิปัญญาด้านการย้อมฝ้ายจากเปลือกไม้ ดอกไม้ใบ เมล็ด นำมาย้อมเป็น 9 สี ให้ความหมายเป็นมงคลทั้ง 9 สี ใช้ชื่อว่า ผ้าขะม้าอีโป้มงคล 9 สี มีการนำฝ้ายมาย้อมจากน้ำส้มควันไม้ ทำให้ได้ผืนผ้าทอที่มีกลิ่นหอมของควันไม้ ถือว่าเป็นเสน่ห์ของผ้าทอมืออีกอย่างหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นผ้าสารพัดประโยชน์เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต มีลวดลายสีสันสวยงามประทับใจ ปัจจุบันมีการแปรรูปผ้าขะม้าเป็นเครื่องใช้อื่นๆ เช่น กระเป๋า หมอนอิง และอื่นๆ อีกมากมาย
ผ้าซิ่นไทพวน เป็นผ้าซิ่นทอมือของชาวไทพวน ถือเป็นมรดกภูมิปัญญาที่ชาวไทพวนสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ผ้าซิ่นทอมือและผ้าย้อมครามสไตล์อีสาน
กลับมาได้รับความนิยมอีกในปัจจุบัน เพราะมีการรื้อฟื้นการทอผ้าด้วยมือและรื้อฟื้นลายผ้าไทยในสมัยก่อนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เพื่อตอบสนองผู้คนยุคนี้ ที่หันมาให้เคุณค่ากับผ้าไทยมากขึ้น
ความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรม
วิถีชีวิตสังคมวัฒนธรรมประเพณีของชาวไทพวน มีการนับถือปฏิบัติในฮีต-คองเช่นเดียวกับชาติพันธุ์ไท-ลาวอื่นๆ แต่มีข้อปฏิบัติและความเชื่อแตกต่างกันออกไป สังคมไทพวนเป็นสังคมที่นับถือผี มีพิธีกรรมความเชื่อที่ยังคงปฏิบัติสืบทอดกันมา แม้ปัจจุบันไทพวนเหล่านี้จะนับถือพุทธศาสนาแล้วก็ตาม แต่ยังเป็นการนับถือผีคู่ไปกับนับถือพระ โดยเฉพาะผีปู่ตาหรือผีตาปู่ ยังปรากฏในทุกชุมชนชาวไทพวนในประเทศไทย ที่ปรากฎให้เห็นผ่านการตั้งศาลผีปู่ตาทุกหมู่บ้าน ชาวไทยพวนเชื่อว่าผีปู่ตา คือ ผีอารักษ์ ผู้ปกป้องคุ้มครองหมู่บ้านการตั้งศาลมักหันไปทางทิศตะวันออก หรือทิศเหนือของหมู่บ้าน และจะมีพิธีกรรมเลี้ยงผีปู่ตาเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนสามและเดือนหก ประเพณีของชาวพวนส่วนมากยังคงยึดถือปฏิบัติกันอยู่ บางประเพณีก็ได้เลิกไปแล้ว บางประเพณีก็ได้ทำแบบไม่ต่อเนื่องกันกระทำเป็นบางครั้งบางคราว บางประเพณีมีปฏิบัติกันในเพียงบางจังหวัดเท่านั้น
ชาวพวนมีนิสัยรักความสงบ ใจคอเยือกเย็น มีความโอบอ้อมอารี ยึดมั่นในศาสนา รักอิสระ มีความขยันขันแข็งในการการประกอบอาชีพ เมื่อว่างจากการทำไร่ทำนาก็จะทำงานหัตถกรรม คือ ผู้ชายนิยมทำเครื่องจักสาน โดยเฉพาะเครื่องใช้ในครัวเรือน ได้แก่ กระบุง กระบาย ตะกร้า กะโล่ กระด้ง หมวกกะโล่ งอบ ตะแกรง กระชอน คุตักน้ำ บุ้งกี๋ กระจาด หรือพัด นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์จับปลา ได้แก่ ข้อง สุ่ม ไซ ชะนาง ตุ้ม อีจู้ กระสุน เป็นต้น ส่วนผู้หญิงจะทอผ้า ซึ่งรู้จักกันแพร่หลายในปัจจุบันคือ ผ้ามัดหมี่ ผ้าขะม้าอีโป้
อาหาร ของชาวไทยพวนที่มีประจำทุกครัวเรือนคือ ปลาร้า เมื่อมีงานบุญมักนิยมทำขนมจีน และข้าวหลาม ส่วนอาหารอื่นๆ จะเป็นอาหารง่ายๆ ที่ประกอบจากพืชผัก ปลา ที่มีในท้องถิ่น เช่น ปลาส้ม ปลาส้มฟัก เป็นต้น ในด้านความเชื่อนั้น ชาวพวนมีความเชื่อเรื่องผี จะมีศาลประจำหมู่บ้านเรียกว่า ศาลตาปู่ หรือศาลเจ้าปู่บ้าน รวมทั้งการละเล่นในเทศกาลก็จะมีการเล่นผีนางด้ง ผีนางกวัก ประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวพวนคือ ประเพณีใส่กระจาด ประเพณีกำฟ้า ซึ่งเป็นประเพณีที่แสดงถึงการสักการะฟ้า เพื่อให้ผีฟ้า หรือเทวดาพอใจ เพื่อไม่ให้เกิดภัยพิบัติ
ภาษาไทพวนในภาคอีสาน ภาษาพวนเป็นภาษา 1 ใน 7 กลุ่มใหญ่ภาษาไทยดั้งเดิม สืบทอดมาจากยูนนานเชียงแสนราวพันกว่าปีมาแล้ว ไทพวนมีภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง มีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ปัจจุบันมีเพียงภาษาพูดที่ยังถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ ส่วนภาษาเขียนไม่มีคนเขียนได้ การพูดเป็นสิ่งที่คนไทยพวนยังคงอนุรักษ์ไว้ โดยการถ่ายทอดผ่านกันในครอบครัวจากพ่อ-แม่สู่บุตรหลาน การสื่อสารในชุมชนที่ยังคงใช้ภาษาไทยพวน เป็นภาษาพูดที่มีเอกลักษณ์ มีการปรับตัว ซึมซับเอาวัฒนธรรมให้เข้ากับคนไทย ปัจจุบันมีการใช้ภาษาพูดกันอย่างเปิดเผย พูดคุยในพื้นที่สาธารณะมากขึ้น และมีความภูมิใจ เนื่องจากเกิดการรวมกลุ่มเป็นเครือข่าย ชมรมไทยพวนแห่งประเทศไทยขึ้น มีกิจกรรมที่ทำร่วมกัน และเป็นตัวแทนในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัดในการถ่ายทอด แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเพิ่มมากขึ้น จึงเกิดการยอมรับเกี่ยวกับความแตกต่างหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์
วัฒนธรรมด้านภาษา ชาวพวนจะมีภาษาเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งมีสำเนียงคล้ายเสียงภาษาถิ่นเหนือ อักษร "ร" ในภาษาไทยกลาง จะเป็น "ฮ" ในภาษาพวน เช่น รัก - ฮัก, หัวใจ - หัวเจอ, ใคร - เผอ, ไปไหน - ไปกะเล
ตัวอย่างคำไทพวนเทียบกับภาษาลาว-ไทยกลาง-อีสาน
ภาษาพวน | ภาษาลาว | ภาษาไทย (กลาง) | ภาษาอีสาน |
ฮะ | ฮัก | รัก | ฮัก |
หัวเจอ | หัวใจ | หัวใจ | หัวใจ |
เผอ | ใผ | ใคร | ใผ |
ไปกะเลอ/ไปเก๋อ | ไปใส | ไปไหน | ไปใส |
โบ่ง/ซ้อน | บ่วง | ช้อน | บ่วง/ส้อน |
เห้อ | ให้ | ให้ | ให้ |
เจ้าเป็นไทบ้านเลอ | เจ้าเป็นไทบ้านใด | คุณเป็นคนบ้านไหน | เจ้าเป็นคนบ้านใด |
เอ็ดผิเลอ/เอ็ดหังก้อ | เฮ็ดหยัง | ทำอะไร | เฮ็ดอีหยัง |
ไปแท้บ่ | ไปอีหลีบ่ | ไปจริงๆ หรือ | ไปอีหลีบ่ |
เจ๊าแม่นเผอ | เจ้าแม่นใผ | คุณเป็นใคร | เจ้าเป็นใผ |
ป่องเอี๊ยม | ป่องเยี้ยม | หน้าต่าง | หน้าต่าง |
มันอยู่กะเลอบุ๊ | มันอยู่ใสบ่ฮู้ | มันอยู่ไหนไม่รู้ | มันอยู่ใสบ่ฮู้ |
ไปนำกันบ๊อ | ไปนำกันบ่ | ไปด้วยกันไหม | ไปด้วยกันบ่ |
มากันหลายหน่อล้า | มากันหลายคือกันน้อ | มากันเยอะเหมือนกันนะ | มากันหลายคือกันน้อ |
มากี๊ท้อ | มานี้แด่ | มานี่เถอะ | มานี้เด้ |
บ๊าแฮ้ง | อี่แฮ้ง | อีแร้ง | อีแฮ้ง |
บ๊าจ๊อน | กะฮอก | กระรอก | กระฮอก |
หม่าทัน | หมากกะทัน | พุทรา | บักทัน |
หน้าแด่น | หน้าผาก | หน้าผาก | หน้าผาก |
หม่ามี้ | หมากมี่ | ขนุน | บักมี่ |
ความเชื่อเรื่องผีและการเซ่นไหว้
ผีย่าหม้อนึ่ง
ผีย่าหม้อนึ่ง หรือ เมื่อย่าหม้อนึ่ง เป็นการเสี่ยงทาย หรือสอบถามเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะการเจ็บป่วยที่ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ อุปกรณ์ในการเสี่ยงทาย ประกอบด้วย มะกวัก ด้ง (กระด้ง) ข้าวสาร เสื้อหม้อห้อม ใส่ให้มะกวัก ขันตั้งที่มีธูป จำนวน 8 คู่ และดอกไม้ ส่วนหมากคำพูลใบ (หมาก 1 คำ พลู 1 ใบ) จะถูกใส่ลงในหม้อนึ่งไหข้าว ปัจจุบันผู้ที่ยังสืบทอดประกอบพิธีเมื่อย่าหม้อนึ่งอยู่
ผีด้ำ (ผีปู่ย่า หรือผีบรรพบุรุษ)
ชาวไทยพวนทุ่งโฮ้งมีความเชื่อและนับถือผีด้ำ (ผีปู่ย่า) มีหลายตระกูล แต่ละตระกูลมีผีปู่ย่าที่นับถือแตกต่างกัน ในส่วนของที่ใช้ในพลีกรรมเลี้ยงผีปู่ย่า ประกอบด้วยอาหาร น้ำมะพร้าว และเงิน ตามสมัครใจของแต่ละหลังคาเรือน นอกจากนี้ยังมีผีปู่ย่า ทั้งนี้ ผีปู่ย่าแต่ละตระกูลจะเลี้ยงพลีกรรมต่างกัน เช่น บางตระกูลเลี้ยงผีย่าวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 6 เหนือ (ประมาณเดือนมีนาคม) ของทุกปี ยกเว้นมีงานศพภายในหมู่บ้านจะเลื่อนวันเลี้ยงผีปู่ย่าออกไป
ผีเสื้อวัด
ผีเสื้อวัด เป็นผีที่รักษาอาณาบริเวณวัด มีทั้งเพศหญิงและเพศชาย ทุกครั้งที่ตักบาตรวันพระที่วัด จะต้องแบ่งข้าวต้มขนมที่ตักบาตรพระไปยื่นโยงถวาย 1 เป๊าะ (1 สำรับ) จะเลี้ยงขันข้าวและน้ำในวันเข้าพรรษาและออกพรรษา เมื่อมีการบวชจะให้เจ้าอาวาสนำพระสงฆ์ สามเณรที่บวชใหม่ไปบอกกล่าวกับผีเสื้อวัด พร้อมกับของยื่นโยงถวาย ประกอบด้วย ข้าวแคบ และข้าวแตน (ขนมนางเล็ด) ใส่กระทง
ผีเสื้อบ้าน
ผีเสื้อบ้าน เป็นผีอารักษ์ที่ปกปักรักษาดูแลหมู่บ้าน หากคนในชุมชนมีการบวช หรือไปทำงานต่างถิ่น จะมีการมาบอกกล่าว ในการเลี้ยงพลีกรรมผีจะถูกจัดขึ้นในวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 6 เหนือ (ประมาณเดือนมีนาคม) เครื่องพลีกรรม ประกอบด้วย หัวหมู 1 หัวเหล้าไหไก่ 1 คู่ ขันเชิญผีเสื้อบ้าน 1 ขัน ที่มีธูป 16 คู่ ผ้าขาว ผ้าแดง ข้าวสาร และเงิน 36 บาท
นอกจากนี้ชาวพวนยังมีความเชื่อเรื่องผีเสื้อนา ซึ่งเป็นผีที่ดูแลรักษานา ผีเสื้อไร่ หรือผีที่ดูแลรักษาไร่ ผีเตาเหล็ก หรือผีที่อยู่ประจำกับเตาเหล็ก ชาวพวนในอดีตมีความชำนาญในการเป็นช่างตีเหล็ก ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น ผีครู ซึ่งเป็นดวงวิญญาณของครูบาอาจารย์แต่ละแขนงวิชา ที่ล่วงลับไปแล้ว เช่น ผีครูฟ้อนดาบ ผีครูสล่า ผีครูคาถาเสกเป่า ผีคูต่อกระดูก และผีนางด้ง เป็นการเรียกผีนางด้งมาเข้าสิงเพื่อฟ้อนรำอย่างสนุกสนาน เมื่อเลิกเล่นจะจูงแขนเข้าใต้ชายเรือนซึ่งผีนางด้งจะออกจากร่างทันที
ดนตรีลงข่วง ลายแถน หมอเหยา ผีฟ้า
ประเพณีกำฟ้า
ประเพณีกำฟ้า หรือชาวไทยพนวนเรียกว่า “กำแถน กำฟ้า กำลม” หรือ “กำแถน กำน้ำดินไฟลม” เป็นประเพณีโบราณสำคัญที่กระทำตั้งแต่อยู่เมืองเชียงขวาง (เมืองพวน) ประเพณีดังกล่าวจึดขึ้นเพื่อบูชาผีฟ้าพญาแถนและผีเทวดาอารักษ์ เพื่อให้ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล เพื่อให้พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์และเพื่อให้อยู่รอดปลอดภัยในการดำรงชีวิต
คำว่า “กำ” หมายถึง การสำรวมหรือการงดเว้นด้วยความเคารพ เมื่อถึงวันกำฟ้า ทุกคนภายในหมู่บ้านต้องหยุดการทำงาน เช่น ตำข้าว ตักน้ำ ผ่าฟืน ซักผ้า ถางหญ้า และพรวนดิน รวมทั้งคู่สามีภรรยาก็ห้ามไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ ให้นอนเว้นระยะห่างระหว่างกัน หากผู้ใดฝ่าฝืนฟ้าจะผ่าบุคคลผู้นั้น กำฟ้าจะเริ่มตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงช่วงค่ำ ผู้อาวุโสของแต่ละครอบครัวจะบอกสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย ว่า “สูเอย กำฟ้าเน้อ อยู่สุข ขออย่าแซว อยู่ดีมีแฮงเด้อเอ้อ”
ประเพณีกำฟ้า จะถูกจัดขึ้นปีละสองครั้งครั้งที่หนึ่ง ช่วงขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ตามปฏิทินพวน ซึ่งมักอยู่ในช่วงเดือนมกราคม - เดือนกุมภาพันธ์ ตามปฏิทินสากล ส่วนครั้งนี้สองนั้น ช่วงวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 9 ตามปฎิทินพวน ก่อนวันกำฟ้าหนึ่งวัน จะมีการรับหญิงสาวจากหมู่บ้านอื่นๆ มาร่วมการละเล่นต่างๆ เช่น เตะหม่าเบี้ย ขี่ม้าหลังโกง เล่นนางด้ง นางกวัก ลิงลง และตีไก่ ในวันดังกล่าว ชาวไทยพวนจะเตรียมข้าวของเครื่องใช้ อาหารคาวหวาน เพื่อไปทำบุญที่วัดช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น
ในวันกำฟ้า เริ่มตั้งแต่รุ่งเช้าพระอาทิตย์ขึ้น จะประกอบพิธีทำบุญตักบาตรที่วัด อาหารคาวหวานที่นิยมนำไปทำบุญที่วัด เช่น แกงอ่อม แกงฮังเล ลาบ ขนมเทียน ขนมชั้น ข้าวแตน และข้าวแคบ เมื่อทำบุญฟังพระธรรมเทศนาเสร็จแล้ว ช่วงสายจะนำเครื่องนอนเสื้อผ้าไปซักและตาก ระหว่างที่รอเครื่องนอนเสื้อผ้าที่ตาก จะพากันจับกุ้งหอยปูปลา บางคนไปเก็บไข่มดแดง เพื่อเตรียมทำอาหารมื้อเที่ยงและมื้อเย็น ช่วงบ่ายที่เครื่องนอนเสื้อผ้าแห้ง จึงกลับบ้าน หลังรับประทานอาหารมื้อเย็น ช่วงกลางคืนจะมีการละเล่นต่างๆ เช่น ผีนางด้ง ผีไต่สาว และไก่หมุน
ช่วงเวลากลางคืน ผู้อาวุโสจะสังเกตเสียงฟ้าร้องว่าจะมาจากทิศใด เรียกว่า “เสียงฟ้าเปิดประตูน้ำ” เพื่อให้น้ำฟ้าสายฝนตกลงมาให้ชาวบ้านได้ทำไร่ทำนา มีคำทำนายเสียงฟ้าร้องตามทิศต่างๆ ดังนี้
- ฟ้าร้องทางทิศเหนือหรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปีนี้ฝนจะดี ทำนาได้ข้าวบริบูรณ์
- ฟ้าร้องทางทิศใต้ ปีนี้ฝนจะแล้ง น้ำไม่บริบูรณ์ การทำนาจะเสียหาย
- ฟ้าร้องทางทิศตะวันออก ปีนี้ฝนตกปานกลาง นาที่ลุ่มจะดี นาดอนจะได้รับความเสียหาย
- ฟ้าร้องทางทิศตะวันตก ปีนี้ฟ้าฝนไม่แน่นอน อาจเกิดแห้งแล้งทำนาเสียหาย
ส่วนคำทำนายเหตุการณ์ของบ้านเมือง มีดังนี้
- ฟ้าร้องทางทิศใต้ จะอดเกลือ
- ฟ้าร้องทางทิศเหนือ จะอดข้าว
- ฟ้าร้องทางทิศตะวันตก จะเอาจาทำหอก
- ฟ้าร้องทางทิศตะวันออก จะเอาหอกทำจา
ในปีที่ฟ้าร้องในทางทิศที่ไม่ดี ผู้ใหญ่บ้าน หรือ พ้อบ้าน จะประชุมเพื่อทำพิธีกรรม “เสียมแสง” หรือการเอาดุ้นฟืนที่ไหม้ไฟเกือบสุดท่อน ไปทิ้งที่ร่องน้ำพร้อมกล่าวอ้อนวอนให้เทพยดาอารักษ์เมตตาให้ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล
ฟ้อนไทพวน กรณีศึกษา ชมรมนาฏศิลป์หนองคาย วิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์
ประเพณีการแต่งงานและการหย่าร้าง
ประเพณีแต่งงานของไทยพวน หรือ กินดองไทยพวน เริ่มต้นจากการรักใคร่ชอบพอกันของคนหนุ่มสาว จากนั้นจะบอกให้พ่อแม่มาสู่ขอ อาจจะรักชอบกันตั้งแต่การลงข่วงหรือในช่วงเวลาอื่น บางรายจะหมั้นหมายกันไว้ก่อน แล้วจึงมาแต่งงานกันภายหลัง ทั้งนี้ ส่วนใหญจะสู่ขอและจัดพิธีแต่งงานกันในทันที การแต่งงานของชาวไทยพวนเรียกว่า การเอาผัวเอาเมีย
การหาฤกษ์แต่งาน จะให้พระผู้ใหญ่หรือ ตารย์ ผู้รู้ฤกษ์ยามที่เคารพนับถือหาให้ เมื่อได้ฤกษ์แล้วฝ่ายเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะแจ้งญาติพี่น้องให้มาโฮม (รวม) กันก่อนวันแต่ง 1 วัน ในช่วงเย็นฝ่ายเจ้าสาวจะเตรียมอาหารไว้เลี้ยงแขกที่จะมาในงาน
เช้าวันแต่งงาน ตามฤกษ์ จะมีการแห่เจ้าบ่าวมาที่บ้านเจ้าสาว ที่บ้านเจ้าสาวญาติพี่น้องจะเอาหินมาวางเอาใบตองปู แล้วเอาหญ้าแพรกวางบนใบตอง กั้นประตูเงินประตูทอง (เรียกเงินเรียกเหล้ายา) จากนั้นจึงจะปล่อยเจ้าบ่าวไปเข้าพิธี ฝ่ายเจ้าสาวจะถูกซ่อนตัวอยู่ในห้อง ต้องหาคนผัวเดียวเมียเดียวไปจูงออกจากห้องมาเข้าพิธี
ญาติผู้ใหญ่จะเลือกทิศที่เป็นมงคลให้บ่าวสาวนั่ง เมื่อได้เวลาฤกษ์ หมอพรจะสูดขวัญ เมื่อสูดขวัญเสร็จ พ่อแม่เจ้าบ่าวจะผูกแขนเจ้าสาวรับเป็นลูกสะใภ้ พ่อแม่เจ้าสาวก็จะผูกแขนเจ้าบ่าวรับเป็นลูกเขย จากนั้นจึงจะให้ญาติผู้ใหญ่ รวมทั้งแขกที่มาร่วมงานทำการผูกแขนจนครบ
จากนั้น ญาติผู้ใหญ่หรือเฒ่าแก่ฝ่ายหญิงจะเอาสินสอดของหมั้นมาให้คู่บ่าวสาวถือเป็นสินสร้าง เพื่อก่อร่างสร้างตัว หลังจากการผูกข้อต่อแขนแล้ว จะสมมาผู้ใหญ่ผู้เฒ่าผู้แก่ ฝ่ายหญิงจะเตรียมผ้าแพร ผ้าตุ้ม ผ้าโสร่ง ผ้าขาวม้า ผ้าซิ่น มาสมมาผู้เฒ่าผู้แก่ ญาติผู้ใหญ่ที่มาในงาน เมื่อถึงช่วงเวลาในการส่งตัวบ่าวสาว ญาติฝ่ายเจ้าสาวจะมาดึงคู่บ่าวสาวเข้าห้องหอ เพื่อรับศีลรับพรจากผู้ใหญ่ และฟังการอบรมสั่งสอนการอยู่กินฉันสามีภรรยา
การนอนต้องให้สามีนอนก่อน ภรรยาจะเข้านอนทีหลัง ถ้าเป็นวันพระ ให้ภรรยานำดอกไม้มาไหว้สามีก่อนนอน กราบสามีก่อนนอน ให้ภรรยานอนต่ำกว่าสามี ตอนเช้า ให้ภรรยาเตรียมน้ำไว้ปลายเตียงให้สามีล้างหน้าล้างตา และเตรียมหมากพลูไว้ด้วย
การกิน ต้องให้สามีกินก่อน 3 คำ ภรรยาจึงเริ่มกินได้ เสื้อผ้า ไม่ให้เก็บปนกัน ไม่ตากผ้าร่วมกัน ไม่ใส่เสื้อผ้าปนกัน ผู้ชาย ไม่ลอดราวตากผ้าจะทำให้การเรียนมนตรี คาถา เสื่อมไป
การกินดองไทยพวน นิยมจัดขึ้นในเดือน 4 เดือน 6 เดือน 12 การงานงานฝ่ายชายมักไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงเป็นเขยฝาก แต่หากฝ่ายชายเป็นลูกชายคนเดียวจะแต่งลูกสะใภ้เข้าบ้าน ค่าสินสอดจะแพงขึ้นกว่าเขยฝาก
ประเพณีเกี่ยวกับความตายและการทำศพ
ในอดีต เมื่อมีผู้เสียชีวิตจะมีการดอยศพ (ตราสังศพ) ตั้งศพมีผ้าปกโลง หรือผ้าปกกะโลง เป็นผ้าทอผืนใหญ่ จำนวน 2 ผืนติดกัน หลังจากเผาศพหรือฝังศพไปแล้วผ้าปกกะโลงจะนำไปถวายพระ เมื่อตั้งศพอยู่ที่บ้านจะมีละเล่นที่มีความสนุกสนาน เพื่อคล้ายความโศกเศร้า หรือเรียกว่า “งันเฮือนดี” รวมทั้งมีพระมาสวดศพ หลังจากที่พระกลับวัดแล้ว จะมีการอ่านหนังสือธรรมโดยผู้รู้ ขณะที่ศพอยู่ที่บ้าน คนในบ้านจะหยุดการทำงานบ้าน เช่น การทอผ้า ตัดผม เข็นฝ้าย และตัดหูก
เมื่อถึงกำหนดวันเผาหรือฝังศพ จะมีการเอาศพลงจากบ้านไปป่าช้า ซึ่งป่าช้าจะไม่อยู่ในเขตวัด แต่จะเป็นบริเวณป่าที่ไกลออกไปจากตัวหมู่บ้าน เมื่อเดินถึงป่าช้า เรียกว่า ป่าเห้ว จะหว่านข้าวตอกนำหน้าศพ เป็นการป้องกันผีตายอดตายอยากที่จะมารับผู้ตายไม่ให้ไปหามศพ การจะทำให้ไม่สามารถหามศพได้เพราะน้ำหนักมากขึ้นและถือเป็นอัปมงคล การเอาศพลงบ้านจะพลิกบันไดกลับข้าง เมื่อศพลงพ้นบ้านก็พลิกบันไดกลับ เป็นการกันไม่ให้ผีกลับบ้านได้ถูก เพราะจำทางขึ้นบ้านไม่ได้
การเลือกพื้นที่เผาหรือฝังศพจะต้องเสี่ยงไข่ ด้วยการโยนไข่ถามทางว่า ผู้ตายชื่นชอบพื้นที่บริเวณใดก็จะเผาหรือฝังบริเวณนั้น เช่นเดียวการตั้งกองฟอนหรือกองขี้เถ้าศพที่เผาแล้ว จะต้องโยนไข่ถามผู้ตายว่า ชื่นชอบบริเวณใด ส่วนการฝังศพ เมื่อฝังเรียบร้อยจะมีธงหน้าวัวปักไว้ทั้ง 4 มุมของหลุมศพ ไม้ที่ใช้หามศพไปป่าช้าจะถูกผ่า เสี้ยม ให้เป็นหลาว แล้วจับซัดไปในหลุมศพให้เต็มแน่นเป็นขวากป้องกันสัตว์ป่ามาขุดคุ้ยศพ
หากเป็นการตายโหง หรือตายทั้งกลมจะนำศพฝังแยกต่างหาก ไม่ร่วมป่าช้าเดียวกัน หากเสียชีวิตด้วยโรคระบาด เช่น ห่าลง ฝีดาษ จะเอาศพไว้ได้ไม่เกิน 1 วัน คือตายเช้าเผาเย็น
เมื่อกลับจากเผาศพหรือฝังศพ จะกลับเข้าบ้านทันทีไม่ได้ ต้องเดินเข้าไปในวัด และผ่านประตูวัดที่ชาวบ้านจะเตรียมน้ำมนต์ รวมทั้งน้ำใบส้มป่อย ใบว่านชน และเอากิ่งหนามพุทราวางที่ถังน้ำ เมื่อกลับจากเผาศพจะเดินเข้าวัด เอากิ่งหนามพุทราจุ่มน้ำแล้วสาดไปข้างหลังไล่ผีไม่ให้ตามกลับบ้าน และขับไล่เคราะห์เข็ญให้หลุดพ้นไป จากนั้นให้ขึ้นไปไหว้พระบนศาลาก่อน จึงจะกลับบ้านได้ ปัจจุบัน ไม่มีการเผาศพบนเชิงตะกอน ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ จะถูกนำทำพิธีและเผาเมรุที่วัด
เมื่อบรรพบุรุษเสียชีวิต ลูกหลาน ญาติพี่น้องจะทำบุญให้ เรียกว่า ทำบุญกระดูกหรือทำบุญอัฐิเป็นประจำทุกปีในช่วงวันปีใหม่ไทย หรือวันสงกรานต์ จะนำกระดูกหรืออัฐิมาสรงน้ำมีการทำบุญเลี้ยงพระอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษ และมีการทำบุญห่อข้าวดำดินในช่วงประเพณีสารทพวน โดยจะมีการทำสลากภัตอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับพ่อแม่บรรพบุรุษที่เสียชีวิต
