Subcategories
Paya & Soi
รวมผญา สุภาษิต และคำสอย
Klonlum
กลอนลำ
Song
เพลงลูกทุ่งอีสาน มาเข้าใจความหมายของคำภาษาอีสานในเพลงลูกทุ่ง
Alphabet Group
ภาษาอีสานแยกตามหมวดอักษร
Klon Pasit Boran Isan
กลอน ภาษิตโบราณอีสาน
- Details
- Written by: มนัส สุขสาย
- Category: Word
- Read Time: 1 min
- Hits: 48238
อักขรวิธีของอักษรธรรมอีสาน
อักษรวิธีหรือการผสมอักษรธรรมอีสาน แตกต่างจากอักษรวิธีของอักษรไทยโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ อักษรไทยกำหนดให้วางพยัญชนะไว้บนบรรทัดเดียวกันหมด ทั้งพยัญชนะต้น พยัญชนะตัวสะกดและตัวควบกล้ำ ส่วนสระวางไว้รอบพยัญชนะต้น หรือวางไว้บน ล่าง หน้า หลังพยัญชนะได้
ส่วนอักขรวิธีของอักษรธรรมอีสานมีระเบียบวิธีที่แตกต่างออกไป แต่คล้ายคลึงกับอักษรวิธีของอักษรขอม โดยวางพยัญชนะต้นซึ่งใช้พยัญชนะตัวเต้มไว้บนบรรทัด ส่วนพยัญชนะซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวสะกด ตัวควบกล้ำ หรือตัวสะกดตัวตาม ในหลักสังโยคของภาษาบาลีซึ่งใช้รูปของพยัญชนะตัวเต็มบ้าง ตัวเฟื้องบ้างนั้นอาจวางไว้บนล่าง ข้างหน้า ข้างหลัง และหลังพยัญชนะได้
พยัญชนะของอักษรธรรมอีสาน
พยัญชนะของอักษรธรรมอีสานแบ่งได้เป็น 2 พวกใหญ่ คือ
- พยัญชนะตัวเต็ม คือ รูปของพยัญชนะที่เขียนเต็มรูปตามรูปแบบของอักษรธรรมอีสานซึ่งมี 38 รูป ใช้เขียนบนบรรทัด ทำหน้าที่เป็นพยัญชนะต้น หรือบางตัวอาจทำหน้าที่เป็นตัวสะกดหรือตัวควบกล้ำได้ และในบางกรณีมีบางตัวใช้เขียนใต้บรรทัดซ้อนใต้พยัญชนะโดยทำหน้าที่เป็นตัวสะกด ตัวควบกล้ำ หรือตัวสะกดตัวตาม ในหลักสังโยคของภาษาบาลี
- ตัวเฟื้อง บางครั้งเรียกว่า ตัวห้อย หรือ ตีน ซึ่งเหมือนกับเชิงในพยัญชนะขอม โดยนิยมเขียนใต้บรรทัด (ยกเว้นตัวเฟื้องของพยัญชนะ ร และแบบหนึ่งของ ง เฟื้อง) ตัวเฟื้องที่พบในอักษรธรรมอีสานมีทั้งหมด 19 ตัว ซึ่งตัวเฟื้องเหล่านี้มีหน้าที่เป็นพยัญชนะตัวต้นไม่ได้ จะใช้เขียนในกรณีที่พยัญชนะเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นตัวสะกด หรือตัวควบกล้ำ หรือตัวสะกดตัวตามในหลักสังโยคของภาษาบาลี
ลักษณะของตัวอักษรธรรมดังภาพด้านล่างนี้ เป็นฟอนต์ที่อาจารย์สานิตย์ โภคาพันธ์ แห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ได้ออกแบบสร้างขึ้น มี 2 แบบสำหรับการพิมพ์บนโปรแกรมจัดเอกสารทั่วไป (word) เรียกชื่อฟอนต์ว่า UbWManut และอักษรสำหรับโปรแกรมกราฟิก (PhotoShop) เรียก UbPManut ชื่อนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่ อาจารย์มนัส สุขสาย ปราชญ์ท้องถิ่นอุบลฯ ผู้มีความสามารถด้านการอ่านและจารตัวอักษรธรรม อัษรไทยน้อย และเขียนเรื่องราวของตัวอักษรโบราณอีสานเผยแพร่
อยากได้ฟอนต์อักษรธรรมโบราณอีสานดาวน์โหลดได้เลย [ Download Font Dhamma here! ]
อักษรธรรมอีสาน-ไทยน้อย
รายละเอียดเกี่ยวกับการอ่านและเขียนตัวอักษรธรรมมีเนื้อหาค่อนข้างมาก อาจารย์มนัส สุขสาย ท่านได้ทำตำราไว้ค่อนข้างละเอียด และตอนนี้ผู้ทำเนื้อหาเว็บไซต์กำลังพยายามศึกษาตำแหน่งของฟอนต์อักขระบนแป้นพิมพ์อยู่ครับ เมื่อช่ำชองแล้วจะนำเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป เพื่อเป็นการอนุรักษ์และเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นตามปณิธานของท่านอาจารย์มนัส สุขสาย ครับ
การเขียนอักษรธรรมอีสานเบื้องต้น วรรคกะ (ก ข ค ฆ ง)
ในช่วงที่ทำการอัพเดทข้อมูลไปเจอ ฟอนต์ตัวอักษรธรรมไทย หรือ ขอมไทย ซึ่งน่าสนใจมากทีเดียว ได้มาจากสำนักเรียนวัดพระเชตุพน เลยนำเอาเลย์เอาท์ของคีย์บอร์ดพร้อมไฟล์ฟอนต์ดังกล่าวมาให้ดาวน์โหลดกันครับ สนใจคลิกดาวน์โหลดในลิงก์ด้านล่างของภาพคีย์บอร์ดเลย์เอาท์นะครับ
ดาวน์โหลดฟอนต์อักษรธรรมไทยได้ที่นี่ [ Download TumThai here! ]
การเขียนอักษรธรรมอีสานเบื้องต้น วรรคจะ (จะ ฉะ ชะ ฌะ ญะ)
การเขียนอักษรธรรมอีสานเบื้องต้น เศษวรรค (ยะ ระ ละ วะ สะ หะ ฬะ อะ ฮะ ออยอ)
คำควบกล้ำและการประสมคำควบกล้ำในอักษรธรรมอีสานเบื้องต้น
เครื่องหมายและวรรณยุกต์ในอักษรธรรมอีสานเบื้องต้น
อักษรขอม | อักษรธรรมโบราณอีสาน | อักษรไทยน้อย | วรรณกรรมอีสาน | เฮือน ๓ น้ำ ๔
- Details
- Written by: มนัส สุขสาย
- Category: Word
- Read Time: 1 min
- Hits: 40333
อักษรขอม
อักษรขอม พัฒนามาจาก อักษรหลังปัลลวะ ซึ่งพัฒนามาจากอักษรปัลลวะอีกทีหนึ่ง เป็นตัวอักษรของราชวงศ์ปัลลวะในอินเดียใต้ ภายหลังได้มาติดต่อกับภูมิภาคอุษาคเนย์ จึงได้ถ่ายทอดวัฒนธรรม ซึ่งรวมถึงตัวอักษรไว้ให้กับกลุ่มคนที่อาศัยอยู่บริเวณนี้อีกด้วย ต่อมาอักษรชนิดนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในภูมิภาคนี้ มีวิวัฒนาการต่อไปจากอักษรปัลลวะ เป็นอักษรหลังปัลลวะ หลังจากนั้นก็แตกแขนงเป็นสองสาขาใหญ่ๆ คืออักษรมอญโบราณ และอักษรขอมโบราณ
อักษรขอมโบราณ ใช้ในอาณาจักรต่างๆ สองฝั่งแม่น้ำโขง ตั้งแต่สมัยก่อนเมืองพระนคร ต่อมาจึงกลายเป็นอักษรท้องถิ่นในสมัยพระนคร และเป็น ต้นแบบของอักษรไทย และ อักษรเขมร ในปัจจุบัน
เอกลักษณ์ของอักษรขอม คือ เปลี่ยนบ่าอักษรของอักษรปัลลวะเป็นศก หรือหนามเตย อักษรนี้พัฒนาไป 2 ทิศทาง คือ เป็นอักษรขอมในประเทศไทย (ใช้เขียนภาษาไทย ภาษาบาลี ภาษาเขมร) และอักษรขอมในประเทศกัมพูชา (ใช้เขียนภาษาเขมร ภาษาบาลี)
อักษรขอมในประเทศไทย
พบหลักฐานการใช้อักษรขอมโบราณเขียน ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร ในบริเวณภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ ของประเทศไทยปัจจุบัน ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 14 - 16 แต่จะไม่พบเอกสารโบราณประเภทจารึกที่ใช้อักษรขอมโบราณ ในแถบภาคเหนือตั้งแต่จังหวัดตากขึ้นไป หลักฐานทำนองนี้รวมไปถึงโบราณสถาน ที่เรียกว่า ปราสาทหิน ปราสาทอิฐ และพระปรางค์แบบขอม หรือลพบุรี ที่มีอยู่ทั่วไปในภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคใต้ แต่ไม่เคยปรากฏอยู่ทางภาคเหนือ
ในประเทศไทย อักษรขอม ถือเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ ใช้ในงานด้านศาสนาเป็นส่วนใหญ่ อักษรขอมที่ใช้เขียนภาษาบาลีเรียก อักษรขอมบาลี ส่วนที่ใช้เขียนภาษาไทยเรียก อักษรขอมไทย ซึ่งมีอักขรวิธีต่างจากอักษรขอมกลุ่มอื่นๆ ต่อมา อักษรขอมไทยถูกแทนที่ด้วยอักษรไทย ส่วนอักษรขอมบาลียังคงใช้เขียนภาษาบาลีเรื่อยมา แม้จะมีการพัฒนาอักษรไทยและอักษรอริยกะมาเขียนภาษาบาลีก็ตาม อักษรขอมบาลีถูกยกเลิกไปในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม
อักษรขอม ที่ใช้จารในใบลานที่ใช้กันอยู่ในประเทศไทยมีอยู่ 2 แบบ คือ
- อักษรขอมบรรจง ส่วนมากใช้จารพระธรรมคำสอนต่างๆ
- อักษรขอมหวัดบันทึก เพื่อความรวดเร็วเรียกกันว่า อักษรเกษียณ
ลักษณะอักษรขอมที่นิยมจารลงในใบลานมีอยู่ 3 ลักษณะ 3 ส่วน คือ ตัวอักษรหนามเตย และเชิงอักษรขอมทุกตัว จะมีเครื่องหมายเขียนหยักไว้ข้างบนที่เรียกว่า หนามเตย
หนามเตยโดยปกติแล้วจะเขียนติดกับสระ ยกเว้นตัวที่เขียนประสมกับสระอา อิ อี ส่วนเชิงอักษรนั้นเป็นเครื่องหมายแทนตัวอักษรที่เป็นตัวตาม ตัวสะกดจะเขียนไว้ข้างบนเชิงที่เป็นตามนั้นจะเขียนไว้ข้างล่างถ้าเป็นการเขียนเป็นภาษาบาลี แต่ถ้าเป็นการเขียนเป็นภาษาไทยเชิงอาจเป็นตัวสะกด ซึ่งจะแนะนำวิธีการเขียนอักษรขอมต่อไป
เรียนอักษรขอมเบื้องต้น EP.1
อักษรขอมมี 41 ตัว แบ่งเป็น สระ 8 ตัว พยัญชนะ 33 ตัว
- สระ มีการเขียน 2 แบบ คือ สระจมและสระลอย
- สระลอย คือ สระที่ไม่ได้ประสมกับพยัญชนะ ใช้เขียนขึ้นต้นคำที่มีสระนำหน้า สระลอยมีรูปดังนี้
- สระจม คือ สระที่ใช้ประสมกับพยัญชนะ มีลักษระดังนี้
- สระลอย คือ สระที่ไม่ได้ประสมกับพยัญชนะ ใช้เขียนขึ้นต้นคำที่มีสระนำหน้า สระลอยมีรูปดังนี้
- พยัญชนะที่เขียนเป็นภาษาบาลี มี 33 ตัว แบ่งออกเป็น 5 วรรค วรรคละ 5 ตัว เป็นเศษวรรคอีก 8 ตัว ดังนี้
ตั้งแต่โบราณมา การเรียนอักษรโบราณอีสาน ไม่ว่าจะเป็นอักษรขอม อักษรธรรม บทปัญญาบารมี เป็นบทใช้สอนฝึกหัดอ่านเขียน และถือว่าถ้าใครสามารถอ่านเขียนปัญญาบารมีได้แล้ว ถือว่ามีความรู้เรื่องอักษรโบราณแล้ว ครูผู้สอนจะให้หาประสบการณ์ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองต่อไป
เรียนอักษรขอมเบื้องต้น EP.2
อักษรขอม | อักษรธรรมโบราณอีสาน | อักษรไทยน้อย | วรรณกรรมอีสาน | เฮือน ๓ น้ำ ๔
- Details
- Written by: มนัส สุขสาย
- Category: Word
- Read Time: 1 min
- Hits: 13489
เรียบเรียงโดย : มนัส สุขสาย
คำว่า อักษร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายไว้ว่า ตัวหนังสือ วิชาหนังสือ คำ เสียง พยัญชนะ
อักษรธรรม
อักษรธรรม เป็นอักษรที่คนโบราณอีสานใช้จารึกหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา สรรพวิชา ขนบธรรมเนียมและประเพณีต่างๆ ของชาวอีสานเป็นเวลาช้านาน อักษรโบราณอีสานเป็นมรดกทางปัญญา ที่ปราชญ์โบราณวางเกณฑ์อักษรวิธีเอาไว้เป็นกลางๆ เป็นหนังสือหนังหาเสร็จอยู่ในตัวเอง แม้จะไม่มีรูปวรรณยุกต์แต่มีเสียงวรรณยุกต์ไว้ครบถ้วน เหมาะสมกับผู้ใช้สามารถผันเอาเองตามต้องการ
ประวัติของอักษรโบราณอีสานนั้น นักประวัติศาสตร์เชื่อกันว่า ในการทำสังฆายนาครั้งที่ 3 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ณ ชมพูทวีป เมื่อประมาณ พ.ศ. 300 ได้มีการจารึกหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา เป็นลายลักษณ์ครั้งแรก อักษรที่ใช้จารึกในครั้งนั้นเรียกว่า อักษรพรหมี และอักษรนี้เป็นแม่บทของอักษรเทวนาคี และอักษรปัลลวะ
นักปราชญ์ทั้งไทยและต่างประเทศยอมรับว่า อักษรปัลลวะ เป็นต้นแบบของอักษรชาติต่างๆ ในแหลมทอง โดยเฉพาะในภาคอีสานมีวรรณกรรมเกี่ยวกับการเดินทางไปสืบเอาพระพุทธศาสนา ในประเทศอินเดียเรื่องหนึ่งคือ "เซตะพน" หรือ "เสถพน" ในเรื่องมีว่า พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาทราบข่าวว่า วัดพระเชตุพน เมืองสาวัตถีเจริญรุ่งเรืองมาก ประสงค์จะทราบความจริง และจะได้คัมภีร์พระอภิธรรม พระองค์จึงทรงแต่งตั้งราชทูตคณะหนึ่งไปสืบดู ซึ่งคณะราชทูตมี ขุนไท ผู้เป็นหลานของพระเจ้าแผ่นดินเป็นหัวหน้า พร้อมด้วย ขุนพาย ขุนพล ขุนลิงล้ำ เป็นรอง นายกรวิก เป็นองครักษ์ และมีคนโบราณใหญ่สูง 8 ศอก เป็นคนนำทางพร้อมไพร่พล 500 คน เป็นชาย 400 หญิง 100 คน ในการเดินทางครั้งนั้นใช้ช้างและม้าเป็นพาหนะ
คณะราชทูตออกเดินทางประมาณเดือนอ้าย เดินทาง 3 เดือน ถึงเมืองหงสาวดีเข้าเฝ้าเจ้าเมือง และพักอยู่ที่นั่น 3 คืน แล้วเดินทางไปอีก 3 เดือน 14 วัน ถึงปลายแดนเมืองหงสาวดี พบเจดีย์ใหญ่ชื่อพระธาตุชะกุ้ง (ชเวดากอง) พากันบูชาแล้วเดินทางเข้าป่าหิมพานต์ พบสิงสาราสัตว์ ภูตผีปีศาจ และธรรมชาติต่างๆ มากมายเป็นเวลา 7 ปี จึงถึงแม่น้ำมหิง ไพร่หนุ่มสาวที่เดินทางไปด้วยได้แต่งงานให้กำเนิดเด็กประมาณ 300 คน
คณะทูตได้เดินทางไปอีก 1 ปี จึงพบพระฤาษีไตคำ ได้ทราบข่าวเรื่องมาลัยเจดีย์ วัดพระเชตุพน เมืองสาวัตถี ซึ่งอยู่บนเขาเนมินธร ริมฝั่งแม่น้ำอจิรวดี คณะเดินทางขึ้นเขาเนมินธร ผู้คนในคณะเป็นโรคท้องตาย 205 คน ที่เหลือจึงเดินทางไปอีก 8 วัน จึงถึงเมืองสาวัตถี เข้าเฝ้าถวายราชบรรณาการแก่พระมหากษัตริย์เมืองสาวัตถี พักอยู่ที่นั่น 1 คืน รุ่งขึ้นเดินทางไปวัดพระเชตุพน เข้าเฝ้าถวายสักการะสมเด็จพระสังฆราชแล้วบูชามาลัยเจดีย์ ได้ทำการวัดเอาสัดส่วนต่างๆ ของเจดีย์เอาไว้
คณะทูตได้ขอพระอภิธรรมปิฎกทั้ง 7 คัมภีร์ สมเด็จพระสังฆราชก็พระราชทานให้ดังประสงค์ ชายที่ไปด้วยในคณะมีความเลื่อมใสขอบวชเป็นพระภิกษุที่วัดพระเชตุพน 15 คน นอกนั้นพักอยู่ที่นั่น 1 เดือน แล้วได้เดินทางกลับ ขากลับได้ชมหมู่บ้านหิมพานต์ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองมาก แล้วเดินทางกลับกรุงศรีอยุธยา การกลับมาในครั้งนั้นได้รับการต้อนรับจากพระเจ้าแผ่นดินเป็นอย่างดี และพระอภิธรรมที่ได้มาทั้ง 7 คัมภีร์นั้นได้สร้างหอคำบรรจุเอาไว้ ปราชญ์โบราณชาวอีสานได้อ่าน ได้ศึกษาจารึกที่ได้สืบเอามานี้ใช้สั่งสอนอบรมประชาชนสืบมา
ชาวอีสานโบราณใช้อักษรประจำถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ที่นิยมกันมากมี 3 ชนิด คือ
- อักษรไทยน้อย ใช้ในราชการบ้านเมือง และจารึกวรรณกรรมที่ปราชญ์โบราณอีสานแต่งขึ้นเอง เพื่อสอนคนให้ประกอบแต่คุณงามความดี
- อักษรธรรม ใช้จารึกเรื่องราวที่เป็นจริยวัตรของพระพุทธเจ้าและสรรพวิชาการต่างๆ
- อักษรขอม ใช้จารึกเรื่องราวที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าล้วนๆ เช่น พระไตรปิฎก
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมหัวเมืองชายแดนที่เป็นประเทศราช ทั้งภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้เข้าเป็นประเทศสยามอันเดียวกัน และอิทธิพลของอักษรไทยแพร่เข้ามาในหัวเมืองอีสาน เริ่มแรกนั้นอักษรไทยก็ใช้เฉพาะงานในหน้าที่ราชการเท่านั้น ส่วนชาววัดและชาวบ้านทั่วไป ยังคงใช้อักษรพื้นเมือง
ครั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง ได้มีการจัดพิมพ์หลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาด้วย อักษรไทยปัจจุบันในใบลานสำเร็จ และเผยแพร่ทั่วประเทศไทย ตั้งแต่นั้นมา การจาร (เขียน) อักษรโบราณอีสาน ทั้งอักษรขอม อักษรธรรม อักษรไทยน้อย ก็ลดความนิยมลงเรื่อยๆ หนังสือเหล่านี้ส่วนมากไม่ได้รับการดูแลรักษาเท่าที่ควร เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่สรรพวิชาการ มรดกทางปัญญาที่ล้ำค่าของปราชญ์โบราณอีสานต้องสูญเสียไป
ณ บัดนี้ ด้วยความร่วมมือของ อาจารย์มนตรี โคตรคันทา ผู้สร้างสรรค์เว็บไซต์ "สะออน" (ชื่อเดิม Sa-On : สะออนอีสาน ก่อนจะจดโดเมนใหม่ในชื่อ IsanGate.com) แห่งนี้ จะได้นำผลงานการค้นคว้าของข้าพเจ้ามานำเสนอผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ด้วยมุ่งหวังที่จะให้เป็นแหล่งสืบสานภูมิปัญญา ของหมู่เฮาชาวอีสาน ไว้ให้ลูกหลานได้ค้นคว้าต่อไป
อักษรโบราณอีสาน
วรรณกรรมอีสาน
สำหรับท่านที่สนใจอยากจะได้หนังสือวรรณกรรมอีสาน ตำราเรียนอักษรโบราณอีสาน โปรดติดต่อโดยตรงที่ อาจารย์มนัส สุขสาย สำนักพิมพ์มูนมังไทยอีสาน 299 หมู่ 11 (บ้านนิคมจัดสรร) ตำบลไร่น้อย อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 34000 โทรศัพท์ 045-241716 (ส่งธณานัติสั่งจ่าย ปณ.แจ้งสนิท จำนวน 175 บาท [ค่าหนังสือ + ค่าส่ง] ได้เลยครับ) |
และเป็นข่าวดีอีกข่าวหนึ่งคือ ตัวอักษรไทยน้อย ไทยอีสาน นั้น กำลังจะถูกสร้างสรรค์ให้เป็นอักขระบนระบบคอมพิวเตอร์ มีแป้นพิมพ์เปลี่ยนได้เหมือนกับภาษาอื่นๆ เช่น ไทย-อังกฤษ เราก็จะมี ไทยอีสาน-อังกฤษ เป็นต้น การดำเนินการดังกล่าวนี้กำลังดำเนินการโดย คุณเทพพิทักษ์ การุญบุญญานันท์ ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่บล็อกคุณเทพพิทักษ์ โครงการอักษรอีสาน เลยครับ และตอนนี้ยังมีการทดลองเอาไปใช้กับเพลงคาราโอเกะเพื่อการศึกษา โดยอาจารย์สานิตย์ โภคาพันธ์
อักษรธรรม และอักษรไทยน้อย, Dhamma - Thainoi script
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Word
- Read Time: 1 min
- Hits: 25245
คะลำ เป็นลักษณะความผิดบาป ผิดจารีต ไม่เหมาะ ไม่ควร อาจมีโทษมากหรือน้อย หรือไม่มีโทษ แต่ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม คะลำจึงเป็นหลักคำสอนที่ปฏิบัติกันมาจนเป็นขนมธรรมเนียมที่มีลักษณะเป็นข้อห้าม
3. ข้อคะลำที่สัมพันธ์กับเวลา
ข้อคะลำที่สัมพันธ์กันกับเวลานั้น มีหลายข้อที่สัมพันธ์กับบุคคลและสถานที่ด้วย ซึ่งแยกออกจากกันลำบาก แต่เพื่อให้เห็นภาพกว้างๆ โดยรวม และไม่ต้องแบ่งซอยลงไปมากจนเกินไป จึงขอยกตัวอย่างดังที่แบ่งข้างต้น ซึ่งข้อคะลำที่สัมพันธ์กับเวลานั้น น่าจะหมายถึงเวลาที่เป็นงานเทศกาล ประเพณีประจำปี หรือเวลาของการประกอบอาชีพประจำฤดูกาล โดยเฉพาะการทำนา รวมทั้งประเพณีเฉพาะกิจในระดับส่วนบุคคลที่เกี่ยวพันกับสังคม ตัวบุคคลและสถานที่ด้วย รวมทั้งกิจวัตรประจำที่อยู่ในวิถีชีวิตประจำวัน แต่ในที่นี้จะเอาเวลาเป็นตัวตั้งเพื่อให้สอดคล้องกับที่แบ่งหัวข้อไว้ เช่น
ข้อคะลำในการทำนาและข้าว
เวลา หรือ ขั้นตอนในการทำนา ซึ่งจะต้องดำเนินการสอดคล้องตามระยะเวลา เนื่องจากต้องอาศัยธรรมชาติเป็นหลัก ในสังคมเกษตรกรรมดั้งเดิมที่ยังควบคุมธรรมชาติไม่ได้ ซึ่งถ้าไม่ปฏิบัติแล้วจะต้องคะลำ ผิดประเพณี "กินไม่บกจกไม่ลง" นอกจากนั้นยังมีข้อปฏิบัติที่สัมพันธ์กับข้าว เช่น
- ก่อนหว่านกล้า ต้องเลือกฤกษ์วันดีในการแช่ข้าวเปลือกก่อน ข้าวที่ปลูกจะได้ให้ผลผลิตมาก
- ช่วงเวลาหว่าน ถ้ามีตัวปูไต่ตามท้องนา ห้ามจับถือว่าเป็นการเลี้ยงผีตาแฮก
- ก่อนที่จะถอนกล้าและปักดำต้องเลือกฤกษ์ยามวันดี
- ช่วงเก็บเกี่ยว ก่อนตั้งลอมข้าวต้องไหว้ปลงแม่พระธรณีก่อน
- ก่อนนวดข้าว ต้องเลือกวันดี
- ช่วงนวดข้าวญาติพี่น้องต้องมาช่วยเหลือกัน และหาบข้าวขึ้นยุ้ง
- หลังจากนั้นต้องมาช่วยกันตีข้าวสนุ (ข้าวที่ยังเหลือติดซังข้าวอยู่) ให้หมด
- จากนั้นจึงทำพิธีเอาข้าวขึ้นยุ้งและปิดยุ้งเพื่อเลือกวันดีเปิดยุ้งข้าว
- เลือกวันดีเพื่อตักข้าววันแรกให้ตรงกับเดือนขึ้นปีใหม่แล้วสู่ขวัญข้าว โดยใช้กระดองเต่าตักข้าวครั้งแรก เพื่อให้ผู้ผลิตอยู่เย็นเป็นสุข (กระดองเต่าเป็นสัญลักษณ์ของความอยู่เย็นอยู่ดี)
- เวลาพักกินข้าวอยู่ทุ่งนาอย่าเรียกกันกินข้าว มันคะลำ เท่ากับเรียกปูมากัดกินต้นข้าวด้วย
- อย่าเอาไม้แต้ กะบก มาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ มันคะลำ
(ภูมิปัญญาแฝง : ไม้ดังกล่าวเป็นไม้เนื้อแข็ง แตกหักง่าย ไม่เหมาะนำมาใช้งาน) - เป็ด ไก่มาเก็บกินข้าว รำข้าวหกอย่าดุด่า มันคะลำ
- จี่ข้าวในช่วงข้าวออกรวง คะลำ
- ไถนาวันพระ คะลำ
- กินข้าวสารดิบ คะลำ เป็นคนจัญไร
- กัดกินข้าวเหนียวครึ่งคำข้าว คะลำ
- ยืนกินข้าว กะลำ
- กินข้าวคาหม้อ คะลำ
- ร้องเพลงเวลากินข้าว คะลำ
- กินข้าวแล้วบ่อัดฝาก่อง บ่ฮู้เก็บฮู้เมี้ยน คะลำ ทำให้ผัวเมียจะป๋าหย่าร้าง
(ภูมิปัญญาแฝง : ให้รู้จักเก็บรักษาและรับผิดชอบในสิ่งที่ตนกระทำลงไป เพื่อความเป็นระเบียบ) - เวลาเขยสะใภ้กินข้าวร่วมวงกับทั้งครอบครัวอย่างนั่งขัดสมาธิ มันคะลำ
- เวลากินข้าวอย่าตบหัวแมว จะบาปเนื่องจากแมวมีเชื้อสายเทวดา
(ภูมิปัญญาแฝง : เนื่องจากเศษขนแมวอาจติดมือได้) - เวลากินข้าวผู้หญิงอย่ายองๆ หรือขัดสมาธิ มันคะลำ
- อย่าเว้ายามกิน
(ภูมิปัญญาแฝง : ไม่งาม ไม่เหมาะสม ข้าวอาจติดคอ ลงหลอดลมได้)
นอกจากนี้ยังมีข้อคะลำที่สัมพันธ์กับเวลา เช่น บุญหรืองานประเพณี พิธีกรรมต่างๆ อาทิ
ข้อคะลำในงานศพ
- คนตายโหง (ผูกคอตาย ฟ้าผ่าตาย จมน้ำตาย เสือกัดตาย ลงท้องตาย ตกต้นไม้ตาย) ห้ามกินทาน ห้ามมีพระนำหน้า ห้ามเผา
- เด็กตาย (อายุไม่ถึง 10 ขวบ) ห้ามเผา
- ห้ามนำศพไต่ขัว (สะพาน)
(ภูมิปัญญาแฝง : ในสมัยก่อนขัวหรือสะพานเป็นเพียงไม้ท่อนเดียวพาดข้ามแม่น้ำ หรือลำคลอง อาจพลัดตกได้) - ห้ามหามศพข้ามขอนไม้
- ห้ามเผาศพวันอังคาร
- ห้ามเผาศพวันศุกร์ ผีจะร้าย
(ภูมิปัญญาแฝง : ความเชื่อโชคลาง วันศุกร์เป็นชื่อดี คือวันแห่งความสุข ที่คนนิยมจัดงานมงคลกันจึงไม่นิยมเผาในวันดังกล่าว) - หากมีเพื่อนบ้านตายให้มาช่วยกัน บุคคลใดทำเฉยไม่สนใจ จะคะลำ
- อย่าให้แมวข้ามศพ มันคะลำ
- อาหารที่เลี้ยงแขกในงานศพต้องไม่เป็นเส้น เช่น ขนมจีน เพราะจำทำให้คนตายไม่ไปเกิด
- คนป่วยตายธรรมดาเกิน 6 วันจึงจะสามารถเผาได้
- เสื่อสาดต้องกลับทางให้เป็นตรงข้ามทั้งหมด
- การแต่งตัวศพ ต้องสวมเสื้อผ้าศพให้กลับจากในมานอก
- เอาศพออกจากบ้านให้คว่ำภาชนะทุกอย่าง และคว่ำกลับข้างบันได
- เวลาเผาศพให้เอาท่อนไม้ใหญ่ 2 ท่อนทับศพไว้ ไม่ทำคะลำ
(ภูมิปัญญาแฝง : ป้องกันศพพลิกคว่ำ หรือเอ็นหดทำให้ศพอาจตกจากเชิงตะกอนได้) - เมื่อเผาศพเสร็จให้เดินมาล้างมือล้างเท้าสิ่งสกปรกที่วัดก่อนจึงจะกลับบ้านได้
(ภูมิปัญญาแฝง : ชำระร่างกายให้สะอาดเพราะอาจจะติดเชื้อโรคจากศพได้ และเป็นอุบายการบำบัดทางจิตสำหรับผู้ที่กลัวผีจากภาพที่ประสบพบเห็นในพิธี)
ข้อคะลำในงานพิธีแต่งงาน
การแต่งงาน ถือว่าเป็นงานมงคลในช่วงชีวิตของคน ดังนั้นจึงมีข้อคะลำเพื่อให้เกิดความมั่นใจในชีวิตคู่ สร้างกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป รวมทั้งข้อคะลำที่ควรทราบในระหว่างมีชีวิตคู่ด้วย เช่น
- ห้ามแต่งงานวันคี่ คะลำ จะหย่าร้างกัน
- อย่าทำสิ่งของแตกร้าวในวันแต่ง คะลำ จะทำให้หย่าร้าง
- ห้ามมีชื่ออาหารที่ไม่เป็นมงคล เช่น แกงฟัก (ฟัก ภาษาอีสานหมายถึง ฟัน สับ) แกงจืด ยำ
- ห้ามคนเป็นหมัน ไม่มีลูกถือขันหมาก
- ห้ามบุคคลที่เป็นกำพร้าเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาว
- ห้ามแต่งงานในเดือน 12 คะลำ เป็นเดือนที่สุนัขติดสัด ไม่เป็นมงคล
- ห้ามแต่งช่วงเดือนเข้าพรรษา (เพราะเป็นช่วงที่กำลังเร่งดำนา)
- เมียนอนหัวสูงกว่าผัว คะลำ
- เมียกินข้าวก่อนผัว คะลำ
- เมียต้องไม่เอาอาหารที่ตนเหลือกินให้ผัวกิน คะลำ
- เมียย่าง(เดิน)เอาผ้าเอาซิ่นปัดป่ายผัว คะลำ
- เมียบ่สมมา(ขอขมา)ผัวในวันพระวันศีลก่อนนอน คะลำ
ข้อคะลำในวันสงกรานต์
วันสงกรานต์ หรือ วันเนา เชื่อกันว่ามาจากคำว่า "เน่า" หมายความว่าถ้าใครกระทำผิดคะลำในวันนี้แล้ว เวลาตายไปจะเน่าเหม็น สำหรับในวันนี้ของสังคมอีสานในอดีตถือว่า เป็นวันหนึ่งในรอบปีที่ต้องผ่อนคลาย สนุกสนานให้เต็มที่ การเตรียมการเตรียมงานหรือเวียกงานต่างๆ ต้องกระทำก่อนหน้านั้นให้เสร็จสิ้น หากมีบุคคลใดฝ่าฝืนทำสิ่งใดในวันนี้ถือว่าคะลำ ไม่เจริญรุ่งเรือง ทำมาค้าขายไม่ขึ้น จะต้องตายเน่าตายเหม็นอย่างไม่มีศักดิ์ศรี ซึ่งคล้ายกับข้อห้ามของวันว่างในประเพณีของคนใต้
สำหรับข้อคะลำที่ห้ามประพฤติปฏิบัติในวันเนาตามความเชื่อของคนอีสานมีดังนี้
- ห้ามผ่าฟืน ฟันฟืน
- ห้ามตำข้าว ห้ามเปิดยุ้งข้าวตักข้าว
- กองฟืนจะต้องหาพงหนามไปปิดไว้
- ครกตำข้าวจะต้องเอาพงหนามไปปิดไว้
- ห้ามทอผ้า
- ห้ามสานแห
สรุปคือห้ามทำการงานทุกอย่างในวันดังกล่าว ให้สนุกสนานร่วมงานของเพื่อนบ้านอย่างเต็มที่ ถือว่าเป็นการผ่อนคลายความเคร่งเครียดตรากตรำทำงานตลอดปีอีกวันหนึ่ง
ข้อคะลำที่สัมพันธ์กับเวลาอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมีข้อคะลำอื่นๆที่สอดคล้องกับเวลา เช่น
- อย่าตอกตะปูตอนกลางคืน คะลำ
(ภูมิปัญญาแฝง : อาจรบกวนคนอื่นที่ต้องการพักผ่อนได้) - อย่าตัดเล็บ ตัดผมเวลากลางคืน
- อย่าล้างถ้วยชามเวลากลางคืน
- เดินทางกลางคืนอย่าพูดเรื่องอัปมงคล
- กินข้าวยามวิกาล ตอนดึก คะลำ
- อย่ากวาดบ้านเวลากลางคืน ยกเว้นบริเวณที่จะกินข้าว
(ภูมิปัญญาแฝง : อาจจะกวาดสิ่งของสำคัญตกลงไปข้างล่าง จะหาลำบาก เพราะในอดีตไม่มีไฟฟ้า มีเพียงกะบอง หรือไต้ที่ไม่ค่อยสว่างและไม่สะดวกนัก) - อย่าเข็นฝ้าย(ปั่นฝ้าย)ตอนกลางคืน คะลำ
(ภูมิปัญญาแฝง : เสียงจะดังก่อความรำคาญรบกวนคนอื่นได้) - อย่าเคี้ยวหมากนอนตอนกลางคืน
(ภูมิปัญญาแฝง : คำหมากอาจติดข้อเป็นอันตรายได้) - อย่าฝัดข้าวตอนกลางคืน
(ภูมิปัญญาแฝง : เสียงดัง อาจก่อความรำคาญให้แก่คนอื่นได้) - อย่าต่อยมองแฮง(แรง)ยามเช้า อย่าตำข้าวสักกะลันยามดึก
(ภูมิปัญญาแฝง : อาจก่อความรำคาญให้แก่ผู้ที่ยังไม่ตื่น และกำลังหลับอยู่ได้) - อย่าผิวปากเวลากลางคืน คะลำ
(ภูมิปัญญาแฝง : อาจก่อความรำคาญให้คนอื่นได้) - อย่านอนเวลาบ่ายคล้อย คะลำ เพราะเป็นช่วงที่ผีตกป่า (เผาศพ)
(ภูมิปัญญาแฝง : ช่วงดังกล่าวคนส่วนใหญ่ต้องทำงาน หากนอนแล้วจะเสียการงาน และแรงงานโดยไม่จำเป็น รวมทั้งช่วงดังกล่าวเมื่อตื่นขึ้นมามักจะไม่สดชื่น แข็งแรง อารมณ์เสียได้ง่าย) - ตีด่ากันในวันพระ คะลำ
- เวลานอน คุยกัน คะลำ
- สาวไหมวันพระ คะลำ
- เวลาออกล่าสัตว์ อย่ากินข้าวกับเนื้อสัตว์ มันคะลำ
ยังมีเพิ่มเติมสำหรับการกระทำที่ถือว่า "คะลำ" ไม่ควรทำ เป็นการรวมอริยาบถของคนในลักษณะต่างๆ
คะลำเกี่ยวกับการยืน
- ยืนคร่อมเตาฮ่าง คะลำ
- หญิงยืนเยี่ยว คะลำ (ห้ามผู้หญิงยื่นเยี่ยว)
- ผู้น้อยยืนใกล้ผู้ใหญ่ คะลำ (ห้ามผู้น้อยยืนใกล้ผู้ใหญ่)
- เขยยืนใกล้เจ้าโคตร คะลำ (ห้ามลูกสะใภ้และลูกเขยยืนใกล้เจ้าโคตร)
คะลำเกี่ยวกับการย่าง (เดิน)
- ย่างข้ามตัวคน คะลำ
- ย่างข้ามพาข้าว คะลำ
- ผู้น้อยย่างใกล้ผู้ใหญ่ ใภ้ เขยย่างใกล้เจ้าโคตร คะลำ
- ขึ้นเฮือนบ่ล้างตีน ย่างทืบตีนขึ้นขั้นบันใด ย่างเทิงเฮือนตแฮง ย่างลากตีน คะลำ
- เมียย่างเอาผ้าเอาสิ้นปัดป่ายผัว คะลำ
- ย่างก่อนเจ้าหัว (พระ) เหยียบเงาเจ้าหัว คะลำ
- นุ่งผ้าเตะเตียว ย่างผ่านหน้าเจ้าโคตร คะลำ
คะลำเกี่ยวกับการนั่ง
- นั่งหย่อนขาไกวขาเทิงเฮือนสูง คะลำ
- ผู้น้อยนั่งสูงกว่าผู้ใหญ่ ใภ้หรือเขยนั่งสูงหรือนั่งขาไขว่ห้างต่อหน้าเจ้าโคตร คะลำ
- ผู้หญิงนั่งขัดสะมาธ คะลำ (นั่งขัดสมาธิ)
- นั่งขัดสะมาธเวลาฟังเทศน์ นั่งฟังเจ้าโคตรบอกสอน คะลำ
- นั่งตันประตุ นั่งตันขั้นได นั่งหมอน นั่งกลางผู้เฒ่า คะลำ
- ผู้หนึ่งนั่ง ผู้หนึ่งยืนโอ้โลมกัน คะลำ
- นั่งเทิงหัวบ่อนนอนของตน หรือของผู้อื่น คะลำ
คะลำเกี่ยวกับการนอน
- นอนหันหัวไปทางตาเว็นตก คะลำ (ห้ามนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตก เพราะทิศตะวันตกเป็นทิศที่ให้ผีหรือคนตายนอนหันหัวไป)
- เมียนอนก่อน ตื่นหลังผัว คะลำ
- นอนหงายเล่นดาบ นอนคาบนมเมีย เลียคมมีด คะลำ
- นอนพกมีด อาวุธ หรือของมีคม คะลำ
- ใภ้ เขย นอนเปิง พ่อแม่นอนฮ่วมห้องลูกสาวลูกชาย คะลำ
- นอนหันตีนไปทางพระ คะลำ
- ยามกินไปนอนยามนอนไปกิน คะลำ
- เอาเสื้อผ้าเก่ามาหนุนต่างหมอน คะลำ
- นอนบ่ล้างตีน คะลำ
คะลำเกี่ยวกับการกิน
- ไปป่าเอิ้นกันกินข้าวเสียงดัง คะลำ
- ไทเฮือนเดียวกันกินบ่พร้อมกัน ผู้น้อยกินก่อนผู้ใหญ่ เมียกินก่อนผัว คะลำ
- ผู้ใหญ่กินเงื่อนกินผู้น้อย ผัวกินเงื่อนเมีย คะลำ
- กินข้าวบ่เปิดฝาก่อง บ่เก็บบ่เมี้ยน คะลำ
- กินข้าวแล้วลงเฮือน เอามือเซ็ดหัวบันได คะลำ
- เอาเงื่อนกินให้ทาน คะลำ
- กินอ้าปากกว้าง แลบลิ้น เลียปาก เลียมือ กินคำใหญ่ กินเสียงดัง คะลำ
- ถ่มน้ำลาย คายขี้มูก เวลากิน คะลำ
- กินข้าวมือซ้ายเวลากินเว้ากัน เอามือเท้าขวาเท้าซ้ายเวลากิน กินเคี้ยวบ่แหลก คะลำ
- กินเหมิดกินเสี้ยง กินเกี้ยงบ่หลอ คะลำ (ห้ามกินหมดกินเกลี้ยงจนไม่มีอะไรเหลือ)
- ได้กินดี อักกินผู้เดียว ได้กินซิ้นบ่ส่งอา ได้กินปาบ่ส่งปู่ คะลำ
- กินอิ่มแล้ว บ่ล้างถ้วยล้างชาม คะลำ
- กินข้าวโต โสความเพิ่น คะลำ
- กินข้าวกับซิ้นงัวซิ้นควาย คะลำ (เพราะงัว ควาย เป็นสัตว์มีคุณ)
คะลำเกี่ยวกับการไปการมา
- ผัวไปล่าสัตว์ใหญ่ เมียอยู่บ้านนุ่งซิ่นแดง คะลำ
- ไปจอบฟังเขาเว้าพื้นทานขวันกัน คะลำ (ห้ามไปแอบฟังเขานินทาว่าร้ายกัน)
- ไปเอาบุนกายบ้าน บ่ฮู้แลงบ่ฮู้งาย คะลำ (ไปงานบุญหมู่บ้านอื่น แล้วไม่ยอมกลับบ้านเรือนของตนก่อนค่อยไปต่อ และไม่รู้เวลากินข้าวเช้าข้าวเย็น)
- ผัวไปทางไกล เมียอยู่บ้านตัดผม ทัดดอกไม้ คะลำ
- ไปโฮ่เนื้อเอิ้นชื่อมัน คะลำ (ห้ามออกชื่อสัตว์ขณะที่เที่ยวล่าสัตว์)
- ไปบ่ลา มาบ่คอบ คะลำ
คะลำทั่วไป
- นุ่งห่มผ้าทางกลับ – ใช้ตีนเขี่ยเสื้อผ้า คะลำ
- ฟันฟืนมื้อเช้าฝัดข้าวมื้อแลงแบกของขึ้นเฮือนหาบฟืนขึ้นบ้าน คะลำ
- ข้ามขั้นไดขึ้นเฮือน ตีนเช็ดหัวขั้นได คะลำ
- ฝนตกฟ้าร้องขี่ควายเล่น ยกมีด ยกเสียม ฟันไม้ คะลำ
- ผ่าฟืน ฟันไม้ ตอกไม้ กลางคืน คะลำ
- แต่งคาดแต่งไถกลางคืน คะลำ
- ตีก้อนเส้า เอาไม้เอามีดเคาะเสาเฮือน คะลำ
- ขี่วัว ขี่ควาย หันหลังให้ทางเขา คะลำ
- เอามือตีแมว ตีหมา เตะวัวเตะควาย คะลำ
- ปลูกย่านางเดิ่นบ้าน ปลูกผักอีฮุม หมากลิ้นหมา ผักหวานในบ้าน คะลำ
- บุญมหาชาติขี้เมาเข้าวัด คะลำ ตีฆ้องตีกลอง (เว้นแต่กลองรับ) คะลำ
- ไทยเฮือนอื่นมาปิด – เปิดป่องเอี้ยม คะลำ
- ปรึกษากันไปหาหมอ คนไข้ได้ยิน คะลำ
- วันพระวันศีลก่อนนอน บ่สมมาก้อนส้า คีไฟ แม่ขั้นได ผักตูในวันศีล คะลำ
- เล่นหมากฮุก หมากสะกา ในเฮือนคนบ่ทันตาย คะลำ
- โยนกะบุง กะต่า ฟาดเสียม กะด้ง กะเบียนขึ้นเฮือน คะลำ
- วัดโตคนไข้ เพื่อตัดโลงให้คนไข้เห็นหรือได้ยิน คะลำ
- เอาเชิงผ้าซิ่นเช็ดหน้า คะลำ
- ฝนมีดพร้า หอก ดาบสิ่ว ขวาน และปัดเฮือนยามกลางคืน คะลำ
- ของต่ำไว้สูง ของสูงไว้ต่ำ คะลำ
- ทุบตี เตะ ถีบ ม้างเฮือน เพซาน คะลำ (ห้ามทุบตี เตะ ถีบ รื้อ พังบ้านเรือน)
- เว้าพ้นตัว หัวพ้นเพิ่น คะลำ (ห้ามพูดเสียงดังเกินตัว เวลาหัวเราะก็หัวเราะดังกว่าคนอื่น)
- ปากก่อนกวาน ขานก่อนเจ้า คะลำ (ห้ามพูดก่อนกวานบ้าน(ผู้ใหญ่บ้าน)และรีบขานรับก่อนเจ้านาย)
- ตัดกอนฮอนขื่อ คะลำ (ห้ามตัดกอนและรอนขื่อบ้านเรือน)
- ตักน้ำมื้อเช้า ตำข้าวมื้อแลง คะลำ
- เอาล้อเกวียน ตีนเกวียนที่หักแล้วไปฮองตีนบันได คะลำ
- คลำน้ำ กินต่อน คะลำ (เข้าทำนองเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง)
- เพิ่นบ่เอิ้นโตขาน เพิ่นบ่วานโตซ่อย คะลำ
- บ่อนเข็ดบ่ยำคะลำบ่ย้าน คะลำ
- ใส่บาดถามเจ้าหัว คะลำ (ห้ามถามพระเวลาใส่บาตร)
- ขี้งอยขอน นอนสูบยา คะลำ
- อยู่ท่งสานวีอยู่ดีถามหมอ คะลำ (อยู่ทุ่งนาห้ามสานพัด อยู่สุขสบายห้ามถามหาหมอ)
- ฮากไม้สอนขวาน คะลำ (ห้ามรากไม้สอนด้ามขวาน)
- ไง้ขอนหาขี้เข็บ คะลำ (ห้ามฟื้นฝอยหาตะเข็บ)
- เฮ็ดต่างลี้ ขี้ต่างเซามีแฮง คะลำ (ห้ามทำงานหลบๆ เลี่ยงๆ และนั่งขี้เพื่อจะได้มีเวลาพักเหนื่อย)
- ขี้คันคากจาแบกขอนยาง คะลำ (คางคกพูดสาวหาวว่าตนแบกขอนยางได้ไม่ดี)
- ตีเหล็กต่อหน้าช่าง คะลำ
- ดันผีให้ลุก ปลุกผีให้นั่ง คะลำ
- หมาเข้าบ้านบ่ด่อมหาง คะลำ
- ย้ายคันแทนา ย้ายผักตูเฮือน ถมน้ำออกบ่อ ขุดจอมปลวก ไปถมบวกหมู ปลูกเฮือนกวมทาง กวมตอ คะลำ (ห้ามย้ายคันนาหนึ่ง ย้ายประตูบ้าน ถมน้ำซับ ขดดินจากจอมปลวกเพื่อนำไปถมปลักหมูนอน ปลูกเรือนคร่อมถนนหนทางและตอไม้)
- เอาของใช้ไว้ปนกับของประดับ คะลำ
- เฮือนสองหลัง เฮ็ดเป็นหลังเดียว คะลำหลาย
- ผัวเมียผิดกัน ข่มเหงกัน ด่าป้อยญาติกัน คะลำ
- จ่ายเงินแดง แปงเงินขวาง คะลำ
- ตีหมูซา ด่าหมาเสียด หัวซาเด็กน้อย หัวซาทุกคน คะลำ
- เอาลูกสาวลูกชายเป็นเมียเป็นผัว เอาคนใช้เป็นเมียเป็นผัว คะลำ
- เห็นเมียท่านท่า เห็นหน้าท่ายิง คะลำ (เห็นภริยาคนอื่นแล้วท้าทาย พอเห็นหน้าเจ้าตัวเขายิงทันที ไม่ดี)
- หัวโล้นอยากลำ หัวดำอยากเทด คะลำ
- เล่นเจ้าหัว เล่นผัวเพิ่น คะลำ (ห้ามเป็นชู้กับพระสงฆ์ และเป็นชู้กับสามีหญิงอื่น)
- บวดเป็นชี หนีจากบ่อน คะลำ (บวชเป็นชีแล้วหนีจากวัดที่บวชไปอยู่วัดอื่น)
- ความลับไปฮู้เถิงสอง คะลำ (ห้ามนำความลับไปเล่าให้รู้ถึงสองคน)
- นาสองเหมือง เมืองสองท้าว ย้าวสองเขย คะลำ (ห้ามทำนาที่มีร่องน้ำสองร่อง ประเทศหนึ่งห้ามมีผู้ปกครองสองคน ห้ามลูกเขยสองคนอยู่ร่วมหลังคาเรือนเดียวกัน)
- หญิงสองผัว เจ้าหัวสองวัด คะลำ
กลับไปที่ คะลำ ขะลำ หน้าที่ 1