• ธรรมะในดินแดนอีสาน

    พุทธศาสนา : เผยแผ่ เบ่งบาน งดงามในดินแดนอีสาน

  • เที่ยวงานแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี

    ชมความงามวิจิตรอุบลราชธานีแสงสีตระการตา และงานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี

  • เที่ยวนครพนม

    เที่ยวนครพนมชมความงดงามริมแม่น้ำโขง ร่วมงานไหว้พระธาตุพนม ขอพรประจำปี

  • ธรรมชาติงดงามบนภูกระดึง

    ความสุขที่คุณเดินได้ให้จดจำว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตเราเคยพิชิตภูกระดึง

  • สามพันโบก

    รุ่งอรุณ ณ สามพันโบก มหัศจรรย์ลานหินกลางลำน้ำโขง

  • รุ่งอรุณ ณ ผาแต้ม

    ตะวันขึ้นก่อนใครในสยามประเทศ @ผาแต้ม อุบลราชธานี

  • เขาใหญ่

    ไปเที่ยวชื่นชมธรรมชาติมรดกโลก @อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นครราชสีมา

  • ผามออีแดง

    ปลายฝนต้นหนาวไปชมทะเลหมอก @ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ

  • อีสานธรรมชาติสวยงามหลากหลาย

    ภาคอีสานมีธรรมชาติสวยงาม น้ำตก เสาหิน และมหัศจรรย์ธรรมชาติกุ้งเดินขบวน

  • เทศกาลดอกลำดวนบาน

    เทศกาลดอกลำดวนบาน สืบสานประเพณีสี่เผ่าไท ศรีสะเกษ การแสดงแสงสีเสียงละครอิงประวัติศาสตร์ “ศรีพฤทเธศวร”

: Our Sponsor

adv200x300 2

: Our Fanpage

: My Web Site

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail

ญัฮกุร ชนเผ่ามอญโบราณ

chao bon header

“ญัฮกุร” (Nyah Kur) ออกเสียงว่า “ยะ-กุร” ภาษาของคนกลุ่มนี้อยู่ในตระกูลออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic) เป็นมอญ-เขมร จากการศึกษาของนักภาษาศาสตร์พบว่า ภาษาญัฮกุร เป็นภาษาย่อยของมอญโบราณที่ใช้พูดในสมัยทวารวดี อาณาจักรเก่าแก่ในแผ่นดินสยาม มีคำพูดหลายคำที่ทำให้เห็นความเชื่อมโยงในด้านเสียง และความหมายกับคำในศิลาจารึกของมอญโบราณ

ญัฮกุร  หรือ เนียะกุร เป็นคำที่ชาวญัฮกุรเรียกตนเอง คำว่า “ญัฮ” และ “เนียะ” แปลว่า “คน” ส่วนคำว่า “กุร” แปลว่า “ภูเขา” รวมความจึงแปลว่า “ชาวเขา” หรือคนภูเขา ขณะที่ชื่อที่คนส่วนใหญ่รู้จักคือ ชาวบน หรือ ชาวดง หมายถึง คนที่อยู่ในเขตภูเขาเช่นเดียวกัน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติค ที่ใช้ภาษามอญโบราณ อยู่บนภูเขาแถบแม่น้ำป่าสักในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดนครราชสีมา และโดยเฉพาะที่อำเภอหนองบัวระเหวและอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ

chao bon 5

กลุ่มชนดังกล่าวเรียกตนเองว่า ญัฮกุร แปลว่า "คนภูเขา" คนไทยในเมืองเรียกชนกลุ่มนี้ว่า "ชาวบน" ซึ่งไม่เป็นที่ชอบใจนักของชาวญัฮกุร คนไทยภาคต่างๆ ฟังภาษาของชนกลุ่มนี้ไม่เข้าใจ

สนับสนุนคลิกดูโฆษณาของเราสักวันละครั้ง เพื่อให้เรามีแรงสร้างงานต่อไป ขอบคุณครับ

ถิ่นอาศัยในปัจจุบัน

chao bon 4ปัจจุบัน กลุ่มชนญัฮกุรจะตั้งหลักแหล่งที่แน่นอน แต่การไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนและการนับเครือญาติในหมู่ญัฮกุรในบริเวณสามจังหวัด พบว่า ชาวญัฮกุรอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุดที่บ้านน้ำลาด หมู่ที่ 4 ตำบลนายางกลัก อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ นอกจากนี้ยังมีที่บ้านวังกำแพง ในอำเภอบ้านเขว้า ที่บ้านท่าโป่ง บ้านห้วยแย้ ในอำเภอหนองบัวระเหว ที่บ้านสะพานหิน บ้านสะพานยาว ในอำเภอเทพสถิต บ้านกลาง บ้านพระบึง บ้านวังตะเคียน บ้านตะขบ อำเภอปักธงชัย บ้านมาบกราด ตำบลโคกกระชาย บ้านตลิ่งชัน ตำบลจระเข้หิน อำเภอครบุรี บ้านไทรย้อยพัฒนา อำเภอหนองบุนนาก (อพยพมาจากบ้านไทรย้อย ตำบลจระเข้หิน อำเภอครบุรี เพราะน้ำเหนือเขื่อนน้ำมูลท่วมหมู่บ้านเดิม) จังหวัดนครราชสีมา บ้านน้ำเลา บ้านห้วยไคร้ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนบ้านท่าด้วงถิ่น ที่อยู่อาศัยดั้งเดิมอยู่ในป่าแถบเทือกเขาพังเหย มีอาณาบริเวณคาบเกี่ยวต่อเนื่อง 3 จังหวัดคือ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ และจังหวัดเพชรบูรณ์

ชาวญัฮกุรมีลักษณะผิวค่อนข้างดำ ตาโตกว่าคนไทย แต่ไม่ต่างจากคนไทยมากนัก รูปร่างสูงปานกลาง ผู้หญิงจะหน้าตาดี การแต่งกาย สมัยก่อนผู้ชายชาวบนมักนุ่งกางเกง แบบไทย หรือไม่ก็โจงกระเบนแบบเขมร ไม่สวมเสื้อ หรือนุ่งผ้าโสร่งตาหมากรุก วิธีการนุ่งแบบเหน็บธรรมดา ผู้หญิงนิยมนุ่งผ้า ผืนสีสด เช่น สีแดง แดงเข้ม หรือน้ำเงินเข้ม เป็นผ้าสี่เหลี่ยมผืนผ้า พันอ้อมร่างแล้วทำเป็นหัวพกโตๆ เหน็บชายไว้ด้านข้าง สวมเสื้อที่เรียกว่า เสื้อเก๊าะ สีน้ำเงินเข้ม หรือสีดำ แขนกุด ปักกุ๊นรอบแขนและรอบคอเสื้อด้วยสีแดง หรือสีอื่น คอเสื้อด้านหลังมักเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แล้วปล่อยเศษด้ายเส้นยาวๆ ทิ้งไว้ประมาณ 3-4 เส้น ไว้ผมยาวเกล้ามวย เครื่องประดับนิยมเครื่องเงิน สวมสร้อยเงิน แต่ก่อนหญิงชายชาวบนนิยมเจาะใบหูเป็นรูกว้างๆ เพื่อสวมตุ้มหูใหญ่ ญัฮกุร เรียก กะจอน ทำด้วยไม้มีกระจกติดข้างหน้า เพื่อให้มีแสงแวววาว ซึ่งจะใส่เฉพาะในงานพิธีหรืองานบุญ ปัจจุบันมีแต่ชาวบนที่เป็นผู้หญิงวัยกลางคนขึ้นไปเท่านั้นที่ยังแต่งกายด้วยผ้าผืนและเสื้อเก๊าะอยู่

chao bon 2

ภาษาของชาวญัฮกุร

ภาษาของชาวญัฮกุร จัดอยู่ในตระกูลภาษามอญ-เขมร สาขามอญ เพราะมีความใกล้เคียงกับภาษามอญโบราณ และภาษามอญปัจจุบันมากกว่าเขมร ชาวญัฮกุรที่ชัยภูมิจัดอยู่ในภาษาญัฮกุรถิ่นใต้ ในปัจจุบันชาวญัฮกุรถูกกลืนด้วยประเพณีวัฒนธรรมอีสานอย่างรวดเร็ว มีบางหมู่บ้านเท่านั้นที่พูดภาษาถิ่นของตนเองได้ คนรุ่นใหม่ๆ จะพูดภาษารอบข้างที่คนส่วนใหญ่พูดกัน อีกประการหนึ่งภาษาของชาวญัฮกุรไม่มีระบบการเขียน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวญัฮกุรถูกกลืนได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันชาวญัฮกุรพูดภาษาญัฮกุรเฉพาะผู้ที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป นอกจากนั้นใช้ภาษาไทยโคราช เช่นเดียวกับชาวมอญ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน

ภาษาญัฮกุร: ‘เสียง’ ของทวารวดีที่ยังหลงเหลือ

การดำรงชีวิต

แต่เดิมชาวบนอยู่แต่เฉพาะในกลุ่มของตน ไม่ชอบคบค้ากับชนกลุ่มอื่น ตั้งบ้านเรือนอยู่กันเป็นกลุ่ม มีบางพวกอพยพหนีเข้าไปอยู่ในป่าลึก หรือบนภูเขาสูงขึ้นไป บ้านเรือนมักปลูกคล้ายเรือนผูกของชาวอีสานทั่วไป แต่มีเอกลักษณ์ในส่วนที่เรียกว่า “กะต๊อบเมียว” ที่เป็นฟ่อนหญ้าคาแห้งมัดเป็นเป็นห่วง 3 ห่วง ผูกติดกันเป็นหัวกลม ปล่อยหาง เป็นปอยยาว คล้องไว้บนขื่อหน้าจั่วบ้าน ชาวบ้านใช้แสงไฟจากตะเกียงเป็นส่วนใหญ่ อาศัยแหล่งน้ำตามธรรมชาติอยู่ในบริเวณหมู่บ้าน ฤดูแล้งจะใช้น้ำซับซึ่งมีตลอดปี

chao bon 1

ชาวญัฮกุรมีอาชีพทำไร่ปลูกข้าวตามไหล่เขา ใช้วิธีปลูกแบบขุดหลุมหยอดที่เรียก ข้าวไร่ ตอนเก็บเกี่ยวก็ใช้มือรูดเมล็ดข้าวออกจากรวง ใส่กระบุงแทนการเกี่ยวข้าว นอกจากข้าวแล้วยังปลูกข้าวโพด กล้วย ละหุ่ง มันสำปะหลัง มะเขือ พริก เป็นต้น มีการเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ควาย หมู เป็ด ไก่ และหาของป่า เช่น หน่อไม้ เห็ด ผักหวาน ผึ้ง กบ เขียด และมีความสามารถในการจักสานโดยเฉพาะสานเสื่อ

ปัจจุบันชาวญัฮกุรนับถือศาสนาพุทธ เชื่อในเรื่องภูติผีวิญญาณ เวทย์มนต์คาถา เครื่องรางของขลัง ฤกษ์ยาม ความฝัน และมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและการประกอบอาชีพ

chao bon 6

ชาวญัฮกุรนิยมแต่งงานในหมู่ชาวญัฮกุรด้วยกัน โครงสร้างทางสังคม ชาวญัฮกุรนับถือญาติฝ่ายแม่เป็นหลัก การสืบทอดของหมอทำนายที่เรียกว่า “จะป๊อก” จึงอยู่กับเพศหญิง มีการนับถือปู่กับยาย ในภาษาญัฮกุรปู่เรียกว่า “เปญ” และยายเรียกว่า “ยอง” ชาวญัฮกุรมีธรรมเนียมเมื่อมีลูกหลาน จะต้องพาไปเยี่ยมญาติตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อให้ลูกหลานได้รู้จักกับเครือญาติ โดยเฉพาะลูกหลานที่เป็นผู้ชายจะพาเดินทางไปเยี่ยมญาติยังหมู่บ้านที่ห่างไกล

การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร โดยประเพณีการคลอดของชาวญัฮกุร หมอตำแยจะใช้ผิวไม้ไผ่ลนไฟตัดสายรก แล้วนำรกไปฝังไว้ที่ข้างบันไดบ้าน และมีการก่อไฟบนหลุมที่ฝังรกอีกที จากนั้นหมอตำแยจะทำการเซ่นผี และทำการรับขวัญเด็ก

ประเพณีเกี่ยวกับความตาย ในอดีตเมื่อมีคนเสียชีวิต ชาวญัฮกุรจะห่อศพด้วยฟากไม้ไผ่ ใช้เถาวัลย์มัดด้านหัว กลางลำตัว และด้านเท้า จากนั้นจะรื้อฝาบ้านเพื่อนำศพออกจากบ้าน ชาวญัฮกุรจะไม่หามศพลงทางบันไดโดยเด็ดขาด เนื่องจากมีความเชื่อว่าผีจะแรง เมื่อนำศพลงจากบ้านแล้ว ศพจะถูกนำไปที่ป่าช้า (หากมีผู้เสียชีวิตจะต้องย้ายบ้านหนี โดยจะขนฝาบ้าน โครงหลังคา และพื้นบ้านไปด้วย ส่วนเสาเรือนจะทิ้งเอาไว้ ไม่นำไปด้วย เพราะเชื่อว่าจะนำความหายนะมาสู่ครอบครัว) แต่เดิมชาวญัฮกุรจะใช้วิธีการฝังศพ ไม่เผา เพราะไม่มีพระและไม่มีวัด ส่วนในปัจจุบันจะใช้การฝังในพื้นที่ป่าช้าด้านหลังหมู่บ้าน โดยแบ่งแยกพื้นที่ป่าช้าเด็กกับป่าช้าของผู้ใหญ่ออกจากกัน

การนำศพไปฝัง ชาวบ้านจะมากันประมาณ 3-4 คน ศพจะถูกวางบนหินก้อนใหญ่ หากมีพระสงฆ์จะทำการสวด เมื่อพระสวดจบ ชาวบ้านจะช่วยกันขุดหลุมฝัง บางครั้งจะเอามีดมาช่วยขุดดิน หลุมที่ขุดจะลึกประมาณ 1-1.5 เมตร ศพจะถูกวางในเสื่อหวาย คว่ำหน้าลง หันหัวของศพไปทางทิศตะวันตก จากนั้นเอาดินกลบ เอาไม้ปูทับ สะกดวิญญาณ สาดข้าวสาร เอาดินกลบอีกชั้นหนึ่ง และหนามวางด้านบนสุด เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์มาคุ้ย

เมื่อฝังไว้ประมาณ 3-5 ปี หากมีพระธุดงค์ผ่านมาจะนิมนต์ขุดกระดูกขึ้นมา แล้วนำไปไว้ที่บ้านเพื่อทำบุญ แต่ถ้าไม่มีก็จะขุดขึ้นมาเช่นกัน จากนั้นจะเอากระดูกเก็บใส่หม้อธาตุไปไว้ที่ถ้ำ กรณีชาวญัฮกุรที่บ้านไร่จะนำไปวางไว้ที่ซับหวาย ซึ่งถือกันว่าเป็นป่าช้าของชาวญัฮกุร มีการนำสิ่งขอเครื่องใช้ของผู้ตายมาใส่หรือวางไว้ด้านข้าง ถ้าเป็นผู้หญิงจะนำสร้อย ต่างหู กำไล เครื่องประดับ ซึ่งลูกหลานสามารถขอยืมกลับนำไปใช้ได้ในวันเทศกาลต่างๆ เช่น วันสงกรานต์ เมื่อพ้นเทศกาลก็นำกลับมาคืน

chao bon 8

การละเล่นมีการเป่าใบไม้ ซึ่งบางครั้งจะเป่าเป็นสัญญาณเรียกหากัน ในยามค่ำคืนชายหญิงจะนั่งล้อมวง มีการเล่นเพลงพื้นบ้านเรียกว่า กระแจ๊ะ หรือ ปะเรเร ใช้กลองโทนหรือ “ตะโพน” ให้จังหวะ เป็นการร้องโต้ตอบกันระหว่างชาย-หญิง ฝ่ายหญิงเป็นผู้ตีโทนให้จังหวะ เนื้อหาของเพลงส่วนใหญ่เกี่ยวกับความเหงา ว้าเหว่ แม่ม่ายหรือเป็นไปทำนองชมธรรมชาติ เป็นการเกี้ยวพาราสีกันระหว่างหนุ่มสาว

ประเพณีชาวญัฮกุร มีประเพณีสงกรานต์ ประเพณีกระแจ๊ะหอดอกผึ้ง ประเพณีแห่พระและจุดพลุ ประเพณีแต่งงาน ชาวญัฮกุรไม่รู้จักกรรมวิธีการทอผ้า แต่จะปลูกฝ้ายเพื่อไปแลกกับผ้าทอของคนกลุ่มไทย และลาว ปัจจุบันชาวญัฮกุรแต่งกายเหมือนคนไทยทั่วไป

chao bon 7

ฟ้อนผีฟ้า นิยมจัดเป็นงานประจำปีในเดือน 5 (ประมาณเดือนเมษายน) ลักษณะความเชื่อเป็นการเซ่นสรวงต่อผีฟ้า "พญาแถน" หรือ เทวดาที่สถิตอยู่บนท้องฟ้าเพื่อขอความเป็นสิริมงคล และอัญเชิญท่านให้ลงมาเข้าร่างทรง เพื่อช่วยปัดเป่าทุกข์โศกโรคภัยแก่ชาวบ้านที่มาชุมนุมในพิธี นอกจากนี้เพื่อเชิญเจ้าเข้าทรงรักษาอาการเจ็บไข้ของผู้ป่วยเป็นราย ๆ ไป

พิธีกรรมผู้ฟ้อนผีฟ้ามีทั้งชายและหญิง เป็นผู้สูงอายุ แต่งกายด้วยชุดพื้นเมือง แบ่งเป็นกลุ่มละ 14–15 คน มีคนเป่าแคนหนึ่งคน เมื่อพร้อมจะนำเครื่องเซ่นได้แก่ ขันหมากเบ็ง หรือพานบายศรี ดอกไม้ธูปเทียน ผ้าไตรจีวร แป้งหอม น้ำอบไทย อาหารคาว-หวานซึ่งประกอบด้วยข้าวเหนียว ไข่ต้ม และของกินพื้นเมืองนำไปตั้งบูชา นำดาบที่สะพายติดตัวมา 3–4 เล่มวางรวมกัน จุดธูปเทียน ผู้นำทำพิธีเป็นแม่ใหญ่หรือคุณยายซึ่งเรียกว่า หมอทรง หรือนางทรง หรือนางเทียม นำสวดมนต์อาราธนาศีลรับศีลห้า กล่าวขอขมาลาโทษที่รบกวนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และขออัญเชิญเจ้าผู้เป็นใหญ่ให้มาเข้าทรง เอาแป้งโรยไปบนเครื่องเซ่น แจกแป้งหอมและน้ำอบไทยทากันทั่วทุกคน การฟ้อนรำแบบง่ายๆ ต่างคนต่างรำ บางคนกระทืบเท้าให้จังหวะตามเสียงแคน โดยฟ้อนเป็นวงกลมเวียนไปทางขวามือของหมอแคน คนฟ้อนจะหยุดเมื่อแคนหยุดเป่า และจะเดินไปกราบที่เจ้าพ่อพระยาแล เป็นการเซ่นสรวงต่อผีฟ้า "พญาแถน" หรือเทวดา

การละเล่นพื้นบ้าน

การวิ่งขาโถกเถก อุปกรณ์และวิธีการเล่น อุปกรณ์ ไม้ไผ่กิ่ง 2 ลำ ถ้าไม่มีก็เจาะรูแล้วเอาไม้อื่นๆ สอดไว้เพื่อให้เป็นที่วางเท้าได้ วิธีการเล่นผู้เล่นจะเลือกไม้ไผ่ลำตรงๆ ที่มีกิ่ง 2 ลำที่กิ่งมีไว้สำหรับวางเท้าต้องเสมอกันทั้ง 2 ข้างผู้เล่นขึ้นไปยืนบนแขนงไม้ เวลาเดินยกเท้าข้างไหนมือที่จับลำไม้ไผ่ก็จะยกข้างนั้น ส่วนมากเด็ก ๆ ที่เล่นมักจะมาแข่งขันกันใครเดินได้ไวและไม่ตกจากไม้ถือว่าเป็นผู้ชนะ

chaobon 9

โอกาสที่เล่นการวิ่งขาโถกเถก ถือเป็นการละเล่นที่เล่นได้ทุกโอกาส โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นอกเหนือจากความสนุกสนานแล้ว ยังเป็นเครื่องมือในการออกกำลังกายบริหารส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดี เดิมผู้ที่ใช้ขาโถกเถกเป็นชายหนุ่มไปเกี้ยวสาว เสียงเดินจากไม้เมื่อสาวได้ยินก็จะมาเปิดประตูรอ เพื่อพูดคุยกันตามประสาหนุ่มสาว หรือบ้านสาวเลี้ยงสุนัขไม้โถกเถกยังเป็นอุปกรณ์ไล่สุนัขได้

การเล่นจานช้อนใบ อุปกรณ์และวิธีการเล่น อุปกรณ์การเล่นผ้าขาวม้าฝั้นเกลียวให้แน่นใช้สำหรับตีวิธีการเล่นหนุ่มสาวยืนล้อมวง เป็นวงกลมซ้อนกัน 2 วง คนหน้าและคนหลังยืนตรงกัน เรียกคนหน้าว่าจานใบที่ 1 และเรียกคนหลังว่าจานใบที่ 2 จะมีคนเกินอยู่ 1 คนและคนไล่ 1 คนเมื่อเริ่มเล่นคนที่เป็นเศษ จะต้องวิ่งไปซ้อนหน้าคนที่ยืนซ้อนกันอยู่แล้ว เมื่อซ้อนเข้าไปแล้วคนที่อยู่หลังสุดก็จะกลายเป็นเศษ คือเป็นจานใบที่ 3 ก็จะถูกไล่ตีเพราะฉะนั้นคนที่เป็นคนที่ 3 จะต้องวิ่งหนีเพื่อซ้อนคนอื่นต่อไป

กติกาการเล่น คนที่เป็นคนเศษแล้วถูกซ้อน ต้องซ้อนข้างหน้าเท่านั้น คนที่อยู่ที่ ถ้าตีถูกหรือถูกตีถือว่าตาย ต้องกลับมาเป็นผู้ไล่ต่อไป โอกาสที่เล่น ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ส่วนใหญ่ผู้เล่นคือหนุ่มสาวเพื่อที่จะได้เกิดความใกล้ชิดและชอบพอกัน ในปัจจุบันยังมีการละเล่นจานช้อนใบอยู่บางหมู่บ้าน เช่นบ้านเดื่อบ้านบัว อำเภอเกษตรสมบูรณ์ นอกเหนือจากความสนุกสนานแล้วยังเป็นการละเล่นที่ปลูกฝังเรื่องการเคารพกฎกติกา ฝึกให้เป็นคนมีระเบียบวินัย ทั้งยังเป็นการสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ

chao bon 9

การแข่งเรือบก อุปกรณ์และวิธีการเล่นไม้กระดาน 2 แผ่น ยาวประมาณ 1 วาเศษ พร้อมเชือกที่จะใช้รัดหลังเท้าติดกับไม้ วิธีการเล่น ผู้เล่นแบ่งเป็นกลุ่มๆ ละ 2–5 คน โดยจะรัดเท้าทั้ง 2 ข้างไว้กับกระดาน 2 แผ่นมือจับเอวหรือจับไหล่ของผู้ที่อยู่ข้างหน้าอาศัยความพร้อมเพรียงจะยกเท้าซ้ายพร้อมๆ กัน ดันไม้กระดานไปข้างหน้ากลุ่มใดถึงเส้นชัยก่อนถือว่าชนะ โอกาสหรือเวลาที่เล่น ส่วนใหญ่จะเล่นในเทศกาลสงกรานต์ นอกจากจะเป็นการออกกำลังขาแล้วยังสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสร้างความสนุกสนาน การแข่งเรือบกจะเล่นกันในพื้นที่ที่ไม่มีแม่น้ำไหลผ่าน

พันแสงรุ้ง ตอน ภาษาญัฮกุร

lilred

backled1

isan word tip

ประตูสู่อีสานบ้านเฮา

IsanGate.com

ปณิธานของเรา :

"ชนชาติที่เป็นอารยะ ต้องมีรากเหง้า และที่มาอันยาวนาน ด้วยภาษาและขนบธรรมเนียมของตนเอง"

: Our Web Site.

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail
นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)