• ธรรมะในดินแดนอีสาน

    พุทธศาสนา : เผยแผ่ เบ่งบาน งดงามในดินแดนอีสาน

  • เที่ยวงานแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี

    ชมความงามวิจิตรอุบลราชธานีแสงสีตระการตา และงานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี

  • เที่ยวนครพนม

    เที่ยวนครพนมชมความงดงามริมแม่น้ำโขง ร่วมงานไหว้พระธาตุพนม ขอพรประจำปี

  • ธรรมชาติงดงามบนภูกระดึง

    ความสุขที่คุณเดินได้ให้จดจำว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตเราเคยพิชิตภูกระดึง

  • สามพันโบก

    รุ่งอรุณ ณ สามพันโบก มหัศจรรย์ลานหินกลางลำน้ำโขง

  • รุ่งอรุณ ณ ผาแต้ม

    ตะวันขึ้นก่อนใครในสยามประเทศ @ผาแต้ม อุบลราชธานี

  • เขาใหญ่

    ไปเที่ยวชื่นชมธรรมชาติมรดกโลก @อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นครราชสีมา

  • ผามออีแดง

    ปลายฝนต้นหนาวไปชมทะเลหมอก @ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ

  • อีสานธรรมชาติสวยงามหลากหลาย

    ภาคอีสานมีธรรมชาติสวยงาม น้ำตก เสาหิน และมหัศจรรย์ธรรมชาติกุ้งเดินขบวน

  • เทศกาลดอกลำดวนบาน

    เทศกาลดอกลำดวนบาน สืบสานประเพณีสี่เผ่าไท ศรีสะเกษ การแสดงแสงสีเสียงละครอิงประวัติศาสตร์ “ศรีพฤทเธศวร”

: Our Sponsor

adv200x300 2

: Our Fanpage

: My Web Site

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail

ไทโย้ย : ชาติพันธุ์ไทในอีสาน

thai yoy

ไทโย้ย เป็นชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โย้ย เป็นกลุ่มชนเก่าแก่มีถิ่นฐานในมณฑลไกวเจา-กวางสี ชาวจีนจะเรียกชาวโย้ยว่า "สร้อง" แต่บางแห่งในเวียดนามเรียกว่า "โด้ย" โย้ยยังมีชื่อเรียกอื่นๆ อีกว่า "อี้" หรือ "ไย" โดยสรุปไม่ว่าจะเป็นโย่ย อี้ ไย สร้อง และโด้ย รวมความหมายถึง "ไทโย้ย" ทั้งสิ้น

แต่ชาวโย้ยมักเรียกตัวเองว่า "โย่ย" แม้ว่าชาวไทโย้ยจะมีชื่อที่ใช้เรียกตัวเองที่หลากหลายชื่อ เช่น โย่ย โย้ย ไทย้อย ผู้ย้อย ย้อย ลาวย้อย ชื่อเรียกเหล่านี้ล้วนหมายความถึง “ไทโย้ย” ทั้งสิ้น หากแต่มีมิติทางภาษาศาสตร์และสำเนียง ที่ส่งผลให้ออกเสียงและสะกดคำแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ คำว่า “ไทโย้ย” แปลว่า “คน คน” การซ้อนคำเช่นนี้เพื่อให้ความหมายชัดเจน ในฐานะของ “คนที่มีอารยะ”

thai yoy 1

กลุ่มชาติพันธุ์ไทโย้ย จัดอยู่ในตระกูลภาษาไท-กะได แต่เดิมมีการตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองภูวา (ภูวดลสอางค์) ใกล้เมืองมหาชัยกองแก้ว และเมืองหอมท้าวในดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ปัจจุบันอยู่ในแขวงคำม่วน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งในอดีตดินแดนในแถบนี้เป็นของประเทศสยาม เมื่อเกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 ผู้คนหลายกลุ่มชาติพันธุ์ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ได้ถูกกวาดต้อนเข้ามาอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงเป็นจำนวนมาก (มีบางส่วนก็ข้ามมาโดยสมัครใจเพื่อหาถิ่นที่อยู่ใหม่ที่มีความอุดมสมบูรณ์) ไทโย้ยที่อพยพเข้ามาในช่วงนั้นแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ

  • กลุ่มแรก เป็นไทโย้ยที่อพยพมาจากเมืองห้อมท้าวฮูเซ แล้วไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านม่วงริมห้วยยาม ต่อมาใน พ.ศ. 2380 ได้รับโปรดเกล้าฯ ยกขึ้นเป็นเมืองอากาศอำนวย ก่อนจะลดฐานะเป็นอำเภออากาศอำนวยในเวลาต่อมา
  • กลุ่มที่สอง เป็นไทโย้ยที่อพยพติดตามพระสุนทรราชวงศาไปอยู่เมืองยโสธร ได้ตั้งชุมชนอยู่ที่บ้านกุดลิง อำเภอเสลภูมิ ภายหลังได้ย้ายกลับมาบริเวณที่ตั้งบ้านม่วงริมยาม ยังคงใช้ชื่อบ้านเดิม ใน พ.ศ. 2404 ได้รับโปรดเกล้าฯ ยกขึ้นเป็นเมืองวานรนิวาส
  • กลุ่มที่สาม เป็นไทโย้ยที่อพยพมาจากเมืองภูวาใกล้เมืองมหาชัยกองแก้ว ได้มาตั้งบ้านเรือนที่บ้านโพธิ์สว่างหาดยาวริมน้ำปลาหาง เมื่อพ.ศ. 2405 ทรงโปรดเกล้าฯ ยกขึ้นเป็นเมืองสว่างแดนดิน ต่อมาได้ย้ายที่ตั้งเมืองอยู่หลายครั้งจนมาตั้งที่บ้านหัน (อำเภอสว่างแดนดินในปัจจุบัน) นอกจากนี้ยังมีชุมชนโย้ยขนาดเล็กที่กระจัดกระจายทั่วไปในอำเภออากาศอำนวย อำเภอสว่างแดนดิน อำเภอวานรนิวาส และอำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร

 thai yoy 2

การดำรงชีวิตของชาวไทโย้ย

การตั้งถิ่นฐานของชาวไทโย้ยในอดีต จะนิยมตั้งหมู่บ้านใกล้กับแหล่งน้ำ โดยเฉพาะแหล่งน้ำไหล เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำศรีสงคราม แม่น้ำยาม แม่น้ำชี หรือลำห้วยต่างๆ ซึ่งถือเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เพราะมีการสั่งสมทับถมของซากพืชซากสัตว์ พื้นที่ดังกล่าวจึงเป้นทั้งแหล่งอาหารและพื้นที่ทำกิน โดยเฉพาะการทำประมงและการทำนา

ชาวไทโย้ย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันส่วนใหญ่จึงทำการเกษตร โดยมีอาชีพทำนาและประมงเป็นหลัก การปลูกข้าวในอดีต นิยมปลูกเฉพาะข้าวเหนียว แต่ปัจจุบันได้ปลูกทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว โดยจะเก็บข้าวเหนียวเอาไว้บริโภคในครัวเรือน ส่วนข้าวเจ้าจะปลูกเอาไว้ขาย นอกจากนี้ยังนิยมทำไร่ทำสวน เช่น ไร่ฝ้าย สวนคราม และปลูกผักสวนครัวตามตลิ่งแม่น้ำ และยังทอผ้าไว้ขาย

สำหรับการทำประมง ตั้งแต่อดีตชาวโย้ยมักทำมาหากินจับปลาตามลำน้ำยาม (ลำน้ำสาาขาของแม่น้ำสงคราม) เป็นหลัก รองลงมาคือ ห้วย หนอง คลอง บึง ด้วยรูปแบบของระบบนิเวศโดยรวมเป็นพื้นที่ทาม (น้ำท่วมถึงในช่วงฤดูน้ำหลาก) ทำให้ก่อเกิดภูมิปัญญาการทำประมง และเครื่องมือในการจับปลาที่มีการปรับให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของธรรมชาติดังกล่าว เช่น ซวาง ส่อน ไซ จั่น ตุ้ม โทงขา ลอบ เสือนอนกิน ผีน้อย ลัน แห มอง แหลมสอด เบ็ดโก่ง เบ็ดคัน เบ็ดเผียก เบ็ดสะโน สุ่ม จะดุ้ง (ยอ) โดยต้องจดจำ ทดลองและสังเกตว่า ในการจับปลาชนิดใด ต้องใช้เครื่องมือชนิดใด เช่น ปลาไหลต้องใช้ลัน ปลาค่าวต้องใส่ซวางหรือเบ็ดโก่ง ไทโย้ยจัดเป็นกลุ่มที่วางรากฐาน "วัฒนธรรมปลาแดก" ได้ชัดเจนที่สุดกลุ่มหนึ่ง

ลักษณะของภาษา

ภาษาโย้ย จะมีลักษณะคล้ายกับภาษาย้อ และคล้ายกับภาษาอีสานบางคำ แต่สำเนียงจะต่างกัน แต่สำเนียงของชาวโย้ยจะอ่อนหวานและช้ากว่ามักจะพูดลากเสียงยาว คำพูดบางคำไม่สามารถใช้ตัวหนังสือเขียนให้ตรงสำเนียงได้ เสียงพูดของชาวโย้ยนั้น เสียงดังมากขึ้นจะอยู่ใกล้กัน ภาษาโย้ยจะไม่มี แต่จะใช้ แทน สามารถเปรียบเทียบภาษาโย้ยกับภาษาไทยกลางได้ ดังนี้

ภาษาโย้ย ภาษาไทยกลาง ภาษาโย้ย ภาษาไทยกลาง
พัง ฟัง ผาย ฝาย
เอ็ดพิสัง ,เอ็ดเผียง ทำอะไร ไปบั้ง ไปไหม
โพ๊ะ พ่อ เม๊ะ แม่
เอ้ย พี่สาว ควี่รถ ขี่รถ
คือเดียว เหมือนกัน เหิง นาน
น่ำ น้ำ จบเจือ ดีที่สุด, ถูก
บักโอ๊น ฟักทอง คนโซ ไม่สบาย
อืน เปียก เตง ตัวเอง
โต ท่าน เผียง นั่นคืออะไร
หอง สูง พะโล กลั่นแกล้ง

 

นอกจากสำเนียงภาษาที่ใช้ การพูดช้าๆ ทำให้ชาวโย้ยมีลักษณะเด่นเฉพาะกลุ่มมาก ซึ่งยังคงรักษาเอกลักษณ์ดังกล่าวนี้ไว้ สามารถวิเคราะห์ได้ว่า จากลักษณะการพูดช้าๆ ทำให้สอดคล้องกับอุปนิสัยใจคอขอชาวโย้ยที่มีลักษณะเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน เพราะเมื่อวิเคราะห์ดูความเป็นอยู่จะสอดคล้องกันด้วย ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีการแข่งขันอยู่อย่างสบาย จะเอาอาหารมากินร่วมกัน ไม่มีการแบ่งแยกกันเหมือนสังคมเมือง และยังปรากฏในทุกวันนี้ เช่น เครื่องเมือทอผ้ายังสามารถหยิบยืมกันได้ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มาตลอด แม้สังคมจะพัฒนาไปแต่ชาวโย้ยยังรักษาเอกลักษณ์ทางสังคมได้เหมือนเดิม

Tai Yoi, A case study of preserving the disappearing language. | Payai TV

โครงสร้างทางสังคม

ไทโย้ย จะอาศัยอยู่รวมกันในลักษณะเป็นแบบเครือญาติ จะมีการสืบสกุลทางพ่อและเป็นสังคมผู้ชายเป็นใหญ่ ลูกชายคนสุดท้องมักจะเป็นคนเลี้ยงดู และรับมรดกทั้งจากฝั่งพ่อและฝั่งแม่ด้วย มีการแบ่งงานกันทำตามเพศ โดยผู้ชายทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ส่วนผู้หญิงจะทำหน้าที่ทอผ้าและเลี้ยงดูลูก หลังจากเสร็จสิ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยว ผู้หญิงจะทำอาชีพเสริม เช่น ทอผ้า ทำเครื่องนุ่งห่ม ส่วนผู้ชายจะไปทำงานรับจ้างต่างๆ เช่น ช่างไม้ ก่อสร้าง และอื่นๆ หากไปทำงานต่างจังหวัดจะกลับมาบ้านในช่วงฤดูเพาะปลูก

ในอดีตครอบครัวไทโย้ยมีลักษณะอยู่กันเป็นครอบครัวขยาย ประกอบด้วย ปู่ ย่า ลุง ป้า พ่อ แม่ ลูก หลาน แม้ว่าจะมีการแต่งงานแยกบ้านไปตั้งบ้านเรือนแต่ยังคงอยู่ในละแวกเดียวกัน ซึ่งเหตุผลในการมาอยู่รวมกันนั้น เกิดจากเงื่อนไขหลายประการ เช่น ที่ดินทำกินยังไม่เพียงพอสำหรับการออกเรือนใหม่ หรือการขาดแรงงาน หรือไม่มีคนอยู่ดูแลปู่-ย่า ตา-ยาย

 thai yoy 3

การตั้งครรภ์และคลอดบุตร

ความเชื่อเรื่องการคลอดบุตรนั้น ชาวไทโย้ย เชื่อว่า ผู้ที่ตั้งครรภ์กำลังเตรียมคลอดบุตรนั้น ให้ไปนั่งตรงทางแยกโดยใส่ผ้าถุงสองผืนซ้อนกัน นั่งคุกเข่าเอาหินหรือทรายมาถูท้อง แล้วลุกขึ้นยืน ถอดผ้าถุงผืนหนึ่งออกโยนทิ้งไป เชื่อว่าจะทำให้คลอดได้ง่าย

นอกจากนี้ หลังคลอดยังมีขะลำหรือข้อห้าม เช่น การอยู่ไฟ หรือการ “อยู่คำ” (อยู่กำ) เมื่อคลอดลูกต้องอาศัยไฟ ความร้อนภายนอกและภายใน ทั้งอาบทั้งกินนั่งใกล้ไฟทั้งวันทั้งคืน ถ้าคลอดลูกคนแรกต้องอยู่นาน 1 เดือน ควบคุมอาหารการกิน โดยให้กินเฉพาะปลาตัวเดียวป่นใส่หัวข่าเผา หรือปลาป่น ปูป่น ข้าวจี่ เพราะมีความเชื่อว่าถ้ากินของคาว น้ำนมแม่และตัวเด็กจะเหม็นคาว อีกทั้งทำให้มดลูกเข้าอู่ช้า จะต้องกินน้ำร้อนและอาบน้ำร้อนที่ต้มด้วยเปลือกไม้ต่างๆ เช่น ไม้จิก ไม้กะเบา ดังนั้น คำว่า “อยู่คำ” จึงหมายถึง อยู่เพื่อขะลำ (สิ่งต้องห้าม) อาหารและรักษาร่างกาย เมื่อออกคำแล้วได้กินอาหารที่มีประโยชน์ไม่ต้องขะลำอีกร่างกายจึงคืนสู่สภาพเดิม

ในขณะที่ภรรยาอยู่คำ สามีต้อง “ปัวหม้อคำ” หมายถึง การดูแลรักษาผู้อยู่ไฟจนกว่าจะถึงกำหนดออกคำ ทั้งยังดูแลงานประจำทุกอย่างทั้งนอกบ้านในบ้าน สามีจะต้องรับภาระคนเดียว ต้องตักน้ำจากบ่อน้ำ ต้องหายาสมุนไพรจากหมอยาประจำหมู่บ้านนำมาต้มกิน เช่น ไม้หมากเป็น ยาชักมดลูกเข้าอู่เร็ว ยาแก้กินผิด และต้องเตรียมหายาต้มอาบวันละ 2-3 ครั้ง เช่น ใบเป้า ใบหนาด เปลือกแดงไม้กะเบาต้องดูแลและหาอาหารให้กินทั้งแม่ทั้งลูก นอกจากนี้ต้องทำ “พะซี” คือ การป่นขี้ซี (ชัน) ให้ละเอียด ในช่วงค่ำจะใช้มือหนึ่งถือกะบอง (ขี้ไต้) อีกมือหนึ่งหยิบขี้ซีป่นซัดสดหว่านผ่านไฟกะบอง เมื่อไฟไหม้ขี้ซีจะมีแสงสว่างวาบดูน่ากลัว โดยต้องเดินทำล้อมตัวเรือนบ้านที่ภรรยาอยู่คำ เพื่อป้องกันภูตผีเป้ามิให้มารังควาญลูกและภรรยา ชาวโย้ยเรียกว่า “ผอกผีพาย หนายผีเป้า” โดยให้เดินรอบบ้านคืนละ 1 รอบ ทำอยู่อย่างนี้ไม่ต่ำกว่า 7 คืน เมื่ออยู่คำครบตามกำหนด จะมีการทำอาหารการกินอย่างดี เช่น ต้มไก่ขวัญ ถ้าได้ลูกชายให้ใช้ไก่ตัวเมีย ถ้าได้ลูกสาวให้ใช้ไก่ตัวผู้ และเชิญญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิด และหมอตำแยมาร่วมทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ โดยมีการผูกข้อต่อแขนให้หมอตำแย แม่อยู่คำและลูกน้อย เมื่อญาติผู้ใหญ่ให้ศีลให้พรเสร็จจึงจะรับประทานอาหารร่วมกัน

การแต่งงานและการหย่าร้าง

ในอดีต ก่อนการแต่งงาน ต้องสืบลำดับญาติกัน โดยฝ่ายชายต้องมีศักดิ์เป็นพี่ถึงจะสามารถแต่งงานได้ และต้องเป็นคนในหมู่บ้านด้วย การจัดพิธีแต่งงานนั้น หากหนุ่มสาวตกลงใจที่จะแต่งงานกันก็จะให้ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เรียกว่า “พ่อล่าม” ไปสู่ขอตกลงเรื่องค่าสินสอดและกำหนดวันแต่งงาน ก่อนการจัดพิธีแต่งงานฝ่ายหญิงจะเตรียมเครื่องสมมา เช่น ซิ่นหมี่ ผ้าขาวม้า เสื่อ ฯลฯ เพื่อมอบให้ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เมื่อใกล้วันแต่งงานทั้งสองฝ่ายจะเตรียมอาหารเพื่อไว้เลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน และก่อนวันจัดงานหนึ่งวันทั้งบ้านเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะเตรียมพาขวัญหรือพานบายศรี ตอนกลางคืนจะเชิญญาติพี่น้องเพื่อนฝูงมากินข้าวที่บ้านหรือเรียกว่า “งันดอง”

thai yoy 5

นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ชายหญิงที่รักกัน ตั้งใจจะเลี้ยงดูอยู่ด้วยกัน แต่ฝ่ายชายไม่มีเงินค่าสินสอด (ค่าดอง) หรือพ่อแม่ไม่เห็นดีเห็นชอบด้วย ชายหญิงมักจะตกลงแต่งกันเอง ซึ่งเรียกว่า “ซู” กล่าวคือ ผู้ชายไปตกลงกับหญิงว่า คืนนั้น เวลาเท่านั้น จะมาหาที่บ้าน ขอให้พาดบันไดไขประตูให้ ตอนนี้หญิงจะต้องระวังชายให้มาก เพราะเคยปรากฎว่า ฝ่ายชายแอบหนีไปโดยไม่บอกกล่าวหลังเสร็จกิจ ดังนั้น พอสว่างหญิงจะต้องไปบอกพ่อแม่ให้รู้ว่ามีชายมาซู พ่อแม่จะจัดให้คนไปบอกญาติพี่น้องของตน และพ่อแม่ของชายมาพูดจากันเป็นหลักฐานรับรองว่า จะทำตามจารีตประเพณีบ้านเมือง จึงปล่อยให้ผู้ชายออกจากห้องได้ นอกจากนี้ยังมีกรณีผู้หญิงไปซูผู้ชาย เรียกว่า “ไปซูผู้บ่าว” หรือ “แล่นนำผู้บ่าว” ซึ่งจะใช้วิธีการจัดการให้เรียบร้อยเหมือนฝ่ายชายจึงเป็นอันสิ้นสุด

มื่อแต่งงานแล้ว ฝ่ายหญิงจะมาอยู่บ้านฝ่ายชายเพื่อมาดูแลพ่อแม่ของฝ่ายเจ้าบ่าว ในลักษณะครอบครัวขยายแบบปิตาลัย (patrilocal) เมื่ออยู่จนมีเงินเก็บแล้ว จึงจะแยกตัวออกไปสร้างบ้านหลังใหม่ หลังแต่งงานเรียบร้อยแล้ว หากอยู่กันไปแล้วมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน พ่อล่ามจะเป็นคนอบรมและไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองคืนดีกัน (สำหรับคนที่จะมาทำหน้าที่เป็นพ่อล่ามจะต้องมีชีวิตการสมรสที่ดีไม่หย่าร้าง)

ความตายและการทำศพ

เมื่อมีชาวไทโย้ยเสียชีวิต จะนำผ้ามามัดร่างผู้เสียชีวิต 3 ท่อน แล้วจึงจะบรรจุศพลงในโลง จากนั้นปิดหน้าศพด้วยผ้าขาวแล้วแต่จำนวนผืนที่ลูกต้องการให้ปิดหน้าศพ ซึ่งผ้าที่ปิดหน้าศพดังกล่าวเชื่อว่า เป็นสมบัติของพ่อกับแม่ ถ้าหากลูกอยากเก็บเอาไว้บูชากราบไหว้ก็ให้ก้มแล้วใช้ปากคาบจากหน้าศพเอาเอง เมื่อจะนำร่างผู้ตายใส่โลงก็จะเขียนคาถาบนมือซ้าย มือขวา และปาก เพื่อเป็นคาถาไปสวรรค์ และจะใส่เงินในปาก มือและเสื้อของผู้ตาย ด้วยเชื่อว่าจะเป็นค่าจ้างทางเพื่อไปสู่สวรรค์ การจัดพิธีศพส่วนใหญ่จะทำกัน 3 วัน 3 คืน เมื่อครบตามกำหนดจึงจะนำศพไปทำพิธีที่ป่าช้า เมื่อไปถึงป่าช้าจึงนำศพออกจากโลง วางศพไว้บนกองฟอน จากนั้นจึงนำโลงมาครอบศพแล้วราดหน้าร่างผู้เสียชีวิตด้วยน้ำมะพร้าว จากนั้นพระจะสวดทำพิธีทางศาสนา เมื่อจะเผาจึงให้หันหัวผู้ตายไปด้านตะวันออก เพราะเชื่อว่าจะทำให้ได้ไปเกิดใหม่ เมื่อจุดไฟเผาจะจุดด้วยกระบองหรือไต้ เรียบร้อยแล้วจึงค่อยกลับบ้าน

ศาสนาและความเชื่อ

ชาวไทโย้ย ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องผี เช่น ผีบรรพบุรุษที่ช่วยดูแลลูกหลานในครอบครัว นับถือผีเจ้าปู่ และเชื่อเรื่องขวัญ ซึ่งความเชื่อดังกล่าวได้สะท้อนออกมาเป็นประเพณีต่างๆ ทั้งในชีวิตประจำวันตามโอกาสต่างๆ เช่น วันเกิด วันขึ้นบ้านใหม่บ้าน เจิมรถใหม่ เป็นต้น หรือปรากฏผ่านประเพณีในแต่ละเดือนของรอบปีเรียกว่า “ฮีตสิบสอง” ทั้งนี้ บางชุมชนอาจไม่ได้ปฏิบัติครบทุกประเพณี

นอกจากนี้ชาวโย้ยยังมีความเชื่อเกี่ยวกับโชค ลาง ดวงชะตา การสะเดาะเคราะห์ หรือแต่งแก้ รวมทั้งความเชื่อในฤกษ์ยามเพื่อใช้ในการประกอบกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งความเชื่อเกี่ยวกับขวัญ โดยเชื่อว่าสิ่งต่างๆ ย่อมมีขวัญไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ เชื่อกันว่า ถ้าขวัญอยู่กับเนื้อกับตัวย่อมทำให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ดังนั้น จึงมีพิธีทำขวัญหรือเรียกขวัญ การทำขวัญมีหลายประเภท เช่น ทำขวัญคน ทำขวัญข้าว และทำขวัญควาย ซึ่งนิยมทำในฤดูทำนา เช่น สู่ขวัญผู้ที่จะบวช การทำพิธีบายศรีสู่ขวัญให้แม่และลูกที่เพิ่งคลอดใหม่ พิธีจัดหลังจากเด็กคลอด เมื่ออาบน้ำให้เด็กแล้วจะอุ้มเด็กมาวางลงกระด้งที่ปูผ้าเอาไว้ จากนั้นก็จะให้ผู้สูงอายุประกอบพิธี “พอกหนาย” แล้วก็จะวางปั้นข้าวสุก 1 ปั้นลงที่กระด้งแล้วจะกล่าวว่า “หากเป็นลูกผีก็ให้มารับเอาไป ถ้าเลยวันนี้ไปแล้วก็จะเป็นลูกของคน” จากนั้นจะทำนายชะตาชีวิตของเด็กซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคำทำนายที่เป็นศิริมงคลกับชีวิต ต่อมาญาติพี่น้องที่มาร่วมพิธีก็จะให้พรเด็กที่เกิดใหม่ จากนั้นจึงรับประทานอาหารร่วมกัน และเมื่อแม่ลูกอ่อนออกจากการอยู่ไฟจะประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญแม่และเด็กอีกครั้ง

ในส่วนของความเชื่อเรื่องผี ไทโย้ยแบ่งผีออกเป็นผีดีละผีร้าย เช่น “ผีตาแฮก” หรือผีไร่ผีนา เชื่อว่าเป็นผีที่อาศัยอยู่ที่ไร่นาและมีหน้าที่ช่วยดลบันดาลให้เพาะปลูกให้ได้ผลผลิตเป็นจำนวนมาก ไทโย้ยจะเลี้ยงผีตาแฮกก่อนจะเพาะปลูกในไร่นาทุกครั้ง หากไม่ทำพิธีเลี้ยงผี เชื่อว่าจะทำให้เคราะห์ร้าย มีอาการเจ็บป่วย เพาะปลูกได้ผลผลิตไม่ดี หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเรียบร้อยแล้วก็จะทำพิธีเลี้ยงผีไร่ผีนา หากปลูกข้าวได้ผลผลิตเป็นจำนวนมากก็จะทำบุญกองข้าว ถ้าหากได้ผลผลิตน้อยก็จะไม่ทำ สำหรับการจัดพิธีจะอยู่ระหว่างเดือน 1 กับเดือน 2

ส่วน “ผีปู่ตา” “ผีแจ” คือ ผีบรรพบุรุษของไทโย้ยจะประจำอยู่ที่บ้าน มีหน้าที่ให้ความคุ้มครองคนในบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข การทำพิธีเซ่นไหว้จะทำเมื่อคนในบ้านมีอาการเจ็บป่วย หรือกรณีที่ลูกสาวจะแต่งงาน จะมีการทำพิธีบอกผีปู่ตาหรือผีแจได้รับรู้ สำหรับผีปู่ตานั้น ไทโย้ยจะทำเป็นห้องหรือที่เรียกว่า “ซ้อม” เพื่อเชิญผีปู่ตาไว้ที่ห้องนี้ และในห้องนี้ยังเป็นห้องบูชาพระพุทธรูปด้วยเช่นกัน มีลักษณะเป็นห้องโล่งและเจ้าของบ้านจะไม่นอนที่ห้องนี้ “ผีน้ำ” “ผีเงือก” เป็นผีที่อยู่ในแม่น้ำลำคลอง ผีชนิดนี้เป็นผีให้โทษมากกว่าให้ประโยชน์ ในอดีตไทโย้ยจะใช้พูดหลอกลูกหลานเพื่อป้องกันไม่ให้ลงไปเล่นน้ำ โดยมักอ้างว่าในน้ำมีผีน้ำอยู่ เพื่อให้เด็กที่จะลงไปเล่นน้ำกลัว ดังนั้น ไทโย้ยจึงนำมาใช้เพื่อป้องกันลูกหลานที่จะลงเล่นน้ำ ซึ่งอาจได้รับอันตรายจมน้ำเสียชีวิต ซึ่งถ้าหากลงไปเล่นน้ำแล้วไม่สบายมีอาการละเมอ ไทโย้ยจะให้ “หมอจ้ำ” มาทำพิธีเซ่นไหว้ขอขมาผี แล้วเชิญผีให้ไปอยู่แม่น้ำโขงเพื่อจะให้คนในหมู่บ้านไม่ต้องได้รับความเดือดร้อน

thai yoy 4

ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรม

ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรมสำคัญของชาวไทโย้ย มีลักษณะคล้ายคลึงกับชาวอีสานทั่วไปคือ การทำบุญฮีตสิบสองหรือประเพณีประจำเดือน ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผสมผสานระหว่างความเชื่อพุทธศาสนา ผี และวัฒนธรรมข้าว ไทโย้ยยังมีความเชื่อเฉพาะของตนหลากหลายประเพณี เช่น

  • การ “เอาบุญโท่ง” หรือ การทำบุญที่ทุ่งนา คล้ายคลึงกับบุญคูณลาน ไทโย้ยจะออกเสียงยาวว่า “โท่ง” การจัดพิธีจะจัดในเดือนยี่ หรือเดือนสาม หลังเก็บเกี่ยวผลผลิต พราะยังไม่ขนข้าวเข้าเก็บในยุ้ง เรียกว่า บุญเดือน 3 ออกใหม่ 3 ค่ำ ซึ่งถือว่าเป็นประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของชาวโย้ยอากาศอำนวย เชื่อว่า เป็นวันศิริมงคล ดังคำกล่าวที่ว่า “วันหมากขามป้อมสุกหวาน แม่มานท้องแวบ ครกป่งใบ หัวจะไคออกดอก” ถือเป็นวันที่ขวัญของสรรพสิ่งต่างๆ แข็งแกร่งที่สุด จุดประสงค์ของการทำเพื่อแสดงความเคารพคุณข้าว เพื่อความเป็นมงคลแก่ทุ่งนาและเรียกขวัญข้าวขวัญนามารับส่วนบุญด้วย รวมทั้งสร้างความเป็นศิริมงคลแก่ครอบครัว ให้มีชีวิต เจริญก้าวหน้าและทำบุญให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว

ดนตรีโย้ยกลองเลง | โฮมสินถิ่นบ้านเก่า

กลองเลงทำด้วยไม้ประดู่ มีลักษณะเป็นกลองสองหน้าหุ้มด้วยหนังวัว หนังควาย
กลองเลงใช้ตีในงานบุญมหาชาติ งานบุญพระเวสสันดร (บุญตูบ)

  • ประเพณีไหลห้าน (ร้าน) บูชาไฟ หรือบุญไหลเรือไฟ ชาวไทโย้ยมีความเชื่อที่เกี่ยวกับแม่น้ำ เป็นความเชื่อที่มีความโดดเด่นและเป็นที่นิยมของชาวไทโย้ยเกือบทุกชุมชนที่ตั้งใกล้แม่น้ำ ประเพณีไหลห้าน (ร้าน) บูชาไฟ หรือบุญไหลเรือไฟ ซึ่งจะจัดในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 10 จุดมุ่งหมายเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าและบูชาแม่น้ำ เพื่อให้สิ่งอัปมงคลต่างๆ ออกจากหมู่บ้าน คงเหลือแต่สิ่งที่เป็นมงคล สำหรับการทำเรือไฟนั้นในอดีตจะทำด้วยต้นกล้วย เอามาต่อเข้าด้วยกันเป็นหลากหลายรูปทรง มีความยาวประมาณ 5-6 เมตร ใส่สิ่งต่างๆ ลงไปในเรือ เช่น ข้าวต้มมัด ขนม กล้วย อ้อย มะพร้าวอ่อน เผือก และอื่นๆ ส่วนด้านนอกเรือตกแต่งด้วยดอกไม้ ธูปเทียน ตะเกียง ขี้ไต้หรือผ้าชุบน้ำมันขี้ไต้ หรือที่ไทโย้ยเรียกว่า ”ก้านจู้” เพื่อจุดไฟในตอนกลางคืนช่วงไหลเรือไฟ ส่วนบนเรือไฟจะมีการเล่นดนตรีพื้นเมืองตีกลอง ฉิ่ง ฉาบ และอื่นๆ รวมทั้งมีคนเต้นรำอยู่บนนั้น

lilred

backled1

isan word tip

ประตูสู่อีสานบ้านเฮา

IsanGate.com

ปณิธานของเรา :

"ชนชาติที่เป็นอารยะ ต้องมีรากเหง้า และที่มาอันยาวนาน ด้วยภาษาและขนบธรรมเนียมของตนเอง"

: Our Web Site.

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net
e mail
นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)