- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Food
- Hits: 203

นำเสนอเรื่องของ "ผลไม้อีสานหายาก" ที่บางคนลืมเลือนไปในตอนที่แล้ว เกินความคาดหมายมากครับ แค่วันแรกมีคนคลิกเข้ามาอ่านมากกว่า 150 ครั้ง แล้วยังมีจดหมายก้อมส่งมาว่า "ขออีกๆๆ" เลยต้องจัดให้ตามคำขอเป็นตอนที่ 3 ใครมีข้อมูลเพิ่มเติม จะช่วยชี้แนะก็ช่วยบอกมานะขอรับ ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง

บักแงว
บักแงว คือ ภาษาถิ่นที่ชาวอีสานใช้เรียก ผลของต้นคอแลน จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับต้นลิ้นจี่ ลำไย เงาะ ด้วยมีลักษณะคล้ายกับลิ้นจี่ คือ มีลักษณะรีถึงกลม เปลือกด้านนอกมีผิวขรุขระ เมื่อผลยังอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อผลแก่จัดจะออกเป็นสีแดงเข้ม ในขณะที่เนื้อด้านใน จะมีลักษณะขาวใสคล้ายเงาะ มีรสเปรี้ยวอมหวาน หรือ เปรี้ยวอย่างเดียว ขึ้นอยู่กับแต่ละต้น ทำให้ชาวบ้านเรียกมันอีกอย่างหนึ่งว่า ลิ้นจี่ป่า หรือลิ้นจี่อีสาน
บักแงว หรือ คอแลน ชื่อสามัญ Korlan ชื่อวิทยาศาสตร์ Nephelium hypoleucum Kurz จัดอยู่ในวงศ์เงาะ (SAPINDACEAE)
คอแลน มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า คอลัง กะเบน สังเครียดขอน (ภาคใต้), มะแงว มะแงะ หมักงาน บักแงว หมักแวว หมักแงว หมากแงว (ภาคตะวันออก), ลิ้นจี่ป่า (ภาคตะวันออกเฉียงใต้) เป็นต้น ผลไม้ชนิดนี้จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับลิ้นจี่ ลำไย เงาะ มามอนซีโย
คอแลน มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบตามธรรมชาติบริเวณป่าฝนในภูมิภาค และพบมีการเพาะปลูกบ้างในบางประเทศเช่น มาเลเซีย และไทย เป็นไม้ยืนต้นสูง เปลือกสีน้ำตาลคล้ำ เรียบ ใบเดี่ยวเรียงสลับ ออกเป็นช่อ ดอกออกปลายกิ่งหรือตามซอกใบ ไม่มีกลีบดอก ผลมีปุ่มปมหนาแน่น สีแดง เปลือกภายนอกมีลักษณะคล้ายกับลิ้นจี่แต่เนื้อข้างในคล้ายเงาะมีรสเปรี้ยว รับประทานได้ เมล็ดไม่สามารถรับประทานได้เนื่องจากแข็งและมีพิษ
ประโยชน์จากบักแงว
- เนื้อไม้ต้นคอแลน มีสีแดงหรือสีน้ำตาลแดง เนื้อละเอียด มีความเหนียวและแข็ง ในประเทศไทยมักนำมาทำเครื่องใช้ทางการเกษตร เช่น คันไถ และด้ามจับเครื่องใช้ต่างๆ เนื้อไม้รสฝาด ยังใช้ปรุงเป็นยาห้ามเลือด
- ผล ใช้เป็นยาช่วยการกระจายเลือด เปลือกใช้เป็นยาบำรุงเลือด ผลแก่ ใช้รับประทาน มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยทำให้ชุ่มคอ ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันไข้หวัด
- ดอก จากไม้คอแลน ยังใช้เลี้ยงผึ้งได้ให้น้ำผึ้งแบบธรรมชาติ
สรรพคุณทางยาของคอแลน
- ช่วยทำให้ชุ่มคอ ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและเพิ่มพลังงาน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด มันจึงเหมาะอย่างมากสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- ช่วยเสริมสร้างสมาธิ แก้ปัญหาสมาธิสั้น ช่วยลดความเครียด ช่วยในการย่อยอาหาร ใช้เป็นยาระบาย ช่วยต่อสู้กับเชื้อหวัดและไวรัสไข้หวัดใหญ่
“บักแงว“ ผลไม้ในความทรงจำวัยเด็กของผู้เขียน ทุกวันนี้อาจจะหายากในบางพื้นที่ แต่ทางบ้านผู้เขียนยังพอมีการนำมาขายในตลาดตามอำเภอต่างๆ อยู่ พอนึกขึ้นมาแล้วน้ำลายแตกเลย!! ไม่ได้กินนานแล้ว เป็นผลไม้พื้นบ้านไทย ที่จะออกผลในฤดูร้อน มีนาคม-เมษายน บางคนเรียกชื่อ “คอแลน” หรือ “ลิ้นจี่ป่า” บางต้นก็เปรี้ยว บางต้นก็หวานอมเปรี้ยว เวลาสุกจะสีแดงๆ เต็มต้น กินกับพริกน้ำปลา อร่อยสุด สมัยเป็นเด็กน้อยไปเลี้ยงวัว-ควายในไร่ชายป่า แล้วหาเวลาปีนขึ้นไปกินบนต้นก็สนุกดีในวัยนั้น

วิธีจัดการบักแงวให้อร่อยสุดของผมสมัยนั้น
- แกะเอาเปลือกออก
- นำไปใส่ในถ้วย เติมน้ำปลาแดก (ปลาร้า) และพริกป่น สำหรับคนไม่ค่อยชอบปลาร้าก็แช่ในพริกน้ำปลาหวาน (ใส่ผงชูรสด้วย แล้วแต่ชอบ)
- คนๆ แล้วใช้ช้อนตักซด ดูดๆ คลายเม็ดทิ้ง (ถ้าใครเผลอกลืนไปนี่ จะทรมานตอนขับถ่ายนะจ๊ะ)
- รอสักพัก วิ่งหาห้องสุขาอยู่หนใด สุดยอดยาระบายเลยล่ะ😆

บักตูมกา
บักตูม, บักตูมกา หรือ มะตูม มีชื่อวิทยาศาสตร์ : Aegle marmelos (L.) Corr. ชื่อพ้อง : Belou marmelos (L.) Lyons, Bilacus marmelos (L.) Kuntze, Crateva marmelos L., Feronia pellucida ชื่อวงศ์ : Rutaceae
บักตูม มีชื่ออื่นๆ (ของพืชที่ให้เครื่องยา) เช่น มะปิน (เหนือ), กะทันตาเถร (ปัตตานี), ตูม(ใต้), บักตูม (อีสาน), ตุ่มตัง (ปัตตานี), พะโนงค์ (ព្នៅ = เขมร), มะตูม (กลาง), มะปีส่า (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) เป็นไม้ผลยืนต้นพื้นเมืองของอนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการเพาะปลูกทั่วไปในอินเดีย รวมทั้งในศรีลังกา แหลมมลายูตอนเหนือ เกาะชวา และฟิลิปปินส์ จัดเป็นพืชเพียงสปีชีส์เดียวที่อยู่ในสกุล Aegle
ไม้ศักดิ์สิทธิ์เทพเจ้า ไม้มงคลพระราชา
มะตูม เป็นสมุนไพรเก่าแก่ของอินเดีย ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของสมุนไพรชนิดนี้ เป็นไม้มงคลของศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระศิวะ (พระอิศวร) ด้วยใบมะตูมมีลักษณะเป็น 3 แฉก คล้ายตรีศูลของพระอิศวร เมื่อมีการบูชาพระศิวะจะต้องนำใบมะตูมมาถวายพร้อมกับท่องมนต์ หรือวางไว้ใต้ตำรา วัดฮินดูที่บูชาพระศิวะ นิยมปลูกต้นมะตูมไว้ ห้ามไม่ให้ตัดโค่น
ต้นมะตูม เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดชัยนาท ผู้ที่ได้รับทุนเล่าเรียนหลวงหรืองานสมรสพระราชทานจะได้รับพระราชทาน "ใบมะตูม" เพื่อเป็นสิริมงคล
สรรพคุณของมะตูม :
ตำรายาไทย : ผลอ่อน รสฝาดร้อนปร่าขื่น ฝานบางๆ สดหรือแห้ง ชงน้ำรับประทานแก้ท้องเสีย แก้บิด แก้โรคกระเพาะอาหาร ฝาดสมาน เจริญอาหาร เป็นยาธาตุ แก้ธาตุพิการ ขับผายลม บำรุงกำลัง และรักษาโรคลำไส้เรื้อรังในเด็ก ผลแก่ที่ยังไม่สุก รสฝาดหวาน แก้บิด แก้เสมหะ แก้ลม บำรุงไฟธาตุ ช่วยย่อยอาหาร ผลแก่สุก ทุบให้เปลือกแตกต้มทั้งลูกกับน้ำตาลแดง เป็นยาระบายท้อง เหมาะกับผู้สูงอายุหรือผู้ที่ท้องผูกเป็นประจำ ช่วยขับผายลม แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ลมเสียดแทงในท้อง แก้มูกเลือด แก้บิดเรื้อรัง บำรุงไฟธาตุ แก้โรคไฟธาตุอ่อน แก้ครั่นเนื้อตัว ช่วยย่อยอาหาร มะตูมทั้ง 5 ส่วน (ราก ลำต้น ใบ ดอก และผล) รสฝาดปร่าซ่าขื่น ใช้แก้ปวดศีรษะ ตาลาย เจริญอาหาร ลดความดันโลหิตสูง
ตำรายาไทยมีการใช้ ผลมะตูมใน ”พิกัดตรีผลสมุฎฐาน” คือการจำกัดจำนวนตัวยาที่มีผลเป็นที่ตั้ง 3 อย่าง มี ผลมะตูม ผลยอ ผลผักชีลา สรรพคุณแก้สมุฎฐานแห่งตรีโทษ ขับลมต่างๆ แก้โรคไตพิการ
บัญชียาจากสมุนไพร : ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุการใช้ลูกมะตูมในตำรับ “ยาตรีเกสรมาศ” มีส่วนประกอบลูกมะตูมอ่อนร่วมกับเกสรบัวหลวง และเปลือกฝิ่นต้น มีสรรพคุณแก้อ่อนเพลีย ปรับธาตุในผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้นจากการเจ็บป่วย เช่น ไข้ ท้องเสีย นอกจากนี้ตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไป สาขาเภสัชกรรม ของกองการประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า พิกัดตรีเกสรมาศ คือ จำนวนตัวยาเกสรทอง 3 อย่าง ได้แก่ เปลือกฝิ่นต้น เกสรบัวหลวง และลูกมะตูมอ่อน มีสรรพคุณ เจริญอาหาร บำรุงธาตุ คุมธาตุ บำรุงกำลัง แก้ท้องเดิน
ใบมะตูม ที่นำมากินเป็นผัก ยอดอ่อนนิยมมากินแกล้มกับอาหารอีสานประเภทลาบ ก้อย และหมอยาใช้กินแก้หลอดลมอักเสบ บำรุงธาตุ คุมเบาหวาน เจริญอาหาร แก้กระหายน้ำ ยับยั้งการตั้งครรภ์นั้น มีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดจากใบมะตูมมีฤทธิ์ป้องกันเนื้อเยื่อปกติของอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ไต ลำไส้ ม้าม และดีเอ็นเอ ไม่ให้ถูกทำลายจากรังสี มีฤทธิ์ต้านการแพ้ มีฤทธิ์คลายกังวลและต้านซึมเศร้า ป้องกันการเป็นต้อกระจกในหนูที่เป็นเบาหวาน มีฤทธิ์แก้ปวด แก้อักเสบ รวมทั้งไทรอยด์เป็นพิษที่มะตูมอาจจะเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลรักษา เพราะสมัยก่อนใช้ใบมะตูมเป็นยาแก้ไข แก้ร้อนใน ผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษจะมีอาการร้อนภายใน จึงมีการศึกษาทดลองพบว่า มีผลลดปริมาณฮอร์โมนไทรอยด์ เหนือกว่ายารักษาไทรอยด์ จึงแนะนำให้ผู้ป่วยโรคนี้ กินยอดอ่อนมะตูม หรือดื่มชามะตูมเป็นประจำ จะช่วยลดฮอร์โมนไทรอยด์ได้อีกทาง นับได้ว่ามะตูมมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อสุขภาพในสภาวะโลกร้อน ซึ่งส่งผลให้มนุษย์เรามีความเสี่ยงสูงขึ้นในการเจ็บป่วยด้วยภาวะความร้อนต่างๆ
ความทรงจำในวัยเด็กของผู้เขียน คือการเห็นคนเฒ่าคนแก่กิน "ข้าวเหนียวคลุกบักตูมสุก" โดยการนำเอาบักตูมมากะเทาะผ่าครึ่ง ควั่กเม็ดไนออก เอาข้าวเหนียวคลุก กินง่ายๆ บ้านๆ แบบอีสานบ้านเฮา และในหน้าหนาวชอบการเล่นว่าว ทำว่าวติดสะนูให้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า นอนฟังเสียงสะนูสะท้อนก้องในผืนทุ่งนากว้างมีความสุขที่สุด การทำว่าวเราต้องเหลาไม้ไผ่มาทำโครงว่าว หากระดาษถุงปูนซีเมนต์มาติดบนโครงให้รับลม การติดกระดาษเข้ากับโครงไม้ไผ่ด้วยกาวธรรมชาติ (ยางมะตูม) นี่สุดยอด

บักยางเครือ
บักยางเครือ, คุย ชื่อวิทยาศาสตร์ Willughbeia edulis Roxb. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Ancylocladus cochinchinensis Pierre) จัดอยู่ในวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) สมุนไพรเถาคุย มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า กะตังกะติ้ว (ภาคกลาง), หมากยาง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, สุรินทร์, ศรีสะเกษ, อุบลราชธานี), ตังตู้เครือ (ลำปาง), คุยกาย, คุยช้าง (ปราจีนบุรี), คุยหนัง (ระยอง, จันทบุรี), อีคุย (ปัตตานี), โพล้พอ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), อากากือเลาะ (มลายู-ปัตตานี), ต้นคุย เถาคุย เครือ (ไทย), เครือยาง, บักยาง เป็นต้น
ไม้เถาคุยเนื้อแข็ง รอเลื้อยขนาดใหญ่ มีมือเกาะ เลื้อยได้ไกล 10-15 เมตร แตกกิ่งจำนวนมาก เปลือกต้นสีน้ำตาล ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางสีขาวขุ่น ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรี รูปไข่กลับ ผลเดี่ยวแบบผลสดมีเนื้อหลายเมล็ด ทรงกลมหรือรูปไข่ ขนาด 5.8-7.2 ซม. เปลือกผลค่อนข้างหนา สีเขียว ผิวเกลี้ยง เมื่อสุกสีเหลืองถึงส้ม มีน้ำยางสีขาวมาก ก้านผลยาว 0.8-1.2 ซม. มีขนเล็กน้อย เมล็ดรูปไข่ กว้าง 1.2-1.6 ซม. ยาว 1.9-2.8 ซม. เนื้อผลลื่นติดกับเมล็ด เปลือกหุ้มผลมีน้ำยางมาก ลักษณะเหนียวสีขาว มีเมล็ดประมาณ 1-3 เมล็ด ผลสุกรับประทานได้มีรสเปรี้ยวอมหวาน ออกดอกราวเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ติดผลราวเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน พบตามป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น ป่าเบญจพรรณ
สรรพคุณทางยา
- ตำรายาไทย เถา มีรสฝาด แก้ประดงเข้าข้อ ลมขัดในข้อ ในกระดูก แก้มือเท้าอ่อนเพลีย ต้มดื่มแก้บิด แก้ตับพิการ แก้คุดทะราด ราก รสฝาด แก้มือเท้าอ่อนเพลีย ต้มดื่มแก้โรคบิด แก้เจ็บคอ เจ็บหน้าอก เปลือกต้น รสฝาด ต้มดื่มแก้ปวดศีรษะ ยาง รสฝาดร้อน ทาแผล แก้คุดทะราด แก้เท้าเป็นหน่อ ผลดิบ รสเปรี้ยวฝาด ผลแห้งย่างไฟ บดทาแผล
- ยาพื้นบ้านอีสานใช้ ลำต้น ผสมลำต้นม้ากระทืบโรง ต้มน้ำดื่ม บำรุงกำลัง เป็นยาอายุวัฒนะ เปลือก รักษาอาการปวดศีรษะ ราก ต้มกินรักษาโรคบิด น้ำยางใช้ทำกาวดักจับแมลงได้ เช่น จักจั่น โดยนำน้ำยางของพืช 3 ชนิด คือ ยางไทร ยางมะเดื่อหรือยางขนุน และยางเถาคุย มาผสมในอัตราส่วนเท่าๆ กัน จากนั้นเติมน้ำมันก๊าดหรือน้ำมันโซล่า แล้วนำไปเคี่ยวจนกระทั่งน้ำยางข้นเหนียว ทิ้งไว้ให้เย็นจึงนำมาใช้ได้ ลำต้น ใช้แทนเชือกมัดสิ่งของ ผลสุก มีรสเปรี้ยว รับประทานได้ หล่อลื่นลำไส้ ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก
- หมอยาพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานีใช้ เถา ต้มน้ำดื่ม แก้อัมพฤกษ์ อัมพาต
- ยาพื้นบ้านภาคกลางใช้ ลำต้น ผสมสมุนไพรอื่น ต้มน้ำดื่ม แก้ลมคั่งข้อ
- ยาพื้นบ้านภาคใต้ใช้ ลำต้น ต้มน้ำดื่ม แก้น้ำเหลืองเสีย รักษาโรคคุดทะราด แก้ลมขัดในข้อกระดูก แก้มือเท้าอ่อนเพลีย แก้ตับพิการ

บักยางต้น
หมากยาง, ลูกน้ำนม, หมากน้ำนม (Star apple) วงศ์ SAPOTACEAE มีชื่อวิทยาศาสตร์ : Chrysophyllum cainito ชื่อสามัญของลูกน้ำนมมีหลายชื่อเช่น cainito, caimito, star apple, golden leaf tree, abiaba, pomme dulait, estrella, milk fruit, aguay มีชื่อเรียกในท้องถิ่นอื่นๆ ว่า สตาร์แอปเปิ้ล, แอปเปิ้ลน้ำนม, แอปเปิ้ลเมือง (เชียงใหม่), บักยาง, หมากน้ำนม,แอปเปิ้ลป่า ภาษาเวียดนามเรียกว่า vú sữa (วู้ เสือ) ภาษาเขมรเรียกว่า ផ្លែទឹកដោះ (พฺลา͜เอตึกเดาะห) ในเวียดนาม พันธุ์ที่มีชื่อเสียงมากคือ Lò Rèn มาจากจังหวัดเตี่ยนซาง ในเซียร์ราลีโอน เรียกว่า "Bobi wata" ในลาวเรียก หมากน้ำนม บางพื้นที่เรียก หมากยาง สปีชีส์ใกล้เคียงเรียก สตาร์แอปเปิล พบในทวีปแอฟริกา เช่น C. albidum และ C. africanum
ถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศปานามา กระจายไปปลูกเป็นไม้ผลในประเทศเมกซิโก ทวีปอเมริกากลาง ประเทศจาไมกา เปอร์โตริโก และฮอนดูรัส ในหมู่เกาะเวสอินดีส ประเทศเปรู และเวเนซูเอลล่า ในทวีปอเมริกาใต้ คำเรียกชื่อ cainito เป็น ภาษามายันโบราณ หมายถึงเนื้อในของผลที่มีสีขาว รสหวาน และเหนียวเป็นวุ้นคล้ายน้ำนม ต้นมีรูปทรงสวยงาม แผ่นใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ตัดกับแผ่นใบด้านล่างที่เป็นสีทองแปลกตา ทำให้เป็นที่นิยมใช้ปลูกตกแต่งสวนทั่วไปในประเทศเขตร้อน
เป็นพืชพื้นเมืองของฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว เป็นไม้ยืนต้น ใบเดี่ยว ยาวรี หน้าใบเป็นมัน เขียวเข้ม หลังใบเป็นสีแดง เป็นมัน ดอกออกเป็นช่อ ตามซอกใบ สีเขียวอมเหลือง หรือชมพูอมขาว กลื่นหอม ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม หรือกลมแป้น สีของเปลือกผลมีทั้งที่เป็นสีเขียว และสีม่วงแดง ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ เมื่อสุกจะกลายเป็นสีม่วงเข้มจนถึงสีเกือบดำ เปลือกผลหนา นุ่ม มีน้ำยางสีขาวขุ่น ภายในผลมีเนื้อนุ่มๆ สีขาว หรือสีขาวอมม่วง และมีเยื่อสีขาวใสหุ้มเมล็ดอยู่เป็นพู คล้ายผลมังคุด มีกลิ่นหอม รสหวานอร่อย และมีเมล็ดสีดำมันวาวอยู่ภายในเยื่อหุ้มเมล็ด ประมาณ 3-5 เมล็ด กินเป็นผลไม้สด ผลของลูกน้ำนมมีสารต้านอนุมูลอิสระ เปลือกต้นเป็นยาบำรุงและยาชูกำลัง ยาต้มจากเปลือกใช้เป็นยาแก้ไอ
ประโยชน์ของสตาร์แอปเปิ้ล
- ผลของลูกน้ำนมมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เนื้อผลที่สุกคือส่วนที่รับประทานสดได้รสออกหวาน
- เปลือกต้นนำมาต้มเป็นยาบำรุง ยาชูกำลังและยาแก้ไอ

บักเบ็น
บักเบ็น, หมากเบ็น, ตะขบยักษ์ ชื่อสามัญ : ตะขบป่า ชื่อวิทยาศาสตร์ : Flacourtia indica (Burm.f.) Merr. ชื่อวงศ์ : SALICACEAE มีชื่อเรียกในถิ่นอื่นๆ ว่า ตะขบยะกษ์ หรือ หมักเบ็น, เบนโคก, ตานเสี้ยน, มะแกว๋นนก, มะแกว๋นป่า, มะเกว๋น, ตะเพซะ, บีหล่อเหมาะ, ตุ๊ดตึ๊น, ลำเกว๋น, มะขบ
เป็นไม้ต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 5-10 เมตร เปลือกต้นมีหนามแหลม แข็ง ขึ้นตามต้นและกิ่ง เปลือกต้นมีสีเทาปนน้ำตาล เปลือกแตกเป็นสะเก็ดแผ่นบาง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ มักออกหนาแน่นบริเวณปลายกิ่ง ใบรูปไข่กลับ โคนใบสอบ ปลายใบมน ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย ผิวใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร ดอกเป็นดอกช่อ ออกเป็นกระจุกบริเวณซอกใบหรือตากิ่ง ดอกมีสีขาว ผล เป้นผลเดี่ยว มีลักษณะกลม ขนาดประมาณเท่านิ้วมือ ผลอ่อนสีเขียวมีรสฝาด ผลสุกสีแดงหรือแดงปนม่วง รสหวานปนฝาด
สรรพคุณทางยาของหมากเบ็น
- แก่นเป็นยาแก้ท้องเสีย
- แก่นและรากต้มดื่ม
- รากเป็นยาบำรุงไต
- ผลนำมาใช้เป็นยาฝาดสมานได้

บักหาด
บักหาด, มะหาด ชื่อวิทยาศาสตร์: Artocarpus lacucha เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ Moraceae ในแต่ละภูมิภาค มะหาดจะมีชื่อเรียกต่างๆ กันกล่าวคือ ภาคเหนือเรียก "หาดหนุน" ในจังหวัดเชียงใหม่เรียก "ปวกหาด" ภาคกลางเรียก "หาด" ภาคอีสาน เรียก บักหาด, มะหาด, แพล สัมเปือร (สุรินทร์) ทางภาคใต้เรียก "มะหาด" ในจังหวัดตรังเรียก "มะหาดใบใหญ่" และตั้งแต่จังหวัดนราธิวาสถึงประเทศมาเลเซีย เรียก "กาแย , ตะแป , ตะแปง"
ต้นกำเนิดจากภูมิภาคเอเชียใต้ นิยมปลูกเอาไว้ใช้ประโยชน์ทุกส่วนของต้น สามารถเจริญเติบโตได้ในดินทราย, ดินร่วนปนทราย, ดินร่วน และ ดินเหนียว มีความทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดีมาก ชอบบริเวณที่มีความชื้นสูงและแสงแดดเข้าถึงได้น้อย มักขึ้นกระจายตามป่าดิบทั่วไป ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล 100-1,800 เมตร
เป็นพันธุ์ไม้ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดของจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อให้นำไปปลูกเป็นสิริมงคลแก่จังหวัด และเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนปลูกต้นมะหาด ในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดกาฬสินธุ์
ประโยชน์ของมะหาด
- ต้นมะหาด ที่สามารถนำมาใช้ผลประโยชน์ได้นั้นจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 5 ปี
- เนื้อไม้ - ใช้ทำเสา หมอนรองรางรถไฟ สะพาน ด้ามเครื่องมือทางการเกษตร ผืนระนาดเอก ผืนระนาดทุ้ม และลูกโปงลาง เป็นไม้เนื้อหยาบ แข็ง เหนียวและทนทาน ปลวกและมอดไม่ขึ้น สามารถเลื่อย, ไส, ตบแต่งได้ง่าย
- แก่น - ใช้แก่นมะหาดสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มเคี่ยวกับน้ำจนเกิดฟอง ช้อนฟองออก กรองกับผ้าขาวบาง พักสะเด็ดน้ำ แล้วนำมาตากให้แห้งหรือย่างกับไฟ นำมาบดจะได้ผงสีเหลืองเรียกว่า "ปวกหาด" ใช้ผงประมาณ 3-4 กรัมหรือ 1-2 ช้อนชา ผสมกับน้ำสุกที่เย็นแล้ว สามารถผสมน้ำมะนาวลงไปด้วย รับประทานก่อนอาหารเช้า หลังปวดหาดไปแล้ว 2 ชั่วโมง ให้รับประทานดีเกลือตาม เพื่อถ่ายตัวพยาธิออกมา สามารถทานแก้อาการท้องผูก, ท้องอืด, ท้องเฟ้อได้หรือนำผงปวกหาดมาละลายกับน้ำ ทาแก้ผื่นคัน
- ราก - ใช้ลดอาการไข้ แก้กระษัยเส้นเอ็น ขับถ่ายพยาธิ แก้พิษร้อน ใช้ย้อมสีผ้า (ให้สีเหลือง)
- เปลือก - ใช้ลดอาการไข้ และนำไปทำเชือก
- ผลไม้ - เมื่อสุกสามารถรับประทานได้ เนื้อเยื่อหุ้มเมล็ดมีรสเปรี้ยวอมหวาน สารสกัด - ลดอาการผมร่วง กระตุ้นการงอกของเส้นผม แก้โรคเริม ช่วยทำให้โรคผิวหนังค่อย ๆ หายไป ลดความคล้ำของเม็ดสีผิว
![]()
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Food
- Hits: 335

นำเสนอผลไม้อีสานหายากที่บางคนลืมเลือนไปในตอนที่แล้ว เกินความคาดหมายมากครับ แค่วันแรกมีคนคลิกเข้ามาอ่านมากกว่า 150 ครั้ง แล้วยังมีจดหมายก้อมส่งมาว่า "ขออีกๆๆ" เลยต้องจัดให้ตามคำขอเป็นตอนที่ 2 ใครมีข้อมูลเพิ่มเติมจะชี้แนะก็ช่วยบอกมานะขอรับ ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง

หมากต้องแล่ง อีกหนึ่งผลไม้ที่นับวันจะถูกลืม
หมากต้องแล่ง หรือ นมน้อย ภาษาเขมรท้องถิ่นแอดเรียกว่า "แพล กำ ปร๊อก" ที่อื่นๆ มีชื่อเรียกต่างออกไปอีก เช่น น้ำเต้าแล้ง (นครราชสีมา) น้ำน้อย (เลย) ต้องแล่ง (มหาสารคาม) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Polyalthia evecta (Pierre) Finet & Gagnep. ชื่อวงศ์ Annonaceae
ในช่วงฤดูทำนาหรือหน้าฝน สมัยยังเป็นเด็กน้อย เมื่อพาควายไปเลี้ยงแถวชายป่า เพราะพื้นที่นามีข้าวกำลังงามจึงปล่อยเลี้ยงไม่ได้เดี๋ยวมันจะกินต้นข้าวแทนหญ้า ผูกควายให้เชือกยาวพอมันหากินหญ้าได้แต่ไม่ถึงนาข้าว ผู้เขียนก็มักจะเดินเสาะหาผลไม้ป่ามากิน หนึ่งในนั้นคือ หมากต้องแล่ง นั่นเอง
หมากต้องแล่ง หรือบ้างก็ว่า บักต้องแล่ง เป็นไม้พุ่มเตี้ย ในหนึ่งพุ่มหรือหนึ่งกอจะมีหลายๆ ลำต้นเกิดอยู่ด้วยกัน แต่ที่เป็นต้นเดี่ยวก็มีเช่นกัน หมากต้องแล่งออกลูกเป็นพวง พวงหนึ่งจะมีหลายๆ ลูกประมาณ 4-30 ลูก หมากต้องแล่งมีผลเล็ก ทรวดทรงกลม โตประมาณ 5-6 ม.ม. ผลดิบสีเขียว ผลสุก สีแดง ผลสุกรสชาติหวาน ซึ่งในหนึ่งลูกจะมีเนื้อให้กินหวานอร่อยจริงๆ นิดเดียว ที่เหลือคือ เมล็ด หนึ่งลูกจะมีหนึ่งเมล็ด โดยปกติไม่นิยมกินเมล็ด แต่บางคนก็เคี้ยวกินทั้งเมล็ดก็มี
หมากต้องแล่ง แม้จะให้ความอร่อยได้ไม่จุใจ ให้ความอิ่มได้ไม่เต็มท้อง แต่นั่นคือ ผลไม้ป่าละเมาะ ที่ให้ความสุขเล็กๆ น้อยๆ แก่เด็กๆ บ้านๆ อย่างเราครับ
ข้อควรระวัง : ตามพุ่มต้นต้องแล่ง อาจมีรังแตน เช่น แตนขี้หมา และแตนราม เป็นต้น ดังนั้น การเปิดหาหมากต้องแล่ง ควรใช้ลำไม้ยาวๆ หรือไม่ตีควาย ช่วยเปิดหา มิเช่นนั้น ท่านอาจถูกแตนตอดได้ (แตนตอด = แตนต่อย)
สรรพคุณของหมากต้องแล่ง
- ยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี ใช้ ราก เข้ายากับเครือไส้ไก่ และตะไคร้ป่า ต้มน้ำดื่ม แก้โรคกระเพาะอาหาร เข้ากับรากลกคก และรากหุ่นไห้ ต้มน้ำดื่ม ช่วยบำรุงน้ำนมหญิงหลังคลอด
- ยาพื้นบ้านจังหวัดมุกดาหาร ใช้ ราก แก้ฝีภายใน
- ยาพื้นบ้านจังหวัดอำนาจเจริญ ใช้ ราก แก้ร้อนใน ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ปวดเมื่อย ต้มรากดื่มขณะอยูไฟหลังคลอดบุตร
- ยาพื้นบ้านที่อื่นๆ ใช้ ราก ต้มน้ำดื่ม แก้กล้ามเนื้อท้องเกร็ง บำรุงน้ำนม แก้ปวดเมื่อย

ลูกหว้า
ลูกหว้า หรือ หมากหว้า (Syzygium cumini) นั้นอาจจะเป็นผลไม้ที่ไม่ค่อยคุ้นชื่อ หรือคุ้นหูกันเท่าไหร่นัก เพราะเป็นผลไม้ที่กำลังจะสูญพันธุ์ แต่ในภาคอีสานนั้นเริ่มมีการนำลูกหว้าหรือหมากหว้ามาเริ่มปลูกขยายพันธุ์กันมากขึ้น ด้วยคุณประโยชน์และสรรพคุณในลูกหว้านั้นมีมากพอสมควร
หว้า ชื่อสามัญ Jambolan plum, Java plum, Jambul มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Syzygium cumini (L.) Skeels จัดอยู่ในวงศ์ชมพู่ MYRTACEAE มีชื่อเรียกอื่นๆ ว่า หว้า หว้าป่า หว้าขาว หว้าขี้นก หว้าขี้แพะ แต่สำหรับชาวฮินดูจะเรียกลูกหว้านี้ว่า “จามาน” หรือ “จามูน” ต้นหว้าจัดเป็นพันธุ์ไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดในประเทศบังคลาเทศ อินเดีย เนปาล ปากีสถาน ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย แต่สำหรับในประเทศไทยเรานั้น ต้นหว้าเป็นพันธุ์ไม้พระราชทาน และเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเพชรบุรี และยังถือว่าต้นหว้าเป็นไม้มงคลในเรื่องของความสำเร็จและชัยชนะอีกด้วย
ลูกหว้า เป็นผลไม้ที่เราอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกันเท่าไหร่ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ผลไม้ชนิดนี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะลูกหว้านั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอย่างวิตามินซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม และคาร์โบไฮเดรต ซึ่งถือว่ามีประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพ โดยนิยมนำผลสุกมารับประทานเป็นผลไม้ (ผลสุกจะมีลักษณะสีม่วงและดำ มีรสออกเปรี้ยวอมหวานและอมฝาด) และใช้ทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
นอกจากนี้ ลูกหว้า ยังมีสรรพคุณใช้เป็นยารักษาโรคและอาการต่างๆ อีกด้วย ด้วยการนำใบและเปลือกของต้นหว้ามาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย โดยจะมีสรรพคุณที่ค่อนข้างหลากหลาย เช่น ช่วยย่อยอาหาร ช่วยลดการจับตัวของลิ่มเลือด มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านโรคมะเร็ง เป็นต้น
สรรพคุณของลูกหว้า
- ประโยชน์ทางยา ใช้เปลือก มีรสฝาดรับประทานเป็นยาแก้บิด ต้มในน้ำเดือด แล้วอมแก้ปากเปื่อย คอเปื่อยและเป็นเม็ดแก้น้ำลายเหนียว
- แพทย์พื้นบ้าน ใช้ใบและผล แก้บิดและท้องร่วง แก้ถ่ายเป็นมูกเลือด ต้มใบและผลในน้ำเดือด รับประทานหลังมีอาการ
- เมล็ดในลูกหว้า แก้ปัสสาวะมาก แก้ท้องร่วงและบิด และถอนพิษแสลงใจ (พิษแสลงใจ หมายถึงอาการใจหวิว ใจสั่น หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ) ต้มในน้ำเดือด รับประทานหลังมีอาการ
- ใช้ใบและเมล็ดหว้า นำมาต้มหรือบดให้ละเอียด แล้วนำมารับประทานเพื่อรักษาอาการของโรคเบาหวานได้ เนื่องจากมีสารชนิดหนึ่งที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
- ใบและเมล็ดหว้า นำมาตำให้แหลกแล้วใช้ทารักษาโรคผิวหนังได้ หรือนำน้ำที่ได้มาล้างแผลเน่าเปื่อยได้
การใช้หว้าปรุงอาหาร
ยอดอ่อนของหว้าสามารถนำมารับประทานเป็นผักสดได้ ผลอ่อนมีสีแดง เมื่อผลแก่จัด มีสีดำม่วง รับประทานเป็นของหวาน และใช้ทำเป็นเครื่องดื่มหรือไวน์ได้ ส่วนน้ำจากลูกหว้าถือเป็น "น้ำปานะ" ที่พระพุทธองค์ทรงมีพุทธานุญาตแก่พระภิกษุให้ฉันยามกาลิกได้ (ของที่พระภิกษุสงฆ์รับประเคนไว้แล้ว ฉันในช่วงหลังเที่ยงวันได้ทั้งวัน ทั้งคืนจนถึงก่อนรุ่งเช้า)
ข้อควรระวังในด้านรับประทานลูกหว้า
แม้ลูกหว้าจะมีประโยชน์หลายอย่าง แต่ในการนำมารับประทานก็มีข้อควรระวัง ดังนี้
- สตรีมีครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการรับประทานลูกหว้าเพื่อสรรพคุณทางยา เนื่องจากยังไม่ปรากฏหลักฐานทางการแพทย์ที่เพียงพอจะยืนยันความปลอดภัยของการใช้ลูกหว้ารักษาปัญหาสุขภาพในสตรีมีครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตร
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องการรับประทานลูกหว้า ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อความปลอดภัยในการบริโภค เนื่องจากลูกหว้าดิบ 100 กรัม ให้พลังงานถึง 60 กิโลแคลอรี

บักหวดข้า
บักหวดข่า หรือ มะหวดป่า ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lepisanthes rubiginosa (Roxb.) Leenh. อยู่ในวงศ์ Sapindaceae เป็นไม้พุ่มผลัดใบ หรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 15 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาล แตกเป็นร่องตามยาว กิ่งก้านมีขนละเอียด เมื่อยังอ่อนอยู่มีขนสั้นๆ กิ่งแขนงรูปทรงกระบอกเป็นร่อง ทรงพุ่มกลมหรือรูปไข่ มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น สีหวด (นครราชสีมา) กำซำ กะซ่ำ มะหวด (ภาคกลาง) ชันรู มะหวดบาท มะหวดลิง (ภาคตะวันออกเฉียงใต้) กำจำ (ภาคใต้) ซำ (ทั่วไป) นำซำ มะจำ (ภาคใต้) มะหวดป่า หวดคา (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) สีฮอกน้อย หวดลาว (ภาคเหนือ) หวดฆ่า (อุดรธานี) ภาษาเขมรท้องถิ่นไทยเรียกว่า "จันลุ ปรีย์" ผลสุกรสชาติค่อนข้างหวานกว่าพันธุ์ทั่วไป ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด และวิธีการทำกิ่งตอน เจริญเติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิด ชอบดินทุกชนิดที่ระบายน้ำได้ดี ชอบแสงแดดจัด ออกดอกราวเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ติดผลราวเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม
สรรพคุณของมะหวด
ตำรายาไทย ราก รสเมาเบื่อสุขุม รักษาอาการไข้ ตำพอกศีรษะแก้อาการไข้ปวดศีรษะ ตำพอกรักษาผิวหนังผื่นคัน แก้พิษฝีภายใน ขับพยาธิ วัณโรค แก้พิษร้อน แก้กระษัยเส้นเอ็น ต้มน้ำดื่ม แก้เบื่อเมา รากผสมกับสมุนไพรอื่น ต้มน้ำดื่ม แก้ซาง (โรคของเด็กเล็ก มีอาการเบื่ออาหาร ซึม มีเม็ดขึ้นในปากและคอ ลิ้นเป็นฝ้า) เปลือกต้น บำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ แก้บิด สมานแผล ใบ แก้ไข้ ผสมกับสมุนไพรอื่น ต้มน้าดื่มแก้ซาง ใบอ่อน รับประทานเป็นผักได้ ชาวบ้านใช้ใบรองพื้นและคลุมข้าวที่จะใช้ทำขนมจีนเพื่อกันบูด ผล บำรุงกำลัง แก้ท้องร่วง ผลสุก มีรสจืดฝาด ถึงหวาน รับประทานเป็นผลไม้ แก้ท้องร่วง เมล็ด รสฝาด ต้มดื่มแก้ไข้ซาง แก้ไอกรน แก้ไอหอบในเด็ก แก้ไอเรื้อรัง บำรุงเส้นเอ็น

บักเค็ง
หมากเค็ง, บักเค็ง หรือ เขลง (Velvet tamarind) ชื่อวิทยาศาสตร์ Dialium cochinchinense pierre ชื่อวงศ์ LEGUMINOSAE – CAESALPINIOIDEAE ชื่ออื่นๆ : นางดำ หยี แคง แค็ง หมากแข้ง ฯลฯ พบตามป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณชื้นทั่วไปในภาคตะวันออก ภาคอีสาน ภาคใต้
เป็นไม้ต้น สูง 15-30 เมตร ใบประกอบแบบขนนก ปลายคลี่ เรียงสลับ ใบรูปไข่ถึงรูปรี กว้าง 1.5-4.5 เซนติเมตร ยาว 4-7 เซนติเมตร ปลายทู่ถึงแหลม โคนมนถึงค่อนข้างสอบ ขอบเรียบ ผิวใบเกลี้ยงหรือมีขนเล็กน้อย ดอกเล็กสีขาว ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ตามปลายกิ่ง ผลกลมรี ผลสุกสีดำ มีเมล็ดเดียว เป็นผลไม้พื้นบ้านที่พบเห็นได้ตามตลาดท้องถิ่นริมทางช่วงที่ผลสุก
ประโยชน์และสรรพคุณ
ผลดิบใช้ต้มเป็นน้ำดื่มแก้ไข้ ร้อนใน ผลอ่อนนำมาต้มกิน ยอดอ่อนนำมาจิ้มน้ำพริกได้ ส่วนผลสุกสีดำ รสชาติหวานปนฝาด เนื้อไม้นำมาทำเครื่องมือการเกษตรก่อสร้าง เปลือกและแก่นใช้ย้อมสีให้สีน้ำตาลอมแดง

บักค้อ
บักค้อ หรือ ตะคร้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ : Schleichera oleosa (Lour.) Oken ชื่อวงศ์ : SAPINDACEAE มีชื่ออื่นๆ : กาซ้อง, คอส้ม (เลย) เคาะ (นครพนม, พิษณุโลก) ค้อ (กาญจนบุรี) เคาะจ้ก, มะเคาะ, มะจ้ก, มะโจ้ก (ภาคเหนือ) ตะคร้อไข่ (ภาคกลาง) ซะอู่เสก (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) กาซ้อ, คุ้ย (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) ปั้นรั้ว (เขมร-สุรินทร์) ปั้นโรง (เขมร-บุรีรัมย์) บักค้อ, ตะค้อ, หมากค้อ เป็นต้น ต้นกำเนิดของตะคร้อกระจายพันธุ์อยู่ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย ในต่างประเทศสามารถพบได้ที่ประเทศอินเดีย ศรีลังกา ภูมิภาคอินโดจีนและอินโดนีเซีย
เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีความสูงของต้นประมาณ 15-25 เมตร แตกกิ่งก้านต่ำ เรือนยอดมีลักษณะเป็นทรงพุ่มแผ่กว้าง กิ่งก้านมักคดงอ ลำต้นเป็นปุ่มปมและพูพอน เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลแดงหรือเป็นสีน้ำตาลเทา เปลือกแตกเป็นสะเก็ดหนา ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ปลายใบออกเป็นคู่ออกเรียงเวียนสลับเป็นกลุ่มตามปลายกิ่ง ใบย่อยติดเรียงตรงข้ามหรืออาจเยื้องกันเล็กน้อยประมาณ 1-4 คู่ ออกดอกเป็นช่อปลายยอดหรือตามซอกใบ ช่อดอกมีความยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร และช่อดอกมีลักษณะเป็นพวงแบบหางกระรอกห้อยลง
ผลเป็นรูปทรงกลม มีขนาดประมาณ 2-3 เซนติเมตร ปลายผลเป็นจะงอยแหลมและแข็ง เปลือกผลหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวผลเกลี้ยงเป็นสีเขียวอมน้ำตาลหรือเป็นสีน้ำตาล ภายในผลมีเมล็ด 1-2 เมล็ด มีเนื้อหุ้มเมล็ดใสสีเหลือง ลักษณะฉ่ำน้ำ และมีรสเปรี้ยว ใช้รับประทานได้ โดยจะออกผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนกรกฎาคม
ประโยชน์ของบักค้อ
- เนื้อไม้ใช้ในอุตสาหกรรมไม้ ทำฟืนและถ่าน
- เปลือก ใช้ย้อมสี
- ใบอ่อน กินเป็นผัก
- ผลกินเป็นยาระบาย
สรรพคุณทางยาของบักค้อ
- เปลือกต้น เป็นยาสมานท้อ
- ราก เปลือกราก หรือทั้งห้าส่วนเป็นยาแก้กษัย
- ใช้ใบเป็นยาแก้ไข้ โดยใบแก่นำมาขยี้กับน้ำแล้วนำมาเช็ดตัว

บักพีพ่วน
บักพีพ่วน หรือ หมากผีผวน หรือ ลูกนมวัว ชื่อวิทยาศาสตร์ : Uvaria rufa Blume ชื่อวงศ์ : Annonaceae และมีชื่ออื่นๆ อีกมากมายหลายชื่อ มีตั้งแต่ นมควาย (ภาคใต้), นมแมวป่า (เชียงใหม่), หำลิง (ตะวันออกเฉียงเหนือ), ติงตัง (นครราชสีมา), ตีนตั่งเครือ (อุบลฯ ศรีสะเกษ), พีพวน (อุดรธานี), สีม่วน (ชัยภูมิ) เป็นไม้ในตระกูลกระดังงา พบทั่วไปตามป่าเบญจพรรณ
มีลักษณะเป็นไม้พุ่มเลื้อย ลำต้นสูง 4-6 เมตร กิ่งอ่อนมีขนละเอียดสีน้ำตาลแดง ใบเดี่ยวสลับรูปวงรีหรือรูปไข่ ผิวใบมีขนสีน้ำตาลแดงทั้งสองด้าน กว้าง 2.5-3.5 ซม. ยาว 4.5-10 ซม. ดอกออกเป็นกระจุก 2-3 ดอกที่กิ่งก้าน กลีบดอกสีแดงเข้ม มีกลิ่นหอมแรงเวลากลางคืน
ผลออกเป็นกลุ่มรูปไข่หรือไข่กลับ ขนาดผลเท่าลูกตำลึง ปกคลุมด้วยขนหนาแน่น ขนาดยาว 2-3 ซม. แต่ละช่อมี 4-20 ผล เมื่อยังอ่อนสีเขียว ก่อนจะกลายเป็นสีเหลือง และเมื่อแก่จะมีสีแดงเข้ม ส่วนเนื้อข้างในผลสีขาวขุ่นหุ้มเม็ดในสีดำไว้ ก้านผลยาว 1-4 ซม. มีเมล็ด 10-20 เมล็ด ผลอ่อนตำผสมน้ำทาแก้เม็ดผดผื่นคัน เมื่อสุกมีรสชาติเปรี้ยวรับประทานได้ โดยต้องปอกเปลือกออก และเปิบได้ทั้งเมล็ด เนื่องจากเนื้อและเมล็ดติดกัน สามารถขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
สรรพคุณ
- ตำรายาไทย เนื้อไม้และราก แก้ไข้กลับไข้ซ้ำ ต้มกินแก้ไข้เนื่องจากกินของแสลง ราก แก้ผอมแห้งสำหรับสตรีที่อยู่ไฟไม่ได้หลังการคลอดบุตร ใช้เป็นยากระตุ้นการคลอด บำรุงน้ำนม รากและเนื้อไม้ รักษาอาการไข้ไม่สม่ำเสมอ ผล แก้เม็ดผื่นคันตามตัว เป็นยาเย็นถอนพิษ ผลสุก บดกับน้ำ ทาแก้ผดผื่นคัน รักษาโรคหืด
- ชาวบ้านแถบหมู่เกาะลูซอล และมินดาเนา ของฟิลิปปินส์ใช้ ราก แช่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ให้หญิงที่จะคลอดบุตรกิน เพื่อเพิ่มการบีบตัวของมดลูก ช่วยเร่งการคลอดบุตร
ปัจจุบันหมากผีผวนเริ่มมีจำนวนลดลง เพราะไม่ค่อยมีชาวบ้านนิยมปลูกกันสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ต้องไปหาเก็บกินตามป่า ตามดง โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนไทยกับกัมพูชา (เมื่อหลายปีก่อน ผู้เขียนเคยเดินทางไปท่องเที่ยวที่กัมพูชาทางรถยนต์ ออกทางด้านช่องจอมไปพระตระบอง เสียมราฐ โตนเลสาป ข้างทางมีชาวบ้านนำหมากพีพ่วนมาขายเยอะมาก)

หมากส้มมอ
หมากส้มมอ หรือ สมอไทย เป็นผลไม้ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนไปได้ถึงสมัยพุทธกาล เป็นทั้งส่วนประกอบของอาหารและเครื่องยาตัวสำคัญของตำรายาไทย กินได้ทั้งแบบสด แห้งหรือดองเก็บไว้ก็กินได้อร่อย ไม่คลายประโยชน์เลย เป็นพืชพื้นเมืองของอินเดียใต้ เนปาล จีน ศรีลังกา มาเลเซียและเวียดนาม ไต้หวัน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Terminalia Chebuia Retz เป็นผลไม้ป่าที่มีหลายชื่อแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ คนเชียงใหม่เรียก ม่าแน่ ใกล้ๆ กับแม่ฮ่องสอนที่เรียกว่า หมากแน่ะ ส่วนภาคกลางมีทั้ง สมออัพยา และสมอไทย คนทางภาคอีสานเรียกทั้ง หมากส้มมอ บักส้มมอ คนโคราชเรียก สมอ
ลูกหมากส้มมอ ที่ใช้กินเป็นผลวงรี มีเหลี่ยม กว้างยาวประมาณ 1 นิ้ว ผิวเกลี้ยง ตอนที่ยังอ่อนเป็นสีเขียวสด ตอนแก่จะเป็นสีเขียวออกเหลือง ตอนแห้งจะเป็นสีดำ ข้างในมีเมล็ดแข็ง 1 เมล็ด ที่เมื่อแห้งแล้วจะเป็นสีดำ ลูกหมากส้มมอออกเป็นพวงจากช่อดอกสีขาวนวล ส่วนลำต้นสูงประมาณ 10-15 เมตร มักอยู่ตามป่าเบญจพรรณ เต็งรัง ป่าดิบแล้ง และตามทุ่ง หมากส้มมอจัดเป็นผลไม้ในฤดูหนาว มันจะออกดอกในช่วงเดือนเมษายนถึงถึงมิถุนายน และติดผลราวเดือนกันยายนถึงธันวาคม เมื่อกินสด จะได้รสเปรี้ยวอมฝาด กินแล้วจะกระตุ้นให้น้ำลายไหล อยากอาหาร
นอกจากเป็นอาหารแล้ว เปลือกของต้นหมากส้มมอซึ่งมีสีน้ำตาลปนเทา สามารถนำมาใช้ย้อมผ้าซึ่งจะให้สีดำและสีเขียว โดยนำเปลือกมาต้มจนงวด แล้วใส่เส้นใยที่ต้องการย้อมลงไป จะได้สีดำแกมเขียว แต่ถ้าใส่ผ้าที่ย้อมครามลงไปจะได้สีเขียว
ผลเป็นยารักษาแทบทุกโรค
สิ่งที่ทำให้ หมากส้มมอ เป็นที่นิยม น่าจะเป็นประโยชน์ทางยาที่มีมากมาย จากการที่มีหลายรสชาติในตัวเอง ทั้งเปรี้ยว ฝาด หวาน ขม เพราะตามตำรายาไทย แต่ละรสของสมุนไพรจะบอกสรรพคุณทางยา จนถูกจัดให้เป็นราชาสมุนไพร ถึงกับมีการพูดกันว่า กินหมากส้มมออย่างเดียวเท่ากับกินสมุนไพรหลายอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นยาระบายเมื่อกินผลสดตอนอ่อน ช่วยให้ขับถ่ายดีและแก้ริดสีดวงทวาร นำหมากส้มมอที่ยังอ่อนอยู่ 5-6 ลูกต้มกับน้ำ 1 ถ้วย เหยาะเกลือเล็กน้อย กินรวดเดียว หลังจาก 2 ชั่วโมงยาจะออกฤทธิ์ให้ขับถ่าย ในตัวมันเองยังสามารถช่วยสมานรักษาโรคท้องร่วงได้ด้วยเมื่อกินผลแก่ รวมถึงใช้เป็นยาสมานลำไส้อักเสบ
นอกจากนี้ยังแก้เจ็บคอได้ ด้วยการอมกลั้วในปาก รสเปรี้ยวของมันสามารถละลายเสมหะ แก้ไอ และแก้กระหายน้ำ โดยเอาเนื้อหมากส้มมอตำผสมผสมเกลือและข่าแก่ให้แหลก แล้วอมทีละประมาณปลายนิ้วก้อย เก็บไว้ในตู้เย็น กินต่อเนื่องประมาณ 1 สัปดาห์อาการคันคอจะหายไป
ผลหมากส้มมอยังใช้ทารักษาแผลได้ด้วย เมื่อนำผลมาบดละเอียด แล้วเอาไปโรยบนแผลเรื้อรัง และยังสามารถนำไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆ ได้แก่ รากกระชายป่า เปลือกตะโกนา เปลือกมะคำไก่ หัวแห้วหมู รากต้นแจง ต้มกับน้ำ ใส่น้ำผึ้งลงไป กินทุกวันจะแก้ผิวที่เป็นกระได้
หมากส้มมอ หรือ สมอไทย ยังเป็นผลไม้ที่เรียกกันว่า "พุทธโอสถ" เพราะในพระไตรปิฎกระบุไว้ว่า พระสงฆ์ฉันผลสมอไทยเป็นยาหลัก โดยใช้ผลสมอสดๆ ดองกับน้ำมูตรโคหรือไม่ก็ปัสสาวะของตน รักษาโรคหลายอย่างโดยเฉพาะโรคดีซ่าน ยังมีพระพุทธรูปปางฉันสมอด้วย ซึ่งเป็นปางที่พระพุทธเจ้าวางพระหัตถ์ขวาที่มีลูกสมอวางอยู่ไว้บนเข่า ส่วนพระหัตถ์ซ้ายวางบนตัก ในท่านั่งขัดสมาธิ มาจากตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาแล้ว 49 วัน โดยที่ไม่ได้ฉันอาหาร ท้าวสักเทวราชจึงนำผลสมอซึ่งถือเป็นทิพยโอสถจากเทวโลกมาถวาย พระพุทธเจ้าเสวยแล้วบ้วนพระโอษฐ์
ในตำราอายุรเวทของอินเดีย หมากส้มมอยังเป็นหนึ่งในผลไม้ 3 ย่างที่เรียกว่า "ตรีผลา" ร่วมกับสมอเทศและมะขามป้อม ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ใช้ปรับธาตุในร่างกายในฤดูร้อนที่อาหารมักบูดง่าย จนทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้แปรปรวน พิธีแต่งงานของชาวอินเดียในรัฐอัสสัม ครอบครัวฝ่ายเจ้าบ่าวตัองมอบของขวัญเป็นผลไม้แห้งแบบพิเศษให้กับเจ้าสาว หนึ่งในนั้นคือ ลูกสมอหรือหมากส้มมอแห้ง ที่ปกติแล้วพวกเขาจะกินเฉพาะเวลาที่เป็นแผลในปากเท่านั้น
หมากส้มมอเป็นอาหารก็ดี
หมากส้มมอ กินได้หลายแบบ หากกัดผลสดทีละนิดจะได้รสเปรี้ยวอมฝาดนิดๆ ให้ดื่มน้ำตามจะได้รสหวานชุ่มคอ แล้วรสหวานก็กระจายไปทั่วปาก หรือแค่จิ้มเกลือกินเฉยๆ เหมือนกับกินมะม่วงดิบก็ได้ บางคนนิยมกินกับน้ำพริกกะปิ โดยจะทุบหมากส้มมอ นำไปแช่น้ำเกลือก่อน บางบ้านโขลกหมากส้มมอหยาบๆ คลุกกินกับพริกขี้หนูโขลก ใส่น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ได้หลายรสในคราวเดียวทั้งขม เผ็ด เค็ม และหวาน
ในตำราอาหารโบราณดั้งเดิม มีวิธีการทำอาหารด้วยสมอไทยเรียกว่า ทำแกงคั่วสมอไทย หรือจะนำไปทำการแช่อิ่มหรือดอง ช่วยยืดเวลาของหมากส้มมอต่อไปได้อีก อีกสูตรหนึ่งคือ ดองน้ำผึ้ง นำผลเรียงให้เต็มโหลแก้วแช่ในน้ำผึ้งจนท่วม ทิ้งไว้ 3 เดือน ก็กินได้ด้วยการตักน้ำผึ้ง 1 ช้อนชาละลายน้ำอุ่น กินบำรุงร่างกาย ดีนักแล

บักเกลือ
บักเกลือ หรือ มะเกลือ (Ebony tree) มีชื่อวิทยาศาสตร์ : Diospyros mollis Griff. จัดอยู่ในวงศ์มะพลับ (EBENACEAE) สมุนไพรมะเกลือ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มักเกลือ (เขมร-ตราด), มักเกลือ หมักเกลือ มะเกลือ (ตราด), ผีเผา ผีผา (ฉาน-ภาคเหนือ), มะเกือ มะเกีย (ภาคเหนือ), เกลือ (ภาคใต้), มะเกลื้อ (ทั่วไป) บักเกีย หมากเกีย (ชัยภูมิ)
พบขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วไป เรือนยอดเป็นพุ่มกลมกิ่งอ่อนมีขนนุ่ม ผลดิบของมะเกลือมีสรรพคุณเป็นยา จัดเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง สมัยก่อนนิยมใช้ยางผลมะเกลือไปย้อมผ้า ผลที่เปลือกเป็นสีดำ เมื่อรับประทานทำให้หน้ามืด ตาลายตาพร่ามัว อาเจียน ท้องเดินและตาบอดได้ มะเกลือเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลของจังหวัดสุพรรณบุรี
สรรพคุณทางยา
- ช่วยแก้กระษัย
- ราก ฝนกับน้ำซาวข้าว รับประทานแก้อาเจียน แก้ลม รักษาโรคริดสีดวงทวาร
- ลำต้น ช่วยแก้ซางตานขโมย
- ผลมะเกลือสดและเขียวจัด เป็นสมุนไพรยอดเยี่ยมที่สุดในการถ่ายพยาธิ กำจัดตัวตืด หรือไส้เดือนตัวกลม พยาธิปากขอ พยาธิเข็มหมุด โดยการนำผลสดโตเต็มที่และเขียวจัด จำนวนผลเท่าอายุแต่ไม่เกิน 25 ผล (คนไข้อายุ 40 ปี ใช้เพียง 25 ผล) ตำใส่กะทิ คั้นเอาแต่น้ำกะทิ ช่วยกลบรสเฝื่อน ควรรับประทานขณะท้องว่าง ถ้า 3 ชั่วโมงแล้วยังไม่ถ่ายใช้ยาระบาย เช่น ดีเกลือ 2 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำดื่มตามลงไป
- แก่นของต้น ช่วยแก้ฝีในท้อง
- เปลือกของต้น ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร
- ลำต้น ใช้ต้มกับน้ำอาบช่วยรักษาโรคดีซ่าน
- ใบมะเกลือ นำมาตำคั้นเอาแต่น้ำผสมกับสุรา ใช้ดื่มแก้อาการตกเลือดภายหลังการคลอดบุตรของสตรี
ข้อควรระวังอย่าให้เกินขนาด
- ถ้าเกิดอาการท้องเดินหลายๆ ครั้ง และมีอาการตามัวให้รีบพาไปพบหมดด่วน
- ใช้มากอาจมีผลกับสายตา จนถึงขั้นตาบอดได้
การย้อมผ้าให้เป็นสีดำด้วยมะเกลือ
จากชื่อของมะเกลือในภาษาอังกฤษ Ebony tree คำว่า ebony จะใช้แทนคนที่มีผิวสีดำ คล้ำ ผลมะเกลือก็เช่นกันมีคุณสมบัติสร้างสีย้อมผ้าเป็นสีดำได้
วิธีแรก ด้วยการนำผลดิบมาตำให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำสีเหลืองมาใช้ย้อมผ้า ผ้านั้นจะมีสีเหลือง แต่เมื่อตากให้แห้งจะมีสีเขียว จะต้องทำการย้อมและตากแห้งอย่างนี้ซ้ำๆ กัน 5-6 ครั้ง ผ้าจะเปลี่ยนสีจนกระทั่งกลายเป็นสีดำตามต้องการ
วิธีที่สอง คือ นำผลสุกสีดำมาบดละเอียด กรองแต่น้ำสีดำมาย้อมผ้า โดยย้อมแล้วตาก แล้วนำกลับมาย้อมซ้ำอีกประมาณ 3 ครั้ง ถ้าจะให้ผ้ามีสีดำสนิทและเป็นมันเงาด้วย ให้นำผ้าไปหมักในดินโคลน (ดินเหนียวที่ตกตะกอนละเอียดนำมาผสมน้ำ) 1–2 คืน หรืออย่างน้อย 5 ชั่วโมง แล้วจากนั้นจึงนำมาซักให้สะอาด การย้อมผ้าด้วยมะเกลือ ค่อนข้างที่จะใช้เวลามาก ปัจจุบันจึงมีการเปลี่ยนไปใช้สีสังเคราะห์แทน เพราะสะดวกและใช้เวลาไม่มาก แต่ปัญหาที่พบ คือ สีสังเคราะห์ ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ย้อม ซึ่งอาการ คือ ผิวหนังเป็นผื่นอักเสบและติดเชื้อได้ง่าย ตาอักเสบ จึงมีการนำมะเกลือมาใช้ย้อมผ้ากันเช่นเดิม
![]()
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Food
- Hits: 591

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ ภาคอีสาน ในประเทศนั้นนับว่า เป็นภูมิภาคที่มีความแห้งแล้งเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ เป็นภาคที่มีสภาพอากาศแปรปรวน เพราะว่าถ้าเป็นช่วงหน้าฝนก็จะเกิดฝนตกหนักถึงขั้นมีน้ำท่วม อุทกภัยใหญ่เป็นบริเวณกว้าง แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวอากาศก็จะหนาวเย็น และแห้งแล้งได้ง่าย จึงไม่แปลกที่พืชผักและผลไม้จะมีความคงทนถ้าปลูกในภูมิภาคนี้

ผลหมากไม้ ในภาคอีสานนั้น ปกติแล้วจะมีอยู่ไม่มากเมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ แต่จะมีผลไม้พื้นบ้านที่ปัจจุบันเริ่มหาทานได้ยาก ที่เราจะได้มาทำความรู้จักกันให้มากขึ้นอีกนิด แต่ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ผลไม้ในภาคอีสานถือว่าเป็นผลไม้ที่มีความแตกต่างกว่าภาคอื่นๆ โดยเฉพาะในเรื่องของความคงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศที่มีความร้อนและแห้งแล้ง ทำให้ผลไม้ในภาคนี้จะหาทานได้ยาก และมีราคาค่อนข้างสูงเลยทีเดียว สำหรับผลไม้ในภาคอีสานนั้นก็จะมีคล้ายๆ กับภาคอื่นๆ ทั่วไปที่สามารถพบเห็นได้บ่อย ไม่ว่าจะเป็น กล้วย อ้อย เงาะ ลำไย ทุเรียน น้อยหน่า ละมุด มะยม เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยม และมีการปลูกเป็นอย่างมากในภาคอีสาน นอกจากนี้ ยังมีผลไม้ที่เป็นผลไม้พื้นบ้านของภาคอีสานแท้ๆ ที่มีคุณค่าทางอาหาร มีสรรพคุณทางยามากมาย และหายากใกล้สูญพันธุ์ไปด้วยความนิยมที่เสื่อมคลายไป
ถ้าเป็นผลไม้ปกติทั่วไป เราก็จะสามารถพบเห็นหรือพบเจอได้ง่ายตามท้องตลาด แต่ถ้าเป็นผลไม้พื้นบ้านที่ปัจจุบันนั้นเริ่มมีการปลูกน้อยลง และหาทานได้ยากนั้น ก็จะมีตามแต่ละท้องที่เท่านั้น โดยส่วนใหญ่แล้วในภาคอีสานนั้นจะนิยมใช้คำว่า บัก หรือหมาก นำหน้าสำหรับเรียกชื่อผลไม้ เช่น แตงโม อาจจะเรียกว่า หมากโม หรือ บักโม ซึ่งคำเรียกนั้นก็จะขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะชอบเรียกแบบไหน มารู้จักกับหมากไม้เหล่านี้กันดีกว่าไหมว่า ของดีอีสานมีคุณค่าและสรรพคุณทางยาอย่างไร? [ บทพิสูจน์ว่าเจ้าเป็นคนอีสานบ้านนอก ]

หมากตะขบ
เชื่อว่าหลายต่อหลายคนในวัยเดียวกับผู้เขียน (คนวัย Sixty up+) เคยปีนต้นตะขบเก็บผลตะขบสุกสีแดงๆ มาลองกิน ซึ่งเป็นรสชาติของความทรงจำเลยก็ว่าได้ ขอเปิดถึง สรรพคุณ ประโยชน์และข้อควรระวัง ก่อนกิน ดังนี้
ตะขบ ผลไม้ชนิดหนึ่ง ที่หรือหลายคนอาจรู้จักในชื่อ ครบฝรั่ง ตากบ ตะขบฝรั่ง เป็นต้น เชื่อว่าเด็กๆ ที่ตอนนี้อายุไม่น้อยแล้ว เคยปีนต้นเก็บผลสีแดงสด หอมหวานมากินเป็นขนมกับเดอะแก๊งค์ ซึ่งต้นตะขบจัดเป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงได้ประมาณ 5-7 เมตร และอาจสูงได้ถึง 10 เมตร โดยปกติแล้วถ้าเป็นต่างประเทศ อย่าง เม็กซิโก ตะขบ นั้นถือว่าเป็นผลไม้ที่มีการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อย่าง ไวน์ หรือแยม ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถแปรรูปเป็นชาเพื่อนำมาใช้ในการชงดื่มได้อีกด้วย
ซึ่งมีผลจากการศึกษาพบว่า ตะขบ มีใยอาหารสูงมาก 6.3 กรัม มากกว่าผลไมชนิดอื่นๆ เกือบ 2 เท่า อาทิ ฝรั่ง แป้นสีทอง มี 3.3 กรัม และฝรั่งกิมจูมี 3.1 กรัม นอกจากนี้ ตะขบ วิตามินบีที่มีปริมาณที่สูงพอสมควร มีใยอาหารสูง แล้วยังมีแคลเซียมและโพแทสเซียมสูงอีกด้วย ซึ่งมีประโยชน์ดูดซับคอเลสเตอรอล ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้ และป้องกันเส้นเลือดสมองแตกได้อีกด้วย
สรรพคุณของตะขบ
- ผลสุกมีรสหวานเย็นหอม มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ
- ดอกตะขบมีสรรพคุณเป็นยาแก้อาการปวดศีรษะ ด้วยการใช้ดอกแห้งประมาณ 3-5 กรัม นำมาชงเป็นน้ำชาดื่ม
- ใช้เนื้อไม้เป็นยาแก้อาการปวดศีรษะ
- ใช้เป็นยาแก้หวัด ลดไข้ ด้วยการใช้ดอกแห้งประมาณ 3-5 กรัม นำมาชงเป็นน้ำชาดื่ม
- ใบมีรสฝาดเอียด มีสรรพคุณเป็นยาขับเหงื่อ
- รรากมีสรรพคุณเป็นยาแก้เสมหะ ช่วยกล่อมเสมหะและอาจม (ราก)
- ช่วยแก้อาการปวดเกร็งในทางเดินอาหาร ด้วยการใช้ดอกตะขบแห้ง 3-5 กรัม นำมาชงกับน้ำเป็นชาดื่ม
- ต้นใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาระบาย เนื่องจากมีสาร mucilage มาก
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
ผลสุกของตะขบป่า จะมีรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ซึ่งในการรับประทานควรรับประทานแต่พอดี ไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป เพราะผลสุกของตะขบป่าตามสรรพคุณของตำรายาไทยระบุว่า มีฤทธิ์ระบาย ซึ่งอาจทำให้เกิดการปวดไซท้องได้
ส่วนการใช้ในรูปแบบสมุนไพรก็เช่นเดียวกัน ควรใช้ในขนาดและปริมาณที่พอดีที่ได้ระบุได้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ใบขนาด และ ปริมาณที่มากจนเกินไป หรือใช้ต่อเนื่องกันนานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ ทั้งนี้ตะขบสามารถกินได้ก็จริงแต่ควรเลือกจากแหล่งที่ปลอดภัยและอย่าลืมล้างให้สะอาดก่อนกินด้วย

บักขามป้อม
บักขามป้อม หรือ มะขามป้อม ผลไม้ท้องถิ่นประจำภาคอีสาน ถ้าพูดถึงมะขามนั้น ทางภาคอีสานจะขึ้นชื่อมากในเรื่องของมะขามป้อมหรือบักขามป้อมที่คนในภาคอีสานมักเรียกกันเป็นคำพูดติดปาก ซึ่งมะขามป้อมนั้นจัดว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพอย่างดีอีกหนึ่งชนิด หรือจัดอยู่กลุ่มสมุนไพรเพื่อสุขภาพก็ได้เช่นกัน เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง และมีคุณค่าทางสมุนไพรด้วย มะขามป้อมเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสระแก้ว มีชื่อพื้นเมืองอื่นอีกคือ กันโตด (เขมร - กาญจนบุรี) กำทวด (ราชบุรี) มะขามป้อม (ทั่วไป) มั่งลู่, สันยาส่า (กะเหรี่ยง - แม่ฮ่องสอน)
มะขามป้อม เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่เปี่ยมไปด้วยสรรพคุณมากมาย มีผลิตภัณฑ์หลายๆ ชนิดที่นำสรรพคุณของมะขามป้อมไปใช้ทั้งเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับรับประทาน และผลิตภัณฑ์สำหรับเสริมความงามประเภทเครื่องสำอาง สำหรับสาวๆ ที่รักความสวยงาม ในอินเดียเชื่อว่าการรับประทานมะขามป้อม เป็นประจำ จะช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิว และบำรุงผม ส่วนคนไทย นอกจากจะใช้มะขามป้อมเป็นยาแก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะแล้ว ยังใช้บำรุงผิวช่วยให้ผิวหน้าขาวแก้ฝ้า
จากการวิจัยในปัจจุบันพบว่า มะขามป้อม มีฤทธิ์ต้านไข้หวัดทั้งในหลอดทดลองและมนุษย์ ในผลของมะขามป้อมมีสารโปรตีนไซยานิน (cyanin) ที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับวิตามินซี (Vitamin C) แต่ทนความร้อนไม่ถูกออกซิไดซ์ง่าย จึงมีความคงตัวสูงซึ่งเป็นข้อดีกว่าวิตามินซีทั่วไป มะขามป้อมมีฤทธิ์ในการป้องกันการเกิดมะเร็ง โดยการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้น
สรรพคุณทางยา
มะขามป้อม ตามตำรับยาไทยสามารถใช้แก้หวัด แก้ไอได้ดี เป็นที่รู้กันในทุกประเทศที่มีมะขามป้อม ระบุสรรพคุณในการแก้หวัด แก้ไข้ ซึ่งอาจเนื่องมาจากวิตามินซีหรือสารในกลุ่มแทนนิน อาการเป็นหวัด ไอ เจ็บคอ ปากคอแห้ง ให้ใช้ผลสด 15-30 ผล คั้นเอาน้ำมาจากผลหรือต้มทั้งผลแล้วดื่มแทนน้ำเป็นครั้งคราว
ตามตำราไทยเชื่อว่า ของที่มีรสเปรี้ยวทุกชนิดช่วยละลายเสมหะ และหมอยาพื้นบ้านเชื่อว่า รสเปรี้ยวที่ละลายเสมหะและบำรุงเสียงได้ดีที่สุดคือ มะขามป้อม ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่า ในมะขามป้อมมีสารที่ละลายน้ำได้มีฤทธิ์ละลายเสมหะ เป็นยาแผนโบราณเป็นที่นิยมของทั้งผู้ใช้ยาและแพทย์ โดยตำรับยาทำได้ง่ายๆ เพียงแต่นำมะขามป้อมแห้งมาต้มแล้วแต่งรส มะขามป้อมที่จะนำมากินแก้ไอเจ็บคอควรเลือกลูกที่แก่จัดผิวออกเหลือง
เมื่อมีอาการเป็น หวัด ไอ ให้นำมะขามป้อมสดมาเคี้ยวอมกับเกลือทุกครั้งที่มีการไอ ถ้าไม่ไอแต่ยังมีไข้อยู่ ก็ควรอมมะขามป้อมเพื่อให้ชุ่มคอและขับเสมหะ เป็นการป้องกันการไอได้ด้วยการละลายเสมหะ แก้การกระหายน้ำ ใช้ผลแก่จัดมีรสขม อมเปรี้ยว อมฝาด เมื่อกินแล้วจะรู้สึกชุ่มคอ ใช้สำหรับช่วยละลายเสมหะ กระตุ้นให้เกิดน้ำลาย จึงช่วยแก้การกระหายน้ำได้ดี หรือใช้ผลแห้งประมาณ 6-10 กรัม ถ้าใช้ผลสดประมาณ 10 กรัม ต้มกับน้ำดื่ม หรือคั้นเอาน้ำสำหรับดื่มขับเสมหะ หรือช่วยระบายของเสียให้ใช้ผลสด 5-15 ผล ต้มหรือคั้นน้ำมาดื่ม
น้ำมะขามป้อม ถือเป็น "น้ำปานะ" ที่พระพุทธองค์ทรงมีพุทธานุญาตแก่พระภิกษุให้ฉันยามกาลิกได้ (ของที่พระภิกษุสงฆ์รับประเคนไว้แล้ว ฉันในช่วงหลังเที่ยงวันได้ทั้งวัน ทั้งคืนจนถึงก่อนรุ่งเช้า)
ข้อควรระวัง
- ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยที่ท้องเสียง่าย เนื่องจากมะขามป้อมมีฤทธิ์เป็นยาระบาย
- ยาน้ำแก้ไอผสมมะขามป้อมห้ามใช้ในผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมน้ำตาลได้

กระบก หรือ อัลมอนด์อีสาน
กระบก (ชื่อวิทยาศาสตร์ Irvingia malayana) เป็นไม้ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาคเหนือเรียก มะมื่น ภาคอีสานเรียก หมากบก ภาษาชองเรียก ชะอัง สุโขทัยและโคราชเรียก มะลื่น ภาษาส่วยในจังหวัดสุรินทร์เรียก หลักกาย เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ Irvingiaceae ไม่ผลัดใบ เปลือกสีเทาอ่อนปนน้ำตาล ใบเดี่ยวเรียงสลับ ผิวเกลี้ยง ดอกขนาดเล็กมีขนนุ่ม ออกดอกรวมกันเป็นช่อโตที่ปลายกิ่ง สีขาวอมเขียวอ่อน ผลกลมรี ขนาดใกล้เคียงกับมะม่วงกะล่อน ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่จะเข้มขึ้น สุกเป็นสีเหลืองอมเขียว เนื้อเละ เมล็ดแห้ง
กระบกเป็นไม้ป่าของประเทศไทย พบได้ตาม ป่าเต็งรังและป่าดิบแล้ง ในอดีตชุมชนพื้นถิ่นเก็บเมล็ดกระบกมาคั่วให้สุก แล้วนำไปตำในครก ปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาล เมื่อตำละเอียดจะมีน้ำมันออกมา คล้ายเนยถั่ว รสชาติหวาน มัน เค็ม ในภาคอีสานใช้ทานกับข้าวเหนียว ส่วนภาคตะวันออกใช้ผสมกับข้าวสวย เรียกว่า กระราง หรือ ข้าวราง รวมไปถึงยังเป็นอาหารสำหรับคนที่เข้าป่า ขณะที่ปัจจุบัน ชาวบ้านทั่วไปมักนิยมนำเมล็ดมาคั่วทานเป็นของขบเคี้ยวเนื่องจากมีความกรอบมัน โดยหาซื้อได้ตามตลาดพื้นบ้านและตลาดทั่วไป จนได้ชื่อ อัลมอนด์อีสาน หรือ อัลมอนด์เมืองไทย

กระบก มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สูงได้ถึง 30 เมตร ต้นหนึ่งสามารถให้ผลจำนวนมาก การออกผลและร่วงหล่นจากต้นช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม การเก็บมาใช้ประโยชน์จะต้องนำไปตากแดดจนแห้งใช้เวลาประมาณ 1 เดือน หรือปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติ ก็จะเก็บได้ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม
เมล็ดกระบกมีสารอาหารมากมายที่มีคุณค่าทางโภชนาการ อาทิ โปรตีน, คาร์โบไฮเดรต, แคลเซียม, ธาตุเหล็ก, ไขมันชนิดอิ่มตัว กรดลอริก ไมริสติก กรดสเตียริก กรดปาล์มมิติก, ไขมันชนิดไม่อิ่มตัว กรอดโอเลอิก กรดไลโนเลอิก กรดปาล์มมิโตเลอิก
ประโยชน์ของกระบก
- เมล็ดกระบกใช้ทำของว่าง เช่น นำเมล็ดที่อยู่ข้างในมาคั่วกิน รสมันกรอบอร่อย ถือเป็นพืชเศรษฐกิจของชุมชนอีกชนิดหนึ่ง หรือนำเมล็ดมาเคลือบงา-คาราเมล เป็นส่วนผสมของเบเกอรี่ และแปรรูปเป็นแป้งกระบกเพื่อทำข้าวเกรียบ
- น้ำมันสกัดจากเมล็ดใช้ทำอาหาร หรือเป็นวัตถุดิบในผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องสำอางและอาหารเสริมบำรุงร่างกาย
- ผลสุกเป็นอาหารทั้งสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย
- เนื้อไม้มีความแข็งและหนัก จึงนิยมนำมาใช้ทำเครื่องมือต่างๆ เช่น ครก สาก ใช้ในงานก่อสร้าง และทำถ่านที่ให้ความร้อนสูง
- นิยมนำต้นกระบกไปจัดสวนในพื้นที่โล่งกว้าง ตามสวนสาธารณะ และสวนสัตว์ เพื่อเป็นอาหารและที่อยู่อาศัยของสัตว์

หมากเม่า หรือมะเม่า
มะเม่า ชื่อวิทยาศาสตร์ Antidesma puncticulatum Miq. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Antidesma bunius var. thwaitesianum (Müll.Arg.) Trimen, Antidesma thwaitesianum Müll.Arg.) จัดอยู่ในวงศ์มะขามป้อม (PHYLLANTHACEAE) มะเม่า มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า หมากเม้า บ่าเหม้า (ภาคเหนือ), หมากเม่า (ภาคอีสาน), มะเม่า ต้นเม่า (ภาคกลาง), เม่า, เม่าเสี้ยน, หมากเม่าหลวง, มะเม่าหลวง, มัดเซ เป็นต้น พืชในตระกูลมะเม่ามีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 170 ชนิด และกระจายอยู่ในเขตร้อนของเอเชีย แอฟริกา ออสเตรเลีย หมู่เกาะอินโดนีเซีย และเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก แต่จะมีอยู่เพียง 5 สายพันธุ์เท่านั้นที่พบได้มากในประเทศไทย ซึ่งได้แก่ มะเม่าหลวง มะเม่าสร้อย มะเม่าไข่ปลา มะเม่าควาย และมะเม่าดง แต่ถ้าหากเราพูดถึง “มะเม่า” เฉยๆ ก็จะหมายถึง เม่าหลวง นั่นเองครับ
มะเม่าหลวง เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย โดยผลมะเม่าสุกจะมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด เช่น มีกรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการมากถึง 18 ชนิดจากทั้งหมด 20 ชนิด นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม เหล็ก สังกะสี และวิตามินต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และยังมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพรที่ช่วยรักษาอาการต่างๆ อีกด้วย
สรรพคุณของมะเม่า
- ผลมะเม่าสุกจะมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย และยังช่วยชะลอความแก่ชราได้อีกด้วย
- รสฝาดของผลมะเม่าสุก จะมีสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยยับยั้งไม่ให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมหรือเปราะง่าย
- รสขมของมะเม่าจะมีสารแทนนิน (Tannin) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยทำให้เกล็ดเลือดจับตัวกันน้อยลง จึงมีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจล้มเหลวได้
- ผล, ราก, ต้น, ใบ, ดอก ทั้งห้าส่วนของมะเม่าใช้ต้มดื่มเป็นประจำเป็นยาอายุวัฒนะได้
- น้ำมะเม่าสกัดเข้มข้นใช้เป็นอาหารบำรุงสุขภาพได้ดีเหมือนน้ำลูกพรุนสกัดเข้มข้น มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ
- มะเม่ามีศักยภาพในการช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันและยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อ HIV อีกด้วย
- ช่วยบำรุงสายตา (ผลสุก) ช่วยแก้กษัย (ต้น, ราก) มะเม่าหลวง ช่วยขับโลหิต (ต้น, ราก)
- มะเม่ามีสรรพคุณช่วยฟอกโลหิต (ผลสุก) มีสรรพคุณทางยาช่วยขับเสมหะ (ผลสุก)
- ผลมีสรรพคุณเป็นยาระบาย (ผลสุก) ช่วยขับปัสสาวะ (ต้น, ราก) ช่วยแก้มดลูกพิการ (ต้น, ราก) ช่วยแก้มดลูกอักเสบช้ำบวม (ต้น, ราก) ช่วยแก้อาการตกขาวของสตรี (ต้น, ราก) ช่วยขับน้ำคาวปลา (ต้น, ราก) ช่วยบำรุงไต (ต้น, ราก)
- ช่วยแก้เส้นเอ็นพิการ (ต้น, ราก) ช่วยแก้และบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย (ต้น, ราก)
- ใบมะเม่านำไปอังไฟแล้วนำมาประคบใช้รักษาอาการฟกช้ำดำเขียวได้ (ใบ) ใบสดนำมาตำใช้พอกรักษาแผลฝีหนองได้ (ใบ)

ประโยชน์ของมะเม่า
- ผลสุกใช้รับประทานเป็นผลไม้ได้ หรือจะนำมาทำเป็นส้มตำมะเม่าก็ได้เช่นกัน
- ยอดอ่อนของมะเม่าใช้รับประทานเป็นผักสดได้ (ยอดอ่อน)
- ผล สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง เช่น แยม น้ำผลไม้ หรือนำไปทำเป็นไวน์เกรดคุณภาพสูง เป็นต้น
- น้ำหมากเม่าหรือน้ำคั้นที่มาจากผลมะเม่าสุกสามารถนำไปทำสีผสมอาหารได้ โดยจะให้สีม่วงเข้ม แถมยังปลอดภัยต่อผู้บริโภคอีกด้วยครับ
- เนื้อไม้ของต้นมะเม่าสามารถนำมาใช้ทำเป็นที่อยู่อาศัยหรือทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ได้
- พระสงฆ์ในแถบเทือกเขาภูพานใช้เป็นน้ำปาณะมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล
- ประโยชน์ของมะเม่าอย่างอื่นก็เช่น การปลูกเป็นไม้ประดับหรือใช้ปลูกเพื่อเป็นร่มไม้ เป็นต้น

องุ่นป่า หรือบักอีโก่ย
หลายๆ คนอาจจะไม่ค่อยคุ้นชื่อ หรือคุ้นกับรูปร่างลักษณะของผลไม้ชนิดนี้ องุ่นป่า หรือบักอีโก่ย เป็นผลไม้ในพื้นที่แถบภาคอีสาน มักจะขึ้นอยู่ตามป่าเขา โดยองุ่นป่านั้นมักจะเติบโตในพื้นที่ป่าเป็นหลัก เป็นไม้เลื้อยล้มลุก หมากกี่โก่ยหรือองุ่นป่า ผลไม้ป่าอีสานที่กำลังจะสูญพันธุ์ จึงมีการนำต้นต่อในการพัฒนาเสียบยอด ติดตา กับองุ่นสายพันธุิ์ต่างๆ ที่เราพบในปัจจุบัน เพื่อให้พืชชนิดนี้ที่ถูกทำลายโดยมนุษย์ที่รู้เท่าไม่ถึงการ ควรอนุรักษ์ไว้ได้ใช้ประโยชน์มากมาย ในภาคอีสานก็มีการนำมาปลูกเพื่อขยายพันธุ์ให้กับต้นองุ่นป่าได้เป็นอย่างดี
อีโก่ย หรือ ตะเปียงจู (องุ่นป่า) ชื่อสามัญ : องุ่นป่า , เถาเปรี้ยว ชื่อวิทยาศาสตร์ Sciencetific name : Ampelocissus martinii Planch. จัดอยู่ในวงศ์ : VITACEAE (VITIDACEAE) ชื่อเรียกอื่นๆ เช่น เครืออีโกย (อีสาน) กุ่ย (อุบล) เถาวัลย์ขน (ราชบุรี) ส้มกุ้ง (ประจวบฯ) ตะเปียงจู องุ่นป่า (สุรินทร์)
อีโก่ย หรือ ตะเปียงจู (องุ่นป่า) เป็นไม้เลื้อยล้มลุก หลายฤดู ลำต้น ไม่มีเนื้อไม้ ใบ เดี่ยวรูปหัวใจเว้าลึกเป็น 5 พู ผิว ใบอ่อนมีขน เป็นเส้นใยแมงมุมปกคลุม มีขนอ่อนสีชมพูที่มีต่อมแซม (glandularhair) ขอบใบหยักฟันเลื่อย ดอก ออกเป็นช่อแบบพานิเคิล (panicle) ดอกย่อยมีขนาดเล็กสีชมพูอ่อน กลีบดอก 4 กลีบ การขยายพันธุ์ ด้วยเมล็ดหรือแตกยอดใหม่จากเหง้าใต้ดิน นิเวศวิทยาและการแพร่กระจาย พบทั่วไปตามป่าเบญจพรรณในที่ร่มชื้น เถาจะงอกในช่วงฤดูฝน
ประโยชน์และความสำคัญ
ใช้ประโยชน์ทางอาหาร ยอดอ่อน รับประทานเป็นผักสดมีรสหวานอมเปรี้ยว ผลอ่อนต้มตำน้ำพริก หรือใส่ส้มตำ เพราะมีรสเปรี้ยว ถ้ารับประทานดอกมากจะทำให้ระคายคอ ชาวบ้านจะจิ้มเกลือก่อน รับประทานจะลดอาการระคายคอ หรือนำผลสุกมาตำใส่ส้มตำ (ที่มา : สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล) นอกจากนี้จาก คุณสมบัติที่ทนทานและหากินเก่งขององุ่นป่า จึงมีการนำมาเป็นต้นตอขององุ่น พันธุ์ต่างๆ ซึ่งก็จะช่วยให้องุ่นป่าของเราไม่สูญพันธุ์ไป
สรรพคุณทางยาสมุนไพร (ยาพื้นบ้านอีสานใช้)
ฝนดื่มแก้ไข้ ผสมลำต้นหรือรากรสสุคนธ์ เหง้าสัปปะรด ลำต้นไผ่ป่า ลำต้นไผ่ตง งวงตาล เปลือกต้นสะแกแสง ลำต้นหรือรากเถาคันขาว ผลมะพร้าว ลำต้นรักดำ ลำต้นก้อม ลำต้นโพ หญ้างวงช้างทั้งต้น รากกระตังบาย เปลือกต้นมะม่วง ลำต้นหนามพรม รากลำเจียก ลำต้นอ้อยแดง ลำต้นเครือพลูช้าง เหง้าหัวยาข้าวเย็นโคก และเปลือกต้นกัดลิ้น ต้มน้ำดื่ม รักษาฝีแก้อาการ
ตำรับยาชาวจีน
- ปวดเมื่อยเนื่องจากหวัดแดด-องุ่นป่า 1 ตำลึง ต้มน้ำเติมนํ้าตาลแดง หรือต้มกับขี้หนอนเถา อย่างละครึ่งตำลึง
- ลงท้องเนื่องจากหวัดแดด-องุ่นป่า 1 ตำลึง ต้มนํ้าชงกับนํ้าตาลแดง
- บวมน้ำ-องุ่นป่า 1 ตำลึง แปะมิ่งหง ครึ่งตำลึง ต้มนํ้า ห้ามกินเค็ม หรือใช้องุ่นป่า 1 ตำลึง ไคร้หางหมา ครึ่งตำลึง ต้มกับปูน้ำ หรือองุ่นป่าและลูกเดือย อย่างละ 1 ตำลึง พร้อมกับ แปะมิ่งหง ถั่วแดง มะละกอ อย่าละ 3 เฉียน ต้มนํ้ารับประทาน
- เด็กบวมนํ้า-องุ่นป่าครึ่งตำลึง แปะมิ่งหง 3 เฉียน ต้มนํ้า
- ปวดเมื่อยตามข้อ-องุ่นป่า 1 ตำลึง ต้มน้ำ
- ผื่นตามตัว-องุ่นป่าครึ่งตำลึง แปะมิ่งหง 3 แยน เปลือกถั่วดำ 1 ตำลึง ต้ม 2 เฉียน หรือองุ่นป่าครึ่งตำลึง ต้มกับดอกเงินทอง

บักเล็บแมวหรือเล็บเหยี่ยว
ต้นเล็บแมว ถือว่าเป็นผลไม้ที่อยู่ในท้องถิ่นของภาคอีสาน เป็นไม้เถายืนต้นขนาดพอดี ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป ต้นเล็บแมวนั้นจะมีหนามที่แหลมคล้ายกับเล็บของเหยี่ยว นอกจากนี้ส่วนที่เป็นน้ำหวานที่ออกมาจากต้นนั้นจะเหมาะกับการเป็นอาหารของแมลงตัวเล็กๆ เป็นอย่างมาก
เล็บแมว หรือ เล็บเหยี่ยว มีชื่อสามัญ Jackal Jujube, Small-fruited Jujube, Wild Jujube มีชื่อวิทยาศาสตร์ Ziziphus oenopolia (L.) Mill. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Rhamnus oenopolia L.) จัดอยู่ในวงศ์พุทรา (RHAMNACEAE) และมีชื่อเรียกในท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ตาฉู่แม โลชูมี (เชียงใหม่), เล็บแมว ยับเยี่ยว (นครราชสีมา), แสงคำ (นครศรีธรรมราช), สั่งคัน (สุราษฎร์ธานี, ระนอง), เล็บหยิ่ว ยับหยิ่ว (คลองหอยโข่ง-สงขลา), มะตันขอ หมากหนาม หนามเล็บเหยี่ยว (ภาคเหนือ), บักเล็บแมว (ภาคอีสาน), พุทราขอ เล็ดเหยี่ยว เล็บเหยี่ยว (ภาคกลาง), ยับยิ้ว (ภาคใต้) เป็นต้น
เล็บแมวนั้นส่วนใหญ่แล้ว จะออกดอกประมาณเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ติดผลในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม ผลแก่นั้นจะมีรสชาติที่เปรี้ยว สามารถรับประทานได้ เมื่อนำมาล้างให้สะอาด จะออกลูกหรือผลให้ได้ชิมประมาณต้นเดือนพฤศจิกายนถึงปลายเดือนธันวาคมของทุกปี
สรรพคุณของเล็บเหยี่ยว
- ตำรายาไทย จะใช้รากและเปลือกต้นนำมาต้มดื่มเป็นยาแก้โรคเบาหวาน
- ลำต้นเล็บเหยี่ยวตากแห้ง ใช้ผสมกับเปลือกลำต้นนางพญาเสือโคร่ง ลำต้นฮ่อสะพานควาย แก่นฝาง ข้าวหลามดง จะค่าน โด่ไม่รู้ล้ม ตานเหลือง ม้ากระทืบโรง ไม้มะดูก และหัวยาข้าวเย็น (ไม่ได้ระบุไว้ว่าข้าวเย็นเหนือ หรือข้าวเย็นใต้) นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงกำลัง และแก้อาการปวดเมื่อย
- คนเมืองจะใช้ลำต้นเล็บเหยี่ยวมาผสมกับข้าวหลามดง และปูเลย ปรุงเป็นยาช่วยทำให้มีกำลังหลังจากฟื้นไข้
- ผลมีรสเปรี้ยวหวาน ฝาดและเย็น มีสรรพคุณช่วยแก้อาการไอ ช่วยทำให้ชุ่มคอ ช่วยขับเสมหะ ส่วนตำรับยาแก้ไอ จะใช้รากเล็บเหยี่ยว ผสมกับรากหญ้าคา และรากหญ้าชันกาด นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไอ
- รากมีสรรพคุณช่วยในการย่อย และรักษาภาวะกรดเกิน
- ผลสุกใช้รับประทานเป็นยาระบาย
- รากช่วยแก้อาการปวดท้องจากโรคกระเพาะอาหาร
- ประเทศอินเดียจะใช้รากเป็นยาขับพยาธิตัวกลม
- รากและเปลือกต้นมีรสจืดเฝื่อนเล็กน้อย นำมาต้มดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ ใช้ต้มดื่มเป็นยาขับระดูขาวของสตรี, ช่วยแก้ฝีมุตกิด และฝีในมดลูกของสตรี ด้วยการใช้รากและเปลือกต้นนำมาต้มดื่ม, ช่วยแก้มดลูกพิการ ด้วยการใช้รากและเปลือกต้นนำมาต้มดื่ม
- ตำรับยาแก้ผิดสาบ จะใช้รากเล็บเหยี่ยว ผสมกับรากชะอม รากรางแดง รากสามสิบ แก่นจันทน์ขาว แก่นจันทน์แดง และเขากวาง นำมาฝนใส่ข้าวจ้าวกินแก้ผิดสาบ
- รากมีสรรพคุณเป็นยาช่วยสมานแผล ฆ่าเชื้อ ใช้ฝนกับน้ำทาแก้เล็บที่ห้อเลือด, เป็นยาทาแก้ฝี
- ตำรับยาพื้นบ้านล้านนาจะใช้รากเล็บเหยี่ยว ผสมกับรากกำจาย รากดังดีด รากคนทา รากทองกวาว รากมะแว้งต้น ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว นำมาตำให้ละเอียด แล้วทำเป็นยาประคบแก้ตะคริวบริเวณที่เป็น
![]()
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Food
- Hits: 981

โลกในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงวิกฤตโลกร้อน อากาศเปลี่ยนแปลง น้ำแข็งขั้วโลกละลาย แผ่นดินในหลายๆ ทวีปเริ่มมีปัญหาแห้งแล้งมากขึ้น ที่ไม่ใช่แต่ในบริเวณทะเลทรายเท่านั้น ทำให้การเพาะปลูกพืชพันธ์ เลี้ยงสัตว์มีปัญหาได้ผลผลิตน้อย ทำให้เกิดวิตกเกี่ยวกับการขาดแคลนอาหาร โดยเฉพาะ 'โปรตีน' ทั้งจากพืชและสัตว์ที่เริ่มลดน้อยลง นักวิทยาศาสตร์ นักโภชนาการ ได้ค้นพบว่า 'แมลง' มีสารอาหารประเภทโปรตีนอยู่มากไม่น่าเชื่อ เรื่องแบบนี้คนอีสานไม่เคยตกยุค สรรหาความแซ่บจากแมลงนานาชนิดไม่ว่าจะเป็น จิ้งหรีด จิ้งโกร่ง ตั๊กแตน จั๊กจั่น แมงดา แมงจินูน ฯลฯ มาทำอาหารอร่อยๆ มาเนิ่นนานตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว

ตั๊กแตนปาทังก้า เคยระบาดหนักในแถบทวีปอัฟริกา ทำลายพืชผลการเกษตรย่อยยับ จนเป็นที่วิตกต่อนานาชาติจน UN ต้องประกาศให้ทุกประเทศเฝ้าระวังและกำจัดอย่างเร่งด่วน ในประเทศไทยช่วงก่อนปี พ.ศ. 2530 ก็เกิดการระบาดเช่นเดียวกัน โดยฝูงตั๊กแตนปาทังก้าอพยพมาจากอินเดียและปากีสถาน ทำให้หลายจังหวัดต้องเฝ้าระวังและเตรียมการรับมืออย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม การระบาดได้ยุติลงเพียงไม่นานเท่านั้น เพราะชาวบ้านหาวิธี "จับตั๊กแตนมาทอดกรอบ เหยาะด้วยซอสแม็กกี้ให้หอม กินกันอย่างอร่อยทั่วบ้านทั่วเมือง" แทนการฉีดพ่นสารเคมี ปัจจุบัน แม้จะยังไม่มีการระบาดครั้งใหญ่ แต่หน่วยงานเกษตรฯ ก็ยังคงเตือนภัยเกษตรกรให้เฝ้าระวังอย่าประมาท เนื่องจากความนิยมในการเลี้ยงตั๊กแตนปาทังก้าเพื่อการค้า อาจทำให้หลุดรอดไปสร้างความเสียหายได้ (แถวข้างบ้านอาวทิดหมูเลี้ยงขายเป็นล่ำเป็นสันทีเดียว จนไม่พอส่งขาย)

เมื่อเนื้อสัตว์ใหญ่ที่มีสีแดงเป็นของแพงได้กินก็ต่อเมื่อมีโอกาสพิเศษเท่านั้น เนื้อกรุบกรอบมันๆ ของ 'แมลง' ซึ่งอยู่ชุกชุมในผืนนาและท้องไร่จึงกลายเป็นทางเลือกใหม่ของคนยาก ยิ่งในพื้นที่ที่ต้องเผชิญภัยแล้งอย่างอีสาน ที่ผืนไร่นาซึ่งเอาไว้เลี้ยงปากท้องมักมีช่วงเวลาแห้งเฉาไร้ชีวิตเนิ่นนาน เหลือแค่ผืนดินแห้งแล้ง กับคูคลองไร้สายน้ำ คนอีสานจึงเรียนรู้การใช้ชีวิตกับทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด และหากว่านั้นหมายถึงการต้องหา 'แมลง' กิน พวกเขาก็ไม่รังเกียจ ยิ่งด้วยรสชาติ ประโยชน์ พลังงานที่แมลงมอบให้พวกเขามีแรงทำงานต่อไปในแต่ละวัน พวกเขาจึงพร้อมอ้ารับเหล่าแมลงสู่ท้องอย่างไม่เดียดฉันท์ คนอีสานมีการบริโภค 'แมลง' เป็นส่วนหนึ่งของอาหารมาอย่างยาวนาน โดยถือเป็นภูมิปัญญาการดำรงชีวิตที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติรอบตัว แมลงถูกนำมาปรุงอาหารด้วยวิธีที่หลากหลาย เช่น แกง ปิ้ง ย่าง คั่ว ทอด นึ่ง ป่น หรือทำเป็นน้ำพริก โดยแมลงหลายชนิดอุดมไปด้วยโปรตีนและแร่ธาตุ

แม้คุณจะไม่ใช่หนึ่งในกลุ่มคนนิยมกิน 'แมลง' แต่เชื่อได้เลยว่า คุณจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับผลิตภัณฑ์อาหารที่มาจากแมลงมากขึ้น เพราะถึงมันจะไม่ได้มาในรูปแบบแมลงทอดกรอบๆ หอมซอสถั่วเหลือง แต่มันก็อาจมาในรูปแบบอื่นๆ เช่น โปรตีนบาร์ ซึ่งปัจจุบันก็มีให้ซื้อกินกันแล้ว จากความคุ้นเคยในการบริโภค 'แมลง' ตามวิถีอีสานบ้านเฮา สู่การยกระดับร่วมกับงานวิจัยทางวิชาการ นั่นกลายเป็นโอกาสสำคัญของพี่น้องไทอีสานที่จะเลี้ยง แปรรูป และจำหน่าย 'แมลง' อาหารบ้านๆ ตามท้องทุ่งมุ่งสู่สากล และเป็นอาหารในอนาคตของประชากรโลก ในขณะที่พื้นที่เลี้ยงวัวตามทุ่งกว้างหดหายไป และภูผาป่าไม้ตามชุมชนก็ลดน้อยลง 'แมลง' อาจจะเป็นทัพหน้าพาแมลงสู่ครัวโลก และไม่แน่ ต่อไปในอนาคต แมลงจีนูน จีโป่ม จีซอน และจีหลีด ทั้ง 4 G จากอีสานอาจจะได้โกอินเตอร์

จากข้อมูลของฝ่ายเศรษฐกิจและกิจการสังคมขององค์การสหประชาชาติ (UN) คาดการณ์ว่าในปี ค.ศ. 2050 จำนวนประชากรทั้งโลกจะเพิ่มขึ้นกว่า 9 พันล้านคน ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย พื้นที่ทางการเกษตร และอาจส่งผลถึงการขาดแคลนอาหารเช่นกัน โดยปัจจุบันหลายหน่วยงานได้ทำการวิจัย ค้นคว้า และพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ เพื่อหาแหล่งอาหารที่จะมาทดแทนแหล่งอาหารเดิมที่หายไป โดยเฉพาะแหล่งโปรตีนที่เป็นสารอาหารหลักอีกประเภทที่มนุษย์ต้องการ รองจากคาร์โบไฮเดรตและไขมัน แต่ส่วนใหญ่โปรตีนที่มนุษย์บริโภคก็มาจากเนื้อสัตว์ เช่น วัว หมู ไก่ ซึ่งเป็นการทำปศุสัตว์ที่ต้องใช้พื้นที่เยอะ และใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ดังนั้น แหล่งโปรตีนอีกประเภทที่กำลังถูกพูดถึงมากนั่นก็คือ 'แมลง'
EP11 : เมนูหกขา l พหุโอชา : Thai Diversity in the Dishes
แมลง นับว่าเป็นอีกทางออกหนึ่งที่น่าสนใจ ในการที่จะใช้แหล่งโปรตีนทดแทนโปรตีนที่มาจากสัตว์ใหญ่ ที่ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในยุคที่ทรัพยาการขาดแคลน ซึ่งหากย้อนกลับไปในอดีตเราจะเห็นว่า คนอีสานนั้นมีการบริโภคแมลงมายาวนาน เนื่องจากมีภูมิประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ชาวอีสานมักจะมีอาชีพทำเกษตรและหาอาหารตามป่าเขา เมื่อเจอแมลงที่มีหลายชนิดตามแต่ฤดูกาลก็มักจะนำมาประกอบอาหารกิน รวมถึงวัฒนธรรมการกินของคนอีสานในอดีตจะไม่นิยมบริโภคสัตว์ใหญ่ด้วย เพราะส่วนมากจะเลี้ยงไว้ใช้แรงงาน ดังนั้นคนอีสานจึงมีความคุ้นเคยการกินแมลงเป็นอย่างดี
ถ้าจะพิจารณาแหล่งที่อยู่อาศัยของแมลง พบว่า แมลง ที่นำมากินสามารถหาได้จากแหล่งสำคัญๆ ดังนี้
- ในดิน แมลงที่หาเก็บได้จากดิน ได้แก่ จิ้งหรีดบ้าน จิ้งหรีดนา จิโปม (จิ้งหรีดหางสั้น) แมงกระชอน แมงมัน แมงกินูน กุดจี่ ฯลฯ
- ต้นไม้-พุ่มไม้ เป็นแหล่งที่อยู่ของมดแดงและไข่มดแดง ตั๊กแตนปาทังก้า ตั๊กแตนอีโม่ ด้วงปีกแข็ง (เช่น กว่าง) จั๊กจั่น หนอนไม้ไผ่ รังผึ้งและรังต่อ แมลง
- บึงน้ำ ทุ่งนา แมลงบางชนิดสามารถหาเก็บได้จากแหล่งน้ำ เช่น แมงดานา แมงตับเต่า แมงเหนี่ยง ตัวอ่อนแมลงปอ ฯลฯ
- การเพาะเลี้ยง มีแมลงบางชนิดได้จากการเพาะเลี้ยง ได้แก่ หนอนไหม และผึ้ง ปัจจุบันมีการทำฟาร์มจิ้งหรีดไข่ (หรือจิ้งหรีดขาว) อย่างแพร่หลายโดยเฉพาะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) และภาคเหนือ
ปริมาณแมลงที่ได้จากการล่า หรือหาเก็บจากแหล่งธรรมชาติ มักจะเป็นไปตามฤดูกาล แต่ช่วงเดือนเมษายนถึงสิงหาคม จะเป็นช่วงที่นักล่า หาเก็บสามารถรวบรวมแมลงได้หลากหลายชนิด เช่น มดแดง (ไข่มดแดง) จิ้งหรีด แมงกินูน แมงดานา ฯลฯ แต่เมื่อมองภาพรวมในรอบปีแล้วคนไทยจะมีอาหารแมลงชนิดต่างๆ หมุนเวียนให้กินตลอดปี ส่วนหนึ่งได้จากการเพาะเลี้ยง ซึ่งนับวันจะมีเกษตรกรหันมาเพาะเลี้ยงแมลงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จิ้งโกร่งเลี้ยงสบาย รายได้แซงทางโค้ง | มหาอำนาจบ้านนา
วิธีปรุงอาหารแมลง
ในอดีต คนไทยภาคอีสานและภาคเหนือ เป็นกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมการกินแมลงมาก่อน วิธีการปรุงไม่ได้แตกต่างจากอาหารพื้นบ้านรายการอื่นๆ แต่อย่างใดวิธีปรุงอาหารแมลงได้แก่ ยำ (เช่น ไข่มดแดง) ห่อหมก อู๋ (วิธีการปรุงอาหารชนิดหนึ่งของภาคอีสานที่ปรุงด้วยเครื่องแกง มีน้ำขลุกขลิก ซึ่งอาจปรุงด้วยลูกอ๊อดหรือปลาเล็กปลาน้อย เป็นต้น) น้ำพริก (แจ่วหรือป่น) นึ่ง ลวก แกง (เช่น แกงผักหวานใส่ไข่มดแดง หรือใส่แมงกินูน ฯลฯ) ปิ้ง-ย่าง (เช่น จั๊กจั่น แมงดานา) และคั่ว (เช่น แมงกินูน) ปัจจุบัน ตำรับอาหารแมลงสนองตอบคนในเขตเมืองมากขึ้น วิธีปรุงนอกจากมีรูปแบบพื้นบ้านแล้ว อาจจะมีวิธีปรุงในรูป ผัด ทอด (เช่น ไข่เจียวใส่ไข่มดแดง ไข่เจียวใส่ตัวอ่อนแมลงปอ) ชุบแป้งทอด ยิ่งไปกว่านั้น อาจจะสามารถหากินอาหารแมลงที่ปรุงตามตำรับสากล เช่น เบอร์เกอร์ แซนด์วิช และพิซซ่าที่ใช้หนอนไม้ไผ่ หรือหนอนไหม อาหารเหล่านี้จะพบเห็นในย่านที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น ภัตตาคาร แถบตลาด อตก. ถนนข้าวสาร พัฒน์พงษ์ สวนลุมไนท์บาร์ซ่า ภัตตาคารในจังหวัดท่องเที่ยวทางภาคเหนือและอีสาน
เจาะใจ The Lounge : จับแมลงสู่จานหรู กับ ‘เชฟใหม่’ ฐิติวัชร ตันตระการ
การที่อาหาร 'แมลง' เป็นที่ยอมรับของผู้คนทั้งในเขตเมืองและชนบท ธุรกิจด้านอาหารแมลงจึงเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ จากการติดตามเส้นทางการค้าของแมลงกินได้ พบว่า ปัจจุบันการเก็บหาแมลงในพื้นที่เกษตรกรรม ที่เคยเป็นพื้นที่ระบาดของแมลงกินได้มีน้อยลง เพราะเกษตรกรกำจัดปัญหาโดยการจับกินเป็นอาหาร แล้วยังนำไปจำหน่ายในตลาดอีกด้วย จนอาจกล่าวได้ว่าแมลงกินได้ที่มีในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการเสียแล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงมีการนำเข้าแมลงจากประเทศเพื่อนบ้าน เส้นทางที่สำคัญที่เป็นจุดนำเข้าแมลง คือ ตลาดโรงเกลือ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว จากนั้น แมลงดิบจะนำเข้าไปจำหน่ายที่ตลาดของเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพฯ (ตลาดคลองเตย ตลาดเทเวศร์) ขอนแก่น พิษณุโลก ฯลฯ ต่อไป
นอกจากนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ปัจจุบันการทำ 'ฟาร์มเลี้ยงแมลง' กินได้เริ่มได้รับความสนใจ มีการส่งเสริม ทดลองเลี้ยงเพื่อเป็นแหล่งรายได้ของครอบครัวในพื้นที่ทางภาคอีสานและภาคเหนือ บางฟาร์มเริ่มมีลูกค้าประจำมารับซื้อแมลงที่ยังมีชีวิต เพื่อนำไปปรุงจำหน่ายในตลาดต่อไปปกติแล้วสามารถหาซื้ออาหารแมลงที่ปรุงแล้ว (แมลงทอด แมลงชุบแป้งทอด แมลงนึ่ง ฯลฯ) ได้จากพ่อค้า-แม่ค้ารถเข็นตามริมทางเดิน ตลาดอาหาร ตลาดนัด ตลาดนัดหน้าโรงงาน ร้านอาหาร ภัตตาคาร และศูนย์อาหารตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป
แมลงดานา พลิกชีวิต | มหาอำนาจบ้านนา
องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้ยกให้ 'จิ้งหรีด' เป็นแหล่งโปรตีนจากสัตว์ที่มีประสิทธิภาพสูงและยั่งยืน เพราะในปริมาณที่เท่ากัน จิ้งหรีดสามารถให้โปรตีนมากกว่า วัว หมู และไก่ ถึง 68 % ทำให้การบริโภคจิ้งหรีดแพร่หลายมากขึ้น รวมทั้งในต่างประเทศ จึงทำให้เกิดอาชีพการเลี้ยงแมลง และอุตสาหกรรมการแปรรูปแมลง ที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกร และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้
จิ้งหรีด โปรตีนชั้นดี รายได้ไฮโซ : มหาอำนาจบ้านนา
คุณค่าทางโภชนาการของแมลงกินได้
สถาบันการศึกษาและหน่วยงานด้านสุขภาพหลายแห่ง ให้ความสนใจเกี่ยวกับคุณค่าอาหารแมลง เพราะเป็นอาหารของกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยเข้าถึงได้ และน่าจะช่วยบรรเทาปัญหาภาวะทุโภชนาการของกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยอีกด้วย ผลการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการพบว่า จุดเด่นของอาหารแมลงอยู่ที่ปริมาณสารอาหารกลุ่มพลังงาน โปรตีน และไขมัน สำหรับเกลือแร่ที่มีอยู่จำนวนมากได้แก่ ธาตุฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม ส่วนวิตามินที่พบในแมลงได้แก่วิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 ซึ่งมีอยู่ไม่มากนัก (สถาบันวิจัยโภชนาการ พ.ศ. 2548)
สารอาหารพลังงาน
กลุ่มหนอนไหม หนอนไม้ไผ่ ตัวอ่อนของผึ้ง ตัวต่อและไข่มดแดง จะมีสารพลังงานค่อนข้างสูง กล่าวคือ ปริมาณดิบ 100 กรัมให้พลังงานประมาณ 140-230 กิโลแคลอรี สำหรับแมลงที่มีเปลือก เช่น จิ้งหรีด ตั๊กแตนปาทังก้า แมงตับเต่า ถ้าเด็ดปีกเลือกเอาเฉพาะส่วนที่กินได้ และสภาพแมลงดิบปริมาณ 100 กรัม มีความจุของสารอาหารพลังงานประมาณ 90-150 กิโลแคลอรี (นันทยา จงใจเทศและคณะ พ.ศ. 2549)
และถ้าผ่านการลวกให้สุก สารอาหารพลังงานอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่ไม่มากนัก การนำแมลงไปทอด สารพลังงานเพิ่ม 3-4 เท่า เช่น หนอนไม้ไผ่ดิบ 100 กรัมให้พลังงานประมาณ 230 กิโลแคลอรี เมื่อนำไปทอด หนอนไม้ไผ่ทอด 100 กรัมจะให้พลังงาน 644 กิโลแคลอรี สำหรับจิ้งหรีดดิบ (ชำแหละแล้ว) จำนวน 100 กรัมให้พลังงาน 133 กิโลแคลอรี แต่เมื่อนำไปทอด ปริมาณที่ทอดแล้ว 100 กรัม จะให้พลังงาน 465 กิโลแคลอรี (สถาบันวิจัยโภชนาการ พ.ศ. 2548) ดังนั้น ถ้ากินในรูปของการชุบแป้งทอด ก็จะทำให้ได้พลังงานมากกว่านี้
โปรตีน
การวิเคราะห์ตัวอย่างแมลงกินได้ของนักวิชาการจาก กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ทำให้ทราบว่า แมลงเป็นแหล่งโปรตีนเนื้อสัตว์ที่ดีอีกแหล่งหนึ่ง แมลงดิบ 100 กรัม จะให้โปรตีนประมาณ 9-65 กรัม ซึ่งใกล้เคียงกับปริมาณโปรตีนที่ได้จากไข่ไก่ 1 ฟอง หรือหมูบด-เนื้อไก่ 100 กรัม (โปรตีนในไข่ไก่ 1 ฟอง = 13 กรัม; ในหมูบด 100 กรัม = 18 กรัม; ในเนื้อไก่ 100 กรัม = 28 กรัม)
หนอนไม้ไผ่มีโปรตีนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับจิ้งหรีด แมงกระชอนและกินูน (โปรตีนในหนอนไม้ไผ่ = 9 กรัม; จิ้งหรีด = 17 กรัม; แมงกระชอน = 15 กรัม และกินูน = 13 กรัม) กลุ่มแมลงกินได้นี้ ตั๊กแตนปาทังก้าและแมงมันเป็นแมลงที่มีปริมาณโปรตีนมากกว่าชนิดอื่นๆ คือ โปรตีนจากปาทังก้า 100 กรัม = 27 กรัม และแมงมันมีโปรตีนประมาณ 65 กรัม วิธีการปรุงไม่ว่าลวกหรือทอดอาจจะมีผลต่อปริมาณโปรตีนบ้าง แต่ไม่มากนัก
นอกจากปริมาณโปรตีนแล้ว ความสำคัญทางโภชนาการจะพิจารณาคุณภาพของโปรตีนควบคู่ไปด้วย คุณภาพของโปรตีนบ่งชี้ได้จาก คะแนนของกรดอะมิโน ค่าดังกล่าวหมายถึงสัดส่วนปริมาณกรดอะมิโนแต่ละชนิดที่มีในอาหารแมลง เมื่อเทียบกับปริมาณที่ร่างกายควรจะได้รับกรณีเช่นนี้ พบว่า หนอนไหมมีโปรตีนที่มีคุณภาพดีที่สุด รองลงมาคือ หนอนไม้ไผ่ จิ้งหรีด ตัวต่อ และ ตั๊กแตนปาทังก้า สำหรับโปรตีนในแมงกินูนเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพค่อนข้างต่ำ (นันทยา จงใจเทศและคณะ พ.ศ. 2549)
ไขมัน
ระดับไขมันในอาหารแมลง จะสอดคล้องกับปริมาณพลังงานที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แมลงที่มีไขมันสูงได้แก่ หนอนไม้ไผ่ คือ น้ำหนักดิบ 100 กรัมมีไขมันประมาณ 20 กรัม ที่เหลือมีไขมันอยู่ประมาณ 4-12 กรัม (ได้แก่ ปาทังก้า จิ้งหรีด หนอนไหม และตัวต่อ)

"การทอด" เป็นวิธีปรุงที่มีผลต่อการเพิ่มไขมันในอาหารแมลง โดยทั่วไป แมลงดิบ 100 กรัม จะดูดซับเอาไขมันจากการทอดประมาณ 13-17 กรัม (อรพินท์ บรรจงและคณะ พ.ศ. 2545) แต่ประเภทหนอนไม้ไผ่ หรือหนอนไหมอาจจะดูดซับน้ำมันได้มากกว่านี้ กล่าวคือ หนอนไม้ไผ่ดิบซึ่งมีไขมันประมาณ 20 กรัม เมื่อนำมาทอดพบว่า ในหนอนไม้ไผ่ทอด 100 กรัมจะมีไขมันอยู่ประมาณ 55 กรัม ประเภทของไขมันในอาหารแมลง โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลและกรดไขมัน จะช่วยบ่งชี้คุณภาพของไขมันในอาหารแมลง การวิเคราะห์ของ นันทยา จงใจเทศ และคณะ พ.ศ. 2549 พบว่า จิ้งหรีดเป็นแมลงที่มีคอเลสเตอรอลสูง (105 มิลลิกรัม ต่อแมลง 100 กรัม) ตามด้วย ตั๊กแตนปาทังก้า (66 มิลลิกรัม) แมงกินูน (56 มิลลิกรัม) และ หนอนไม้ไผ่ (34 มิลลิกรัม)
สำหรับกรดไขมัน ซึ่งประกอบด้วย กรดไขมันอิ่มตัว และ กรดไขมันไม่อิ่มตัว และกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวก็ยังประกอบด้วย กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดียว (monounsaturated fatty acid) และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fatty acid) ตามหลักการทางโภชนาการนั้น ร่างกายควรได้รับกรดไขมันทั้ง 3 องค์ประกอบนี้ (กรดไขมันอิ่มตัว กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งหลายตำแหน่ง) คิดเป็นสัดส่วน 1 : 1 : 1 จากตัวอย่างอาหารแมลงชุดดังกล่าวนี้ พบว่าจิ้งหรีด จิโปม ตั๊กแตนปาทังก้า และกินูน เป็นแมลงที่มีสัดส่วนของกรดไขมันเป็นไปตามที่แนะนำข้างต้นนี้
สารไคติน
ไคติน เป็นองค์ประกอบของโครงสร้างร่างกายของสัตว์ประเภทกุ้ง ปู และแมลง สารไคตินจากเปลือกแมลง มีประโยชน์ต่อผู้ที่ชื่นชอบอาหารแมลง กล่าวคือ เมื่อไคตินลงสู่ลำไส้ ไคตินจะถูกย่อยด้วยเอนไซม์ไคตินเนส ส่วนหนึ่งได้ผลเป็นสารไคโทซาน จากนั้นทั้งไคตินและไคโทซานสามารถจับตัวกับไขมัน ส่งผลต่อการลดลงของระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้ (Majeti & Kumar, 2000) นอกจากนี้ ไคตินและไคโทซานยังช่วยต่อต้านการติดเชื้อจากยีสต์ในระบบทางเดินอาหารอีกด้วย (Koide, 1998)

ข้อควรระวังจากการกินแมลงมีอะไรบ้าง
ถ้าหากคุณลองเมินรูปลักษณ์ของแมลงแล้ว หันมาทดลองชิมแมลงทอด เชื่อแน่ว่านักชิมหลายคนจะต้องติดใจรสชาติ และเนื้อสัมผัสของแมลงทอด จนอาจจะหันมายอมรับอาหารแมลงอย่างต่อเนื่องก็เป็นได้
ส่วนที่ทำให้แมลงทอดมีกลิ่นหอมและรสชาติอร่อย มาจากส่วนของไขมันที่มีในตัวแมลง และส่วนที่เป็นเปลือกที่เรียกว่า สารไคติน เมื่อไคตินถูกความร้อน อาจจะโดยการเผา ปิ้ง ย่าง หรือทอด จะทำให้แมลงมีเนื้อสัมผัสกรอบ มีกลิ่นหอม ชวนให้การขบเคี้ยวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คำแล้วคำเล่า ตัวแล้วตัวเล่า จนนักชิมอาจจะลืมปริมาณที่ตนกินเข้าไป ดังนั้น การกินอาหารแมลงมีข้อควรระวังดังนี้
ปริมาณที่กิน
การกินแมลงเป็นของว่าง ของขบเคี้ยว หรือกินเป็นกับแกล้มในวงนักดื่ม โดยเฉพาะแมลงทอด อาจจะสร้างความเพลิดเพลินแก่นักกิน จนส่งผลทำให้ร่างกายได้สารอาหารพลังงาน ไขมัน และคอเลสเตอรอลเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ และเกิดเป็นภาวะอ้วนติดตามมาได้นอกจากนี้ การกินแมลงในปริมาณมากและบดเคี้ยวไม่ละเอียด จะทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณโคนลิ้น เนื่องจากสารไคตินจากเปลือกแมลงอีกด้วย
พ่อค้าบางรายทำการทอดแมลงในน้ำมันที่ใช้ซ้ำๆ กัน น้ำมันที่ผ่านการใช้มาแล้วหลายๆ ครั้ง จะเป็นอันตรายต่อร่างกายเพราะมีสารก่อมะเร็งปะปนอยู่ ซึ่งในส่วนนี้ผู้ซื้ออาจจะตรวจสอบหรือสังเกตได้ยาก จึงควรหลีกเลี่ยงการกินแมลงปริมาณมากๆ กรณีที่ติดใจรสชาติจริง อาจจะต้องปรุงเองในครอบครัว เพื่อลดความเสี่ยงที่จะได้รับสารก่อมะเร็งดังกล่าว แม้ว่าสารไคตินจากเปลือกแมลงมีประโยชน์ต่อร่างกาย กรณีช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดแล้ว ตรงกันข้าม ไคตินและไคโทซานอาจจะก่อให้เกิดผลลบต่อร่างกายได้ เพราะกระบวนการจับตัวของไขมัน ไคโทซานจะสร้างสารที่มีลักษณะเป็นวุ้น ซึ่งวุ้นดังกล่าวจะไปรบกวนการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมัน (โดยเฉพาะวิตามินเอ ดี และอี) และเกลือแร่ ซึ่งในระยะยาวจะก่อให้เกิดความพร่องของการดูดซึมแคลเซียมได้ และถ้ามีความพร่องของการดูดซึมวิตามินดีควบคู่อยู่ด้วย ก็จะส่งผลต่อความแข็งแรงของกระดูกเป็นลำดับ กรณีเช่นนี้จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งถ้าเกิดขึ้นกับสตรีที่ตั้งครรภ์ (Majeti & Kumar, 2000)

นอกจากนี้ การกินแมลงอาจจะมีอันตรายจากการปนเปื้อนสารพิษฆ่าแมลง หรือสารเคมี ที่เกษตรกรใช้ในการกำจัดศัตรูพืชนั้น โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้คงมีไม่มากนัก ทั้งนี้เพราะอาหารแมลงเป็นสินค้าที่ทำรายได้ดี มีการเลี้ยงในสถานที่ปิดเฉพาะในประเทศ (ปัจจุบันมีมากกว่า 5,000 ฟาร์ม) พ่อค้าที่รับซื้อแมลงสดจะพิจารณาเลือกซื้อแมลงที่ยังมีชีวิตหรือสด เพื่อลดการสูญเสียจากการเน่าเสียของแมลง ที่ตายระหว่างการขนส่งเข้าสู่ตลาดในเมืองใหญ่ พ่อค้าบางรายถึงกับทำการทอดแมลง ณ จุดรับซื้อทันที เพื่อลดการสูญเสียดังกล่าวหลังจากรับซื้อไว้แล้ว
รู้จักกินพอดีชีวีเป็นสุข
การกินอาหารมักจะให้ผลต่อสุขภาพ 2 ด้านเสมอ ด้านบวกซึ่งเป็นการส่งเสริมสุขภาพ จะต้องรู้จักเลือกกินให้พอดีทั้งปริมาณและคุณภาพ แต่ถ้าการกินไม่สมดุลก็จะนำไปสู่ภาวะทุโภชนาการได้ อาหารแมลงก็เช่นเดียวกัน เพราะแมลงเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการโดยเฉพาะในด้านสารพลังงาน โปรตีน ไขมันและแร่ธาตุ คุณค่าเหล่านี้น่าจะส่งผลดีต่อกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย เพราะมีกำลังซื้ออาหารจำกัด
![]()
- Details
- Written by: ทิดหมู มักหม่วน
- Category: Food
- Hits: 1485

เมื่อสองวันก่อน ผู้ข้าอาวทิดหมู มักหม่วน ได้ไปเอาบุญไปเยี่ยมยามพี่น้องทางนาแกนครพนม ได้พบพ้อสังสรรค์กินดื่มกับอ้ายน้องทางนั้นจนฮอดเดิกดื่น เมาปี้นเลยพี่น้องด้วย 'เหล้าอุ' หวานๆ ดูดด้วยหลอดดูดท่อไม้ไผ่ซาง น้ำหวานเบิดกะเติมน้ำเปล่าลงไปเขย่าๆ แล้วกะหวานจ้วยๆ คือเก่า เพราะน้ำที่เติมลงไปจะไปละลายน้ำตาลออกจากข้าว น้ำสองจะมีรสชาติเจือจางลงนิดหนึ่ง แต่ยังมีน้ำตาลและยีสต์เหลืออยู่ พอที่จะหมักให้แอลกอฮอล์ได้อีก และอาจเติมได้ถึงน้ำสามไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจืด
ตื่นเซ้ามาหลานชายมาถามว่า "ลุงคือเมาคักแท้มื้อคืนนี้ ฮ้องลำทำเพลงม่วนกว่าหมู่ บ่เคยพ้อเหล้าอุหวานๆ ตี้..." อือม์ ข้าน้อยเมาเสียหมาปานนั้นติ โอยน้อ! กะบ่เคยกินเหล้าวานจ้วยๆ ปานนี้น้อ กระท่อมน้อยฮิมมูลอาวทิดหมูกะมีแต่เหล้าโทบ่ส้ม กะขมแป๋ตาย ดนๆ จั่งสิใส่แป้งได้หวานๆ จักเถื่อ กะเลยได้โอกาสไปสนทนากับพ่อลุงผู้เป็นผู้ชำนาญในการเฮ็ดเหล้าหวานๆ ที่มีชื่อเรียกกันในแถบนี้ว่า "เหล้าอุ"

ความต่างระหว่างเหล้าสาโทและเหล้าอุ
เหล้าอุ และ เหล้าสาโท ต่างก็เป็นสุราแช่ที่ทำจากข้าว โดยมีความคล้ายคลึงกันในกระบวนการผลิตและวัตถุดิบหลัก แต่มีความแตกต่างที่สำคัญคือ เหล้าอุมีส่วนผสมของแกลบข้าวและรำข้าว ซึ่งให้สีเหลือง และมีกลิ่นหอมของข้าวเปลือก ในขณะที่ สาโทจะไม่มีส่วนผสมของแกลบ ทำให้มีสีขาวขุ่น และรสชาติหวานอมเปรี้ยวเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ เหล้าอุ เป็นที่รู้จักในฐานะ เครื่องดื่มต้อนรับแขกของชาวภูไท ในอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม
เหล้าอุ :
- ส่วนประกอบ: หมักจากข้าวเหนียว แกลบ รำข้าว และแป้งเหล้าผสมสมุนไพรต่างๆ
- ลักษณะ: มีสีเหลืองจากแกลบข้าว มีกลิ่นหอมของข้าวเปลือก
- ที่มา: เป็นภูมิปัญญาของชาวภูไท โดยเฉพาะที่อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม
สาโท :
- ส่วนประกอบ: ทำจากข้าว (มักเป็นข้าวเหนียว) หมักกับลูกแป้งที่ให้เชื้อราและยีสต์ตามธรรมชาติ
- ลักษณะ: เป็นของเหลวขุ่น สีขาวขุ่น รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย คล้ายไวน์ข้าว
กระบวนการทำ (โดยทั่วไป)
ทั้ง เหล้าอุ และ เหล้าสาโท ต่างก็ใช้วิธีการหมักข้าวเหนียวกับลูกแป้งในไหเหมือนๆ กัน
เหล้าสาโทประกอบด้วยเชื้อราและยีสต์ เป็นสุราหมักที่นิยมในภาคเหนือและอีสาน มีลักษณะเป็นของเหลวขุ่นรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย คล้ายไวน์ข้าวนิยมใช้ข้าวเหนียวนึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก จากนั้นหมักกับลูกแป้งซึ่งมีเชื้อราและยีสต์ตามธรรมชาติ กระบวนการนี้ เปลี่ยนแป้งในข้าวให้กลายเป็นน้ำตาลและแอลกอฮอล์ โดยปริมาณแอลล์กอฮอล์จะอยู่ที่ 5-12 % ดีกรี มีทั้งแบบพาสเจอร์ไรซ์และสาโทสด
ส่วนแป้งเหล้าสำหรับอุจะมีการผสมสมุนไพร และรากไม้ต่างๆ เพื่อให้ได้รสชาติและสรรพคุณตามต้องการ หลังจากหมักในไหแล้ว จะเติมน้ำเพื่อให้สามารถดื่มได้

เหล้าอุ เป็นเครื่องดื่มมึนเมาที่มีรสชาติหวานกลมกล่อม มีดีกรีอยู่ที่ 5–10 ดีกรี มีกรรมวิธีทำโดยหมักข้าวเหนียวและแป้งเหล้าในไห โดยแป้งเหล้าจะใช้ส่วนผสมอย่าง ข่า พริกแห้ง อ้อยสามสวน (สมุนไพรชนิดหนึ่งที่เปลือกมีรสหวาน) แป้งข้าวเหนียวและข้าวเจ้าผสมกัน รวมทั้งรากไม้ทั้งสี่ชนิด คือ รากตดหมูตดหมา รากประสงค์ รากต้นหมาก และรากมะพร้าวไฟ บดให้รวมเข้ากันได้ดี แล้วนำข้าวเหนียวและข้าวเจ้าที่ผสมกันอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ไปคลุกเคล้ากับส่วนผสมที่บดแล้ว อัตราส่วน 1 ส่วนต่อข้าวเหนียวข้าวเจ้า 2 ส่วน จากนั้นใส่น้ำเล็กน้อยและปั้นให้เป็นก้อน เสร็จแล้วนำก้อนแป้งไปวางบนภาชนะแบนที่รองด้วยแกลบข้าว สุดท้ายนำเหล้าขาวพรมให้ทั่วและปิดด้วยผ้าขาวบาง 1 คืน รุ่งขึ้นนำไปตากแดดให้แห้ง เป็นอันเสร็จสิ้นพร้อมที่จะไปผ่านกระบวนการหมักเป็นเหล้า

ในการหมักเหล้าอุนั้น จะต้องนำข้าวเหนียวผสมแกลบ อัตราส่วน 4 ต่อ 6 ใน 10 ส่วน แล้วนำไปล้างน้ำให้สะอาด และแช่น้ำค้างคืนไว้ก่อนที่จะนำไปหุงให้สุก ก่อนจะนำไปผึ่งลมให้เย็น และไปคลุกเคล้ากับแป้งเหล้าที่ตำให้แหลก พอผสมกันได้ที่แล้วก็หมักไว้ในถุงหรือไห ประมาณ 2–3 วัน ให้ออกกลิ่นเหล้า แล้วนำไปหมักในไหสะอาด ปิดไหด้วยใบตองแห้งพับ และขี้เถ้าผสมน้ำ เก็บไว้อีก 7–15 วัน เปิดออกและเติมน้ำลงไปก็พร้อมรับประทานทันที โดยจะใช้ไม้กระแสนเจาะรูเพื่อดื่มเหล้าอุ
เหล้าอุมีชื่อเรียกอีกหนึ่งชื่อว่า “ช้าง” สอดคล้องกับประเพณี “พิธีชนช้างเรณูนคร” เป็นประเพณีการเลี้ยงแขกด้วย เหล้าอุ หรือที่เรียกว่า “เหล้าช้างเรณูนคร” พิธีนี้จะเริ่มด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมของชาวภูไทเมืองเรณูนคร และปิดท้ายด้วยการ “ชนช้าง” ที่จะให้ชายและหญิงแข่งกันดูดเหล้าอุจากไห แข่งกัน 3 ยก มีกติกาว่า ห้ามพ่นน้ำ ต้องจ้องตากัน หากผู้ใดถอนริมฝีปากก่อนจะเป็นฝ่ายแพ้ โดยประเพณีนี้เป็นสิ่งที่ชาวเรณูนครปฏิบัติสืบต่อกันมาเมื่อมีแขกบ้านแขกเมืองมาเยี่ยมเยียนที่ถิ่นของตน

การเลี้ยงต้อนรับผู้มาเยือน นับว่าเป็นสิ่งที่คนไทยปฏิบัติกันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการต้อนรับญาติสนิทมิตรสหายที่มาบ้านเรือนด้วยความเอื้อเฟื้อ หรือต้อนรับอาคันตุกะหรือแขกบ้านแขกเมืองของประเทศอย่างเป็นมิตร แสดงให้เห็นถึงนิสัยความโอบอ้อมอารีของคนไทยอย่างแท้จริง
ที่มา : นิตยสารศิลปวัฒนธรรม

เหล้าสาโท หรือ น้ำขาว คือ สุราแช่ประเภทหนึ่ง ทำจากข้าวชนิดต่างๆ ที่ผ่านการหมักด้วยลูกแป้ง หรือเชื้อราและยีสต์ เพื่อเปลี่ยนแป้งในข้าวให้เป็นแอลกอฮอล์ โดยสาโทที่ผ่านกระบวนการหมักแล้วจะมีแรงแอลกอฮอล์ไม่เกิน 15 ดีกรี สาโทเป็นเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ชนิด ไวน์ข้าว (Rice Wine) ที่ไม่ผ่านกระบวนการกลั่น ถ้านำไปกลั่นก็จะได้เป็น เหล้าขาว นิยมผลิตกันในประเทศแถบภูมิภาคเอเชีย อาทิ จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น และไทย โดยจะมีชื่อเรียกต่างกันไป คือ ไป๋จิ่ว (Baijiu) ในประเทศจีน, โซจู (Soju) ในประเทศเกาหลี, โชจู (Shochu) ในประเทศญี่ปุ่น และในประเทศไทยโดยทั่วไปจะเรียกตามชื่อของเหล้าพื้นเมืองนั้น ๆ หรือเรียกสั้นๆ ว่า สุรากลั่น (สรถ.)
กระบวนการผลิตสาโท
เริ่มจากการนำข้าวเหนียวมาแช่น้ำและนึ่งให้สุก ปล่อยให้เย็น แล้วนำมาคลุกเคล้ากับผงลูกแป้ง (แป้งข้าวหมาก) ที่บดแล้ว (ซึ่งเป็นหัวเชื้อที่มีจุลินทรีย์ที่จะช่วยในการหมัก) ก่อนนำลงหมักในภาชนะปิดสนิท (มีช่องอากาศเล็กน้อย ชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้ "ไหซอง" แต่ต้องเป็นไหใหม่ที่ไม่เคยใช้บรรจุปราร้า หรือหน่อไม้ดองมาก่อน นัยว่าจะทำให้สาโทที่ได้เปรี้ยวมีกลิ่นแปลกๆ ด้วย) ยีสต์ในลูกแป้งทำให้เกิดการเปลี่ยนแป้งในข้าวเหนียวเป็นน้ำตาล และในขั้นตอนถัดไป จุลินทรีย์เหล่านี้จะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์ ส่งผลให้เกิดรสชาติที่หวานและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของข้าว การหมักใช้เวลานาน 20-35 วัน ก่อนแยกน้ำสาโทออกจากกากพร้อมดื่ม

ในการหมักสาโท เมื่อหมักจนถึงวันที่ 5 หากรองชิมน้ำสาโทจะพบว่า น้ำสาโทมีความหวานมาก ซึ่งน้ำสาโทจะเริ่มหวานมาตั้งแต่วันที่ 3 ของการหมัก น้ำหวานสาโทในระยะนี้มักเรียกว่า “น้ำต้อย” มาจากคำว่า น้ำ ซึ่งหมายถึง น้ำหวานของสาโท ส่วนคำว่า ต้อย ในภาษาอีสานหมายถึง การจับต้อง ซึ่งน่าจะมีความหมายที่มาจาก น้ำหวานสาโทที่ชวนให้ใช้นิ้วมือจิ้มขึ้นมาชิม (การจิ้มลงในข้าวหมักคือ การต้อย) เมื่อมีรสที่ชอบจึงมักจะเปิดดื่มก่อน แทนที่จะปล่อยหมักให้น้ำหวานกลายเป็นน้ำสาโทที่มีแอลกอฮอล์
ในวันที่ 5-7 ของการหมัก ให้เปิดฝาหรือผ้าปิดออก พร้อมนำน้ำที่ต้ม และตั้งให้อุ่นเล็กน้อยหรือเย็นแล้วประมาณ 0.8 ลิตร หรือ 2 ขันครึ่ง เทใส่ภาชนะหมัก โดยค่อยรินใส่เบาๆ เพื่อไม่ให้ก้อนข้าวสาโทแตก ก่อนจะปิดฝา เรียกว่า การผ่าเหล้า และหมักทิ้งไว้อีก 2-5 อาทิตย์ ตามต้องการ แต่ทั่วไปจะหมักนานไม่เกิน 1 เดือน หรือ 1 เดือน กับ 5 วัน (รวมเวลาการหมักแล้วประมาณ 20-35 วัน) เพราะหากนานกว่านี้มักมีรสเปรี้ยวแล้ว
ทั้งนี้ ความหวาน ความเข้มข้นจะขึ้นอยู่กับปริมาณแป้งหรือน้ำตาลในข้าวว่ามีมากหรือน้อย หากแป้งหรือข้าวน้อย แต่หมักนานก็จะทำให้มีรสเปรี้ยว วิธีแก้ คือ เติมข้าวนึ่งเพิ่มหรือน้ำผลไม้หรือเติมน้ำตาล ก็จะเพิ่มการหมักนานขึ้นอีก ปริมาณแอลกอฮอล์ก็จะเพิ่ม และช่วยปรับปรุงรสได้อีกด้วย เพราะหากไม่เติมสิ่งเหล่านี้ และมีการหมักไว้นาน แอลกอฮอล์จะถูกยีสต์เปลี่ยนเป็นกรดอะซิติก (กลายเป็นน้ำส้มสายชู) ทำให้น้ำสาโทมีรสเปรี้ยวมากกว่าหวานหรือเปรี้ยวอมขม ไม่นิยมดื่ม ซึ่งในบรรดาผู้ชื่นชมความเมาจะไม่ทิ้งนะ แต่นำไปต้มกลั่นเอาแอลกอฮอล์มาเป็น สุราขาว(เถื่อน) หรือ สรถ. ที่มีดีกรีมากกว่า 50% ขึ้นไป บ้างก็ว่า ไสปานตาตั๊กแตน ซัดเข้าไปจอกเดียวมีเมาปลิ้น

ในประเทศไทยนั้น จะนิยมผลิตสาโทเพื่อเป็นเครื่องดื่มตามฤดูกาล (เช่น หน้าเก็บเกี่ยว เพื่อเป็นของกำนัลแด่เพื่อนที่ช่วยมาลงแขกช่วยงาน) หรือในเทศกาลงานบุญของหมู่บ้าน เช่น บุญบั้งไฟ งานเลี้ยงต่างๆ ซึ่งสาโทที่ผลิตจะมีรสหวาน เพราะกระบวนการหมักยังไม่สิ้นสุด และจะเก็บไว้ไม่ได้นาน แต่บางพื้นที่จะหมักจนน้ำใสและมีตะกอน ซึ่งจะได้แรงแอลกอฮอล์สูงขึ้นจนสามารถเก็บไว้ได้นานขึ้น หรือนำไปกลั่นเป็นเหล้าขาวนั่นเอง
ที่มาของคำว่า สรถ.
ในอดีตกาลของบรรพชนนั้น สมัยที่คนยังนับถือบรรดาภูติผีสาง วิญญาณ ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกระทำการผิดผี (ครรลอง คลองธรรม ความเชื่อของกลุ่มชน) ก็จะต้องมีการเซ่นไหว้บูชา หรือขอขมา แก้เคล็ด เพื่อให้เกิดความผาสุก ร่มเย็น ซึ่งมักจะมีพิธีกรรมแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่มีเหมือนๆ กันในบรรดาเครื่องเซ่นไหว้ คือ การใช้เหล้าต้มหรือสาโท (สมัยก่อนยังไม่มีภาชนะขวดแก้ว หรือพลาสติก จึงใช้ไหบรรจุสุรา) และต้องมีพวกเนื้อสัตว์ด้วยหนึ่งอย่าง มักจะใช้ "ไก่" เพราะมีขนาดพอเหมาะ หาง่าย และเป็นสัตว์ที่มีเลี้ยงกันทั่วไปในครัวเรือน เครื่องเซ่นไหว้อาจจะมีอื่นๆ อีก แต่ที่มีร่วมขาดมิได้คือ "เหล้าไห-ไก่ตัว"
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2493 รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ออก พระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 ซึ่งมีข้อกำหนดให้มีการผลิตสุราและจำหน่ายต้องเสียภาษีให้กับรัฐบาล ห้ามมิให้ผู้ใดทำสุรา หรือมีเครื่องกลั่นสำหรับทำสุราไว้ในครอบครอง ห้ามมิให้ผู้ใดทำหรือขายเชื้อสุรา (แป้งหัวเชื้อ) เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมสรรพสามิต (รายละเอียดอ่านได้ตาม พรบ. ข้างต้น ที่ต่อมามีการแก้ไขปรับปรุงยกเลิก พรบ.เดิม มาเป็น พรบ.สุรา ปี 2560)
การทำเหล้าสาโท เหล้ากลั่นของชาวบ้านจึงเป็นสิ่งผิดกฏหมาย และเงื่อนไขการอนุญาตต่างๆ ก็ยุ่งยากมาก ชาวบ้านก็คงยังรักษาประเพณีวัฒนธรรมของตนเอง จึงมีการลักลอบทำเหล้าสาโท หรือเหล้าต้มกลั่นกันอยู่ ด้วยการหลบๆ ซ่อนๆ ทำ หลบเลี่ยงจากเจ้าพนักงานสรรพสามิตมาจับกลุม เหล้าที่ผลิตโดยชาวบ้านที่ไม่ได้ขออนุญาตเหล่านี้จึงกลายมามาเป็น สรถ. หรือ สุราเถื่อน มานับแต่บัดนั้น

สาโท กับข้าวหมาก ต่างกันอย่างไร
มีกรณีที่คุณยายท่านหนึ่งทำ "ข้าวหมาก" ไปจำหน่ายในตลาดนัด แล้วโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหาจับกุมว่า "ยายจำหน่ายสาโทผิดกฏหมายบ้านเมือง" จึงเกิดคำถามอื้ออึงต่อมาว่า "ข้าวหมากต่างกับสาโทอย่างไร?"
ข้าวหมากและสาโท มีลักษณะเหมือนกัน เพราะมีวิธีในการผลิตออกมาแบบเดียวกัน เพียงแต่ มีความแตกต่างกันที่สูตร ของ “ลูกแป้ง” ที่จะเอามาใช้หมัก ที่ทำให้ได้ปริมาณแอลกอฮอล์หรือดีกรีที่ต่างกัน
- “ข้าวหมาก” คือ ขนมหวานชนิดหนึ่ง ที่ทำได้จากการนำข้าวเหนียวนึ่งมาหมักกับราและยีสต์ ในรูปของ “ลูกแป้ง” เพื่อให้ราและยีสต์เปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล หรือเป็นแอลกอฮอล์เล็กน้อย ข้าวที่หมักได้จะมีลักษณะยุ่ย นุ่ม มีรสหวาน และมีกลิ่นหอม หรือที่เรียกว่า ข้าวหมาก มีกระบวนการทำคือ จะใช้ข้าวเหนียวมาหุงเพื่อฆ่าเชื้อและนำมาหมักกับ “ลูกข้าวแป้ง” ซึ่งประกอบด้วย เชื้อราและยีสต์ โดนเชื้อราจะมีเอนไซม์เดียวกับน้ำลายของคน คือ เอนไซม์อะไมเลส ที่จะเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลกลูโคส ซึ่งให้พลังงานสูง ร่างกายสามารถใช้โดยไม่ต้องย่อย ส่วนยีสต์จะทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ ซึ่งสังเกตได้จากกลิ่นและการเกิดฟอง
- “สาโท” (Sato) หมายถึง สุราแช่ประเภทหนึ่ง ที่ได้จากการนำข้าวมาหมักด้วยราและยีสต์ ที่อยู่ในรูปของ ลูกแป้งมีกระบวนการทำที่เหมือนกับข้าวหมาก จะใช้ลูกแป้งเหมือนกัน แต่เป็นคนละสูตรกับข้าวหมาก โดย ใช้สูตรที่มียีสต์มากขึ้น หรือยีสต์สายพันธุ์ที่ช่วยเปลี่ยนแป้งในข้าวให้เป็นแอลกอฮอล์เร็วขึ้น เพราะหากจะทำสาโทขาย ถ้าใช้สูตรลูกแป้งแบบข้าวหมากต้องใช้เวลานาน กว่าจะได้แอลกอฮอล์สูง ดังนั้นสาโทจึงใช้สูตรลูกแป้งโดยเฉพาะ นอกจากใช้เวลาในการหมักสั้นลงแล้ว ยังช่วยให้ได้ปริมาณแอลกอฮอล์มาขึ้น เมื่อกรองเอาน้ำออกมาก็จะได้น้ำสาโทที่ปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกิน 15% แบบเดียวกับพวกไวน์ขาว ไวน์แดง และหากเอาสาโทไปกลั่นก็จะได้เหล้าขายที่มีแอลกอฮอล์ 55-70%
- น้ำข้าวหมากมีปริมาณแอลกอฮอล์ต่ำกว่าสาโท ซึ่งน้อยมากอาจไม่ถึง 0.5% ส่วนปริมาณแอลกอฮอล์ของสาโทที่ผ่านการหมักแล้วจะเข้มข้น แต่ไม่เกิน 15 ดีกรี (แต่สำหรับข้าวหมากถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นานๆ ปริมาณแอลกอฮอล์ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่จะอย่างช้าๆ เพราะยีสต์ยังคงทำงาน)
- สาโทจัดเป็นเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ชนิดไวน์ข้าว (Rice Wine) ที่ไม่ผ่านกระบวนการกลั่น ถ้านำไปกลั่นก็จะได้เป็นเหล้าขาว นิยมผลิตกันในประเทศแถบภูมิภาคเอเชีย อาทิ จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น และไทย โดยจะมีชื่อเรียกต่างกันไป

ข้าวหมาก ถือเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่มีส่วนผสมสำคัญจาก ลูกแป้งข้าวหมาก ซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่ผิดกฎหมายแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญ 8:6 ให้ถอดแป้งข้าวหมาก ออกจาก พ.ร.บ.สุราฯ ระบุละเมิดภูมิปัญญาชาวบ้าน และการประกอบอาชีพ ในกรณีของคุณยายแม่ค้าบุรีรัมย์ ที่โดนตำรวจจับจนเป็นข่าวเมื่อหลายปีก่อนนั้น “การตรวจจับมองว่าต้องตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ตรงนั้นเลยว่า เป็นน้ำข้าวหมากหรือสาโทกันแน่ ซึ่งปริมาณแอลกอฮอล์จะบอกได้ แต่หากมาตรวจตอนหลังแล้ว ปริมาณแอลกอฮอล์ของน้ำข้าวหมากย่อมเพิ่มแน่นอน ตรงนี้ก็จะไม่ยุติรรม เหมือนเวลาไปตรวจผับ ตรวจปัสสาวะก็ต้องตรวจเดี๋ยวนั้นเลย” ไม่ผิดนะคุณตำรวจไปอ่านกฏหมายให้ดีและทำให้ถูกต้องด้วย
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง : หมักดอง : ภูมิปัญญาอีสาน
![]()


















