- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Ethnos
- Hits: 64
“ไทยพวน” เป็นชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกแทนตนเองด้วยคำว่า พวน (Phuen, Puen) คำว่า พวน (ພວນ) ตรงกับคำว่า โพน (ໂພນ) ในภาษาลาว และ พูน ในภาษาไทย หมายถึง เมืองอันตั้งอยู่บริเวณพื้นที่สูงหรือที่ราบสูง พวนจึงเป็นคำที่เรียกกลุ่มชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแคว้นเชียงขวาง หรือบริเวณที่ราบสูง ในประเทศสาธารณรัฐธิปไตยประชาชนลาว มีอาณาเขตติดต่อกับญวน ได้ชื่อว่า "พวน" เพราะเชียงขวางมีแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่านพื้นที่ ชื่อแม่น้ำพวน ชาวพวนนิยมตั้งถิ่นฐานสร้างที่ทำกิน บริเวณลุ่มแม่น้ำ ด้วยมีอาชีพเกษตรกรรม ทำไร่ไถนา นำมาเรียกชื่อกลุ่มของตน ชื่อเรียกนี้มีทั้งเขียนด้วย “ไทพวน” และคำว่า “ไทยพวน” โดยคำว่า “ไท” นั้นหมายถึง “คน" เมื่อย้ายถิ่นฐานเข้ามาในประเทศไทยช่วงแรกๆ ถูกเรียกว่า “ลาวพวน” เพื่อบ่งบอกว่ามาจากลาว ภายหลังมีการเรียกใหม่ว่า “ไทยพวน” เพื่อแสดงถึงความเป็นกลุ่มคนเชื้อสายพวนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยมีชื่อเรียกอื่นๆ ในอีกหลากหลายบริบท ได้แก่ “ไทพวน” “ลาวพวน” “ไทยพวน” “พวน” “ลาวกะเลอ” และ “ไทยกะเลอ” ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่หมายถึงชาวไทยพวนทั้งสิ้น
ชาวพวนได้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยหลายครั้งด้วยกัน คือ สมัยกรุงธนบุรีตอนปลาย ประมาณปี พ.ศ. 2322 เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงโปรดเกล้าให้ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์และหัวเมืองต่างๆ ซึ่งมีชื่อเรียกรวมกันว่า หัวพันทั้งห้าทั้งหก ประกอบด้วย เมืองคำม่วน เมืองคำเกิด เมืองเวียงไชย เมืองไพศาลลี เมืองซำเหนือ และเมืองเชียงขวาง ได้กวาดต้อนเอาลาวเวียง (ลาวเวียงจันทน์) ลาวพวน และไทดำ (ปัจจุบันนิยมเรียกว่าไทยทรงดำ หรือ ลาวโซ่ง) มาไว้ที่เมืองร้าง (เพราะถูกพม่ากวาดต้อนราษฎรไปตั้งแต่สมัยเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า เมื่อ พ.ศ. 2310) เช่น เมืองสระบุรี ลพบุรี นครนายก และฉะเชิงเทรา
ระยะที่สอง ในราวปี พ.ศ. 2335 สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมืองแถงและเมืองพวนแข็งข้อต่อเมืองเวียงจันทน์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์จึงได้ยกทัพไปปราบ และกวาดต้อนครอบครัวไทดำและลาวพวนส่งมากรุงเทพฯ ลาวทรงดำถูกส่งไปอยู่ที่เพชรบุรี ลาวพวนถูกส่งมาที่เมืองลพบุรี สระบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา ราชบุรีและจันทบุรี ด้วย
ระยะที่สาม ในราวปี พ.ศ. 2370 เมื่อเจ้าอนุวงศ์ แห่งเมืองเวียงจันทน์ ได้ก่อกบฏต่อกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าให้พระยาราชสุภาวดี (เจ้าพระยาบดินทรเดชา) เป็นแม่ทัพขึ้นไปปราบกบฏ และได้กวาดต้อนครอบครัวลาวพวนมาไว้ที่อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดสระแก้ว จังหวัดลพบุรี และจังหวัดพิจิตร เป็นต้น
ปัจจุบันชาวไทยพวนในประเทศไทย กระจายตัวและตั้งถิ่นฐานในหลายภูมิภาค ดังนี้
- ภาคกลาง พบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทพวนในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสระบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี พิจิตร สุโขทัย สุพรรณบุรี นครสวรรค์ และอุทัยธานี
- ภาคเหนือ พบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทพวนในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดน่าน แพร่ อุตรดิตถ์ พะเยา เชียงราย และเพชรบูรณ์
- ภาคตะวันออก พบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทพวนในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และชลบุรี
- ภาคตะวันตก พบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทพวนในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดราชบุรี เพชรบุรี และกาญจนบุรี
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) พบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทพวนในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดหนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี และเลย
สภาพเศรษฐกิจและสังคมชาวไทยพวน
วิถีการดำรงชีพของชาวไทพวนนั้น มีความผูกพันกับอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ทำสวน ทำไร่ ปัจจุบัน สังคมคนไทพวนส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพเกษตรกรรม ที่มีความแตกต่างกันไปในแต่ละบริบทจังหวัดที่มีชาวพวนอาศัยอยู่ นอกจากนี้ ชาวไทพวนยังมีค่านิยมในการส่งลูกหลานให้เข้าสู่ระบบการศึกษาที่สูงขึ้น เนื่องจากมองว่า อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพที่ต่ำกว่าอาชีพอื่น ในปัจจุบัน ลูกหลานชาวไทยพวนหลายคนจึงหันไปประกอบอาชีพตามค่านิยมของสังคม เช่น รับราชการ ทหาร ตำรวจ หมอ และพยาบาล
สังคมคนไทยพวนส่วนมากเป็นสังคมชนบท บางพื้นที่เป็นสังคมกึ่งเมืองกึ่งชนบท ในชุมชนส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และเด็ก ส่วนวัยกลางคนและวัยรุ่นนิยมไปศึกษาต่อ และเป็นแรงงานรับจ้างในตัวเมือง ในต่างจังหวัด และกรุงเทพมหานคร
บ้านคนไทพวน มักเป็นเรือนไม้จริง หลังคาจั่วมุงแป้นเกล็ด ยกใต้ถุนสูง ฝาไม้ตีซ้อนเกล็ด หน้าต่างเป็นบานคู่ไม้ขนาดเล็ก ตัวเรือนแต่ละหลังเชื่อมต่อกันด้วยชานไม้ และมียุ้งข้าวแยกต่างหากอีกหลังหนึ่ง เรือนชาวไทพวนจะใช้บันไดพาดกันชานด้านในการขึ้นลง และจะเก็บบันไดขึ้นบนเรือนในตอนกลางคืน เพื่อความปลอดภัย เป็นรูปแบบหนึ่งของเรือนพื้นถิ่นในประเทศไทย
ไทพวน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีถิ่นอาศัย ณ แขวงเชียงขวาง ของ สปป.ลาว
ผ้าทอมือไทพวน การทอผ้าแบบโบราณของชาวไทยพวน เดิมจะปลูกฝ้ายและนำฝ้ายมาปั่นด้วยมือ เรียกว่า ฝ้ายเข็น และย้อมสีธรรมชาติ ในการทอผ้าสีที่ใช้ในการทอผ้าส่วนมากจะเป็นสีเข้ม ซึ่งสตรีชาวไทพวนจะนิยมนุ่งผ้าที่ตนเองเป็นผู้ทอขึ้นไว้ใช้เอง มีลวดลายสีสันสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละชุมชนได้แก่ ผ้าทอมือไทพวน จังหวัดเลย กลุ่มทอผ้าพื้นเมือง อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย มีการรวมกลุ่มกันและได้สร้างโรงเรือนทอผ้า อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายทอมือสะท้อนให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ และความประณีตอย่างมีศิลปะของบรรพบุรุษ ในการนำวัตถุดิบที่มีอยู่ในธรรมชาติมาแปรรูปที่สวยงามมีคุณค่า และเป็นที่ต้องการของผู้พบเห็นการเชื่อมโยงการทอผ้าและวัฒนธรรมชุมชน
ผ้าขะม้าอีโป้ เป็นผ้าสารพัดประโยชน์ที่ชาวไทพวนมีใช้กันทุกครัวเรือน ซึ่งผ้าขาวม้าของแต่ละท้องถิ่นก็มีความแตกต่างกัน เป็นผ้าเอกลักษณ์ท้องถิ่น เป็นงานหัตถกรรมของชาวไทยพวน ที่มีความสามารถในการทอผ้าใช้เองจนเก่ง และมีลวดลายสวยงาม ได้ใช้ภูมิปัญญาด้านการย้อมฝ้ายจากเปลือกไม้ ดอกไม้ใบ เมล็ด นำมาย้อมเป็น 9 สี ให้ความหมายเป็นมงคลทั้ง 9 สี ใช้ชื่อว่า ผ้าขะม้าอีโป้มงคล 9 สี มีการนำฝ้ายมาย้อมจากน้ำส้มควันไม้ ทำให้ได้ผืนผ้าทอที่มีกลิ่นหอมของควันไม้ ถือว่าเป็นเสน่ห์ของผ้าทอมืออีกอย่างหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นผ้าสารพัดประโยชน์เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต มีลวดลายสีสันสวยงามประทับใจ ปัจจุบันมีการแปรรูปผ้าขะม้าเป็นเครื่องใช้อื่นๆ เช่น กระเป๋า หมอนอิง และอื่นๆ อีกมากมาย
ผ้าซิ่นไทพวน เป็นผ้าซิ่นทอมือของชาวไทพวน ถือเป็นมรดกภูมิปัญญาที่ชาวไทพวนสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ผ้าซิ่นทอมือและผ้าย้อมครามสไตล์อีสาน
กลับมาได้รับความนิยมอีกในปัจจุบัน เพราะมีการรื้อฟื้นการทอผ้าด้วยมือและรื้อฟื้นลายผ้าไทยในสมัยก่อนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เพื่อตอบสนองผู้คนยุคนี้ ที่หันมาให้เคุณค่ากับผ้าไทยมากขึ้น
ความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรม
วิถีชีวิตสังคมวัฒนธรรมประเพณีของชาวไทพวน มีการนับถือปฏิบัติในฮีต-คองเช่นเดียวกับชาติพันธุ์ไท-ลาวอื่นๆ แต่มีข้อปฏิบัติและความเชื่อแตกต่างกันออกไป สังคมไทพวนเป็นสังคมที่นับถือผี มีพิธีกรรมความเชื่อที่ยังคงปฏิบัติสืบทอดกันมา แม้ปัจจุบันไทพวนเหล่านี้จะนับถือพุทธศาสนาแล้วก็ตาม แต่ยังเป็นการนับถือผีคู่ไปกับนับถือพระ โดยเฉพาะผีปู่ตาหรือผีตาปู่ ยังปรากฏในทุกชุมชนชาวไทพวนในประเทศไทย ที่ปรากฎให้เห็นผ่านการตั้งศาลผีปู่ตาทุกหมู่บ้าน ชาวไทยพวนเชื่อว่าผีปู่ตา คือ ผีอารักษ์ ผู้ปกป้องคุ้มครองหมู่บ้านการตั้งศาลมักหันไปทางทิศตะวันออก หรือทิศเหนือของหมู่บ้าน และจะมีพิธีกรรมเลี้ยงผีปู่ตาเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนสามและเดือนหก ประเพณีของชาวพวนส่วนมากยังคงยึดถือปฏิบัติกันอยู่ บางประเพณีก็ได้เลิกไปแล้ว บางประเพณีก็ได้ทำแบบไม่ต่อเนื่องกันกระทำเป็นบางครั้งบางคราว บางประเพณีมีปฏิบัติกันในเพียงบางจังหวัดเท่านั้น
ชาวพวนมีนิสัยรักความสงบ ใจคอเยือกเย็น มีความโอบอ้อมอารี ยึดมั่นในศาสนา รักอิสระ มีความขยันขันแข็งในการการประกอบอาชีพ เมื่อว่างจากการทำไร่ทำนาก็จะทำงานหัตถกรรม คือ ผู้ชายนิยมทำเครื่องจักสาน โดยเฉพาะเครื่องใช้ในครัวเรือน ได้แก่ กระบุง กระบาย ตะกร้า กะโล่ กระด้ง หมวกกะโล่ งอบ ตะแกรง กระชอน คุตักน้ำ บุ้งกี๋ กระจาด หรือพัด นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์จับปลา ได้แก่ ข้อง สุ่ม ไซ ชะนาง ตุ้ม อีจู้ กระสุน เป็นต้น ส่วนผู้หญิงจะทอผ้า ซึ่งรู้จักกันแพร่หลายในปัจจุบันคือ ผ้ามัดหมี่ ผ้าขะม้าอีโป้
อาหาร ของชาวไทยพวนที่มีประจำทุกครัวเรือนคือ ปลาร้า เมื่อมีงานบุญมักนิยมทำขนมจีน และข้าวหลาม ส่วนอาหารอื่นๆ จะเป็นอาหารง่ายๆ ที่ประกอบจากพืชผัก ปลา ที่มีในท้องถิ่น เช่น ปลาส้ม ปลาส้มฟัก เป็นต้น ในด้านความเชื่อนั้น ชาวพวนมีความเชื่อเรื่องผี จะมีศาลประจำหมู่บ้านเรียกว่า ศาลตาปู่ หรือศาลเจ้าปู่บ้าน รวมทั้งการละเล่นในเทศกาลก็จะมีการเล่นผีนางด้ง ผีนางกวัก ประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวพวนคือ ประเพณีใส่กระจาด ประเพณีกำฟ้า ซึ่งเป็นประเพณีที่แสดงถึงการสักการะฟ้า เพื่อให้ผีฟ้า หรือเทวดาพอใจ เพื่อไม่ให้เกิดภัยพิบัติ
ภาษาไทพวนในภาคอีสาน ภาษาพวนเป็นภาษา 1 ใน 7 กลุ่มใหญ่ภาษาไทยดั้งเดิม สืบทอดมาจากยูนนานเชียงแสนราวพันกว่าปีมาแล้ว ไทพวนมีภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง มีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ปัจจุบันมีเพียงภาษาพูดที่ยังถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ ส่วนภาษาเขียนไม่มีคนเขียนได้ การพูดเป็นสิ่งที่คนไทยพวนยังคงอนุรักษ์ไว้ โดยการถ่ายทอดผ่านกันในครอบครัวจากพ่อ-แม่สู่บุตรหลาน การสื่อสารในชุมชนที่ยังคงใช้ภาษาไทยพวน เป็นภาษาพูดที่มีเอกลักษณ์ มีการปรับตัว ซึมซับเอาวัฒนธรรมให้เข้ากับคนไทย ปัจจุบันมีการใช้ภาษาพูดกันอย่างเปิดเผย พูดคุยในพื้นที่สาธารณะมากขึ้น และมีความภูมิใจ เนื่องจากเกิดการรวมกลุ่มเป็นเครือข่าย ชมรมไทยพวนแห่งประเทศไทยขึ้น มีกิจกรรมที่ทำร่วมกัน และเป็นตัวแทนในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัดในการถ่ายทอด แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเพิ่มมากขึ้น จึงเกิดการยอมรับเกี่ยวกับความแตกต่างหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์
วัฒนธรรมด้านภาษา ชาวพวนจะมีภาษาเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งมีสำเนียงคล้ายเสียงภาษาถิ่นเหนือ อักษร "ร" ในภาษาไทยกลาง จะเป็น "ฮ" ในภาษาพวน เช่น รัก - ฮัก, หัวใจ - หัวเจอ, ใคร - เผอ, ไปไหน - ไปกะเล
ตัวอย่างคำไทพวนเทียบกับภาษาลาว-ไทยกลาง-อีสาน
ภาษาพวน | ภาษาลาว | ภาษาไทย (กลาง) | ภาษาอีสาน |
ฮะ | ฮัก | รัก | ฮัก |
หัวเจอ | หัวใจ | หัวใจ | หัวใจ |
เผอ | ใผ | ใคร | ใผ |
ไปกะเลอ/ไปเก๋อ | ไปใส | ไปไหน | ไปใส |
โบ่ง/ซ้อน | บ่วง | ช้อน | บ่วง/ส้อน |
เห้อ | ให้ | ให้ | ให้ |
เจ้าเป็นไทบ้านเลอ | เจ้าเป็นไทบ้านใด | คุณเป็นคนบ้านไหน | เจ้าเป็นคนบ้านใด |
เอ็ดผิเลอ/เอ็ดหังก้อ | เฮ็ดหยัง | ทำอะไร | เฮ็ดอีหยัง |
ไปแท้บ่ | ไปอีหลีบ่ | ไปจริงๆ หรือ | ไปอีหลีบ่ |
เจ๊าแม่นเผอ | เจ้าแม่นใผ | คุณเป็นใคร | เจ้าเป็นใผ |
ป่องเอี๊ยม | ป่องเยี้ยม | หน้าต่าง | หน้าต่าง |
มันอยู่กะเลอบุ๊ | มันอยู่ใสบ่ฮู้ | มันอยู่ไหนไม่รู้ | มันอยู่ใสบ่ฮู้ |
ไปนำกันบ๊อ | ไปนำกันบ่ | ไปด้วยกันไหม | ไปด้วยกันบ่ |
มากันหลายหน่อล้า | มากันหลายคือกันน้อ | มากันเยอะเหมือนกันนะ | มากันหลายคือกันน้อ |
มากี๊ท้อ | มานี้แด่ | มานี่เถอะ | มานี้เด้ |
บ๊าแฮ้ง | อี่แฮ้ง | อีแร้ง | อีแฮ้ง |
บ๊าจ๊อน | กะฮอก | กระรอก | กระฮอก |
หม่าทัน | หมากกะทัน | พุทรา | บักทัน |
หน้าแด่น | หน้าผาก | หน้าผาก | หน้าผาก |
หม่ามี้ | หมากมี่ | ขนุน | บักมี่ |
ความเชื่อเรื่องผีและการเซ่นไหว้
ผีย่าหม้อนึ่ง
ผีย่าหม้อนึ่ง หรือ เมื่อย่าหม้อนึ่ง เป็นการเสี่ยงทาย หรือสอบถามเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะการเจ็บป่วยที่ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ อุปกรณ์ในการเสี่ยงทาย ประกอบด้วย มะกวัก ด้ง (กระด้ง) ข้าวสาร เสื้อหม้อห้อม ใส่ให้มะกวัก ขันตั้งที่มีธูป จำนวน 8 คู่ และดอกไม้ ส่วนหมากคำพูลใบ (หมาก 1 คำ พลู 1 ใบ) จะถูกใส่ลงในหม้อนึ่งไหข้าว ปัจจุบันผู้ที่ยังสืบทอดประกอบพิธีเมื่อย่าหม้อนึ่งอยู่
ผีด้ำ (ผีปู่ย่า หรือผีบรรพบุรุษ)
ชาวไทยพวนทุ่งโฮ้งมีความเชื่อและนับถือผีด้ำ (ผีปู่ย่า) มีหลายตระกูล แต่ละตระกูลมีผีปู่ย่าที่นับถือแตกต่างกัน ในส่วนของที่ใช้ในพลีกรรมเลี้ยงผีปู่ย่า ประกอบด้วยอาหาร น้ำมะพร้าว และเงิน ตามสมัครใจของแต่ละหลังคาเรือน นอกจากนี้ยังมีผีปู่ย่า ทั้งนี้ ผีปู่ย่าแต่ละตระกูลจะเลี้ยงพลีกรรมต่างกัน เช่น บางตระกูลเลี้ยงผีย่าวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 6 เหนือ (ประมาณเดือนมีนาคม) ของทุกปี ยกเว้นมีงานศพภายในหมู่บ้านจะเลื่อนวันเลี้ยงผีปู่ย่าออกไป
ผีเสื้อวัด
ผีเสื้อวัด เป็นผีที่รักษาอาณาบริเวณวัด มีทั้งเพศหญิงและเพศชาย ทุกครั้งที่ตักบาตรวันพระที่วัด จะต้องแบ่งข้าวต้มขนมที่ตักบาตรพระไปยื่นโยงถวาย 1 เป๊าะ (1 สำรับ) จะเลี้ยงขันข้าวและน้ำในวันเข้าพรรษาและออกพรรษา เมื่อมีการบวชจะให้เจ้าอาวาสนำพระสงฆ์ สามเณรที่บวชใหม่ไปบอกกล่าวกับผีเสื้อวัด พร้อมกับของยื่นโยงถวาย ประกอบด้วย ข้าวแคบ และข้าวแตน (ขนมนางเล็ด) ใส่กระทง
ผีเสื้อบ้าน
ผีเสื้อบ้าน เป็นผีอารักษ์ที่ปกปักรักษาดูแลหมู่บ้าน หากคนในชุมชนมีการบวช หรือไปทำงานต่างถิ่น จะมีการมาบอกกล่าว ในการเลี้ยงพลีกรรมผีจะถูกจัดขึ้นในวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 6 เหนือ (ประมาณเดือนมีนาคม) เครื่องพลีกรรม ประกอบด้วย หัวหมู 1 หัวเหล้าไหไก่ 1 คู่ ขันเชิญผีเสื้อบ้าน 1 ขัน ที่มีธูป 16 คู่ ผ้าขาว ผ้าแดง ข้าวสาร และเงิน 36 บาท
นอกจากนี้ชาวพวนยังมีความเชื่อเรื่องผีเสื้อนา ซึ่งเป็นผีที่ดูแลรักษานา ผีเสื้อไร่ หรือผีที่ดูแลรักษาไร่ ผีเตาเหล็ก หรือผีที่อยู่ประจำกับเตาเหล็ก ชาวพวนในอดีตมีความชำนาญในการเป็นช่างตีเหล็ก ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น ผีครู ซึ่งเป็นดวงวิญญาณของครูบาอาจารย์แต่ละแขนงวิชา ที่ล่วงลับไปแล้ว เช่น ผีครูฟ้อนดาบ ผีครูสล่า ผีครูคาถาเสกเป่า ผีคูต่อกระดูก และผีนางด้ง เป็นการเรียกผีนางด้งมาเข้าสิงเพื่อฟ้อนรำอย่างสนุกสนาน เมื่อเลิกเล่นจะจูงแขนเข้าใต้ชายเรือนซึ่งผีนางด้งจะออกจากร่างทันที
ดนตรีลงข่วง ลายแถน หมอเหยา ผีฟ้า
ประเพณีกำฟ้า
ประเพณีกำฟ้า หรือชาวไทยพนวนเรียกว่า “กำแถน กำฟ้า กำลม” หรือ “กำแถน กำน้ำดินไฟลม” เป็นประเพณีโบราณสำคัญที่กระทำตั้งแต่อยู่เมืองเชียงขวาง (เมืองพวน) ประเพณีดังกล่าวจึดขึ้นเพื่อบูชาผีฟ้าพญาแถนและผีเทวดาอารักษ์ เพื่อให้ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล เพื่อให้พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์และเพื่อให้อยู่รอดปลอดภัยในการดำรงชีวิต
คำว่า “กำ” หมายถึง การสำรวมหรือการงดเว้นด้วยความเคารพ เมื่อถึงวันกำฟ้า ทุกคนภายในหมู่บ้านต้องหยุดการทำงาน เช่น ตำข้าว ตักน้ำ ผ่าฟืน ซักผ้า ถางหญ้า และพรวนดิน รวมทั้งคู่สามีภรรยาก็ห้ามไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ ให้นอนเว้นระยะห่างระหว่างกัน หากผู้ใดฝ่าฝืนฟ้าจะผ่าบุคคลผู้นั้น กำฟ้าจะเริ่มตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงช่วงค่ำ ผู้อาวุโสของแต่ละครอบครัวจะบอกสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย ว่า “สูเอย กำฟ้าเน้อ อยู่สุข ขออย่าแซว อยู่ดีมีแฮงเด้อเอ้อ”
ประเพณีกำฟ้า จะถูกจัดขึ้นปีละสองครั้งครั้งที่หนึ่ง ช่วงขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ตามปฏิทินพวน ซึ่งมักอยู่ในช่วงเดือนมกราคม - เดือนกุมภาพันธ์ ตามปฏิทินสากล ส่วนครั้งนี้สองนั้น ช่วงวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 9 ตามปฎิทินพวน ก่อนวันกำฟ้าหนึ่งวัน จะมีการรับหญิงสาวจากหมู่บ้านอื่นๆ มาร่วมการละเล่นต่างๆ เช่น เตะหม่าเบี้ย ขี่ม้าหลังโกง เล่นนางด้ง นางกวัก ลิงลง และตีไก่ ในวันดังกล่าว ชาวไทยพวนจะเตรียมข้าวของเครื่องใช้ อาหารคาวหวาน เพื่อไปทำบุญที่วัดช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น
ในวันกำฟ้า เริ่มตั้งแต่รุ่งเช้าพระอาทิตย์ขึ้น จะประกอบพิธีทำบุญตักบาตรที่วัด อาหารคาวหวานที่นิยมนำไปทำบุญที่วัด เช่น แกงอ่อม แกงฮังเล ลาบ ขนมเทียน ขนมชั้น ข้าวแตน และข้าวแคบ เมื่อทำบุญฟังพระธรรมเทศนาเสร็จแล้ว ช่วงสายจะนำเครื่องนอนเสื้อผ้าไปซักและตาก ระหว่างที่รอเครื่องนอนเสื้อผ้าที่ตาก จะพากันจับกุ้งหอยปูปลา บางคนไปเก็บไข่มดแดง เพื่อเตรียมทำอาหารมื้อเที่ยงและมื้อเย็น ช่วงบ่ายที่เครื่องนอนเสื้อผ้าแห้ง จึงกลับบ้าน หลังรับประทานอาหารมื้อเย็น ช่วงกลางคืนจะมีการละเล่นต่างๆ เช่น ผีนางด้ง ผีไต่สาว และไก่หมุน
ช่วงเวลากลางคืน ผู้อาวุโสจะสังเกตเสียงฟ้าร้องว่าจะมาจากทิศใด เรียกว่า “เสียงฟ้าเปิดประตูน้ำ” เพื่อให้น้ำฟ้าสายฝนตกลงมาให้ชาวบ้านได้ทำไร่ทำนา มีคำทำนายเสียงฟ้าร้องตามทิศต่างๆ ดังนี้
- ฟ้าร้องทางทิศเหนือหรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปีนี้ฝนจะดี ทำนาได้ข้าวบริบูรณ์
- ฟ้าร้องทางทิศใต้ ปีนี้ฝนจะแล้ง น้ำไม่บริบูรณ์ การทำนาจะเสียหาย
- ฟ้าร้องทางทิศตะวันออก ปีนี้ฝนตกปานกลาง นาที่ลุ่มจะดี นาดอนจะได้รับความเสียหาย
- ฟ้าร้องทางทิศตะวันตก ปีนี้ฟ้าฝนไม่แน่นอน อาจเกิดแห้งแล้งทำนาเสียหาย
ส่วนคำทำนายเหตุการณ์ของบ้านเมือง มีดังนี้
- ฟ้าร้องทางทิศใต้ จะอดเกลือ
- ฟ้าร้องทางทิศเหนือ จะอดข้าว
- ฟ้าร้องทางทิศตะวันตก จะเอาจาทำหอก
- ฟ้าร้องทางทิศตะวันออก จะเอาหอกทำจา
ในปีที่ฟ้าร้องในทางทิศที่ไม่ดี ผู้ใหญ่บ้าน หรือ พ้อบ้าน จะประชุมเพื่อทำพิธีกรรม “เสียมแสง” หรือการเอาดุ้นฟืนที่ไหม้ไฟเกือบสุดท่อน ไปทิ้งที่ร่องน้ำพร้อมกล่าวอ้อนวอนให้เทพยดาอารักษ์เมตตาให้ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล
ฟ้อนไทพวน กรณีศึกษา ชมรมนาฏศิลป์หนองคาย วิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์
ประเพณีการแต่งงานและการหย่าร้าง
ประเพณีแต่งงานของไทยพวน หรือ กินดองไทยพวน เริ่มต้นจากการรักใคร่ชอบพอกันของคนหนุ่มสาว จากนั้นจะบอกให้พ่อแม่มาสู่ขอ อาจจะรักชอบกันตั้งแต่การลงข่วงหรือในช่วงเวลาอื่น บางรายจะหมั้นหมายกันไว้ก่อน แล้วจึงมาแต่งงานกันภายหลัง ทั้งนี้ ส่วนใหญจะสู่ขอและจัดพิธีแต่งงานกันในทันที การแต่งงานของชาวไทยพวนเรียกว่า การเอาผัวเอาเมีย
การหาฤกษ์แต่งาน จะให้พระผู้ใหญ่หรือ ตารย์ ผู้รู้ฤกษ์ยามที่เคารพนับถือหาให้ เมื่อได้ฤกษ์แล้วฝ่ายเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะแจ้งญาติพี่น้องให้มาโฮม (รวม) กันก่อนวันแต่ง 1 วัน ในช่วงเย็นฝ่ายเจ้าสาวจะเตรียมอาหารไว้เลี้ยงแขกที่จะมาในงาน
เช้าวันแต่งงาน ตามฤกษ์ จะมีการแห่เจ้าบ่าวมาที่บ้านเจ้าสาว ที่บ้านเจ้าสาวญาติพี่น้องจะเอาหินมาวางเอาใบตองปู แล้วเอาหญ้าแพรกวางบนใบตอง กั้นประตูเงินประตูทอง (เรียกเงินเรียกเหล้ายา) จากนั้นจึงจะปล่อยเจ้าบ่าวไปเข้าพิธี ฝ่ายเจ้าสาวจะถูกซ่อนตัวอยู่ในห้อง ต้องหาคนผัวเดียวเมียเดียวไปจูงออกจากห้องมาเข้าพิธี
ญาติผู้ใหญ่จะเลือกทิศที่เป็นมงคลให้บ่าวสาวนั่ง เมื่อได้เวลาฤกษ์ หมอพรจะสูดขวัญ เมื่อสูดขวัญเสร็จ พ่อแม่เจ้าบ่าวจะผูกแขนเจ้าสาวรับเป็นลูกสะใภ้ พ่อแม่เจ้าสาวก็จะผูกแขนเจ้าบ่าวรับเป็นลูกเขย จากนั้นจึงจะให้ญาติผู้ใหญ่ รวมทั้งแขกที่มาร่วมงานทำการผูกแขนจนครบ
จากนั้น ญาติผู้ใหญ่หรือเฒ่าแก่ฝ่ายหญิงจะเอาสินสอดของหมั้นมาให้คู่บ่าวสาวถือเป็นสินสร้าง เพื่อก่อร่างสร้างตัว หลังจากการผูกข้อต่อแขนแล้ว จะสมมาผู้ใหญ่ผู้เฒ่าผู้แก่ ฝ่ายหญิงจะเตรียมผ้าแพร ผ้าตุ้ม ผ้าโสร่ง ผ้าขาวม้า ผ้าซิ่น มาสมมาผู้เฒ่าผู้แก่ ญาติผู้ใหญ่ที่มาในงาน เมื่อถึงช่วงเวลาในการส่งตัวบ่าวสาว ญาติฝ่ายเจ้าสาวจะมาดึงคู่บ่าวสาวเข้าห้องหอ เพื่อรับศีลรับพรจากผู้ใหญ่ และฟังการอบรมสั่งสอนการอยู่กินฉันสามีภรรยา
การนอนต้องให้สามีนอนก่อน ภรรยาจะเข้านอนทีหลัง ถ้าเป็นวันพระ ให้ภรรยานำดอกไม้มาไหว้สามีก่อนนอน กราบสามีก่อนนอน ให้ภรรยานอนต่ำกว่าสามี ตอนเช้า ให้ภรรยาเตรียมน้ำไว้ปลายเตียงให้สามีล้างหน้าล้างตา และเตรียมหมากพลูไว้ด้วย
การกิน ต้องให้สามีกินก่อน 3 คำ ภรรยาจึงเริ่มกินได้ เสื้อผ้า ไม่ให้เก็บปนกัน ไม่ตากผ้าร่วมกัน ไม่ใส่เสื้อผ้าปนกัน ผู้ชาย ไม่ลอดราวตากผ้าจะทำให้การเรียนมนตรี คาถา เสื่อมไป
การกินดองไทยพวน นิยมจัดขึ้นในเดือน 4 เดือน 6 เดือน 12 การงานงานฝ่ายชายมักไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงเป็นเขยฝาก แต่หากฝ่ายชายเป็นลูกชายคนเดียวจะแต่งลูกสะใภ้เข้าบ้าน ค่าสินสอดจะแพงขึ้นกว่าเขยฝาก
ประเพณีเกี่ยวกับความตายและการทำศพ
ในอดีต เมื่อมีผู้เสียชีวิตจะมีการดอยศพ (ตราสังศพ) ตั้งศพมีผ้าปกโลง หรือผ้าปกกะโลง เป็นผ้าทอผืนใหญ่ จำนวน 2 ผืนติดกัน หลังจากเผาศพหรือฝังศพไปแล้วผ้าปกกะโลงจะนำไปถวายพระ เมื่อตั้งศพอยู่ที่บ้านจะมีละเล่นที่มีความสนุกสนาน เพื่อคล้ายความโศกเศร้า หรือเรียกว่า “งันเฮือนดี” รวมทั้งมีพระมาสวดศพ หลังจากที่พระกลับวัดแล้ว จะมีการอ่านหนังสือธรรมโดยผู้รู้ ขณะที่ศพอยู่ที่บ้าน คนในบ้านจะหยุดการทำงานบ้าน เช่น การทอผ้า ตัดผม เข็นฝ้าย และตัดหูก
เมื่อถึงกำหนดวันเผาหรือฝังศพ จะมีการเอาศพลงจากบ้านไปป่าช้า ซึ่งป่าช้าจะไม่อยู่ในเขตวัด แต่จะเป็นบริเวณป่าที่ไกลออกไปจากตัวหมู่บ้าน เมื่อเดินถึงป่าช้า เรียกว่า ป่าเห้ว จะหว่านข้าวตอกนำหน้าศพ เป็นการป้องกันผีตายอดตายอยากที่จะมารับผู้ตายไม่ให้ไปหามศพ การจะทำให้ไม่สามารถหามศพได้เพราะน้ำหนักมากขึ้นและถือเป็นอัปมงคล การเอาศพลงบ้านจะพลิกบันไดกลับข้าง เมื่อศพลงพ้นบ้านก็พลิกบันไดกลับ เป็นการกันไม่ให้ผีกลับบ้านได้ถูก เพราะจำทางขึ้นบ้านไม่ได้
การเลือกพื้นที่เผาหรือฝังศพจะต้องเสี่ยงไข่ ด้วยการโยนไข่ถามทางว่า ผู้ตายชื่นชอบพื้นที่บริเวณใดก็จะเผาหรือฝังบริเวณนั้น เช่นเดียวการตั้งกองฟอนหรือกองขี้เถ้าศพที่เผาแล้ว จะต้องโยนไข่ถามผู้ตายว่า ชื่นชอบบริเวณใด ส่วนการฝังศพ เมื่อฝังเรียบร้อยจะมีธงหน้าวัวปักไว้ทั้ง 4 มุมของหลุมศพ ไม้ที่ใช้หามศพไปป่าช้าจะถูกผ่า เสี้ยม ให้เป็นหลาว แล้วจับซัดไปในหลุมศพให้เต็มแน่นเป็นขวากป้องกันสัตว์ป่ามาขุดคุ้ยศพ
หากเป็นการตายโหง หรือตายทั้งกลมจะนำศพฝังแยกต่างหาก ไม่ร่วมป่าช้าเดียวกัน หากเสียชีวิตด้วยโรคระบาด เช่น ห่าลง ฝีดาษ จะเอาศพไว้ได้ไม่เกิน 1 วัน คือตายเช้าเผาเย็น
เมื่อกลับจากเผาศพหรือฝังศพ จะกลับเข้าบ้านทันทีไม่ได้ ต้องเดินเข้าไปในวัด และผ่านประตูวัดที่ชาวบ้านจะเตรียมน้ำมนต์ รวมทั้งน้ำใบส้มป่อย ใบว่านชน และเอากิ่งหนามพุทราวางที่ถังน้ำ เมื่อกลับจากเผาศพจะเดินเข้าวัด เอากิ่งหนามพุทราจุ่มน้ำแล้วสาดไปข้างหลังไล่ผีไม่ให้ตามกลับบ้าน และขับไล่เคราะห์เข็ญให้หลุดพ้นไป จากนั้นให้ขึ้นไปไหว้พระบนศาลาก่อน จึงจะกลับบ้านได้ ปัจจุบัน ไม่มีการเผาศพบนเชิงตะกอน ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ จะถูกนำทำพิธีและเผาเมรุที่วัด
เมื่อบรรพบุรุษเสียชีวิต ลูกหลาน ญาติพี่น้องจะทำบุญให้ เรียกว่า ทำบุญกระดูกหรือทำบุญอัฐิเป็นประจำทุกปีในช่วงวันปีใหม่ไทย หรือวันสงกรานต์ จะนำกระดูกหรืออัฐิมาสรงน้ำมีการทำบุญเลี้ยงพระอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษ และมีการทำบุญห่อข้าวดำดินในช่วงประเพณีสารทพวน โดยจะมีการทำสลากภัตอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับพ่อแม่บรรพบุรุษที่เสียชีวิต

- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Ethnos
- Hits: 15700
หลังจากที่เขียนถึง "กลุ่มชาติพันธุ์ชนเผ่าไทในอีสาน" ที่ผ่านมาแล้วระยะหนึ่ง ก็ได้รับการสอบถามและท้วงติงมาว่า "น่าจะขาดไปอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มคนเชื้อสายญวน และเชื้อสายจีน" ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นครับ วันนี้จะเพิ่มในส่วนของกลุ่มไทญวนครับ ส่วนกลุ่มเชื้อสายจีนขอยกไว้ก่อนเพราะผสมปนเปกันในทุกภาคมากที่สุด และถ้าจะสืบย้อนไปแล้วจริงๆ ในหลายๆ กลุ่มที่เราได้กล่าวถึงไว้ก็ล้วนอพยพโยกย้ายมาจากทางตอนเหนือ (คือแผ่นดินจีน) หรือจะเป็นว่าเราอพยพขึ้นไปอันนี้ไม่ยืนยัน ให้นักประวัติศาสตร์ได้ถกเถียงกันเถอะ
เหวียดเกี่ยว : ชาวไทยเชื้อสายญวน
ชาวไทยเชื้อสายญวน หรือ “เหวียดเกี่ยว” เป็นชื่อเรียกชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่นอกประเทศเวียดนาม หรือชาวเวียดนามโพ้นทะเล ที่ไม่ว่าจะอพยพออกนอกประเทศเวียดนามด้วยเหตุผล หรือช่วงเวลาใดก็ตาม สำหรับชาวเวียดนามอพยพ หรือชาวไทยเชื้อสายเวียดนามที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย จะเรียกตนเองว่า เหวียดเกี่ยวในไทย หรือ Việt Kiều Thái Lan ซึ่งคำว่า “เหวียดเกี่ยว” นี้ มีความหมายไปในทางที่ดีกว่าคำว่า “ญวน” ที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักใช้เรียก ชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย หรือในประเทศเวียดนามเอง (อาจได้ยินว่า คนเวียดนาม หรืออานัม หรือแกว ก็มี) ชาวญวนเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ในปัจจุบันชาวไทยเชื้อสายญวนแบ่งเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ ญวนเก่า และญวนใหม่ โดยมีการจำแนกออกเป็นกลุ่มญวนเก่า (เข้ามาก่อนปี พ.ศ 2489) ที่ใช้ชื่อว่า เหวี่ยดกู๋ และกลุ่มญวนใหม่ ที่เรียกว่า เหวี่ยดเหมย ซึ่งหมายถึงชาวญวนที่เข้ามาหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 คือ ตั้งแต่หลังปีพ.ศ. 2489
ภาพจาก FB : สมาคมชาวไทยเชื้อสายเวียดนามจังหวัดอุบลราชธานี
“ญวน” เป็นคำที่ปรากฏขึ้นในหนังสือประวัติศาสตร์ไทยสมัยอยุธยา ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 มาจนกระทั่งทุกวันนี้ โดยตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของไทย การคงอยู่ของชุมชนหรือหมู่บ้านของชาวเวียดนามได้ปรากฏขึ้นแล้ว ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ท่ามกลางชุมชนหรือหมู่บ้านของชาวต่างชาติอื่นๆ บ่อยครั้งที่เราจะได้ยินคำว่า “ญวนเก่า” และ “ญวนใหม่” ชาวเวียดนามจะเรียกชื่อชนชาติตนเองว่า “เหวียด” โดยใช้อักษรจีนเขียน เพราะชาวเวียดนามเคยใช้อักษรจีนก่อนที่จะมาใช้ตัวอักษรแบบโรมันดังเช่นในปัจจุบัน โดยภาษาจีนแต้จิ๋วจะออกเสียงว่า “ฮ้วด” ชาวจีนฮกเกี้ยนออกเสียงว่า “หย้วด” มีสมมติฐานว่า ชาวไทยที่ติดต่อกับชาวเวียดนามน่าจะใช้ล่ามที่เป็นคนจีนฮกเกี้ยน จึงเรียกตามภาษาฮกเกี้ยน และเพี้ยนเสียงจาก “หย้วด” จนมาเป็นคำว่า “ญวน” ส่วนคำว่า “แกว” นั้นเป็นภาษาถิ่นอีสานที่ใช้เรียกชาวเวียดนามมาแต่ช้านานแล้ว
- กลุ่มญวนเก่า ได้อพยพเข้ามายังสยาม ในช่วงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณวัดส้มเกลี้ยงเหนือบ้านเขมร เพราะนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เช่นเดียวกับชาวเขมรที่เข้ามาอยู่ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และชาวโปรตุเกสที่เข้ามาอยู่ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเงินส่วนพระองค์ ซื้อที่ดินสวนแปลงใหญ่ใกล้เคียงกัน พระราชทานให้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งชาวญวนเก่าปัจจุบันได้ผสมกลมกลืนไปกับคนไทยหมดแล้ว และบางส่วนก็แต่งงานอยู่อาศัยกับชาวเขมรและชาวโปรตุเกสบริเวณวัดคอนเซ็ปชัญ
ประวัติศาสตร์การอพยพของคนไทยเชื้อสายเวียดนามในภาคอีสานของไทย
- กลุ่มญวนใหม่ คือกลุ่มคนที่อพยพเข้ามาในไทยในช่วงปี พ.ศ. 2488 (เริ่มการประกาศใช้พระราชบัญญัติตรวจคนเข้าเมือง) และในปี พ.ศ. 2489 (ปีที่คอมมิวนิสต์เข้ายึดครองเวียดนาม) และชาวญวนใหม่เหล่านี้ได้ทยอยเข้ามาในไทยจนถึงปี พ.ศ. 2499
สาเหตุสำคัญที่ชาวญวนอพยพเข้าสู่ดินแดนสยาม คือ เพื่อลี้ภัยทางศาสนา และลี้ภัยทางการเมือง เนื่องจากสยามหรือประเทศไทยในปัจจุบันเป็นเพื่อนบ้านที่มีเสถียรภาพ อุดมสมบูรณ์ และพวกเขาสามารถอาศัยอยู่อย่างสงบสุขได้
กลุ่มชาติพันธุ์ "ญวณ" ในอีสาน
ชาวญวน หรือที่ชาวอีสานเรียกว่า "แกว" ชนชาติหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ของประเทศจีน และทางทิศตะวันออกของประเทศลาวและเขมร คนกลุ่มนี้ มีอุปนิสัยขยันขันแข็งในการทำมาหากิน จนมีฐานะความเป็นอยู่ที่มั่นคงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในอดีตได้มีการติดต่อค้าขายกับชาวลาวในประเทศลาว และภาคอีสานมานานแล้ว และหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมืองญวน (เวียดนาม) ดิ้นรนที่จะเป็นอิสระจากฝรั่งเศส จึงทำการสู้รบปลดแอกโดยการนำของลุงโฮ (โฮจิมินห์) ญวนในภาคเหนือ (บริเวณเมืองเดียนเบียนฟู) ได้หนีภัยการเมืองเข้ามาอยู่ในลาว (ตามตำนานเพลง ไทดำรำพัน) และภาคอีสานจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเข้ามาอยู่ในจังหวัดนครพนม สกลนคร มุกดาหาร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี หนองคาย สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุดรธานี ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ ระหว่าง พ.ศ. 2489 - 2492
ชาวญวนมักประกอบอาชีพค้าขาย และทำให้อาหารญวนหลายชนิดเป็นที่นิยม เช่น ข้าวเส้น เฝอ และอื่นๆ [ อ่านเพิ่มเติมที่นี่ ] บ้านของชาวญวนส่วนใหญ่จะตั้งอยู่บนบริเวณโคกดิน ลักษณะเหมือนเป็นเกาะเล็กๆ ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ยังคงพูดภาษาเวียดนาม ในการสื่อสารระหว่างกลุ่ม ได้อพยพมาอยู่ที่ประเทศไทย เป็น 4 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 สมัยอยุธยา ธนบุรี และต้นรัตนโกสินทร์
ในสมัยอยุธยา ปรากฏว่า มีหมู่บ้านญวนอยู่ในกรุงศรีอยุธยา สมัยพระนารายณ์มหาราช (2199 - 2231) จำนวนคนญวนที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยในสมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ (จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) มีประมาณ 5,000 - 8,000 คน โดยตั้งรกรากตามสถานที่ต่างๆ คือ อยุธยา พาหุรัด (ย้ายไปสามเสน) บางโพ จันทบุรี กาญจนบุรี โดยที่ชาวญวนกลุ่มที่นับถือคริสต์ศาสนาจะอาศัยอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ส่วนกลุ่มที่นับถือพุทธศาสนาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี [ อ่านเพิ่มเติม : ชาวไทยเชื้อสายญวน ]
สมรภูมิเดียนเบียนฟู การสู้รบใหญ่ที่เอาชัยชนะต่อฝรั่งเศส
ระยะที่ 2 สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
ชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งฝรั่งเศสได้เข้ายึดครองเวียดนามได้ทั้งหมด ชาวเวียดนามจำนวนมากจึงอพยพเข้ามาอยู่ประเทศลาว ประเทศเขมร และประเทศไทยตามเส้นทาง ดังต่อไปนี้
- ทางสะหวันนะเขต สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ฝั่งไทยที่ จังหวัดมุกดาหาร อุบลราชธานี สกลนคร หนองคาย อุดรธานี นครพนม
- ทางเวียงจันทน์ สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ที่ฝั่งไทยที่ จังหวัดหนองคาย สกลนคร
- ทางท่าแขก สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ฝั่งไทยที่จังหวัด นครพนม สกลนคร
เมื่อชาวเวียดนามอพยพเข้ามาอยู่ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี นครพนม สกลนคร หนองคาย บางส่วนก็กระจายไปยังจังหวัดสุรินทร์ ศรีษะเกษ บุรีรัมย์ และปราจีนบุรี สำหรับชาวเวียดนามที่มาอาศัยอยู่ในจังหวัดสกลนคร นั้นส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ที่บ้านท่าแร่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เป็นชุมชนคาทอลิกกลุ่มใหญ่ในภาคอีสาน
การแต่งกายของชาวเวียดนาม เมืองนครพนม สมัยรัชกาลที่ 5 ปี พ.ศ. 2449
ภาพจาก FB : ประวัติศาสตร์อีสานล้านช้าง
เวียดสกล - ชาวเวียดนามอพยพในจังหวัดสกลนคร
ระยะที่ 3 สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาอยู่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่างฝรั่งเศสกับกลุ่มขบวนกู้ชาติเวียดมินห์ ชาวเวียดนามจึงอพยพหนีภัยการสู้รบเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 48,000 คน ซึ่งในการศึกษาของ ขจัดภัย บุรุษพิพัฒน์ (๒๕๒๑) กล่าวว่า ภายหลัง จอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้ามาบริหารประเทศ ในปี พ.ศ. 2492 รัฐบาลได้มีมาตรการควบคุมชาวเวียดนามอพยพ ให้อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ 15 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงราย น่าน อุตรดิตถ์ เลย อุบลราชธานี หนองคาย นครพนม บุรีรัมย์ อุดรธานี ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สกลนคร ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ ซึ่งชาวเวียดนามอพยพจะอาศัยอยู่นอกเขต 15 จังหวัดนี้ไม่ได้
พ.ศ. 2493 ให้ชาวเวียดนามอพยพมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัด โดยบังคับให้เดินทางไปยังจังหวัดควบคุมใหม่ ภายในเวลา 1 เดือน คือ จังหวัดหนองคาย สกลนคร นครพนม อุบลราชธานี ปราจีนบุรี ศรีสะเกษ ขอนแก่น อุดรธานี
พ.ศ. 2496 รัฐบาลไทยได้จัดส่งหัวหน้าชาวเวียดมนามในจังหวัดหนองคาย สกลนคร และนครพนม ไปไว้ที่จังหวัดพัทลุง และจังหวัดสุราษฎร์ธานี
พ.ศ. 2503 อนุญาตให้ชาวเวียดนามอพยพอาศัยอยู่ได้ในพื้นที่กำหนดเขต 8 จังหวัด คือ จังหวัดหนองคาย อุดรธานี สกลนคร นครพนม อุบลราชธานี ปราจีนบุรี สุราษฎร์ธานี และพัทลุง
สวัสดีเวียดนาม ตอน ชาวเวียดนามในประเทศไทย
ระยะที่ 4 สมัยสงครามเวียดนามเหนือ-ใต้
ชาวเวียดนามอพยพที่เข้ามาอยู่ในช่วงสงครามเวียดนามเหนือ-ใต้ เป็นกลุ่มชาวเวียดนามอพยพ ประมาณ 2,000 - 3,000 คน ส่วนใหญ่จะไปอาศัยอยู่ที่ อำเภอลาดบัวขาว จังหวัดนครราชสีมา ส่วนใหญ่จะมาจากเวียดนามตอนกลาง และข้ามแม่น้ำโขงมายังฝั่งไทย
ในปี พ.ศ. 2503 ชาวเวียดนามอพยพที่เดินทางเข้ามาที่จังหวัดสกลนครนั้น มีชาวเวียดนามบางส่วนสมัครใจกลับประเทศเวียดนามแล้ว แต่ยังคงเหลือตกค้างอยู่ เนื่องจากเกิดการสู้รบในสงครามเวียดนามเหนือ-เวียดนามใต้อย่างหนัก โดยในขั้นต้นชาวเวียดนามอพยพอจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของ ศูนย์ประสานงาน กอ.รมน. และสำนักงานกิจการญวนอพยพ กำหนดให้ชาวเวียดนามอพยพเหล่านี้อยู่ในเขตควบคุม 8 จังหวัด
คนเวียดนามได้รับการดูแล การจัดทำทะเบียนประวัติ การศึกษา การปลูกฝังให้มีความรู้ความเป็นคนไทย สามารถผสมผสานกลมกลืนเข้าสู่สังคมไทย จนในที่สุดก็มีชาวเวียดนามจำนวนมากได้รับการพิจารณาจากรัฐบาลไทยให้ได้ "สัญชาติไทย" โดยเรียกว่า “คนไทยเชื้อสายเวียดนาม” อยู่อาศัยมานานจนกระทั่งได้รับเชื้อชาติไทย ปัจจุบันบุคคลเหล่านี้ประกอบอาชีพข้าราชการ นักธุรกิจ นักการเมืองท้องถิ่น มีบทบาทต่อการปกครอง และเศรษฐกิจของจังหวัด ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามหัวเมืองยังคงรักษาเอกลักษณ์ ภาษา และวัฒนธรรมของตนเอง
เหวียตเกี่ยวถายลาน #1 จากแผ่นดินเวียดนามถึงลุ่มน้ำโขงอีสาน
ในอดีต ชาวเวียดนามเหล่านี้เข้ามาอาศัยในประเทศไทยมีสถานะเป็น “ญวนอพยพ” จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2545 จึงได้มีพระราชบัญญัติให้คนเวียดนามอพยพได้รับ "สัญชาติไทย" อย่างไรก็ดี ชาวเวียดนามเหล่านี้ได้รับการปฏิบัติที่ถูกต้องจากรัฐไทย และกลายมาเป็นสะพานทางวัฒนธรรม ที่เชื่อมความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม ไม่ว่าจะในด้านภาษา ด้วยการเป็นครูสอนภาษาเวียดนามให้แก่นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการไทย และนักเรียน นักศึกษา ข้าราชการเวียดนามที่เดินทางมาเรียนภาษาไทยในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดในภาคอีสาน
เหวียตเกี่ยวถายลาน #2 ชะตากรรมท่ามกลางสงครามเย็น
นอกจากนี้ ชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยยังมีบทบาทในการเป็น ผู้ประสานงาน เป็น ล่าม ให้แก่หน่วยงานราชการและเอกชนไทยและเวียดนาม เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง "หมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม" ที่บ้านนาจอก จังหวัดนครพนม และบ้านโห่จี๋มิงห์ ที่บ้านหนองโอน จังหวัดอุดรธานี อีกทั้ง มีบทบาทในการเผยแพร่วัฒนธรรมด้านการแต่งกาย การเผยแพร่อาหารเวียดนาม เป็นต้น
รายการกระจกหกด้าน ตอน เวียดนาม ณ สยามประเทศ
ความเชื่อและการนับถือลัทธิ ศาสนา
การบูชาบรรพบุรุษ
ภายในบ้านของคนเวียดนามและภายในวัดทุกแห่งจะพบ "แท่นบูชาบรรพบุรุษ" การบูชาบรรพบุรุษยังคงมีความสำคัญทางสังคม และศีลธรรมอย่างสูงในสังคมชาวเวียดนาม ในวันครบรอบวันตาย และวันเทศกาลตามประเพณีต่างๆ ญาติของผู้ตายจะมาชุมนุมกัน โดยลูกชายคนโตของผู้ตายจะเป็นผู้นำในการเซ่นไหว้ ด้วยอาหารและธูป จากนั้นคนในครอบครัวทั้งหมดจะไปที่สุสานของผู้ตาย พิธีจะจบลงด้วยสมาชิกในครอบครัวทุกคนคุกเข่าลงหน้าแท่นบูชา ความล้มเหลวในการบูชาบรรพบุรุษของลูกหลานจะถูกมองว่า เป็นการกระทำที่แสดงถึงความอกตัญญูต่อบิดามารดา เพราะทำให้บรรพบุรุษต้องเร่ร่อนอยู่ในนรก
การบูชาในระดับหมู่บ้าน
ในทางปฏิบัติแล้ว หมู่บ้านชาวเวียดนามทุกแห่งจะมี "จั่ว" (chua-ที่วัด) และ "ดิงห์" (dinh - ศาลาประชาคม) ชาวบ้านจะบูชาพระพุทธเจ้าที่จั่ว ซึ่งดูแลรักษาโดยภิกษุจำพรรษาอยู่ที่นั้น ทุกวันที่ 1 และ 15 ค่ำชาวบ้านจะไปที่จั่ว โดยนำดอกไม้ธูปเทียนและผลไม้ไปถวายพระพุทธ และประกอบพิธีที่วัดในตอนเย็นของวันที่ 14 และ 30 ของเดือน เพื่อแสดงความเสียใจในสิ่งที่ไม่ดีที่ได้กระทำลงไป และปฏิญาณว่าจะประพฤติในสิ่งที่ดี การปฏิบัติธรรมของชาวพุทธในระดับหมู่บ้านจะไม่เหมือนกับของเซน แต่เป็นการผสมผสานระหว่าง "เซนกับอมิตาภะ" เป็นที่เชื่อกันว่า อมิตาภะจะได้สภาวะแห่งพุทธภายใต้เงื่อนไขพิเศษที่ท่านได้ต้อนรับคนทุกคน ที่เรียกชื่อท่านอย่างจริงใจเวลาตาย และจะนำพวกเขาไปยังสวรรค์
จิตวิญญาณของคนไทยเชื้อสายเวียดนาม
ศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธ ได้รับการเผยแพร่เข้ามาจากอินเดียและจีนมานานกว่าพันปีแล้ว ผู้เชียวชาญในสาสนาพุทธชาวเวียดนามคนหนึ่งถูกส่งตัวไปยังราชสำนักญี่ปุ่นเพื่อสอนบทเพลงทางสาสนา ซึ่งปรากฏลัทธิ 2 ลัทธิ คือ อาอาม (A -HAM, Agaham) และเทียน (Thien) ต่างแข่งขันกันอย่างสันติภาพในหมู่ผู้เลื่อมใสศรัทธา ลัทธิเทียนเป็นลัทธิหนึ่งในศาสนาพุทธนิกายมหายาน เนื่องจากกฎเกณฑ์น้อยทำให้เป็นที่นับถือกันมาก ญวนที่อพยพมาอยู่ในภาคอีสานนั้นส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธแบบ "อานัมนิกาย"
ลัทธิขงจื้อ
ลัทธิขงจื้อ มีอายุยืนยาวมากกว่าระบบความเชื่ออื่นใด ทั้งในโลกตะวันออก และตะวันตก ลัทธินี้มีพื้นฐานมาจากคำสอนของขงจื้อ ซึ่งเกิดในราวปีที่ 550 ก่อนคริสตกาล และอยู่ในยุคที่จีนมีความวุ่นวายทางการเมือง ขงจื้อได้ชื่อว่าเป็นผู้ชี้นำทางจริยธรรมและศีลธรรม มากกว่าที่จะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ลัทธิขงจื้อเข้ามาสู่ชาวเวียดนามโดยผ่านชาวจีนกว่า 2,000 ปี มาแล้ว
ลัทธิเต๋า
เต๋า เต็ก เก็ง (Tao Te Ching) คัมภีร์แห่งมรรคและอำนาจของเต๋า เริ่มต้นในหมู่บ้านที่มีศาสนาพุทธและขงจื้อ วิญญาณนิยม และความเชื่ออื่นๆ อยู่รวมกัน ในหมู่บ้านเหล่านี้ จะมีการสร้างสถานที่สำหรับบูชาที่เรียกกันว่า เดี่ยน (dien) หรือ ติ๋งห์ (tinh) ในระดับชาวบ้าน เต๋าเป็นเรื่องของความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ เวทมนตร์คาถา และการรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยอาคม
ศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์ ชาวเวียตนามส่วนหนึ่งนับถือศาสนาคริสต์ โรมันคาทอลิค และประเทศเวียดนามเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยศาสนา ปรัชญาและความเชื่อ แบบวิญญาณนิยมเปลี่ยนไปคาทอลิก มิชชันนารีตะวันตกพวกแรกได้เข้ามาในตังเกี๋ยทางภาคเหนือของเวียดนาม ในปี 1533 และเข้าสู่ภาคกลางของเวียดนามในปี 1596 การเผยแพร่ครั้งแรกเกิดขึ้นที่ ฮอย อัน (Hoi An) ดานัง และฮานอย โดยคณะมิชชันนารีเยซูอิตชาวโปรตุเกส การเผยแพร่ศาสนาก่อให้เกิดความขัดแย้ง อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้กระนั้นคาทอลิค ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง 2 ด้าน คือ
- การประดิษฐ์ภาษาเขียนแบบโรมัน
- การนำเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ของตรรกะแบบตะวันตกเข้ามา
การเปลี่ยนแปลงนี้ก่อให้เกิดความวิตกกังวลขึ้นในหมู่ขุนนางและชนชั้นปกครอง ผู้มองว่า ศาสนาใหม่เป็นสิ่งคุกคามระเบียบสังคมแต่ดั้งเดิม และพิธีกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อความเชื่อเรื่องสวรรค์ และการบูชาบรรพบุรุษ (อันเป็นสาเหตุให้มีชาวญวนที่นับถือศาสนาคริสต์บางส่วนอพยพออกจากเวียดนาม ไปยังดินแดนข้างเคียงทั้ง สปป.ลาว ไทย กัมพูชา ในอดีตตามที่กล่าวถึงข้างต้น)
อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญ
อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม นับว่า เป็นลักษณะเด่นของแต่ละสังคมที่ได้รับการถ่ายทอดมายาวนานจากรุ่นสู่รุ่น อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมแห่งชาติกำเนิดเปรียบเสมือนพื้นที่ทางสังคม ที่เปิดโอกาสให้ชาวญวนได้มีปฏิสัมพันธ์กัน โดยผูกติดอยู่กับผู้คนมาตั้งแต่เกิด และเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงตัวตนของชาวญวนที่ไม่เหมือนกับกลุ่มชนชาติอื่นๆ และเมื่ออพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยแล้ว อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวญวน (เหวียดเกี่ยว) จึงถูกผูกโยงเข้ากับสังคมไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมก็มิได้มีเพียงแค่ภาษาเวียดนามเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลากหลายด้าน ดังนี้
1. หิ้งบูชาแผ่นดิน หรือหิ้งบูชาปิตุภูมิ (Bàn Thờ Tổ Quốc)
เป็นสัญลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นในสังคมไทยช่วง ค.ศ. 1948 โดย หว่าง วัน ฮวาน มีจุดประสงค์เพื่อรวบรวมความรักชาติ และความสามัคคีของชาวเหวียดเกี่ยวในไทย ในขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อกอบกู้เอกราชจากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส มีการนำเอาคำสอนของโฮจิมินห์มาเขียนไว้ตรงหิ้งบูชาแผ่นดินทั้งสี่แถว ซึ่งแต่ละประโยคจะมีความเชื่อมโยงกับครอบครัว กลุ่มทางสังคม และรัฐ หิ้งบูชาแผ่นดินนี้ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื๊อ แต่ถูกปรับเปลี่ยนและให้ความหมายใหม่ด้วยการสร้างคำสำคัญขึ้นมา เพื่อเป็นหลักคำสอนหรือแนวทางปฏิบัติให้กับชาวเหวียดเกี่ยวในไทย โดยมีเนื้อหาดังนี้
- แถวบนเขียนว่า “Tổ quốc trên hết” หมายถึง “ประเทศชาติเหนือสิ่งอื่นใด”
- แถวซ้ายเขียนว่า “cần kiệm liêm chính” หมายถึง “ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม”
- แถวขวาเขียนว่า “Việt Thái thân thiện muôn năm” หมายถึง “ความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยและชาวเวียดนามยิ่งยืนนาน”
- แถวล่างเขียนว่า “Hồ Chủ tịch muôn năm” แปลว่า “ประธานโฮจงเจริญ” และตรงกลางของหิ้งจะมีธงชาติเวียดนาม และรูปของโฮจิมินห์วางอยู่ด้วย
ซึ่งคำสอนเหล่านี้เปรียบเสมือน กาวประสานระหว่างชาวไทยและชาวเหวียดเกี่ยว เปรียบเสมือนสิ่งที่ตอกย้ำให้ชาวเหวียดเกี่ยวพึงระลึกถึงชาติกำเนิดของตน รวมถึงโฮจิมินห์ ในฐานะผู้นำสูงสุดในการกู้ชาติเวียดนาม แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะให้ความเคารพแผ่นดินไทยที่เป็นที่อยู่อาศัย ทำให้ชาวเหวียดเกี่ยวปฏิบัติตนตามกฎเกณฑ์ของสังคมไทย เป็นมิตรและทำความดีช่วยเหลือชาวไทย มีการพึ่งพาซึ่งกันและกัน
2. ศาลเจ้า (Đền)
เป็นศาสนสถานที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ เนื่องจากประเทศเวียดนามเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีนเป็นเวลายาวนาน จึงได้รับอิทธิพลทางศาสนาที่ผสมผสานมาจาก 3 ลัทธิ ทั้ง พุทธมหายาน ขงจื๊อ และเต๋า สำหรับชาวเหวียดเกี่ยวนั้น ศาลเจ้าเปรียบเสมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่พึ่งทางจิตใจ ตลอดจนเป็นศาลที่ปกครองคนในชุมชน ด้วยกฎระเบียบและความเชื่อในเทพเจ้าที่สิงสถิตย์อยู่ มีความเลื่อมใสศรัทธาคอยทำหน้าที่หล่อหลอมคนในชุมชนให้มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมีการประกอบพิธีกรรมเพื่อแสดงถึงความสำนึกในบุญคุณของบรรพบุรุษอยู่เสมอ ในศาลเจ้านอกเหนือจากหิ้งบูชาแล้ว ยังมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประดับอยู่ภายในศาลเจ้าเช่นกัน
3. สุสาน (Nghĩa địa)
สุสาน เป็นสิ่งที่แสดงถึงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวเหวียดเกี่ยวอย่างหนึ่ง เพราะหากมีสุสานเวียดนาม ณ ที่แห่งใด นั่นหมายความว่าบริเวณนั้นต้องมีชุมชนชาวเวียดนามอาศัยอยู่แน่นอน โดยชาวเหวียดเกี่ยวแต่ละเขตที่อยู่อาศัยจะทำการแบ่งกันอย่างชัดเจนว่า สุสานแต่ละแห่งเป็นของชุมชนใด และผู้ใดที่มีสิทธิ์จะนำศพมาฝังได้ สำหรับชาวเหวียดเกี่ยว หากไปทำงานที่อื่นแล้วเสียชีวิต ญาติพี่น้องก็จะนำศพกลับมาฝังที่สุสานของชุมชนทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ไกลเพียงใด แต่หากบุคคลนั้นๆ เคยทำผิดกฎระเบียบของชุมชนมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป หรือคณะกรรมการศาลเจ้ามีมติว่า บุคคลนั้นๆไม่เคยช่วยทำนุบำรุงศาลเจ้าของชุมชน รวมไปถึงการขาดการติดต่อกับญาติพี่น้องเป็นเวลานาน คณะกรรมการศาลเจ้ามีอำนาจที่จะตัดสินมิให้นำศพของบุคคลดังกล่าวมาฝังที่สุสานของชุมชนได
4. เทศกาลและประเพณีประจำปี
4.1 เทศกาลเต๊ด หรือ ตรุษ (Tet Nguyen Dan)
เทศกาลเต๊ด จัดขึ้นปีละครั้ง โดยยึดตามปฏิทินวันสิ้นเดือนสิบสอง ของปีจันทรคติ ซึ่งตรงกับวันตรุษจีน นับเป็นพิธีที่สำคัญที่สุดของชาวเหวียตเกี่ยว เพราะเป็นวันฉลองการเริ่มต้นปีใหม่ การเฉลิมฉลองจะเริ่มขึ้นหนึ่งสัปดาห์ก่อนวันตรุษ คือ วันที่ 23 เดือน 12 ตามปฏิทินเวียดนาม ในวันนี้จะมีพิธีไหว้เทพเจ้าแห่งเตาไฟ ที่คอยสอดส่องดูแลความเป็นไปทกอย่างภายในบ้าน เพื่อส่งเทพเจ้าขึ้นสวรรค์ หลังจากนั้นสมาชิกในครอบครัวก็จะช่วยกันทำความสะอาดบ้านเรือน และประดับตกแต่งสิ่งของต่างๆ เพื่อความสวยงาม ต้อนรับเทศกาลตรุษที่จะมาถึง และก่อนวันตรุษหนึ่งวัน ก็จะมีการไหว้อัญเชิญบรรพบุรุษ กลับมาร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลโดยญาติพี่น้องทุกคน โดยพิธีจะเริ่มทำในตอนบ่าย แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
- ไหว้ที่สุสาน คือ ลูกชายหรือหลานชายต้องนำของไหว้ไปเชิญวิญญานที่หลุมศพของบรรพบุรุษ และพูดเชิญวิญญาณกลับบ้าน โดยมีข้อห้ามว่าระหว่างทางกลับ จะต้องไม่พูดจากับใครเด็ดขาด และเมื่อถึงบ้านก็ต้องมีพิธีไหว้ต้อนรับบรรพบุรุษกลับบ้าน
- ไหว้ที่บ้าน โดยจัดของไหว้และทำพิธีเชิญวิญญานพร้อมกับไหว้ต้อนรับบรรพบุรุษ โดยไม่ต้องไปที่สุสาน
ประเพณีตรุษญวน
หลังจากไหว้ต้อนรับบรรพบุรุษกลับมาบ้านเรียบร้อยแล้ว ลูกหลานทุกคนก็จะเฉลิมฉลองและรับประทานอาหารร่วมกัน ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเทศกาลนี้ก็คือ แบ๋งจึง (Banh chung) ที่มีลักษณะคล้ายข้าวต้มมัดห่อด้วยใบตอง ภายในมีข้าวเหนียว ถั่วเหลือง และหมูสามชั้น
4.2 งานแต่งงาน (Lễ cưới)
ตามประเพณีการแต่งงานดั้งเดิมของชาวเหวียดเกี่ยว จะประกอบด้วย 3 พิธี คือ
- พิธีสู่ขอ (Lễ chạm ngõ) เป็นพิธีที่ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายจะเป็นผู้จัดการติดต่อกัน โดยผู้ใหญ่ทางฝ่ายชายจะไปสู่ขอฝ่ายหญิง คนที่เป็นผู้ไปสู่ขอส่วนใหญ่มักเป็นชายสูงอายุที่รู้ภาษาเวียดนาม และสามารถอ่านบทสวดมนต์ภาษาเวียดนามได้เป็นอย่างดี โดยทางบ้านเจ้าบ่าวจะเตรียมของเพื่อนำไปพูดคุยสู่ขอ หากทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ก็จะมีการหาฤกษ์ยามเพื่อจัดงานหมั้นและงานแต่งงานต่อไป
- พิธีหมั้น (Lễ ăn hỏi) เป็นพิธีที่เจ้าบ่าวมาทำการหมั้นเจ้าสาวที่บ้าน นิยมจัดขึ้นในช่วงไม่เกินเที่ยง โดยนำของหมั้น เช่น หมากพลู ส้ม เหล้า คุกกี้ มามอบให้ฝ่ายหญิง และหลังจากเสร็จพิธีหมั้น ทั้งสองครอบครัวก็จะจัดงานเลี้ยงขึ้นในช่วงค่ำที่บ้านของทั้งสองฝ่าย ซึ่งตามประเพณีของชาวเหวียดเกี่ยว จะเป็นการกินเลี้ยงที่บ้านเจ้าบ่าวก่อน เมื่อต้อนรับแขกเสร็จเรียบร้อยเจ้าบ่าวก็ต้องเดินทางไปบ้านเจ้าสาวเพื่อต้อนรับแขกฝ่ายเจ้าสาว โดยการจัดงานเลี้ยงหลังพิธีหมั้นนั้นจะขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละครอบครัว ตามปกติแล้วจะนิยมจัดขึ้นหลังพิธีหมั้นหนึ่งวัน แต่บางครอบครัวอาจจัดหลังพิธีหมั้นหลายเดือ
- งานเลี้ยงมงคลสมรส (Lễ cưới) เป็นงานเลี้ยงของคู่บ่าวสาวที่จัดขึ้นที่บ้านเจ้าบ่าว มีแขกจากทั้งสองฝ่ายมาร่วมแสดงความยินดี โดยลักษณะพิเศษที่สำคัญของงานเลี้ยงมงคลสมรสของชาวเหวียดเกี่ยว คือ มีหิ้งบูชาโฮจิมินห์ประดับอยู่ในงาน ซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในพิธีมงคลสมรส และเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องไปถ่ายรูปกับแขกที่หน้าหิ้งบูชาโฮจิมินห์
4.3 งานศพ (Lễ tang)
การจัดการพิธีงานศพ โดยปกติแล้วเมื่อมีคนในชุมชนเสียชีวิตลง ญาติของผู้เสียชีวิตจะต้องนำหมากพลู 1 สำรับ ที่ประกอบด้วย หมาก 5 คำ พลู 5 คำ เหล้าขาว 1 ขวด เพื่อไปทำการครอบ คือ การบอกกล่าวต่อประธานศาลเจ้า หรือผู้อาวุโส หลังจากนั้นประธานศาลเจ้าจะให้สัญญาณแก่สมาชิกในชุมชนว่ามีคนเสียชีวิต โดยชาวบ้านจะทราบจากเสียงกลอง เจ้าภาพจะตั้งศพไว้ที่บ้าน เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณดัง ชาวบ้านก็จะมารวมตัวกันที่บ้านที่จัดงาน
สำหรับการจัดตั้งศพของชาวเหวียตเกี่ยว จะวางศพบนที่นอนตามแนวยาวของบ้าน หันศีรษะไปทางทิศตะวันตก ลักษณะศพวางมือซ้ายทับขวาบริเวณหน้าท้อง ใช้ผ้าแพรคลุมศพ โดยเท้าต้องโผล่ออกนอกผ้าคลุมและหันเท้าออกนอกบ้าน ตั้งกระถางธูปไว้ปลายเท้า โดยปกติจะนิยมตั้งศพไว้ประมาณ 3-5 วัน เพื่อให้ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง และคนใกล้ชิดได้มีโอกาสมาเคารพศพก่อนถึงวันฝังหรือเผา และมีการนิมนต์พระมาสวดหน้าศพประมาณ 2-3 คืน การเคารพศพของชาวเหวียตเกี่ยวจะจุดธูป 1 ดอกใหญ่ปักไว้กลางกระถางธูป มีเทียน 2 เล่มวางด้านหน้า และตั้งโต๊ะเล็กๆ ที่ประกอบด้วยข้าวสวย ตะเกียบ 1 คู่ น้ำ 1 แก้ว ตะเกียงน้ำมันก๊าดที่จุดไฟไว้ตลอดเวลา 1 ดวง โดยมีความเชื่อว่าข้าวหมายถึงความสมบูรณ์ และการจุดตะเกียงจะมอบแสงสว่างในการรับประทานอาหารให้แก่ผู้เสียชีวิต
หากเป็นงานศพของผู้สูงอายุไม่ว่าเป็นเพศใด ชาวเหวียตเกี่ยวจะตัดชุดแดงให้ศพสวมใส่ และใส่ข้าว 9 เมล็ด เงิน 1 บาท และทองคำจำนวนหนึ่งไว้กับศพ เพราะเชื่อว่าข้าวสารและเงินทองเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์
ในคืนก่อนเคลื่อนศพไปฝังยังสุสาน จะมีพิธีบอกกล่าวศพให้รู้ตัว โดยจะยกโลงศพหันด้านศีรษะออกนอกบ้าน และเดินรอบโลงศพ 3 รอบ ในวันเคลื่อนศพไปทำพิธีฝังที่สุสานมักเริ่มทำในช่วงบ่าย ลูกชายคนโตจะเดินนำหน้าโลงศพ และมีบรรดาญาติมิตรเดินตามขบวนศพ และก่อนฝังศพจะมีผู้อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับผู้เสียชีวิต เช่น ชื่อ สกุล อายุ ภูมิลำเนา เพื่อเป็นใบเบิกทางให้ไปสู่สวรรค์หรือนรก ตามความเชื่อของคนเหวียตเกี่ยว และจะแปะใบเบิกทางนี้ไว้หน้าโลงศพเช่นกัน
ลักษณะเด่นของชาวเวียดนาม
ชาวเวียดนาม เป็นกลุ่มคนที่มีความขยันขันแข็งและมีความอดทนเป็นพิเศษ แม้คนจีนก็ยังยอมรับว่า คนญวน มีความขยันขันแข็งในการประกอบอาชีพมากว่าตน ในเรื่องน้ำอดน้ำทนของคนญวน ไม่มีชาติใดในเอเชียที่เหนือกว่าคนญวน การที่คนญวนสามารถสู้ทนทำสงครามต่อสู้กับฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา เป็นเวลายาวนานหลายสิบปี ทั้งๆ ที่ประเทศของตนประสบกับความเสียหายอย่างยับเยิน จากการโจมตีที่ทิ้งระเบิดและถล่มด้วยสารเคมีของสหรัฐ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีถึงความอดทนของคนญวน
เมื่อคนญวนอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ก็ตั้งหน้าทำมาหากิน ประกอบกับการที่รัฐบาลไทยในระยะนั้น ได้ให้อุปการะช่วยเหลือ ทำการจัดสรรแบ่งที่ดินให้ทำกิน และจัดหาทุนกู้ยืมในการประกอบอาชีพ รวมทั้งปล่อยให้ทำมาหากินโดยอิสระเสรี ไม่มีการกีดกั้นหรือหวงห้ามแต่อย่างใด จึงเป็นผลให้คนญวนสามารถสร้างฐานะความเป็นอยู่ ให้เป็นปึกแผ่นขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดคนญวนก็สามารถสร้างฐานะทางเศรษฐกิจของตนให้เหนือกว่าคนไทยในชุมชนเหล่านั้นได้
คนญวนประกอบอาชีพเกือบทุกประเภท นับแต่ด้านการเกษตร การช่างฝีมือต่างๆ เช่น ช่างไม้ ช่างปูน (ซึ่งจะเห็นได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับศาสนาคารในภาคอีสาน เช่น สิมหรืออุโบสถ ในวัดแถบอุบลราชธานี อำนาจเจริญ มุกดาหาร นครพนม ฯลฯ) ชางเหล็ก ช่างกลึง ช่างนาฬิกา ช่างไฟฟ้า-วิทยุ ช่างเย็บเสื้อผ้า ช่างเครื่องยนต์ ต่อตัวถังรถยนต์ อาชีพค้าขายทุกชนิด การประมง การแพทย์ ถ่ายรูป การค้าขายในตลาดสด เป็นต้น ด้วยความขยันหมั่นเพียร และการมีน้ำอดน้ำทน สามารถประกอบอาชีพได้ทุกชนิด โดยไม่มีการรังเกียจ ผลจึงปรากฏว่า ชุมชนใดที่มีกลุ่มชาวญวนอยู่ อิทธิพลทางเศรษฐกิจจะตกอยู่ในมือของคนกลุ่มนี้เสียเป็นส่วนใหญ่
ด้านสังคมและชุมชน
ในท้องถิ่นที่มีคนญวนอาศัยอยู่ คนญวนจะรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น คบค้าสมาคมเฉพาะกลุ่มคนญวนด้วยกันเอง สรุปแล้ว ในด้านสังคมส่วนมากคนญวน แสดงออกโดย
- ใช้เวลาว่างเล่นกีฬาทุกชนิด กีฬาที่นิยมเล่นได้แก่ ฟุตบอล บาสเกตบอล วอลเล่ย์บอล เป็นต้น จุดประสงค์ของการเล่นกีฬา ก็เพื่อปลูกฝังความสามัคคี ในหมู่คนญวน
- จัดงานแสดงออกซึ่งพลังแห่งความสามัคคี ในวันสำคัญของตน เช่น วันเกิดโฮจิมินห์ วันชาติเวียดนาม เป็นต้น เพื่อปลูกจิตสำนึกให้รักชาติ รักและบูชาโฮจิมินห์
โดยสรุปแล้ว ชาวญวน ต้องการมีอิสระเสรีที่จะเดินทางไปไหน มาไหนได้ โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้ระเบียบข้อบังคับที่ทางการกำหนดไว้ สำหรับคนญวนอพยพ และชาวญวนส่วนมาก ไม่ต้องการเดินทางกลับเวียดนาม ถึงจะรักภักดีต่อประเทศเวียดนามก็ตาม สาเหตุเพราะในระยะหลัง ได้มีกลุ่มคนญวนรุ่นใหม่เกิดขึ้นมาก ญวนกลุ่มใหม่นี้ไม่เคยเห็นประเทศเวียดนามมาก่อน ความรู้สึกผูกพันในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของบิดามารดา ก็ย่อมไม่แน่นแฟ้นเหมือนกับคนญวนรุ่นเก่า และชาวญวนรุ่นใหม่ยังเคยชินต่อระบบเศรษฐกิจแบบเสรี มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย เมื่อเทียบกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนญวนในเวียดนามปัจจุบัน ซึ่งมีลัทธิการปกครองต่างกัน จึงไม่ปรารถนาที่จะกลับเวียดนาม และพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งสัญชาติไทย จนสำเร็จในปัจจุบัน
เด็กญวนที่เกิดในเมืองไทย ทางราชการได้ผ่อนปรนให้เข้าเรียนในระดับต้นๆ ในท้องถิ่นที่ญวนอาศัยอยู่ได้ แต่การศึกษาในระดับสูงๆ นั้น จะมีปัญหาเพราะต้องใช้หลักฐานหลายอย่างที่คนญวนอพยพไม่มี เช่น สำเนาทะเบียนบ้าน เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้เด็กญวนที่ต้องการเรียนต่อ ต้องหาทางให้ได้มาซึ่งสัญชาติไทย และอีกทางที่ทำได้ก็คือ "การให้คนไทยรับเป็นบุตรบุญธรรม" ด้วยวิธีการนี้ทำให้มีลูกหลานญวนได้มีโอกาสเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย ภายหลังมีการแต่งงานกับคนไทย ใช้นามสกุลไทยและได้สัญชาติไทย กลายเป็นลูกครึ่ง ลูกเสี้ยว (มีเชื้อไทยเกิน 75% กันแล้ว)
ภาษาและการสื่อสาร
"คำ" ในภาษาเวียดนามกว่า 80% ของภาษามาจากภาษาจีน และยังรวมไปถึงอิทธิพลทางวรรณคดีจีน และยังมีร่องรอยของภาษาฝรั่งเศสด้วย คำที่เข้ามาในพจนานุกรมเป็นครั้งแรกในสมัยจักรวรรดินิยมช่วงศตวรรษที่ 18 ถึง 20
ส่วนภาษาอังกฤษนั้น ได้มาจากชาวอเมริกันในช่วงสงครามเวียดนาม (เวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ที่มีอเมริกันหนุนหลัง) และจากการเป็นพี่น้องร่วมลัทธิคอมมิวนิสต์กับสหภาพโซเวียต เวียดนามก็ได้รับอิทธิพลทางภาษาจากรัสเซีย ความจริงแล้วความหมาย และคำศัพท์เฉพาะทางวิชาการต่างๆ ของแนวคิดและเทคโนโลยีสมัยศตวรรษที่ 20 มักใช้คำภาษา ฝรั่งเศส อังกฤษ และรัสเซีย และภาษาที่เข้ามาล่าสุดคือ ภาษาญี่ปุ่น
สำเนียงที่แตกต่างกันในเวียดนามนั้น เผยให้เห็นถึงเอกลักษณ์ที่เหนียวแน่นของภูมิภาค ตัวอักษรบางตัวของพยัญชนะ ออกเสียงต่างกัน ศัพท์ของชาวเหนือและชาวใต้ประกอบด้วยคำที่แตกต่างกัน รากของภาษามาจากการผสมของวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน คือ การผสมของ เขมร ไท และเมือง แม้แต่การวางรูปประโยคก็ยังเหมือนกัน
การเรียนการสอนภาษาเวียดนามในจังหวัดนครพนม
ภาษาเขียนของเวียดนาม
อิทธิพลของจีนในช่วงศตวรรษแรกๆ ของประวัติศาสตร์เวียดนาม ทำให้มีการใช้ตัวอักษรที่เรียกกันว่า จื๋อ โย (chu nho) อย่างกว้างขวาง จนแทนที่ภาษาเขียนโบราณที่มีต้นกำเนิดจากภาษาอินเดีย หลังจากได้อิสรภาพ บรรดานักปราชญ์ต่างตระหนักถึงความจำเป็น และประโยชย์ของการพัฒนาภาษาเขียนที่เป็นของเวียดนามขึ้นมา ผู้ที่ทำได้สำเร็จ คือ เหวียน เทวียน (Nguyen Thuyen) ทุกวันนี้เวียดนามมีตัวอักษรแบบโรมัน อันเป็นผลงานของ อเล็กซองเดร เดอโรดส์ (Alexandre de Rhodes) มิชชันนารีเยซูอิต ชาวฝรั่งเศส ผู้ซึ่งได้พัฒนาตัวอักษรที่เรียกกันว่า กว๊อก หงือ (quoc ngu) ภาษาเวียดนามเป็นภาษา Austroasiatic ภาษาหนึ่ง
สำหรับชาวญวนรุ่นใหม่ในประเทศไทยนั้น ปัจจุบันใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร โดยมีสำเนียงอีสานตามกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ จะเหลือเพียงรุ่นปู่-ย่า ตา-ยาย ส่วนน้อยที่ยังสื่อสาร อ่าน-เขียนภาษาเวียดนาม ได้เท่านั้น
บทบาทของชาวเหวียดเกี่ยวกับศิลปะในอีสาน
ในมิติด้านประวัติศาสตร์กระแสหลัก ชาวญวน หรือชาวเวียดนาม ได้เข้ามาในแผ่นดินสยาม ตั้งแต่ก่อนรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในสมัยอยุธยา จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ในสมัยรัตนโกสินทร์ จำนวนชาวเวียดนามได้เพิ่มขึ้น จนกลายเป็น "ชนกลุ่มน้อย" ที่สำคัญกลุ่มหนึ่งของประเทศ โดยเฉพาะความสามารถเฉพาะตัวในเชิงช่าง กล่าวได้ว่า "ช่างญวนเป็นช่างที่ฝีมือดี และมีบทบาทในการช่วยก่อสร้างบ้านเมือง ในสมัยของการก่อตั้งราชธานีตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์" (ผุสดี 2541) ทั้งหมดนี้เป็นโลกทัศน์ของสังคมไทยในอดีตที่มีต่อ ชาวญวน ในบริบททางวัฒนธรรมกระแสหลักของราชสำนักกรุงเทพฯ
หลักฐานทางศิลปะุวัตถุ ศาสนาคารที่สร้างโดยช่างญวน ดั่งมีจารึกระบุปีสร้างใน ปี พ.ศ. 2434 ณ วัดอุดมหาวัน อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย หรือกรณีการสร้างหอธรรมาสน์ศิลปะญวนที่เก่าแก่ที่สุดในอีสาน ที่อ้างอิงว่า สร้างในช่วงราวปี พ.ศ. 2452 - 2454 (สัมภาษณ์ คุณตาอ่อน ศรีสุธรรม อายุ 92 ปี) รวมถึงการบูรณะซ่อมสร้างองค์พระธาตุพนม ที่สร้างต่อจากยุค "พระครูวิโรจน์รัตโนบล" ช่างพระจากเมืองอุบลฯ โดยมีการบูรณะพระวิหารและกำแพงชั้นนอกต่อเติมในปี พ.ศ. 2454 ที่มีการให้ช่างญวนทำ โดยเมื่อสร้างเสร็จแล้ว พระวิหารจึงมีรูปแบบอย่าง "ศิลปะญวนปนไทย" ลวดลายเป็นศิลปะญวนโดยมาก (ประวัติพระธาตุพนม หน้า 49) นั้นหมายความว่า ได้มีกลุ่มชาวญวนได้เข้ามาติดต่อสัมพันธ์กับสังคมอีสานนานแล้ว เช่น ในกรณีของจังหวัดอุบลราชธานี
ทั้งนี้ในวิถีสังคมวัฒนธรรมอีสาน ด้านมิติทางภาษาชื่อที่ใช้เรียกขาน ชาวเวียดนาม หรือ คนญวน โดยมากจะนิยมเรียกเค้าตามภาษาปากตลาดทั่วไปกันว่า แกว หรือ ช่างแกว ดังที่ปรากฏหลักฐานจากจารึกการสร้าง "หอแจก" ของ วัดธรรมละ ตำบลโพนเมือง อำเภอเหล่าเสือโก้ก จังหวัดอุบลราชธานี (ที่สร้างราวปี พ.ศ. 2477) ที่ว่า "หอแจกแห่งนี้ท่านพระครูสีดำสุดแสง เป็นผู้ลงมือออกหัวคิดร่วมกับช่างแกว" (เขียนตามที่มีการจารึกไว้ที่บริเวณหย่องหน้าต่าง) นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง จากหลักฐานประเภทที่มีอักษรลายลักษณ์เป็นหลักฐาน ซึ่งเป็นชื่อที่คนอื่นนิยมใช้เรียก คนญวน หรือ คนเวียดนาม ที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทย โดยเฉพาะภาคอีสาน กับภาคเหนือ ของบ้านเราในสมัยก่อน
ปกิณกะที่เกี่ยวข้องกับชาวญวนในอีสาน
ชนชาวญวน หรือ เวียตนาม หรือ อานัม หรือ แกว (ภาคเหนือเรียกว่า แก๋ว) นั้นมักจะมีคำถามว่า "การที่เรียกคนญวน ว่า 'แกว' นั้นเป็นการดูถูกเหยียดหยามหรือไม่" อันนี้ผมในฐานะลูกอีสานแท้ๆ คนหนึ่ง มีเพื่อนที่รู้จักนับถือกันก็หลายคน มีลูกศิษย์ที่มาเล่าเรียนด้วยที่ครั้งก่อนใช้แซ่เหวียน เหงียน จนเปลี่ยนมาเป็นไทยก็หลายคน ขอยืนยันว่า "มิใช้คำดูถูกเหยียดหยามแต่อย่างใด" (แต่เขาก็ไม่ต้องการให้เรียกอย่างนั้น)
แกว คือคำว่า แกว แกว มีความหมายถึง "เสียงดังแซด แต่ไม่ได้ศัพท์" ซึ่ง จิตร ภูมิศักดิ์ มองว่า น่าจะเป็นการล้อเลียนเสียงพูดในภาษาเวียดนาม ที่มีเสียงสูงต่ำ ตัดกันชัดเจนกว่าภาษาไทย-ลาว นอกจากนี้ยังมีคำลาวในวรรณคดีเรื่อง "ท้าวฮุ่ง" เรียกชาวเวียดนามอย่างเหยียดหยามว่า แย้, แกวแย้ และแกวม้อย (จิตร ภูมิศักดิ์. ความเป็นมาของคำสยาม, ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:ชนนิยม. 2556, หน้า 242-243)
ผู้รู้อีกท่านหนึ่งกล่าวว่า “แกว” เป็นชื่อลำลองในภาษาโบราณ ที่กลุ่มชาติพันธุ์ตระกูลไททุกกลุ่มใช้เรียกบ้านเมืองของชาวเวียดนามเหนือ (กิง) ซึ่งทั้งชาวสยาม ลาว ไทใหญ่ ไทลื้อ จ้วง ฯลฯ ล้วนแต่เรียกเวียดนามว่า “แกว” หมด หลักฐานคือ ชาวจ้วงในกวางสีก็เรียก คนเวียดนาม หรือ ชาวกิง เหมือนกับคนไทย-ลาวคือ “geu” นั่นแปลว่า แกว คำนี้เป็นคำเก่าแก่มาก ก่อนที่ภาษากลุ่มไทตะวันตกเฉียงใต้ (Southwestern Tai เช่น ภาษาไทย ลาว ไทใหญ่) จะแยกตัวออกจากกลุ่มไทเหนือ (ภาษาจ้วง ปู้ยี) เสียอีก
ชื่อ “แกว” นี้นักภาษาศาสตร์สันนิษฐานว่า มาจากชื่อรัฐโบราณชื่อ 交趾 (Giao-chỉ) ซึ่งตั้งอยู่ทางเวียดนามเหนือ ช่วงเวลาเดียวกับที่ชนเผ่าไทเริ่มอพยพเข้ามาในแหลมทอง และได้ติดต่อกับชนเผ่าที่พูดภาษาตระกูลมอญ-เขมร ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวกิงหรือเวียดนามปัจจุบัน จริงๆ คำว่า “เวียด” ก็มาจากชื่อรัฐโบราณคือ “รัฐเยว่” ซึ่งนักโบราณคดีต่างลงความเห็นว่า ชนเผ่าเยว่ส่วนใหญ่คือบรรพบุรุษของเผ่าไทกะได ไม่ใช่เผ่ากิงหรือเวียดนามเพียงแต่ชาวกิงใช้ชื่อรัฐของชาวไทกะไดมาเรียกแค่นั้น
“แกว” เป็นคำกลางๆ ไม่มีความหมายเชิงดูถูกแต่อย่างใด ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้พูดเหมือนกับคำว่า “ลาว” “แขก” และ “ฝรั่ง” ที่เป็นได้ทั้งลบและบวกตามบริบทของการนำไปใช้ในขณะนั้น
ทำนองเดียวกับที่คนไทยเรียก คนพม่า ว่า “ม่าน” (มาจาก မြန် mran) เรียก คนกะเหรี่ยง ว่า “ยาง” (มาจาก ကြျာင် kryang) หรือคนทางเหนือเรียก คนจีน ว่า “ห้อ” (มาจาก 華) หรือ “แข่” (มาจาก 夏) คำเหล่านี้เป็นคำเก่าแก่และมีที่มา ซึ่งจะแตกต่างจากกรณีคำว่า “เจ๊ก” “ยุ่น” พวกนี้เป็นการเรียกเชิงดูถูกเหยียดหยามชัดเจนครับ
อาหารญวนที่ถูกดัดแปลงจนมีชื่อเสียงในเมืองไทย
บ้างก็บอกว่า น่าจะมาจากคำว่า "แกวปะกัน" ในตำนาน "ท้าวฮุ่งขุนเจือง" เป็นตำนานร่วมของดินแดนสองฝั่งแม่น้ำโขง สมัยก่อนทางอีสาน เรียก คนญวน ว่า แกว เช่นกัน และชาวผู้ไท (ภูไท) ที่อพยพจากแม่น้ำดำ แถบเมืองเดียนเบียนฟู ก็ใช้คำว่า แกว เช่นกัน ในครั้งนั้นคำว่า แกว ไม่ใช่คำดูหมิ่นดูแคลนแต่ประการใด มีตั้งแต่โบราณนานมา คนลาว เรียก คนเวียดนามว่า แกว มาแต่ไหนแต่ไร สมัยก่อนมีการเรียกภูเขาเทือกหนึ่งที่กั้นดินแดนลาวกับเวียดนามว่า ภูแกว บางทีก็เรียก แดนแกว ซึ่งเหมือนกับคำว่า ลาว ของชาวกรุงเทพฯ ที่ชอบเรียกผู้คนจากอีสานว่า เป็นพวกลาว แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนเปลี่ยน ความหมายของภาษาก็เปลี่ยนไปได้
อีกความหมายเอาแบบขำๆ ผมยังไม่ยืนยัน บอกว่า "เพราะชายฝั่งลำแม่น้ำโขงด้านฝั่งไทย (นครพนม) นั้นตลิ่งลึก และฝั่งสูงเกินกว่าจะปีนขึ้นไปได้ง่ายๆ เมื่อชาวเวียดนามยังหนีภัยสงครามข้ามน้ำโขงมาเรื่อยๆ แพเรือก็มีมากขึ้นตามจำนวนการอพยพ คนไทยและเจ้าหน้าที่ไทย มาพบกลุ่มคนเวียดนามที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งต้องการขึ้นมาบนตลิ่ง ยืนโบกไม้โบกมืออยู่ในเรือ พร้อมกับตะโกนว่า "แกว แกว แกว"
สมัยนั้นไม่มีใครรู้จักภาษาเวียดนาม แต่เห็นอาการโบกไม้โบกมือ พร้อมส่งเสียงว่า แกว แกว แกว คงน่าจะเป็นเหตุให้เรียกผู้คนที่อยู่ในเรือแพด้านล่างว่า "พวกแกว หรือคนแกว" แต่ในความเป็นจริงการตะโกนบอกคนบนฝั่งว่า แกว แกว แกว นั่นเป็นการร้องขอความช่วยเหลือ "แกว" ในภาษาเวียดนามแปลว่า "ดึง" แกวๆๆ ก็คือ ดึงๆๆ ด้วยเขาต้องการให้คนไทยที่อยู่ด้านบนช่วยดึงพวกเขาขึ้นไปบนฝั่ง แต่ไม่รู้จะพูดสื่อสารกันยังไงให้เข้าใจ" ก็แล้วแต่จะเชื่อนะครับ มาจากคำบอกเล่าของคนอำเภอท่าแขก นครพนม กับมัคคุเทศน์ดูแล บ้านลุงโฮ (โฮจิมินห์) เล่ามาตรงกัน
อร่อยทั่วไทย : อาหารญวนในอุบลราชธานี
ได้รับการแนะนำเพิ่มเติมข้อมูลมาจาก คุณฤดี ศรีนครพนม ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานผู้ผลิตสารคดีชุด "คนเวียดนามในแผ่นดินสยาม" มีทั้งสิ้นจำนวน 7 ตอน น่าสนใจเนื้อหาครอบคลุมตามที่ผมรวบรวมมาข้างต้น ดังนี้
EP.1 ปฐมบทคนเวียดนามในแผ่นดินสยาม "จากโคชินไชน่าถึง 3 กรุงราชธานี"
EP.2 สุพรรณบุรี .. คนเวียตแห่งลุ่มน้ำ "ศรัทธาสืบสาน อาหารดำรงอยู่"
EP.3 อนัมนิกายในสยามประเทศ "ตำนานและศรัทธา"
EP.7 กลับคืนมาตุภูมิ 'เหวียตเกี่ยวโห่ยเฮือง' ... "ความทรงจำและสัมพันธภาพ"

- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Ethnos
- Hits: 25320
ชนเผ่ากะเลิง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในหลายๆ กลุ่มที่อาศัยอยู่ในจังหวัดสกลนคร มีประวัติความเป็นมา การเลือกหลักแหล่งทำมาหากิน วัฒนธรรม ความเชื่อ ตลอดจนภาษาพูดที่มีสำเนียงหรือถ้อยคำที่นิยมใช้กันเฉพาะในกลุ่มของตน
ชาวกะเลิง (ข่าเลิง ข่ากะเลิง) ปี 2444 เครดิต : Mission Pavie
ชนเผ่ากะเลิง เป็นกลุ่มที่ชอบอาศัยอยู่ในพื้นที่ราบสูง ตามไหล่เขา และเมื่อกลุ่มกะเลิงลงมาอยู่พื้นที่ราบปะปนกับโย้ย ญ้อ ทำให้เกิดการรับวัฒนธรรมภาษาพูดในกลุ่มไทย-ลาว ชนเผ่ากะเลิง ก่อนจะอพยพมาอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร อาศัยอยู่ในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง จากการสันนิษฐานของนักวิชาการ กล่าวไว้ว่า ชาวจีนเขียนไว้ว่า คุณลุน หรือกุรุง จนเพี้ยนเป็น กะลุง ในภาษาจาม
เมื่อชาวเขมรมาตั้งถิ่นฐานอยู่ตอนเหนือของเวียดนาม ได้ยืมคำนี้มาจากพวกจาม แหล่งที่อยู่ของชาวกะเลิงไม่ห่างจากเมืองเง่อาน ในบริเวณเทือกเขาจากทางทิศตะวันตก และคณะสำรวจดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง นำโดย ร.อ.เดอมาเกลฟ ได้กล่าวถึงถิ่นที่อยู่ของชนเผ่ากะเลิงว่า อยู่ที่ลุ่มแม่น้ำตะโปน และบริเวณต้นน้ำเซบังเหียน ชนเผ่ากะเลิงเป็นผู้ที่รักความสงบ
ชนเผ่ากะเลิง ในเขตจังหวัดสกลนคร เป็นที่ยอมรับกันว่า ได้อพยพมาจากดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง อพยพข้ามมาหลายครั้ง นับตั้งแต่การปราบปรามเจ้าอนุวงศ์แห่งเมืองเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในสมัยรัชกาลที่ 3 และอพยพครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเกิดกบฎจีนฮ่อ ที่ยกกำลังเข้ามาตีเมืองเชียงขวาง ชุมนุมพลอยู่ที่ทุ่งเชียงคำ เตรียมยกเข้าตีหัวเมืองริมฝั่งแม่น้ำโขง เมืองที่อยู่ในการปกครองของไทย คือเมืองหลวงพระบาง ก็ถูกคุกคามจากพวกฮ่อเช่นกัน ทำให้ไทยต้องยกกำลังไปปราบฮ่อหลายครั้ง พร้อมทั้งส่งแม่ทัพนายกองเกณฑ์ทหารจากหัวเมืองต่างๆ ในภาคอีสาน ไปช่วยปราบฮ่อด้วย
เมืองสกลนคร ถูกเกณฑ์ช้าง 25 เชือก โคต่าง 100 ตัว ข้าวสาร 300 ถัง กำลังพล 1,000 คน โดยมีอุปฮาด (โง่นคำ) กับราชวงศ์ (ฟอง) เป็นนายกองสะเบียงยกไป การทำศึกกับฮ่อหลายครั้ง ทำให้ผู้คนที่อยู่ตามเมืองต่างๆ เดือดร้อน วิตกกังวลถึงอันตรายที่เกิดขึ้น จึงได้มีการอพยพติดตามแม่ทัพนายกองเข้ามาอยู่ในเมืองต่างๆ โดยเฉพาะหมู่บ้านชนเผ่ากะเลิงในบริเวณใกล้ๆ ตัวเมืองสกลนคร เช่น บ้านนายอ บ้านนามน บ้านโพนงาม ที่มีชนเผ่ากะเลิงอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นชนเผ่ากะเลิงที่อพยพมาจากเมืองภูวานากะแด้ง ในสมัยพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ)
ต่อมามีผู้นำชาวกะเลิงที่สมัครใจอพยพขึ้นไปตั้งหลักแหล่งบนเทือกเขาภูพาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบบ้านบัว อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานว่า เริ่มตั้งหลักแหล่งเมื่อใด แต่สันนิษฐานว่า ชาวกะเลิงอพยพมาอยู่ประมาณ 150 ปีมาแล้ว
ต่อมาในปี พ.ศ. 2460 ได้เกิดโรคระบาดที่เรียกว่า โรคห่า อย่างรุนแรง มีผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก จึงมีการอพยพหนีโรคร้ายบางกลุ่มไปตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านเหล่า ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านบัวประมาณ 1 กิโลเมตร สำหรับบ้านบัวเป็นสถานที่แห่งแรกตั้งหมู่บ้านอยู่ริมห้วยทราย และมีหนองน้ำขนาดใหญ่มีกอบัว ดอกบัวบานสะพรั่ง ชาวบ้านจึงเรียกว่า บ้านบัวห้วยทราย แต่ต่อมาทางราชการเรียกว่า บ้านบัว เพื่อให้คำเรียกชื่อหมู่บ้านกระทัดรัด แสดงความสำคัญของหนองบัวในหมู่บ้าน ชาวกะเลิงมีลักษณะรูปร่างเตี้ย ผิวคล้ำ เป็นคนซื่อๆ ชอบสนุก และชอบอยู่ตามป่า ตามเขา หาอาหารโดยการล่าสัตว์ หญิงชาวกะเลิง เป็นคนขี้อาย แต่แข็งแรงอดทน
ประเพณีการแต่งกายของชาวกะเลิง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าย้อมคราม ทอมือ เย็บด้วยมือ ชาวกะเลิง มีวัฒนธรรมการแต่งกาย ดังนี้
- ผ้าซิ่น ใช้ด้าย 2 เส้นมาทำเกลียวควบกัน ใช้ทั้งผ้าฝ้ายธรรมดาและผ้าไหม เป็นผ้าตีนเต๊าะ แต่มีเชิงแถบเล็กๆ แคบ 2 นิ้ว นิยมสีเปลีอกอ้อย เข็นด้วยด้ายสีแดง เหลืองเป็นสายเล็กๆ นอกจากนี้ยังนิยมใช้ผ้าฝ้ายเข็น 2 เส้นควบกัน เช่น แดงควบเหลือง น้ำเงินควบขาว เขียวควบเหลือง ถ้าไม่ใช่เป็นผ้าตีนเต๊าะมักนุ่งสั้น
- เสื้อ กะเลิงนิยมแต่งตัวกะทัดรัด เช่น ถ้านุ่งซิ่นผ้าฝ้ายสั้น มักใช้ผ้าทอพื้นบ้าน เป็นตาสี่เหลี่ยมเล็กๆ คาดอก โพกผ้าบนศีรษะ สะพายกะหยัง ขึ้นภูเก็บผักเก็บหญ้าส่วนกะเลิง ที่นุ่งซิ่นยาวคลุมเข่ามักสวนเครื่องประดับ เช่น สร้อยข้อมือทำด้วยรัตนชาติ หรือดินเผา ใส่ต่างหูเป็นห่วงกลม เสื้อแขนยาวสีขาวเหลืองเก็บชายเสื้อคาดเข็มขัดเงิน เป็นชุดที่ใช้ในงานมงคลต่างๆ นับเป็นเครื่องแต่งกายที่งดงามที่สุดของชาวเผ่ากะเลิงวัยหนุ่มสาว ส่วนกะเลิงสูงอายุ มักนุ่งซิ่นลายดำ ขาว แดง สวมเสื้อแขนกระบอกย้อมคราม ที่สาบเสื้อมีเหรียญสตางค์แดงติดเป็นแนวกระดุม เกล้าผมสูง
วิถีการดำเนินชีวิตของชาวกะเลิง เหมือนกับชาวอีสานทั่วไป คือ ยึดถือฮีตสิบสอง คองสิบสี่ เป็นหลักในการดำเนินชีวิต และมีคติความเชื่อถือในเรื่องผี นับถือผีมเหสักข์หลักบ้าน วิญญาณบรรพบุรุษ ผีตาแหก ผีป่า ผีเขา ประเพณีที่ชาวกะเลิง จัดทำเป็นงานบุญยิ่งใหญ่ คือ บุญเผวส (เทศน์มหาชาติ) ซึ่ง 3 ปี จะจัดให้มีขึ้นครั้งหนึ่ง เพราะสิ้นเปลืองค่าใช่จ่ายมาก นอกจากนี้ก็มีประเพณีเลี้ยงผีซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี
สมัยก่อน ชาวกะเลิงชายจะนิยมสักเป็นรูปนกที่แก้มดังผญาว่า "สักนกน้อยงอยแก้มตอดขี้ตา สักนกน้อยงอยแก้มจั่งงาม" ปัจจุบันยังพบชายชาวกะเลิง สักลายที่ขาและตามตัวบ้าง แต่ก็มีการสักรูปนกที่แก้ม ชายชาวกะเลิงในปัจจุบันแต่งกายเหมือนชายชาวอีสานทั่วไป หญิงชาวกะเลิงในสมัยก่อนแต่งกายโดยนุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่มีเชิง ไม่สวมเสื้อ ใช้แพเบี่ยงโต่งในเวลามีงานปกตินิยมเปลือยหน้าอก ซึ่งเรียกว่า ปละนม ไว้ผมยาว และผมมวยสวมกำไลข้อมือ ข้อเท้า และตุ้มหูเงิน นิยมทัดดอกไม้ ประเทืองผมด้วยขมิ้น ทาหน้าด้วยหัวกลอยและข้าวสาร บางคนนิยมมาถูฟันให้ดำงาม สวมรองเท้าที่ประดิษฐ์เองใช้วัสดุในท้องถิ่น เช่น ไม้ หนังสัตว์ กาบหมาก
ความเชื่อในเรื่องผีของชาวกะเลิง ไม่เคร่งครัดในพิธีกรรม เช่นบางเผ่า ชาวกะเลิงนับถือผี ดังนี้
- ผีเรือน ผีชาน (ชาวผู้ไทยเรียกว่า "ผีแจ") ถือกันว่าเป็นวิญญาณของพ่อแม่ บรรพบุรุษจะยังวนเวียนปกปักรักษาคุ้มครอง โดยอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งของบ้าน โดยเรียกว่า "แจ" ถ้าบ้านใดมีลูกเขย หรือลูกสะใภ้ จะเข้ามาที่มุมแจนั้นไม่ได้เป็นการผิดผี ต้องให้หมอเหยามาทำพิธี
- ผีหมู่บ้าน ผีหอ หรือ ผีมเหศักข์ เป็นที่เชื่อกันว่าเป็นผู้คุ้มครองทั้งหมู่บ้าน ชาวกะเลิงจะทำศาลในลักษณะของศาลพระภูมิเจ้าที่ไว้ในที่แห่งแห่งหนึ่ง เมื่อสิ้นปีซึ่งกำหนดในเดือน 3 ขึ้น 3 ค่ำ ชาวบ้านจะพากันไปเลี้ยงผี จะมี "เจ้าจ้ำ" เป็นเจ้าพิธี หลังจากนั้นจะมีการกินเลี้ยงรื่นเริงกันอย่างสนุกสนาน
- ผีนา หรือ ตาแฮก ซึ่งชาวบ้านจะบอกกล่าวเวลาหว่านหรือเก็บเกี่ยว อาจทำหรือตั้งศาลพระภูมิให้ตามนาก็ได้
ความเชื่อในเรื่องขวัญ ชาวกะเลิงเชื่อว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือตกใจ หรือตกต้นไม้ ขวัญจะยังคงอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อต้องการให้ขวัญเข้าร่างกายจะต้องหาภาชนะ หรือผ้าขาวม้าไปซ้อนขวัญกลับมาสู่ร่างของผู้ได้รับอุบัติเหตุนั้นๆ จากนั้นจะผูกข้อต่อแขนผู้ประสบอุบัติเหตุเจ้าของขวัญ ส่วนการตั้งเครื่องบูชารับขวัญ หรือใช้สวิงซ้อนขวัญ เช่นบางพวกนั้นจะไม่ปรากฏในหมู่กะเลิง
วัฒนธรรมกะเลิงนั้งนับแต่จะสูญหายไปทีละน้อยๆ ไม่เพียงจะเกิดจากการผสมปนเปกับเผ่าอื่นเท่านั้น แต่หากหมายถึงความสะดวกสบายที่มีถนนหนทาง ซึ่งมีผลให้วัฒนธรรมแบบเมืองเข้ามามีอิทธิพลรวดเร็ว หนุ่มสาวกะเลิงนุ่งยีนส์แทนนุ่งซิ่น แม่กล่อมลูกด้วยเพลงไทยสากล หรือเพลงลูกทุ่งแทนการกล่อมด้วยภาษากะเลิง การทำมาหากินที่ฝืดเคืองเท่านั้นที่ช่วยให้พวกกะเลิงยังไม่เป็นคนแบบคนเมือง มิฉะนั้นเราจะไม่รู้ว่าใครเป็นกะเลิงฯ
ชนเผ่ากะเลิง บ้านหนองสังข์ ตำบลหนองสังข์ อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม

- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Ethnos
- Hits: 33236
ชาวข่า (บรู) เป็นกลุ่มชาติพันธ์หนึ่งในจังหวัดมุกดาหาร ชาวข่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ในแขวงสุวรณเขต แขวงสาละวัน และแขวงอัตปือของลาว ซึ่งเมื่อร้อยปีก่อน (ก่อน พ.ศ. 2436) ยังเป็นดินแดนของราชอาณาจักรไทย ชาวข่าอพยพมาอยู่ในท้องที่จังหวัดมุกดาหาร ในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นส่วนมาก นักมานุษยวิทยาถือว่าชาวข่าเป็นชนเผ่าดั้งเดิมเผ่าหนึ่งในแถบลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งอาจจะสิบเชื้อสายมาจากขอมโบราณ ซึ่งเคยอยู่ในดินแดนของอาณาจักรเจนละ ซึ่งต่อมาเป็นอาณาจักรขอม และอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ซึ่งขอมเคยมีอิทธิพลครอบคลุมขึ้นมาถึงแล้วเสื่อมอำนาจลง ซึ่งพวกข่าอยู่ในตระกูลเดียวกับขอมและมอญเขมร ภาษาข่า เป็นภาษาในกระกูลเดียวกับขอมและมอญเขมร ภาษาข่าเป็นภาษาในตระกูลออสโตรอาเซียติค สาขามอญ เขมร ชาวข่ายังแบ่งแยกกันอีกเป็นหลายเผ่าพันธ์ เช่น ข่าย่าเหิน ข่าบริเวณ ข่าสุ ข่าตะโอด ข่าสอก ข่าสปวน ฯลฯ เป็นต้น
ชาวข่ามีได้เรียกตัวเองว่า "ข่า" แต่เรียกตัวเองเป็นพวก "บรู" ซึ่งแปลว่า "ภูเขา" คำว่า "ข่า" เป็นชื่อที่ชาวอีสานใช้เรียกขานพวกบรู คำว่า "ข่า" อาจจะมาจากคำว่า ข้าทาส ซึ่งชาวอีสานชอบเรียกพวกข้าทาสว่า ข่า หรือ ข่อย แต่ชอบออกเสียงไม้โทเป็นไม้เอก คือคำว่า ข้าเป็นข่า เพราะว่าในอดีตชายไทยในแถบลุ่มแม่น้ำโขงชอบไปจับเอาพวกข่า (บรู) ตามป่าดงมาเป็นข้าทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงประกาศห้ามมิให้ไปจับพวกข่ามาเป็นข้าทาสอีก ส่วนในประเทศเวียดนามเรียกพวกข่า ว่าพวก มอย (Moi)
ชนเผ่าข่าในอดีต
“…ชาวข่าไม่ได้เรียกตัวเองว่า ‘ข่า’ แต่เรียกตัวเองว่า ‘บรู’ แปลว่า ภูเขา หรือคนที่อยู่ในป่าใกล้เขา ตามลักษณะของชนชาติตนที่เกี่ยวกับระบบนิเวศ คือ รักสงบ มีวิถีชีวิตที่พึ่งพาธรรมชาติ เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามป่าเขา ซึ่งคำว่า ข่า ที่คนไทยเรียกนั้น หมายถึง ข้า, ขี้ข้า หรือ ทาส ซึ่งจิตร ภูมิศักดิ์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ "ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ" ว่า ‘ต้นกำเนิดเดิมของชื่อ ข่า เป็นภาษาลาว ไทยเรายืมชื่อนี้มาจากลาวใต้อีกทอดหนึ่ง มิใช่ชื่อที่ไทยคิดขึ้นเอง เพราะชนชาติข่าเป็นชนชาติของลาว ชื่อที่พวกลาวกลาง ลาวใต้ เรียกว่า ข่า นั้น พวกลาวเหนือ เรียกว่า ค้า ถ้าเทียบตามสำเนียงการเพี้ยนเสียงวรรณยุกต์แล้วก็ตรงกับคำภาษาไทยสำเนียงภาคกลางว่า ข้า แต่เนื่องจากชนเผ่าข่าอยู่ในลาว ไทยรู้จักชนพวกนี้โดยผ่านลาวกลางและลาวใต้ ไทยจึงเรียกเลียนเสียงลาวว่า ข่า เพราะเมื่อรับคำนี้มานั้นมิได้คิดเทียบเสียงกลับ และมิได้ตรวจสอบหาความหมายที่แท้จริงก่อน ดังนั้น คำว่า ข่า ในภาษาไทย ลาวกลาง ลาวใต้ จึงออกเสียงตรงกันหมดว่า ข่า แต่ความหมายและคำที่ถูกคือ ข้า"
ชาวข่าดั่งเดิมมักจะมีผิวดำคล้ำ ผมหยิก ทั้งหญิงและชาย ผู้ชายแต่งกายด้วยการนุ่งผ้าเตี่ยว มีผมม้า ยาวประบ่า และนิยมใช้ผ้าแดงผูกคล้องคอ หรือ โพกศรีษะเป็นเอกลักษณ์ ตามประวัติเล่าว่า เนื่องจากบรรพบุรุษของชาวข่าได้ใช้ผ้าชุบเลือดสีแดงแนบติดกายไว้ก่อนสิ้นชีวิตในการต่อสู้แย่งชิงถิ่นที่อยู่กับชาวผู้ไทยในอดีต ในดินแดนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง พวกข่าจึงถือว่าผ้าแดงเป็นเอกลักษณ์ของเขา ส่วนผู้หญิงนิยมแต่งกายด้วยการนุ่งผ้าซิ่นยาวถึงข้อเท้า แต่เปลือยอกท่อนบน ผู้ชายข่าเคยมีประวัติว่าเป็นนักรบที่ห้าวหาญ มีหน้าไม้พร้อมลูกดอกอาบยาพิษยางน่อง (ยางไม้ที่มียาพิษ) เป็นอาวุธประจำกายแม้ในสมัยที่ดินแดนลาวยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอยู่ ทหารข่าของฝรั่งเศสบางหน่วยยังนิยมใช้หน้าไม้เป็นอาวุธ ปัจจุบันในแขวงอัตปือของลาว ก็ยังมีข้าราชการที่เป็นพวกข่ารับราชการอยู่ในตำแหน่งสูงๆ อยู่ไม่น้อย
ในจังหวัดมุกดาหาร เขตอำเภอเมืองมุกดาหาร ยังมีชาวไทยเชื้อสายข่าอยู่ที่บ้านพังคอง และบ้านนาเสือหลาย ในท้องที่อำเภอดอนตาล มีชาวไทยเชื้อสายข่า อยู่ที่บ้านบาก ในท้องที่อำเภอดงหลวง มีชาวไทยเชื้อสายข่าอยู่ที่ตำบลกกตูม บ้านส่านแว บ้านคำผักกูด บ้านโดกกุง บ้านปากช่อง บ้านหินกอง ซึ่งอยู่ในเขตภูพาน ต่อเขตกับจังหวัดกาฬสินธุ์และจังหวัดสกลนคร จนมีคำกล่าวในอดีตว่า บ้านคำผักแพว แปวป่องฟ้า พาเซโต โซไม้แก่น แท่นหินลับ ซับห้วยแข้ แง้หอยมะบาน ด่านสามหัวขัว น้ำบ่อบุ้น ยางสามต้น อ้นสามขุย
ซึ่งปัจจุบันทางนิคมสร้างตนเองของกรมประชาสงเคราะห์ ที่อำเภอนิคมนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร ได้อพยพพวกไทยข่า (บรู) จากภูพานซึ่งเป็นเขตรอยต่อ 4 จังหวัด คือ กาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร จำนวน 171 ครอบครัวไป อยู่ที่หมู่บ้านร่มเกล้า ของนิคมสร้างตนเองคำสร้อย โดยได้จัดสรรที่ดินให้ทำกินและปลูกบ้านเรือนให้เป็นหมู่บ้านชาวไทยข่า ตลอดทั่งได้ช่วยเหลือให้ราษฎรเหล่านี้สามารถเลี่ยงตัวเองได้ และพัฒนาให้เป็นหมู่บ้านที่เท่าเทียมกับหมู่บ้านอื่นๆ
ชาติพันธ์ไทยบรู ชนเผ่าข่า อัตลักษณ์ภาษา การแต่งกาย การฟ้อนรำ
ในจังหวัดอุบลราชธานี ชาวบรู เป็นชนเผ่าที่อพยพเข้ามาจากประเทศลาว และมีชาวส่วยส่วนน้อยอาศัยอยู่ด้วยกัน ทั้งนี้อพยพมาจากบ้านหนองเม็ก (ชาวป่าที่อพยพเร่ร่อน ทำไร่ และเลี้ยงสัตว์ตามป่าเขา ที่สูง) บ้านลาดเสือ (ชาวที่ราบอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำโขง) และบ้านเวินขัน (บ้านใหม่ตั้งระหว่างสองหมู่บ้าน) เนื่องจากถูกกดขี่และให้ทำงานหนัก อีกทั้งยังต้องเสียภาษีให้ฝรั่งเศส จึงอพยพข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ทางฝั่งไทยตามริมแม่น้ำโขง เช่น ที่บ้านเวินบึก บ้านท่าล้ง และบ้านหนองครก อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ตอนแรกอพยพมาอยู่ที่บ้านท่าล้งที่ขึ้นไปทางเหนือ และบ้านหินครก (บริเวณทางเข้าหมู่บ้านเวินบึกในปัจจุบัน) แต่เนื่องจากมีกรณีลักขโมยวัวควายของชาวบ้าน ทางราชการจึงให้ราษฎรบริเวณบ้านหินครก มาตั้งหมู่บ้านใหม่ที่บ้านเวินบึก
จารีตประเพณีของชาวข่า (บรู)
การสู่ขอเพื่อขอแต่งงานต้องมีล่าม 4 คน (ชาย 2 หญิง 2) เทียน 4 เล่มและเงินหนัก 5 บาทเมื่อแต่งงานต้องมีเหล้าอุ (เหล้าไหแกลบ มีรสหวาน) 2 ไห ไก่ 2 ตัว ไข่ 8 ฟอง เงินหนัก 2 บาท หมู 1 ตัว และกำไลเงิน 1 คู่
การทำผิดประเพณี (ผิดผี) เช่น ห้ามลูกสะไภ้เข้าห้องนอนก่อนผัว ห้ามลูกสะไภ้รับของจากพ่อผัว ห้ามลูกเขยที่เข้าออกในบ้านออกจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่ง ลูกเขยพกมีดหรือสวมหมวกเข้าบ้านพ่อตา หรือกินข้าวร่วมกับแม่ยาย การผิดจารีตประเพณี (ผิดผี) เช่นนี้ ลูกเขยต้องใช้เงิน 5 บาท หมู 1 ตัว ดอกไม้ ธูปเทียน 2 คู่ บุหรี่พื้นบ้านมวนด้วยใบตอง 2 มวน หมากพลู 2 คำ นำไปคาระวะต่อผี (วิญญาน) ของบรรพบุรุษทีมุมบ้านด้านตะวันออก หรือที่เตาไฟ หากเป็นลูกสะไภ้ก็ต้องใช้ผาขาวม้า 1 ผืน ผ้าซิ่น 1 ผืน ดอกไม้ ธูปเทียน 2 คู่หมายพลู 2 คำ บุหรี่ใบตอง 2 มวน ไปคาระวะต่อผีเช่นเดียวกัน
บรู เป็นชื่อกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในประเทศไทย และเป็นชื่อเรียกภาษาอีกด้วย ข่าบรู มิใช่ ข่า แต่เป็นกูยกลุ่มหนึ่ง บรู หรือข่าบรู ถ้าเอาจริงๆ แล้ว เป็นกูยกลุ่มหนึ่ง ชาวบรูจริงๆ ไม่ใช่ข่า ถ้าจะเรียกให้ถูก ควรเรียกว่า "กวยมะไฮ"
คนบรูถือว่า ตัวเองมาสถานะสูงกว่าพวกข่าทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นข่าระแงะ ข้ากระเซ็ง บรู อยู่ในคนกูย 5 กลุ่มของไทย ซึ่งมีดังนี้
- กวยมะไฮ (บรู)
- กูยมลอ
- กวยมะลั่ว
- กูยอาจีง (กูยช้าง)
- กูยเยอ (คนเยอ)
ภาษาบรู จัดอยู่ในกลุ่มมอญ-เขมรเช่นเดียวกับภาษากูย (หรือส่วย) ดังนั้น ภาษาบรูจึงคล้ายกับส่วยหรือกูยมาก โดยเฉพาะศัพท์ต่างๆ ส่วนใหญ่ใช้เหมือนกันแต่แตกต่างกันในการผสมคำ (มหาวิทยาลัยมหิดล กับ สถาบันราชภัฎอุบลราชธานี ได้ศึกษาไว้)
สาวน้อยชาวไทข่า หรือ ชาวบรู
ภาษาบรูมีเฉพาะภาษาพูดเท่านั้น ไม่มีภาษาเขียน การออกเสียงเป็นลักษณะเฉพาะ เช่น “ร” นิยมออกเสียงในระดับต่ำกว่า ร ภาษาไทย ตัวพยัญชนะ “ต” และ “ท” ใช้ร่วมกันเพียงตัวเดียวโดยออกเสียงเป็นเสียงกลางๆ ระหว่างพยัญชนะทั้งสองเช่นเดียวกับ “ก” และ “ค” เป็นต้น เช่น
ศรีษะ (เปรอ) ฟัน (กะแนง) ตา (มั๊ด) เท้า (อาเยิง) มือ (อาเตย) ปาก (แป๊ะ) ควาย (ตะเรี๊ยะ) หมู (อะลี้) คนลาว (เลียว) เกลือ (บอย) น้ำ (เด่อะ) ข้าว (โด็ย) ข้าวเหนียว (โด๊ยดิ๊บ) ข้าวจ้าว (โด๊ยกะซาย) เรือ (ทั๊วะ)
ตอนเช้า (ตะรัม) กลางวัน (สิไงย) กลางคืน (สิเดา) ดื่มน้ำ (งอยเดอะ) กินข้าว (จาอาว๊ะ) สูบบุหรี่ (ยกฮืด) ผู้ชาย (ระกอง) ผู้หญิง (ระปัย) ฯลฯ
ส่วนการนับเลข ไม่มีเลข 0 ในการนับ เช่น
1 (มวย) 2 (บารร) 3 (ไป) 4 (โปน) 5 (เซิง) 6 (ตะปรั๊ด) 7 (ตะปูลล) 8 (ตะกวลล) 9 (ตะเก๊ะ) 10 (มันจิ๊ด) 11 (มันจิ๊ดละมวย) 12 (มันจิ๊ดละบารร) 20 (บารรละจิ๊ด) 21 (บารรจิ๊ดละมวย) 22 (บารรจิ๊ดละบารร) 100 (มวยกะแซ) 1,000 (มันจิ๊ดกะแซ) 10,000 (มันจิ๊ดมันจิ๊ดกะแซ)
ภาษาบรู บ้านท่าล้ง ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
ภาษาบรูนับวันจะสูญสลายไปด้วยเหตุที่เด็กรุ่นใหม่นิยมพูดภาษาไทยอีสาน (สำเนียงลาวอุบลราชธานี) ปัจจุบันเหลือหมู่บ้านที่พูดภาษาบรูมีอยู่ 2 แห่งคือ บ้านท่าล้ง หมู่ 5 ตำบลห้วยไผ่ และบ้านเวินบึก หมู่ที่ 8 ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : กลุ่มชาติพันธุ์บรู

- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Ethnos
- Hits: 20473
แสก หมายความว่า แจ้ง สว่าง เป็นชนชาติหนึ่งในตระกูลมอญ - เขมร ชาวไทแสก เป็นชนกลุ่มน้อยตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ในท้องที่จังหวัดนครพนมและจังหวัดมุกดาหาร ชาวไทแสกเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดิมมีภูมิลำเนาอาศัยอยู่ในตอนกลางของสาธารณะรัฐสังคมนิยมเวียดนาม อาศัยอยู่ในแถบเมืองรอง เมืองเว้ ต่อมาชาวเวียดนาม พยายามเข้าครอบครองและรุกรานชาวไทแสกตลอดมา จนทำให้ชาวไทแสก ตกอยู่ภายใต้การปกครองของเวียดนาม มีชาวไทแสกบางกลุ่มไม่พอใจอยู่ภายใต้การปกครองของเวียดนาม ได้อพยพมาทางตอนใต้ มาทางตอนกลางของประเทศ มาตั้งภูมิลำเนาอยู่ใกล้เมืองท่าแขก (อยู่ตรงข้ามกับจังหวัดนครพนม ประเทศไทย) มาอยู่ที่บ้านหม้อเตลิง บ้านทอก ท่าแค บ้านโพธิ์ค้ำ
ชาวไทแสกที่อพยพจากเมืองแสก อพยพมาตั้งอยู่ที่บ้านโคกยาว (ปัจจุบันคือบ้านไผ่ล้อม ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม) สมัยก่อนมีอาณาเขตอยู่ใกล้เคียงกับบ้านนาลาดควาย (ปัจจุบันบ้านนาราชควาย) จำนวนชาวไทแสกที่ย้ายมาในขณะนั้นมีจำนวน 1,170 คน ต่อมาชาวไทแสกได้ย้ายถิ่นฐานจากบ้านโคกยาวมาอยู่ที่บ้าน "ป่าหายโศก" (ปัจจุบันคือบ้านอาจสามารถ) พระสุนทร ราชวงษา (ฝ้าย) ได้พิจารณาเห็นว่า ชาวไทแสก มีความสามารถ มีความสามัคคี มีความเข้มแข็ง สามารถปกครองตนเองได้ จึงยกฐานะชาวไทแสกที่อยู่ที่ "ป่าหายโศก" ให้เป็นกองอาทมาตคอยลาดตระเวนชายแดน
ปัจจุบันชาวไทแสกส่วนมากจะอยู่ที่ หมู่บ้านอาจสามารถ ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม อยู่ห่างจากตัวเมืองจังหวัดนครพนมไป 4 กิโลเมตร และยังมีชนไทแสกบางกลุ่มที่ได้พากันอพยพโยกย้ายที่อยู่ ไปทำมาหากินในท้องถิ่นต่างๆ ในจังหวัดนครพนม และรวมทั้งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีชนชาวไทแสกตามถิ่นต่าง ดังนี้
- บ้านอาจสามารถ ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
- บ้านไผ่ล้อม ตำบลอาจสามรถ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
- บ้านบะหว้า ตำบลบะหว้า อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม
- บ้านดอนเสมอ ตำบลอาจสามารถ อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม
- บ้านโพธิ์ค้ำ แขวงคำม่วน เมืองท่าแขก ประเทศลาว
จากคำบอกเล่าของชาวไทแสก ทราบว่า ปัจจุบันยังมีชาวไทแสกอยู่ แคว้นสิบสองปันนา ประเทศจีน และที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยชาวไทแสกทุกหมู่บ้านทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะอยู่ที่ประเทศไทย หรืออยู่ที่ประเทศลาว สามารถพูดภาษาแสกสื่อสารพูดคุยกันได้ โดยใช้ภาษาแสกในการพูดจาสื่อสารกัน
ภาษาไทแสก เป็นภาษาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ขอนำตัวอย่างภาษาแสกที่บ้านบะหว้า ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม มีลักษณะเด่น คือ เสียงพยัญชนะต้นเดี่ยวที่มีลักษณะเป็นเสียงก้อง/ฅ/ เช่น คำว่า ฅอ = คอ ฅ่ำ = ค่ำ พยัญชนะควบกล้ำ /ถร/ /บล/ และ /มล/ เช่น คำว่า เถรา = หัว เถรี่ยว = รีบ เบรี๋ยน = เดือน (พระจันทร์) บรี๋ = ดี (อวัยวะ) มราด = จืด แมร็ก = เมล็ด นอกจากนั้น ยังมีคำศัพท์ที่ใช้ร่วมกับภาษาเวียดนาม เช่น เหล้ย = เหงือก หง่อน = อร่อย แหน๋ง = ฟัน มากหวึ๋ง = งา
ปัจจุบันในประเทศไทยมีจำนวนผู้พูดภาษาแสกประมาณ 3,000 กว่าคน ใน 4 หมู่บ้านของจังหวัดนครพนม โดยมีบ้านบะหว้า ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า เป็นหมู่บ้านหลักที่ยังคงใช้ภาษาแสกในชีวิตประจำวัน ภาษาแสกจึงถูกจัดให้เป็นภาษาที่อยู่ในภาวะวิกฤติใกล้สูญหาย
หนุ่มสาวในชุดไทแสก นครพนม
ประเพณีและวัฒนธรรมของชาวแสก "พิธีกินเตดเดน" เป็นประเพณีพิธีกรรมอย่างหนึ่ง โดยการประกอบพิธีกรรมขึ้นมา เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อ "โองมู้" ที่ชาวไทแสกเคารพนับถือ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวไทแสก เป็นผู้มีพระคุณต่อลูกหลานรุ่นหลังๆ สืบต่อกันมา "โองมู้" จะทำหน้าที่คุ้มครองอันตรายที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน และดลบันดาลให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นตามที่ "ผู้บ๊ะ" (บนบาน) โดยมี "กวนจ้ำ" เป็นสื่อกลางในการประกอบพิธีกรรม แต่ถ้าหากลูกหลานประพฤติมิชอบ ไม่เหมาะสม หรือทำพิธีบนบานแล้วไม่ประพฤติปฏิบัติตามในสิ่งที่ถูกดีงามหรือไม่มีพิธีกรรม เก่บ๊ะ (พิธีแก้คำบนบาน) ก็จะทำให้เกิดเหตุเภทภัยในครอบครัว
เพื่อเป็นการตักเตือนให้ลูกหลานประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ตัวอย่างเช่น อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดอาการร้อนรนกินไม่ได้นอนไม่หลับแต่เมื่อทำ การบ๊ะ หรือ เก่บ๊ะ แล้ว เหตุร้ายก็จะกลายเป็นดี พิธีกรรมกินเตดเดน นี้ชาวไทแสกเชื่อว่า พิธีกรรมนี้มีบทบาทในการสร้างความศรัทธา ความเชื่อมั่น ความรู้สึกดีๆร่วมกัน ความรู้สึกผูกพันที่มีในสายเลือดเผ่าพันธุ์เดียวกัน เป็นการสร้างจิตสำนึกให้ชาวไทแสกทุกคน เกิดความรักความหวงแหนในวัฒนธรรมประเพณีของตน มุ่งสอนให้ผู้มีอายุมากกว่าให้ความเคารพนับถือ และแสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ หรือต่อผู้มีอายุน้อยกว่า ให้เกิดความสามัคคี เคารพนับถือบรรพบุรุษ แสดงความปลื้มปีติแก่ชาวไทแสกที่มาร่วมพิธีกันทุกถ้วนหน้า
พิธีบวงสรวง "โองมู้" โดยการแสดง "แสกเต้นสาก" ในสมัยก่อนการเต้นสากชองชาวแสก ถือว่าเป็นการละเล่นประจำเฉพาะพิธีบวงสรวง "โองมู้" ในวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ ชาวแสก เรียกว่า "พิธี-กิน-เตด-เดน" จะมีการแสดง "แสกเต้นสากถวายโองมู้" โดยใช้ไม้สากตีกระทบกันเป็นจังหวะ สากที่ใช้ตีในการเต้นสากก็คือไม้สากที่เป็นสากตำข้าวในใสมัยโบราณ แต่ขนาดยาวกว่าตรงกลางเรียวเล็ก ไม้รองพื้นสากจะใช้ไม้อะไรรองก่อนก็ได้มีจำนวน 1 คู่ ขอให้มีขนาดเท่ากัน
อุปกรณ์ในการเต้นสาก
- ไม้สาก มีลักษณะตรงยาวประมาณ 2 เมตร ใช้เคาะจังหวะประมาณ 5-6 คู่ การวางไม้ สากจะจัดเป็นช่วง ๆ ห่างกันประมาณ 50 เซนติเมตร ต่อ 1 คู่
- ไม้รองพื้นสาก มีขนาดใหญ่และยาวกว่าไม้สากมี 1 คู่ ขนาดกว้างยาวเท่ากันยาวประมาณ 5-7 เมตร สำหรับเป็นฐานรองไม้สาก
จังหวะการตีสาก
สมัยโบราณในการเคาะจังหวะจะใช้ไม้สากตำข้าวไม่มีการเตรียม จับไม้สากมาเคาะเป็นจังหวะได้เลย ปัจจุบันจังหวะการตีสากจะมีหลายจังหวะด้วยกัน หากคนตีสากไม่เป็นและเต้นสากไม่เป็น หรือ เต้นไม่ถูกจังหวะ ไม่สากก็จะตีกระทบขาคนที่เต้น ให้เกิดการเจ็บปวดได้ จะไม่เหมือนกับรำลาวกระทบไม้ เพราะต้องฝึกและต้องใช้เวลานานพอสมควร ซึ่งยากนักจะมีคนตีและเต้นได้เหมือนชาวแสก เพราะจังหวะเร็วก็เร็วมาก ถ้าไม่ฝึกจนชำนาญจะไม่สามารถเต้นได้ มิใช่ว่าจะนำไปแสดงได้ตลอดไป ก่อนที่จะนำไปแสดงที่อื่นจะต้องทำพิธีขออนุญาต "โองมู้" อนุญาตแล้วจึงนำไปแสดง การนำเต้นสากไปแสดงโดยไม่ได้ขออนุญาตก็จะมีเหตุให้มีอันเป็นไป เช่น ทำให้เจ็บไข้ไม่สบายโดยหาสาเหตุไม่ได้
ดนตรีที่ใช้ประกอบจังหวะ
ส่วนมากเป็นดนตรีพื้นบ้าน มีกลองใหญ่ กลองเล็ก ฆ้องเล็ก พังฮาด (มีลักษณะคล้ายฆ้องตรงกลางจะนูนเป็นวงกลม) ฉิ่ง ฉาบผู้ให้จังหวะส่วนมากจะเป็นผู้ชาย
ผู้แสดง "แสกเต้นสาก"
- ผู้ทำหน้าที่เคาะไม้สาก จะนั่งตรงข้าม จับคู่กันประมาณ 5 ถึง 7 คู่ แล้วแต่ความยาวของไม้รองไม้สากจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้
- ผู้เต้น จะทำท่าเต้นคล้ายๆ รำลาวกระทบไม้แต่จังหวะการเต้นจะเร็วกว่ามาก จะมีทั้งเต้นเดี่ยว เต้นเป็นคู่ มีจังหวะช้า จังหวะเร็ว ผู้เต้นจะมีทั้งชายและหญิง
- ผู้ร้อง เนื้อเพลงภาษาแสกแล้วประกอบดนตรี จะเป็นผู้หญิงหรือชายก็ได้
เครื่องแต่งกายในการแสดงสาก
ผู้ชาย เสื้อดำแขนสั้น ผ้ายอมหม้อสีคราม เสื้อคอกลมติดกระดุมด้านหน้ากางเกงขาก๊วย หรือขาครึ่งท่อ ผ้าคาดเอว เป็นผ้าขาวม้า เป็นลายตะล่องสีแดงส่วนผ้าพาดบ่า ใช้ผ้าสีแดงล้วน
ผู้หญิง เสื้อแขนยาวสีดำ ผ่าอก ติดกระดุมด้านหน้า ผ้าถุงสีดำมีเชิงที่ปลายผ้าถุง ผ้าถุงยาวกรอมเท้า ผ้าคาดเอวนิยมเป็นผ้าลายเดี่ยวกันกับลายเชิงผ้าถุงผ้าเบี่ยงซ้าย นิยมใช้ผ้าสีแดง นิยมใส่ตุ้มหู กำไลขา และสร้อยขา และสร้อยคอผมนิยมไว้ผมยาวเกล้ารัดมวย
การแสดงแสกเต้นสาก
การฟ้อนแสกเต้นสาก
