- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Tradition
- Hits: 32499
บุญเดือนเจ็ด
ฮีตหนึ่งนั้น พอเมื่อเดือนเจ็ดแล้วจงพากันบูชาราช ฝูงหมู่เทพเหล่านั้นบูชาแท้สู่ภาย ตลอดไปฮอดอ้ายอาฮักษ์ใหญ่มเหสัก ทั้งหลักเมืองสู่หนบูชาเจ้า พากันเอาใจตั้งทำตามฮีตเก่า นิมนต์สังฆเจ้าขำระแท้สวดมนต์ ให้ฝูงคนเมืองนั้นทำกันอย่าได้ห่าง สูตรชำระเมืองอย่าค้างสิเสีย เศร้าต่ำศูนย์ ทุกข์สิแล่นวุ่นๆ มาโฮมใส่เต็มเมือง มันสิเคืองคำขัดต่ำลงศูนย์เศร้า ให้เจ้าทำตามนี้ แนวเฮาสิกล่าว จึงสิสุขอยู่สร้างสวรรค์ฟ้าเกิ่งกัน ทุกข์หมื่นฮ้อยซั้นบ่มีว่าพาน ปานกับเมืองสวรรค์ สุขเกิ่งกันเทียมได้ "
ประเพณีบุญเดือนเจ็ด หรือ บุญซำฮะ เป็นงานบุญที่ชาวอีสานจะจัดงานประเพณีขึ้น มีจุดประสงค์เพื่อ ปัดรังควานและขับไล่เสนียดจัญไร ตลอดถึงเหล่าภูติผีปีศาจหรือสิ่งชั่วร้ายให้ออกไปจากหมู่บ้าน คำว่า "ซำฮะ" ก็คือ "ชำระ" ที่หมายถึง การล้างให้สะอาด บุญซำฮะ อาจจะเรียกว่าเป็น บุญเบิกบ้าน หรือ บุญบ้าน ซึ่งในงานบุญนี้นอกจากจะทำพิธิขับไล่สิ่งชั่วร้ายแล้ว ยังต้องมีการทำพิธีบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่หมู่บ้านและประชาชน
ด้วยความเชื่อตามตำนานอันนี้ ชาวอีสานจึงได้จัดให้มี ประเพณีบุญซำฮะ ขึ้นในเดือนเจ็ดเป็นประจำทุกปี ในการจัดงานบุญซำฮะหรือบุญเบิกบ้าน ชาวบ้านจะทำบริเวณพิธีด้วยการนำ ต้นกล้วยมาสี่ต้น ทำเป็นเสา ผูกยึดด้วยสายสิญจ์ และจะมีการโยงสายสิญจ์ไปยังบ้านทุกหลังในหมู่บ้าน แล้วนิมนต์มาเจริญพระพุทธมนต์ นอกจากนี้จะมีการนำหินเข้าพิธีเมื่อปลุกเสกแล้ว พระหรือพราหมณ์ก็จะนำหินที่ปลุกเสกไปหว่านทั่วหมู่บ้าน เพื่อปัดรังควาน ในปัจจุบัน บางหมู่บ้านที่มีขนาดใหญ่ชาวบ้านจะนำหินใส่ถุงเขียนชื่อตนเอง เมื่อเสร็จพิธีก็จะมารับกลับไปหว่านที่บ้านของตนเอง บ้างก็นำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านของตนไปเข้าพิธีเพื่อสูตร หรือ ปลุกเสก โดยพระสงฆ์ร่วมด้วย
เรื่องเล่าเกี่ยวกับบุญซำฮะ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ เมืองไพสาลี เป็นยุคเข็ญ เกิดทุพภิกขภัย ข้าวยากหมากแพง ฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล สรรพสิ่งต่างก็พากันเจ็บป่วยล้มตาย ด้วยโรคห่า หรือ อหิวาตกโรค ชาวบ้านที่ยังมีชีวิตอยู่จึงไปนิมนต์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อมาปัดเป่าทุกข์ภัย พระพุทธองค์จึงเสด็จมาพร้อมกับพระสงฆ์จำนวน 500 รูป กว่าพระองค์จะเดินทางมาถึงเมืองไพสาลีก็ใช้เวลานานถึง 7 วัน เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงพร้อมคณะสงฆ์ก็เกิดฝนห่าแก้วตกลงมาอย่างหนัก จนน้ำท่วมเมืองไพสาลีสูงถึงหัวเข่า แล้วน้ำก็ไหลพัดพาเอาซากศพต่างๆ ลงสู่แม่น้ำจนหมดสิ้น พระองค์จึงทำน้ำพระพุทธมนต์ให้พระอานนท์ไปประพรมทั่วเมือง นับตั้งแต่บัดนั้นโรคร้ายก็สูญหายไปจากบ้านเมือง
บุญซำฮะ นิยมทำกันในเดือน 7 จัดทำได้ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม การชำฮะ (ชำระ) สะสางสิ่งสกปรกโสโครกให้สะอาด ปราศจากมลทิลโทษ หรือความมัวหมอง เรียกว่า การซำฮะสิ่งที่ต้องการทำให้สะอาด นั้นมี 2 อย่างคือ
- ความสกปรกภายนอก ได้แก่ ร่างกาย เสื้อผ้า อาหารการกิน ที่อยู่อาศัย และ
- ความสกปรกภายใน ได้แก่ จิตใจเกิดความความโลภมากโลภา โกรธหลง เป็นต้น
แต่สิ่งที่จะต้องชำระในที่นี้คือ บุญชำระล้างสิ่งที่เป็นเสนียดจัญไร อันจะทำให้เกิดข้าศึกมาราวีทำลาย เกิดผู้ร้ายโจรมาปล้น เกิดรบราฆ่าฟันแย่งกันเป็นใหญ่ ผู้คนช้างม้าวัวควายล้มตาย ถือกันว่าบ้านเดือดเมืองร้อน ชะตาบ้านชะตาเมืองขาด จำต้องซำฮะให้หายเสนียดจัญไร การทำบุญมีการรักษาศีลให้ทานเป็นต้น
รายการกระจกหกด้าน ชุด "ร้อยเรื่องเมืองไทย" ตอน "บุญซำฮะ"
บางแห่งทำเมื่อฝนแล้งหรือไม่ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อทำบุญทำทานนี้แล้ว เชื่อว่าจะทำให้ฝนตกและบ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเป็นสุข เพราะจะได้ทำนาและปลูกพืชพันธ์ธัญญาหารต่างๆ เมืองใดที่มีมเหศักดิ์หลักเมือง ก็ทำพิธีเซ่นสรวงหลักเมือง หมู่บ้านใดที่มีผีประจำหมู่บ้านซึ่งเรียกว่า "ผีปู่ตา" หรือ "ตาปู่" หรือ "เจ้าบ้าน" ก็ทำพิธีเลี้ยงในเดือนเจ็ดนี้ และนำข้าวปลาอาหารพร้อมสิ่งอื่นๆ ไปเลี้ยงผีประจำไร่นา ซึ่งเรียกว่า "ผีตาแฮก" ด้วย
การทำบุญซะฮะนี้มักทำกัน 3 คืน โดยมีการฟังพระสวดมนต์เย็น และถวายอาหารบิณฑบาตทุกเช้าวันรุ่งขึ้น และในวันสุดท้ายของบุญซำฮะ นอกจากมีถวายอาหารบิณฑบาตแล้ว ชาวบ้านจะนำสิ่งปฏิกูลต่างๆ เช่น ขยะมูลฝอย กระติบข้าว ตะกร้า หวด ฯลฯ ที่ชำรุดแล้ว กระบอกปลาร้าที่ไม่ได้ใช้ เศษหม้อ เศษถ้วยชามที่แตก เป็นต้น ขนไปทิ้งนอกหมู่บ้านอีกด้วย หรือทำการเผา หรือฝัง เพื่อทำให้บริเวณบ้านสะอาดเรียบร้อย ถือว่าเป็นการนำสิ่งอัปมงคลออกจากบ้าน จะทำให้อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากสิ่งเสนียดจัญไรและโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง บุญซำฮะปรกติทำปีละครั้ง แต่บางปีชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุขอาจเว้นไม่ทำบ้างก็ได้
บุญซำฮะ ของชาวบ้านนาอ้อ ตำบลนาอ้อ อำเภอเมือง จังหวัดเลย
เอกสาร "บุญซำฮะ" ของ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Tradition
- Hits: 27796
บุญเดือนหก
ฮีตหนึ่งนั้น เถิงเดือนหกแล้วให้นำเอาน้ำวารีสรงโสก ฮดพระพุทธรูปเหนือใต้สู่ภาย อย่าได้ละเบี่ยงบ้ายปัดป่ายหายหยุด มันสิสูญเสียศรีต่ำไปเมือหน้า จงพากันทำแท้แนวคองฮีตเก่า เอาบุญไปเรื่อยๆ อย่าถอยหน้าหากสิเสีย "
บุญบั้งไฟ เป็นหนึ่งในฮีตสิบสองเดือนของชาวอีสาน นิยมทำกันในเดือน 6 หรือเดือน 7 อันเป็นช่วงฤดูฝนเข้าสู่การทำนา ตกกล้า หว่าน ไถ เพื่อเป็นการบูชาแถนขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล เหมือนกับการแห่นางแมวของคนภาคกลาง
ในสองพิธีกรรมที่อยู่คนละภาคนี้ มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องของสัญลักษณ์ที่ใช้อันส่อไปทางเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้ไม้มาแกะสลักเป็นอวัยวะเพศชายเรียกว่า "บักแบ้น" หรือ "ปลัดขิก" ในอีสานหรือ "ขุนเพ็ด" ในภาคกลางเข้าร่วมขบวนแห่ ทั้งยังมีการร้องเซิ้งด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวกับอวัยวะเพศและเพศสัมพันธ์
สัญลักษณ์นี้เป็นเครื่องหมายของความสัมพันธ์ระหว่าง ฟ้ากับดิน หญิงกับชาย ที่เป็นพลังก่อกำเนิดชีวิต และเป็นพลังแห่งความอุดมสมบูรณ์ จึงมีความสัมพันธ์กับการขอฝน ซึ่งเป็นที่มาของพลังแห่งการเติบโตของพืช และด้วยเหตุที่อวัยวะเพศ และเพศสัมพันธ์เป็นสัญลักษณ์สำคัญของงานบุญ จึงถือว่างานบุญบั้งไฟเป็น งานบุญของพระยามาร ซึ่งจัดแข่งกับงานบุญของพระพุทธเจ้า
บุญบั้งไฟมีตำนานเล่าขานมานาน จากนิทานพื้นบ้านเรื่องผาแดงนางไอ่ เรื่องพระยาคันคาก ล้วนแต่กล่าวถึงการจุดบั้งไฟเพื่อให้แถน (เทวดา) ได้บันดาลให้ฝนตกตามฤดูกาล ถือเป็นประเพณีอันสำคัญที่จะละเลยมิได้ เพราะมีความเชื่อว่า หากหมู่บ้านใดไม่จัดงานบุญบั้งไฟก็อาจจะก่อให้เกิดภัยพิบัติแก่ผู้คนในชุมชน งานบุญบั้งไฟเป็นงานใหญ่ ลงทุนสูง การจัดงานจะต้องเป็นไปตามการตัดสินใจของชุมชน หากปีใดเศรษฐกิจในชุมชนฝืดเคืองอาจจะต้องงดจัดงาน ซึ่งต้องไปทำพิธีขอเลื่อนการจัดที่ศาลปู่ตา (ศาลผีบรรพบุรุษหรือเทพารักษ์) ของหมู่บ้าน ความจริงแม้จะจัดหรือไม่ก็ต้องมีการไปกระทำพิธีเซ่นไหว้ที่ศาลปู่ตาอยู่ดี
ดอนปู่ตา หรือ ดอนตาปู่ หรือดอนเจ้าปู่
ศูนย์รวมจิตใจอันเป็นกุศโลบาย ภูมิปัญญาของท้องถิ่นในการควบคุมจัดการวิถีชีวิตให้เป็นสุข
ขั้นตอนการจัดการประเพณีบุญบั้งไฟ
- ประชุมชาวบ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ พระสงฆ์ในหมู่บ้านเพื่อขอความเห็นว่าจะจัดงานบุญบั้งไฟหรือไม่ ถ้าตกลงจัดก็จะทำในข้อถัดไป แต่ถ้าไม่จัดจะต้องส่งตัวแทน (ผู้มีอายุชายในหมู่บ้าน) และพ่อเฒ่าจ้ำ (หมอผีประจำหมู่บ้าน) ไปขอขมาต่อเจ้าปู่เพื่อขอเลื่อนไปจัดในปีถัดไป (พิธีกรรมนี้ไม่มีผู้หญิงเกี่ยวข้อง)
- เมื่อตกลงจัดงาน ผู้เฒ่าผู้แก่ของหมู่บ้านจะส่งข่าวบอกกล่าวเชื้อเชิญไปยังหมู่บ้านใกล้เคียง ให้มาร่วมงานบุญ เรียกว่า "เตินป่าว" ในสมัยถัดมาบ้านเมืองเจริญขึ้น ก็พัฒนามาเป็นการแจกหนังสือเชิญชวนเรียกว่า "สลากใส่บุญ" เหตุที่ถือว่างานนี้เป็นงานบุญก็เพราะว่า วัดเป็นที่รวมของการจัดกิจกรรมของชุมชน การเตรียมการต่างๆ ตั้งแต่การทำบั้งไฟก็มักจะเริ่มจากพระ ซึ่งถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นฉบับ (ต้นฉบับ) ในวาระโอกาสนี้ยังมีการแทรกประเพณีทางพุทธศานาเข้าไปด้วย เช่น การบวชและการฮดสงฆ์ อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง กองฮด พิธีการในการยกย่องพระสงฆ์
- ชาวบ้านจะเรี่ยไรเงินและสิ่งของตามศรัทธา เพื่อร่วมสมทบกันสร้างบั้งไฟ (ในสมัยโบราณจะทำเพียงบั้งเดียว) บอกบุญให้บ้านเรือน 3-4 หลังคารวมกันต้อนรับแขกจากต่างบ้านที่มาร่วมบ้านหนึ่ง (ซึ่งจำนวนไม่มากนักจะมาพร้อมบั้งไฟของหมู่บ้าน เช่น พระภิกษุ สามเณร หญิงชายที่มาร่วมขบวนแห่) ส่วนใหญ่ก็มักจะกำหนดให้ครอบครัวที่บวชลูกหลานเป็นเจ้าภาพ (เพราะต้องจัดงานเลี้ยงญาติพี่น้องอยู่แล้ว)
- ชาวบ้านที่ได้รับมอบหมายจะสร้างปะรำ หรือ "ผาม" หรือ "ตูบบุญ ซึ่งทำด้วยโครงไม้จริง ยกพื้นข้างบนให้พระสงฆ์นั่งฉันภัตตาหาร ส่วนข้างล่างปูด้วยใบไม้หรือฟางข้าวให้หญิงสาวนั่ง โดยมีหญิงสูงอายุควบคุมดูแลหญิงสาวเหล่านี้ เพื่อป้องกันมิให้ถูกชายในขบวนเซิ้งลวนลามจนเกินเหตุ
- ในวัดจะมีการทำบั้งไฟโดย "ฉบับ" ซึ่งมักจะเป็นพระ โดยมีลูกมือคือชาวบ้านผู้ชาย ในสมัยผมยังเป็นเด็ก 50 กว่าปีผ่านมาแล้ว ผมก็เป็นลูกมือพระด้วยการไปหาไม้สำหรับมาเผาเป็นถ่าน สำหรับคั่วผสมกับขี้เกีย (ดินประสิว) เรียกว่า การทำหมื่อ ซึ่งมีสูตรจำเพาะของช่างแต่ละคน ตำด้วยครกมองให้ละเอียดร่วน ทดสอบด้วยการนำมาโรยเป็นทางยาวแล้วจุดไฟดูความเร็วของการปะทุ หากปะทุช้าก็จะต้องใช้สูตรผสมใหม่ตามแต่ต้นฉบับจะกำหนดบอกมา
การทำบั้งไฟในสมัยก่อนจะใช้ไม้ไผ่ลำขนาดใหญ่ที่สุด ทะลวงปล้องให้ถึงกัน ภายนอกจะใช้ตอกไม้ไผ่ถักเป็นเชือกมัดรอบลำไผ่ให้แน่น เพื่อไม่ให้ลำไผ่แตก ส่วนหัวปล้องสุดท้ายจะถูกอุดด้วยแผ่นไม้หนาพอควร แล้วทำการอัดบรรจุหมื่อ (ดินปืน) ให้แน่นด้วยการตำ หรือใช้คานดีดคานงัด (สมัยใหม่ใช้แม่แรงยกล้อรถบรรทุกแทนสะดวกกว่ากันดังภาพ)
ยุคสมัยเปลี่ยนไปจากลำไผ่กลายมาเป็นท่อเหล็กหรือท่อประปา (ซึ่งอันตรายมากเมื่อมีการระเบิดใส่ผู้คนอย่างที่เป็นข่าว) ตอนหลังหันมาใช้ท่อพีวีซีแทนซึ่งก็ยังเป็นอันตรายอยู่ดี จากการบูชาแถนมาเป็นการพนันขันต่อเพื่อการเดิมพัน จำนวนบั้งไฟที่จุดในแต่ละที่จึงมีจำนวนมาก และสร้างความเสียหายต่อชุมชนในทิศที่บั้งไฟถูกจุดออกไป (เพราะสามารถไปไกลได้หลายสิบกิโลเมตร)
ประเภทของบั้งไฟมีหลายชนิด ซึ่งเรียกกันตามขนาดและลักษณะของบั้งไฟ
- บั้งไฟพลุ คือ บั้งไฟที่เมื่อจุดแล้วจะพุ่งขึ้นไปข้างบนแล้วจะแตกเป็นไฟพลุ
- บั้งไฟดอก คือ บั้งไฟที่เมื่อจุดแล้วจะค่อยๆ พวยพุ่งขึ้นข้างบนอย่างช้าๆ และสวยงามคล้ายๆ กับต้นไม้ไฟ การจุดต้องฝังบั้งไฟไว้ในดินลึกพอสมควร เพื่อไม่ให้บั้งไฟกระเด็นขึ้นเมื่อเกิดแรงดัน
- บั้งไฟตะไล ตื้อ (ดื้อ) คือ บั้งไฟที่เมื่อจุดแล้วจะวิ่งวนไปรอบๆ ไม่มีจุดมุ่งหมายแน่นอน พุ่งไปทางนี้ที ทางโน้นที ประชาชนจะต้องคอยหลบหลีกรัศมีที่มันวิ่งไป ต้องคอยระวังและหนีเอาตัวรอด บั้งไฟชนิดนี้จะทำให้กลุ่มคนแตกฮือฮา เพราะการหลบหลีกเป็นที่สนุกสนานพอสมควร
- บั้งไฟโบต (เรือ) ม้า จินาย (จิ้งหรีด) เป็นบั้งไฟขนาดเล็ก ส่วนใหญ่เด็กจะใช้เล่นกัน
- บั้งไฟขนาดเล็ก (ธรรมดา) คือ ขนาดของบั้งไฟที่ใช้หมื่อ (ดินปืน) น้อยกว่า 12 กิโลกรัม
- บั้งไฟหมื่น เป็นบั้งไฟที่ใช้หมื่อตั้งแต่ 12 กิโลกรัม แต่ไม่เกิน 119 กิโลกรัม
- บั้งไฟแสน เป็นบั้งไฟที่ใช้หมื่อตั้งแต่ 120 กิโลกรัมขึ้นไป
- บั้งไฟล้าน เป็นบั้งไฟขนาดใหญ่ที่สุด (ที่เกิดมาเพราะการพนันขันต่อ ประกวดแข่งขันการจุดขึ้นไกล ขึ้นนานกว่าจนมองไม่เห็น) ใช้หมื่อมากกว่า 500 กิโลกรัมขึ้นไป (จริงๆ แล้วน่าจะเป็น 1200 กิโลกรัม แต่คงจะมีขนาดของกระบอกใหญ่เกินไป จุดแล้วอาจจะไม่ขึ้น หรือแตก ระเบิด จนเป็นอันตรายนั่นเอง)
นอกจากบั้งไฟแล้ว ยังมีการทำพลุ พะเนียง ดอกไม้ไฟ ตะไล (เพื่อจุดในการแห่ร่วมด้วย) นอกจากนั้นตัวบั้งไฟยังต้องมีการประดับตกแต่งอย่างสวยงามเรียกว่า การเอ้ ซึ่งก็เป็นฝีมือของพระอีกเช่นกัน
เมื่อการเตรียมการในการต้อนรับ การทำบั้งไฟ การเอ้บั้งไฟให้สวยงาม เตรียมขบวนฟ้อนในวันแห่โฮมบุญ ทำนั่งร้านสำหรับการนำบั้งไฟขึ้นจุด แล้วก็จะถึงวันงานซึ่งมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องอีกดังนี้
- ในวันสุกดิบ ชาวบ้านจะจัดขบวนแห่บั้งไฟไปยังศาลปู่ตาของหมู่บ้าน พร้อมนำเอาเหล้าไปด้วยจำนวนมาก ส่วนหนึ่งใช้เซ่นสรวง มีการจุดบั้งไฟขนาดเล็กเรียก "บั้งเสี่ยง" เพื่อเสี่ยงทายดูถึงความอุดทสมบูรณ์และความสำเร็จในการทำนาปีนั้น จากนั้นก็ดื่มเหล้าฟ้อนรำรอบศาลปู่ตาเป็นที่สนุกสนาน (งานนี้มีเฉพาะผู้ชายที่ได้รับอนุญาตให้ร่วมพิธี)
- จากนั้นก็พากันแห่บั้งไฟไปยังสถานที่จัดงานหรือหมู่บ้านเรียก วันโฮม (รวม) มีการเซิ้งออกท่าทางต่างๆ ของการร่วมเพศอยู่ด้วย อาจมีการเอา บักแบ้น ผูกรอบเอวไว้หลายอัน มีสายสำหรับชักให้กระดกขึ้นได้
- การแห่บั้งไฟ ผู้ร่วมขบวนนั้นดูเหมือนจะตั้งใจละเมิดกฎเกณฑ์ปรกติ เช่น ชายแต่งกายเป็นหญิง หรือเอาโคลนพอกหน้า ขบวนเซิ้งจะแห่ไปตามหมู่บ้านเพื่อขอสาโทมากิน การเซิ้งจะมีคนจ่ายกาพย์ และคนตีกลองให้จังหวะเซิ้ง อยู่กลางขบวนฟ้อน เพื่อให้ผู้ฟ้อนเซิ้งได้ยินเสียงจังหวะและคำกลอน "ลำกาพย์เซิ้งได้ชัดเจน ดูเรื่องที่เกี่ยวข้องกลอนเซิ้งได้ที่นี่
การละเมิดกฎเกณฑ์และธรรมเนียมปฏิบัติกันทั่วไป มีคำอธิบายได้ว่า เป็นการปลดปล่อยคนให้หลุดจากกฎเกณฑ์ชั่วคราว ในอีสานสมัยก่อน ผู้ชายเมื่อแต่งงานต้องเข้าไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิง ผู้ชายจึงอยู่ในฐานะที่โดดเดี่ยว ต้องอยู่ในความควบคุมของญาติฝ่ายหญิง และต้องฝากอนาคตของตนไว้กับความเมตตาของครอบครัวฝ่ายหญิงด้วย เพราะจะสามารถสร้างหลักให้แก่ครอบครัวได้ ก็ด้วยการอุปถัมภ์ของพ่อตา เขยจะถูกจัดให้เป็นผู้ด้อยกว่าในทางพิธีกรรม (แสดงสะท้อนในเชิงประชดประชันจากนิทาน "พ่อเฒ่ากับลูกเขย") ดังนั้น การที่แสดงออกในทางพิธีกรรมในบุญบั้งไฟ จึงเป็นการปลดปล่อยจากกฎเกณฑ์ของสังคม เพราะเรื่องเพศ การกล่าวถึงหรือแสดงอวัยวะเพศ เป็นความหยาบโลนที่สังคมปรกติไม่ยอมรับ
- ตอนบ่าย จะมีการตีกลองโฮม เพื่อให้ขบวนแห่ทุกขบวนไปรวมกันที่วัด ซึ่งจะหมายถึงการไปร่วมในพิธีบวชของบุตรหลาน หรือการฮดสงฆ์ ถ้ามีการบวชก็จะมีการแห่นาคด้วยม้า (ถ้าหากเจ้าภาพมีฐานะพอทำได้) มีการจุดตะไลตามหลังม้าไปตลอดทาง หากมีการฮดสงฆ์อยู่ด้วย ก็จะแห่พระภิกษุที่ต้องการ "ฮด" นำหน้าเจ้านาคไป
- กลางคืนจะมี การเส็งกลอง หรือแข่งตีกลองกัน โดยแต่ละหมู่บ้านจะนำกลองกิ่งของวัดในหมู่บ้านตนมาตีแข่ง ถือกันว่าถ้าหากแพ้ในการเส็งกลอง ก็จะไม่ใช้กลองนั้นอีกเลย จะต้องไปเสาะแสวงหากลองมาเส็งใหม่ในปีหน้า การเส็งกลองจะมีกันไปจนถึงเที่ยงคืน
- รุ่งเช้าจะมีการทำบุญถวายจังหันพระ พอตกบ่ายก็มีการแห่บั้งไฟไปยังค้างที่เตรียมไว้ อาจใช้ต้นไม้ใหญ่เป็นค้างก็ได้ การแข่งขันระหว่างหมู่บ้านก็มีเพียงบ้านใดจะสามารถยิงไปได้สูงกว่ากัน (ใช้การนับไปจนกว่าจะมองเห็นบั้งไฟหล่นพ้นก้อนเมฆลงมา) เป็นการแสดงความสามารถของช่างหรือฉบับของบั้งไฟบ้านนั้น หากบั้งไฟบ้านใดซุ (พ่นดินปืนออกมาแต่ไม่ขึ้น) หรือแตกระหว่างการจุด ช่างหรือฉบับก็จะถูกจับโยนลงตม คือโยนลงไปในโคลนเป็นที่สนุกสนานทั้งผู้โยนและถูกโยน (เปื้อนโคลนพอกัน)
หมายเหตุปิดท้าย ในอดีตเราจะได้ยินว่าหมู่บ้านนั้นหมู่บ้านนี้ทำบั้งไฟหมื่น ขึ้นสุดลูกหูลูกตา คำว่า หมื่น มาจากจำนวนน้ำหนักของดินประสิวที่ใช้ทำ ดินหมื่อ คือ 12 กิโลกรัม (ไม่นับรวมน้ำหนักของถ่านซึ่งเป็นส่วนผสม) จะบรรจุในลำไม่ไผ่ขนาดยาวประมาณ 3 เมตร ต่อมาหมู่บ้านใดทำบั้งไฟแสนคือ 120 กิโลกรัมดินประสิว (ใช้ลำตาลแทนไม้ไผ่ ใช้เทคนิคมัดพันลำตาลอย่างแน่นหนา) ก็ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ในปัจจุบันมีข่าวว่าบางแห่งมีบั้งไฟล้าน (ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะจริงถ้าไม่นับน้ำหนักของท่อเหล็กและหางรวมกันกับดินประสิว) กันบ้างแล้ว ไม่ทราบว่าจุดขึ้นพ้นพื้นดินเพียงใด ผู้เขียนหลับตานึกถึงภาพหากมีการระเบิดเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไรหนอ ไม่อยากจะบรรยายครับ
สิ่งที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวในอดีต ปัจจุบันงานประเพณียังคงอยู่ แต่ความเชื่อและวัฒนธรรมของงานบุญหายไป กลายไปเป็นการประกวดประชันกัน การวางเดิมพันเงินแสนเงินหมื่น มีกลุ่มบุคคลรับจ้างทำบั้งไฟเพื่อแลกกับการนำไปจุดแข่งขันมีการเดิมพันจำนวนมากๆ (เพราะเริ่มมีการเข้มงวดจำนวนบั้งไฟที่ใช้ในการจุดแต่ละที่จากฝ่ายปกครอง ถึงขั้นมีข่าวลือว่า ผีพนันลงขันสั่งย้ายนายอำเภอออกจากพื้นที่เพราะอนุญาตน้อยเกินไป) ไม่มีการพูดถึงดอนปู่ตาหรือผีบรรพบุรุษอีกแล้ว เพราะทุกอย่างจัดเพื่อการท่องเที่ยว อย่างบุญบั้งไฟเมืองยโสธรคือตัวอย่าง (ไม่ทราบว่าอ้างเพื่อธุรกิจหรือไม่) น่าเสียดายที่ความงามในอดีตเริ่มจะเลือนหายไปจากอีสาน กลายเป็นตำนานให้กล่าวถึงเพียงเท่านั้น
ประเพณีการบวชควาย
ปกติงานบุญบั้งไฟอีสาน ทั้งในหมู่บ้านชานเมืองและชนบทห่างไกล คนมักจะให้ความสนใจกับขบวนแห่-ฟ้อน-เซิ้งบั้งไฟ ในวันแรกของงานที่เรียกว่า "วันโฮม" (วันรวมขบวนบั้งไฟแห่) และการจุดบั้งไฟหลายขนาดอันน่าตื่นเต้นในวันรุ่งขึ้นที่เรียกว่า "วันจูด" (วันจุดบั้งไฟ) แต่การจัดงานบุญบั้งไฟที่ บ้านแมด กิ่งอำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ด จะมีการจัดพิธีกรรมที่แตกต่าง แปลกตา น่าตื่นใจมากกว่าที่อื่นๆ หลายแห่ง คือ
เมื่อถึงวันโฮมหรือวันแห่ ทางหมู่บ้านจะมีการจัดให้มีพิธีกรรมบวชควาย ที่เรียกคนที่บวชเป็นควายว่า ควายจ่า หรือ ควายฮาด ซึ่งจะทำพิธีบวชในตอนเช้า โดยคนที่จะบวชเป็น “ควาย” จะทาใบหน้าและร่างกายเปลือยท่อนบนด้วยดินหม้อจนดำไปทั้งตัว รอบขอบตาทาด้วยสีแดงเห็นชัดเจน สวมหัวมีเขาที่ทำขึ้นเองโดยสมมติเป็นเขาควาย สะพายเฉียงไหล่ด้วย “พรวนทาม” ที่เป็นเครื่องสัญญาณเสียงคล้องคอควาย
ที่เอวของคนที่บวชควายมีท่อน “อวัยวะเพศชาย” ทำด้วยไม้เนื้ออ่อนขนาดยาว-ใหญ่ ทาสีแดงที่ปลาย ผูกติดเอวอยู่ด้วยเชือก และมีสายเชือกผูกโยงไปข้างหลัง มีชายอีกคนหนึ่งที่สมมติเป็นเจ้าของควายจับปลายเชือกบังคับควาย เดินออกหน้าขบวนแห่ที่มีกลุ่มคนแต่งกายแปลกๆ ร่วมกันฟ้อนเซิ้งอย่างสนุกสนาน ประกอบดนตรีพื้นบ้านบรรเลงไปทั่วหมู่บ้าน เจ้าของควายที่ว่าบังคับควายนี้ จริงๆ แล้วจะจับเชือกดึงบังคับท่อนอวัยวะเพศไม้ที่ผูกเอวควายจ่าหรือควายฮาด ให้ขยับกระดกขึ้นลงไปตามจังหวะดนตรีและตามต้องการสนุก
การบวชควายในวันแห่บั้งไฟนี้ต้องไปบวชกับ “ผีปู่ตา” ที่ดอนปู่ตา ซึ่งชาวอีสานเชื่อกันว่าเป็นผีประจำหมู่บ้าน ที่ชาวบ้านอีสานเชื่อกันว่าจะคอยปกป้องคุ้มครองคน-สัตว์เลี้ยงในหมู่บ้าน และช่วยเสี่ยงทายความอุดมสมบูรณ์ของฟ้าฝนในปีนั้นๆ คนที่บวชเป็นควายจ่าหรือควายฮาดในงานบุญบั้งไฟนี้ จะมีการสืบทอดกันต่อๆ มาตามสายเลือด หรือไม่ก็จะเลือกคนที่อยู่ในกลุ่มเครือญาติเดียวกันเป็นหลัก
ปกติแล้ว จะมีการเล่นกันเป็นกลุ่มหลายขบวนอย่างสนุกสนานทุกวัน และต่อเนื่องกันหลายวันก่อนถึงวันงาน รวมทั้งกลุ่มของคนที่จะบวชเป็นควายด้วย แต่เมื่อเข้าพิธีบวชเป็นควายจ่าหรือควายฮาดกับเจ้าปู่แล้ว ก็จะ “เล่นจริง” ในพิธีกรรมทั้ง 2 วัน ด้วยลีลาท่าฟ้อนเลียนแบบกิริยาท่าทางของควายจริง ทั้งลีลาการเดิน วิ่ง เป็นสัด และลีลาการม้วนตัวลงปลักตมตามนิสัยควาย จนสุดความสามารถที่จะแสดงได้ ซึ่งยาก-หนัก และเหนื่อยมาก ฉะนั้นคนที่เข้าพิธีบวชเป็นควาย นอกจากจะเป็นคนที่มีลีลาการแสดงที่สวยงามถูกใจชาวบ้านแล้ว จะต้องเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรงด้วย
จรวดเมืองไทย บั้งไฟเมืองยโสธร
บั้งไฟแสนกำลังพุ่งทะยานออกจากฐาน เคยมีเรื่องเล่ากันสนุกๆ ในวงสุราว่า ต้นกำเนิดของจรวดหรือยานอวกาศ
ที่อเมริกาและรัสเซีย ต่างก็พยายามที่จะส่งไปแข่งบารมีกันในอวกาศนั้น ได้ไอเดียมาจาก การทำบั้งไฟของชาวอีสาน "
แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่พูดกันเล่นๆ แต่ว่าลักษณะของบั้งไฟ ที่ชาวอีสานจุดขึ้นในงานบุญบั้งไฟ ดูๆ ไปก็คล้าย จรวดลำน้อย ที่ทะยานตัวขึ้นสู่บนฟากฟ้าเช่นกัน เพียงแต่ว่า บั้งไฟอีสาน นั้นทะยานสู่ฟากฟ้าได้ไม่ไกล ถึงขนาดออกนอกโลก (ประมาณ 2-3 กิโลเมตร) และจุดประสงค์ของการทำบั้งไฟ ก็ไม่ใช่เพื่อการแสดงความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี แต่การทำบั้งไฟในภาคอีสาน ถือเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่ทำขึ้นเพื่อนำไปจุดในงานบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นประเพณีทำบุญขอฝน บางแห่งเรียก บุญสัจจะ
บุญบั้งไฟ นิยมทำกันในเดือนหก ถือเป็นประเพณีสำคัญที่จะขาดไม่ได้ เพราะตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ชาวอีสานมีความเชื่อว่า ถ้าปีใดไม่จัดงานบุญบั้งไฟ ฟ้าฝนก็จะไม่ตกต้องตามฤดูกาล เกิดความแห้งแล้ง ไม่มีน้ำทำนา แต่ถ้าปีใดจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ฟ้าฝนก็จะตกต้องตามฤดูกาล เกิดความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัย งานบุญบั้งไฟ จึงถือเป็นงานประเพณีประจำปี ที่สำคัญของชาวอีสาน พอใกล้ถึงวันงานชาวอีสาน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะกลับบ้าน ไปร่วมงานบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นงานที่สร้างความรักความสามัคคีของคนท้องถิ่นเป็นอย่างดี
ขบวนประกวดบั้งไฟซึ่งถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ซึ่งถ้าพูดถึงงานประเพณีบุญบั้งไฟที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องนึกถึงจังหวัดยโสธร เพราะเป็นจังหวัดที่มีการจัดงานบุญบั้งไฟสืบทอดกันมาช้านาน และมีการจุดบั้งไฟแข่งขันกันเป็นงานใหญ่ ตั้งแต่ยังเป็นอำเภอที่ขึ้นอยู่กับจังหวัดอุบลราชธานี จนในปี พ.ศ. 2515 ยโสธรแยกออกมาตั้งเป็นจังหวัดที่ 72 ของประเทศไทย คนเมืองยศก็จึงยิ่งจัดให้ยิ่งใหญ่มโหฬารขึ้น จนถือเป็นงานประเพณีระดับชาติ และมีการกำหนดจัดเป็นประจำใน วันศุกร์ - เสาร์ - อาทิตย์ ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงก่อนฤดูการทำนา เพราะกว่าร้อยละ 85 ของประชากรในจังหวัดเป็นเกษตรกร ที่ต้องอาศัยน้ำในการทำการเกษตร
ความพิเศษของงานบั้งไฟที่ยิ่งใหญ่ของชาวยโสธรนี้ ไม่เพียงแต่โด่งดังในเมืองไทยเท่านั้น แต่ยังโด่งดังไกลไปถึงชาวเมืองโยชิดะ จังหวัดไซตามะ ประเทศญี่ปุ่น ที่ประชากรส่วนหนึ่งยังคงมีอาชีพทำนา และมีประเพณีการจุดบั้งไฟ คล้ายกับจังหวัดยโสธร แต่ในความคล้ายก็มีความต่าง เพราะการจุดบั้งไฟของชาวโยชิดะ เป็นไปเพื่อการอวยพร และขอบคุณพระเจ้าที่บันดาลให้ฝนตก และบั้งไฟของเขาจะเน้นการตกแต่งที่ความสวยงามมากกว่า การขึ้นของบั้งไฟจึงไม่สูงนัก ส่วนขบวนแห่ก็จะเรียบง่าย สนุกสนานน้อยกว่า การฟ้อนเซิ้งของชาวยโสธร และประเพณีนี้ทำในเดือนตุลาคมทุกปี
การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมบั้งไฟ ระหว่างเทศบาลเมืองยโสธรและตำบลชิชิบุ
เมืองโยชิดะ จังหวัดไซตามะ ประเทศญี่ปุ่น ตุลาคม 2554
จากความบังเอิญ ที่มีความเหมือนในประเพณี จึงมีการพัฒนาไปสู่การศึกษา แลกเปลี่ยน วัฒนธรรม เป็นเมืองคู่มิตร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 จนกระทั่งได้มีการทำความตกลงระหว่าง โยชิดะและยโสธร ให้เป็นเมืองคู่แฝด เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2542 โดยทุกปีชาวเมืองโยชิดะ จะส่งบั้งไฟแฟนซีประเภทสวยงามมาร่วมจุดด้วย นอกจากจะเป็นการแลกเปลี่ยนทางศิลปวัฒนธรรม และส่งเสริมการท่องเที่ยวแล้ว ในอนาคตยังอาจจะนำไปสู่การส่งเสริมด้านการศึกษา และความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจต่อไปด้วย
แม้แต่ชาวต่างประเทศยังสนใจวิธีการทำบั้งไฟของช่างบั้งไฟ บั้งไฟมีหลายชนิด แต่ที่ยโสธรมีการแข่งขันบั้งไฟแฟนซี และบั้งไฟแสน โดยบั้งไฟแฟนซีเป็นบั้งไฟขนาดเล็ก มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 นิ้ว และบรรจุดินประสิวไม่เกิน 4 กก. แข่งขันกันที่ความสวยงาม และลีลาลูกเล่นเมื่อจุดขึ้นฟ้า เช่นอาจจะมีร่มหลากสีสันกางออก หรือมีเสียงประกอบ ส่วนบั้งไฟแสนซึ่งเป็นบั้งไฟที่แข่งขันกัน โดยนับจากเวลาที่บั้งไฟขึ้น บั้งไฟของใครขึ้นนานที่สุดก็เท่ากับว่าบั้งไฟขึ้นสูงที่สุด (ระดับที่เป็นแชมป์บั้งไฟจะขึ้นนานกว่า 2 นาที)
บั้งไฟแสนจึงต้องมีขนาดใหญ่ ความยาว 4 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 6 นิ้ว และบรรจุดินประสิวหนัก 120 กก. นับเป็นบั้งไฟที่ทำยาก และต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ เพราะถ้าบั้งไฟนี้แตกแล้วจะเป็นอันตรายมาก เพราะฉะนั้นก่อนทำ "ช่างบั้งไฟ" ซึ่งเป็นผู้ทำบั้งไฟจะต้องมีพิธีกรรมบวงสรวงให้ถูกต้อง ตามหลักการทำบั้งไฟแสนเสียก่อนจึงจะลงมือทำ
ในช่วงที่มีการจุดบั้งไฟนั้น นับเป็นช่วงตื่นเต้นและสนุกสนาน โดยเฉพาะช่างบั้งไฟจะต้องลุ้นมากกว่าใคร เพราะหากบั้งไฟไม่ขึ้นก็จะถูกโยนลงบ่อโคลนนัยว่าเพื่อเป็นการลงโทษ แต่ปัจจุบันนั้น ไม่ว่าบั้งไฟจะขึ้นหรือไม่ขึ้นก็จะมีการโยนโคลน เพื่อความสนุกสนานมากกว่า
ว่ากันว่าการทำบั้งไฟนั้น จะต้องมีการศึกษาเรียนรู้ มีครูและมีศิษย์สืบทอดกันมา โดยทั่วไปจะถ่ายทอดต่อกันเป็นคนๆ เท่านั้น ไม่ใช่คนทั่วไปอยากเรียนก็จะเรียนได้หมด ครูจะเลือกถ่ายทอดให้ตัวต่อตัว สำหรับศิษย์ที่ครูเห็นว่ามีไหวพริบ และมีพรสวรรค์ด้านการทำบั้งไฟเท่านั้น จากเดิมที่มีการทำง่ายๆ ใช้ทักษะภูมิปัญญาของชาวบ้าน เดี๋ยวนี้มีการพัฒนาใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วย โดยยังคงมีดินประสิวและถ่านเป็นส่วนผสมหลักรวมเรียกว่า "หมื่อหรือดินปืน" แต่เปลี่ยนตัวบั้งไฟจากการใช้ไม้ไผ่มาเป็นท่อเหล็กหรือท่อพีวีซีแทน เปลี่ยนจากการตำถ่านโดยใช้แรงงานคน มาใช้เครื่องป่นแทน ส่วนการบรรจุดินก็ใช้ระบบไฮดรอลิกมาช่วย ซึ่งการที่บั้งไฟจะขึ้นสูงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการบรรจุดินปืน และสูตรประสมดินปืนที่เป็นความลับเฉพาะของช่างบั้งไฟแต่ละคน
จากวัฒนธรรมที่มีพื้นฐานมาจากภูมิปัญญา และกุศโลบายอันชาญฉลาดของบรรพบุรุษ ได้ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาด้วยแรงเชื่อและศรัทธาในอำนาจของเทพเทวดาที่บันดาลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล และในปัจจุบันได้นำมาสู่การประกวด การแข่งขัน การเดิมพัน และความสนุกสนาน จนกลายเป็นงานประเพณีระดับชาติที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก แต่ก็อย่าลืมหันกลับไปมองอีกมุมหนึ่งด้วย
"ประเพณี" หรือ "สนามเดิมพัน" รายการเปิดปม "บ่อนบุญบั้งไฟ"
มุมของคนที่อยู่อาศัยในหมู่บ้าน ที่อยู่ในทิศทางที่ห้างจุดบั้งไฟหันไปหานะ น่ากลัวมาก ไม่รู้ว่ามันจะพุ่งทะลุผ่านหลังคาบ้าน ลงมาเมื่อไหร่ไม่รู้ ประเพณีเดิมเขาจุดแค่บั้งสองบั้ง แต่ตอนนี้จุดตั้งแต่เช้ายันเย็น (ไม่ได้นับว่าเท่าไหร่?) พวกเขาคงไม่สนุกด้วยเท่าไหร่หรอกนะท่าน... ผู้ว่า!
เรื่องที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม : พิธีขอฝนของฅนอีสานแต่โบราณ
- Details
- Written by: เว็บมาดเซ่อ ฅนอีสาน
- Category: Tradition
- Hits: 33841
บุญเดือนห้า
ฮีตหนึ่งนั้น เถิงเดือนห้าได้พวกไพร่ซาวเมือง จงพากันสรงน้ำขัดสีพุทธรูป ให้ทำทุกวัด แท้อย่าไลม้างห่างเสีย ให้พากันทำแท้ๆ ไผๆ บ่ได้ว่า ทุกทั่วทีปแผ่นหล้าให้ทำแท้สู่คน จั่งสิสุขยิ่งล้น ทำถืกคำสอน ถือฮีตคองควรถือแต่ปฐมพุ้น "
หลายท่านคงจะนึกแปลกใจเหมือนกับผู้เขียนในการเรียกขานพระสงฆ์ในชื่อต่างๆ ดูมีความซับซ้อนเหลือเกิน บางท่านจะถูกเรียกว่า "มหา" "ญาคู" "ญาซา" และเมื่อสึกจากการบวชพระแล้ว ก็จะมีคำเรียกขานที่แตกต่างกัน เช่น "เชียง" "ทิด" "จารย์" มีการกำหนด กฏเกณฑ์เช่นไรหนอ วันนี้ได้รับคำตอบมาจาก อาจารย์ชุมพล แนวจำปา มานำเสนอกันแล้วครับ
โฮงฮด
โฮงฮด หรื ฮางฮด คือ ท่อนไม้ที่เซาะให้เป็นราง สำหรับเอาน้ำรดให้ไหลลงไปตามราง จึงเรียก "รางรด" หรือ "ฮางฮด" (คนอีสานออกเสียงพยัญชนะ ร. เป็น ฮ. เช่น รัก เป็น ฮัก) ช่างนิยมทำด้านหัวของฮางฮดเป็นรูปพญานาค มีทั้งเศียรเดียวและหลายเศียร ส่วนด้านท้ายทำเป็นหางนาค เป็นส่วนที่ใช้เทน้ำให้ไหลลาดไปทางหัวนาค ซึ่งเจาะเป็นรูให้น้ำไหลออกไปถูกองค์พระพุทธรูปที่ต้องการ "ฮดสรง" คว่ามยาวของฮางฮดเท่าที่ปรากฏสูงสุดไม่เกิน 12 ศอก ใน "ฮีตสิบสอง คองสิบสี่" ได้กล่าวถึงการสรงน้ำพระพุทธรูปในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 เรียก "บุญฮดสรง" เป็นช่วงตรุษสงกรานต์ คือวันที่พระอาทิตย์ได้เคลื่อนย้ายจากฤดูหนาวก้าวสู่ฤดูร้อน จึงเรียกอีกอย่างว่า "บุญเดือนห้า"
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม เส้นมีทั้งเส้นโค้งและเส้นตรง รูปทรงเป็นรางยาวแนวนอนเป็นรูปทรงพญานาค ลวดลายเป็นลายประดับตัวพญานาค ผิวของไม้ที่แกะสลักเป็นลายนูน มีการระบายสี ประดับกระจก และลงรักปิดทอง
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม คติความเชื่อเรื่องนาคซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งน้ำ ความอุดมสมบูรณ์ และความเชื่อเกี่ยวกับนาคที่ปกป้องศาสนาพุทธ
ลูกผู้ชายไทยควรได้บวชในบวรพระพุทธศาสนา
ลูกผู้ชายไทยทุกคนมีธรรมเนียมว่า เมื่อถึงอายุ 20 ปี ควรบวชในบวรพระพุทธศาสนา เพื่อทดแทนพระคุณบิดามารดาและเป็นการสืบสานพระศาสนาให้คงอยู่ เมื่อเป็นพระบวชใหม่ ยังมีพรรษาน้อยจะเรียกกันว่าพระ "นวกะ" ถ้าบวช 5 พรรษาขึ้นไปจึงพ้น "นวกะ" ในชุมชนอีสานมีธรรมเนียมการทำ "กองฮด" สำหรับพระสงฆ์ที่มีพรรษามากกว่า 5 พรรษาขึ้นไป
"กองฮด, ฮดสรง" พระสงฆ์อีสาน
“ฮดสรง” คือ พิธีสรงน้ำหรือรินน้ำแก่พระสงฆ์ ซึ่งเป็นรูปแบบประเพณีที่เก่าแก่ของผู้คนในแถบอีสาน โดยได้รับอิทธิพลมาจากอาณาจักรล้านช้าง การจัดพิธีฮดสรงนั้น จะถูกจัดขึ้นเมื่อชาวบ้านและพระเถระในคณะสงฆ์เห็นว่า มีพระสงฆ์ที่เล่าเรียนจบในบั้นหรือขั้นต่างๆ แล้ว จึงสมควรที่จะจัดพิธีฮดสรงให้ (สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคอีสาน เล่ม 15, 2542, น. 5362)
ฮูปแต้ม “พิธีฮดสรง” ในสิมวัดป่าเรไรย์ อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม
(ภาพจากหนังสือ “ฮูบแต้มในสิมอีสาน งานศิลป์สองฝั่งโขง” โดย อาจารย์สุมาลี เอกชนนิยม)
"กองฮด" เป็นกิจกรรมที่ชาวบ้านจัดขึ้นเพื่อยกย่องพระรูปใดรูปหนึ่งที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ยกย่องพระดีมีคุณธรรม มีความสามารถในชุมชนขึ้นเป็น สำเร็จ ซา คู ฯลฯ เป็นการทำพิธีเถราภิเษกมอบถวายสมณศักดิ์กันในระดับชาวบ้าน โดยชาวบ้าน เพื่อประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่ายในชุมชน นับว่าเป็นกิจกรรมที่ใหญ่พอสมควร ชาวบ้าน คนเฒ่า คนแก่ในละแวกบ้านนั้น ก็จะได้รับแจ้งข่าวคราวการตั้งกองฮด ผู้เฒ่าผู้แก่ต้องพร้อมใจกันเห็นดีเห็นงามโดยการประชุมกัน เป็นการยกย่อง ไม่ใช่การเลื่อนตำแหน่ง เป็นความดีความชอบที่ชาวบ้านยกให้พระสงฆ์
"กองฮด" หมายถึง การรดน้ำ (ภาษาอีสานออกเสียง รด เป็น ฮด) เริ่มพิธีกรรมโดยการที่ชาวบ้านจัดหาไตรจีวร และเครื่องอัฐบริกขาร เปลี่ยนผ้าให้พระสงฆ์ คือทำเหมือนกับที่ปฏิบัติกับพระพุทธรูป (อย่างเช่น การมีพระราชประเพณีเปลี่ยนเครื่องทรงให้กับพระแก้วมรกต) กองฮดนิยมทำในเดือนเมษายน (คล้ายกฐินต้องทำตอนออกพรรษา) ผู้เฒ่าผู้แก่ ชาวบ้านจะเข้าแถวกันรด (ฮด) น้ำให้ไหลไปตามรางน้ำที่ทำเป็นรูปพญานาค แล้วไหลไปรดตัวพระสงฆ์ เสร็จแล้วเอาจีวรเก่าออก แล้วเอาจีวรใหม่มาห่มแทน ถวายบริกขาร ขอรับศีลรับพรจากท่าน พระสงฆ์รูปนี้จะถือว่าเป็นพระที่ผ่านการฮดแล้ว การเรียกขานพระสงฆ์ผู้นี้ภายหลังการลาสิกขาบทออกไปแล้วจะเรียกว่า "จารย์" เป็นคำนำหน้าชื่อ
พระสงฆ์ที่ไม่ผ่านพิธีการฮด แต่บวชเกินพรรษา เมื่อลาสิกขาบทแล้วจะเรียกขานคำนำหน้าชื่อว่า "ทิด" ส่วนสามเณร เมื่อลาสิกขาบทแล้วจะเรียกขานคำนำหน้าชื่อว่า "เซียง" พระสงฆ์ที่สอบเปรียญได้ถึงแม่ว่าจะไม่ผ่านการฮด เมื่อลาสิกขาบทแล้วก็เรียกขานคำนำหน้าชื่อว่า "มหา" พระสงฆ์บวช 10 พรรษาขึ้นไป เรียก "ญาคู" เป็นพระสงฆ์อาวุโส พระสงฆ์อาวุโสบวช 10 พรรษาขึ้นไป และเป็นอุปัชฌาย์ คือบวชผู้อื่นได้ (ให้กำเนิดพระสงฆ์ได้) เรียก "ญาซา"
"จัว" เป็นคำเรียกเณร "เจ้าหัว" เป็นคำเรียกพระสงฆ์ ถ้าบวชนานๆ เป็น "ญาคู" ถ้าได้เป็นอุปัชฌาย์ เป็น "ญาซา" ดังนี้แล
การฮดสรง ถือเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญ สำหรับการเลื่อนสมณศักดิ์ของพระสงฆ์แถบอีสานในอดีต เพราะพระสงฆ์ที่จะมีลำดับชั้นสมณศักดิ์ที่สูงขึ้นได้นั้น ต้องผ่านการ “ฮดสรง” หรือ “พิธีเถราภิเษก” โดยชาวบ้านและพระสงฆ์ในชุมชนของตนก่อน สำหรับสมณศักดิ์พระสงฆ์แถบอีสานในอดีตมีลำดับชั้นดังนี้
- สำเร็จ คือภิกษุหรือสามเณรที่ผ่านการฮดสรง ครั้งที่ 1
- ซา คือภิกษุหรือสามเณรที่ผ่านการฮดสรงครั้งที่ 2 (เชื่อกันว่า ซา หมายถึง ปรีชา หรือสามารถ)
- คู (ครู) คือภิกษุหรือสามเณรที่ผ่านการฮดสรง ครั้งที่ 3
- คูหลักคำ คือภิกษุหรือสามเณรที่ผ่านการฮดสรงครั้งที่ 4
- คูลูกแก้ว คือภิกษุหรือสามเณรที่ผ่านการฮดสรงครั้งที่ 5
- คูยอดแก้ว คือภิกษุหรือสามเณรที่ผ่านการฮดสรงครั้งที่ 6
โฮงฮดรูปพญานาค จากพิพิธภัณฑ์บ้านท่าไห อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี
ส่วนสมณศักดิ์ชั้นสูงสุด คือ “ราชครูหลวง” นั้นเป็นตำแหน่งที่กษัตริย์ของอาณาจักรล้านช้างเป็นผู้สถาปนาด้วยพระองค์เอง แก่พระภิกษุที่มีวัตรปฏิบัติเหมาะสม และเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะแล้วต้องเป็นภิกษุที่มีบทบาทสูง ในการช่วยกษัตริย์ล้านช้างควบคุมดูแลให้บ้านเมืองมีความสงบสุขเรียบร้อยในทางสังคมร่วมไปด้วย เช่น ราชครูหลวงโพนสะเม็ก หรือหลวงพ่อขี้หอม ในคำที่ชาวบ้านในอดีตคุ้นเคย ทั้งนี้ ภิกษุและสามเณรที่ผ่านการฮดสรงแล้ว จะมีการเรียกสมณศักดิ์ดังกล่าวตามไปด้วย
พิธีฮดสรง หรือ เถราภิเษก ประเพณีเก่าแก่แถบอีสาน
ในอดีตแถบอีสานเรียกภิกษุว่า “เจ้าหัว” สามเณรเรียกว่า “จัว” เช่น ภิกษุชื่อมา หลังฮดสรงครั้งที่ 1 เรียก เจ้าหัวสำเร็จมา หากฮดสรงจนถึงครั้งที่ 6 จะเรียก เจ้าหัวคูยอดแก้วมา ส่วนสามเณรก็เช่นกัน เช่น สามเณรมี หลังฮดสรงครั้งที่ 1 เรียก สำเร็จจัวมี หากผ่านการฮดสรงครั้งที่ 6 เรียก คูยอดแก้วจัวมี (สังเกตว่า การเรียกจัว หลังฮดสรงจะนำหน้าชื่อด้วย ลำดับสมณศักดิ์)
เครื่องกองฮด (หด,รด)
ซึ่งอุปกรณ์ประกอบพิธีฮดสรงที่สำคัญคือ “ฮางฮด” หรือ “รางริน” ลักษณะของฮางฮด โดยทั่วไปจะใช้ไม้เนื้อแข็งในการแกะสลักเป็นรูปพญานาคในทางยาวประมาณ 3 เมตร หรือ 3.50 เมตร ส่วนเส้นรอบวงอยู่ระหว่าง 20 - 25 เซนติเมตร ทั้งนี้ขนาดของฮางฮดบางวัดอาจมีขนาดที่เล็กหรือใหญ่กว่าขนาดดังกล่าวข้างต้น ไม่ถือเป็นมาตรฐานแน่นอน และการแกะสลักฮางฮดเป็นรูปพญานาคสะท้อนนัยยะการให้ความสำคัญแก่สัตว์ประเภทนี้ ทั้งในฐานะผู้เคยอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาล และความเชื่อของชาวบ้านในท้องถิ่นเอง ที่เชื่อว่าพญานาคเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่จริง นอกจากตัวฮางฮดแล้ว ยังมีองค์ประกอบของฮางฮดที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือขาตั้งหรือขาค้ำยันสำหรับฮางฮด ซึ่งจะมีทั้งแบบ 2 ขาและ 4 ขา รวมทั้งจะมีการแกะสลักเป็นรูปสัตว์ที่สวยงามด้วยเช่นกัน อาทิ เต่า กระต่าย สุนัข ฯลฯ (ติ๊ก แสนบุญ, 2548, น. 43.)
นอกจากการฮดสรงจะมีฮางฮดเป็นอุปกรณ์ประกอบพิธีที่สำคัญแล้ว ยังมีบริขารเครื่องยศประกอบสมณศักดิ์ สำหรับมอบถวายแก่พระสงฆ์ ที่ได้รับการฮดสรงด้วย โดยทั่วไปจะประกอบด้วย 1. อัฐบริขาร (จีวร ผ้าสังฆาฏิ สบง สายประคด มีดโกน กล่องเข็ม ธรรมกรก มีดตัดเล็บ) 2. ผ้าห่ม 3. รองเท้า 4. ไม้เท้า 5. หมวก 6. เตียงนอน 7. ตาลปัตรรูปใบโพธิ์ (ใช้เส้นไหมปัก) 8. หลาบเงินหรือหลาบทอง (คือแผ่นเงินหรือแผ่นทองที่จารึกพุทธพจน์หรือพุทธภาษิต)
เมื่อเห็นเป็นการสมควรว่า พระภิกษุ สามเณรลูกหลานรูปใด ได้สำเร็จการศึกษาควรแก่การยกย่องให้เตรียมกองฮด (หด) จะมี ไตร จีวร (สามเณรไม่ต้องใส่สังฆาฏิ์) มีดโกน กล่องเข็ม มีดตัดเล็บ ธรรมกรก ประคตเอว ผ้าห่ม รองเท้า ไม้เท้า ตาลบัตร มีดชะนาก เงี่ยง (กระโถน) ขันหมาก หลาบเงิน เครื่องยศ เทียนกิ่ง (ทำเทียนเหมือนหอกสามง่ามสำหรับใต้ติดโฮงหด) เทียนเล็ก ได้แก่เทียนน้อยใต้ถวายพระตอนพระมาหด บายศรี 1 คู่ เทียนอาจ (เทียนเล่มบาท 2 คู่) น้ำหอม 3 ตุ่ม
การฮด (หด, รด) ให้ทำน้ำอบน้ำหอมใส่ตุ่มไว้ให้มาก เอาโฮงหดมาตั้ง เอาต้นกล้วยเป็นเสา เอาใบตองกล้วยและหญ้าแพรกมารอง ถ้าสูงจนหย่อนขาได้เรียกว่า บัลลังก์ศิลาอาสน์ ถ้าต่ำกว่านั้นเรียกว่า หินศิลาอาสน์ ตั้งไว้ใต้ป่องน้ำโฮงหด เวลาเทน้ำใส่โฮงหดน้ำจะไหลลงมารดผู้รับการรดน้ำพอดี
การหดน้ำจะทำต่างหากก็ได้ หรือจะทำร่วมกับบุญอื่นๆ ก็ได้ พระเถระผู้ใหญ่จะนำในการประกอบพิธี ให้พระรดน้ำก่อนจากนั้นคนแก่คนเฒ่าจะรดตามเรียงลำดับไปจนถึงชาวบ้านทั่วไป การหด (รด) นี้เป็นพิธีกรรมที่สำคัญมาก เพราะเป็นการสถาปนาให้ผู้ได้รับการรดน้ำนี้เปลี่ยนชื่อ เป็นผู้มียศทางสังคมได้ สมควรจะสืบต่อประเพณีอันดีงามนี้สืบไป
กองฮด วัดบ้านนาแก้ว อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี
เมื่อรดน้ำเสร็จแล้วก็จะมีการถวายไตรจีวร พระที่รับไตรจีวรก็จะพินทุผ้า ปัจจุทธรณ์ผ้า (ถอนผ้าเก่าถ่ายใส่ผ้าใหม่) อธิษฐานผ้าและครองผ้า เปลี่ยนที่เปียกออก เสร็จแล้วชาวบ้านจะเอาฆ้องมาให้ตี พ่อใหญ่ทายกวัดจะหิ้วเชือกฆ้องไว้ (หากฆ้องใหญ่ ให้จับที่เชือกแขวนแทน) พระที่รับการหดน้ำจะเอากำปั้นตีจูมฆ้อง 3 ครั้ง แต่ละครั้งที่ตีให้บริกรรมว่า "สีหะทานัง นะทันเตเต ปะริสาสุ วิสาระทา" ต่อจากนั้นก็ไปให้ศีล และรับถวายกองหดทั้งหมดจากญาติโยม ให้พร เป็นอันจบพิธี
ประเพณีสงกรานต์
ในช่วงเดือนนี้ ยังมีเทศกาลสำคัญของประชาชนทั่วไปคือ วันสงกรานต์ เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยมาแต่โบราณ ก่อนที่จะมีการประกาศวันขึ้นปีใหม่แบบสากล ในขณะที่ชาวต่างชาติต่างรู้จักวันสงกรานต์ในฐานะของการละเล่นสาดน้ำคลายร้อนที่โด่งดังไปทั่วโลก
คำว่า สงกรานต์ นั้น แปลว่า ก้าวขึ้น เปลี่ยนผ่าน หรือย่างขึ้น ซึ่งตรงกับทางโหราศาสตร์ที่ว่า วันสงกรานต์จะเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ ซึ่งตรงกับวันที่ 13 , 14, 15 เมษายนของทุกปี ในบางจังหวัดก็จะมีการเฉลิมฉลองยาวนานกว่า 3 วัน เช่น ประเพณีสงกรานต์เชียงใหม่ หรือประเพณีสงกรานต์พระประแดง ประเพณีสงกรานต์ (วันไหล) พัทยา สงกรานต์ถนนข้าวเหนียวจังหวัดขอนแก่น และนอกจากไทยแล้ว ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง เช่น ลาว พม่า กัมพูชา ก็มีประเพณีวันสงกรานต์เช่นเดียวกัน
ในระหว่าง 3 วันนี้ จะมีกิจกรรมต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น การทำความสะอาดบ้านเรือน เข้าวัดทำบุญ ขนทรายเข้าวัด ก่อเจดีย์ทราย สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และการละเล่นสาดน้ำของหนุ่มสาว
ในวันที่ 13 เมษายน จะเรียกว่าวันมหาสงกรานต์ เป็นวันสิ้นปีเก่าเตรียมเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ ผู้คนก็จะปัดกวาด ทำความสะอาดบ้าน เพื่อชำระล้างสิ่งไม่ดีให้ออกไปจากบ้าน เป็นการต้อนรับปีใหม่ บางบ้านก็จะยิงปืน จุดประทัด หรือทำอะไรก็ได้ให้เกิดเสียงดัง เพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีต่างๆ ออกไป
วันที่ 14 เมษายน วันเนาหรือวันเน่า ตามวัดวาอารามต่างๆ จะมีการเตรียมงานทำบุญสงกรานต์ ตอนบ่ายๆ จะมีการขนทรายเข้าวัดเตรียมก่อเจดีย์ทราย ในวันนี้คนโบราณมีความเชื่อว่า ห้ามพูดจาไม่ดีต่อกัน ห้ามทะเลาะเบาะแว้ง เพราะจะทำให้โชคไม่ดีไปตลอดปี
วันที่ 15 เมษายน วันเถลิงศกหรือวันพญาวัน เป็นวันที่ผู้คนพากันเข้าวัด ทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว มีการรดน้ำดำหัว ขอพรจากผู้สูงอายุ ผู้อาวุโสในชุมชน มีการก่อเจดีย์ทราย การละเล่นสาดน้ำของหนุ่มสาว ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญที่หนุ่มสาวจะได้พบปะกันพูดคุยกัน เกี้ยวพาราสีกันได้ด้วยการละเล่นสาดน้ำ
ที่มาของประเพณีสงกรานต์นั้นอิงมาจาก ตำนานนางสงกรานต์ เมื่อธรรมาบาลกุมารผู้มีสติปัญญาปราดเปรื่อง สามารถตอบคำถามท้าวกบิลพรหมได้ ทำให้ท้าวกบิลพรหมต้องตัดศีรษะตนเองตามที่ตกลงไว้กับธรรมบาลกุมารว่า จะยอมตัดศีรษะให้หากตอบคำถามได้ แต่ศีรษะของท้าวกบิลพรหมนั้นหากตัดแล้วนำไปตั้งไว้บนผืนดิน แผ่นดินจะลุกเป็นไฟ ถ้าโยนขึ้นท้องฟ้า ฝนจะแล้ง ท้าวกบิลพรหมจึงให้ลูกสาวทั้งเจ็ดคนผลัดเปลี่ยนกัน จัดขบวนแห่ศีรษะของตนเองรอบเขาพระสุเมรุ ทุกๆ 365 วัน การนำศีรษะของท้าวกบิลพรหมออกแห่จึงถูกนับว่าเป็นการขึ้นปีใหม่นั่นเอง
อ่านเพิ่มเติม : ประเพณีสงกรานต์ที่ควรรู้จัก
รู้จักกับ : อัตลักษณ์ท้องถิ่นอีสาน
ประเพณีวันสงกรานต์
- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Tradition
- Hits: 33183
บุญเดือนสี่
ฮีตหนึ่ง พอเถิงเดือนสี่ได้ให้เก็บดอกบุปผา มาลาดวงหอมสู่คนเก็บไว้ อย่าได้ไลหนีเว้น แนวคองตั้งแต่เก่า ไฟทั้งหลายสิแล่นเข้าเผาบ้านสิเสื่อมสูญ ให้ฝูงซาวเฮาแท้อย่าไลคองตั้งแต่ก่อน มันสิหมองเศร้าเมืองบ้านสิทุกข์จนแท้แหล่ว "
หลายคนคงจะสงสัยกันอยู่กับคำว่า "ผะเหวด" มีความหมายอย่างไร คำว่า "ผะเหวด" นั้นเป็นการออกเสียงตามสำเนียงอีสาน มาจากคำว่า "พระเวส" หมายถึง พระเวสสันดร งานบุญผะเหวด เป็น 1 ในประเพณี 12 เดือน หรือ ฮีตสิบสอง ของชาวอีสาน (การทำบุญประเพณี 12 เดือน) โดยพระเพณีนี้จะจัดขึ้นในเดือนที่ 4 ของไทยหรือช่วงเดือนมีนาคม โดยกำหนดจัดงานในวันเสาร์และอาทิตย์แรกของเดือนมีนาคมทุกปี (อาจจะขยับไปนิดหน่อยเพื่อไม่ให้ตรงกับหมู่บ้านใกล้เคียง)
ประเพณีบุญผะเหวดหรือบุญเดือนสี่นั้น สะท้อนให้เห็นถึง ความศรัทธาอันแรงกล้าในพระพุทธศาสนา ซึ่งชาวอีสานยึดถือและปฏิบัติกันมาช้านานอย่างเคร่งครัด เพราะถือว่าเป็นงานบุญใหญ่ที่สุดก็ว่าได้
การจัดงานบุญผะเหวดนั้น สำคัญอยู่ที่การจัดให้มีเทศน์เรื่อง "พระเวสสันดรชาดก" หรือ เทศน์มหาชาติ ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 13 กัณฑ์ โดยชาวอีสานมีความเชื่อว่า "ถ้าหากฟังเทศน์มหาชาติครบทั้งหมดในวันเดียว และจัดเตรียมเครื่องคาย (บูชา) ได้อย่างถูกต้อง ก็จะได้เกิดในศาสนาพระอริยเมตไตรยในภายภาคหน้า แต่ถ้าหากตั้งเครื่องคาย (บูชา) ไม่ถูกต้อง จะทำให้เกิดอาเพศและสิ่งไม่ดีต่างๆ ตามมา" จึงทำให้ทุกคนในหมู่บ้านให้ความสำคัญกับงานนี้อย่างมาก โดยจะมาทำพิธีร่วมกันทุกคน อีกประการหนึ่ง คือ เพื่อระลึกถึงพระเวสสันดร พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญเพียรบารมี อันเป็นชาติสุดท้ายของพระองค์ก่อนจะเสวยชาติและตรัสรู้เป็น "พระพุทธเจ้า" ในภายหลัง
นอกจากการฟังเทศน์มหาชาติแล้ว ประเพณีนี้ยังได้แฝงความเชื่อหลายประการไว้ด้วย คือ ความเชื่อในเรื่อง พระอุปคุต อันเป็นพระผู้รักษาพิธีต่างๆ ให้ดำเนินไปอย่างราบรื่นตังแต่ต้นจนจบ โดยมีความเชื่อกันว่าในการทำบุญแต่ละครั้งจะมี "มาร" เข้ามาขัดขวางทำลายพิธี ชาวพุทธจึงต้องนิมนต์ "พระอุปคุต" มาร่วมพิธีด้วย เพื่อช่วยขจัดอันตรายต่างๆ และเกิดความสวัสดิมงคลอีกด้วย
การนิมนต์พระอุปคุตจะเริ่มทำก่อนวันเทศน์มหาชาติหนึ่งวัน เรียกว่า "มื้อโฮม (วันสุกดิบ)" ในตอนบ่ายจะทำพิธีแห่พระเวสส์ (พระเวสสันดร) เข้าเมือง
หลังจากนั้นจะนิมนต์พระอุปคุตมาสถิต ณ บริเวณพิธี โดยมีขบวนแห่ดอกไม้ ธูป เทียน ขันห้า หรือขันแปด ไปยังสระน้ำที่อยู่ใกล้ๆ แล้วผู้อาวุโสจะหยิบก้อนหินจากสระน้ำขึ้นมาถาม 3 ครั้ง ก่อนจะนำหินนั้นมาสถิตๆ ไว้ยัง "หอพระอุปคุต" (สมมุติว่าหินนั้นเป็นพระอุปคุต) โดยกำหนดหอพระอุปคุตเป็นศาลเพียงตา หรือทำหิ้งบูชาอยู่ในมณฑลพิธี ซึ่งจะมีเครื่องบูชาต่างๆ ได้แก่ บาตรพระ, ขันห้า หรือขันแปด, ผ้าไตรจีวร, พานหมากและพานยาสูบ, ร่มกางกันแดด, น้ำดื่มและกระโถน วางไว้ (วัดใดมีสระก็จะสร้างศาลเพียงตาเล็กๆ ไว้ในสระ หากไม่มีหรือมีแต่อยู่ไกลบริเวณพิธี ก็จะกำหนดเขตที่ตั้งศาลเป็นบริเวณสระน้ำ)
บุณผะเหวด หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า บุญมหาชาติ เป็นประเพณีบุญตามฮีตสิบสองของชาวอีสาน แต่ถ้าถือเป็นเรื่องทาน ก็เป็นประเพณีการบริจาคทานครั้งยิ่งใหญ่ ในตำนานฮีตสิบสอง ได้กล่าวถึงการทำบุญผะเหวด ไว้ว่า "ฮอดเดือน ๔ ให้พากันเก็บ ดอกจาน สานบั้งไม้ไผ่เสียบดอกจิก ..." ก็พอจะอนุมานได้ถึงสภาพทั่วไปของชาว อีสานว่า ดอกจิก ดอกจาน บานราวต้นเดือนสาม พุทธศาสนิกชนจะเก็บดอกไม้เหล่านี้ มาร้อยเป็นมาลัยเพื่อตกแต่งศาลาการเปรียญสำหรับบุญมหาชาตินี้เอง และในงานนี้ ก็จะมีการเทศน์มหาชาติ ซึ่งถือว่าเป็นงานอันศักดิ์สิทธิผู้ใดฟังเทศน์มหาชาติจบภายในวันเดียว และบำเพ็ญคุณงามความดี จะได้อานิสงส์ ไปเกิดในภพพระอริยเมตไตรย์
ชาวอีสาน จะจัดทำบุญผะเหวด ปีละหนึ่งครั้ง ระหว่างเดือน 3 เดือน 4 ไปจนถึงกลางเดือน 5 โดยจะมีวันรวม ตามภาษาอีสาน เรียกว่า วันโฮมบุญ พุทธศาสนิกชนมาช่วยกันจัดตกแต่งศาลา หรือสถานที่ที่จะทำบุญ จัดเตรียมเครื่องสักการะ ดอกไม้ ธูปเทียน ข้าวตอก อย่างละพันก้อน มีการตั้งธงใหญ่ ไว้แปดทิศ และมีศาลเล็กๆ เป็นที่เก็บข้าวพันก้อน และเครื่องคาวหวาน สำหรับ ผี เปรต และมาร รอบๆ ศาลการเปรียญจะแขวน ผ้าผะเหวด เป็นเรื่องราวของพระเวสสันดร ตั้งแต่กัณฑ์ที่ 1 ถึงกัณฑ์สุดท้าย
การจัดงานประเพณีบุญผะเหวดที่ถือว่าจัดได้ยิ่งใหญ่ เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด ต้องที่เมืองเกินร้อย หรือเมืองร้อยเกิน จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งจะจัดประเพณีบุญผะเหวดในช่วงสัปดาห์แรก ของเดือนมีนาคม ของทุกปี ในชื่องาน "กินข้าวปุ้น บุญผะเหวด ฟังเทศน์มหาชาติ"
ชาวร้อยเอ็ดทุกหมู่เหล่า ได้จัดร้านข้าวปุ้น (ขนมจีน) พร้อมทั้งน้ำยาหลากหลายชนิด ให้ผู้มาร่วมงานได้กินฟรีตลอดงาน พร้อมจัดกิจกรรมการแข่งขันกินข้าวปุ้นเร็ว ชิงรางวัลเงินสด และถ้วยรางวัล การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน การประกวดดนตรีพื้นบ้าน การเทศน์มาลัยหมื่นมาลัยแสน ส่วนภาคกลางคืน จะเป็นการแสดงแสง สี เสียง ตำนานพระเวสสันดรชาดก โขนจากกรมศิลปากรเรื่อง รามเกียรติ์ และหนังตะลุง ให้ชมฟรีตลอดทั้งคืนอีกด้วย
บุญผะเหวด หรืองานบุญมหาชาติ คืองานมหากุศล ให้รำลึกถึงการบำเพ็ญบุญ คือ ความดีที่ยิ่งยวด อันมีการสละความเห็นแก่ตัว เพื่อผลคือ ประโยชน์สุขอันไพศาลของมวลชนมนุษย์ชาติ เป็นสำคัญ ดังนั้น บรรพชนชาวไทยอีสานแต่โบราณ จึงถือเป็นเทศกาล ที่ประชาชนทั้งหลายพึงสนใจร่วมกระทำบำเพ็ญ และได้อนุรักษ์สืบทอดเป็นวัฒนธรรมสืบมา จนถึงอนุชนรุ่นหลังที่ควรเห็นคุณค่า และอนุรักษ์เป็นวัฒนธรรมสืบไป
ลำกลอน บุญพระเวส โดย ทองแปน พันบุปผา
หมายเหตุ : บทความนี้อาจจะยังไม่สมบูรณ์เพียงพอ เพราะมีคนรุ่นลูกหลานสอบถามมากันมาก ทั้งเรื่องการฟังเทศน์มหาชาติ การแห่อุปคุต การแห่ข้าวพันก้อน มีความเกี่ยวพันกันเช่นไรใน "บุญผะเหวด บุญพระเวส" หรือ "บุญมหาชาติ" นี้ ก็เลยไปค้นคว้าสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ได้ความมาดังนี้ครับ
ความเป็นมาและมูลเหตุแห่งการทำบุญมหาชาติ
การทำบุญใหญ่ตามฮีต 12 ในฮีตเดือน 4 คือ การทำบุญมหาชาติ หรือที่ชาวอีสานทั่วไปเรียก "บุญผะเหวด" ซึ่งมาจากคำว่า "พระเวส" หรือ "พระเวสสันดร" นั่นเอง มีการกล่าวถึงไว้ในหนังสือ "มาลัยหมื่นมาลัยแสน" ว่า ครั้งหนึ่งพระมาลัยได้ไปไหว้พระธาตุเกษแก้วจุฬามณี บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้พบและสนทนากับ "พระศรีอาริยเมตไตรย พระโพธิสัตว์" ผู้ซึ่งจะได้จุติกาลลงมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ท่านทรงทราบความประสงค์ของมนุษย์จากพระมาลัยแล้ว จึงสั่งความกับพระมาลัยว่า "หากใครต้องการจะพบและเกิดในสมัยพระศรีอาริย์ ให้ทำแต่ความดี อย่าฆ่าพ่อ ตีแม่ สมณชี พราหมณ์ ครูอาจารย์ อย่าทำร้ายพระพุทธเจ้า อย่ายุยงสงฆ์ให้แตกกัน และต้องฟังเทศน์มหาชาติให้จบทุกกัณฑ์ในวันเดียว ท่านทั้งหลายจะได้เกิดร่วมและพบพระองค์" ด้วยเหตุนี้ชาวอีสานจึงได้พากันทำบุญผะเหวด และไปฟังเทศน์มหาชาติให้ได้ครบ 13 กัณฑ์กันทุกปี
การจัดงานบุญผะเหวดนั้นสำคัญอยู่ที่การเทศน์เรื่อง "พระเวสสันดรชาดก" หรือ "เทศน์มหาชาติ" มีจำนวนทั้งหมด 13 กัณฑ์ โดยชาวอีสานมีความเชื่อว่าหากว่าฟังเทศน์ครบทั้งหมดวันเดียว และจัดเตรียมเครื่องคาย (บูชา) ได้ถูกต้อง ก็จะได้เกิดในศาสนาพระอริยเมตไตรย แต่ถ้าหากตั้งเครื่องคาย (บูชา) ไม่ถูกต้อง จะทำให้เกิดอาเพศและสิ่งไม่ดีต่างๆ ตามมา จึงทำให้ทุกคนในหมู่บ้านให้ความสำคัญกับงานนี้อย่างมาก โดยมาทำพิธีร่วมกัน อีกประการหนึ่ง คือ เพื่อระลึกถึงพระเวสสันดร พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญเพียรบารมีชาติสุดท้ายของพระองค์ ก่อนจะเสวยชาติและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในภายหลัง
ขั้นตอนพิธีการจัดงาน
เมื่อกำหนดวันจัดงานได้แล้ว (ซึ่งรวมถึงการนิมนต์พระผู้มีลีลาการเทศน์ที่ชาวบ้านชื่นชอบจากที่ต่างๆ มาเทศน์ได้ครบทั้ง 13 กัณฑ์ ให้มาร่วมงานพร้อมแล้ว) ชาวบ้านจะช่วยกันหาดอกไม้มาตากแห้งไว้ ช่วยกันฝานดอกโน (ทำจากลำต้นหม่อน) เก็บดอกจิก ดอกจาน บานราวต้นเดือน 3 พุทธศาสนิกชนจะเก็บดอกไม้เหล่านี้มาร้อยเป็นมาลัย เพื่อตกแต่งศาลาการเปรียญสำหรับบุญมหาชาติ เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรม งานนี้เป็นงานใหญ่ทำติดต่อกัน 3 วัน ดังนี้
วันแรกของงาน ตอนบ่ายๆ หรือเย็น จะมีการแห่พระอุปคุตรอบบ้านให้ชาวบ้านได้สักการะบูชา โดยการทำพิธีให้ผู้ที่เคารพนับถือกล่าวนำอัญเชิญพระอุปคุต ขึ้นจากแม่น้ำใหญ่ (แทนมหาสมุทร บางหมู่บ้านไม่มีแม่น้ำก็จะใช้หนอง สระน้ำในหมู่บ้านแทน) ให้ชาย 3-5 คนนุ่งขาว ลงงมเอาก้อนหินในน้ำขึ้นมาถามว่า "ใช่พระอุปคุตหรือไม่" ในครั้งที่สามให้ผู้งมคนหนึ่งคนใดบอกว่า "ใช่" จากนั้นจึงนำขึ้นมาบนฝั่งจัดขบวนแห่รอบหมู่บ้าน แล้วนำไปประดิษฐานไว้หออุปคุต ภายในบริเวณงานเพราะเชื่อว่าเป็นพระเถระผู้มีฤทธิ์ นิรมิตกุฏิอยู่กลางแม่น้ำ หรือมหาสมุทร สามารถขจัดเภทภัยทั้งมวลที่จะเกิดขึ้นในพิธีได้
วันที่สองของงาน เป็นการแห่พระเวสสันดรเข้าเมือง แต่ละคุ้มวัดจะจัดขบวนแห่แต่ละกัณฑ์ทั้ง 13 กัณฑ์ แห่รอบหมู่บ้าน หรือรอบเมือง โดยมีผ้าขาวเขียน "ฮูปแต้มเรื่องพระเวสสันดร" ผืนยาว แสดงเรื่องราวต่างๆ ในแต่ละกัณฑ์ เมื่อถึงวัดจะนำผ้าฮูปแต้มนี่มาขึงโดยรอบศาลาโรงธรรม หรือบริเวณพิธีให้ลูกหลานได้เรียนรู้เรื่อง "พระเวสสันดร" เพื่อความซาบซึ้งในเทศน์กัณฑ์ต่างๆ ตอนเย็นมีมหรสพสมโภชเป็นที่ครึกครื้น (ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ที่มีการจัดงานประเพณีบุญผะเหวดทุกปีเป็นงานใหญ่ ในวันที่ 2 และที่ 3 ชาวร้อยเอ็ดจะจัดให้มีโรงทานเลี้ยง "ข้าวปุ้นบุญผะเหวด" แก่ผู้คนที่มาร่วมในงานกินได้ตลอดเวลาฟรีๆ มีชาวบ้าน ร้านค้า และ หน่วยงานราชการมาตั้งโรงทานกันมากมาย)
วันที่สามของงาน เริ่มตั้งแต่เช้ามืด ประมาณตี 4 ชาวบ้านจะนำข้าวเหนียวมาปั้นเสียบไม้จำนวน 1,000 ก้อน เพื่อเอาบูชากัณฑ์เทศน์ คาถาพัน เรียกว่า "ข้าวพันก้อน" ชาวบ้านจะพากันแห่ข้าวพันก้อนรอบศาลาโรงธรรม มีหัวหน้ากล่าวคำบูชา ดังนี้
นะโม นะไม จอมไตรปิฎก ยกออกมาเทศนาธรรม ขันหมากเบ็งงานสะพาส ข้าวพันก้อนอาดบูชา ซาเฮาซา สามดวงยอดแก้ว ข้าไหว้แล้วถวายอาดบูชา สาธุ "
ว่าดังนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 3 จบ แล้วนำขึ้นไปศาลาโรงธรรม แล้วญาติโยมพากันทำวัตรเช้า อาราธนาศีลอาราธนาเทศน์ โดยอาราธนาเทศน์พระเวสโดยเฉพาะ การอาราธนาเทศน์พระเวสนั้น ถ้าไม่ต้องว่ายาวจะตัดบทสั้นๆ ก็ได้ ให้ขึ้นตรง "อาทิกัลยาณังฯ เปฯ อาราธนัง กโรม" เท่านี้ก็ได้
ความเป็นมาของการแห่ข้าวพันก้อน
การเทศน์มหาชาติทั้ง 13 กัณฑ์นั้นจะประกอบด้วย พระคาถา 1,000 คาถา เช่น กัณฑ์ที่ 9 มัทรี มี 90 คาถา เราก็ปั้นข้าวเหนียวก้อนเล็กๆ แทนพระคาถาคือ 90 ก้อน ชาวบ้านคนเฒ่าคนแก่จะนำข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนเล็กๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือหรือขนาดเท่านิ้วก้อย เท่ากับจำนวนกัณฑ์ที่ตัวเองได้รับมอบหมาย เมื่อรวมทั้งหมดทุกกัณฑ์แล้วจะได้จำนวน 1,000 ก้อนซึ่งเท่ากับ 1,000 พระคาถาในเรื่องราวของพระเวสสันดรชาดก
นำข้าวก้อนใส่ถาดจากบ้านเรือนของตนมารวมกันที่ศาลากลางบ้าน แล้วเริ่มจัดขบวนแห่จากหมู่บ้านเข้ามายังศาลาโรงธรรม (หอแจก) จัดขบวนแห่ข้าวรอบบริเวณธรรมาสน์ที่พระเทศน์ โดยขบวนแห่ประกอบด้วย กลองยาว แคน ฉิ่ง ฉาบ ฯลฯ นำขบวนผู้มีศรัทธานำขบวน ผู้มีศรัทธาบางคนจะพากันฟ้อนรำไปตามจังหวะเสียงกลองอย่างสนุกสนาน เวียนรอบศาลาโรงธรรม 3 รอบ แล้วจึงนำข้าวพันก้อนเหล่านั้นไปใส่ไว้ในกรวยไม้ไผ่ ที่หลักธงชัยทั้ง 8 ทิศ แล้วใส่ไว้ในตระกร้าที่วางอยู่บนศาลาตามจุดที่ที่มีทุงโซและเสดกะสัด เมื่อแห่ข้าวพันก้อนเสร็จ ก็จะมีการเทศน์สังกาศ คือการเทศน์บอกปีศักราช เป็นการพรรณนาอายุกาลของพระพุทธศาสนา เริ่มแต่ต้นจนถึงอันตรธาน เมื่อจบสังกาศก็จะหยุดพักให้ญาติโยมกลับไปบ้านของตน นำข้าวปลาอาหารมาใส่บาตรจังหัน
วัตถุประสงค์ของการแห่ข้าวพันก้อน
- เพื่อเป็นการบูชาธรรม ถือว่าเป็นการบูชาอันสำคัญยิ่ง
- เพื่อระลึกถึงพระคุณของพระพุทธศาสนา
- เกิดความเป็นมงคลสำหรับผู้มาร่วมงานที่จะบันดาลให้พบความสุข ความสำเร็จ และประกอบอาชีพเจริญรุ่งเรือง
- เพื่อเป็นการพบปะกันของชาวบ้านในงานบุญของหมู่บ้าน
- เพื่อเป็นการสร้างความสามัคคีของคนระหว่างหมู่บ้านและละแวกเดียวกัน
อุปกรณ์ในการทำพิธีแห่ข้าวพันก้อน
- ธูป เทียน ดอกไม้อย่างละพันเพื่อไว้บูชาคาถา “พันคาถาในการเทศน์”
- พระอุปคุต (บาตร ไตร ร่ม)
- ข้าวเหนียว (ปั้นเป็นก้อนเล็กๆ)
- เครื่องบูชาธรรม
- ปะรำพิธี (ประดุจดังป่าหิมพานต์)
หลังจากพระฉันจังหันเสร็จแล้ว จึงเริ่มเทศน์ผะเหวด เริ่มเทศน์กัณฑ์ทศพร ไปจนจบที่นครกัณฑ์ อันเป็นกัณฑ์ที่ 13 เทศน์แต่เช้ามืดไปจนค่ำ จบแล้วจัดขันขอขมาโทษ พระสงฆ์ให้พรเป็นอันเสร็จพิธี ในวันที่ 3 นี้เอง ชาวบ้านชาวเมืองจะแห่ กัณฑ์หลอน มาร่วมถวายกัณฑ์เทศน์ตลอดทั้งวัน กัณฑ์เทศน์จะมี 2 ลักษณะ คือ
- กัณฑ์หลอน เป็นการแห่กัณฑ์เทศน์มา ถึงบริเวณที่พระกำลังเทศน์ก็ถวายกัณฑ์เทศน์โดยไม่เจาะจงว่า จะเป็นพระสงฆ์รูปใด
- กัณฑ์จอบ เป็นกัณฑ์เทศน์ที่กลุ่มผู้ถวายปรารถนาจะถวายเฉพาะภิกษุที่ตนชอบ เคารพศรัทธา จึงมีการส่งคนไปสอดแนมว่าขึ้นเทศน์หรือยัง ภาษาอีสานเรียกว่า "จอบ" หรือ "แอบดู" จึงเรียกกัณฑ์เทศน์ประเภทนี้ว่า "กัณฑ์จอบ"
พระอุปคุต
พระอุปคุต พระอุปคุปต์ หรือ พระบัวเข็ม เป็นพระภิกษุองค์สำคัญองค์หนึ่งในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และเป็นปฐมาจารย์แห่งนิกายสรวาสติวาทชื่อ "อุปคุต" แปลว่า ผู้คุ้มครองรักษา
จากการค้นหาข้อมูลของพระอุปคุตนั้น ทราบเพียงว่า ท่านเกิดหลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ประมาณ พ.ศ. 218 ปี แต่ไม่ทราบ ภูมิเดิมของท่านละเอียด ว่า เป็นบุตรของใคร เกิดในวรรณะอะไร และที่ไหน
จากการสันนิษฐานตามตำนาน พระเถระอุปคุต น่าจะเป็นชาวเมืองปาตลีบุตร เมื่อบวชแล้วบำเพ็ญเพียร จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ สำเร็จอภิญญาต่างๆ จนสามารถแสดงอภินิหาร เป็นที่เล่าลือมาจนทุกวันนี้ มีปฏิปทาดำเนินไปในทางสันโดษ มักน้อย นัยว่าท่านเนรมิตเรือนแก้ว (กุฏิแก้ว) ขึ้นในท้องทะเลหลวง (สะดือทะเล) แล้วก็ลงไปอยู่ประจำที่กุฏิแก้วตลอดเวลา เมื่อมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในพระศาสนา หรือเมื่อมีพิธีกรรมใหญ่ๆ หรือมีผู้นิมนต์ ท่านก็จะขึ้นมาช่วยเหลือ ด้วยความเต็มใจเสมอ
พระอุปคุต เป็นพระที่เป็นที่นิยมนับถือของชาวอินเดีย มอญ ชาวไทยวน และอีสาน สมัยก่อนพระมอญได้นำพระบัวเข็มมาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ในตอนที่พระองค์ยังทรงผนวชอยู่ แม้แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ยังทรงกล่าวถึงความเป็นมาในพระราชนิพนธ์ "พระราชพิธีสิบสองเดือน" ด้วย
เชื่อกันมาว่า พระอุปคุตมีอิทธิฤทธิ์ปราบท้าววสวัตตี (พญามาร) มีเรื่องเล่ามาว่า ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 2 หลังพุทธปรินิพพาน ณ นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ ภาคใต้ของประเทศอินเดีย) พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ครองราชสมบัติในขณะนั้น ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ได้ฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ทั้งหมดที่พระองค์สร้างอย่างยิ่งใหญ่ ตลอด 7 ปี 7 เดือน 7 วัน แต่ถูกพญามารมาผจญ ท่านจึงนิมนต์พระอุปคุตไปปราบพญามารจนยอมแพ้ จากนั้นพระอุปคุตก็มีชื่อเสียงในทางปราบมาร ท่านมีอีกชื่อว่า "พระบัวเข็ม"
ปัจจุบันยังมีความเชื่อในหมู่ชาวไทยวนว่า พระบัวเข็ม หรือ พระอุปคุต ยังมีชีวิตอยู่ ในทุกวันขึ้น 15 ค่ำที่ตรงกับวันพุธ ชาวไทยวนจะเรียกว่าเป็น "วันเป็งปุ๊ด" (วันเพ็ญ หรือวันเพ็ง ที่ตรงกับวันพุธ) พระอุปคุตจะออกบิณฑบาตในร่างเณรน้อย และจะออกมาเวลาเที่ยงคืน ด้วยเหตุนี้จึงเกิดประเพณีตักบาตรกลางคืนขึ้น
ดังนั้น การตักบาตรพระอุปคุตจะตักบาตรให้สามเณรเป็นหลัก โดยตั้งแต่เที่ยงคืนจะมีการสวดบูชาพระอุปคุตพอได้เวลา สามเณรจะบิณฑบาตไปรอบหมู่บ้านโดยของใส่บาตรจะเป็นขนม เนื่องจากเวลาที่ใส่บาตรเป็นเวลานึ่งข้าวของชาวบ้าน ทำให้ไม่สามารถใส่อาหารได้ตามปกติ จึงมีการทำขนมรอไว้ใส่บาตร ดังนั้นของใส่บาตรจึงเป็นพวกขนมหรือผลไม้ ซึ่งก็คือทำไว้เพื่อใส่บาตรสามเณรที่เป็นเด็กได้กินกันนั่นเอง และการบิณฑบาตรจะเสร็จก่อนฟ้าแจ้งเหมือนกัน แต่เนื่องจากสังคมที่เปลี่ยนไปในวันพุธคนต้องไปทำงาน เลยขยับเวลาไปตอนเที่ยงคืนแทน เพื่อคนจะได้ไปทำงานไหวไม่ง่วงนั่นเอง
[ อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง : ผ้าผะเหวด ]