คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
จักรพันธ์ ครบุรีธีรโชติ มีชื่อ-นามสกุลจริง จักรพรรณ์ อาบครบุรี ชื่อเล่น ก๊อท เกิดวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2511 ที่บ้านไทรโยง ตำบลครบุรี อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา เป็นลูกคนที่ 3 จาก 4 คน มีมารดา พื้นเพเป็นชาวอำเภอครบุรี และบิดาเป็นทหารชาวอเมริกัน ที่ย้ายมาประจำการที่จังหวัดนครราชสีมา จึงพบมารดาซึ่งขณะนั้นเป็น "แม่ครัว" อยู่ในค่ายทหาร ทั้งคู่แต่งงานกัน มีลูกด้วยกัน 4 คน บิดาถูกเรียกตัวกลับสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่เขายังเด็กมาก โดยไม่มีรูปทิ้งไว้ เขาจึงจำหน้าไม่ได้
มารดาไม่ย้ายตามบิดาไปด้วยตามคำชักชวน เพราะว่าห่วงในตัวยายของเขา และเกรงจะมีปัญหาจากการปรับตัวเพราะด้อยในการศึกษา และบิดาต้องย้ายไปประจำการในอีกหลายๆ ประเทศ จึงขาดการติดต่อทางจดหมายโดยไม่รู้ชะตากรรมในที่สุด
เขาจะเป็นเด็กเงียบๆ ชีวิตวัยเด็กลำบากมาก เพราะมารดายากจน มีลูก 4 คน อยู่บ้านเช่า ทำงานรับจ้างได้ค่าแรงรายวันไม่มาก พี่สาวและพี่ชายได้เรียนแค่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก็ต้องออกมาทำงานหาเงิน มารดาจึงส่งเขาไปให้อยู่กับตายายที่ อำเภอครบุรี เมื่อเขาอายุได้ 6 ปี เขาเกือบไม่ได้เรียนหนังสือ แต่โชคดีที่มีคนรู้จักกันขอไปเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม ที่จังหวัดกาญจนบุรี มารดาตัดสินใจยกให้เพื่ออนาคตของลูก
บิดาบุญธรรมเป็นทหาร มารดาบุญธรรมเป็นแม่บ้าน ซึ่งดูแลเขาเป็นอย่างดี ชีวิตเปลี่ยนไปเหมือนเกิดใหม่ มีห้องของตัวเองจากที่เคยนอนรวมกันกับพี่น้อง และได้เข้าเรียนในโรงเรียน เขาเริ่มได้รับอิทธิพลเรื่องเพลงตั้งแต่ช่วงนั้น บิดามารดาบุญธรรมชอบฟังเพลงลูกกรุง จึงได้ฟังบ่อยๆ จนซึมซับเข้ามาในความทรงจำ สมัยนั้นการเดินทางและารสื่อสารไม่สะดวก จึงไม่ได้กลับไปเยี่ยมแม่ แม่เองก็ไม่ได้มาหาเพราะภาระทางด้านการเงิน ซึ่งเขามักถามเสมอว่า "ทำไมแม่ถึงไม่มาหา อยากเจอ"
จนถึงปี พ.ศ. 2523 เมื่อก็อทอายุ 11-12 ปี ยังไม่ทันจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 บิดามารดาบุญธรรมจึงอนุญาต โดยขอให้คนช่วยสืบหาให้ ใช้เวลานานหลายเดือนจึงรู้ว่า มารดาเช่าบ้านอยู่ในซอยบริเวณสามแยกปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ก็อทออกเดินทางโดยลำพังจากจังหวัดกาญจนบุรี จนได้พบแม่ที่แท้จริง และกอดกันกลมร้องไห้ด้วยความดีใจ และได้รู้จักกับสามีใหม่ของแม่ ซึ่งเรียกว่า "ป๋า" เมื่อทุกคนขอร้องให้อยู่ที่นี่และเริ่มปรับตัวได้ จึงตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านกับแม่โดยไม่เรียนต่อ ผ่านมาได้ 3 สัปดาห์ ก็ไปทำงานกับป๋าที่อู่ซ่อมรถ เริ่มจากเด็กฝึกงาน จนเลื่อนเป็นช่างทำสีรถ เมื่ออายุ 13 ปีเท่านั้น
ต่อมา เขาต้องออกจากงานช่างซ่อมรถ กลับไปอยู่กับตายายที่อำเภอครบุรี เพราะน้า (ที่เคยอยู่กับยาย) เข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ เขาจึงต้องกลับไปช่วยเลี้ยงควาย 3 ตัวแทนน้า ก็อทต้องปรับตัวใหม่อีกครั้ง เพราะบ้านของยายอยู่ในชนบทที่กันดาร ไม่มีไฟฟ้าใช้ การเป็นเด็กลูกครึ่งในท้องถิ่นบ้านนอกที่นั่นเป็นเรื่องแปลก เพราะผิวขาวกว่าทุกคน อยู่จนปรับตัวได้ มีเพื่อนจำนวนมากที่ต้อนควายไปเลี้ยงด้วยกันกลางทุ่งนา
วันหนึ่ง เมื่อต้อนควายไปเลี้ยงตามปกติ ได้พบ "วิทยุทรานซิสเตอร์" เครื่องใหม่เอี่ยม แต่มีสนิม ห่อผ้าซ่อนอยู่ในที่รกๆ กลางทุ่งนา จึงคาดว่า น่าจะถูกขโมยมาซ่อนไว้แต่ลืมทิ้งหรือหาไม่เจอ ก็อทจึงเก็บเอามาใช้ ทำให้เป็นช่วงเวลาที่ผูกพันกับเพลงลูกทุ่ง โดยใช้วิทยุเป็นเสมือนครูเพลงที่เปิดฟังและร้องตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงโปรดที่ร้องเล่นบนหลังควาย มาแต่เล็กแต่น้อยคือเพลงของ ครูสุรพล สมบัติเจริญ อยู่กับตายายได้ 4 ปี จนถึงปี พ.ศ. 2527 ก็กลับไปอยู่กับแม่อีก ทำงานเป็นช่างเช่นเดิม
ทุกๆ วันอาทิตย์ ในตัวเมืองจังหวัดนครราชสีมา จะมีการประกวดร้องเพลงที่จัดโดย นที สุนันทา ดีเจชื่อดัง ซึ่งผู้ชนะเลิศจะได้เข้าประกวด "รายการชุมทางคนเด่น" ของ ประจวบ จำปาทอง เขาก็ไปดูทุกครั้งและอยากประกวดมากแต่ก็ยังไม่กล้า
ต่อมา ก็อทได้ไปสมัครทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในโรงแรม ซึ่งอยู่ใกล้กับเวทีประกวด โดยไปดูการประกวดทุกครั้งกับเพื่อนที่ชื่นชอบเหมือนกัน เขาร้องเพลงขณะทำงาน เหมือนเป็นการฝึกร้องให้ชำนาญ เพลงที่มักจะใช้ร้องเป็นเพลงของ สายัณห์ สัญญา หรือ ยอดรัก สลักใจ และได้ใช้เพลงดังกล่าวนี้ไปประกวด และได้เข้ารอบในครั้งที่ 3 ทางดีเจนที ผู้จัดประกวดจึงให้ผู้เข้ารอบทุกคนได้ร้องเพลงใส่เทปบันทึกเสียง เพื่อนำไปเปิดในรายการวิทยุ สำหรับให้คนทางบ้านช่วยในการโหวดตัดสิน
ช่วงที่รอผลการแข่งขัน มีเซลส์แมนขายเครื่องเสียงตามบ้านมาพักที่โรงแรมที่ก็อททำงานอยู่ ซึ่งขณะทดสอบเครื่องเสียงได้ให้เขาร้องเพลงลองเครื่องเสียงให้ และเป็นที่ถูกใจ ชื่นชอบ จึงชวนให้ก็อทไปอยู่ด้วย ช่วยในการขายของ และร้องเพลงเรียกลูกค้า รับเงินเดือนประจำ เขาสนุกกับชีวิตตะลอนทัวร์ประมาณ 2 ปี โดยไม่กลับบ้านเลย ส่งแต่เงินกลับไปให้ทางครอบครัว
จนเดินสายมาถึงจังหวัดระยอง เพื่อนของหัวหน้ากลุ่มเซลล์แมนเปิดร้านคาเฟ่ เขาเห็น "ร้านคาเฟ่" เป็นครั้งแรกและชอบมากอยากเข้าทำงาน หัวหน้าจึงฝากงานให้ แต่ได้เป็นแค่หัวหน้าพนักงานเสิร์ฟ ไม่ได้ขึ้นร้องเพลงสักที จึงไปหางานทำที่พัทยา เพราะเพื่อนชวน หางานอยู่หลายที่ จนได้งานที่ร้านแห่งหนึ่ง แม้เงินเดือนไม่มาก แต่ได้ทิปหลักหมื่นต่อเดือนในสมัยนั้น เริ่มจากการเป็นนักเต้น จนมีโอกาสได้ร้องเพลง ก็ร้องทุกเพลงทุกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไหร่ได้ร้องเพลงลูกทุ่ง จะได้รับการต้อนรับดีมาก เพราะเป็นเรื่องแปลก ที่คนหน้าตาเป็นฝรั่งมาร้องเพลงลูกทุ่ง จึงมีความเป็นอยู่ดีขึ้นมา มีเงินส่งกลับจำนวนมาก
ทำงานประมาณ 1 ปี ได้ย้ายมาประจำที่ ร้านไอส์แลนด์ ว่าว อนุวัฒน์ ซึ่งขณะนั้นเป็นโปรดิวเซอร์ของ คีตา เรคคอร์ดส มาพบ ชวนให้เข้ากรุงเทพฯ เพื่อทดสอบเสียงแต่ไม่ผ่าน จึงกลับไปทำงานที่เดิมอีกครั้ง
อีกประมาณ 3-4 เดือนต่อมา เขตอรัญ เลิศพิพัฒน์ นักแต่งเพลงประจำค่ายแกรมมี่ ไปเจอเข้าสนใจเลยชักชวน แต่ก๊อตก็ไม่กล้ารับปาก เพราะไม่มั่นใจว่าจะเป็นความจริง จนเขตอรัญต้องพา พี่เต๋อ เรวัติ พุทธินันท์ ผู้ก่อตั้งร่วมและโปรดิวเซอร์ของ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (ขณะนั้นชื่อ บริษัท แกรมมี่ เอนเตอร์เทนเม้นท์) ไปดูตัว จึงมีการพูดคุยชักชวนเจรจาจนที่สุด ก๊อท ก็ยอมเซ็นสัญญาเป็นนักร้องในสังกัดแกรมมี่ โดยต้องเรียนเพิ่มเติม ทั้งการร้องเพลง ภาษา วิธีการทำงานในห้องอัด และอื่นๆ รวมถึงปรับปรุงบุคลิกอย่างผู้มีการศึกษาระดับสูง ตามกระแสนิยม โดยทางแกรมมี่ได้เช่าอพาร์ตเมนต์ให้อยู่ มีเงินเดือนให้ รุ่นเดียวกันที่เรียนร้องเพลงคือ ใหม่ เจริญปุระ
ทางแกรมมี่ตั้งใจปั้นก็อทให้เป็น "นักร้องเพลงป๊อป" ตัวก๊อทเองก็ชื่นชอบอยากเป็นเหมือนอย่าง พี่เบิร์ด - ธงไชย แมคอินไตย์ แต่ร้องแล้ว ฟังแล้วก็หาทางออกไม่เจอสักทีว่าจะใช่ตามที่ตั้งใจ
จนกระทั่ง เจนภพ จบกระบวนวรรณ เสนอให้ร้องเพลงเก่าเป็นเพลงลูกทุ่ง และทำขึ้นมาเป็นโครงการแม่ไม้เพลงไทย มีนักร้องร่วมโครงการหลายคน อาทิ นันทิดา แก้วบัวสาย, ชรัส เฟื่องอารมณ์, ปั่น ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว, ภัทรา ทิวานนท์ และ จักรพรรณ์ อาบครบุรี นำเพลงเก่าอมตะมาทำเรียบเรียงให้ขับร้องใหม่ให้เป็นรูปแบบของตนเอง โดยเฉพาะตัวก๊อตนั้น ทางเจนภพ จบกระบวนวรรณ คัดเพลงให้และควบคุมการร้องการผลิตทุกขั้นตอนเอง
หัวใจผมว่าง - จักรพรรณ์ อาบครบุรี
ชื่อ ก๊อต จักรพรรณ์ อาบครบุรี มีคนรู้จักขึ้นมาทันทีด้วยเพลง "หัวใจผมว่าง" เพลงเก่าของ ครูสุรพล สมบัติเจริญ
ยุคนั้น แนวเพลงไทยสากล (สตริง) มีกระแสนิยมมากกว่าแนวเพลงลูกทุ่ง ก็อตจึงเสนอทางค่ายว่า "เพราะเขาอายุยังน้อย น่าลองทำผลงานเพลงสตริงก่อน เพื่อให้ตรงกับการตลาดในช่วงนี้" แต่นายใหญ่ เต๋อ เรวัต พุทธินันท์ ยืนยันมาตั้งแต่แรกว่า ก็อตเหมาะกับเพลงลูกทุ่ง แต่ก็ไม่คัดค้าน โดยพูดว่า "นายจะประสบความสำเร็จกับการร้องเพลงลูกทุ่ง เพราะเราเห็น แต่ถ้าอยากจะลองทำสตริงดูก็ได้"
จึงเกิด อัลบั้มชุดที่ 2 "ก๊อต ช็อต" ที่เปลี่ยนแนวเป็นสตริง และ อัลบั้มชุดที่ 3 "ก๊อต เพราะใจไม่เหมือนเดิม" เป็นเพลงฟังสบาย แต่อาจเพราะฟังยาก ไม่ติดหู จึงไม่ค่อยได้รับความนิยม
ในปี พ.ศ. 2538 จึงกลับมาปรึกษากันใหม่ว่า อยากลองเปลี่ยนกลับมาเป็นแนวเพลงลูกทุ่ง เต๋อ เรวัต พุทธินันท์ ดีใจมาก เพราะคิดว่าเหมาะสมเข้าทางที่สุด เป็นช่วงเดียวกับที่ได้ก่อตั้ง "แกรมมี่ โกลด์" เป็นบริษัทใหม่ในเครือ โดยแยกสายการผลิตเพลงลูกทุ่ง ออกมาจากแนวสากล โดยมี กริช ทอมมัส เป็นกรรมการผู้จัดการและหนึ่งในโปรดิวเซอร์
ทีมงานจึงผลิต เช็ตอัลบั้มชุด "ก๊อต หัวแก้วหัวแหวน" ชุดที่ 1-5 (ออกมาพร้อมกันทีเดียวถึง 5 ชุดรวดในเซ็ต) โดยมี กริช ทอมมัส เป็นโปรดิวเซอร์ประจำตัวของก็อท นับแต่นั้นเรื่อยมา แม้ว่า สร้างหลายอัลบั้มพร้อมกัน แต่ก็ขายได้ถล่มทลายเป็นประวัติการณ์ ประมาณ 2 ล้านตลับ (ยุคนั้นยังจำหน่ายแต่ เทปคาสเส็ตยังไม่มีซีดี) จนถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่สร้างชื่อและแจ้งเกิดในวงการลูกทุ่งของเขา (ความนิยมนั้นแม้ผ่านมา 20 ปี ก็ยังผลิตอัลบั้มรวมฮิตขายได้อยู่)
เหตุการณ์ "หัวแก้วหัวแหวน" นี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของวงการเพลงลูกทุ่งด้วย เพราะเริ่มมีการผสมดนตรีแบบไทยสากลในเพลงลูกทุ่งเล็กน้อย โดยก่อนหน้านั้นเพลงลูกทุ่งจะมีแบบแผนรูปแบบเครื่องดนตรีชัดเจน ผู้นิยมเพลงสตริงรับได้เป็นปกติ ส่วนผู้นิยมเพลงลูกทุ่งเอง ช่วงแรกยังมีความเห็นขัดแย้ง แต่เมื่อเผยแพร่สักระยะหนึ่ง ก็เริ่มเป็นที่นิยมและยอมรับในที่สุด
และในภายหลัง แนวเพลงลูกทุ่งประยุกต์นี้ ก็กลายเป็นกระแสสร้างความนิยมที่พบได้มากในผลงานของศิลปินรุ่นต่อๆ มา ทั้งค่ายเพลงนี้และค่ายเพลงอื่นๆ ในลักษณะที่ค่อยๆ ผสมความเป็นไทยสากลมากขึ้นไปอีก
ในปี พ.ศ. 2538 ทีมงานผลิต เช็ตอัลบั้มชุด "ก๊อต หัวแก้วหัวแหวน" ชุดที่ 1-5 และในปี พ.ศ. 2539 ผลิตชุดที่ 6-9 ออกมาอีก ยอดขายรวมทั้ง 9 ชุด กว่า 10 ล้านตลับ ความสำเร็จที่มาอย่างท่วมท้นนี้ เต๋อ เรวัต พุทธินันท์ ได้เตือนก็อตไว้ว่า "ขอให้มีสติดี ๆ เพราะความสำเร็จที่เข้ามาขนาดนี้ จะทำให้เราเขวได้" ซึ่งเขาจดจำยึดถือเรื่อยมา
เนื่องจากในช่วงแรกของอัลบั้ม ทาง แกรมมี่ โกลด์ ยังไม่สันทัดและมีประสบการณ์ในการจัดการแสดงบนเวทีของเพลงลูกทุ่ง นอกจากการร้องเพลงแล้ว เขายังมีส่วนร่วมในการผลิตอัลบั้มอยู่มาก เช่น การเลือกเพลง การเลือกดนตรี การจัดหานักเต้นประกอบ (แดนเซอร์) การผลิตเครื่องแต่งกายนักเต้นประกอบ ฯลฯ จนกลายเป็นแนวทางการทำงานในทุกอัลบั้มต่อๆ มา (ในระยะหลัง ยังช่วยควบคุมด้านดนตรีด้วย)
กรณีเครื่องแต่งกายนักเต้นประกอบ ผู้จัดการประจำตัวที่เขาเรียกกันว่า "พี่มด" ซึ่งเคยเป็นดีไซเนอร์ของ "อัลคาซ่า" มาก่อน ได้รับผิดชอบจึงจัดหาชุดจากอัลคาซ่ามาดัดแปลงให้นักเต้นประกอบได้สวมใส่ และเน้นความอลังการในการแสดง ซึ่งได้รับความนิยมจนกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของการแสดงบนเวที ที่บรรดาวงดนตรีลูกทุ่งนิยมจัดมาแสดง รวมถึงทุกอัลบั้มต่อมาของเขาเอง เขาถือว่า "การแสดงบนเวทีที่อลังการเป็นหัวใจหลักของอัลบั้ม" เพราะแฟนคลับชื่นชอบ อีกทั้งพัฒนาการที่เนื้อหาเพลงหลากหลายขึ้น จึงยิ่งเพิ่มความหลากหลายเครื่องแต่งกาย และเพิ่มรูปแบบการแสดงมากขึ้น เช่น ผสมรูปแบบการแสดงแบบ "โรงละครเวทีบรอดเวย์" ของต่างประเทศ ฯลฯ
คอนเสิร์ต แทนความผูกพัน 20 ปี หัวแก้วหัวแหวน - ก็อท จักรพันธ์
ก็อตเป็นคนที่ทำงานจริงจังมาก และชอบในการทำบุญ ศิลปินต้นแบบของเขา ได้แก่ เบิร์ด ธงไชย เพราะสนุกกับงานได้เสมอ และ ตู่ นันทิดา เพราะให้กำลังใจและสอนดีมาก เขาเองก็เป็นต้นแบบของศิลปินรุ่นน้องจำนวนมากด้วยเช่นกัน
จักรพันธ์ อาบครบุรี หลังประสบความสำเร็จ มีรายได้มากขึ้น ความเป็นอยู่ที่บ้านก็ดีขึ้น เขาดูแลช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในบ้านของแม่และน้อง ขณะช่วยเหลือพี่สาวกับพี่ชายตามโอกาส เพราะทั้งสองแต่งงานมีครอบครัวของตน
ใน พ.ศ. 2549 หลังจาก อัลบั้มชุดที่ 4 "ก๊อต จักรพรรณ์ 4 เจริญ เจริญ" ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ก๊อท จักรพันธ์ ครบุรีธีรโชติ เพราะถูกทักว่า "เกิดวันศุกร์ ไม่ถูกโฉลกกับ ร.เรือ หลายตัว" ส่วนนามสกุล เปลี่ยนให้ความหมายดีขึ้นเป็น ครบุรีธีรโชติ แปลว่า เมืองแห่งความรุ่งเรืองของนักปราชญ์
มีช่วงหนึ่งเคยดำเนินกิจการร้านอาหาร แต่เลิกกิจการไปเมื่อมีงานอัลบั้มต่อเนื่อง ก่อนผลิตอัลบั้ม "แทนความคิดถึง" และก่อนผลิตอัลบั้ม "แทนความผูกพัน 20 ปี หัวแก้วหัวแหวน" เขาได้พักผ่อนยาว ใช้เวลากับครอบครัว และใช้โอกาสนี้ปลูกบ้านใหม่ที่อยู่กับแม่และน้อง โดยดูแลการก่อสร้างทั้งหมดเอง
เป็นนักร้องรุ่นใหม่ที่มีแฟนคลับชัดเจนมีคนนิยมมาก ตั้งแต่รุ่นย่ารุ่นยายหิ้วตะกร้าหมาก มาจนถึงวัยรุ่นสมัยใหม่ และรุ่นเด็กๆ ทั่วทุกภาคของประเทศที่เหนียวแน่นไม่แพ้รุ่นพี่อย่าง เบิร์ด ธงไชย เรื่องการแสดงหน้าเวทีการเอนเตอร์เทนผู้ชมนั้นเก่งมากๆ และตั้งอกตั้งใจทำงานเต็มที่ทุกครั้ง และได้ชื่อว่าเป็นผู้นำในเรื่องการโชว์ที่มีการลงทุนสร้างอย่างอลังการ มีทีมเต้น (แดนเซอร์) ของตนเองที่คล้ายทีมงานในต่างประเทศที่ตามไปร่วมการแสดงทุกครั้ง
ได้มีโอกาสแสดงละครหลายเรื่อง เป็นพระเอกนักร้องเนื้อหอมที่สุดคนหนึ่งในยุคปัจจุบัน มีฐานะดีมาก และได้ชื่อว่าเป็น "นักร้องลูกทุ่งที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประเทศไทย" อีกด้วย ติดตามผลงานการแสดงและความเคลื่อนไหวได้ทาง Instragram : Got Jakraphun
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)