- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Drama Acting
- Hits: 34239
หนังประโมทัย : อัตลักษณ์อีสาน
หนังประโมทัยอีสาน คือ หนังตะลุงของคนภาคอีสาน มีชื่อเรียกต่างๆ กันไปหลายชื่อ เช่น หนังปราโมทัย หนังประโมทัย หนังบักตื้อ หรือ หนังบักป่องบักแก้ว ซึ่งสองชื่อหลังนี้มาจากชื่อของรูปตัวตลกเอกของเรื่อง การแสดงหนังประโมทัยเกิดขึ้นจาก การแผ่ขยายวัฒนธรรมหนังตะลุงของภาคใต้ มายังยังภาคอีสาน จากการที่คนอีสานเดินทางไปทำงานต่างถิ่น หรือค้าขายยังต่างถิ่น เช่น นายฮ้อยที่นำคณะต้อนวัวควายไปขายยังภาคกลาง และนำแรงงานอีสานไปรับจ้างทั่วไป ได้พบเห็นหนังตะลุงชอบจึงคิดนำมาดัดแปลงให้เข้ากับสิ่งที่ตนชอบคือ "หมอลำ" โดยมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงจนเป็นที่ยอมรับของคนในพื้นที่ นั่นคือ การนำหมอลำกับหนังตะลุงมารวมกัน
องค์ประกอบของการแสดงหนังประโมทัยที่สำคัญคือ ผู้เชิดตัวหนัง โรงและจอหนัง บทพากย์บทเจรจา ดนตรีประกอบ ตลอดจนแสงเสียงที่ใช้ในการแสดง นิยมแสดงเรื่อง รามเกียรติ์ แต่ต่อมาได้มีการนำวรรณกรรมพื้นบ้านอีสานมาแสดงด้วย เช่น สังข์ศิลป์ชัย จำปาสี่ต้น ท้าวก่ำกาดำ ขูลูนางอั้ว การแสดงหนังประโมทัยเรื่องวรรณคดีอีสานนั้น จะแสดงเหมือนหมอลำผสมหนังตะลุง คือ ตัวพระ แม้จะพากย์และเจรจาเป็นภาษาไทยกลาง แต่ก็สามารถร้องหมอลำได้ด้วย ตัวนาง เล่นแบบหมอลำ เจรจาด้วยภาษาอีสาน การเล่นลักษณะนี้พบได้ทางจังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด ยโสธร และอุบลราชธานี
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม ตัวหนังสำหรับเชิดวาดด้วยความอิสระ ตัวละครสำคัญมีความประณีตตามลักษณะหนังตะลุง และหนังใหญ่ แต่สัดส่วนไม่ผอมเพรียว ส่วนตัวตลกไม่วิจิตรบรรจงมากนัก สร้างความรู้สึกตลกสนุกสนานและมีชีวิตชีวา ตัวหนังลงสีแดง สีดำ และสีเขียว การแสดงเน้นความสนุกสนาน ตลกโปกฮา มีลักษณะผสมระหว่างหนังตะลุงและหมอลำ
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม ผสมผสานการแสดงแบบภาคใต้ให้เข้ากับความเป็นพื้นบ้านอีสานได้อย่างลงตัว เรื่องที่นำมาเล่นช่วยสืบทอดวรรณกรรมพื้นบ้านและการแสดงหลายๆ ด้าน
หนังปราโมทัย หรือ หนังตะลุงอีสาน นั้น มีชื่อเรียกแตกต่างกันหลายชื่อ เช่น หนังปะโมทัย หนังประโมทัย หนังปราโมทัย หนังบักตื้อ และหนังบักป่องบักแก้ว คำว่า หนังปราโมทัย น่าจะมาจากคำว่า ปราโมทย์ ซึ่งหมายถึง ความบันเทิงใจ ความปลื้มใจ ส่วนคำว่า ประโมทัย และ ปะโมทัย สันนิษฐานว่า อาจจะเป็นชื่อของคณะหนังตะลุง หรือเป็นการออกเสียงของคนอีสานที่มักจะไม่มีการออกเสียงควบกล้ำ "ปร" กลายเป็น "ป" ก็ได้ ส่วนหนังบักตื้อ และหนังบักป่อง บักแก้ว มาจากชื่อของตัวตลก (ตัวหนัง)
หนังปราโมทัย ซึ่งได้รับความนิยมจากชาวบ้าน เป็นการละเล่นซึ่งผสมผสานกัน ระหว่างหนังตะลุงกับหมอลำ โดยตัวที่เป็นตัวเอก ตัวพระ ตัวนาง หรือ เป็นตัวเจ้า จะพูดจาภาษากลาง ตัวตลก เหล่าเสนาอำมาตย์ จะพูดเจรจาเป็นภาษาอีสาน เรื่องที่นำมาแสดงก็จะเอาวรรณกรรมพื้นบ้านมาแสดง เช่น สังข์ศิลป์ชัย จำปาสี่ต้น การะเกษ ผาแดงนางไอ่ ท้าวก่ำกาดำ รวมทั้งวรรณคดีเอกอย่าง รามเกียรติ์
หนังปะโมทัยอีสานนั้น มีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีเป็นศูนย์กลางแห่งแรก คณะหนังปะโมทัยคณะเก่าแก่ที่สุดคือ คณะฟ้าบ้านทุ่ง ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2469 ซึ่งหนังตะลุงอีสานคณะอื่นๆ ต่างก็ล้วนสืบทอดมาจากคณะนี้ทั้งนั้น (อ้างถึง : วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดอุบลราชธานี. 2542 : 178) คณะหนังปราโมทัยที่เก่าแก่รองลงมาได้แก่ คณะบุญมี ซึ่งมาจากจังหวัดอุบลราชธานี แต่มาตั้งคณะขึ้นในจังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อปี พ.ศ. 2476 คณะประกาศสามัคคี ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2490 นอกจากนี้ยังมีคณะ ช. ถนอมศิลป์ บ้านโคกไพลี ตำบลโพธิ์ทอง กิ่งอำเภอศรีสมเด็จ คณะ ป. บันเทิงศิลป์ บ้านสีแก้ว ตำบลสีแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด คณะหนังปะโมทัยของผู้ใหญ่ถัง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น
จากการสำรวจวิจัยพบว่า ยังมีคณะหนังประโมทัยอยู่ใน 13 จังหวัดภาคอีสาน ได้แก่ อุดรธานี มุกดาหาร นครพนม กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ ยโสธร บุรีรัมย์ และนครราชสีมา (สำรวจปี พ.ศ. 2553) โดย จังหวัดร้อยเอ็ดมีมากที่สุด 13 คณะ ยโสธรมี 7 คณะ ขอนแก่นมี 6 คณะ อุบลราชธานีมี 5 คณะ อุดรธานีและมหาสารคามมีจังหวัดละ 3 คณะ
ลักษณะของตัวหนังประโมทัย
ตัวหนังจะมีขนาดสูงประมาณ 1-2 ฟุต ทำด้วยหนังวัวหรือหนังควาย (ปัจจุบัน ผู้เขียนพบว่า ใช้แผ่นพลาสติกหนาทดแทนแล้วเพราะหาได้ง่ายกว่า ราคาไม่แพง) หนังแต่ละตัวจะเป็นตัวละครลอยตัวเดียว ไม่มีฉากประกอบ มือข้างหนึ่งเคลื่อนไหวได้ ยกเว้นตัวตลกจะมีแขนเคลื่อนไหวได้ทั้งสองข้าง และปากขยับขึ้นลงเหมือนพูดได้
ตัวหนังจะเป็นภาพด้านข้างในส่วนหัว แต่ส่วนลำตัวมองเห็นแขนขาได้ครบทั้งสองข้าง บางตัวจะทำเป็นพิเศษเพื่อให้ดูเคลื่อนไหวเหมือนคนจริงมากขึ้น ตัวหนังประโมทัยมีความวิจิตรพิสดารน้อยกว่า หนังตะลุงภาคใต้ และหนังใหญ่ภาคกลาง แต่ตัวตลกมีรูปร่างเหมือนคนธรรมดามากกว่าตัวตลกของหนังตะลุงภาคใต้ เช่น บักตื้อ บักแก้ว บักป่อง บักแหมบ เป็นต้น (วิบูลย์ ลี้สุวรรณ. 2525 : 179-180)
แต่ละคณะจะมีจำนวนตัวหนังไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่จะมีประมาณ 30-100 ตัว ซึ่งตัวหนังจะแยกเป็น 3 ฝ่าย คือ
- ฝ่ายพระหรือฝ่ายธรรมะในเรื่อง เช่น กษัตริย์ มเหสี พระเอก (เจ้าชาย) นางเอก (เจ้าหญิง) ถ้าเป็นเรื่องรามเกียรติ์ก็จะได้แก่ พระราม พระลักษณ์ นางสีดา หนุมาน สุครีพ องคต เป็นต้น
- ฝ่ายยักษ์หรือฝ่ายอธรรม (ตัวร้ายในเรื่อง) ได้แก่ ทศกัณฐ์ นางมณโฑ ไมยราพ กุมภกรรณ ฯลฯ
- ฝ่ายตัวตลกหรือคนรับใช้ เป็นตัวชูโรงสร้างความสนุกสนาน ดึงผู้ชมให้อยู่หมัดตลอดการแสดง ซึ่งคนอีสานคิดขึ้นมาโดยเอารูปแบบความสนุกสนานของตนเองเป็นที่ตั้ง ที่ขาดไม่ได้ในทุกคณะคือ บักป่อง บักแก้ว บักแหมบ นางจุมจี นางจุมจ่อ เป็นต้น
- ตัวหนังพิเศษที่ทุกคณะต้องมีคือ ฤาษี ที่ถือเป็นครูด้านการแสดงรูปเงาที่สืบทอดจากอินเดีย (เป็นวัฒนธรรมร่วมอุษาคเนย์) และ ปลัดตื้อ ผู้เป็นครูหนังจากภาคใต้ ตัวหนังทั้งสองตัวนี้ถือเป็นตัวหนังศักดิ์สิทธิที่ห้ามมิให้ผู้หญิงแตะต้องโดยเด็ดขาด
โรงหนังและจอหนัง
โรงหนังที่ใช้แสดงจะสร้างเป็นโรงยกพื้น สูงประมาณเอวของผู้ใหญ่ มีหลังคาสูงและมีจอซึ่งทำด้วยผ้าขาว ขนาดกว้าง (สูง) ประมาณ 1.30 เมตร และยาวประมาณ 3.50 เมตร ขนาดของโรงมีความกว้างยาวที่จะบรรจุได้ทั้งตัวหนัง ผู้พากษ์ ผู้เชิดตัวหนัง และนักดนตรีทั้งหมด ในสมัยโบราณอาจใช้เวทีหมอลำ เวทีมวย ศาลากลางบ้าน ศาลาการเปรียญวัด โดยใช้ผ้าล้อมเป็นขอบเขตของโรงกั้นส่วนคณะแสดงกับผู้ชมก็ได้
แสงไฟที่ใช้ส่องตัวหนังแรกๆ ใช้ขี้ไต้ (ขี้กระบอง) ซึ่งทำจากน้ำมันยางผสมกับขี้ขอนดอก (ไม้ผุ) หรือขี้เลื่อย เพื่อให้เกิดแสงสว่างแสดงรูปเงาขึ้นบนจอ ต่อมาใช้ตะเกียงเจ้าพายุแทน ปัจจุบันจะใช้หลอดไฟฟ้ากลมขนาด 100 watts จำนวน 1-3 หลอดแขวนให้อยู่ระหว่างผู้เชิดกับตัวหนัง
จำนวนนักแสดงในคณะ
คณะหนังปราโมทัยคณะหนึ่ง จะมีจำนวนประมาณ 5 - 10 คน เป็นคนเชิดหนัง 2 - 3 คน ซึ่งจะทำหน้าที่พากย์และเจรจาด้วย แต่ก็มีบางคณะที่มีคนทำหน้าที่เชิดอย่างเดียว โดยมีคนเจรจาแยกเป็นชายจริง หญิงแท้ ต่างหาก มีนักดนตรีประมาณ 3 - 5 คน เครื่องดนตรีจะประกอบด้วย ระนาดเอก 1 ราง ตะโพน 1 ใบ ฉิ่ง 1 คู่ ต่อมามีการนำเอา พิณ แคน ซอ คีย์บอร์ด กลอง ฉิ่งฉาบ เข้ามาเสริมเพื่อให้เกิดความไพเราะเร้าใจขึ้น ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาคล้ายกับหมอลำนั่นเอง คณะหนังตะลุงที่ผม (ผู้ทำเว็บไซต์) ได้รู้จัก และเคยเฝ้าดูการละเล่นมาตั้งแต่เด็กจนหนุ่มคือ คณะ ฟ.บันเบิงศิลป์ แต่ช่วงหลังก็หายไปคงจะเลิกกิจการไปแล้ว
วิถีทั่วไทย ThaiPBS : ความสำเร็จของครูหนังประโมทัย
ความเชื่อเกี่ยวกับการแสดง
ความเชื่อของผู้เล่นหนังปราโมทัยนั้น มีข้อห้ามต่างๆ ที่ถือเป็นเรื่องเคร่งครัด อย่างเช่น ห้ามตั้งโรงหนังหันหน้าไปทางทิศตะวันตกโดยเด็ดขาด เพราะเชื่อกันว่าเป็นทิศอัปมงคล จะทำให้การแสดงตกต่ำไม่รุ่งเรือง ก่อนการแสดงทุกครั้งต้องระลึกถึงครูอาจารย์ของแต่ละคณะ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่คณะ และทำให้ผู้ชมนิยมชมชอบ หากเดินทางไปแสดงหนังแลกข้าวจากหมู่บ้านอื่น ก็ต้องไม่ออกเดินทางไปในวันพระแรมและขึ้น 15 ค่ำ หัวหน้าคณะหนังต้องนำดอกไม้ธูปเทียนมาทำพิธีบูชาหน้าที่บันไดบ้านเสียก่อน และต้องหันหน้าไปทางทิศเหนือ เมื่อกล่าวคาถาจบก็ต้องกลั้นลมหายใจพร้อมกับกระทืบเท้าข้างขวาอีก 3 ครั้ง การเก็บตัวหนังให้เก็บตัวฤาษีอยู่บนสุด ตามด้วยตัวตลก บักตื้อ บักป่อง บักแก้ว บักแหมบ แล้วจึงเป็นตัวพระตัวนางอยู่ล่างสุด ต้องเก็บตัวหนังในที่สูงเพื่อป้องกันการเดินข้าม ในระหว่างการแสดงห้ามมิให้บุคคลภายนอกแตะต้องตัวหนังโดยเด็ดขาด
วิธีการและขั้นตอนการแสดง
การแสดงหนังปราโมทัยเริ่มเวลา 2-3 ทุ่ม จบประมาณ 6 ทุ่ม ถึงตี 1 หรือตี 2 ก่อนเริ่มการแสดงหัวหน้าคณะทำพิธีไหว้ครู เพื่อคารวะครูบาอาจารย์ และขอให้การแสดงในครั้งนี้ราบรื่น เป็นไปด้วยดี และให้เป็นที่นิยมของผู้ชม หัวหน้าคณะประนมมือยกขึ้นเหนือศีรษะสวดบริกรรมคาถา "ยกอ้อ ยอครู"
สิ่งของสำหรับพิธีกรรมไหว้ครู (เครื่องคาย) ของพ่อคำตา อินทร์สีดา ได้แก่ ขันธ์ห้า (ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่) เหล้าขาว 1 ขวด ไข่ดิบ 1 ลูก เงิน 12 บาท ถ้าถุง 1 ผืน และแป้ง 1 กระป๋อง
ขั้นตอนการไหว้ครู
หัวหน้าคณะได้จัดเตรียมเครื่องคาย สำหรับไหว้ครู รวมทั้งตัวหนังตะลุง การไหว้ครูนั้นมีหัวหน้าคณะและลูกวงบางส่วนร่วมพิธีไหว้ครู เรียกว่า "พิธียกอ้อ ยอครู" โดยนำตัวหนังที่เด่นๆ (ตัวพระ ตัวนาง และตัวตลกสำคัญ) มาวางไว้ด้านหน้าเครื่องคาย รวมเครื่องคายทั้งหมดใส่ถาด แล้วผู้นำยกอ้อ ยอครู จุดเทียน 1 คู่ กราบ 3 ครั้ง เพื่อคารวะครูบาอาจารย์ และทั้งตัวหนังตะลุงที่ถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ด้วย (ซึ่งจะใช้ตัวฤาษีเป็นตัวแทน) ยกเครื่องคายขึ้นสูงประมาณจมูกของผู้กล่าวยกอ้อ ยกครู แล้วผู้กล่าวนำสวดบริกรรมคาถา วางเครื่องคายลง แล้วทาแป้งที่ใบหน้าของผู้นำยกอ้อ ยอครู แล้วส่งแป้งต่อๆ ไปให้ลูกวงทาที่ใบหน้าด้วยทุกคน
ขั้นตอนการเชิดหนังประโมทัย
ก่อนการแสดง มีการเตรียมตัวหนังที่ใช้ในการแสดง โดยปักตัวละครไว้ที่ต้นกล้วยที่มัดไว้ห้อยหัวทิ้งลงข้างล่าง ดนตรีเริ่มบรรเลง นักแสดงเริ่มจัดฉากละครตัวหนังที่ตนรับผิดชอบ เรียงไปจนเต็มฉาก ก่อนการโหมโรงก็มีผู้แสดงประกอบจำนวนหนึ่งมาเต้นประกอบดนตรี อยู่ด้านข้างซ้าย-ขวาของเวที 1 เพลง แล้วเริ่มการโหมโรงต่อ
การออกโรง หรือการโหมโรง โดยการตีระนาด ซึ่งหัวหน้าคณะเป็นคนตีระนาดบรรเลงเพลง และร้อง เออ... พร้อมกับการตีระนาดสลับกันไป-มา ในเนื้อหามีคำขอขมาครูบาอาจารย์ เมื่อจบการขอขมาครูอาจารย์และออกแขกแล้ว นักแสดงแต่ละคนก็จะเชิดตัวหนังทีละตัวตามเนื้อเรื่องที่ใช้แสดง ตั้งแต่ตัวพระตัวนางไปเรื่อยๆ จนหมด สลับกับการเล่นดนตรี ตัวหนังที่แสดงชูโรงซึ่งเป็นตัวเอกตลอดกาลของหนังประโมทัย คือ ตัวหนัง "ปลัดตื้อ" นั่นเอง
หนังปราโมทัย : ตำนานที่ต้องสืบสานต่อลมหายใจ
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2548 ที่ผ่านมาได้ทราบข่าวจากแม่ยายว่า จะมีคณะหนังปราโมทัยมาแสดงที่ วัดแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ ใกล้บ้านมาก จึงไม่พลาดที่จะต้องไปชมรำลึกถึงความหลัง ว่าหนังปราโมทัยเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่ผมรู้จักกับวันนี้ต่างกันอย่างไรหนอ
ผิดคาดตั้งแต่เข้าไปในบริเวณวัดแล้วครับ เพราะได้ยินแต่เสียงดนตรีสไตล์ลำซิ่ง กลองชุด กีตาร์ เบส ม่วนหลาย สายตาเหลือบไปเห็นจอหนังปราโมทัยแน่ๆ แต่ดนตรีนี่ซิมันขัดแย้งอดีต
มองดูบริเวณหน้าจอ มีผู้คนจำนวนไม่น้อย (ดูวัยก็เลยสามสิบห้าขึ้นไป เสียเป็นส่วนใหญ่ เด็กเล็กๆ มีบ้าง แต่ไม่เห็นมีวัยจ๊าบส์เลยแฮะ) แต่พอดูด้านข้างโรงทำไมคนตรึมเลยล่ะ ทั้งหนุ่มทั้งแก่ชูคอกันเพียบเลย
จะไม่ให้ตรึมได้ไง เพราะด้านหลังโรงคือ กลุ่มของนักดนตรี เจ้าของเสียงเมื่อสักครู่ กำลังบรรเลงอย่างมันในอารมณ์ทีเดียว ด้วยเครื่องดนตรีสมัยใหม่ เพลงและกลอนลำสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นกลอนลำซิ่งของ ประสาน เวียงสีมา เมียผู้ใหญ่บ้าน กับอีกหลายเพลงฮิต พอมองดูไปที่จอเหล่านักเชิดวัยซิ่ง (คะเนด้วยสายตา 45 ขึ้นทั้งนั้น) กำลังชักเชือกให้สาวซิ่งบนจอยักย้าย ส่ายสะโพก อย่างสนุกสนาน
ผมยังอดที่จะขยับเท้าตามไปด้วยไม่ได้เลย แน่แล้วนี่คือการสืบสานต่อลมหายใจให้กับ หนังปราโมทัย อีกเฮือก ไม่ต่างจาก "หมอลำคู่" ที่พัฒนามาเป็น "หมอลำซิ่ง" หนังปราโมทัยก็ย่อมจะต้องเป็นหนังปราโมทัยซิ่ง เพื่อความอยู่รอดเช่นเดียวกัน
การแสดงหน้าม่านด้วยความสนุกสนานนี่ ดำเนินไปอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ได้เวลาที่การแสดงตามรูปแบบหนังปราโมทัยดั้งเดิมจะเริ่มต้น เรื่องราวที่นำมาแสดงในวันนี้ก็ยังคงเป็นวรรณกรรมเอก "รามเกียรติ์" เหมือนเมื่อครั้งอดีต เพียงแต่จะจับตอนใดมาแสดงตามความเหมาะสม (กับสถานการณ์บ้านเมืองขณะนั้น จะได้แทรกมุขตลกโปกฮาได้)
ลักษณะการแสดงของหนังปราโมทัยของชาวอีสาน ตัวพระ ตัวนาง ตัวยักษ์ จะใช้ภาษาไทยกลาง (ค่อนข้างแปร่งๆ ตามประสาบ้านเฮาครับ ลิ้นมันจะแข็งๆ หน่อย) ส่วนเหล่าเสนา อำมาตย์ ทหาร และชาวบ้านจะใช้ภาษาอีสาน ผู้ให้เสียงในคณะนี้จะมีนายหนังที่สามารถในเรื่องบทกลอนเป็นผู้นำเรื่อง ส่วนตัวละครอื่นๆ จะมีทั้งชายจริง หญิงแท้ ช่วยกันประมาณ 3 คน ที่เหลือจะเป็นเพียงผู้เชิดหนัง ให้แสดงบทบาทตามเสียงพากย์
หนังประโมทัย คณะพ่อคำตา อินทร์สีดา จุงหวัดอุดรธานี
มุมมอง : ของคนร่วมสมัยต่อการเปลี่ยนแปลงในวันนี้
ผมค่อนข้างจะผิดหวังกับตัวหนังมากครับ ไม่มีรายละเอียด ฝีมือการตัดหนัง ฉลุลวดลาย ไม่ถึงศิลปะของลวดลายไทยแบบดั้งเดิม แม้แต่สีสันก็ฉูดฉาดเกินจริง และไม่ตรงกับความหมายของตัวละคร ตามแบบแผนศิลปกรรมไทยดั้งเดิมครับ (เพราะผมถูกเคี่ยวเรื่องศิลปะไทยจาก ท่านอาจารย์จุลทัศน์ พยัคฆรานนท์ มามาก ในสมัยเรียนที่ มศว. ประสานมิตร เลยตาถึงนิดหน่อยครับ)
ตัวละครที่เป็นเสนาและตัวตลก ซึ่งจะต้องมีการชัก และเชิดท่าทางการเคลื่อนไหวต่างๆ ก็ทำได้อย่างหยาบๆ เท่านั้นเอง แต่ผมก็ยังให้ความชื่นชมของผู้สืบสานต่อลมหายใจให้กับ หนังปราโมทัยกลุ่มนี้อยู่ครับ
เพราะนี่คือ "ฝีมือแบบชาวบ้าน" จริงๆ ไม่ได้รับการปรึกษาจากผู้รู้เพียงแต่จดจำสืบทอดกันมา ไม่ได้เรียนศิลปะไทยจากที่ใดมาก่อน ทำกันเพราะใจรักจริงๆ ก็ต้องยกย่องชื่นชมครับ
เครื่องดนตรีดั้งเดิม ระนาดเอก ตะโพน ฉิ่ง ยังคงอยู่ครับสำหรับการดำเนินเรื่องของตัวเอก (ตัวพระ ตัวนางและยักษ์) แต่ทัพเสริมนี่มีทั้งกลองชุด กีตาร์ เบส คีย์บอร์ด มาช่วยเสริม ซึ่งจะใช้ในตอนที่ตัวตลกออกมาดำเนินเรื่องแก้ง่วงช่วงดึกๆ
ลักษณะของการแสดงในวันนี้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตแล้วก็จริง แต่การจะดึงดูดให้ผู้ชมยังคงอยู่กับหนังปราโมทัยได้ตลอดทั้งคืน เหมือนเมื่อครั้งอดีตคงเป็นเรื่องยากเสียแล้ว เพราะจุดน่าสนใจมีน้อยมาก สู้การแสดงของหมอลำซิ่งไม่ได้ ทำไมหรือ?
หมอลำหมู่หรือแม้แต่หมอลำซิ่ง ผู้ชมได้รับความสนุกสนานทั้งเสียงดนตรี เสียงร้องและเสียงลำ ส่วนสายตาก็ได้ชื่นชมท่าทางการฟ้อนของผู้รำ (ที่อาจมีการสวมชุดที่ออกจะวาบหวาม ออกอาการหวาดเสียวนิดๆ ด้วย)
ในขณะที่หนังปราโมทัยนั้น ผู้ชมได้ยินเสียงครึกครื้นจากเสียงดนตรี แต่สายตาเห็นแต่ "เงาตัวหนัง" เต้นกระย่องกระแย่งอยู่หน้าจอ มันขาดรสชาติอยู่นะครับ ถ้าเนื้อหาการแสดงไม่ดึงดูดใจ ให้ตรึงผู้ชมอยู่กับที่ได้ โอกาสที่คนดูจะลุกไปก่อนเที่ยงคืนก็มีสูงมาก อย่าง "หนังตะลุงภาคใต้" ที่ยังคงอยู้ได้นั้นมีแรงดึงดูดคือ "พลังทางการเมือง" ความสนใจของผู้คนชาวใต้ต่อปัญหาสังคมมีมาก ทำให้นายหนังมีโอกาสฉวยเอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นในขณะนั้นมาบอกเล่าได้ ด้วยการทำให้ไอ้เท่งเล่าผ่านความตลกขบขันออกมา มีการสอดแทรกการแสดงให้ตลกได้เป็นระยะๆ นั่นเอง แต่สำหรับคนอีสานแล้ว คงจะยากอยู่พอสมควรในเรื่องนี้ เพราะพวกเรามักจะไม่ค่อยพูดกัน เรื่องของเจ้านายเพิ่น! พ่ะนะ
ผมยังคงมองไม่ออกว่าจะปรับเปลี่ยนในรูปใด จึงจะสานต่อให้หนังปราโมทัยยังคงอยู่ได้ ให้มีการแสดงแพร่หลายออกไป ได้แต่เอาใจช่วยนำมาเสนอให้ท่านทั้งหลายได้รู้จักกัน
ผมไม่มีโอกาสได้สนทนากับนายหนัง หรือ หัวหน้าคณะ เลย เพราะติดการแสดงตลอดเวลา (คณะเดินทางมาถึงงานช้า เพราะหลงทางไม่เคยมา พอมาถึงก็ติดตั้งอุปกรณ์แสดงกันเลย) ได้สอบถามจากนักดนตรี และคณะผู้ร่วมงาน ก็ทราบเพียงว่า มาจาก "บ้านโพนทัน" อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร ทั้งหมดเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านเดียวกัน ได้รับการสอนแนะนำจากหัวหน้าคณะ ช่วยกันทำและฝึกซ้อม ออกแสดงรับงานทั่วไป ไม่แน่ใจว่าจะยังคงอยู่ได้นานอีกเท่าใด เพราะหลังๆ ก็ไม่ค่อยมีงานมากนัก
หนังตะลุงน้องเดียว ทางภาคใต้
บันทึกสุดท้าย :
นับว่าเป็นโอกาสดีที่ผมได้ทราบข่าวนี้ และไปบันทึกภาพและเหตุการณ์นี้ไว้ ซึ่งหลายๆ ท่านอาจจะนึกถึงและโหยหาอดีต แต่ก็ยากที่จะได้ชม ก็ต้องฝากไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานอื่นๆ) ที่จะต้องช่วยกันหาทางอนุรักษ์สืบสานไว้ให้ลูกหลานเราได้ชม ได้ศึกษาถึงความงดงามของศิลปการแสดง "หนังปราโมทัย" นี้
ผมเคยขับรถผ่านไปทางยโสธร พบว่าแถว "บ้านโพนทัน" (ใกล้แยกบ้านศรีฐาน-กระจาย) ถนนแจ้งสนิท ตำบลลุมพุก อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร ก่อนถึงตัวเมืองยโสธรประมาณ 10 กิโลเมตรเศษ มีอาคารติดป้ายว่า "พิพิธภัณฑ์หนังปราโมทัย" แต่แวะไปครั้งใดก็ไม่เห็นเปิดสักที ตรงนั้นก็ไม่มีผู้คนให้สอบถามด้วย ใครมีข้อมูลช่วยส่งข่าวหน่อยนะครับ มีเอกสารทางวิชาการมาฝาก เผื่อใครจะศึกษาและนำไปอนุรักษ์เผยแพร่ต่อ หนังประโมทัย : ศิลปการแสดงอีสานที่กำลังเลือนหายไป
รายการ "ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร : หนังบักตื้อ" ทางช่อง ThaiPBS
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2563 ได้มีโอกาสชมสารคดีจากทางฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน สปป.ลาว ผ่านทาง Facebook กินที่นี่ เที่ยวที่นี่ ได้นำเอาสารคดี รายการ "เลาะลุยลาว" ตอน หนังบักตื้อ-มหรสพที่ถูกลิม (ລາຍການເລາະລຸຍລາວ ຕອນ: ໜັງບັກຕື້-ມະຫໍລະສົບທີ່ຖືກລືມ) ซึ่งกล่าวว่า
ມາຍ້ອນລະນຶກເຖິງການສະແດງມະຫໍລະສົບສຸດມ່ວນຊື່ນໃນອາດີດທີ່ຫລາຍໆ
ຄົນອາດຄິດຮອດຄິດເຖິງ ເຊັ່ນ ການປູສາດນັ່ງຊົມຫນັງບັກຕື້ (ຫນັງປະລັດຕື້)
ກັບພໍ່ແມ່ ຫລືພໍ່ຕູ້ແມ່ຕູ້ຢູ່ຕາມວັດວາ ເຖິງແມ່ນວ່າປັດຈຸບັນຍຸກສະໄຫມຈະປ່ຽນໄປ ແລະມີການສະແດງທີ່ຫລາກຫລາຍ ມາບຽດບັງຫນັງບັກຕື້ອອກໄປຈາກເວທີ ແຕ່ກໍຍັງມີປະຊາຊົນຄົນຮາກຫຍ້າກຸ່ມຫນຶ່ງທີ່ພະຍາຍາມຮັກສາການສະແດງ
ພື້ນບ້ານນີ້ໄວ້ຢ່າງສຸດຄວາມສາມາດ"
มาย้อนระลึกถึงการแสดงมหรสพสุดม่วนซื่นในอดีตที่หลายๆ
คนอาจคิดฮอดคิดถึง เช่น การปูสาดนั่งชมหนังบักตื้อ (หนังปลัดตื้อ)
กับพ่อแม่ หรือพ่อตู้แม่ตู้ตามวัดวา ถึงแม้นว่าปัจจุบันยุคสมัยจะเปลี่ยนไป
และมีการแสดงที่หลากหลาย มาเบียดบังหนังบักตื้อออกไปจากเวที
แต่ก็ยังมีประชาชนคนรากหญ้ากลุ่มหนึ่งที่พยายามรักษาการแสดง
พื้นบ้านนี้ไว้อย่างสุดความสามารถ
ລາຍການເລາະລຸຍລາວ ຕອນ: ໜັງບັກຕື້-ມະຫໍລະສົບທີ່ຖືກລືມ
รายการ "เลาะลุยลาว" ตอน หนังบักตื้อ-มหรสพที่ถูกลิม
พบว่า การแสดงหนังบักตื้อ ของลาวนี้ เป็นการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมมาจากการแสดง "หนังปราโมทัย" หรือ "หนังปลัดตื้อ" ในฝั่งประเทศไทย โดยได้ถูกนำไปเผยแพร่เมื่อปี พ.ศ. 2493 โดยชาวไทยชื่อ นายจันทร์ จันทร์ไพเราะ จากอำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ในขณะที่บวชเป็นพระภิกษุได้จาริกไปจำพรรษาที่ เมืองจำพอน แขวงสวรรณเขต ต่อมาได้ลาสิกขา และได้แต่งงานมีครอบครัวกับหญิงชาวลาว ได้นำชุดตัวหนังปลัดตื้อหรือหนังปราโมทัยไปด้วย ปกตินายจันทร์มีอาชีพเป็นช่างก่อสร้างบ้านเรือน แต่ในช่วงว่างงานได้นำเอา "หนังปลัดตื้อ" ไปแสดงตามหมู่บ้านต่างๆ ในแขวงสวรรณเขต และใกล้เคียง จนมีชื่อเสียงโด่งดังนานกว่า 30 ปี ในภายหลังท่านผู้นี้ได้กลับไปบวชอีกครั้งที่ วัดไชยมุงคุล เมืองไกรสอนพรหมวิหาร แขวงสวรรณเขต ในภายหลัง ตัวหนังปลัดตื้อชุดดั้งเดิม ได้ถูกบูชาจากวัดออกไปเก็บรักษาไว้ที่ แผนกแถลงข่าววัฒนธรรมและท่องเที่ยว แขวงสวรรณเขต เพื่อลงทะเบียนเป็นมรดกท้องถิ่น
เรื่องน่ารู้ : อัตลักษณ์ของท้องถิ่นอีสาน
- Details
- Written by: ทินกร อัตไพบูลย์
- Category: Drama Acting
- Hits: 27746
หัวหน้าวงโปงลางสังข์เงิน สถาบันราชภัฏอุบลราชธานี
บรรพชนชาวอุบลราชธานี มีการแสดงพื้นบ้านอยู่ 3 ลักษณะ คือ ดนตรี การขับร้อง ฟ้อนรำ และการแสดงโดยใช้หุ่น สำหรับดนตรีในอดีตมีทั้งการบรรเลงล้วนๆ และการบรรเลงประกอบการร้องและการฟ้อนรำ เครื่องดนตรีทั้งหลาย แคน นับว่าได้รับความนิยมมากที่สุด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะแคนต้องใช้ประกอบการรำต่างๆ อุบลราชธานีจึงได้ชื่อว่าเป็นถิ่น "ดอกคูณเสียงแคน"
ในระยะต่อมา มีการนำโปงลางและไห มาเล่นประกอบในวงดนตรีพื้นบ้าน เรียกว่า วงโปงลาง และนำเครื่องดนตรีสากล มาประกอบการลำและการแสดงอื่นๆ ในปัจจุบันดนตรีและศิลปะการแสดงของจังหวัดอุบลราชธานีอาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ
- หมอลำหรือวงหมอลำ (ลำหมู่ - ลำเพลิน - ลำซิ่ง)
- วงโปงลาง
- วงดนตรีที่ใช้เครื่องดนตรีสากลเล่นประกอบพิณ (เพชรพิณทอง)
ส่วนการแสดงโดยใช้หุ่นซึ่งได้แก่ หนังปราโมทัย ในปัจจุบันยังมีการแสดงอยู่บ้าง แต่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก
หมอลำ
การลำ นับเป็นการแสดงพื้นบ้านที่มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง และได้รับความนิยมมาทุกยุคทุกสมัย เริ่มจากการลำพื้น ซึ่งได้แก่ การนำเนื้อหาของนิทานพื้นบ้าน เช่น การะเกด สินไซร (สังข์ศิลป์ชัย) นางแตงอ่อน มาลำ โดยใช้หมอลำ 1 คน และหมอแคน 1 คน ผู้ลำสมมุติตนเป็นตัวละครทุกตัวในเรื่องและลำตลอดคืน การลำพื้นนับเป็นต้นกำเนิดของการลำทุกประเภท
ต่อมาลำพื้นได้วิวัฒนาการมาเป็นการลำคู่ ซึ่งได้แก่ การลำ 2 คน ชายกับชาย หรือชายกับหญิง (จนประมาณปี พ.ศ. 2495 การลำระหว่างชายกับชายจึงเลิกไป) หมอลำคู่ยังแตกแขนงออกเป็นลำซิงชู้ ซึ่งประกอบด้วยผู้ลำชาย 2 หญิง 1 หรือหญิง 2 ชาย 1 เพื่อแย่งชิงชายหรือหญิงที่มีอยู่เพียงคนเดียว
หมอลำคู่ที่มีชื่อเสียงชาวอุบลราชธานีมีมากมาย จนเมืองอุบลได้ชื่อว่า เป็น "เมืองหมอลำ" หมอลำที่มีชื่อเสียงในอดีตนับจากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้แก่ หมอลำคูณ ถาวรพงษ์ (ชาย) และหมอลำจอมศรี บรรลุศิลป์ (หญิง) เป็นหมอลำคู่แรกที่ได้บันทึกเสียงลงแผ่นเสียงเป็นครั้งแรกของประเทศไทย และได้เผยแพร่ออกอากาศจนได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ปัจจุบันหมอลำทั้งคู่ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว (ซึ่งเรามีตัวอย่างกลอนลำของท่านทั้งสองที่นี่)
หมอลำทองมาก จันทะลือ
หมอลำทองมาก จันทะลือ (ชาย) ฉายา หมอลำถูทา เดิมมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น แต่มาประกอบอาชีพเป็นหมอลำ และผู้แต่งกลอนลำจนมีชื่อเสียง ได้มาตั้งรกรากอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี หมอลำทองมากได้ชื่อว่า เป็นผู้มีปฏิภาณมีไหวพริบในการลำ สามารถลำโต้ตอบแบบกลอนสดชนิด "ลำแตก" จนได้รับยกย่องให้เป็น "ศิลปินแห่งชาติ" เมื่อปี พ.ศ. 2529 นับเป็นหมอลำคนแรกที่ได้รับเกียรติอันสูงสุดนี้
เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุบลราชธานี และได้รับเลือกให้ทำหน้าที่เป็น ส.ส. อุบลราชธานี 1 สมัย ปัจจุบันได้ตั้ง สมาคมหมอลำถูทาบริการ และรับงานแสดง ตลอดจนช่วยเหลืองานราชการอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะในงานรณรงค์ด้านสุขภาพอนามัยของประชาชน ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข จึงนับได้ว่าเป็นบุคคลที่สร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติ ด้วยการนำเอาศิลปพื้นบ้านมารับใช้สังคม (ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว)
ภาพนี้ได้รับความเอื้อเฟื้อจาก Veteethai.com
หมอลำเคน ดาเหลา
หมอลำเคน ดาเหลา (ชาย) ฉายา "เคนฮุด" เป็นชาวอุบลราชธานี ไปมีชื่อเสียงโด่งดังที่จังหวัดขอนแก่น ที่ได้ฉายาว่า "ฮุด" ก็เพราะว่าเป็นชื่อเดิม และในเวลาลำจะสามารถดันไปได้แบบสู้ไม่ถอย (ภาษาอีสานเรียกว่า คนฮุด) หมอลำเคนมีน้ำเสียงห้าว ไพเราะ และรูปร่างหน้าตาดี ทั้งยังสามารถแต่งกลอนลำได้ด้วย ลีลาการฟ้อนรำก็สวยงามเป็นที่ประทับใจ ในปี พ.ศ. 2534 จึงได้รับการยกย่องให้เป็น "ศิลปินแห่งชาติ" อีกคนหนึ่ง นับเป็นหมอลำคนที่ 2 ที่ได้รับเกียรติดังกล่าว
ได้ตั้งโรงเรียนสอนการลำให้กับเยาวชนที่สนใจ อยากจะเป็นศิลปินด้านหมอลำ เพื่อสืบสานวัฒนธรรมอีสานให้ยั่งยืนตลอดไป รวมทั้งแต่งกลอนลำให้กับหมอลำรุ่นใหม่ๆ รวบรวมคณะหมอลำต่างๆ เข้ามาในสังกัดเพื่อช่วยเหลือการรับงานลำทั่วประเทศ (ปัจจุบัน ถึงแก่กรรมแล้ว)
ภาพนี้ได้รับความเอื้อเฟื้อจาก Veteethai.com
นางฉวีวรรณ ดำเนิน (พันธุ)
นางฉวีวรรณ พันธุ เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 ที่ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ราชินีหมอลำ ที่มีความสามารถโดดเด่น มีไหวพริบปฏิภาณด้านหมอลำที่เฉียบแหลมยิ่งคนหนึ่ง โดยได้รับการฝึกฝนเรื่องหมอลำจากบิดา ญาติ และหมอลำที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอดีตหลายท่าน
ซึ่งความจัดเจนเรื่องหมดลำที่ฝึกฝนมาตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เป็นหมอลำที่มีความสามารถสูงทั้งด้านการแต่งกลอนลำ การคิดท่วงทำนองหมอลำกลอน เขียนกลอนลำ ประดิษฐ์ท่ารำ และบทร้องชุดฟ้อนแม่บทอีสาน 48 ท่า ประกอบกับบุคคลที่มีน้ำเสียงไพเราะ มีพลังทำให้ได้รับการยกย่องว่า เป็นเพชรน้ำหนึ่งของแดนอีสาน และได้รับการกล่าวขานด้วยความชื่นชมจากประชาชนว่า เป็น "ราชินีหมอลำ"
นางฉวีวรรณ ดำเนิน (พันธุ) จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หมอลำ) ประจำปีพุทธศักราช 2536 และได้รับเชิญไปเป็นผู้ถ่ายทอดศิลปะการร้อง การลำ การฟ้อน ให้กับลูกหลานที่ วิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด
ภาพนี้ได้รับความเอื้อเฟื้อจาก Veteethai.com
นางบุญเพ็ง ไฝผิวชัย
นางบุญเพ็ง ไฝผิวชัย เกิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2475 ที่จังหวัดอุบลราชธานี สนใจฝึกแสดงหมอลำมาตั้งแต่อายุ 12 ปี กับหมอลำทองมี สายพิณ หมอลำสุบรรณ พละสูรย์ เป็นผู้ที่มีความจำและไหวพริบปฏิภาณสูง ฝึกลำอยู่เพียง 2 ปี ก็สามารถรับงานแสดงเป็นของตนเองได้ และเนื่องจากเป็นหมอลำที่มีสำนวนคมคาย สามารถโต้ตอบกับหมอลำฝ่ายชาย ได้อย่างเฉลียวฉลาด เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชม ทำให้มีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ได้ชื่อว่าเป็นหมอลำที่มีคารมกล้า โต้ตอบกับคู่ลำด้วยไหวพริบที่ฉับไว กลอนลำแต่ละกลอนมีสาระเชิงปรัชญาชีวิต ให้คติสอนใจที่แยบคาย ทำให้เป็นหมอลำหญิงคนเดียวเมื่อปี พ.ศ. 2498 ที่ได้รับการบันทึกแผ่นเสียงมากที่สุด มีงานแสดงทั้งกลางวันกลางคืน เป็นศิลปินของประชาชนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ราชินีหมอลำ เคยได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. 2533 ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาศิลปะการแสดง (หมอลำ) พ.ศ. 2537 จากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
นางบุญเพ็ง ไฝผิวชัย จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หมอลำ) ประจำปีพุทธศักราช 2540 (ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว)
หมอลำคำปุ่น ฟุ้งสุข (หญิง) เป็นหมอลำอาวุโสอีกคนหนึ่ง ที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังในอดีต เคยชนะการประกวดหมอลำในระดับต่างๆ หลายรางวัลเช่น เคยได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดหมอลำทั่วประเทศฝ่ายหญิง พ.ศ. 2502 ณ เวทีมวยลุมพินีกรุงเทพฯ หมอลำคำปุ่นเป็นหมอลำสตรีที่สามารถแต่งกลอนลำได้ดี ปัจจุบันแม้จะไม่ค่อยปรากฏตัว แต่ก็ได้แต่งกลอนลำให้ลูกศิษย์อยู่อย่างสม่ำเสมอ
การลำได้วิวัฒนาการต่อไปอีกจากการลำ 2 - 3 คน กลายมาเป็นการลำหลายๆ คน คือ ประมาณ 10 คนขึ้นไป เรียกว่า การลำหมู่ เป็นการลำตามเรื่องราวจากนิทานพื้นบ้าน หรือนิทานชาดก ผู้แสดงแต่ละคนจะแสดงบทบาทตามตัวละครในท้องเรื่องแตกต่างกันไป ลีลาการลำก็มีหลายแบบ อาทิเช่น ลำเรื่องต่อกลอน ลำเพลิน เป็นต้น คณะหมอลำหมู่ที่มีชื่อเสียงมากของจังหวัดอุบลราชธานี คือ คณะรังสิมันต์
(ระหว่างปี พ.ศ. 2506 - 2510) พระเอกและนางเอกที่มีชื่อเสียงของคณะคือ หมอลำทองคำ เพ็งดี และ หมอลำฉวีวรรณ ดำเนิน ซึ่งหมอลำคณะนี้มีการนำเครื่องดนตรีสากลบางชิ้น เช่น กีตาร์ ออร์แกน มาบรรเลงประกอบเพื่อให้เกิดความครึกครื้นยิ่งขึ้น จวบจนปัจจุบันเครื่องดนตรีสากลเหล่านี้ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในวง และวงหมอลำหมู่ได้กลายสภาพมาเป็น กึ่งวงดนตรีลูกทุ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงตอนที่จะต้องลำ แคนก็ยังต้องเป่านำ เพื่อให้ได้บรรยากาศของการลำที่แท้จริง
จำปาสี่ต้น - คณะรังสิมันต์ โดย ทองคำ เพ็งดี - ฉวีวรรณ ดำเนิน และคณะ
หมอลำทองคำ เพ็งดี มีฉายาว่า นกกาเหว่า เพราะเป็นผู้มีน้ำเสียงไพเราะเป็นหนึ่งในการลำล่องในสมัยนั้น นอกจากนั้นยังมีความสามารถในการแต่งกลอนลำได้อีกด้วย ลำล่องที่สร้างชื่อเสียงให้แก่หมอลำทองคำเป็นอย่างมากคือ ลำล่องเรื่องจำปาสี่ต้น ส่วนหมอลำฉวีวรรณ ดำเนิน เป็นผู้มีน้ำเสียงใสกังวาล จึงมีผู้เปรียบว่า ประดุจเสียงทอง ต่อมาคณะหมอลำรังสิมันต์ได้นางเอกมาอีกคนหนึ่งคือ หมอลำบานเย็น รากแก่น ซึ่งมีความสวยเป็นที่เลื่องลือ กอร์ปกับลีลาการฟ้อนประกอบการรำของเธอก็มีลีลาอ่อนช้อย สวยงาม จึงได้รับความนิยมมาก ซึ่งต่อมาได้แยกวงมาตั้งคณะใช้ชื่อของตนเอง
คณะรังสิมันต์ ได้ยุบวงไปเมื่อ พ.ศ. 2512 หมอลำทองคำประกอบอาชีพส่วนตัว และรับงานเป็นครั้งคราว คู่กับหมอลำฉวีวรรณ (ปัจจุบัน หมอลำฉวีวรรณ ได้ไปช่วยถ่ายทอดศิลปแห่งการลำและฟ้อนรำที่ วิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด)
หมอลำบานเย็น รากแก่น เป็นชาวอุบลราชธานีโดยกำเนิด หลังจากแยกออกมาจากคณะรังสิมันต์แล้ว ได้ตั้งวงรับงานแสดง มีผลงานบันทึกแผ่นเสียงมากมาย ในที่สุดก็ยุบวงไป ปัจจุบันยังประกอบอาชีพด้านนี้อยู่ ณ กรุงเทพมหานคร และได้บันทึกเสียงเพลงลูกทุ่งอีสานออกมาเผยแพร่อีกหลายชุด ได้เสียสละเวลาเดินทางมาให้ความรู้แก่ลูกศิษย์ที่ สถาบันราชภัฏอุบลราชธานี เพื่อสืบสานมรดกอีสานอยู่มิได้ขาด
หมอลำสมาน หงษา อดีตเคยเป็นบุรุษไปรษณีย์แต่ได้ลาออกมาประกอบอาชีพหมอลำ เคยประกวดหมอลำได้รับรางวัลชนะเลิศหลายรางวัล หมอลำสมานตั้งคณะของตนเองชื่อว่า คณะเพชรเสียงทอง โดยแสดงในแนวชาดก ตลกสะท้อนภาพสังคมในปัจจุบัน ได้รับความนิยมเป็นอย่างดี เช่นเรื่อง "แม่เฒ่ามักลูกเขย" ปัจจุบันยังคงรับงานแสดง และดัดแปลงการลำเอาใจตลาด โดยการลำซิ่งบ้างเป็นบางโอกาส (หมอลำสมาน ถึงแก่กรรมตอนต้นปี 2558)
ลำล่องคิดฮอดแฟน โดย หมอลำ ป.ฉลาดน้อย ส่งเสริม (ศิลปินแห่งชาติ)
หมอลำคู่ขวัญในอดีตอีกคู่หนึ่งคือ หมอลำ ป. ฉลาดน้อย (ชาย) และ หมอลำอังคนางค์ คุณไชย (หญิง) ร่วมกันก่อตั้งคณะอุบลพัฒนา เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2511 แล้วได้รับรางวัลชนะเลิศ การประกวดหมอลำหมู่ ทางสถานีโทรทัศน์กรมประชาสัมพันธ์ ช่อง 5 จังหวัดขอนแก่น เมื่อปี พ.ศ. 2515 ผลงานที่สร้างชื่อเสียงมากคือ การบันทึกแผ่นเสียงลำเรื่องต่อกลอนเรื่อง นกกระยางขาว ซึ่งหมอลำ ป. ฉลาดน้อยได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติในปี 2549
ต่อมา หมอลำอังคนางค์ ได้อัดแผ่นเสียงเพลงแนวลูกทุ่งที่ได้รับความนิยมหลายเพลง ได้แก่ สาวอุบลรอรัก พี่จ๋าหลับตาไว้ และ อีสานลำเพลิน ต่อมาทั้งคู่แยกวงไปตั้งคณะใหม่ โดยอังคนางค์ตั้งคณะหมอลำชื่อ คณะอุบลพัฒนายุคใหม่ ส่วน ป.ฉลาดน้อย ได้ตั้งคณะเพชรอุบล รับงานการแสดงเรื่อยมา แต่ทั้งคู่ก็ยังคงมีผลงานร่วมกันเป็นครั้งคราว โดยการนำเอานิทานและนิยายปัจจุบันที่เป็นที่นิยมมาบันทึกเสียงเป็นลำเรื่องต่อกลอน เช่น คู่กรรม แม่เบี้ย เป็นต้น
วงโปงลาง
วงโปงลาง เป็นวงดนตรีซึ่งใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านบรรเลง เครื่องดนตรีเด่นๆ ได้แก่ โปงลาง แคน พิณ โหวด กลอง ไห เป็นต้น นิยมบรรเลงเพลงลายพื้นบ้าน เช่น ลายนกไซบินข้ามทุ่ง แมงภู่ตอมดอก แม่ฮ้างกล่อมลูก เป็นต้น นอกจากนั้นยังบรรเลงประกอบการแสดงต่างๆ เช่น ลำตังหวาย และบรรเลงเพลงทั่วไปเช่น เพลงลูกทุ่ง เพลงไทยสากล
วงโปงลางในจังหวัดอุบลราชธานีมีหลายวง ส่วนใหญ่เป็นวงของโรงเรียนทั้งระดับประถม และมัธยม และสถาบันการศึกษาอื่น ที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายคือ วงโปงลางของวิทยาลัยครูอุบลราชธานี ซึ่งตั้งเมื่อ พ.ศ. 2524 โดยภาควิชานาฏศิลป์และภาควิชาดนตรี มีผลงานเผยแพร่ไปตามจังหวัดต่างๆ ทั้งในนามของวิทยาลัย สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ และกรมการฝึกหัดครู ได้รับเชิญให้ไปแสดงในงานสัปดาห์แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง และอีสานเทรดแฟร์ทุกปี นอกจากนี้ยังได้รับเชิญไปแสดงต่างประเทศมาแล้ว 4 ครั้ง
ความโดดเด่นของวงโปงลางคณะนี้ได้แก่ ท่ารำที่สวยงามและหลากหลาย เครื่องแต่งกายที่มีสีสันสะดุดตาเป็นเอกลักษณ์ ได้ฟื้นฟูและประดิษฐ์ท่ารำต่างๆ จากประเพณีและวัฒนธรรมของอีสาน เช่น รำคูณลาน รำดอกบัว เซิ้งขอฝน และการรำที่เป็นเอกลักษณ์ของวงคือ รำตังหวาย ซึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2534 วงโปงลางวิทยาลัยครูอุบลราชธานี ได้รับการยกย่องจาก สมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ให้ได้รับ รางวัลสังข์เงิน นับเป็นวงโปงลางวงแรกที่ได้รับเกียรตินี้
วงดนตรีเพชรพิณทอง
นายณรงค์ พงษ์ภาพ หรือที่รู้จักกันดีในนามของ นพดล ดวงพร เป็นหัวหน้าวงดนตรีเพชรพิณทอง ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ พ.ศ. 2514 นพดล ดวงพร เป็นลูกศิษย์และเคยร่วมงานในวงดนตรีของครูมงคล อมาตยกุล (วงดนตรีจุฬารัตน์) อยู่หลายปีได้รับประสบการณ์มากมาย ด้วยความที่อยากสร้างเอกลักษณ์ของตนเองและคนอีสาน จึงได้แยกตัวออกมาตั้งวงเพชรพิณทอง โดยนำเอาเครื่องดนตรีพื้นบ้านคือ พิณ มาร่วมบรรเลงกับเครื่องดนตรีสากล จึงได้ชื่อคณะว่า เพชรพิณทอง ซึ่งหมอพิณคู่ใจที่สร้างตำนานมาด้วยกันคือ ทองใส ทับถนน นอกจากนั้น จุดเด่นของวงเพชรพิณทองอยู่ที่ ทีมพิธีกร ที่ใช้ภาษาท้องถิ่นอีสานเป็นหลักในการนำเสนอเนื้อหา รีวิวประกอบเพลง เป็นทีมตลกที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ประกอบด้วย นพดล ดวงพร ลุงแนบ (ณรงค์ โกษาผล) หนิงหน่อง ใหญ่ หน้ายาน อาวจ่อย และแท็กซี่ เป็นต้น
นอกเหนือจากการร้องเพลงและหางเครื่องอันตระการตาจำนวนมากแล้ว วงเพชรพิณทองยังสามารถออกเทปตลกชุดต่างๆ VCD การแสดงสดหลายชุดที่โด่งดังจำหน่าย เช่น หนิงหน่องย่านเมีย บวชลุงแนบ สามใบเถา เป็นต้น เกียรติคุณที่ได้รับได้แก่ การมีโอกาสแสดงหน้าพระที่นั่งที่จังหวัดขอนแก่น เมื่อปี พ.ศ. 2514 และได้รับยกย่องให้เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2532
นอกจากบุคคลที่กล่าวมาแล้ว ยังมีหมอลำอีกเป็นจำนวนมากที่ยังมีชีวิตอยู่ และได้รับความนิยมทั้งสามารถแต่งกลอนลำได้ อาทิ หมอลำคำเก่ง บัวใหญ่ หมอลำทองลา สายแวว หมอลำทองสุ่น บุญเติม หมอลำบุญมา รักษาศรี หมอลำสุพรรณ ติระนันท์ หมอลำกองมี คำภูทา หมอลำเหล็กกล้า ขันชาลี เป็นต้น ขณะนี้เท่าที่รวบรวมรายชื่อได้มีประมาณ 300 คน (สำหรับคณะหมอลำหมู่ถือว่า 1 คณะเท่ากับ 1 คน)
รายการอยู่ดีมีแฮง ทาง ThaiPBS ตอน เพชรพิณทอง
ส่วนผู้สร้างผลงานเพลงนอกเหนือจาก เพชรพิณทอง ของนพดล ดวงพร และบานเย็น รากแก่นแล้ว ยังมี เทพพร เพชรอุบล เจ้าของเพลง อีสานบ้านเฮา อันโด่งดัง ไกรสร เรืองศรี สนธิ สมมาตร สลา คุณวุฒิ ต่าย อรทัย เอกพล มนต์ตระการ และอีกหลายๆ คน
การที่ดนตรีและการแสดงพื้นบ้านของชาวอุบลราชธานี ได้มีวิวัฒนาการมาอย่างไม่ขาดตอน ทำให้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นไปตามความนิยมของยุคสมัย แต่เป็นที่น่าสังเกตประการหนึ่งว่า ไม่ว่าจะเป็นหมอลำ วงโปงลาง หรือ วงดนตรีเพชรพิณทอง ล้วนได้รับความนิยม และกล่าวขวัญถึงในระดับประเทศ และจะยังคงมีวิวัฒนาการสืบไปคู่กับชาวอุบลราชธานี และเป็นเอกลักษณ์ของชาวอีสานชั่วนิรันดร์
หมอลำ... ศิลปพื้นบ้านที่ไม่มีวันตายไปจากลมหายใจของชาวอีสาน...
ฉบับปฐมฤกษ์ ธันวาคม 2544
- Details
- Written by: ทิดหมู มักม่วน
- Category: Drama Acting
- Hits: 40146
คำว่า "ลำ" นั้นมีความหมายอยู่สองอย่าง อย่างหนึ่งเป็น ชื่อของเรื่อง อีกอย่างหนึ่งเป็น ชื่อของการขับร้อง หรือ การลำ ที่เป็นชื่อของเรื่องได้แก่เรื่องต่างๆ เช่น เรื่องนกจอกน้อย เรื่องท้าวก่ำกาดำ เรื่องขูลูนางอั้ว เป็นต้น เรื่องเหล่านี้โบราณแต่งไว้เป็นกลอน แทนที่จะเรียกว่า เรื่องก็เรียกว่า ลำ กลอนที่เอามาจากหนังสือลำ เรียกว่า กลอนลำ
"ลำ" อีกอย่างหนึ่งหมายถึง การขับร้อง หรือ การลำ การนำเอาเรื่องในวรรณคดีอีสานมา "ขับร้อง" หรือมา "ลำ" เรียกว่า ลำ ผู้ที่มีความชำนาญในการขับร้องวรรณคดีอีสาน โดยการท่องจำเอากลอนเรื่อง่างๆ มาขับร้อง หรือผู้ที่ชำนาญในการเล่านิทานเรื่องนั้น เรื่องนี้ หลายๆ เรื่อง ในรูปแบบการขับร้อง เรียกว่า "หมอลำ"
หมอลำ อีกหนึ่งอัตลักษณ์อีสาน
หมอลำ มาจากคำว่า "หมอ" หมายถึง ผู้มีความชำนาญ และ "ลำ" หมายถึง การบรรยายเรื่องราวต่างๆ ด้วยทำนองไพเราะ หมอลำ จึงหมายถึง ผู้ที่มีความชำนาญในการบรรยายเรื่องราวต่างๆ ด้วยทำนองขับร้อง เป็นเพลงโดยมีการสอดเสียงแคนเข้าไป เพื่อเพิ่มความสนใจของผู้ฟัง เวลาลำก็จะมีคนเป่าแคนคลอเสียงไปด้วย และต้องสร้างเวทีสำหรับลำ ในขั้นแรกนั้นคงจะเป็นลักษณะ "หมอลำพื้น" คือ เล่าเรื่องตามพงศาวดาร ประวัติศาสตร์ นิยายปรัมปรา คือ เล่าเรื่องพื้นเพบ้านของตน หมอลำจะนำผ้าขาวม้าพาดเฉียงไหล่แล้วสมมตินามตามท้องเรื่อง ต่อมาจึงมีการพัฒนาจากการลำผู้เดียว เป็นสองคน สามคน และหลายคนตามจำนวนตัวละครในนิทาน จนเป็นที่นิยมกลายเป็นเพชรน้ำเอกของภาคอีสาน โอกาสที่จะมีการแสดงหมอลำ คือ งานทำบุญให้ทาน งานรื่นเริงในหมู่บ้าน และงานฉลองช่วงออกพรรษา
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม ความโดดเด่นอยู่ที่เรื่องราวพงศาวดาร ประวัติศาสตร์ นิยายปรัมปรา เรื่องเล่าพื้นบ้านที่หมอลำนำมาลำเป็นบทกลอน มีจังหวะท่วงทำนองและองค์ประกอบอื่นๆ ที่นำมาใช้สื่อสารกับผู้ชมผู้ฟัง
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม นอกจากสร้างความบันเทิงแก่ผู้ฟังแล้ว ยังมีการนำไปใช้รักษาคนไข้อีกด้วย เรียกว่า "ลำผีฟ้าผีชง" เป็นการขอขมาบรรพบุรุษที่เข้ามาสิงสถิตในคนไข้
รายการที่นี่บ้านเรา ทาง ThaiPBS ตอน หมอลำ 4.0
เสริมความหมายของคำในภาษาอีสาน
"หมอ" หมายถึง ผู้ชำนาญในการใช้สิ่งต่างๆ ส่วน “ลำ” หมายถึง ร้อง หรือ การร้อง ดังนั้น หมอลำ หมายถึง ผู้มีความชำนาญในการร้อง หรือหมายถึงนักร้อง ในภาคอีสาน คำว่า “หมอ” เป็นที่รู้จักกันดี และใช้กันมาก เช่น
- หมอแคน คือ ผู้เป่าแคน ผู้ชำนาญในการเป่าแคน
- หมอมอ หรือ หมอโหร หรือ หมอดู คือ ผู้ชำนาญในการทำนายโชคชะตา ราศี ดูดวง ฤกษ์งามยามดี
- หมอเอ็น คือ ผู้ชำนาญในการบีบนวดเส้นเอ็นตามร่างกาย บางทีเรียก หมอจับเส้น
- หมอน้ำมนต์ คือ ผู้ชำนาญในการใช้น้ำมนต์ เป่า เสก
- หมอยา คือ ผู้ชำนาญในการใช้สมุนไพร ตำรายารักษาโรค
- หมอธรรม คือ ผู้ชำนาญในการใช้วิชา (ธรรม) ในทางไสยศาสตร์
- หมอสูตร คือ ผู้ชำนาญในการทำพิธีสูตรต่างๆ เช่น สูตรขวัญ ชาวบ้านอาจเรียก "พ่อพราหมณ์"
- หมอเสน่ห์ คือ ผู้ชำนาญในการทำเสน่ห์ ยาแฝด
- หมอมวย คือ ผู้ชำนาญในการใช้วิชามวย ต่อย ตี
มีคำอื่นอีกที่มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “หมอ” คือ “ช่าง” ซึ่งเป็นทั้งคำนามและคำขยายความ ซึ่งมีความหมายว่า ฉลาด หรือชำนาญ เช่น “ช่างบั้งไฟ” “ช่างตีเหล็ก” และ “ช่างแคน” เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า “หมอ” ใช้สำหรับ “ผู้ใช้” ส่วน “ช่าง” ใช้สำหรับ “ผู้ทำ” เช่น “ช่างแคน” หมายถึง ผู้ชำนาญในการทำแคน (ผู้ผลิต) ส่วน “หมอแคน” หมายถึง ผู้ชำนาญในการใช้แคน คือเชี่ยวชาญในการเป่าแคน นั่นเอง
วิวัฒนาการของหมอลำ
ความเจริญก้าวหน้าของ "หมอลำ" ก็คงเหมือนกับความเจริญก้าวหน้าของสิ่งอื่นๆ เริ่มแรก คงเกิดจากผู้เฒ่าผู้แก่เล่านิทาน นิทานที่นำมาเล่าเกี่ยวกับจารีตประเพณีและศีลธรรม โดยเรียกลูกหลานให้มาชุมนุมกัน ทีแรกก็นั่งเล่า เมื่อลูกหลานมาฟังกันมากขึ้นจะนั่งเล่าก็ไม่เหมาะ ต้องยืนขึ้นเล่า (เพื่อให้ทุกคนมองเห็นโดยทั่วกัน) เรื่องที่นำมาเล่าต้องเป็นเรื่องที่มีในวรรณคดี เช่น เรื่องกาฬเกษ สังข์สินชัย เป็นต้น ผู้เล่าเพียงแต่เล่าไม่ออกท่าออกทางก็ไม่สนุก ผู้เล่าจึงจำเป็นต้องยกไม้ยกมือแสดงท่าทางประกอบเป็น พระเอก นางเอก เป็นนักรบ เป็นเสนาอำมาตย์ เป็นตัวตลก รวมทั้งใช้เสียงทุ้ม กังวาล มีความไพเราะ เป็นต้น
เพียงแต่เล่าอย่างเดียวก็ไม่สนุกอีก จึงจำเป็นต้องใช้สำเนียงสั้นยาว ใช้เสียงสูงต่ำประกอบ และหาเครื่องดนตรีประกอบ เช่น กลอง ซุง ซอ ปี่ แคน เพื่อให้เกิดความสนุกครึกครื้น ผู้แสดงมีเพียงแต่ผู้ชายอย่างเดียวดูไม่มีรสชาติเผ็ดมัน จึงจำเป็นต้องหาผู้หญิงมาแสดงประกอบ เมื่อผู้หญิงมาแสดงประกอบจึงเป็นการลำแบบสมบูรณ์ เมื่อผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องต่างๆ ก็เกิดตามมา เช่น เรื่องเกี้ยวพาราสี เรื่องชิงดีชิงเด่น ยาด(แย่ง)ชู้ยาดผัวกัน เรื่องโจทย์ เรื่องแก้ เรื่องประชันขันท้า เรื่องตลกโปกฮาก็ตามมา จึงเป็นการลำที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น
จากการมีหมอลำชายเพียงคนเดียวค่อยๆ พัฒนาต่อมาจนมีหมอลำฝ่ายหญิง มีเครื่องดนตรีประกอบจังหวะเพื่อความสนุกสนาน จนกระทั่งเพิ่มผู้แสดงให้มีจำนวนเท่ากับตัวละครที่มีในเรื่อง มีพระเอก นางเอก ตัวโกง ตัวตลก เสนา อำมาตย์ ครบถ้วน ซึ่งพอจะแบ่งยุคของวิวัฒนาการได้ดังนี้
ลำโบราณ ลำพื้น
ลำโบราณ เป็นการเล่านิทานของผู้เฒ่าผู้แก่ให้ลูกหลานฟัง ไม่มีท่าทาง และดนตรี ประกอบ
หมอลำพื้น เป็นหมอลำที่เก่าแก่ ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า หมอลำพื้นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด แต่บางคนบอกว่า หมอลำพื้นเกิดมีในภาคอีสานตั้งแต่สมัยคนอีสานแรกรับเอาพุทธศาสนาเข้ามา ดังนั้นเรื่องทั้งหมดที่หมอลำนำมาใช้ลำจะเป็นเรื่องชาดกต่างๆ
ลำพื้น บางทีเรียกว่า “ลำเรื่อง” คำว่า “พื้น” หรือ “เรื่อง” มีหมายความว่าเป็น “นิทาน” หรือ “เรื่องราว” ดังนั้น ลำพื้น จึงมีความหมายว่า การบอกเรื่องราว หรือการเล่าเรื่องนิทานนั่นเอง
ในสมัยก่อนลำพื้นหรือลำโบราณนี้เป็นที่นิยมมาก ทุกๆ หมู่บ้านมักจะว่าจ้างหมอลำพื้นมาลำในงานเทศกาลต่างๆ หมอลำพื้นจะใส่เสื้อและกางเกงขายาวสีขาว และลำเรื่องชาดก เวทีลำจะใช้บนพื้นดินปูด้วยสาดหวาย หรือทำเป็นเวทียกพื้นขึ้นเล็กๆ ซึ่งล้อมรอบด้วยผู้ฟัง จะลำตั้งแต่เวลาสองทุ่มไปจนถึงหกโมงเช้า (สว่างคาตากันเลยทีเดียว)
ลำคู่หรือลำกลอน
กลอน หมายถึง บทร้อยกรองต่างๆ เช่น โคลง ร่าย หรือกาพย์กลอน “หมอลำกลอน” ตามรูปศัพท์แล้ว หมายถึง หมอลำที่ลำโดยใช้บทกลอน ซึ่งความจริงแล้วหมอลำประเภทใดๆ ก็ล้วนแต่ใช้กาพย์กลอนเป็นบทลำทั้งสิ้น ที่ได้ชื่อว่า “หมอลำกลอน” นั้นก็เพื่อที่จะแยกให้เห็นข้อแตกต่างจาก “หมอลำพื้น” ซึ่งปรากฏว่ามีหมอลำ 2 ชนิดนี้ในขณะเดียวกัน หมอลำกลอนเป็นที่รู้จักแพร่หลายในขณะที่หมอลำพื้นได้ค่อยๆ สูญหายไป
หมอลำพื้น กับ หมอลำกลอน ต่างกันตรงที่ หมอลำพื้นเป็นการลำเดี่ยวและลำเป็นนิทาน ส่วนลำกลอนเป็นการลำสองคน ลักษณะโต้ตอบกันอาจจะเป็นได้ว่าการลำกลอนได้พัฒนามาสองทางคือจากลำ “โจทย์แก้” ซึ่งเป็นการลำแบบตอบคำถาม ชายถามหญิงตอบ หรือหญิงถามชายตอบ อย่างที่สองคือ “ลำเกี้ยว” ซึ่งเป็นการลำในทำนองการเกี้ยวพาราสีระหว่าง หญิง-ชาย
ลำโจทย์แก้ มีต้นตอมาจากจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดใกล้เคียง เช่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ และมหาสารคาม ที่มาของลำโจทย์แก้ คือการ “เทศน์โจทย์” ซึ่งเป็นการเทศนาระหว่างพระสงฆ์สองรูป หรือหลายๆ รูป เนื้อความของการเทศน์จะเกี่ยวกับเรื่องราวในพุทธศาสนาและธรรมจริยา ในตอนแรกๆ นั้น ลำโจทย์แก้ได้ลอกเลียนแบบมาจากเทศน์โจทย์โดยตรง ข้อแตกต่างนั้นเป็นเพียงแต่ว่าลำโจทย์แก้กระทำโดยฆราวาสสองคน และเป็นการลำในขณะที่เทศน์โจทย์เป็นการพูด
“ลำเกี้ยว” เชื่อว่า มีต้นกำเนิดมาจากหมอลำในจังหวัดอุบลราชธานี และถิ่นใกล้เคียงทางตอนใต้ของลาว ลำเกี้ยวจะใช้คำ “ผญา” ซึ่งเป็นคำกลอนเกี้ยวพาราสีเป็นหลักในการลำ ข้อแตกต่างระหว่างผญา และลำเกี้ยว คือ
- ผญา เป็นการเกี้ยวจริงๆ ในชีวิตจริง ในขณะที่ลำเกี้ยวเป็นการแสดงสมมติ เพื่อความสนุกเพลิดเพลินของคนดู
- ผญา เป็นการเกี้ยวในที่ลับเฉพาะที่เป็นส่วนบุคคล ในขณะที่ลำเกี้ยวกระทำในต่อหน้าสาธารณชน
- ผญา เล่นกันโดยไม่มี “แคน” ในขณะที่ลำเกี้ยวต้องใช้แคนเป็นเครื่องดนตรีประกอบ
ในระยะเริ่มแรกของการลำกลอน การลำระหว่างหมอลำผู้ชายสองคน จะลำเกี่ยวกับหลักธรรมทางพุทธศาสนาเป็นที่นิยมมากอยู่ระยะหนึ่ง และหลังจากการลำระหว่างผู้ชายสองคนได้หมดความนิยมลงไป ก็เกิดมีการลำระหว่างชาย-หญิงขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่หมอลำโจทย์แก้ กำลังเป็นที่นิยม หมอลำกลอนจะต้องเอาใจใส่ฝึกซ้อม และท่องจำเนื้อหา ความรู้ต่างๆ เพื่อโต้ตอบคำถามของหมอลำฝ่ายตรงข้าม หากว่าฝ่ายใดไม่สามารถเอาโต้ตอบคำถามได้ ก็อาจจะถึงต้องลงจากเวที และจะต้องเป็นที่อับอายขายหน้าอย่างยิ่ง
เมื่อผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในการลำกลอนขึ้นแล้ว การลำเกี่ยวกับเพลงรักต่างๆ ก็ขยายเพิ่มขึ้นทุกๆ วัน และก็เป็นคำเรียกร้องจากผู้ฟังด้วย เพราะผู้ฟังต้องการฟังเพลงรักที่สนุกสนานมากกว่าความรู้ทางวิชาการ ดังนั้นทุกวันนี้การลำกลอนจึงคงมีแต่การลำในลักษณะการลำเกี้ยวเท่านั้น
ในช่วงเวลาที่โจทย์แก้ กำลังเป็นที่นิยม ก็มีการลำที่เป็นลักษณะเดียวกันเกิดขึ้น นั่นคือ “ลำชิงชู้” ซึ่งเป็นการลำเพื่อที่จะช่วงชิงหญิงสาว “ชิงชู้” หมายความว่า การชิงชัยเพื่อให้ได้มาซึ่งชาย หรือหญิง หรือคู่รักของตัว
ลำชิงชู้ ประกอบด้วยชายสอง หญิงหนึ่ง ผู้ชายสองคนจะต้องแสดงให้เห็นถึงความเก่ง ความหล่อเหลา ความร่ำรวย เพื่อที่ฝ่ายหญิงจะตัดสินในเลือกไว้เพื่อเป็นคนรัก การลำที่รู้จักกันระหว่างชายสามหญิงหนึ่งเรียกว่า “ลำสามเกลอ” หรือ “ลำสามสิงห์ชิงนาง” “สามเกลอ” หมายความถึงเพื่อนสนิทสามคน “สามสิงห์” หมายถึง ราชสีห์สามตัว “ชิง” หมายถึง “การต่อสู้แย่งชิง” “นาง” หมายถึง “ผู้หญิง” ดังนั้น ลำสามเกลอ หรือลำสามสิงห์ชิงนาง จึงหมายความถึง การลำของผู้ชายสามคนกับผู้หญิงหนึ่งคน ผู้ชายคนหนึ่งเป็นพ่อค้า คนหนึ่งเป็นชาวนา และอีกคนเป็นข้าราชการ
จุดใหญ่ใจความของการประกวดประชันกันระหว่างสามชาย คือ การลำเพื่อที่จะเอาชนะหัวใจของหญิงสาวให้ได้ ฉะนั้น แต่ละคนจึงต้องแสดงความสามารถ ยกข้อดีต่างๆ ของตัวเองออกมา ให้หญิงสาวใช้เป็นเครื่องประกอบการตัดสินใจ การลำนี้จึงเป็นเรื่อง ชิงรัก หักสวาท ยาดชู้ยาดผัว จึงเรียกว่า ลำชิงชู้
ปกิณกะเรื่องน่ารู้ของ "หมอลำในอดีต"
หมอลำ ในยุคสมัยอดีตนั้นจะมี หมอลำฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย และมีหมอแคน เป็นผู้ให้ดนตรีประกอบ ซึ่งอาจจะมีคนเดียวหรือสองคนก็ได้ ถ้าเป็นหมอลำชื่อดังก็มักจะมีหมอแคนประจำตัว พร้อมด้วยแคนที่เลือกมาเป็นพิเศษให้เข้ากับเสียงสูง-ต่ำของหมอลำ (มีคีย์เดียวกัน)
ส่วนสถานที่แสดงจะเป็น เวทีสี่เหลี่ยม กว้างยาวประมาณ 5-6 เมตร ยกพื้นสูง 2-3 เมตร เพื่อให้ผู้ชมมองเห็นรอบด้าน แสงสว่างจะใช้กระบอง หรือขี้ไต้จุดที่เสาของเวที ต่อมาเมื่อถึง ยุคตะเกียงเจ้าพายุ ก็จะแขวนตะเกียงไว้กลางเวที ส่วนเครื่องเสียงในยุคแรกๆ นั้นไม่มี การลำจึงไม่มีเครื่องเสียง ไม่มีไมโครโฟน ใช้ร้องปากเปล่า ผู้ลำจึงต้องมีพลังเสียงที่ดี ก้องกังวาน
การลำจะเริ่มลำกันตั้งแต่หนึ่งทุ่ม หรือสองทุ่ม ตอนหัวคํ่าก็จะเป็นการลำแนะนำตัว และถามตอบกันระหว่างหมอลำหญิง-ชาย ต่อจากนั้นก็จะเป็นการทดสอบภูมิรู้โต้ตอบกันว่า ใครจะมีปฏิภาณไหวพริบเหนือกว่ากัน บางคู่ฝีปากจัดจ้านก็จะโต้กันมันดุเดือด จนทำให้ผู้ฟังลุ้นจนเครียด พอดึกๆ หน่อยก็จะผ่อนคลายด้วยการลำเต้ยกลอนรักสนุกๆ สลับกับการลำยาว ลำล่อง ที่มีทำนองช้าๆ โหยหวน
ผู้ฟังบางคนก็กลัวว่า ฟังลำเหงาๆ ช้าๆ จะพาลให้ง่วงเหงาหาวนอน ก็จะมี “นักสอย” มาคั่นระหว่างการลำ “การสอย” คือการร้องแทรกเป็นประโยคสั้นๆ ขณะที่หมอลำกำลังลำอยู่ การสอยนี้มีนัยยะว่า ต้องการกระตุ้นผู้ฟังลำที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับทำนองลำที่เศร้าๆ ให้ตื่นตาหายง่วง คำสอย จึงมักเป็นเรื่องราวที่สนุก ตลก ขำขัน บางคนเป็นนักสอยเจ้าสำนวน อาจทำใหผู้ฟังลำถึงกับหัวเราะ คนแก่นํ้าหมากกระจายเลยทีเดียว ส่วนมากก็จะเป็นเรื่องสองแง่สองง่าม หรือออกจะหยาบก็มี เช่นคำที่ว่า “สอย สอย เฒ่าสิตายบายของเมีย ว่าแมนแผนที่ ตรงนี้อ่าวไทย…นี่กะว่าสอย สอยแล้วสอยอีก” หรือคำสอยรุ่นใหม่ขึ้นมาหน่อยหนึ่งเช่น “สอยสอย สาวซํ่าน้อย บ่ฮู้จัก ศรคีรี บาดไปถืกเขาบาย…? พอทีนะคุณ…” หมอสอยที่โด่งดังก็อาจจะมีค่าตัว ถูกว่าจ้างไปร่วมงานอยู่บ่อยๆ เป็นอาชีพได้
พอเลยเที่ยงคืนไป หมอลำได้พักดื่มนํ้าดื่มท่าเล็กน้อย ก็จะเริ่มลำโต้ตอบกันต่อ อาจจะรุนแรงขึ้นถึงขั้นเล่นของสงวนกันเลย ออกสองแง่สองง่าม บางครั้งก็แง่เดียวตรงๆ เลย ไม่แพ้ลำตัดของทางภาคกลาง ลำแบบนี้คนอีสานเรียกว่า “กลอนเพอะ" หรือ "ลำเพอะ” ออกจะใกล้เคียงหยาบคาย หมอลำฝ่ายหญิงระดับมืออาชีพก็ไม่ยอมให้ละลาบละล้วงฝ่ายเดียว โต้ตอบคำแรงๆ จนเล่นเอาฝ่ายหมอลำชาย “หงายเงิบ” ไปก็มี เล่นเอาผู้ฟังรุ่นใหญ่ปรบมือเชียร์กันสนุกสนาน หายง่วง ลำโต้กันไปจนรุ่งสาง
มีคำถามว่า ทำไมเขาจึงลำเพอะ หรือจะเรียกว่า “ลำ Rated X” โดยมาลำกันหลังเที่ยงคืนไปแล้ว เพราะดึกมากแล้วนี่เองกลัวผู้ฟังจะง่วง ก็มากระตุ้นต่อมเสียวต่อมฮากันหน่อย และเฉพาะตอนดึกอย่างนี้ เด็กๆ ที่ตามพ่อ-แม่ ตา-ยาย มาฟังด้วยก็หลับกันหมดแล้ว เหลือแต่ผู้ใหญ่ที่จะฟังลำเพอะได้ นี่ก็เป็นภูมิปัญญาของคนโบราณอีกอย่างหนึ่ง
พอค่อนรุ่ง เริ่มจะมีแสงสว่างทางขอบฟ้าทิศตะวันออก หมอลำก็จะเปลี่ยนแนวมาลำล่อง ลำยาว ที่มีทำนองอ่อนช้อย อ่อนหวาน และออดอ้อน เพื่อสั่งลาผู้ฟังมิตรหมอแคนแฟนหมอลำ สั่งลาเจ้าภาพ แถมอวยพรให้เจ้าภาพมีความสุข ให้รํ่ารวย ปีหน้าจะได้ไปจ้างมาลำอีก ในช่วงนี้ถ้าเป็นหมอลำระดับมือโปรผู้ชำนาญทางกลอน จะร่ายกลอนคมคายออดอ้อนผู้ฟัง สั่งลาอาลัยกัน กว่าจะได้มาพบกันอีกคงนานจนงานใหม่ปีหน้าโน่น ถึงกับเรียกนํ้าตาอาลัยจากผู้ฟังวัยลุงป้า น้าอาได้เลยทีเดียว
ทำไมหมอลำกลอนจึงต้องลำกันชนิดโต้รุ่งตะวันไม่ขึ้นไม่เลิก? นี่ก็คือ ภูมิปัญญาของคนโบราณ เช่นกัน เหตุผลที่หมอลำกลอนต้องลำกันโต้รุ่ง เพราะสมัยโบราณ การจัดหมอลำขึ้นในแต่ละหมู่บ้าน ตำบล เป็นความบันเทิงอย่างเดียวในสมัยนั้น (ไม่มีสิ่งบันเทิงอื่นใด วิทยุ โทรทัศน์ หนังกลางแปลง) นานๆ จะได้ฟังกันสักที หมู่บ้านใด วัดไหน จัดจ้างหมอลำชื่อดัง จัดให้มีงานบุญขึ้น ก็จะกระจายข่าวออกไป ชาวบ้านหมู่บ้าน ตำบลใกล้เคียง ก็จะหลั่งไหลมาฟังลำกัน การคมนาคมไม่สะดวกเช่นสมัยนี้ ก็ใช้วิธีเดินเท้าหรือนั่งเกวียนมา ห่างไกลระยะ 3-10 กิโลเมตร ข้ามทุ่งนา ป่าเขา ข้ามห้วย ผ่านดงผ่านป่ากันมา จนยามตกคํ่าเพื่อฟังลำกัน ถ้าหมอลำเลิกการลำตอนเที่ยงคืน คนที่มาจากบ้านไกลก็กลับไม่ได้ การเดินทางกลางคืนอาจเจอสัตว์ร้าย หรืออันตรายอย่างอื่น ก็จะนั่งกันจนฟ้าสว่างแจ้ง มีแสงสว่างจึงจะเดินทางกลับได้ หมอลำจึงต้องลำให้สว่างเพื่อให้คุ้มกับการเดินทางมาไกล มันเป็นกุศโลบายให้เข้ากับวิถีชาวบ้านสมัยนั้น
ลำหมู่
เป็นการลำที่มีผู้แสดงเพิ่มมากขึ้น จนเกือบจะครบตามจำนวนตัวละครที่มีในเรื่อง มีเครื่องดนตรีประกอบเพิ่มขึ้น เช่น พิณ (ซุง หรือ ซึง) กลอง การลำจะมี 2 แนวทาง คือ ลำเวียง จะเป็นการลำแบบลำกลอน หมอลำแสดงเป็นตัวละครตามบทบาทในเรื่อง การดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า แต่ก็ได้อรรถรสของละครพื้นบ้าน หมอลำได้ใช้พรสวรรค์ของตัวเองในการลำ ทั้งทางด้านเสียงร้อง ปฏิภาณไหวพริบ และความจำ เป็นที่นิยมในหมู่ผู้สูงอายุ โดยทั่วไปรูปแบบการแสดงลำหมู่เหมือนกับการแสดงยี่เกหรือลิเกในภาคกลาง เช่น ต้องมีฉากและเวที ตัวละครแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าปักเลื่อม ส่งแสงระยิบระยับ มีตัวพระ ตัวนาง ตัวผู้ร้าย ตัวตลก และตัวประกอบ แต่สิ่งที่ต่างออกไป คือ การลำที่ใช้ภาษาอีสานและการเจรจาด้วยภาษาอีสาน ตลอดถึงท่วงทำนองและการเอื้อนเสียง นอกจากนี้ การดำเนินเรื่องจะใช้กลอนลำที่มีข้อสัมผัส และเข้ากับเนื้อเรื่องติดต่อกันตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ซึ่งเรียกว่า “ต่อกลอน” ต่อมาเมื่อ "ดนตรีลูกทุ่ง" มีอิทธิพลมากขึ้น จึงเกิดวิวัฒนาการของลำหมู่อีกครั้งหนึ่ง กลายเป็น
ลำเพลิน ซึ่งจะมีจังหวะที่เร้าใจชวนให้สนุกสนาน ก่อนการลำเรื่องในช่วงหัวค่ำจะมีการนำเอารูปแบบของวงดนตรีลูกทุ่งมาใช้เรียกคนดู กล่าวคือ จะมีนักร้อง (หมอลำ) มาร้อง เพลงลูกทุ่งที่กำลังฮิตในขณะนั้น มีหางเครื่องเต้นประกอบ นำเอาเครื่องดนตรีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ เช่น กีตาร์ คีย์บอร์ด แซ็กโซโฟน ทรัมเปต และกลองชุด โดยนำมาผสมผสานเข้ากับเครื่องดนตรีเดิมได้แก่ พิณ แคน ทำให้ได้รสชาติของดนตรีที่แปลกออกไป ยุคนี้นับว่า หมอลำเฟื่องฟูมากที่สุด คณะหมอลำดังๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบจังหวัด ขอนแก่น มหาสารคาม อุบลราชธานี
ข้อแตกต่าง ระหว่าง "หมอลำหมู่" และ "หมอลำเพลิน" คือ
- ในลำหมู่ ผู้แสดงฝ่ายหญิงทุกคนจะแต่งด้วยชุดผ้าซิ่นแบบพื้นบ้านอีสาน หรือไม่ก็ชุดไทย แต่ลำเพลินฝ่ายหญิงจะนุ่งกระโปรงแบบฝรั่ง
- ในลำเพลิน นอกจากแคนแล้วยังมีพิณเป็นเครื่องดนตรีประกอบด้วย
- ในลำเพลิน มีจังหวะการลำที่เรียกว่า “ลำเพลิน” ซึ่งหมายถึงจังหวะสุนกสนาน ฟังแล้วเพลิดเพลิน นั่นเอง
ถึงแม้ว่าลำเพลินจะเข้ามามีบทบาทพร้อมๆ กับลำหมู่ก็ตาม แต่ไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเท่าลำหมู่ จนเมื่อประมาณสิบปีก่อน ลำเพลินจึงกลายมาเป็นที่นิยมของคนทั่วไป และเป็นที่น่าสนใจว่า "การฝึกซ้อมที่จะเป็นหมอลำเพลิน" นั้น ง่ายและใช้เวลาน้อยกว่าการเป็นหมอลำหมู่
ลำซิ่ง
หลังจากที่หมอลำคู่ และหมอลำเพลิน ค่อยๆ เสื่อมความนิยมลงไป อันเนื่องมาจาก การก้าวเข้ามาของเทคโนโลยี วิทยุ - โทรทัศน์ ทำให้ดนตรีสตริงเข้ามาแทรกในวิถีชีวิตของผู้คนอีสาน ความนิยมของการชมหมอลำค่อนข้างจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด จนเกิดความวิตกกังวลกันมากในกลุ่มนักอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน แต่แล้ว... มนต์ขลังของหมอลำก็ได้กลับมาอีกครั้ง ด้วยรูปแบบที่สะเทือนวงการด้วยการแสดงที่เรียกว่า ลำซิ่ง
ลำซิ่ง เป็นวิวัฒนาการของลำคู่ (เพราะใช้หมอลำ 2 - 3 คน) ใช้เครื่องดนตรีสากลเข้าร่วมให้จังหวะเหมือนลำเพลิน มีหางเครื่องเหมือนดนตรีลูกทุ่ง กลอนลำสนุกสนานมีจังหวะอันเร้าใจ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งระบาดไปสู่การแสดงพื้นบ้านอื่นให้ต้องประยุกต์ปรับตัว เช่น เพลงโคราชกลายมาเป็นเพลงโคราชซิ่ง กันตรึมก็กลายเป็นกันตรึมร็อค หนังปราโมทัย (หนังตะลุงอีสาน) กลายเป็นปราโมทัยซิ่ง ถึงกับมีการจัดประกวดแข่งขัน บันทึกเทปโทรทัศน์จำหน่ายกันอย่างแพร่หลาย จนถึงกับมีบางท่านถึงกับกล่าวว่า "หมอลำไม่มีวันตาย จากลมหายใจชาวอีสาน"
หมอลำผีฟ้า
การลำชนิดนี้ เป็นการลำเฉพาะกิจ เฉพาะถิ่นหรือกลุ่มชนเท่านั้น ไม่ได้มีทั่วไปเหมือนกับการลำแบบอื่น คนอีสานบางคนมีความเชื่อว่า "โรคภัยไข้เจ็บ" เกิดจาก "เชื้อโรค" และบางคนเชื่อว่า เกิดจากการกระทำของ “ผี” หรือ ภูติ ผี ปีศาจ ความเจ็บป่วยที่เกิดจากเชื้อโรคนั้น สามารถที่จะเยียวยาให้หายได้ด้วยการรักษาโดยการใช้ยา อาจเป็นสมุนไพรในอดีตหรือยาแผนปัจจุบัน ส่วนความเจ็บป่วยที่เกิดจาก ผี หรือการกระทำผิดต่อผี ผิดต่อบรรพบุรุษนั้น เชื่อว่าต้องได้รับการรักษาจาก “ผีฟ้า” หรืออำนาจอย่างอื่น อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงคราวชีวิตจะสิ้นสุดลงก็ไม่มีใครสามารถที่จะเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้
คนป่วยที่ได้รับการรักษาจากวิธีการสมัยใหม่ หรือจาก “ยา” ไม่ได้ผลแล้ว คนไข้หรือญาติพี่น้องของคนไข้ก็จนปัญญา จำต้องหันหาที่พึ่งทางอื่น และที่พึ่งทางอื่นนั้นก็คือ “หมอลำผีฟ้า” ถึงแม้ว่าทุกคนจะไม่มีความเชื่อในหมอลำผีฟ้าดังกล่าว แต่เรื่องราวชีวิตก็ย่อมที่จะลองเสี่ยงดูบ้าง เผื่อฟลุ๊คหายจากโรคภัยได้
รายการ "อยู่ดีมีแฮง" ทาง ThaiPBS ตอน เดอะ หมอลำ
การแต่งกาย
ในสมัยก่อน หมอลำไม่มีการพิถีพิถันในการแต่งกายแต่งหน้ามากนัก แค่แต่งให้สุภาพเรียบร้อยเหมาะสมกับกาลเทศะ โดยหมอลำฝ่ายชายจะมีผ้าขาวม้าคาดเอว ใส่เสื้อม่อฮ่อม มีดอกไม้ทัดหู นุ่งผ้าโสร่งไหม หมอลำฝ่ายหญิงจะแต่งกายด้วยผ้าซิ่นไหมมัดหมี่ เสื้อแขนกระบอก แต่ในสมัยปัจจุบัน หมอลำได้รับการพัฒนารูปแบบการแต่งกายชุดสั้น ยาว ตามความเหมาะสมในรูปแบบการลำ มีเครื่องประดับแพรวพราว วูบวาบ (ทราบว่า บางคณะนั้น ค่าชุดแต่งตัวในการแสดงราคาเหยียบแสน หรือเกินกว่านั้นก็มี) การแต่งกายจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การแต่งหน้าก็มีสีสัน สวยงามทันสมัยมากขึ้น
ตำนานหมอลำ ประวัติศาสตร์พันปี สู่ความบันเทิงหน้าฮ้าน I ประวัติศาสตร์นอกตำรา
กลอนลำแบบต่างๆ
วัฒนธรรมอีสานอย่าง "หมอลำ" นี้ได้ผ่านการวิวัฒนาการมาหลายยุคสมัย มีทั้งช่วงที่รุ่งเรือง และตกต่ำ มีวิวัฒนาการมาโดยตลอด ซึ่งในยุคปัจจุบันนี้มีการพัฒนาทั้งในรูปแบบการแสดง การแต่งกายที่นำสมัย การผสมผสานของเครื่องดนตรีจากแคนตัวเดียว มาผสมเข้ากับเครื่องดนตรีสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว เป็นที่นิยมไปทั่วประเทศ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงมีซ่อนเร้นอยู่คือ ในเนื้อร้องหรือกลอนลำนั้นมักจะมีคำ หรือวลีที่เกี่ยวกับเรื่องเพศสอดแทรก หรือซ่อนเร้นอยู่เสมอ (จะเห็นได้จาก "กลอนเพอะ") ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ทำให้คนจดจำวัฒนธรรมนี้ โดยเฉพาะคนอีสานรุ่นเก่าๆ และชาวบ้านทั่วไปจะมีความชื่นชอบกันมาก แต่ชาวเมืองกรุง หรือคนในถิ่นอื่นๆ อาจมองว่า หยาบโลน บางครั้งก็ถึงขึ้น “ไม่ชอบ” "ไม่ฟัง" ด้วยซ้ำ
“กลอนลำ” มีทั้งกลอนที่แต่งไว้ในวรรณคดีพื้นเมือง (นิทานพื้นบ้าน) กลอนที่แต่งขึ้นใหม่ และกลอนที่หมอลำคิดขึ้นเองขณะลำ เรียกว่า "ด้นสด" กันเลยทีเดียว โดยเฉพาะการลำคู่ที่มีหมอลำชาย-หญิงเพียงสองคน จะต้องลำถกกันด้วยภูมิรู้ ลำโต้ตอบกันจากหัวค่ำไปยันสว่าง นอกจากจะมีกลอนลำจากครูบาอาจารย์ที่สอนสั่งต่อๆ กันมา ก็จะต้องมีการด้นกลอนสดโต้ตอบฉับพลันขึ้นมาด้วย ไม่ให้เกิดการเพลี้ยงพล้ำแก่กัน
ส่วนใหญ่แล้ว กลอนลำที่ด้นสดขึ้นมาก็มักจะใช้เนื้อความจากเรื่องใน นิทาน วรรณคดี ศาสนา ประวัติศาสตร์ที่สอดแทรกคติธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ และสภาพทางท้องถิ่นเอาไว้ด้วย ในขณะเดียวกัน กลอนลำก็มักสะท้อนความคิด จิตใต้สำนึก บุคลิกภาพ และบทบาทของผู้แต่ง โดยปรากฏออกมาในลักษณะทางตรง และทางอ้อมผ่านสัญลักษณ์ต่างๆ โดยพื้นฐานของสัญลักษณ์จะเกี่ยวกับเรื่อง การเกิด ความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งมักมีเรื่องเพศและอวัยวะเพศปรากฎอยู่ แบ่งย่อยเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีความหมายถึงอวัยวะเพศ และกลุ่มที่หมายถึงเพศสัมพันธ์ลักษณะต่างๆ สามารถแบ่งได้เป็น 2 หมวด คือ ความหมายโดยตรง และโดยอ้อม (หรือเชิงเปรียบเทียบ) ดังนี้
1. กลุ่มความหมายโดยตรง จะกล่าวถึง อวัยวะเพศชายหรือหญิง และแสดงอาการทางเพศสัมพันธ์ เช่น
- อวัยวะเพศชาย
“โคยเคียวบักหำด่าง”
“เดี๋ยวจับสองขากะดอดำ”
ฯลฯ - อวัยวะเพศหญิง
“เหลียวเบิ่งสองง่ามก้นหง้วมหงีมาเทียมยืน”
“หรือบ่เคยบ่ตุ้มสิของุ้มหว่างโมม”
“บาดห่าเต๊ะก้นโท้ยโหง่ยลงสาดังตึ้ง”
“นอนมเจ้าให้เขาบายแล้วไป่”
“มันผัดใหล้สิแจ้งฝูงแมงหมี่มาตอมหี”
ฯลฯ - แสดงอาการทางเพศสัมพันธ์
“คันแม่นคึกอยากสี้ เห็นเขาแต่งตัวงาม”
“มีบาดเด้ง บาดฮ่อน อันนั้นแนวเดียว”
“มีบาดหญ้ม บาดเหลียว มันก็แสนยาก”
ฯลฯ
2. ความหมายโดยอ้อม หรือเชิงเปรียบเทียบ จะไม่ใช้คำที่สื่อออกมาโดยตรงที่ชัดเจน แต่จะใช้คำคล้องจองให้ผู้ฟังจินตนาการเอาเอง เช่น
- อวัยวะเพศชาย
“บักโปงลาง พี่สิโหญ้น เมือก้ำฝ่ายอุดร”
“แมงหมี่ปัดป่ายตุ้มกุมกล้วยหน่วยสลึง”
“พี่สีปาดหมากแว้ ไป่ไว้ให้แหญ่ฮู”
“บั้งน้ำเฮี่ยขอเลียท้ายล่าม”
“บาดห่ากำด้ามพร้า สิเห็นหน้าบ่าวพี่ชาย”
“เพิ่นผู้วงหัวเจ้ย หลดเงยคอก่งด่ง” - อวัยวะเพศหญิง
“ตายนำโง่นเซ้าเง้า เต้าขี้ตุ่มหมากตูมไถ
ตายนำขวยแมงซอน บ่อนฮูจินาอ้น
ตายนำฮูแข้ฮูกะแตใต้ฮูบ่าง
ตายนำกกเหมียดก่าง บ่อนเป็นหัวน้ำย้อย
ฮ้อยช้างกะนี้แหม่นหล่มบึง”
“เจ้าตากต้านลอนตาลคือซิต่ง”
“รักษาโนนนาเฮื้อ แปลงดีๆ ไว้ถ้าพี่”
“คันหมอเคนได้แต่ซุเนื้อขาวๆ”
“หนองและนอ น้องบวกน้อย ฮอยอ้ายหยั่งผู้เดียว”
ฯลฯ - แสดงอาการมีเพศสัมพันธ์
“อยากลองไปในห้องสองคนเบิ่งเดพี่ คือสิเถิงชั้นฟ้าเวลาเข้าสู่เตียง”
“สิให้หวังโคะโยะ ใส่ผู้ใด๋สิคือน้อง”
“เถิงพอดีคิดฮอดอ้ายญามสิเข้ากะบ่อนนอน”
“ไผเดนอสิมาเป็นแฟนน้อง บุญยังนางสิได้กล่อม”
“พี่บ่มีคู่ซ้อน นอนกลิ้งแม่นกล่อมสอง”
“ผู้บ่าวไปโคมผัดว่าสิฮ้อง บอกให้ฮ้องมึงเป็นหญังบ่ฮ้อง เอ็นเข้าท้องกูฮ้องบ่ได้”
ฯลฯ
สังคมที่มีสมาชิกอยู่ร่วมกันจำนวนมาก จะต้องมีปัจจัยที่จะตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน อาทิ น้ำ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และความต้องการทางเพศ ขณะเดียวกัน สังคมก็ต้องมีระเบียบ กฏเกณฑ์ มีการควบคุมสมาชิกให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ซึ่งสิ่งที่นำมาเป็นเครื่องมือในการควบคุมคือ กลวิธี หรือกลไกทางวัฒนธรรม ยุทธวิธีอย่างหนึ่งที่ใช้ควบคุมสังคมคือ กลอุบายควบคุมพฤติกรรม และความนึกคิดของผู้อื่นจากการสื่อความหมายต่างๆ
การนำเรื่อง 'เพศ' ซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานของคนเรามากล่าวในทำนองเป็นเรื่อง 'ขบขัน' จึงเป็นกลวิธีหนึ่งที่ช่วยให้สังคมมองเรื่องเพศเป็นเรื่อง 'ไร้สาระ' หรืออย่างน้อยก็ลดความสำคัญของเรื่องนี้ลง ”
การละเมิดกฎเกณฑ์และธรรมเนียมปฏิบัติกันทั่วไป มีคำอธิบายได้ว่า "เป็นการปลดปล่อยคนให้หลุดจากกฎเกณฑ์ชั่วคราว" ในอีสานสมัยก่อน ผู้ชายเมื่อแต่งงานต้องเข้าไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิง ผู้ชาย (ลูกเขย) จึงอยู่ในฐานะที่โดดเดี่ยว ต้องอยู่ในความควบคุมของญาติฝ่ายหญิง และต้องฝากอนาคตของตนไว้กับความเมตตาของครอบครัวฝ่ายหญิงด้วย เพราะจะสามารถสร้างหลักปักฐานให้แก่ครอบครัวได้ ก็ด้วยการอุปถัมภ์ของพ่อตา เขยจะถูกจัดให้เป็นผู้ด้อยกว่าในทางพิธีกรรม (แสดงสะท้อนในเชิงประชดประชันจากนิทาน "พ่อเฒ่ากับลูกเขย") การประพฤติตนที่อยู่ในฮีตคองประเพณีจนสามารถไต่เต้าขึ้นเป็น พี่เขย ลุงเขย พ่อตา ถึงเจ้าโคตร จึงมีความกดดันสูงมากทีเดียว ดังนั้น การใช้ถ้อยคำเชิงสัญลักษณ์ทางเพศในกลอนลำออกมา จึงเป็นการปลดปล่อยจากกฎเกณฑ์ของสังคมปกติ เพราะเรื่องเพศ การกล่าวถึงหรือแสดงอวัยวะเพศ เป็นความหยาบโลนที่สังคมปรกติไม่ยอมรับกัน [ อ่านเพิ่มเติมใน : ฮีตใภ้คองเขย ]
กลอนที่นำมาเสนอ ณ ที่นี้มีหลายกลอนที่มีคำหยาบโลนจำนวนมาก บางท่านอาจจะทำใจยอมรับไม่ได้ ก็ต้องกราบขออภัย เพราะผู้จัดทำมีเจตนาที่จะเผยแพร่ไว้เพื่อเป็นการสืบสาน วัฒนธรรมประเพณี มิได้มีเจตนาที่จะเสนอให้เป็นเรื่องลามกอนาจาร ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า นี่คือวิถีชีวิตของคนอีสาน กลอนลำทั้งหลายทั้งปวงผู้ลำมีเจตนาจะทำให้เกิดความสนุกสนาน ตลกโปกฮาเป็นที่ตั้ง ท่านที่อยู่ในท้องถิ่นอื่นๆ ขอได้เข้าใจในเจตนาด้วยครับ สนใจในกลอนลำหัวข้อใดคลิกที่หัวข้อนั้นเพื่อเข้าชมได้ครับ
กลอนที่นำมาร้องมาลำมีมากมายหลายอย่าง จนไม่สามารถจะกล่าวนับหรือแยกแยะได้หมด แต่เมื่อย่อรวมลงแล้วจะมีอยู่สองประเภท คือ กลอนสั้นและกลอนยาว
กลอนสั้น |
คือ คำกลอนที่สั้นๆ ใช้สำหรับลำเวลามีงานเล็กๆ น้อยๆ เช่น งานทำบุญบ้าน หรืองานประจำปี เช่น งานบุญเดือนหก เป็นต้น กลอนสั้น มีดังต่อไปนี้ | ||
1. กลอนขึ้นลำ | 2. กลอนลงลำ | 3. กลอนลำเหมิดคืน | |
4. กลอนโต้น | 5. กลอนติ่ง | 6. กลอนต่ง | |
7. กลอนอัศจรรย์ | 8. กลอนสอย | 9. กลอนหนังสือเจียง | |
10. กลอนเต้ยหรือผญา | 11. ลำสีพันดอน | 12. ลำสั้น เรื่อง ติดเสน่ห์ | |
กลอนยาว |
คือ กลอนสำหรับใช้ลำในงานการกุศล งานมหรสพต่างๆ กลอนยาวนี้ใช้เวลาลำ เป็นชั่วโมงบ้าง ครึ่งชั่วโมงบ้าง หรือแล้วแต่กรณี ถ้าลำคนเดียวเช่น ลำพื้น หรือ ลำเรื่อง ต้องใช้เวลาลำเป็นวันๆ คืนๆ ทั้งนี้แล้วแต่เรื่องที่จะลำสั้นหรือยาวแค่ไหน แบ่งออกเป็นหลายชนิดดังนี้ | ||
1. กลอนประวัติศาสตร์ | 2. กลอนลำพื้นหรือลำเรื่อง | 3. กลอนเซิ้ง | |
4. กลอนส้อง | 5. กลอนเพอะ | 6. กลอนล่องของ | |
7. กลอนเว้าสาว | 8. กลอนฟ้อนแบบต่างๆ |
เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง
- ท่าฟ้อนรำที่ใช้ในการแสดงลำ โดย หมอลำทองศรี ศรีรักษ์
- ท่าฟ้อนแม่บทอีสาน โดย วิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด
- หมอลำเมืองอุบลราชธานี
- การประกวดหมอลำซิ่งท่องเที่ยวอีสาน (อุบลราชธานี)