foto1
foto1
foto1
foto1
foto1
อากาศร้อนชนิดทะลุ 40 องศามาตลอดเดือนเมษายน และน่าจะลากยาวไปจนถึงปลายเดือนพฤษภาคม โปรดระวังพายุฤดูร้อนหรือลมหัวกุดบ้านเฮาที่จะมาพร้อมฝนและลูกเห็บ ฟ้าผ่า พัดเอาหลังคาบ้านเรือนกระจายไปไกลได้ ฟ้าดินลงโทษวิปริตผิดคาดก็เพราะพวกเรานี่แหละที่ตัดไม้ทำลายป่า เผาไร่เผานา จนโลกร้อนขึ้นทุกวัน รวมทั้งการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้หมดไป ไม่ปลูกสร้างป่าทดแทน ถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องมาช่วยกันรักษ์โลกนี้ไว้ให้ลูกหลาน...😭🙏😁

: Our Sponsor ::

adv200x300 2

: Facebook Likebox ::

: Administrator ::

mail webmaster

: My Web Site ::

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net200x75

e mil

No. of Page View

paya supasit

ju juคันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า

        ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ##

heet m 12

บุญเดือนสิบสอง

ฮีตหนึ่งนั้น เดือนสิบสองมาแล้วลมวอยหนาวสั่น เดือนนี้หนาวสะบั้นบ่คือแท้แต่หลัง ในเดือนนี้เพิ่นว่าให้ลงทอดพายเฮือ ซ่วงกันบูชา ฝูงนาโค นาคเนาว์ในพื้น ชื่อว่าอุชุพะนาโค เนาว์ ในพื้นแผ่น สิบห้าสกุลบอกไว้บูชาให้ส่งสะการ จงทำให้ทุกบ้านบูชาท่านนาโค แล้วลงโมทนาดอม ชื่นชมกันเล่น กลางเว็นกลางคืนให้ระงมกันขับเสพ จึงสิสุขอยู่สร้างสบายเนื้ออยู่เย็น ทุกข์ทั้งหลาย หลีกเว้นหนีห่างบ่มีพาน ของสามานย์ทั้งปวงบ่ได้มีมาใกล้ ไผผู้ทำตามนี้เจริญขึ้นยิ่งๆ ทุกสิ่งบ่ไฮ้ ทั้งข้าวหมู่ของ กรรมบ่ได้ถึกต้องลำบากในตัว โลดบ่มีมัวหมองอย่างใดพอดี้ มีแต่สุขีล้นครองคน สนุกยิ่ง อดในหลิงป่องนี้เด้อเจ้าแก่ชรา "

ฮีตสุดท้ายของปีคือ ฮีตเดือนสิบสอง ในทางพระพุทธศาสนาแล้วชาวอีสานจะทำ บุญกฐิน กันดังเช่นกับภาคอื่นๆ ของไทย การทอดกฐินเป็นกาลทาน ตามพระวินัยกำหนดกาลไว้ คือ ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ใคร่จะทอดกฐิน ก็ให้ทอดได้ในระหว่างระยะเวลานี้ จะทอดก่อนหรือทอดหลังกำหนดนี้ ก็ไม่เป็นการทอดกฐิน แต่มีข้อยกเว้นพิเศษว่า "ถ้าทายกผู้จะทอดกฐินนั้น มีกิจจำเป็น เช่น จะต้องไปในทัพ ไม่สามารถจะอยู่ทอดกฐินตามกำหนดนั้นได้ จะทอดกฐินก่อนกำหนดดังกล่าวแล้ว พระสัมมาสัมพุทธะ ทรงอนุญาตให้ภิกษุรับไว้ก่อนได้"

กฐิน คือ "ไม้สะดึง" ที่ใช้สำหรับขึงผ้า เวลาจะเย็บผ้าจีวรพระในการเย็บให้สะดวกขึ้น จึงเป็นที่มาของผ้ากฐิน คือ ผ้าจีวร สบง หรือผ้านุ่งห่ม ที่จะนำไปถวายพระนั่นเอง บุญกฐินจึงเป็นบุญที่ต้องนำเข้าไปถวายพระเป็นสำคัญ บุญกฐินเป็นบุญฮีตสุดท้ายของอีตเดือนสิบสองของชาวอีสาน

boon ka tin 01

ในสมัยโบราณ การเย็บผ้าต้องเอาไม้สะดึงมาขึงผ้าให้ตึงเสียก่อน แล้วจึงเย็บ เพราะช่างยังไม่มีความชำนาญเหมื่อนสมัยปัจจุบันนี้ และเครื่องมือในการเย็บก็ยังไม่เพียงพอเหมือนจักรเย็บผ้าในปัจจุบัน การทำจีวรในสมัยโบราณไม่ว่าจะเป็นผ้ากฐินหรือแม้แต่จีวรอันมิใช่ผ้ากฐิน ถ้าภิกษุทำเอง ก็จัดเป็นงานเอิกเกริกทีเดียว เช่นตำนานกล่าวไว้ว่า การเย็บจีวรนั้น พระเถรานุเถระต่างมาช่วยกัน เป็นต้นว่า พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ แม้สมเด็จพระบรมศาสดาก็เสด็จลงมาช่วย ภิกษุสามเณรอื่นๆ ก็ช่วยขวนขวายในการเย็บจีวร อุบาสกอุบาสิกาก็จัดหาน้ำดื่ม เป็นต้น มาถวายพระภิกษุสงฆ์ มีองค์พระสัมมาสัมพุทธะเป็นประธาน โดยนัยนี้ การเย็บจีวรแม้โดยธรรมดา ก็เป็นการต้องช่วยกันทำหลายผู้หลายองค์ (ไม่เหมือนในปัจจุบัน ซึ่งมีจีวรสำเร็จรูปขายแล้ว)

ความเป็นมาของกฐิน

ภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐ 30 รูป ได้เดินทางเพื่อมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี แต่ยังไม่ทันถึงเมืองสาวัตถี ก็ถึงวันเข้าพรรษาเสียก่อน พระสงฆ์ทั้ง 30 รูป จึงต้องจำพรรษา ณ เมืองสาเกตุในระหว่างทาง พอออกพรรษาแล้ว ภิกษุเหล่านั้นจึงได้ออกเดินทางมาเข้าเฝ้าพระศาสดาด้วยความยากลำบาก เพราะฝนยังตกชุกอยู่ เมื่อเดินทางถึงวัดพระเชตวัน พระพทธเจ้าได้ตรัสถามถึงความเป็นอยู่และการเดินทาง เมื่อทราบความลำบากนั้นจึงทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้จำพรรษาครบถ้วนไตรมาส สามารถรับผ้ากฐินได้ และภิกษุผู้ได้กรานกฐินได้อานิสงส์ 5 ประการ ภายในเวลาอานิสงส์กฐิน (นับจากวันที่รับกฐินจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4) คือ

  • ไปไหนไม่ต้องบอกลา
  • ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับสามผืน
  • ฉันคณโภชนะได้ (รับนิมนต์ที่เขานิมนต์โดยออกชื่อโภชนะฉันได้)
  • เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้โดยที่ยังมิได้วิกัปป์ และอธิษฐาน โดยไม่ต้องอาบัติ
  • จีวรลาภอันเกิดขึ้น จักได้แก่ภิกษุผู้ได้กรานกฐินแล้ว

boon ka tin 02

ความหมายของกฐิน

กฐิน เป็นศัพท์บาลี แปลตามศัพท์ว่า ไม้สะดึง คือ “กรอบไม้” หรือ “ไม้แบบ” สำหรับขึงผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรในสมัยโบราณ ซึ่งผ้าที่เย็บสำเร็จจากกฐินหรือไม้สะดึงแบบนี้เรียกว่า ผ้ากฐิน (ผ้าเย็บจากไม้แบบ)

กฐิน อาจจำแนกตามความหมายเพื่อความเข้าใจง่ายได้ดังนี้

  • กฐิน เป็นชื่อของกรอบไม้แม่แบบ (สะดึง) สำหรับทำจีวร ดังกล่าวข้างต้น
  • กฐิน เป็นชื่อของผ้าที่ถวายแก่พระสงฆ์เพื่อกรานกฐิน (โดยได้มาจากการใช้ไม้แม่แบบขึงเย็บ)
  • กฐิน เป็นชื่อของงานบุญประเพณีถวายผ้าไตรจีวรแก่พระสงฆืเพื่อกรานกฐิน
  • กฐิน เป็นชื่อของสังฆกรรมการกรานกฐินของพระสงฆ์

boon ka tin 03

ความสามัคคีของคนในชุมชนร่วมกันเผาข้าวหลามในบุญกฐิน (ช่วงหอมข้าวใหม่)

ความสำคัญพิเศษแตกต่างจากทานอย่างอื่น

การถวายกฐินนั้นมีข้อจำกัดหลายอย่าง ซึ่งทำให้การถวายกฐินมีความความพิเศษแตกต่างจากทานอย่างอื่นดังนี้

  • จำกัดประเภททาน คือ ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเฉพาะเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือนทานอย่างอื่นไม่ได้
  • จำกัดเวลา คือกฐินเป็นกาลทานอย่างหนึ่ง (ตามพระบรมพุทธานุญาต) ดังนั้นจึงจำกัดเวลาว่าต้องถวายภายในระยะเวลา 1 เดือน นับแต่วันออกพรรษา เป็นต้นไป
  • จำกัดงาน คือ พระภิกษุที่กรานกฐินต้องตัด เย็บ ย้อม และครองให้เสร็จภายในวันที่กรานกฐิน
  • จำกัดไทยธรรม คือ ผ้าที่ถวายต้องถูกต้องตามลักษณะที่พระวินัยกำหนดไว้
  • จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุผู้รับกฐิน ต้องเป็นผู้ที่จำพรรษาในวัดนั้นโดยไม่ขาดพรรษา และมีจำนวนไม่น้อยกว่า 5 รูป
  • จำกัดคราว คือ วัดๆ หนึ่งรับกฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น 

loy kratong 1

เทศกาลลอยกระทง (Loy Krathong Festival)

ในส่วนประเพณีของประชาชนทั่วไปในช่วงเดือนนี้ที่เป็นที่รู้จักกันไปไกลทั่วโลก คือ เทศกาลวันลอยกระทง  เป็นประเพณีโบราณของอินเดีย ที่ประเทศไทยรับเข้ามาปฏิบัติ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า ทำกันมาตั้งแต่เมื่อไร เท่าที่ปรากฏกล่าวได้ว่า มีมาตั้งสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสันนิษฐานว่า เดิมทีเดียวเห็นจะเป็นพิธีของพราหมณ์กระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหมต่อมาได้ถือตามแนวทางพระพุทธศาสนา มีการชักโคมเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระจุฬามณีในชั้นดาวดึงส์ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ซึ่งประดิษฐาน ณ หาดทรายแม่น้ำนัมมทา (แม่น้ำนัมมทา เป็นแม่น้ำที่คู่ขนานกับทิวเขาวินธัย ไหลลงภาคตะวันตกของอินเดียแบ่งเขตอินเดียออกเป็นภาคเหนือและภาคใต้)

ตำนานที่หาหลักฐานยืนยันมิได้ กล่าวไว้ว่าในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง มี นางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่า พิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป  ดังปรากฏในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์กล่าวถึงพระดำรัสของพระร่วงว่า "แต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์ วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปอดกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน"

loy kratong 2

แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่า ไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 1 จากนั้นในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้เปลี่ยนแปลงจากการทำจากดอกบัวเป็นต้นกล้วย เพราะดอกบัวดังกล่าวหายากและมีน้อย จึงใช้ต้นกล้วยทำแทนแล้วดูไม่สวย จึงใช้ใบตองมาพับแต่งจนสวยในที่สุดจนสืบทอดมาจนปัจจุบันนี้

ภาคอีสาน ในอดีตมีการเรียกประเพณีลอยกระทงในภาคอีสานว่า "บุญสิบสองเพ็ง" หมายถึง วันเพ็ญเดือนสิบสอง ซึ่งจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป

 

ประเพณีลอยกระทง ของ จังหวัดร้อยเอ็ด

 

redline

backled1

heet m 11

บุญเดือนสิบเอ็ด

ฮีตหนึ่งนั้น เถิงเดือนสิบเอ็ดแล้วก็เป็นแวทางป่อง เป็นช่องของพระเจ้าเคยเข้าแล้ว อย่าเซา "

หลังจากที่พระสงฆ์ได้จำพรรษามาตลอดระยะเวลา 3 เดือน ก็ถึงช่วงการออกพรรษา วันออกพรรษาจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วันมหาปวารณา” คำว่า “ปวารณา” แปลว่า “อนุญาต” หรือ “ยอมให้” ในวันออกพรรษานี้พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรมใหญ่ เรียกว่า "มหาปวารณา" เป็นการเปิดโอกาสให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันได้ เพราะในระหว่างเข้าพรรษา พระสงฆ์บางรูปอาจมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข การให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ ทำให้ได้รู้ข้อบกพร่องของตน และยังเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยซึ่งกันและกันด้วย 

พีธีกรรมสำหรับพระสงฆ์

ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เริ่มตั้งแต่เช้ามืด พระสงฆ์ตีระฆังให้รวมกันที่โบสถ์ แสดงอาบัติแล้วทำวัตรเช้า จบแล้วไม่ต้องสวดพระปาฏิโมกทำปวารณาแทน การทำปวารณา คือ ให้โอกาสว่ากล่าวตักเตือนกัน ก่อนจะทำปวารณาให้ตั้งญัตติก่อน จะปวารณา 1 – 2 หรือ 3 จบ ถ้า 3 จบให้ดำเนินการดังนี้

พระเถระผู้ใหญ่ขึ้นนั่งบนอาสน์แล้วตั้งญัตติว่า

สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ อัชชะ ปะวาระณา ปัณณะระสี ยะทิ สังฆัสสะ ปัตตะกัลลัง สังโฆ เตวาจิกัง ปะวาเรยยะ
แล้วลงจากอาสน์ นั่งคุกเข่า ว่านะโมพร้อมกัน ๓ จบ

แล้วพระเถระนั่งหันหน้าลงมาหาสงฆ์ กล่าวคำปวารณาต่อสงฆ์ว่า

สังฆัง อาวุโส ปะวาเรมิ ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัสมันโต อะนุกัมปัง อุปาทายะ ปัสสันโต ปะฏิกกะริสสามิ
ว่าดังนี้รูปละ ๓ หน แล้วว่าไปตามลำดับแก่อ่อน เปลี่ยน อาวุโส เป็น ภันเต

ครั้นจบคำปวารณาแล้ว พระเถระผุ้ใหญ่จะให้โอวาทกล่าวตักเตือนพระสงฆ์ ให้เห็นความสำคัญในการปวารณา คนเราต่างมีทิฏฐิมานะด้วยกัน ถ้าไม่ปวารณากันไว้ เวลาไปทำผิดพลาดเข้า จะไปตักเตือนว่ากล่าว ก็จะถือว่าละลาบละล้วงล่วงเกิน ถ้าได้ปวารณากันไว้ ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ จบโอวาทแล้ว เป็นอันเสร็จพิธีการออกพรรษาปวารณา

maha pavarana 1

การทำปวารณาของคณะสงฆ์

การใต้ประทีป :  เนื่องในวันออกพรรษา พระสงฆ์จะจัดทำเรือไฟขึ้นในวัด ตรงหน้าโบสถ์ ใช้เสาไม้หรือต้นกล้วย 4 ต้น พื้นปูด้วยกาบกล้วยมีหัวหางคล้ายเรือ ตกกลางคืนนำดอกไม้ธูปเทียนมาจุดบูชา ถือว่าเป็นพุทธบูชาได้บุญกุศลแรง ตัวอย่างเช่น พระอนุรุทธเถระ ผู้เป็นพระอรหันต์ ได้รับยกย่องว่ามีตาทิพย์ ทั้งนี้เกิดจากอานิสงส์ได้ให้ประทีปเป็นทาน

พีธีกรรมสำหรับฆราวาส

ถวายผ้าจำนำพรรษา :     คือ ผ้าที่พระภิกษุสงฆ์จะรับได้ต่อเมื่อจำพรรษาแล้ว มีเวลาที่จะถวายพระภิกษุ คือตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งเป็นวันออกพรรษา จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 มีเวลาถวายถึง 4 เดือน หากถวายหรือรับเลยกำหนดนี้ ไม่เรียกว่าผ้าจำนำพรรษา ผ้านี้ทายกนิยมถวายในวันออกพรรษา

lai rua fire 1

การไหลเฮือไฟในวันออกพรรษา ของจังหวัดนครพนม

เมื่อดำเนินการทางพิธีสงฆ์เสร็จสิ้นแล้ว ก็จะเป็นพิธีการของชาวบ้านที่แทรกด้วยความสนุกสนาน ส่งเสริมความสามัคคีในชุมชน ซึ่งจะมีหายกิจกรรมแล้วแต่พื้นที่ เช่น การถวายปราสาทผึ้ง หรือ “ต้นผาสาดเผิ้ง” (สำเนียงอีสาน) เพื่อเป็นพุทธบูชา เช่น จังหวัดสกลนคร บางท้องถิ่นอยู่ใกล้บริเวณแม่น้ำจะมี "การไหลเรือไฟ (ฮ่องเฮือไฟ)" เพื่อเป็นการบูชาคารวะพระแม่คงคา เช่น จังหวัดนครพนม แต่สำหรับจังหวัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำก็จะมีการจัด "แข่งเรือ (ส่วงเฮือ)" เพื่อความสนุกสนานและสามัคคีร่วมกันในงานอีกด้วย

prasart pueng 1

การถวายผาสาดเผิ้งในวันออกพรรษา ของจังหวัดสกลนคร

การแข่งเรือ (ส่วงเฮือ) เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาช้านาน โดยจัดขึ้นระหว่างงานบุญออกพรรษา ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 (ตุลาคม) ถือเป็นหนึ่งในบุญเดือน 11 โดยเจ้าเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้ลำน้ำ ต้องปฏิบัติเพื่อความร่มเย็นของบ้านเมือง มีพิธีอัญเชิญเจ้าเมืองและสิ่งศักดิ์ลงในเรือ ทำพิธีตีช้างน้ำนอง หรือการแข่งเรือ เพื่อบวงสรวงสักการะแม่น้ำโขง รุกขเทวดา พญานาค และสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองแม่น้ำโขง มีความมุ่งหมายให้ชาวบ้านได้สนุกสนานร่วมกัน ก่อให้เกิดความสามัคคี ความเสียสละและเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง ประชาชนริมสองฝั่งน้ำ

boon suang hua 1

การส่วงเฮือในช่วงออกพรรษา ของประชาชนที่อาศัยริมแม่น้ำใหญ่

ที่จังหวัดมุกดาหารและจังหวัดนครพนม จะมีการจัดแข่งเรือ (ส่วงเฮือ) ระหว่างพี่น้องชาวลาวและชาวไทย จัดขึ้นในลำน้ำโขง มีระยะทางการแข่งขันประมาณ 3 กิโลเมตร มีร่องน้ำที่ไหลเชี่ยวเป็นการยากลำบากมากในการแข่งขัน ดังนั้นผู้ชนะคือ ผู้เก่งที่สุดในแถบลุ่มน้ำโขง ปัจจุบันนี้ ความสำคัญด้านพิธีกรรมได้ลดน้อยลง เน้นการแข่งเรือกันเพื่อความสนุกสนานเป็นหลัก และยังคงแข่งเรือร่วมกับพี่น้องฝั่งลาวทุกปี

boon suang hua 2

ความเชื่อเกี่ยวกับการแข่งเรือ การแข่งเรือของชาวอีสานมิใช่ทำกันเล่นๆ เพื่อความสนุกสนานเอารางวัลหรือเดิมพันเท่านั้น แต่ทำขึ้นภายใต้ความที่มีมาแต่โบราณว่า เป็นการบูชาพญานาคชื่อ อสุภะนาโค ดังคำกลอนอีสานว่า

เดือนสิบสองมาแล้วลมวอยหนาวสั่น เดือนนี้หนาวสะบั้นคือแท้แต่หลัง
ในเดือนนี้เพิ่นว่าให้ลงทอดพายเฮือ ช่วงกันบูชาฝูงนาโคนาคเนาว์ในพื้น
ชื่อว่าอสุภะนาโนเนาว์ในพื้นแผ่น สิบห้าสกุลบอกไว้บูชาให้ส่งสการ "

จากคำกลอนนี้ก็แปลได้ว่า เมื่อถึงช่วงเดือนสิบสองจะต้องมีการแข่งเรือ เพื่อเป็นการสักการบูชาพญานาคที่อยู่ใต้เมืองบาดาล เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดไป

 

เซิ้งเฮือส่วง ผลงานประพันธ์  พงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา ขับร้อง รวมศิลปินลูกทุ่งแกรมมี่

redline

backled1

heet m 10

บุญเดือนสิบ

ฮีตหนึ่งนั้น เมื่อเทิงเดือนสิบแล้วทายกทอดบวยบาน เบิกพลีทำทานต่อมาสองซ้ำ ข้าว สลากนำไปให้สังโฆทานทอด พากันหวังยอดแก้วนิพพานพุ้นพ้นที่สูง ฝูงหมู่ลุงอาว์ป้าคณาเนือง น้อมส่ง ศรัทธาลงทอดไว้ทานให้แผ่ไป อุทิศให้ฝูงเปรตเปโต พากันโมทนานำสู่คนจนเกลี้ยง "

ดือนกันยายน หรือเดือนสิบตามปฏิทินลาว ชาวบ้านจะจัดงานบุญตาม "ฮีตสิบสอง คองสิบสี่" ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นประจำทุกปี ที่เรียกว่า "บุญข้าวสาก" หรือ "บุญเดือนสิบ" เนื่องจากเมื่อจัดทำข้าวปลาอาหาร และเครื่องไทยทานต่างๆ อุทิศให้ ผู้ล่วงลับไปแล้ว จะทำสากหรือสลาก มีคำอุทิศส่วนกุศลใส่กระดาษบันทึกชื่อ ผู้มีจิตศรัทธาบริจาค และความประสงค์ว่าจะบริจาคทานให้แก่ผู้ใด โดยบอกชื่อผู้ที่จะมารับส่วนกุศลด้วย

boon kao sag 02

ก่อนถึงกำหนดวันทำบุญข้าวสาก คือ ราววันขึ้น 13 - 14 ค่ำ เดือนสิบ ชาวบ้านจะเตรียมอาหารชนิดต่างๆ มีทั้งข้าว เนื้อ ปลา ข้าวเม่า ข้าวพอง ข้าวตอก ขนม และอาหารคาวหวานอื่น ตลอดจนผลไม้ต่างๆ ไว้สำหรับทำบุญ สำหรับข้าวเม่า ข้าวพอง และข้าวตอกนั้น จะคลุกเข้ากันโดยใส่น้ำอ้อย น้ำตาล ถั่วงา มะพร้าว ให้เป็นข้าวสาก (ข้าวกระยาสารท) แต่บางท้องถิ่นไม่นำข้าวเม่า ข้าวพอง และข้าวตอก มาคลุกเข้าด้วยกัน คงแยกไปทำบุญเป็นอย่างๆ เมื่อเตรียมสิ่งของทำบุญเรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านจะเอาข้าวปลาอาหารที่มีอยู่ไปส่งญาติพี่น้องและผู้รักใครีนับถือ อาจส่งก่อนวันทำบุญหรือส่งในวันทำบุญเลยก็ได้ สิ่งของเหล่านี้มักแลกเปลี่ยนกันไปมา ระหว่างญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เรือนเคียง ถือว่าเป็นการได้บุญ

boon kao sag 03 

ตอนสายๆ ชาวบ้านจะนำข้าวปลาอาหารที่เตรียมไว้ เป็นข้าวสากไปวัดอีกครั้งหนึ่ง เอาอาหารต่างๆ จัดเป็นสำรับหรือชุดสำหรับถวายทาน หรือถวายเป็นสลากภัต โดยจัดใส่ภาชนะต่างๆ แล้วแต่ความนิยมของแต่ละท้องถิ่น บางแห่งจัดใส่ถ้วยหรือบางแห่งใช้ทำเป็นห่อทำเป็นกระทงด้วยใบตองกล้วยหรือกระดาษ แต่ละบ้านจะจัดทำสักกี่ชุดก็ได้ตามศรัทธา ก่อนที่จะถวายข้าวสากแด่พระภิกษุสามเณร จะกล่าวคำถวายข้าวสาก หรือสลากภัตพร้อมกัน

คำถวายสลากภัตร

เอตานิมะนังภันเต สะจากะภัตตานิ สะปะริวารานิ อะสุภัฏฐานน ฐะปิตานิ ภิกขุสังฆัสสะ
โอโณชะยามะ สาธุโน ภันเตอภิกขุสังโฆ เอตานิ สะลากะภัตตานิ สะปะริวารานิ
ปะฏิคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ "

คำแปล

"ข้าแต่พระภิกษุสงฆ์ผู้เจริญ ภัตตาหารกับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งตั้งไว้ ณ ที่โน้น
ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับซึ่งภัตตาหารพร้อมทั้งของที่เป็นบริวารเหล่านี้
ของข้าพเจ้าทั้งหลาย
เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ."

เมื่อเสร็จพิธีถวายข้าวสากแล้ว ช้าวบ้านที่ไปร่วมพิธียังนิยมเอาชะลอม หรือห่อข้าวสากไปวางไว้ตามที่ต่างๆ ในบริเวณวัด พร้อมจุดเทียนและบอกกล่าวให้ญาติ หรือเปรตผู้ล่วงลับไปแล้วมารับเอาอาหารต่างๆ ที่วางไว้ และขอให้มารับส่วนกุศลที่ทำบุญอุทิศไปให้ด้วย (ผู้จัดทำ ก็เคยทำสมัยเป็นเด็กกับมารดา)

boon kao sag 04

ภายหลังจากการถวายข้าวสากแด่พระภิกษุสามเณร และนำอาหารไปวางไว้ตามบริเวณวัดเสร็จแล้ว ก็มีการฟังเทศน์ฉลองข้าวสาก และกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ไปให้เปรต สัมภเวสี และญาติผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย นอกจากนี้ ผู้ที่มีที่นาจะนำข้าวสากไปเลี้ยง "ตาแฮก" ที่นาของตน เพื่อให้ตาแฮกรักษานาและให้ข้าวกล้าอุดมสมบูรณ์ เป็นเสร็จพิธีทำบุญข้าวสาก [ อ่านเพิ่มเติมเรื่อง ตาแฮก หรือการแฮกนา ]

โดยทั่วไปจะมีเพียงการนำอาหารคาวหวานไปถวายทานที่วัดเท่านั้น แต่ที่บ้านเหล่าเลิง ตำบลไร่ขี อำเภอลืออำนาจ จังหวัดอำนาจเจริญ มีอาหารที่พิเศษกว่าบ้านอื่น นั้นคือการทำข้าวตอกแตก เรื่องราวความพิเศษที่มาพร้อมกับงานบุญนี้จะเป็นอย่างไร ชมได้จากสารคดีนี้เลย

รายการทีวีชุมชน ทางช่อง ThaiPBS ตอน "บุญข้าวสาก"

มูลเหตุแห่งการทำบุญข้าวสาก

มูลเหตุที่ทำให้เกิด บุญข้าวสาก มีอยู่ว่า บุตรกุฏมณีผู้หนึ่งเมื่อพ่อสิ้นชีวิตแล้ว แม่ก็หาภรรยาให้ แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน แม่จึงหาหญิงอื่นให้เป็นภรรยาอีก ต่อมาเมียน้อยมีลูก เมียหลวงอิจฉาจึงคิดฆ่าเมียน้อยและลูก ก่อนตายเมียน้อยคิดอาฆาตเมียหลวง ชาติต่อมาทั้งสองเกิดเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ และอาฆาตเข่นฆ่ากันเรื่อยมา จนชาติสุดท้าย ฝ่ายหนึ่งเกิดเป็นคน อีกฝ่ายหนึ่งเกิดเป็นยักษิณี ยักษิณีจองเวรได้มากินลูกของผู้เป็นคนถึงสองครั้ง พอเกิดลูกคนที่สามยักษิณีจะตามมากินอีก หญิงคนนั้นพร้อมลูกและสามี จึงหนีไปพึ่งพระพุทธเจ้า ณ เชตวันมหาวิหาร

พระพุทธเจ้าได้เทศนาให้ทั้งสองเลิกจองเวรกัน และโปรดให้ทางยักษิณีไปอยู่ตามหัวไร่ปลายนา นางยักษิณีมีความรู้เกณฑ์เกี่ยวกับฝนและน้ำดี ชาวเมืองนับถือมาก จึงได้นำอาหารไปส่งอย่างบริบูรณ์ นางยักษิณีจึงนำอาหารเหล่านั้นไปถวายเป็นสลากภัตแด่พระสงฆ์วันละแปดที่เป็นประจำ ชาวอีสานจึงถือเป็นประเพณีถวายสลากภัต หรือบุญข้าวสากสืบต่อมา และมีการเปลี่ยนเรียกนางยักษิณีว่า "ตาแฮก" [ อ่านเพิ่มเติมเรื่องนี้ ]

boon kao sag 05

ความเป็นมาของสลากภัตทาน อีกด้านหนึ่งกล่าวว่า

ในสมัยหนึ่ง พุทธองค์ได้เสด็จไปกรุงพาราณสี ในคราวนั้นบุรุษเข็ญใจพาภรรยาประกอบอาชีพตัดฟืนขายเป็นนิตย์เสมอมา เขาเป็นคนเลื่อมใสพระพุทธศาสนายิ่งนัก วันหนึ่งเขาได้ปรึกษากับภรรยาว่า "เรายากจนในปัจจุบันนี้เพราะไม่เคยทำบุญ-ให้ทาน รักษาศีลแต่ละบรรพกาลเลย ดังนั้นจึงควรที่เราจักได้ทำบุญกุศล อันจักเป็นที่พึ่งของตนในสัมปรายภพ-ชาติหน้า" ภรรยาได้ฟังดังนี้แล้ว ก็พลอยเห็นดีด้วย จึงในวันหนึ่งเขาทั้งสองได้พากันเข้าป่าเก็บผักหักฟืนมาขาย ได้ทรัพย์แล้วได้นำไปจ่ายเป็นค่าหม้อข้าว 1 ใบ หม้อแกง 1 ใบ อ้อย 4 ลำ กล้วย 4 ลูก นำมาจัดแจงลงในสำรับเรียบร้อยแล้วนำออกไปยังวัด เพื่อถวายเป็นสลากภัตตทานพร้อมอุบาสกอุบาสิกาเหล่าอื่น

สามีภรรยาจับสลากถูกพระภิกษุรูปหนึ่งแล้วมีใจยินดี จึงน้อมภัตตาหารของตนเข้าไปถวาย เสร็จแล้วได้หลั่งน้ำทักษิโณทกให้ตกลงเหนือแผ่นปฐพี แล้วตั้งความปราถนา "ด้วยผลทานทั้งนี้ข้าพเจ้าเกิดในปรภพใดๆ ขึ้นชื่อว่าความยากจนเข็นใจไร้ทรัพย์เหมือนดังในชาตินี้ โปรดอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้าทั้งสองเลย ขอให้ข้าพเจ้าทั้งสองเป็นผู้มั่งคั่งสมบูรณ์ เพียบพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติและมีฤทธิ์เดชมาก ในปรภพภายภาคหน้าโน้นเถิด" ดังนี้

ครั้นสองสามีภรรยานั้นอยู่พอสมควรแก่อายุขัยแล้ว ก็ดับชีพวายชนม์ไปตามสภาพของสังขาร ด้วยอานิสงฆ์แห่งสลากภัตตทาน จึงได้ไปเกิดเป็นเทพบุตร เทพธิดาในดาวดึงส์สวรรค์ เสวยสมบัติทิพย์อยู่ในวิมานทองอันผุดผ่องโสภาตระการยิ่งนัก พร้อมพรั่งไปด้วยแสนสุรางค์นางเทพอัปสรห้อมล้อมเป็นบริวาร มีนามบรรหารว่า "สลากภัตตเทพบุตรเทพธิดา"

กาลกตวา ครั้นจุติเลื่อนจากสวรรค์แล้ว ก็ได้ลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ในเมืองพาราณสี มีพระนามว่าพระเจ้าสัทธาดิส เสวยราชสมบัติอยู่ 84,000 ปี ครั้นเบื่อหน่ายจึงเสด็จออกบรรพชา ครั้นสูญสิ้นชีวาลงแล้วก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก และต่อมาก็ได้มาอุบัติเป็นพระตถาคตของเรานั่นเอง นี่คืออานิสงฆ์แห่งการถวายสลากภัตต์ นับว่ายิ่งใหญ่ไพศาลยิ่งนัก สามารถอำนวยสุขสวัสดิ์แก่ผู้บำเพ็ญทั้งชาติมนุษย์และสวรรค์ ในที่สุดถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้

รายการกระจกหกด้าน ชุด "ร้อยเรื่องเมืองไทย" ตอน "บุญข้าวสาก"

สำหรับพี่น้องอีสานที่มีเชื้อสายเขมร ส่วย เยอ ในแถบจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมยฺ ก็จะมีการจัด งานวันสารท (ศารท) หมายถึง การทำบุญเดือนสิบ เป็นการอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เนื่องจากมีความเชื่อว่าระยะนี้เป็นระยะที่ยมบาลปล่อยเปรตให้มาเยี่ยมบ้านเดิมของตน เพื่อรับส่วนบุญที่ญาติจะอุทิศให้ ลูกหลานญาติพี่น้องมีความเชื่อว่า ญาติของตนที่ตายแล้ว อาจจะไปเกิดในอบายภูมิ ซึ่งเป็นภูมิที่อดอยาก จึงทำบุญอุทิศให้โดยหวังว่าเมื่อวิญญาณได้รับอนุโมทนาส่วนบุญแล้ว จะได้พ้นจากภูมิอันทุกข์ทรมานนั้นไปเกิดในภูมิใหม่ที่ดีกว่านั้น

san donta6

[ อ่านเพิ่มเติม : วรรณกรรมอีสาน บุญข้าวสาก ]

อ่านเพิ่มเติม : ความแตกต่างระหว่างบุญข้าวสากกับบุญข้าวประดับดิน

redline

backled1

heet m 09

บุญเดือนเก้า

ฮีตหนึ่งนั้น พอเถิงเดือนเก้าแล้วเป็นกลางแห่งวัสสกาล ฝูงประชาชนชาวเมืองก็เล่า เตรียมตัวพร้อม พากันทานยังเข้าประดับดินกินก่อน ทายกทานให้เจ้าพระสงฆ์พร้อมอยู่ภาย ทำ จั่งซี้บ่ย้ายเถิงขวบปีมา พระราชาในเมืองก็จงทำแนวนี้ ฮีตหากมามีแล้ววางลงให้ถือต่อ จำไว้เด้อ พ่อเฒ่าหลานเว้ากล่าวจา "

ารทำบุญข้าวประดับดิน เป็นประเพณีหนึ่งในฮีตสิบสอง นิยมทำกันในวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า หรือที่เรียกว่า บุญเดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน เป็นบุญที่ทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ เปรต (ชาวอีสานบางถิ่นเรียก เผต) หรือญาติมิตรที่ตายไปแล้ว ข้าวประดับดิน ได้แก่ ข้าวและอาหารคาวหวาน พร้อมหมากพลู บุหรี่ที่ห่อด้วยใบตอง กล้วย นำไปวางไว้ตามใต้ต้นไม้ แขวนไว้ตามกิ่งไม้ ตามบริเวณกำแพงวัดบ้าง (คนอีสานโบราณเรียกกำแพงวัดว่า ต้ายวัด) หรือวางยายไว้ตามพื้นดิน เรียกว่า "ยายห่อข้าวน้อย" (ยาย ภาษาอีสานหมายความว่า การวางเป็นระยะๆ) พร้อมกับเชิญวิญญาณของญาติมิตร นำภัตตาหารไปถวายแด่พระภิกษุ สามเณร แล้วอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตาย โดยหยาดน้ำ (กรวดน้ำ) ไปให้ด้วย

kaopradabdinมูลเหตุของความเป็นมา ของเรื่องการทำบุญข้าวประดับดินนี้ เกิดจากความเชื่อตามนิทานธรรมบท ว่า
    "ญาติของพระเจ้าพิมพิสารได้ยักยอกเงินวัด ของสงฆ์ต่างๆ ไปเป็นของตนเอง ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า พวกอดีตญาติของพระเจ้าพิมพิสารเหล่านั้น ครั้นตายไปแล้วได้ไปเกิดเป็นเปรตในนรกตลอดพุทธันดร เมื่อพระเจ้าพิมพิสารถวายทานแด่ พระสมณโคดมพุทธเจ้า ในภัททกัปป์นี้ ก็ไม่ได้ตรวจน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่พวกญาติเหล่านั้น พอตกกลางคืนพวกเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสารเหล่านั้น ได้มาส่งเสียงร้องอันโหยหวนและแสดงรูปร่างน่ากลัวให้แก่พระเจ้าพิมพิสารได้ยินและเห็น พอเช้าวันรุ่งขึ้นได้เสด็จไปถามพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องราว ที่เป็นมูลเหตุให้พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงทราบ พระเจ้าพิมพิสารได้ทำบุญถวายทานอีก แล้วทรงอุทิศส่วนกุศลไปให้ พวกญาติที่ตายไปแล้วได้รับส่วนกุศลแล้ว ได้มาแสดงตนให้พระเจ้าพิมพิสารเห็นและทราบว่า ทุกข์ที่พวกญาติได้รับนั้นทุเลาเบาบางลงแล้ว เพราะการอุทิศส่วนกุศลของพระองค์" ชาวอีสานจึงถือเอามูลเหตุนี้ ทำบุญข้าวประดับดินติดต่อกันมา

วิธีดำเนินการ พอถึงวันแรม 13 ค่ำ เดือน 9 ช่วงบ่ายๆ เย็นๆ ชาวบ้านจะเตรียมอาหาร มีทั้งคาวหวาน ได้แก่ เนื้อ ปลา เผือก มัน ข้าวต้ม ขนม น้ำอ้อย น้ำตาล ผลไม้ เป็นต้น และหมากพลู ยาสูบ (บุหรี่) เมี่ยงคำ ไว้ไห้พร้อม เพื่อจัดทำเลี้ยงกันเองในครอบครัวส่วนหนึ่ง สำหรับแจกจ่ายให้ญาติพี่น้องส่วนหนึ่ง สำหรับอุทิศให้ญาติที่ล่วงลับส่วนหนึ่ง และทำบุญถวายพระภิกษุสามเณรอีกส่วนหนึ่ง รวมเป็น 4 ส่วน

สำหรับส่วนที่ 3 ที่จะอุทิศให้กับญาติที่ล่วงลับไปแล้วนั้น จะห่อน้อยกว่าส่วนอื่นๆ มีวิธีการห่อคือ ใช้ใบตองห่อขนาดเท่าฝ่ามือ ยาวให้สุดซีกของใบตองที่ตัดมา อาหารคาวหวานนั้นจัดใส่ห่ออย่างละเล็กละน้อย อาทิ

  • ข้าวเหนียวนึ่ง ปั้นเล็กๆ เท่าหัวแม่มือ 1 ก้อน
  • เนื้อปลา เนื้อไก่ เนื้อหมู หรือ อาหารคาวที่สามารถหาได้ตามท้องถิ่น
  • อาหารหวาน เช่น กล้วย น้อยหน่า มะละกอสุก หรือขนมหวานอื่นๆ ตามที่มีหรือหาได้ อาจเป็นก้อนน้ำอ้อย น้ำตาลปึก
  • หมาก บุหรี่ และเมี่ยง อย่างละคำ

ห่อข้าว อาหาร คาวหวานด้วยใบตอง แล้วใช้ไม้กลัดหัวท้าย และตรงกลาง เราก็จะได้ห่อข้าวน้อยที่มีลักษณะยาวๆ ตามซีกของใบตอง 1 ห่อ ส่วนอีกหนึ่งห่อ จะเป็นหมากพลู บุหรี่ และเมี่ยงคำ นำมาห่อในลักษณะเดียวกันจะได้ห่อหมากพลู หลังจากนั้นนำทั้งสองมามัดเป็นคู่ และไปรวมกันเป็นพวงอีกที โดยใน 1 พวง จะใส่ห่อหมากห่อพลูจำนวน 9 ห่อ แต่บางคนก็ใส่ใบตองที่เย็บเป็นกระทงก็มี หรือหากไม่แยกกัน อาจเอาอาหารทั้งคาวหวาน หมากพลู บุหรี่ ใส่ในห่อหรือกระทงเดียวกันก็ได้

kaopradabdin2พอเช้าวันรุ่งขึ้น คือวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 ตอนเช้ามืด คือ เวลาประมาณ 4 ถึง 6 นาฬิกา ชาวบ้านก็นำอาหาร หมากพลู บุหรี่ที่ห่อและมัดเป็นพวงหรือใส่กระทงแล้ว ไปวางไว้ตามพื้นดิน วางแจกไว้ตามบริเวณโบสถ์ ต้นโพธิ์ ศาลา ตามกิ่งไม้หรือต้นไม้ใหญ่ๆ ในบริเวณวัด ชาวบ้านจะทำกันแบบเงียบๆ ไม่มีการตีกลอง ตีฆ้องแต่อย่างใด พร้อมกับจุดเทียนไว้ และบอกกล่าวแก่เปรตให้มารับเอาสิ่งของและผลบุญด้วย

บางหมู่บ้าน จะนำเอาอาหารที่อุทิศให้แก่ผู้ตาย หลังทำพิธีแล้วไปฝังไว้ในดินก็มี เพื่อไม่ให้ผู้ใดผู้หนึ่งกินอาหารที่เป็นเดนเปรต เพราะกลัวจะกลายเป็นเปรตไปด้วย การวางอาหารไว้ตามพื้นดิน หรือตามที่ต่างๆ เพื่อจะให้พวกเปรตมารับเอาของอุทิศให้ได้ง่าย โดยไม่ต้องมีพิธีรีตอง เสร็จพิธีอุทิศผลบุญส่งไปให้เปรตแล้ว ชาวบ้านก็จะนำอาหารที่เตรียมไว้อีกส่วนหนึ่ง ไปตักบาตรและถวายทานแด่พระภิกษุ สามเณร

บุญเดือนเก้า : บุญข้าวประดิบดิน

มีการสมาทานศีลฟังเทศน์ และกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับต่อไป การทำบุญข้าวประดับดิน บางท้องถิ่นมีการห่ออาหารคาว อาหารหวาน หมาก พลู บุหรี่ ไปวางไว้ตามที่ต่างๆ บริเวณวัด ภายหลังการถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณรแล้วก็มี เป็นเสร็จพิธีทำบุญข้าวประดับดิน

kaopradabdin3ข้สังเกต การที่ชาวบ้านนำข้าวปลาอาหาร ไปวางไว้ตามข้างวัดบ้าง ข้างกำแพงบ้าง ผูกไว้ตามกิ่งไม้บ้าง ด้วยเข้าใจว่า ญาติที่ได้รับการปลดปล่อยจากนรก จะได้มากินในวันเดือนดับนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องเหลือวิสัยที่จะชี้ตรงๆ ว่า ญาติเขาเหล่านั้นจะได้รับจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ

  1. เป็นการให้อาหารแก่สัตว์จรจัด สัตว์บางจำพวกที่ไม่มีเจ้าของเลี้ยงดู บางวันได้กินอาหาร บางวันก็ไม่ได้กิน อดโซหิวโหยมาตลอดปี ได้กินอิ่มก็ในวันนี้ นับว่าเป็นความฉลาดน่าชมเชย ของบัณฑิตผู้บัญญัติลักษณะการทำบุญข้าวประดับดินนี้อย่างมากทีเดียว
  2. พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญ มีเรื่องมากมายที่ท่านกล่าวไว้ใน พระสุตตันตปิฎก โดยเฉพาะในธรรมบทขุททกนิกาย ธัมมปทัฎฐกถา ภาค 2 เรื่อง มัฏฐกุณฑลี พระพุทธเจ้าทรงตรัสแก่มัจฉริยพรหมณ์ พ่อของมัฎฐกุณฑลี เมื่อมัฎฐกุณฑลี ลูกชายมีชีวิตอยู่ป่วยลง พ่อไม่ยอมรักษาเพราะกลัวเงินหมด แต่พอมัฏฐกุณฑลี ผู้ลูกชายตายแล้ว พ่อเอาทั้งข้าวทั้งของไปกองให้ลูก แล้วร้องไห้อาลัยหาในป่าช้า บ่นเพ้อให้ลูกชายมาเอาสิ่งของนั้น

kaopradabdin5

kaopradabdin4พระพุทธองค์ตรัสว่า "เปล่าประโยชน์ที่จะเอาข้าวเอาของไปทำเช่นนั้น เพราะคนตายแล้ว เขาก็ไปตามคติ (สุคติ ทุคติ) ของเขา ไม่มีวันย้อนกลับมา รับสิ่งของเหล่านั้นแต่อย่างใด ควรจะทอดทานให้แก่สมณชีพราหมณ์ คนยากจน และสัตว์ดิรัจฉาน ของเหล่านี้จะมีอานิสงส์ งอกเงยไปถึงแก่เปรตชนผู้ล่วงลับไปแล้ว" เพราะพระสงฆ์ เป็นเนื้อนาบุญ จะเป็นไปได้ไหมว่า พระพุทธองค์ไม่อยากจะให้ของเหล่านั้น ต้องเน่าหรีอเสียทิ้งโดยเปล่าประโยชน์

สำหรับของที่ให้แล้ว วางประดับไว้ตามดินที่เรียกว่า ข้าวประดับดิน ในบุญนี้ก็มีเพียงอาหาร ผู้ได้กินอาหารนิ้โดยตรง ที่เห็นๆ ก็คือ สัตว์เดียรัจฉาน ตามนี้ก็ถือว่า ถูกต้องตามพุทธประสงค์แล้ว สำหรับการแจกห่อข้าวน้อยในบุญประดับดินนี้ นิยมแจกตอนเช้า ตั้งแต่ตี 4 จนถึงย่ำรุ่ง ไม่นิยมแจกนอกวัดด้วย

ฮีตที่ ๙ บุญข้าวประดับดินหรือบุญเดือนเก้า นักปราชญ์อีสานโบราณได้กล่าวไว้เป็นบทผญา โดยได้พรรณนาถึงความอุดมสมบูรณ์และประเพณีการทำบุญในเดือนนี้ว่า...

เดือนแปดคล้อยเห็นลมทั่งใบเสียว เหลียวเห็นหมู่ปลาขาวแล่นมาโฮมต้อน
กบเพิ่นนอนคอยท่าฝนมาสิได้ม่วน ชวนกันลงเล่นน้ำโห่ฮ้องซั่วแซว
เดือนเก้ามาฮอดแล้วบ้านป่าขาดอน เห็นแต่นกเขางอยคอนส่งเสียงหาซู้
เถิงระดูเดือนเก้าอีสานเฮาทุกท้องถิ่น คงสิเคยได้ยินบุญประดับดินกินก้อนทานทอดน้อมถวาย "

ารทำบุญข้าวประดับดิน ก็เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติที่ตายไปแล้ว ชาวอีสานถือเป็นประเพณีที่จะต้องทำกันทุกๆ ปีมิได้ขาด โดยได้กำหนดเอาวันแรม 14 คำ เดือนเก้า เป็นเกณฑ์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือนเก้าดับ" บางท้องถิ่นอาจจะเรียกว่า "บุญเดือนเก้าลับ" ก็มี

 

รายการทีวีชุมชน ช่อง ThaiPBS ตอน ข้าวประดับดิน

อ่านเพิ่มเติม : ความแตกต่างระหว่างบุญข้าวประดับดินกับบุญข้าวสาก

redline

backled1

isan word tip

isangate net 345x250

ppor blog 345x250

adv 345x200 1

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)