![]()
|
นอกจากที่อยู่อาศัย อาหาร ยารักษาโรคที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตแล้ว มนุษย์ยังมีความต้องการเครื่องนุ่มห่มใช้สวมใส่เพื่อปกป้องร่างกายจากสภาวะอากาศ สภาพแวดล้อม ให้มีความปลอดภัย ความสะดวกสบาย ความสุภาพ และเพื่อสะท้อนถึง สังคม ศาสนา วัฒนธรรม รวมถึง รสนิยมเฉพาะตัวบุคคลด้วย เสื้อผ้าบางชนิดอาจออกแบบให้สวมใส่เฉพาะเพศ (แต่ไม่นับกรณีการแต่งตัวข้ามเพศ) เสื้อผ้าที่ใส่เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐาน ใส่ไว้เพื่อป้องกันร่างกายไม่ให้ได้รับความอันตรายจากสิ่งแวดล้อมอย่างอากาศ แสงแดดที่รุนแรง ความหนาวสุดขั้ว ฝน กันแมลง สารเคมี อาวุธ และอันตรายอย่างอื่น มนุษย์รู้จักการนำวัสดุต่างๆ มาถักทอเป็นผืนผ้า นำมาตัดเย็บ นุ่งห่ม มานานนับพันปี
ในชุมชนอีสานแบบดั้งเดิม ชาวบ้านทอผ้าใช้เองเป็นการผลิตแบบครบวงจร ตั้งแต่การปลูกฝ้าย ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม เพื่อให้ได้มาทั้งใยฝ้ายและเส้นไหม สำหรับการถักทอเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งผลิตควบคู่ไปกับการประกอบอาชีพหลัก คือ การทำนา ทำไร่ โดยอาศัยแรงงานในครัวเรือนเป็นหลัก “ยามว่างจากงานในนา ผู้หญิงทอผ้า ผู้ชายจักสาน” เป็นคำกล่าวที่สะท้อนให้เห็นสภาพการดำรงชีวิตและสังคมของชาวอีสานได้ชัดเจน เครื่องมือที่ใช้ทอผ้าเรียกว่า “กี่” เป็นเครื่องมือที่พัฒนาจากการทอผ้าด้วยฟืมเล็กๆ ผูกด้ายเส้นยืนกับต้นไม้หรือเสาเรือน พัฒนามาเป็น "กี่ทอผ้า" ในยุคปัจจุบัน
กี่ หรือ หูก เป็นเครื่องมือสำหรับทอผ้า มีหลายขนาดและชนิด แต่มีหลักการพื้นฐานอย่างเดียวกัน คือ การขัดประสานระหว่างด้ายเส้นยืน และด้ายเส้นพุ่ง จนแน่นเป็นเนื้อผ้า คล้ายกับการจักสานลายขัดทั่วไป แต่มีความละเอียดสูงกว่า เนื่องจากเส้นด้ายมีขนาดที่เล็กและละเอียดกว่าตอกไม้ไผ่
กี่ทอผ้า (Loom) ทางภาคเหนือและอีสานบ้านเฮา รวม สปป.ลาว เรียกว่า หูก, โฮงหูก ทางภาคใต้เรียก เก หรือ โหก เป็นเครื่องมือสำหรับทอผ้า ในแต่ละภาคจะมีรูปแบบแตกต่างกันไป มีทั้งแบบเรียบง่าย จนถึงแบบที่มีการแกะสลักลวดลายตามหัวเสา หรือคานกี่อย่างวิจิตรตามวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อมา ทำด้วยไม้มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีสี่เสา มีคานโครงยึดให้แข็งแรง ซึ่งมีลักษณะร่วมคล้ายกับเครื่องมือที่ใช้ทอผ้าของคนทั่วโลก มีขนาดแตกต่างกันตามขนาดหน้าฟืม (ฟันหวีกระแทกเส้นพุ่ง) ที่กำหนดขนาดกว้างของผ้าที่ทอ โครงสร้างของกี่มีส่วนประกอบที่สำคัญคือ ฟืม ตะกอ รางกระสวย ผัง (ไม้บังคับหน้าผ้า) ไม้กำพั่น (ไม้ม้วนผ้า) คานเหยียบ โดยทั่วไปกี่ทอผ้าแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ กี่พื้นเมือง และกี่กระตุก
กี่พื้นเมือง บางทีก็เรียก "กี่กระทบ" เป็นเครื่องทอผ้าแบบดั้งเดิมที่ใช้กัน ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมของไทยมาช้านาน เป็นมรดกที่สำคัญของชาติไทยที่ควรอนุรักษ์ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา
กี่ทอผ้า ในภาคอีสานส่วนใหญ่เป็นแบบขาตั้งดังภาพประกอบ นิยมทำจากไม้เนื้อแข็ง (ปัจจุบันมีการใช้วัสดุประเภทเหล็กกล่อง และท่อพลาสติกแทนไม้เนื้อแข็ง เนื่องจากมีความทนทาน แข็งแรง และหาได้ง่ายกว่า) มีส่วนประกอบต่างๆ ดังนี้
กี่ทอผ้าโบราณ จาก บ้านคำปุน
กี่กระตุก ที่พัฒนาต่อมาจากกี่พื้นเมือง โดยเพิ่มสายกระตุกเข้ามา เพื่อดึงกระสวยให้พุ่งผ่านเส้นยืนแทนการสอดกระสวยด้วยมือ เพื่อให้สามารถทอผ้าได้รวดเร็วขึ้น กี่กระตุกเหมาะสำหรับการทอผ้าพื้น ผ้ามัดหมี่ และผ้าขิดที่มีลวดลายไม่ซับซ้อนมากนัก
รายละเอียดของการทอผ้าด้วยกี่
เรียนรู้การทอผ้าแบบเต็มรูปแบบ: เรียนรู้วิถีไทย
สืบสานอนุรักษ์ราชินีผ้าไหมแพรวา บ้านโพน จังหวัดกาฬสินธุ์ : ทั่วถิ่นแดนไทย
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง : คุณค่าผ้าทออีสาน | ผ้าทออีสาน2 | ผ้ากาบบัวอุบลฯ | ผ้าไหมสุรินทร์
สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประคำสวย ร่ำรวยปราสาท
ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรม "
ตามคำขวัญของจังหวัดสุรินทร์ข้างต้น จะเห็นว่ามีการชูสิ่งที่เด่นเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดมาหลายอย่าง ถ้าถามผู้คนทั่วไปว่า "เมื่อให้นึกถึงจังหวัดสุรินทร์ จะนึกถึงอะไร?" คำตอบแรกๆ คงเป็น "ช้างสุรินทร์" ถัดมาคงเป็น "ผ้าไหมสุรินทร์" ที่เราจะกล่าวถึงรายละเอียดกันในบทความนี้ จากนั้นถึงจะเป็นเครื่องประดับอย่างประเกือมหรือประคำ (เครื่องเงิน) ไปจนถึงปราสาทหินและอื่นๆ ตามคำขวัญดังที่กล่าวด้านบน
จังหวัดสุรินทร์ ประกอบไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย แต่ที่มีความเกี่ยวข้องกับลวดลายผ้านั้น มีสำคัญอยู่ 3 ชาติพันธุ์ คือ ชาติพันธุ์เขมร, กูย และลาว ซึ่งแต่ละชาติพันธุ์จะมีเอกลักษณ์ของลวดลายบนพื้นผ้าแตกต่างกันออกไป ซึ่งผ้าไหมในจังหวัดสุรินทร์นั้น มีทั้งผ้าไหมลายมัดหมี่, ลายยกดอก, ลายขิด, ลายโครงสร้าง, ลายพื้น หรือเทคนิคการสร้างลวดลายแบบผสม โดยนำเทคนิคของผ้าลายมัดหมี่มาทอยกดอก
คนไทยเชื้อสายเขมร นิยมใช้ผ้าไหมซึ่งเป็นลายที่มีเอกลักษณ์ของกลุ่มชน มีรูปแบบลายผ้าที่เรียบง่ายสีสันสวยงาม มีการทอสืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ อันได้แก่
ผ้ากระเนียว หรือ ผ้าลายหางกระรอก เป็นผ้าทอที่มีลายเป็นริ้วตรง ใช้ไหมพุ่งที่ควบกันสองสี และไหมยืนเส้นใช้สีเดียวกันยืนพื้น ผ้าชนิดนี้สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นผ้าที่มีการรู้จักทอ และใช้นุ่งเป็นลายรุ่นแรกๆ ผ้าในกลุ่มที่ใช้เทคนิคการทอลักษณะนี้ได้แก่ ผ้าจะปันชวร อันลูนซีม (ลายสยาม) ผ้ากระเนียว ผ้าดังกล่าวผู้หญิงทุกวัยนิยมนำนุ่งกันในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าเป็นโอกาสสำคัญจะใช้ผ้าดังกล่าวนี้ต่อเชิงผ้านุ่งอย่างสวยงาม
"ผ้าหางกระรอก" เป็นผ้าทอโบราณที่มีลักษณะลวดลายเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความประณีตและงดงาม โดยใช้เทคนิคการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าไท คือ "การควบเส้น" หรือคนไทยเรียกว่า "ผ้าหางกระรอก" ในจังหวัดสุรินทร์เรียก “ผ้าโฮลเปราะห์” (โฮลบุรุษ) ภาษาไทยเรียกผ้ามัดหมี่แบบนี้ว่า ผ้าสมปัก ผ้าปูม บางครั้งเรียก สมปักปูม คำว่า โฮล เป็นภาษาเขมร แปลว่า ผ้าไหมมัดหมี่ ซึ่งพ้องเสียงกันกับคำว่า "โฮรร" ซึ่งแปลว่า ไหล ลักษณะเนื้อแน่น เส้นไหมเล็กละเอียด เนื้อผ้าจะบางเบา อ่อนนุ่ม สีเขียวด้านหน้าเป็นสีอ่อน อีกด้านเป็นสีเข้มกว่า ลวดลายเป็นแบบฉบับของชาวสุรินทร์ เป็นผ้านุ่งสำหรับผู้ชาย ใช้นุ่งห่มในงานบุญ พิธีสำคัญ งานพิธีมงคลต่างๆ และใช้เป็นผ้านุ่งในโอกาสพิเศษ สำหรับสตรีจะใช้ผ้านุ่งที่ทอแปลงเป็นลายริ้วต่างออกไป เรียกว่า “โฮลแสร็ย”
ผ้าหางกระรอก ถือเป็นผ้าโบราณ ที่พบมากในแถบอีสานใต้ คือ จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และนครราชสีมา นอกจากนี้ยังพบในภาคใต้ที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช และตรัง ด้วย
เทคนิคการทอผ้า โดยใช้ไหมเส้นพุ่ง 2 เส้นควบกัน โดยนำมาตีเกลียวควบเข้าด้วยกันให้เป็นเส้นเดียว โดยใช้อุปกรณ์ในการตีคือ ไน และโบก ผ้าหางกระรอกโดยทั่วไปนิยมใช้สีเหลืองมาควบ เมื่อนำมาทอเป็นเส้นพุ่งบนผืนผ้า จะทำให้ผ้าทอที่เป็นผ้าพื้นมีความสวยงามจากสีเหลืองของไหม เส้นไหมสองเส้นสองสีมาตีเกลียวควบให้เป็นเส้นเดียวกัน เรียกว่า “เส้นควบ”, “เส้นลูกลาย” หรือ “เส้นหางกระรอก” จากนั้นนำมาทอพุ่งขัดกับเส้นยืน ซึ่งใช้สีอีกสีหนึ่งอาจเข้มหรืออ่อนกว่าสีที่ใช้ เพื่อให้เกิดลายขัดเด่นขึ้นมา จะได้ผ้าพื้นที่มีลายเหลือบเล็กๆ ในเนื้อผ้าดูคล้ายจะมีปุยขนอ่อนขึ้นมา เหมือนกับเส้นขนของหางกระรอก จึงเรียกว่า “ผ้าหางกระรอก”
เทคนิคการทอผ้าชนิดนี้ นับเป็นเทคนิคดั้งเดิมของชนเผ่าไท เพราะมีการทอผ้าชนิดนี้ในชนเผ่าไทดั้งเดิม คือ ชาวภูไท และไทลาว เรียกเทคนิคนี้ว่า "การเข็น" ไทยวน เรียกว่า "ปั่นไก" กลุ่มชาวไทพวน เรียกว่า "มะลังไม" หรือ "มับไม" กลุ่มไทภาคกลาง ไทภาคใต้ และไทอีสานทั่วไปเรียกว่า "ผ้าหางกระรอก" ส่วนชาวไทเชื้อสายเขมร และชาวส่วย (กูย) เรียกเป็นภาษาเขมรว่า "กระเนียว" หรือ “กะนีว” ชาวไทยอีสานแต่โบราณจะนำผ้าหางกระรอก หรือบางที่เรียกว่า ผ้าม่วง มานุ่งเป็นโจงกระเบน
ชาวกูย นิยมใช้และทอผ้าไหมควบ สตรีชาวกูยมีความชำนาญในการตีเกลียวเส้นไหม เรียกว่า ละวี หรือ ระวี ตามความเชื่อ เรื่องความกลมเกลียวสามัคคีกันในครอบครัว และสายตระกูลที่นับถือผีด้วยกัน การนำไหมสองสีมาควบกันเรียกว่า “กะนีว” หรือ “ผ้าหางกระรอก” เมื่อนำมาใช้เป็นเส้นพุ่งทอกับเส้นยืน สีพื้นจะทำให้เกิดลายเหลื่อมกันเป็นสีเหลืองคล้ายหางกระรอก ลักษณะของผ้ากะนีวนี้ผิวสัมผัสจะมีความมันระยิบระยับ เมื่อนำไปส่องกับแดดจะแยกสีได้ชัดเจน ผู้ชายไทยกูย นิยมนุ่งผ้าไหมควบ (หะจิกกะน้อบ) สำหรับการนุ่งโจงกระเบน
นอกจากนี้ ชื่อเรียกผ้าชนิดนี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ตามรูปลักษณ์ที่มุ่งเน้น เช่น บางพื้นที่เรียกว่า ผ้าวา ผ้ายาว ซึ่งเป็นการเรียกตามลักษณะความยาวของผืนผ้าที่ยาวกว่าผ้าถุงเท่าตัว ผ้าลายตาราง หรือผ้าโสร่ง จะมีลักษณะเป็นตาตารางใหญ่ สี่เหลี่ยมจัตุรัส มีหลายสี ทั้งแดง เขียว เหลือง น้ำเงิน สลับกันตลอดทั้งผืน ขีดคั่นระหว่างตาตารางสีใหญ่นั้นด้วย ริ้วขีดคั่นสีแดง หรือสีขาวหรือสีเหลือง เป็นเส้นเล็กๆ ทั้งผืน จะมีหน้ากว้างประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 2 เมตร แล้วเย็บเข้าด้วยกันเป็นถุง คล้ายกับผ้าซิ่นของผู้หญิง โทนสีของผ้าจะมี 2 โทน คือ ผ้าโสร่งแดง จะมีสีสันสดใส สำหรับผู้ชายที่มีอายุยังไม่สูงนัก ไม่เกิน 40 ปี แต่ถ้าเป็นผู้ชายสูงวัยจะใช้ผ้าโทนสีเข้ม เรียกว่า ผ้าโสร่งดำ บางพื้นที่ก็เรียกว่า ผ้าควบ เพราะถือเอาวิธีการทอแบบตีเกลียวควบมาใช้เป็นชื่อเรียก แต่คนส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า ผ้าหางกระรอก มากกว่า
การนำไปใช้ประโยชน์ สมัยโบราณนิยมใช้เป็นผ้านุ่งโจงกระเบนในงานพิธีสำคัญต่างๆ สำหรับผู้ชาย นอกจากนี้ยังเป็นผ้าที่ใช้ในพิธีกรรมเช่น ใช้ให้นาคนุ่งในงานอุปสมบท ผ้าห่อบาตร และเป็นผ้าปกคลุมโลงศพ ผ้าหางกระรอกจึงเป็นผ้าผืนสำคัญของครอบครัว ที่ผู้เป็นแม่ ยาย ย่า จะทอฝากไว้ให้ลูกหลานด้วยความตั้งใจ หวังฝากฝีมือฝากชื่อไว้กับผืนผ้า เพื่อยามตายไปจะได้ใช้ปกโลงศพ ดังคำกล่าวที่ว่า "ย่านตายไป บ่มีผ้ายาวปกหน้า อยากอายบ้านอายเมืองเพิ่น" ปัจจุบันได้มีการทอผ้าหางกระรอกประยุกต์ให้มีลวดลาย สีสัน สวยงามเหมาะสำหรับนำไป ตัดเย็บ เสื้อผ้า รวมถึงพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เป็นผ้าคลุมไหล่ ผ้าพันคอ ผ้าห่ม ฯลฯ
ผ้าลายมัดหมี่ เช่น ผ้าลายโฮล (ลายน้ำไหล) หรือ ผ้าคั่น เป็น เทพีแห่งผ้าไหมเขมร ผ้าโฮล เป็นผ้าไหมมัดหมี่ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยขแมร์ ถือเป็นลายเอกลักษณ์ของลายผ้าไหมมัดหมี่ จังหวัดสุรินทร์ “โฮล” เป็นคำในภาษาเขมร เป็นชื่อเรียกกรรมวิธีการผลิตผ้าไหมประเภทหนึ่ง ที่สร้างลวดลายขึ้นมาจากกระบวนการมัดย้อมเส้นไหม ให้เกิดสีสันและลวดลายต่างๆ ก่อน ใช้เส้นไหมน้อย (ส่วนในสุดของเส้นไหม) ในการทอ ทำให้เป็นผ้าไหมมัดหมี่เนื้อแน่น เส้นไหมเล็กละเอียด เนื้อผ้าจะบางเบา เนื้นแน่นเนียน อ่อนนุ่ม ลวดลายสีสันเป็นแบบฉบับของชาวสุรินทร์ ซึ่งได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมจากศิลปะของเขมร ซึ่งตรงกับคำว่า “ผ้าปูม” ในภาษาไทย “มัดหมี่” ในภาษาลาว และคำว่า IKAT (อิ-กัด) ซึ่งเป็นภาษากลุ่มอินโดนีเซีย-มาลายู ซึ่งชาวตะวันตกมักรู้จัก ผ้ามัดหมี่ ของมาเลย์-อินโดนีเซีย และเรียก IKAT ตามไปด้วย
คำว่า “โฮล” ในภาษาเขมรสุรินทร์สมัยหลังจำกัดความให้มีความหมายแคบลงมาอีก ใช้เรียกเฉพาะเจาะจงถึง ผ้านุ่งที่สร้างจากกระบวนการมัดย้อมเส้นพุ่ง แล้วนำมาทอให้เกิดลวดลายต่างๆ แบบผ้าปูมของขุนนางในราชสำนักสยาม ด้วยวิธีการเฉพาะเรียกว่า จนองโฮล โดยการมัดหมี่ผ้าโฮลนั้น นิยมมัดหมี่ 21 ลํา ซึ่งการมัดหมี่เพียงหนึ่งลาย สามารถทอได้ถึง 4 แบบด้วยกัน ได้แก่ ผ้าโฮลเปราะห์ (ลายโฮลผู้ชาย) ผ้าโฮลแสร็ย (ลายโฮลธรรมดา หรือโฮลผู้หญิง) ผ้าโฮลเกียรติ และผ้าโฮลปะนะ ในการค้นลํามัดหมี่ มัดหมี่โฮลแต่ละลําจะเป็นอิสระต่อกัน การทอจะใช้เทคนิคการทอพิเศษ โดยการทอผ้าให้ลายเฉียงขึ้นเรียกว่า “ปะนะ” การมัดย้อม จะนิยมใช้สีธรรมชาติ และมัดย้อมหลายครั้ง ละเอียดทุกขั้นตอน การย้อมสีผ้าโฮล คือ จะต้องให้ครูทอผ้ามาสอนวิธีการย้อมเสียก่อน เพราะถือกันว่า เป็นผ้าครู ที่จะต้องผ่านกระบวนการครอบบครูเสียก่อน ผ้าโฮลมี 5 สี ได้แก่ สีดํา, แดง, เหลือง, น้ําเงิน และ เขียว ได้จากการย้อมด้วยสีธรรมชาติ เนื้อผ้ามักมี 2 สี ด้านหน้าเป็นสีอ่อน อีกด้านหนึ่งเป็นสีเข้มกว่า
ผ้าโฮลมีกรอบมีเชิงสำหรับบุรุษนุ่ง เรียกว่า “โฮลเปราะห์” สำหรับสตรีใช้นุ่งทอแปลงเป็นลายริ้ว เรียกว่า “โฮลแสร็ย” ปัจจุบันนี้ โฮลเปราะห์ (โฮลสำหรับผู้ชายนุ่ง) แทบหาตัวคนผลิตไม่ได้ และไม่เป็นที่รู้จักกันในวงกว้างอีกต่อไป คำว่า ”โฮล” ในปัจจุบันแทบจะมีความหมายตกไปอยู่ที่ โฮลแสร็ย (โฮลสตรี) เกือบทั้งหมดเพราะฉะนั้นคำว่า ”โฮล” โดดๆ ในภาษาเขมรสุรินทร์ปัจจุบัน จึงมีความหมายเจาะจงอยู่ในแค่ผ้าโฮลลายริ้วที่สตรีใช้นุ่งเท่านั้น คำเรียก ผ้าโฮลสตรี ชนิดเดียวกันนี้ในภาษาเขมรสุรินทร์ ได้เรียกปลีกย่อยออกไปอีกหลายอย่าง เช้น โฮลปันเตื๊อด (บรรทัด) โฮลปะนะ, โฮลอันลูย
ใช้เทคนิคการทอแบบผ้ากระเนียวผสมกับการมัดหมี่ ผ้าโฮลนี้นิยมนำมาต่อเชิง ผ้ามัดหมี่ทั้งผืนส่วนใหญ่จะทอเป็นรูปสัตว์ และรูปพรรณพฤกษาตามจินตนาการ หญิงทุกวัยนิยมนำมานุ่งในโอกาสงานแต่ง หรืองานบุญต่างๆ การทอผ้าแบบนี้แสดงถึงพัฒนาการการทอผ้าแบบดังเดิม แล้วนำมาผสมสานจนเกิดลายผ้าแบบใหม่ขึ้นมาของชาวเขมร
ผ้าทอยกดอก เช่น ผ้าเก็บ หรือ ผ้าลายลูกแก้ว เป็นการใช้เทคนิคการเพิ่มตะกอให้มากขึ้นกว่าสองตะกอ ลายผ้าที่ได้จะเป็นลายดอกนูนขึ้นมาตลอดทั้งผืน เป็นผ้าทอที่ต้องใช้เทคนิคความสัมพันธ์ในการเหยียบตะกออย่างชำนาญ แต่ทอยากไม่เท่าผ้าละเบิกเพราะใช้ไหมยืนและไหมพุ่งสีเดียวกัน ใช้ในกลุ่มหญิงสูงวัย ซึ่งนิยมนำไปย้อมดำด้วยลูกมะเกลือ แล้วนำไปอบด้วยเครื่องหอมให้ติดกับเนื้อผ้า นำมาเป็นผ้าเบี่ยงไหล่
ผ้าลายอันลูน หรือ ผ้าลายตาราง ซึ่งใช้ไหมพุ่งและไหมยืนหลายสีแบบเดียวกันทอขัดกัน เกิดเป็นตาราง ถ้ามีขนาดใหญ่เรียกว่า อันลูนธม ถ้าขนาดเล็กเรียกว่า อันลูนตู๊จ เป็นลายผ้าที่รู้จักทอนุ่งรุ่นถัดมา ซึ่งซับซ้อนขึ้นมาหน่อย กลุ่มผ้าทอแบบนี้มีลายผ้าต่างๆ กันเช่น ผ้าสมอ ผ้าสาคู ผ้าดังกล่าวนิยมใช้ในกลุ่มหญิงสูงวัยใช้นุ่งอยู่บ้าน ผ้าอัมปรม ผ้าละเบิก ผ้าสองชนิดนี้นิยมใช้ในกลุ่มหญิงสูงวัย ใช้นุ่งในโอกาสสำคัญ ซึ่งมีการทอที่ยากขึ้นมาอีก โดยเฉพาะผ้าอัมปรมต้องใช้เทคนิคการมัดย้อมเข้ามาทอด้วย ส่วนผ้าละเบิกต้องใช้ตะกอมาก ลายที่ได้จะแปลกตา และผ้าที่ใช้ในผู้ชาย เช่น ผ้าโสร่งใช้นุ่ง ผ้ากลา และผ้าจดอ ใช้พาดไหล่
ผ้าละเบิก เป็นผ้านุ่งพื้นเมืองประเภทยกดอกลายตารางสี่เหลี่ยม ใช้เส้นยืนหลายๆ สี สีละ 2-4 เส้น เรียงสลับกันไปตามหน้ากว้างฃองผืนผ้า ทอ 4 ตะกอ โดยยกทีละ 2 ตะกอ ลักษณะผ้าเหมือนมีช่องสี่เหลี่ยมเป็นช่วงๆ ดูเผินๆ จะเห็นเป็นลายตาราง ดูใกล้ๆ จะเห็นเป็นลายยกในเนื้อผ้า
ผ้าอัมปรม ผ้านุ่งที่เป็นอาภรณ์ที่ใช้ห่อหุ้มส่วนล่างของร่างกาย ตั้งแต่บั้นเอวลงไป การนุ่งผ้านั้นมีศิลปะการนุ่งที่แตกต่างกันตามกาลเทศะ ความนิยมในกลุ่มที่เห็นว่า มีความสวยงาม มีทั้งนุ่งสั้นเสมอเข่า นุ่งยาวเพียงครึ่งน่อง หรือนุ่งยาวกรอมข้อเท้า หรือต้องการความคล่องตัวขณะทํางานก็นุ่งแบบหยักรั้ง เป็นต้น ในจังหวัดสุรินทร์ มีชนเผ่า 3 กลุ่มได้แก่ เขมร ลาว และ กูย (ส่วย) ซึ่งมีการทอผ้าใช้ในครัวเรือนจนถึงปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่เป็นผ้านุ่ง ผ้าขาวม้า ผ้าสไบ ผ้าสีพื้นและอื่นๆ ทั้ง 3 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีเอกลักษณ์ของลวดลาย และเทคนิคการทอเป็นของตนเอง
เสื้อผ้าของสตรีของชาวกูย เรียกว่า “ฮั่ว” ส่วนมากสตรีชาวกูยจะสวมใส่เสื้อ และใช้ในทุกโอกาสทั้งงานบุญประเพณี งานพิธีต่างๆ ทั้งงานมงคลและงานอวมงคล โดยทั่วไปประกอบด้วยเสื้อ และผ้าซิ่น กล่าวคือ เสื้อกูย หรือฮั่วกูย เป็นเสื้อที่ตัดและเย็บด้วยมือ โดยใช้ผ้าไหมยกดอก (แค็บ) สีดําที่ย้อมด้วยเม็ดมะเกลือแขนยาว ปักแซวด้วยเส้นไหมสีขาว สีแดง สีเขียว สีเหลือง หรือสีอื่นๆ ตามความชอบ โดยจะแซวสลับกันไปตามแนวตะเข็บของเสื้อ เช่น ตะเข็บข้าง ตะเข็บวงแขน รอบคอ สาบเสื้อด้านหน้าและชายเสื้อ
ส่วนกระดุมใช้กระดุมเงิน (กะตุมประ) หรือโลหะ หรือร้อยเส้นไหม ผ้าซิ่นหรือผ้านุ่ง สตรีชาวกุยนิยมนุ่งผ้าไหมมัดหมี่ หรือผ้าไหมหลายเข็น (จกระวี) ผ้าซิ่นของสตรีกุย มีส่วนประกอบแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 เรียกว่า หัวซิ่น (อัมปรม หรือปลอดจิก) ส่วนที่ 2 คือ ตัวซิ่น ส่วนที่ 3 เรียกว่า ตีนซิ่น (กะปูล หรือเญิงจิก หรืออินเญิง) การแต่งกายของชาวกุยมีลักษณะพิเศษ เสื้อผ้าที่ใช้ในการแต่งกายจะมีทั้งพวกผ้าฝ้าย ซึ่งจะปลูกฝ่ายไว้เพื่อทอเป็นเสื้อ กางเกง ผ้าถุง ผ้าขาวม้า สีที่ย้อมมีสีน้ําเงินได้จากต้นคราม สีดําได้จากผลมะเกลือ สีเหลืองได้จากขมิ้น แก่นขนุน และเข สีแดงได้จากครั่ง
ชาวกุย ก็ยังมีความสามารถในการทอผ้าไหมได้ดี และค่อนข้างซับซ้อนในกระบวนการผลิต จึงทําให้ผ้าไหมของชาวกุยมีราคาแพง ผู้ใช้ผ้าไหมต้องเป็นผู้มีฐานะดีเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปไม่นิยมใช้เพราะดูแลรักษายาก จะใช้เฉพาะกรณีพิเศษเท่านั้น
อัมปรม หรืออัมเปิ้น หรือหัวซิ่น เป็นส่วนประกอบสําคัญของผ้านุ่งอย่างหนึ่ง มีความยาวประมาณ 2 เมตร ถึง 2 เมตรครึ่ง หรือตามความกว้างของผ้านุ่ง กว้าง ประมาณ 6 นิ้ว นิยมพื้นสีแดงทอยกขิตเป็นลวดลายต่างๆ เป็นช่วงๆ เป็นลายตามขวางแต่เมื่อนํามาต่อกับผ้านุ่งหรือผ้าซิ่นด้านบน ลายจะอยู่ในแนวตั้ง ลวดลายที่ปรากฏนิยมทอลายขอ ที่จัดอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ทอขิดเต็มหน้าผ้า ปิดหัวท้ายชุดลายด้วยการขิดเส้นประสีขาว กับสีเหลือง อย่างละ 1 เส้น สําหรับการทอลวดลายต่างๆ เหล่านี้ รูปแบบ สีสัน จะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับจินตนาการของช่างทอ
ประโยชน์ของหัวซิ่น คือ ทําให้ผ้านุ่งมีความยาวมากขึ้น เมื่อขมวดหัวซิ่นหรือคาดเข็มขัดแล้ว จะดึงหัวซิ่นให้ยาวออกมาทําเป็นชายพก ใช้เก็บของมีค่า หรือสิ่งของอื่นแทนกระเป๋าถือ และอีกประการหนึ่งคือ ทําให้ได้โชว์ลายผ้านุ่งได้เต็มตัว ชาวกูยเลี้ยงช้างจึงใช้ผ้าอัมเปิ้นนี้ห่อเครื่องรางของขลัง โดยมัดเป็นเปลาะๆ เพื่อแยกเครื่องรางของขลังเป็นส่วนๆ คาดเอวติดตัว เมื่อออกไปคล้องช้างป่า
ในปัจจุบันนักออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย นําอัมปรม หรืออัมเปิ้น หรือหัวซิ่นไปดัดแปลงตกแต่งเสื้อผ้าสมัยใหม่ได้งดงาม เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ยังได้นําไปตัดเย็บเป็นเครื่องใช้สําหรับตกแต่งบ้านเรือนอีกด้วย
โดย ติ๊ก แสนบุญ
ความตาย คือ กฎของธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ปรากฏอยู่ เป็นสัจจะธรรมในทุกสรรพสิ่งซึ่งไม่มีใครสามารถหลีกหนีได้ และการตายก็คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ลดความอหังการ และยังช่วยบรรเทาอัตตา ตัวกู ของกู รวมถึงพวกกู จนเกิดวลีกินใจ เช่น ยิ่งใหญ่คับฟ้ามาจากไหนก็เล็กกว่าโลง (โลงศพ) หรือวลีที่ชวนให้ปลงสลดซึ่งได้ยินอยู่เสมอๆ ในงานศพ เช่น เกิดมาก็มาแต่ตัวจนเมื่อสิ้นลมตายไป ก็ไปแต่ตัวไม่สามารถเอาอะไรไปได้สักอย่าง (แม้แต่สังขารร่างกายของตัวเอง) ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นลาภยศสรรเสริญที่ไขว่คว้าแย้งชิงมา สุดท้ายก็เหลือเพียงแต่เถ้าถ่าน และคุณงามความดีที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับคนอื่น และสังคม เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้ระลึกนึกถึงตนเอง (ในแง่ดีๆ)
พิธีเผาศพตามประเพณีพื้นเมืองสองฝั่งโขง ภาพเขียนลายเส้นของชาวยุโรป ช่วงปลายรัชกาลที่ ๔ ถึงต้นรัชกาลที่ ๕
ดังนั้น พิธีกรรม ที่ถือว่าแรกเริ่มสุดของมนุษย์ จึงน่าจะเป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับคนตาย โดยเฉพาะการจัดการกับศพซึ่งมีอยู่หลากหลายรูปแบบ นับตั้งแต่ฝังเผา รมควัน อาบน้ำยา ดอง กินทั้งดิบ หรือ สุก (ตามความเชื่อว่า เพื่อสืบทอดสิ่งสำคัญของบรรพบุรุษไว้ให้ลูกหลาน) ปล่อยให้เน่า หรือทิ้งไปเฉยๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับค่านิยมทางวัฒนธรรมที่มนุษย์มีต่อชีวิตและปัจจัยอื่นๆ ทางสังคมวัฒนธรรม เช่น เพศ สถานภาพ อายุ ตำแหน่ง ลักษณะการตายรวมทั้งสภาพแวดล้อมของแต่ละสังคม ที่ทำให้มีพิธีกรรมที่แตกต่างกันไป โดยพิธีกรรมต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อว่า ความตายมิใช่เป็นเพียงจุดสิ้นสุดของชีวิตโดยสมบูรณ์เท่านั้น แต่ยังคือการเปลี่ยนสภาพจากโลกที่อาศัยอยู่ หรือจากสิ่งที่มีชีวิตอยู่ไปสู่อีกโลกหนึ่ง หรืออีกสภาวะหนึ่ง โดยอาศัยพิธีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพของศพเช่น การปล่อยให้เน่าเปื่อย ให้นกกากินเหลือแต่กระดูก หรือการเผา (ปราณี วงษ์เทศ 2543) และตัวพิธีกรรมได้สร้างบทบาทสถานะภาพใหม่ให้กับผู้ตาย ที่แสดงการแบ่งแยกระหว่างคนตายและคนเป็น ดั่งมีหลักฐานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้วว่า
ผู้คนในอุษาคเนย์เชื่อว่า คนตายจะไปอยู่ในดินแดนบรรพบุรุษ ภาพสลักบนกลองมโหระทึกชิ้นหนึ่ง แสดงการเดินทางของวิญญาณผู้ตายไปยังดินแดนบรรพบุรุษโดยทางเรือ บรรพบุรุษในดินแดนแห่งนี้คือ "พลังชีวิต" หรือ พลังที่ก่อให้เกิดความงอกงามบนพื้นโลก อาจติดต่อกับลูกหลานในโลกได้โดยผ่านพิธีกรรม และตราบเท่าที่ลูกหลานยังรักษาความสัมพันธ์กับบรรพบุรุษไว้ พลังชีวิตก็จะหลั่งลงมาแก่ชีวิต และแผ่นดินของลูกหลานต่อไป (นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2551)
ในด้านพัฒนาการทางประวัติศาสตร์โบราณคดี พิธีศพของคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นบุคคลสำคัญ หรือธรรมดา เครือญาติจะเก็บศพไว้หลายวันหลายคืน เพื่อส่งวิญญาณ โดยกินเลี้ยงกับกินเหล้า แล้วขับลำบอกเล่าเรื่องราวของเผ่าพันธุ์ พิธีศพของไทยที่เก็บศพไว้ฉลองนานวันก็มาจากประเพณีดึกดำบรรพ์ 3,000 ปีมาแล้วอย่างนี้เอง โดยเมื่อครบกำหนดที่ตกลงกัน ก็จะมีการแห่ศพที่อาจห่อหุ้มด้วยเครื่องจักสาน อย่างใบไม้ไปฝังบริเวณที่กำหนด รู้กันว่าเป็นสถานที่เฉพาะที่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์กลางหมู่บ้าน มีเสาไม้ปักไว้เป็นเครื่องหมายล้อมรอบ ต่อมาใช้แผ่นหินเป็นแท่งเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ตามฐานะของชุมชน แท่งหินนี้ คนปัจจุบันเรียก "หินตั้ง" ซึ่งต่อไปเมื่อรับพุทธศาสนาแล้วเรียกว่า เสมาหิน หรือ ใบเสมา ในปัจจุบัน (สุจิตต์ วงษ์เทศ 2549)
โดยคติการทำหลักไม้ หรือ หลักหินตั้ง ที่เป็นเครื่องหมาย เพื่อกำหนดรู้ขอบเขตที่ตั้งบริเวณที่เผ่า หรือบริเวณที่ฝังหม้อกระดูกคนตายดังกล่าวนี้ ยังพบเห็นได้โดยทั่วไปในสังคมชนบททั้งในฝั่ง สปป.ลาว และไทยอีสาน ซึ่งชาวอีสานนิยมเรียกว่าหลักไม้นี้ว่า "หลักเส" (หลักไม้หรือหลักหินดังกล่าวนี้ เดิมทีจะพบเห็นอยู่ตาม ป่าช้า คำนี้เป็นภาษาภาคกลางในภาษาเก่าเรียก ป่าเลว ป่าเห้วหรือป่าเปลว โดยทั้งหมดล้วนมีความหมายว่า ไม่ดี ดั่งคำว่า เลว ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวนี้ถือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชน โดยเป็นที่สิงสถิตของผีบรรพบุรุษที่ต้องให้ความเคารพยำเกรง)
ต่อมาภายหลังมีการปรับเปลี่ยน โดยนำกระดูกคนตายไปเก็บรักษาไว้ที่วัดแทน เนื่องจากในยุคหลังมีการสร้างเมรุเผาศพตามแบบอย่างวัฒนธรรมหลวงในวัด (เพราะคนอีสานจะไม่เก็บกระดูกคนตายไว้ที่บ้าน ซึ่งต่างจากวัฒนธรรมภาคกลาง) จึงปรากฏ หลักเส อยู่ในพื้นที่วัด และส่งต่อรูปแบบสู่พัฒนาการทางศิลปะงานช่างที่เรียกว่า ธาตุไม้ สำหรับเก็บกระดูกอยู่ตามริมรั้วกำแพงวัด (ปัจจุบันถูกขโมยไปขายอยู่ตาม ร้านค้าของเก่า ริมรั้วตลาดนัดจตุจักรกรุงเทพฯ!?) อันแสดงให้เห็นถึงการสืบทอดคติพิธีศพครั้งที่ 2 เมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว
บรรจุภัณฑ์แห่งความตาย ในด้านรูปแบบมีความหลากหลาย ตามลักษณะท่าทางการเก็บรักษาศพ ไม่ว่าจะเป็นท่านอนเหยียดยาว ซึ่งมีพัฒนาการมากว่า 10,000 ปีมาแล้ว หรือท่านั่งงอเข่า ซึ่งมีมากว่า 3,000 ปี ทั้งหมดได้ก่อเกิดเป็นงานช่าง อย่างเช่น บางเผ่าพันธุ์ที่อยู่ใกล้ลำน้ำหรือทะเล ก็จะทำโลงศพที่มีลักษณะอย่างรูปเรือ ดังปรากฏหลักฐานที่หน้ากลองมะโหระทึก แต่บางเผ่าพันธุ์ทำโลงศพด้วยไม้ที่ขุดเป็นรางหรือโลงไม้ รูปร่างคล้ายเรือหรือรางเลี้ยงหมูในปัจจุบัน เอาศพวางในราง แล้วช่วยกันหามไปไว้ในถ่ำหรือเพิงผาแหล่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งคือ พิธีศพครั้งที่ 2 เริ่มจากครั้งแรกเอาคนตายไปฝังในดินไว้ให้เนื้อหนังเน่าเปื่อย ยุ่ย สลาย ไปกับดินจนเหลือแต่กระดูก แล้วทำครั้งที่ 2 ด้วยการเก็บกระดูกใส่ภาชนะ เช่น ไหหิน ที่ทุ่งไหหินใน สปป.ลาว หม้อดินเผา ใส่กระดูกพบทั่วไปแต่ขนาดใหญ่ พบแถบทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นแบบ “แคปซูล” ประเพณีอย่างนี้พบทั่วไปทั้งผืนแผ่นดินใหญ่และหมู่เกาะ แล้วสืบถึงยุคทวารวดีพบภาชนะใส่กระดูกที่ทำด้วยหินก็มี ทำด้วยดินเผาแกร่งก็มี ปัจจุบันก็คือ โกศ (เรื่องเดียวกัน.2549)
ในวิถีสังคมชนเผ่าอย่าง กลุ่มข่า หรือ ขมุ ใน สปป.ลาว และที่เวียดนาม ยังนิยมทำโลงไม้ที่มีการแกะสลักเป็นรูปหัวสัตว์ สัญลักษณ์ทางความเชื่ออย่างรูปพญานาค รูปควาย หรือวัว หรืออย่างในวัฒนธรรมลาวลุ่ม จะนิยมทำโลงศพแบบลักษณะปากผาย ที่เรียกว่า หีบศพ โดยมีการตกแต่งส่วนบนด้วยธาตุบัวเหลี่ยม มียอดนพศูร ซึ่งลักษณะหีบศพดังกล่าวนี้ยังมีรูปแบบคล้ายกับรูปทรงของหีบพระธรรม และส่วนฐานในงานสถาปัตยกรรมที่เรี่ยกว่า ฐานเอวขันปากพาน ซึ่งปรากฏอยู่ในรูปทรงหีบศพ ในวัฒนธรรมลาวทั้งในอีสาน ล้านนา ล้านช้าง ในวัฒนธรรมเขมรก็ปรากฏ โลงศพ แบบที่เรียกว่า โลงถัง บ้างก็เรียกว่า โลงเขมร ซึ่งเป็นทรงสี่เหลี่ยมตั้งฉาก (อย่างโรงศพของภาคกลางในปัจจุบัน) ที่ปากโลงไม่ผายออกอย่างวัฒนธรรมลาว
อัตลักษณ์ร่วมในเชิงช่างสกุลไท-ลาว กับการผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมในบริบทใหม่
ศิลปวัฒนธรรมอีสาน หนึ่งในงานช่างพื้นถิ่นอีสานด้านหัตถกรรมไม้ ที่หลายคนมองข้ามและนึกไม่ถึง ถึงเอกลักษณ์ที่แปลกแตกต่างจากภาคอื่นๆ นั้นก็คือโลงศพหรือหีบศพ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนหนีไม่พ้นต้องได้ใช้ในวันใดวันหนึ่งของวาระสุดท้ายในชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่จะบรรจุหรือห่อหุ้มสิ่งที่ไม่น่ามอง อันได้แก่สังขารของเราเอง สำหรับสังคมวัฒนธรรมไท-ลาว มีลักษณะร่วมที่เหมือนกันโดยเฉพาะรูปแบบ รายละเอียดอาจจะแปลกแตกต่างกันไปบ้าง ขณะเดียวกันก็มีความละม้ายคล้ายคลึงกัน ซึ่งมีรายละเอียดและชื่อเรียกที่เป็นศัพท์เฉพาะของท้องถิ่น ดังนี้คือ
ภาพรวมของรูปทรงหีบศพอีสาน ในด้านสกัดด้านแคบคล้ายกับธาตุปูน ส่วนที่เป็นเอวขัน การผายออกของหีบศพลักษณะนี้คล้ายกับโลงศพแบบพม่า หรือฝาเรือนทางภาคเหนือของไทย การผายออกของฝาจะช่วยในการรับแรงอัดและการถ่ายแรงได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเพิ่มจังหวะ (ส่วนเอวขันปากพาน) ในรูปทรงที่สูงชันขึ้น เพิ่มความสง่างามในตำแหน่งที่ตั้ง เพิ่มนัยยะสำคัญให้ในการจัดวางหีบศพกับตัวเมรุ
คติความเชื่ออันเกี่ยวเนื่องกับการทำโลงศพโดยสังเขป สมัยโบราณรวมถึงปัจจุบันในวิถีชาวบ้าน เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยมีอาการหนัก ญาติพี่น้องจะทำโลงศพเพื่อต่อดวงชะตา หรือสะเดาะเคราะห์ให้ผู้ป่วย เมื่อหายก็จะถวายหีบนั้นให้วัดเป็นการทำกุศล ให้กับผู้ยากไร้ที่ไม่มีกำลังทรัพย์ต่อไป อนึ่งการทำโลงศพสมัยก่อนจะใช้ยางบงมาอุดรอยต่อหรือรูรั่ว และใส่ปูนขาวไว้สำหรับดูดซับน้ำเหลืองจากศพ การเผาแบบชาวบ้านในกลุ่ม “ชาวย้อ” มีธรรมเนียมการขอบริจาคฟืนจากทุกๆ ครอบครัว เรียกว่า “แผ่ฟืน” เมื่อไม้จำนวนพอเพียงแล้วก็จะนำไปกอง ณ ที่เผา ส่วนมากจะเป็น “ป่าแอ้ว” และเคลื่อนศพด้วยการทำคานหาม โดยจัดเตรียมดุ้นไฟชนวนสำหรับเผาศพ ข้าวตอกโปรยหว่านระหว่างทาง น้ำมะพร้าวสำหรับล้างหน้าศพ และจตุปัจจัยไทยทานพระสงฆ์
อนึ่ง สมเด็จครู ได้กล่าวไว้ในสาส์นสมเด็จ ว่า “เดิมที่เอาฟืนมากองกับพื้นดิน และเอาศพวางบนนั้นและจุดไฟเผา ฟืนที่สุมจะทรุดตัวทำให้ศพเคลื่อนตก ทางอุบลราชธานีเขามีไม้กดศพ เรียกว่า “ไม้ข่มเผง” ๒ อัน เพื่อกันมิให้ศพเคลื่อนเมื่อกองฟืนทรุด...”
อนึ่งในวิถีสังคมปัจจุบันของอีสาน หลายสิ่งหลายอย่างถูกแปรเปลี่ยนและโดนทำลายไป แต่ยังโชคดีอยู่บ้างที่ภูมิปัญญาพื้นถิ่น (หีบศพอีสาน) ยังคงอยู่รอดแม้จะไม่ดีเท่าที่ควรนัก แต่ยังได้รับการอนุรักษ์สืบสานและพัฒนา (ด้านเทคโนโลยีการเก็บรักษาศพ) โดยคงไว้ซึ่งรูปแบบดั้งเดิม แม้จะถูกปรุงแต่งด้วยลวดลายแบบภาคกลางไปแล้วก็ตาม สำหรับฐานานุศักดิ์ อาจแตกต่างในรูปแบบ เช่น การทำนกหัสดีลิงค์ ซึ่งในปัจจุบันจะทำเฉพาะพระเถระผู้ใหญ่ของเมือง แต่โดยรูปแบบของหีบศพนั้นไม่ต่างกันมากนัก
การทำพิธีศพบนนกหัสดึลิงค์ของเจ้านายชั้นสูง หรือพระเถระผู้ใหญ่
ส่วนทางภาคเหนือ จะมี เสื้อวัด หรือ ผีเสื้อวัด เป็นผีชั้นสูงที่มีอาคมอันแรงกล้า สามารถปกป้องคุ้มครองชาววัดชาวบ้านให้อยู่ดีมีสุข พูดกันมาว่า เจ้าอาวาส (ตุ๊เจ้า) ที่มีความเก่งกล้าเรื่องคาถาอาคมเมื่อตายคาผ้าเหลือง เมื่อตายลงจะได้เป็น ผีเสื้อวัด ชาวบ้านจะทำหอบรรจุศพตั้งไว้ภายในวัด ซึ่งตำแหน่งตั้งหอเสื้อวัดแต่โราณนั้น นิยมตั้งทางทิศตะวันตกหรือทิศใต้ของเจดีย์ ถ้าวัดไม่มีเจดีย์ก็ทางทิศตะวันตกหรือทิศใต้ของวิหาร เห็นแล้วเกิดศรัทธาดูมั่นคงและมีศิลปะที่งดงาม (เครดิต : ศรีเลา เกษพรหม)
ผีเสื้อวัด บรรจุภัณฑ์แห่งความตายของพระสงฆ์ผู้มีวิชาอาคมทางภาคเหนือ
[ อ่านเพิ่มเติมเรื่องที่เกี่ยวข้อง : พิธีกรรมประจำชีวิต - การตาย ]
เกษตรกรรม และ เกษตรกร ในบ้านเรานี้มีมากมายหลากหลายแบบมาแต่ดึกดำบรรพ์ ทำกันเป็นอาชีพต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่นถ่ายทอดกันมา แต่ก็เป็นอาชีพที่แปลกอาชีพหนึ่งที่พบว่า "มักจะเจอทางตันมาโดยตลอด" ตั้งแต่รายได้ที่ย่ำแย่ ผลผลิตราคาตกต่ำ ผลิตมากจนล้นตลาด ถูกชักจูงให้ผลิตตามๆ กันตามข่าวลือ "เขาว่าตัวนี้ราคาดี ตัวนี้มีอนาคต ปลูกหรือเลี้ยงง่าย" แล้วก็แห่ตามๆ กัน (มีคนรวยจริง คือคนที่เริ่มก่อน แล้วขายต้นพันธุ์ ส่วนคนจนก็คือคนที่ทำตามก้นเขาโดยไม่คิดนั่นเอง กรณีศึกษา : มะม่วงหิมพานต์ ยางพารา กล้วยหอมทอง ฯลฯ) องค์ความรู้ที่มีก็มีอย่างจำกัดทำตามที่เคยทำ ไม่ศึกษาหาวิธีการลดต้นทุน ขาดการคิดวิเคราะห์ มองหาช่องทางการผลิตและการจำหน่าย ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นดังที่เห็น
วันนี้ โลกกำลังเปลี่ยนไปจากเดิมด้วยวิกฤตโควิด-19 เกษตรกรไทยได้เวลาหยุดคิดพิจารณากันใหม่ได้แล้วว่า "อาชีพเกษตรกรรมในยุคสมัยนิวนอร์มอล" ต้องเปลี่ยนแปลง หาทางรอดแบบยั่งยืนกันต่อไป เราจะเป็นเกษตรกรที่ทำตามๆ กันมาแบบเดิมๆ ไม่ได้อีกแล้ว เพราะ...
ทันทีที่เกิดการระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลก เกษตรกรรมเป็นอาชีพที่ได้รับผลกระทบไม่แพ้อาชีพอื่นๆ ตั้งแต่การขาดแคลนแรงงาน ผลผลิตที่มีมากมายไม่สามารถส่งออกได้ "
ปรากฏการณ์นี้ทำให้เราได้เห็นทั้งสิ่งที่ดีมีประโยชน์ และโอกาสในการที่จะพัฒนาการเกษตรกรรมของประเทศ ให้เป็นไปในทิศทางใหม่ ด้วยสาเหตุ...
การล็อกดาวน์ (ปิดประเทศ) ทำให้คุณภาพอากาศ และธรรมชาติได้รับการฟื้นฟู เกษตรกรน่าจะใช้ประโยชน์จากดิน น้ำธรรมชาติที่ดีขึ้น ขณะที่แรงงานภาคเกษตรน่าจะเพิ่มขึ้นจากการกลับถิ่นฐาน (ของแรงงานภาคอุตสาหกรรม) คนเหล่านี้มีไม่น้อยเป็นคนรุ่นใหม่ เข้าถึงสื่อโซเชียลได้ สามารถรับรู้ถึงองค์ความรู้ข้อมูลต่างๆ หากกลับไปทำเกษตรก็น่าจะยกระดับของเกษตรกรไปอีกขั้น เพราะสามารถนำเทคโนโลยีมาผสมผสานกับความรู้พื้นฐานด้านเกษตร ที่ส่วนใหญ่ก็มีอยู่ในตัวกันอยู่แล้ว ”
สถานการณ์นี้ จะเป็นตัวเร่งให้คนไทยเข้าถึงเทคโนโลยี หรือสื่อโซเชียลได้เร็วขึ้น ทำให้ผู้บริโภคคำนึงถึงความปลอดภัย สุขอนามัยมากขึ้น เรื่องอาหารปลอดภัย อาหารเป็นยา เกษตรอินทรีย์ บทบาทจะมีค่อนข้างมาก ตลาดจะเปิดกว้างขึ้น ต่อไปเกษตรกรจะต้องพัฒนาเรื่องของมาตรฐาน จนสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค
สถานการณ์นี้เองที่ทำให้คนไทยได้บทเรียน ความรู้เพียงด้านเดียวสาขาใดสาขาหนึ่ง ไม่สามารถแก้ปัญหาองค์รวมได้เลย ช่วยสอนให้เราคิดถึงอนาคต เรียนรู้ทักษะการปรับตัวแสวงหาความรู้ใหม่ ประยุกต์กับความรู้ที่มีอยู่เดิม และต่อยอดองค์ความรู้ จากคนที่ไม่เคยคิดปลูกอะไร เพราะเห็นว่าไม่จำเป็น ซื้อหาเอาก็ได้ เปลี่ยนมาเป็นหาความรู้จากสื่อต่างๆ โดยเฉพาะสื่อโซเชียล ในเรื่องการปลูกพืชผักกินเอง การทำอาหารให้ได้โภชนาการสูงสุด ไม่ใช่แค่รสชาติอย่างเดียว สถานการณ์โควิดทำให้เกษตรกรต้องมาคิดใหม่ ต่อไปคงไม่ต้องเน้นเรื่องปริมาณผลผลิต แต่หันมาเน้นของดี มีคุณภาพ ปลอดภัยกับทั้งต่อตัวเกษตรกรผู้ทำการผลิตเองและต่อผู้บริโภคทั่วไปด้วย
เมื่อตลาดส่วนใหญ่ปิดไม่สามารถค้าขายปกติได้ ช่องทางการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน จึงเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยเกษตรกรแบบยั่งยืน ด้วยการเปิดตลาดเแลกเปลี่ยนในชุมชน หรือแลกเปลี่ยนสินค้ากันข้ามภูมิภาค เช่น โครงการปลาและอาหารทะเลจากทางภาคใต้ แลกเปลี่ยนข้าวสารจากทางภาคเหนือ และภาคอีสานที่เกิดขึ้นและได้ผลดี นอกจากนั้นการใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อกระจายสินค้าก็เป็นโอกาสที่สดใสไม่น้อยเลยทีเดียว
สถานการณ์อุบัติใหม่หรือที่ฝรั่งเรียกกันว่า "New Normal" นั้นมีผลมากจริงๆ กับทุกประเทศทั่วโลก เพื่อหลายปีก่อนที่พ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ ของเราได้ทรงมีพระราชดำรัสในเรื่อง "เศรษฐกิจพอเพียง" นั้น หลายคนอาจไม่เข้าใจเพราะดูไกลตัวเองเหลือเกิน ฉันมีเงินฉันจะซื้อจะหายังไงก็ได้ไม่เห็นจะต้องพอเพียงอะไรนี่นา แต่พอวิกฤตโควิด-19 มาเท่านั้นแหละ ทางเลือกใน "นิวนอร์มอล" ของประชาชนส่วนใหญ่ ก็คือ “เศรษฐกิจพอเพียง” นั่นเอง ต้องระมัดระวังในการใช้จ่าย ใช้ชีวิต จะสุรุ่ยสุร่ายเหมือนเคยไม่ได้แล้ว แม้แต่ยักษ์ที่พวกเราคิดว่าเศรษฐกิจดีในช่วงที่ผ่านมาอย่างประเทศจีน สภาประชาชนจีนในการประชุมครั้งสุดท้ายไม่นานมานี้ ก็มีนโยบายชัดเจนว่า จีนต้อง “พึ่งตนเอง” ให้มากที่สุด ผลิตเพื่อการบริโภคในประเทศแบบ “พอเพียง” เท่านั้นจึงจะรอด แล้วคนไทยจะยังทำเป็นไม่เข้าใจอยู่อีกหรือ?
และโอกาสนี้จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะปรับเปลี่ยนเพื่อเป็น "ประเทศเกษตรกรรมที่ทั้งโลกจะต้องมองในฐานะ 'ประเทศที่มีความมั่นคงทางอาหาร' เป็นครัวของโลก ที่มีอาหารอินทรีย์มีคุณภาพ มีความปลอดภัย"
เกษตรกรยุคใหม่ควรใส่ใจ หาความรู้เพิ่มเติม ทดลองหาประสบการณ์ หาข้อดี เพิ่มจุดเด่น ค้นหาข้อเสีย ปรับปรุง ปฏิบัติตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ แล้วจะประสบผลสำเร็จ ผู้เขียนมีคำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจจะหันมาเอาดีตามวิถีใหม่ "เกษตรนิวนอร์มอล" ให้ดูรายการสารคดีที่ชื่อว่า "มหาอำนาจบ้านนา" ทางสถานีโทรทัศน์ ThaiTBS ช่องดิจิทัลหมายเลข 3 หรือดูรายการย้อนหลังผ่านทางช่อง Youtube ชื่อ "มหาอำนาจบ้านนา" เช่นเดียวกัน ท่านจะได้แนวคิดจากคนที่ปรับเปลี่ยนวิธีการทำเกษตรจากแบบเดิมๆ สู่เกษตรอินทรีย์แนวใหม่ ทั้งวิธีการคิด การค้นหา ทดลอง จนประสบผลสำเร็จได้จริงๆ
ไก่งวง : มหาอำนาจบ้านนา
ไก่งวง เป็นสัตว์ปีกจำพวกนก จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับ ไก่ ไก่ฟ้า นกยูง นกกระทา และนกกระจอกเทศ ไก่งวงมีขนาดใหญ่กว่าไก่ทั่วไป หน้าตาผิดแผกไปจากไก่พื้นบ้าน แต่ไก่งวงมีลักษณะเด่นบริเวณหัว เพราะเป็นผิวหนังย่นๆ ไม่มีขนขึ้น ในต่างประเทศผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ (ในอเมริกาและแคนาดา) นิยมรับประทานกันในวันขอบคุณพระเจ้า Thanksgiving day
ปัจจุบัน มีการส่งเสริมการเลี้ยงไก่งวงในภาคอีสาน ว่ากันว่า เริ่มแรก "ไก่งวง" เข้ามาในประเทศไทยโดยทหารอเมริกัน ที่เข้ามาประจำการในฐานทัพที่ จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดนครราชสีมา (ช่วงสงครามเวียดนามนั่นเอง) การนำเข้ามาจากต่างประเทศขาดความสดใหม่ แช่แข็งมาจึงไม่อร่อย จึงมีการนำเอาลูกไก่งวงเข้ามาเลี้ยงในประเทศไทย
ปัจจุบัน เกษตรกรนิยมเลี้ยงไก่งวงอยู่ 3 สายพันธุ์หลัก คือ
ไก่งวง ถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจทางเลือกให้เกษตรกร เพราะนอกจากให้ผลผลิตเนื้อคุณภาพดี มีโปรตีนสูง และคอเลสเตอรอลต่ำแล้ว ยังสามารถปรุงอาหารได้เช่นเดียวกับเนื้อไก่ เป็นที่ต้องการของตลาดผู้บริโภคเฉพาะที่มีกำลังซื้อสูง (Niche Market) เพราะราคาต่อตัวนั้นหลักพันบาทขึ้นไปนะครับ ที่สำคัญ การเลี้ยงไก่งวงนั้น เกษตรกรผู้เลี้ยงสามารถพึ่งตนเองได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ พึ่งพาปัจจัยภายนอกเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตรงกันข้ามกับเป็ดและไก่ไข่ที่ต้องอาศัยอาหารเฉพาะ รวมทั้งยารักษาโรคจากบริษัทผู้ผลิตพันธุ์ รวมทั้งการเลี้ยงแบบลูกน้อง (Contact Farm) ส่งต่อให้เจ้าใหญ่ๆ จัดจำหน่าย
ไก่งวง เป็นสัตว์เลี้ยงง่าย สามารถปล่อยให้หาอาหารกินตามธรรมชาติได้ สามารถกินพืชหรือวัสดุในท้องถิ่นได้หลากหลาย เช่น ผักตบชวา หญ้า และเศษพืชผักสวนครัว เป็นต้น แต่ก็มีข้อเสียเหมือนกัน เนื่องจากเป็นสัตว์ปีกที่ไข่ไม่ค่อยเป็นที่เป็นทาง ไข่แล้วไม่สามารถกกให้ออกมาเป็นตัวได้ทั้งหมด อีกทั้งยังมีปัญหาเหยียบกันตายเอง ทำให้เปอร์เซ็นต์รอดตายน้อย และที่สำคัญตอนนี้ตลาดรองรับยังมีน้อยกว่าไก่บ้าน
การเลี้ยงไก่งวง นั้นมีความท้าท้ายมากสำหรับเกษตรกรไทย ด้วยเสน่ห์ของเนื้อไก่งวงที่มีรสชาติอร่อย เรียกว่าในบรรดาสัตว์ปีกด้วยกัน ไม่มีเนื้อสัตว์ไหนที่เทียบได้ อีกทั้งไม่มีเงื่อนไขด้านเวลามากำหนดว่า ต้องจำหน่ายตอนไหน ไก่แก่ ไก่อ่อน ไม่มีผลทางการตลาด ไก่งวงยิ่งแก่ยิ่งเนื้ออร่อย ประเทศไทยสามารถพัฒนาการเลี้ยงทำในรูปแบบเชิงพาณิชย์ ผสมผสานกับการปล่อยให้หากินเองตามธรรมชาติ ผลิตส่งขายให้กับประเทศเพื่อนบ้านได้ อย่าง ประเทศลาว เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์
การเลี้ยงไก่งวงจะดูตามความเหมาะสมของปริมาณและพื้นที่ ถ้าเลี้ยงมากต้องทำเป็นโรงเรือนที่แข็งแรงมั่นคง คอกสร้างด้วยไม้เนื้อแข็ง หลังคามุงสังกะสี กระเบื้อง หรือหญ้าคา ให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก อย่าให้อับชื้น ทำความสะอาดได้ง่าย แต่ละอาทิตย์จะต้องทำความสะอาดคอกเปลี่ยนวัสดุรองพื้น ใช้ปูนขาวโรยฆ่าเชื้อ ล้างอุปกรณ์ ให้น้ำ ให้อาหาร ซึ่งจะทำในช่วงที่ปล่อยไก่งวงเดินออกกำลังกาย ดังนั้น โรงเรือนจะมีลักษณะล้อมด้วยตาข่าย หรือรั้วไม้กว้างๆ แล้วมีโรงเรือนที่มีหลังคาอยู่บริเวณกลางคอก หรือด้านข้างไว้สำหรับให้ไก่งวงได้หลบแดดหลบฝน
และสิ่งสำคัญที่ต้องทำให้ไก่งวงในโรงเรือนคือ ทำคอนให้ไก่งวง เพราะนิสัยของไก่งวงชอบนอนที่สูง เนื่องจากไก่งวงมีพันธุกรรมของไก่ป่า จึงมีร่างกายที่แข็งแรงและทนต่อโรค ลักษณะของคอนนอนจะต้องเป็นไม้กลมๆ ไม่มีเหลี่ยม เช่น ไม้ไผ่ อีกทั้งภายในโรงเรือนจะหากล่องหรือโอ่งดินเผาขนาดเล็ก ไว้สำหรับให้ไก่งวงวางไข่ ซึ่งไก่งวงที่สามารถวางไข่ได้จะมีอายุช่วง 7-8 เดือน โดยจะมีปริมาณไข่ต่อแม่ต่อปี ประมาณ 50-90 ฟอง ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของแม่ไก่
ในหนึ่งปีไก่งวงจะออกไข่ 3 รุ่น เมื่อนำมาฟักเลี้ยงจะสามารถจำหน่ายลูกไก่งวงอายุ 8 สัปดาห์ ได้ราคาตัวละ 200 บาท ในกรณีที่ไม่ต้องการลูกไก่ สามารถนำไข่มาประกอบอาหาร หรือจำหน่ายได้อีกในราคาฟองละ 25-30 บาท ไก่งวงจะมีอายุพร้อมขายเป็นไก่งวงเนื้อได้ในระยะ 7-8 เดือน น้ำหนักตัวเฉลี่ยตัวละประมาณ 5 กิโลกรัม ขายได้กิโลกรัมละ 150 บาท
ในโรงเรือนขนาดพื้นที่ 3 x 6 เมตร จะสามารถปล่อยไก่งวงเลี้ยงได้ประมาณ 150 ตัว มีทั้งตัวผู้และตัวเมียปนกัน แต่หากเป็นโรงเรือนพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จะมีอัตราการปล่อยตัวผู้และตัวเมีย ในอัตราส่วนที่ 1:7 ซึ่งการคัดเลือกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์นั้นดูได้จากนิสัยของไก่ เลือกไก่ที่มีลักษณะที่มีนิสัยเป็นมิตรไมตรี มีเยื่อใย เพราะเวลาที่ไก่งวงกกไข่ต้องสามารถเข้าไปใกล้ได้ โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลที่ไก่งวงวางไข่ เราจำเป็นต้องเก็บไข่ออกมาใส่ตู้ฟักไข่ที่ใช้อยู่ทั่วไป ควบคุมอุณหภูมิและความชื้น จนกว่าจะฟักออกเป็นตัว ก่อนนำไปอนุบาลจนแข็งแรงและไปปล่อยให้แม่เลี้ยงได้
การเลี้ยงไก่งวง ระยะเสี่ยงที่สุดคือ วัยแรกเกิด ถ้าอนุบาลไม่ดี แค่ยุงกัดตัวเดียว ลูกไก่เป็นฝีดาษตายได้ วิธีแก้ต้องกกให้ความอุ่นลูกไก่นาน 14-21 วัน ยามเช้าใช้แสงแดดช่วย ส่วนกลางคืนให้อยู่ในลังกระดาษ เพื่อลูกไก่แต่ละตัวได้ให้ความอุ่นแก่กัน คอกเลี้ยงต้องสะอาด อากาศถ่ายเทได้ดี แค่นี้ลูกไก่แข็งแรง มีภูมิสู้ยุงได้
สำหรับอาหารเลี้ยงไก่งวง เกษตรกรส่วนใหญ่จะผสมเอง โดยใช้หญ้า หญ้าเนเปียร์ (ที่ใช้เลี้ยงวัว) หยวกกล้วย ผักบุ้ง ผักตบชวา (ตัดรากออก) ที่มีอยู่ในพื้นที่ และถ้าต้องการให้ไก่งวงเติบโตเร็ว มีน้ำหนัก เราสามารถทำอาหารเลี้ยงได้เอง เพียงแค่นำผักตบหรือหญ้าเนเปียร์สับ 8 ขีด + หัวอาหารไก่ไข่ 1 ขีด + รำหรือปลายข้าว 1 ขีด + ข้าวเปลือก 1 ขีด นำมาผสมให้เข้ากัน อาจผสมกับมันสำปะหลังและปลาป่นอีก 1 ส่วน มาคลุกเคล้าให้เข้ากัน เพื่อใช้เป็นอาหารข้นสำหรับไก่งวงได้
นอกจากนี้ ได้มีการนำเอาพืชสมุนไพรต่างๆ ที่ปลูกในสวน เช่น เหงือกปลาหมอ ฟ้าทลายโจร ขมิ้นชัน ไพล มาบดและผสมในอาหาร เพื่อบำรุงและสร้างภูมิคุ้มกัน โดยให้อาหารข้นวันละ 1 ครั้ง ในช่วงเช้า และให้เศษหญ้า เศษผัก เป็นอาหารเสริมในช่วงบ่าย
ปัจจุบัน ไก่งวง สามารถนำมาแปรรูปเป็นอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น ลาบไก่งวงสมุนไพร ลาบไก่งวงแซบแบบอีสาน ลาบลวกไก่งวง ลาบย่างไก่งวง ยำไก่งวง ซกเล็กไก่งวง แกงมัสมั่นไก่งวง แกงคั่วไก่งวง ทอดมันไก่งวง ไส้อั่วไก่งวงทอด ไก่งวงต้มมะนาวดอง ต้มข่าไก่งวง ไส้อั่วไก่งวง ไก่งวงทอดกรอบ ไก่งวงรมควัน สเต๊กไก่งวง ก๋วยเตี๋ยวไก่งวง ซึ่งเชื่อแน่ว่าถ้าทุกคนได้ลิ้มชิมรสแล้วต้องยกนิ้วให้ว่า มีความเอร็ดอร่อยรสเลิศจริงๆ
ถ้าจะเลี้ยงไก่งวงสัก 1,000 ตัว จะใช้พื้นที่ประมาณ 4 ไร่ เลี้ยงด้วยระยะเวลาแค่ 9-12 เดือน หักต้นทุนค่าพันธุ์ไก่ ค่าอาหาร ค่าโรงเรือน สามารถทำกำไรปีละห้าแสนบาทมีให้เห็นได้ กำไรมากกว่าเลี้ยงวัว ไม่ต้องทนรอนาน 3-5 ปี อย่างไรก็ตามเกษตรกรที่สนใจเลี้ยงสามารถเริ่มต้นแต่น้อยเพื่อการศึกษาวิธีการเลี้ยงและดูแลรักษาในจำนวนน้อยๆ ก่อน สามารถติดต่อหาความรู้เพิ่มเติมได้จาก
[ อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง : ลาบไก่งวง ]
ป่าบุ่งป่าทาม เป็นคำที่คนเก่าๆ ในอดีตคุ้นชิน แต่เยาวชนคนรุ่นใหม่อาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือเคยได้ยินมีการกล่าวถึงแต่ก็ไม่เข้าใจ ทำหน้ายุ่งๆ ไม่เข้าใจว่าคือ "ป่า" อะไรกัน เคยได้ยินแต่ ป่าดงดิบ ป่าไม้เบญจพรรณ ฯลฯ วันนี้เลยนำมาเสนอให้ทราบกัน เพราะ "ป่าบุงป่าทาม" คือป่าที่ควรอนุรักษ์และให้ความสนใจกันให้มาก เนื่องจากเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ในอดีต ไม่ต่างจาก "ดอนปู่ตา" ที่ได้สูญหายไปจากชนบทอีสานนั่นเอง
การตั้งถิ่นฐานของบรรพบุรุษชาวไทย ไม่ว่าจะอยู่ในภูมิภาคใดก็ตาม นิยมเลือก "พื้นที่ราบริมแม่น้ำลำธาร" ในการตั้งบ้านเรือน ชุมชน แล้วขยายตัวจนเป็นเมืองขนาดใหญ่จนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ อย่างมากมายที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต อาทิ การสัญจรไปมาทางน้ำ มีน้ำกินน้ำใช้ อาหารจากสัตว์น้ำ พืชผัก ยาสมุนไพร ไม้ใช้สอยสำหรับสร้างบ้านเรือน ต่อเรือ ต่อรถ หรือ ต่อเกวียน ล้วนสามารถหาได้จากป่าตามริมน้ำ นอกจากนี้ พื้นที่ริมน้ำยังมีความอุดมสมบูรณ์ของ "ดินตะกอน" ที่ถูกน้ำพัดพามาพร้อมกับแร่ธาตุอันเป็นปุ๋ยที่ดีเหมาะแก่การเพาะปลูกด้วย
"ป่าบุ่งป่าทาม" เป็น ป่าไม้ประเภทหนึ่ง อยู่ในเขตที่ราบลุ่มใกล้แม่น้ำลำธาร ที่มีน้ำท่วมยาวนานเป็นประจำทุกปี ในอดีตปรากฏมีอยู่ทั่วประเทศ พบมากในภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) ปัจจุบันในภาคกลางแทบจะไม่เหลือป่าชนิดนี้อยู่อีกแล้ว สำหรับในภาคอีสานยังพบได้ แต่มีจำนวนน้อยมากและขาดผู้เหลียวแล "ป่าบุ่งป่าทาม" เป็นป่าที่อยู่ใกล้ชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตที่ราบลุ่มมากที่สุด ชาวอีสานในเขตนี้จึงมีความคุ้นเคย รู้จักชื่อเรียกพรรณไม้ต่างๆ และเรียนรู้ประโยชน์และโทษของพืช สั่งสม สืบต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่น
บุ่ง น. ที่ลุ่มติดกับลำน้ำ ฤดูน้ำมีน้ำขังอยู่คล้ายบึงหรือหนอง เรียก บุ่ง เช่น บุ่งใหม บุ่งกาแซว บุ่งค้า. seasonal marsh which adjoins stream or river.
ทาม น. นาที่ลุ่มซึ่งมีตมเลน เรียก นาทาม นาทามเป็นนาที่ดี ปีใดน้ำไม่ท่วมข้าวปลาจะอุดมสมบูรณ์. lowlying field with abundant water. "
กระทั่งสภาพเศรษฐกิจและสังคมในช่วงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมานี้ มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ป่าไม้และพรรณพืชท้องถิ่นในธรรมชาติเริ่มถูกทำลาย กลายสภาพไปเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและชุมชน คนไทยในยุคประเทศกำลังพัฒนา ลดการพึ่งพาการใช้ประโยชน์จากพรรณพืชท้องถิ่นลง หันมาปลูกพืชเกษตรเพื่อขายในตลาด ใช้ยารักษาโรคจากสารเคมีสังเคราะห์ หรือเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ทำมาจากพลาสติกและโลหะ องค์ความรู้พื้นบ้านที่สืบทอดต่อกันมาแต่โบราณ จึงกำลังค่อยๆ เลือนหายไป เมื่อมีการใช้ทรัพยากรมากขึ้น เกิดแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ที่มุ่งให้ประชาชนในทุกหนแห่งเร่งทำการเกษตรเพื่อการขายให้ได้มากๆ พื้นที่ป่าถูกบุกรุกทำลาย ขยายแหล่งน้ำให้เพียงพอ เกิดการสร้างเขื่อนระบบชลประทานเก็บกักน้ำ และพื้นที่เขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำนั้นก็รุกล้ำกลืนกินเอาป่าบุ่งป่าทามให้หดหายไปด้วยเช่นกัน
ป่าบุ่งป่าทาม (Lowland floodplain forest) หรือในชื่อทางราชการว่า "ป่าบึงน้ำจืด" (Freshwater swamp forest) เป็นคำในภาษาไทยถิ่นอีสาน นำมาใช้เรียกสังคมพืชชนิดหนึ่งที่ปกคลุมพื้นที่บุ่งทาม ซึ่งมีน้ำท่วมซ้ำซากยาวนานทุกๆ ปี สังคมพืชนี้ไม่จำเป็นต้องมีเฉพาะป่าไม้ปกคลุมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสังคมพืชในบึงทุ่งหญ้า หรือไม้พุ่ม ที่ขึ้นในพื้นที่ลุ่ม ชื้นแฉะ เข้าไว้ด้วยกัน โดยสภาพภูมิประเทศแบบ พื้นที่บุ่งทาม (lowland floodplain) จัดว่าเป็นภูมิประเทศหนึ่งในเขต ที่ราบน้ำท่วมถึง (floodplain) ที่มีพื้นที่ลุ่มต่ำกว่าส่วนอื่นๆ และมีร่องรอยทางน้ำเปลี่ยนทิศทางเป็นจำนวนมาก จึงเกิดน้ำท่วมได้ง่ายเป็นประจำมากกว่าที่ราบน้ำท่วมถึงส่วนอื่นๆ ที่อยู่ระดับสูงขึ้นไป
ป่าบุ่งป่าทาม เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (Ramsarsites) เป็นแหล่งอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และหล่อเลี้ยงชีวิตคนในลุ่มน้ำ ภาคอีสานเรียก "ป่าบุ่งป่าทาม" แต่ในทางภาคใต้จะเรียกว่า "ป่าพรุ" หากมีการอนุรักษ์พิ้นที่ชุ่มน้ำในบริเวณต่างๆ ของประเทศให้มีความสมบูรณ์ ทั้งทางด้านพืชพันธุ์ไม้ สัตว์น้ำ ให้คงอยู่ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อทุกคนทั้งในชุมชนท้องถิ่น และรวมถึงในชุมชนเมืองด้วย เพราะความอุดมสมบูรณ์ที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลดีแก่ทุกคนในประเทศเรา นอกจากปริมาณอาหารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแล้ว ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่จะได้รับ (อ่านประโยชน์ท้ายบทความ)
"บุ่ง" เป็นคำในภาษาไทลาวและไทกลางบางท้องถิ่น หมายถึง แหล่งน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำ หรือพื้นที่แอ่งกระทะที่มีน้ำท่วมขังเกือบตลอดปี หรือตลอดปีก็ได้ ในความหมายเดียวกันคือ บึง หรือ หนอง พื้นที่บุ่งในทางป่าไม้ยังรวมไปถึงแหล่งน้ำตามธรรมชาติชนิดต่างๆ ในเขตที่ราบน้ำท่วมถึง ซึ่งจะถูกปกคลุมด้วยพืชน้ำล้มลุก หญ้า และกก เราเรียกว่า "สังคมพืชในบึง" หรือ "ป่าบุ่ง"
"ทาม" เป็นคำในภาษาไทลาว ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) ตรงกับคำว่า "ระนาม" ในภาษาไทโคราช และ "ระเนียม" ในภาษาเขมรอีสานใต้ หมายถึง บริเวณพื้นที่ราบ-ค่อนข้างราบ ทั้งสองข้างลำน้ำที่มีน้ำท่วมขังยาวนานเฉพาะในฤดูน้ำหลาก พื้นที่ทามจะถูกน้ำท่วมทุกปีในช่วงฤดูน้ำหลากล้นตลิ่ง ยาวนาน 1 - 3 เดือน ความสูงของระดับน้ำในทาม 1 - 5 เมตร น้ำจะเริ่มหลากในช่วงกลาง-ปลายฤดูฝน และลดลงต่ำกว่าตลิ่งประมาณต้นฤดูหนาว หลังจากนั้นทามจะแห้ง มีเพียงน้ำขังอยู่ตามบุ่งเท่านั้น บริเวณทามจะถูกปกคลุมด้วยป่าไม้ที่เป็นพรรณไม้ต้น ไม้พุ่ม และเถาวัลย์ที่ทนทานต่อน้ำท่วมได้ดี เรียกว่า "ป่าทาม" "ป่าระนาม" หรือ "ไปรระเนียม" สำหรับรายละเอียดของระบบนิเวศป่าชนิดนี้จะได้กล่าวในลำดับต่อไป
ป่าบุ่งป่าทาม มีกระจายอยู่ทั่วภาคอีสาน ตามริมแม่น้ำและลำห้วยสาขาที่มีน้ำท่วมซ้ำซากและยาวนาน เช่น แม่น้ำมูล แม่น้ำชี แม่น้ำสงคราม ห้วยน้ำโมง ห้วยน้ำก่ำ ลำเซบาย เป็นต้น ในอดีตประมาณว่าเคยมีป่าบุ่งป่าทามในภาคอีสานถึงประมาณ 4 ล้านไร่ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนสภาพไปเป็นพื้นที่ถูกจับจองทำนา ปลูกยูคาลิปตัส เหมืองดูดทราย ขุดบ่อดิน จนเหลืออยู่ประมาณ 1.5 แสนไร่ ป่าที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่มีสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรม ถูกตัดไม้ใหญ่ออกไป และมีการเลี้ยงสัตว์มากจนเกินไป ขาดผู้เหลียวแลเอาใจใส่ ด้วยสถานภาพเป็นที่สาธารณะประโยชน์ที่ใครๆ ก็เข้ามาใช้ประโยชน์ได้ จนแทบจะไม่เคยเห็นว่าป่าบุ่งป่าทามที่มีสภาพอุดมสมบูรณ์ที่แท้จริงเป็นเช่นไร
บางคนมองว่า ป่าบุ่งป่าทามเป็นเพียงพื้นที่รกร้างที่มีไม้ไผ่ ไม้พุ่ม เถาวัลย์รก หรือเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ อีกทั้งมีน้ำท่วมซ้ำซากยากที่ต้นไม้ใหญ่จะเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นป่าหนาแน่นได้เช่นป่าบกทั่วๆ ไป นั่นไม่ผิดอะไรสำหรับความเห็นของคนที่อายุน้อยกว่า 50 ปีลงมา ที่เห็นสภาพป่าเป็นแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ แล้วความเป็นจริงป่าบุ่งป่าทามที่สมบูรณ์ควรจะเป็นอย่างไร ในความเห็นของผู้เขียน?
ท่านผู้อ่านสามารถค้นหาความจริงได้ โดยลองเดินเข้าไปในป่าบุ่งป่าทามแล้วจะพบว่า มีกล้าไม้และตอไม้ต้นที่แตกแขนงจำนวนมาก รอการฟื้นฟูขึ้นมาเป็นไม้ใหญ่ ต้นไม้เหล่านี้เราเคยเห็นทั่วไปตามท้องทุ่งนาในเขตที่ราบน้ำท่วมถึงเกือบทั่วประเทศไทย ว่าธรรมชาติของมันมีความสูงและต้นใหญ่ได้แค่ไหน หรือท่านที่เคยไปเที่ยว "โตนเลสาบ" ประเทศกัมพูชา ก่อนที่เรือจะเข้าเขตพื้นน้ำกว้างใหญ่ เราจะล่องเรือผ่านป่าที่มีเรือนยอดทึบหนาแน่น สูง 7 - 15 เมตร สภาพคล้ายป่าชายเลน นั่นเองคือ "ป่าบุ่งป่าทาม" ที่สมบูรณ์ ที่ประเทศไทยเราก็เคยมี
พรรณไม้ในป่าบุ่งป่าทามมี 232 ชนิดจากการศึกษานี้ ประมาณ 30 % (ไม่รวมพืชน้ำ) เป็นพืชที่มีวิวัฒนาการมาคู่กับระบบนิเวศที่มีน้ำท่วมซ้ำซาก หรือเรียกว่ามีความเฉพาะตัวกับระบบนิเวศป่าบุ่งป่าทาม ส่วนใหญ่มีการเจริญเติบโตรวดเร็ว เพื่อยืดลำต้นให้สูงพ้นระดับน้ำท่วม ทนต่อน้ำท่วมขังได้นาน มีผลสุกและงอกต้นกล้าออกมาสัมพันธ์กับฤดูน้ำหลาก-น้ำลง กล้าไม้บางชนิดสามารถทนทานจมอยู่ใต้น้ำได้นานตลอดฤดูก็มี พืชบางชนิดเป็นพืชหายากใกล้สูญพันธุ์ของประเทศไทย เช่น กะสิน/รวงผึ้ง (Schoutenia glomerata subsp. peregrina) ที่กำลังนิยมปลูกกันมาก แต่แทบจะไม่มีใครทราบเลยว่า เคยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าบุ่งป่าทามในเขตภาคกลาง ที่ในธรรมชาติได้สูญพันธุ์ไปเกือบหมดแล้ว
แห่น้อย (Cynometra craibii) และ เขทาม (Maclura thorelii) พืชทั้ง 3 ชนิดพบในลุ่มน้ำสงคราม ซึ่งพบเพียงไม่กี่ต้น ยกเว้น ยอพญาไม้ (Morinda nana) พบมาก แต่พบเฉพาะในลุ่มน้ำสงครามตอนล่างเท่านั้น พรรณไม้บางชนิดชาวอีสานพบเห็นได้ทั่วไป หรือกินเป็นอาหารได้ แต่น่าประหลาดใจสำหรับนักพฤกษศาสตร์ที่ชนิดเหล่านั้น มีความสำคัญเป็น พืชถิ่นเดียวของภาคอีสาน (endemic species of Northeastern Thailand) หรืออาจพบเข้าไปในฝั่งลาวใกล้ชายแดนไทยอีกด้วย เช่น เปือยน้ำสงคราม (Lagerstroemia spireana), มันแซง (Dioscorea oryzetorum), อินถวาน้อย (Kailarsenia lineata), และ ตีนจ้ำ (Ardisia aprica) นอกจากนี้ยังพบว่า ต้นแสงคำทาม (Terminalia sp.) และ ปอทาม (Colona sp.) เป็นพืชชนิดใหม่ของโลกที่รอการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการ ซึ่งพบเฉพาะในเขตลุ่มน้ำสงครามเท่านั้นอีกด้วย
ป่าทามราษีไศล ศรีสะเกษ รายการ อยู่ดีมีแฮง ThaiPBS
การพบพืชสำคัญจำนวนมากในป่าบุ่งป่าทามเช่นนี้ แสดงให้เห็นความสำคัญของระบบนิเวศที่มีความเฉพาะตัว หากยังไม่มีการอนุรักษ์ป่านี้ไว้ ประเทศไทยคงต้องสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอีกเป็นจำนวนมาก และตามมาด้วยการเสียความสมดุลของธรรมชาติต่อไป
ความเสื่อมถอยของทรัพยากรสัตว์น้ำและปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่เกิดขึ้นในระบบนิเวศตามลำน้ำต่างๆ ของภาคอีสานมีหลายสาเหตุที่เกี่ยวพันกันอยู่ ทรัพยากรดิน น้ำ อากาศ ป่าไม้ สัตว์ และมนุษย์ ต่างพึ่งพาอาศัยกัน การใช้ประโยชน์ของมนุษย์ที่มากเกินพอดีต่ออัตราการฟื้นฟูตัวเองตามธรรมชาติของทรัพยากรทั้ง 5 ภายในลุ่มน้ำภาคอีสาน จึงแสดงออกมาให้เห็นในแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ อย่างน้อยป่าบุ่งป่าทามที่เหลืออยู่ในพื้นที่สาธารณะประโยชน์ที่ยังไม่มีการจับจอง ก็ควรจะรักษาสภาพป่าไว้ แล้วดูแลให้ฟื้นฟูตัวเองกลับมาสมบูรณ์เหมือนในอดีต เพื่อให้ป่าสามารถให้ผลตอบแทนเป็นบริการด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อมนุษย์ และยังสัตว์น้ำได้ กลับมาอุดมสมบูรณ์ขึ้น เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา กบ เขียด ให้ชาวอีสานได้พึ่งพาเป็นอาหารพื้นบ้านรสชาติถูกปากตลอดไปชั่วลูกชั่วหลาน
ชาวอีสานจำนวนมากอาศัยอยู่ในเขตที่ราบน้ำท่วมถึง ซึ่งมิน่าจะมีคนไม่รู้จัก ป่าทามหรือป่าบุ่งป่าทามอย่างแน่นอน คนที่เคยเข้าไปทำมาหากินหรือเที่ยวไปในป่าแห่งนี้ จะต้องได้อะไรติดไม้ติดมือกลับออกมาทุกคน โดยเฉพาะแม่บ้านชาวอีสาน ป่าบุ่งป่าทามเปรียบเสมือนตลาดสดท้ายหมู่บ้านเปิดรออยู่ตลอดเวลา มีทั้งผักป่าพื้นบ้านอันปลอดสารพิษ ผลไม้ป่ารสแซบ และกุ้ง หอย ปู ปลา ที่หาได้ตลอดทั้งปี นี้เป็นสิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่นึกขึ้นมาได้ เมื่อคิดถึงประโยชน์จากการมีป่าบุ่งป่าทาม ประโยชน์ของป่าชนิดนี้มิได้มีเพียงแนวกิน แนวใช้ ที่เราได้รับอยู่เป็นประจำเท่านั้น ยังมีประโยชน์ที่เห็นเป็นรูปธรรมจับต้องได้จากข้อมูลการศึกษา และที่บางท่านยังมองไม่เห็นว่าสรรพสิ่งต่างๆ ล้วนเกี่ยวพันกันในระบบนิเวศที่ราบน้ำท่วมถึงแห่งนี้
พื้นที่ทามกับปลาแม่น้ำมูน : Mekong Watch
คนเยอราษีฯ กินทามน้ำมูล รายการ อยู่ดีมีแฮง ThaiPBS
สำหรับประเทศไทยเราได้ร่วมลงนามเป็นภาคีใน "อนุสัญญาแรมซาร์ไซต์" เป็นลำดับที่ 110 ของโลก ซึ่งเป็นการแสดงเจตนารมณ์ในการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ ด้วยการสนับสนุนการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด ปัจจุบันไทยมีพื้นที่แรมซาร์ไซต์ 15 แห่ง มีพื้นที่รวมกว่า 2,515,165 ไร่ ได้แก่
ในจำนวนนี้มีในภาคอีสานเพียง 3 แห่ง คือที่ บึงกาฬ และนครพนม ทั้งๆ ที่ในภาคอีสานมีพื้นที่ป่าบุ่งป่าทามอีกมากมาย เช่น ป่าบุ่งป่าทามที่ลุ่มแม่น้ำสงคราม ในเขตจังหวัดนครพนม ที่กำลังเร่งดำเนินการอนุรักษ์ และทำความเข้าใจกับราษฎรในพื้นที่ให้เข้าใจว่า จะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการทำมาหาเลี้ยงชีพในเขตอนุรักษ์ ส่วนในลุ่มแม่น้ำมูล แม่น้ำชี ก็มีป่าบุ่งป่าทามหลายแห่ง แต่ยังไม่เข้าเกณฑ์ในการเป็น เขตอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ (Ramsarsites) เพราะมีสิ่งที่เรียกว่า "ความเจริญ" หรือ "การพัฒนา" มาขวางกั้น คือ การที่รัฐเข้าไปสร้างเขื่อนขวางกั้นลำน้ำ ทำให้ป่าบุ่งป่าทามมีผลกระทบเกิดขึ้นในทันที เช่น ที่บริเวณ "เขื่อนราษีไศล" จังหวัดศรีสะเกษ
บทความนี้เรียบเรียงจาก : ป่าบุ่งป่าทาม มูลมังแผ่นดินอีสาน โฮงอาหารครัวไทบ้าน
สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
แม่น้ำสงครามตอนล่าง ขึ้นทะเบียนเป็น แรมซาร์ไซต์ ลำดับที่ 2420 ของโลก และลำดับที่ 15 ของประเทศไทย มีเนื้อที่ 5,504.5 เฮกตาร์ (34,381 ไร่) มีขอบเขตเริ่มตั้งแต่ ปากน้ำบ้านไชยบุรี ตำบลไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน ไปจนถึงบ้านปากยาม ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม ความยาวทั้งสิ้น 92 กิโลเมตร โดยการกำหนดพื้นที่เสนอเป็นแรมซาร์ไซต์นี้ ครอบคลุมเฉพาะส่วนที่เป็นตัวแม่น้ำสงครามตอนล่าง และพื้นที่ป่าบุ่งป่าทาม ที่ติดกับสองฝั่งแม่น้ำ และพื้นที่ป่าสาธารณะ หรือป่าบุ่งป่าทามที่ผู้นำชุมชนและคณะกรรมการหมู่บ้านเห็นชอบ และไม่มีพื้นที่ทับซ้อนกับพื้นที่เอกสารสิทธิ์ของราษฎร
ความสำคัญที่ทำให้ลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง ได้ขึ้นทะเบียนเป็นแรมซาร์ไซต์ เพราะมีระบบนิเวศที่มีความสำคัญและเป็นเอกลักษณ์ที่มีความหายาก (เกณฑ์ 1) ได้แก่ ป่าบุ่งป่าทามผืนใหญ่ ที่มีความสำคัญในเชิงความหลากหลายทางชีวภาพของชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ในระบบนิเวศ เป็นแหล่งที่อยู่ของพันธุ์ปลาน้ำจืด ซึ่งบางชนิดอยู่ในสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากตลอดลำแม่น้ำโขงของไทย ไม่มีป่าบุ่งป่าทามให้ปลาได้ใช้เป็นสถานที่อนุบาลสัตว์น้ำ และในลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง จะมีเพียงป่าบุ่งป่าทามอยู่ในลุ่มน้ำสงครามตอนล่างเพียงแห่งเดียวเท่านั้น จึงเป็นเสมือนมดลูกของพันธุ์สัตว์น้ำทุกชนิด
เป็นแหล่งประมงพื้นบ้าน ที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารของคนในพื้นที่ ตลอดจนเป็นแหล่งอพยพเพื่อผสมพันธุ์วางไข่ของพันธุ์ปลาจากแม่น้ำโขง ในช่วงฤดูน้ำหลาก (เกณฑ์ 7 และ 8) พบความหลากหลายของพันธุ์ปลาอย่างน้อย 124 ชนิด พันธุ์พืช 208 ชนิด รวมทั้งมีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจอนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) หรืออนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่มีความสำคัญระหว่างประเทศได้ถูกกำหนด และตั้งชื่อตามชื่อสถานที่จัดให้มีการประชุม เพื่อรับรองอนุสัญญา เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2514 ณ เมืองแรมซาร์ ประเทศอิหร่าน อนุสัญญาดังกล่าวเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาล ซึ่งกำหนดกรอบการทำงานสำหรับความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อการอนุรักษ์แหล่งที่อยู่อาศัยที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำ อันเป็นการอนุรักษ์ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกน้ำ
ต่อมา ขอบเขตการดำเนินการของอนุสัญญาฯ ได้ขยายครอบคลุมกว้างขึ้น โดยเน้นการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างชาญฉลาด ในทุกๆ ด้าน ตลอดจนเพื่อยับยั้งการสูญหายของพื้นที่ชุ่มน้ำในโลก โดยมีพันธกิจที่สำคัญในการดำเนินงานระดับชาติ โดยความร่วมมือระดับนานาชาติเพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกภูมิภาคของโลก โดยอนุสัญญามีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2514 และเพื่อให้เกิดความตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ จึงได้กำหนดให้ทุกวันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็น วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาแรมซาร์เป็นลำดับที่ 110 มีพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นแรมซาร์ไซต์ (Ramsarsite) เฉพาะพื้นที่ภาคอีสาน คือ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ กุดทิง จังหวัดบึงกาฬ และแม่น้ำสงครามตอนล่าง จังหวัดนครพนม
ใบประกาศรับรองพื้นที่ชุ่มน้ำแม่น้ำสงครามตอนล่าง จังหวัดนครพนม
ที่มา : ข่าว ThaiPBS 15 พฤษภาคม 2563
| |
สนับสนุนให้ IsanGate อยู่รับใช้ท่านตลอดไป ด้วยการคลิกแบนเนอร์ไปเยี่ยมผู้สนับสนุนของเราด้วยครับ |
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)