![]()
|
หอระฆังและหอกลอง เดิมทีวัดในชนบทของอีสานนิยมใช้ "โปง" ตีบอกเวลาในกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา เป็นการสื่อสารระหว่างพระกับชาวบ้าน โปง ซึ่งทำด้วยไม้เนื้อแข็งให้เสียงทุ้มนุ่มนวลและได้ยินไปไกล โปงจะผูกไว้ใต้ถุนกุฏิหรือหอแจก จึงไม่จำเป็นต้องทำโรงเรือน ต่อมาเมื่อวัดในอีสานได้รับอิทธิพลจากเมืองหลวงในการใช้ระฆังหรือกลองเป็นสัญญาณเสียง ประกอบกับไม้ทำโปงเริ่มหายาก และโปงเก่าเมื่อกระทุ้งบ่อยๆ ก็จะสึกและชำรุดจนทำให้เสียงเสียไป วัดจึงได้สร้างหอสูง 3 ชั้นขึ้น โดยรวมทั้งระฆัง กลอง และโปง ให้อยู่ในหอเดียวกัน
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม รูปทรงโปร่ง มี 3 ชั้นสูงในแนวตั้ง หลังคาจตุรมุขซ้อนชั้น ยอดแหลม มีการแกะสลักไม้เป็นลายนาค ลายก้านขด ลายเครือวัลย์ เป็นต้น
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม เป็นสัญญาณการสื่อสารที่เกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมทางพุทธศาสนา สร้างความสัมพันธ์ระหว่างพระกับชาวบ้าน
ในสมัยโบราณ การบอกเวลาในโมงยามต่างๆ จะใช้การตีเกราะ เคาะไม้เพื่อบอกเวลา หรือแจ้งข่าวสาร ประชุมคนในชุมชน ต่อมามีการตีโปง กลอง หรือระฆัง เพื่อใช้บอกเวลาในการกระทำการที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เช่น บอกเวลาทำวัตรเช้า เย็น บอกเวลาบิณฑบาตรของพระเณร บอกเวลาฉันเพล เป็นต้น เราจึงพบว่า ในวัดวาอารามมีการสร้างตัวอาคารสำหรับใช้แขวนโปง กลองและระฆังเหล่านี้ ในการเป็นศูนย์กลางของการบอกเวลาที่เรียกว่า หอระฆังและหอกลอง
หอระฆังและหอกลอง เป็นอาคารประเภทหนึ่งที่ปรากฏการสร้างมาแต่ครั้งโบราณจนถึงปัจจุบัน โดยมากพบในวัด ทั้งเขตพุทธาวาส และสังฆาวาส ใช้แขวนระฆังและกลองสำหรับตีบอกเวลา เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ทราบเวลาสำหรับการประกอบวัตรปฏิบัติต่างๆ โดยพร้อมเพรียงกันอันได้แก่ การทำวัตรเช้า-เย็น การฉันเพล เป็นต้น
ในทางความเชื่อเรื่องเสียงระฆัง เชื่อกัน ในอดีตว่าถ้าโลกนี้ไม่มีเสียงระฆัง (หมายถึง ไม่มีศาสนา) แล้วจะมียักษ์มากินมนุษย์ ดังนั้น เพื่อประโยชน์ที่กล่าวมาแล้ว วัดในพระพุทธศาสนา (ฝ่ายเถรวาท) จึงต้องสร้างหอระฆังเพื่อใช้ประโยชน์ตามข้างต้น
รูปแบบและโครงสร้างของหอระฆังและหอกลองนั้น มีความคล้ายคลึงกันมาก อาจแตกต่างกันเฉพาะชื่อเรียกเท่านั้น โดยทั่วไปมักสร้างขึ้นโดยใช้แผนผังรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยเน้นให้มีรูปทรงสูง สามารถจำแนกประเภทได้ 2 ประเภทคือ
ในปัจจุบัน วัดยังคงใช้การตีระฆังและกลอง เพื่อบอกเวลาปฏิบัติกิจของสงฆ์เช่นเดิม นอกจากเป็นเสียงที่ดังกังวาลและเยือกเย็นแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของการสร้างหอระฆังและหอกลองของไทยไว้ด้วย
คำว่า "โปง" หมายถึง ระฆังใหญ่ ทำด้วยไม้ ใช้กระทุ้งให้เกิดเสียง
โปง หรือ กะปุง เป็นเครื่องตีบอกอาณัติสัญญาณของพระสงฆ์ในวัด แทนการตีระฆัง หรือกลอง เพราะเสียงโปงจะดังกังวานกว่าระฆังหรือกลอง โปงทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้ตะเคียนท่อนใหญ่ตัดหัวท้าย แล้วนำมาขุดให้เป็นโพรงกลวงข้างใน คว่ำด้านที่ขุดเป็นโพรงลงด้านล่าง เจาะด้านข้างเป็นรูทั้งสองข้างเพื่อเป็นรูเสียง หรือรูแพ แล้วเจาะรูด้านบนสำหรับสอดไม้ค้ำโปงกับเสาแขวนไว้ใต้หอระฆัง เวลาตีใช้ไม้ท่อนใหญ่ๆ ลักษณะคล้ายสากกระทุ้งโปงเพื่อให้เกิดเสียง กริยากระทุ้งโปงภาษาท้องถิ่นอีสานเรียก "ทั่งโปง" กระทุ้งโปงตามกาลเวลาดังนี้
สำหรับโปงไม้ที่วัดสุปัฏนารามวรวิหารนี้ ทำด้วยไม้ตะเคียน (ไม้แคน) สร้างเมื่อ ปี พ.ศ. 2467 พระบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) มอบหมายให้ พระครูวิโรจน์รัตโนบล (รอด นนตโร) เป็นนายช่างสร้างโปงใบนี้ ปัจจุบันแขวนอยู่ใต้หอระฆัง แต่เลิกใช้งานแล้ว เป็นศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ (ช่างท้องถิ่น) โดยมีขนาด ความสูง 357 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 102.3 เซนติเมตร
ศาสนาคาร คือ อาคารที่ใช้ในทางศาสนาเพื่อการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งมีจุดเด่นอันเป็นอัตลักษณ์อีสานที่ชัดเจน เป็นสถาปัตยกรรมที่มีจุดเด่นเฉพาะของภาคอีสาน ซึ่งผ่านการศึกษา ค้นคว้า วิจัย จนได้ข้อสรุปของอัตลักษณ์อีสานด้านศาสนาคาร 8 อย่าง ดังนี้
มุขบันได คือ ส่วนฐานของสถาปัตยกรรมทางศาสนาคารในบริบทสังคมวัฒนธรรมหนึ่งๆ จะต้องมีพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สถิตแห่งพลังอำนาจเหนือธรรมชาติที่จักคุ้มครองป้องกันภัย ก่อเกิดเป็นงานช่างที่สร้างรูปอารักษ์ เป็นผู้ทำหน้าที่คุ้มครองป้องกันอันตราย หรือที่เรียกว่า "ทวารบาล" วัฒนธรรมหลวงเรียกงานช่างนี้ว่า "พลสิงห์" หรือ "บันไดพลสิงห์" อันหมายถึงพนักบันไดที่ใช้เทคนิคการก่อสร้างแบบก่ออิฐถือปูน โดยมีการตกแต่งส่วนที่เป็นพนักด้านนอกของตัวขั้นด้วยปูนปั้น หรือบ้างก็ใช้การตกแต่งเพียงเส้นขอบรอบนอกแบบเรียบๆ ธรรมดาหรือทำเป็นปูนปั้นรูปสัตว์สัญลักษณ์ต่างๆ เช่น พญานาค หัวสิงห์ เป็นต้น
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม เส้นส่วนใหญ่เป็นเส้นโค้งเลียนแบบธรรมชาติ พาดยาวตามราวบันได มีรูปทรงและรูปสัตว์ที่แปลกตาอันเกิดจากจิตนาการของช่าง
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม คติความเชื่อทางศาสนาเรื่องทวารบาลผู้ปกปักรักษาอาคาร และความเชื่อเรื่องนาค มกร หรือเหรา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับน้ำและความอุดมสมบูรณ์
ฐานแอวขัน คือ ส่วนฐานของตัวเรือน และใช้เรียกส่วนฐานในงานพุทธศิลป์อื่นๆ ด้วย โดยฐานแอวขันถือเป็นการสืบทอดคติและตีความจากดอกบัว อันเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา แอวขัน มีองค์ประกอบสำคัญคือ 1) ส่วนที่มีลักษณะแบบบัวคว่ำและบัวหงายที่แยกส่วนด้านบนและด้านล่าง 2) ส่วนที่เรียกว่า ท้องไม้ ทำหน้าที่เป็นส่วนคั่นกลางระหว่างบัวทั้งสอง 3) ส่วนเส้นแนวตกแต่งที่เป็นลวดบัว 4) ส่วนที่เรียกว่า ดูกงู หรือ กระดูกงู โดยส่วนนี้เป็นตัวเสริมคั่นจังหวะบริเวณท้องไม้ให้มีจังหวะลูกเล่นมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่พื้นที่ว่างบริเวณท้องไม้มีที่ว่างมาก
ลักษณะร่วมของฐานแอวขันของไทยอีสานและลาว อยู่ที่มีการตวัดปลายบัวงอนเชิดขึ้น-ลง พบมากในกลุ่มช่างพื้นเมือง โดยส่วนบัวคว่ำบัวหงายจะมีลักษณะอ้วนป้อมรวมถึงการผายปากบัวและการช้อนบัว
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม เส้นส่วนใหญ่เป็นเส้นโค้งและเส้นตรงแนวนอน มีรูปทรงจากกลีบบัว ปลายงอนโค้งขึ้น ใช้เป็นฐานอาคาร ฐานพระธาตุ ฐานพระพุทธรูป ฐานธรรมาสน์ ฐานเชี่ยนหมาก
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม เป็นสัญลักษณ์แทนความเชื่อ ศาสนา และเป็นฐานรองสิ่งมีค่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์
ช่องเปิด เป็นส่วนที่ควบคุมทางเข้าออกระบายอากาศ และเปิดรับแสงสว่าง เพื่อสุขภาพอนามัยและสภาวะน่าสบายแห่งการอยู่อาศัย เป็นสื่อกลางในการเชื่อมพื้นที่ภายในและภายนอกอาคาร อีกทั้งเชื่อมคนกับธรรมชาติแบ่งเป็นช่องเปิดประตู และหน้าต่าง-ช่องแสงหรือช่องลม มี 2 รูปแบบคือ 1) ทรงซุ้มปราสาทย่อส่วนมีเครื่องยอด 2) ทรงกรอบซุ้มทรงเครื่องและกรอบซุ้มธรรมดา ภาคอีสานนิยมทำซุ้มป่องเยี่ยม ซุ้มโข่งหรือซุ้มโขง ทั้งนี้สิมพื้นบ้านอีสานจะไม่นิยมทำช่องเปิดมาก อีกทั้งนิยมเปิด-ปิดเข้าด้านใน มีทางเข้าออกเฉพาะที่ประตูด้านสกัดด้านหน้าทางเดียว และมีหน้าต่างขนาดเล็กๆ เพียง 1-2 ช่องเท่านั้น สำหรับศาสนาคารประเภทอื่นๆ เช่น หอไตร หอแจก ที่เป็นเครื่องไม้จะนิยมทำเป็นอาคารโถง หรือถ้าตีผนังทึบก็จะปิดกันเพียงบางส่วน
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม รูปทรงเป็นซุ้มปราสาทจากจินตนาการ
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม คติความเชื่อจากพุทธศาสนาว่าเป็นปราสาทบนสวรรค์ของพระอินทร์ และปราสาทบนสวรรค์ที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปเทศนา ทำให้ผู้พบเห็นเกิดความประทับใจและเกิดจินตภาพเรื่องสวรรค์
ที่มา : ติ๊ก แสนบุญ 2545. ดุษฎีนิพนธ์เรื่องนวัตกรรมฐานข้อมูลศิลปะงานปูนปั้นและแกะสลักในส่วนตกแต่งสถาปัตยกรรมศาสนาคารไทยอีสานกับ สปป.ลาว เพื่อพัฒนาสู่การออกแบบ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
คันทวย เป็นส่วนค้ำยันของสถาปัตยกรรมแถบเอเชียอาคเนย์ เนื่องจากสภาพแวดล้อมและภูมิศาสตร์ที่ตั้ง ทำให้คนในแถบนี้สร้างอาคารที่มีชายคา เพื่อป้องกันแดดฝนไม่ให้สาดส่องเข้ามาภายในอาคาร คันทวย จึงเป็นส่วนค้ำยัน และทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างส่วนตัวเรือนผนังอาคาร กับส่วนโครงสร้างหลังคา อีกทั้งยังทำหน้าที่แห่งนัยความหมายด้านสุนทรียภาพ ความงามทางศิลปะ ที่สัมพันธ์กับระบบความเชื่อของสังคมชุมชนท้องถิ่น "ทวย" เป็นคำนำหน้าชื่อเรียก และตามด้วยการเรียกตามลักษณะทางการยภาพ เช่น ทวยแผง ทวยนาค ทวยเทพพนม ทวยแขนนาง เป็นต้น
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม เส้นส่วนใหญ่เป็นเส้นโค้งรับกับส่วนชายคา ลดความแข็งกระด้างของส่วนค้ำยัน มีลวดลายป็นสัตว์จากจินตนาการ เช่น นาค มอม หงส์ เป็นต้น และลายน้ำไหล ลายก้านขด
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม เป็นสัญลักษณ์แทนการค้ำจุนศาสนา ความเป็นสิริมงคล ลวดลายการม้วนเกาะเกี่ยวกันของพญานาค ตัวมอม หงส์ และลวดลายสายน้ำวนของคันทวยในแถบริมน้ำโขง แสดงการเชื่อมโยงกับธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์
ฮังผึ้ง หรือ ฮวงผึ้ง หรือ ฮวงเผิ้ง มีหน้าที่สำคัญคือ การช่วยรับน้ำหนักในเชิงโครงสร้างอาคารบริเวณสีหน้าหรือหน้าบัน และช่วยยึดปลายหัวเสา ในส่วนโครงสร้างของหลังคาลักษณะกึ่งคาน หรือกำแพงผนังรับน้ำหนักตามหลักการถ่ายแรงที่สะท้อนผ่านรูปทรงสัณฐาน อีกทั้งช่วยป้องกันแดดฝนไม่ให้สาดส่องเข้าสู่พื้นที่ว่างภายในอาคาร โดยเฉพาะทำหน้าที่เสมือนผนังกำแพงปิดล้อม เพื่อกำหนดขอบเขตพื้นที่ว่างระหว่างภายนอกกับภายใน ของส่วนตัวเรือน กับส่วนหลังคา โดยมีลักษณะกึ่งเปิดกึ่งปิดของพื้นที่บริเวณโถงทางขึ้นลงด้านหน้าอาคาร วัสดุที่ทำฮังผึ้งมีทั้งไม้และปูน แบ่งเป็น 1) ฮังผึ้งเอก อยู่ใต้ส่วนหน้าจั่วใหญ่ ถ้าเป็นอาคารขนาดเล็กและเตี้ย นิยมแบ่ง 3 จังหวะตามช่วงเสา 2) ฮังผึ้งโท อยู่ใต้ส่วนหน้าอุดปีกนก
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม ส่วนใหญ่เป็นเส้นโค้ง รูปทรงเป็นแผงแบน ด้านล่างเป็นซุ้มโค้ง
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม ถ่ายทอดคติธรรมและปริศนาธรรมตามความเชื่อพื้นบ้านอีสาน
สีหน้า หรือ หน้าบัน คือ พื้นที่สามเหลี่ยมอุดโพรงจั่วหลังคาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หรือที่นิยมเรียกว่า ด้านหุ้มกลอง เพราะอาคารแบบไทยมีหลังคาเป็นทางแหลม เหตุนี้จึงต้องมีจั่วหรือหน้าบันปิด เพื่อป้องกันแดดฝนและความร้อนอบอ้าว อีกทั้งเพื่อคุณประโยชน์ในการระบายน้ำฝนได้อย่างรวดเร็ว โดยมีทั้งแบบเครื่องก่อและเครื่องไม้ โดยศาสนาคารที่เป็นเครื่องไม้จะมีลักษณธของเฮือนอีสานโบราณ มีลวดลายจากธรรมชาติ ลวดลายที่เป็นสัญลักษณ์ ลวดลายทางความเชื่อ และลวดลายสัตว์มงคลต่างๆ
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม มีทั้งเส้นตรงและเส้นโค้ง รูปทรงเป็นแผงสามเหลี่ยม
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม ลวดลายแฝงคติความเชื่อทางพุทธศาสนาและความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ ความเชื่อเรื่องเทพเจ้า เช่น พระอินทร์ พระราหู เป็นต้น ความเชื่อเรื่องจักรวาล เขาพระสุเมรุ นรก สวรรค์ ความเชื่อเกี่ยวกับนาค มกรหรือเหรา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับน้ำและความอุดมสมบูรณ์
โหง่ว เป็นส่วนที่ประดับตกแต่งอยู่ยอดปลายสุดของส่วนไม้แป้นลม ทั้งส่วนสกัดด้านหน้าและด้านหลัง ทำหน้าที่ประสานส่วนยอดปลายสุด ส่วนที่เป็นรวบจอมไม้แป้นลม (หลายท่านเข้าใจว่าเป็น "ช่อฟ้า" และพบเห็นการทำพิธียกช่อฟ้า ซึ่งจริงๆ แล้วคือ การยกโหง่ว) วัสดุที่ใช้ทำโหง่วมีทั้งที่เป็นไม้และเป็นปูนปั้น โหง่วยังตอบสนองสุนทรียภาพ ความงาม ที่มีนัยยะแห่งลัทธิความเชื่อ ผ่านรูปสัญญะต่างๆ โดยกลุ่มวัฒนธรรมไทย-ลาวนิยมทำอยู่ 3 รูปแบบ คือ 1) แบบหัวนาค 2) แบบเฮือนเสาเหลี่ยมยกหลังคาสับลาย (ลูกกรงไม้กลึง) 3) แบบช่อฟ้าแป้นลม (ราชสำนักกรุงเทพฯ เรียก ช่อฟ้ามอญ) ในอีสานและลาวนิยมใช้รูปแบบหัวนาคเป็นส่วนใหญ่ ในอีสานโหง่วที่ดูโดดเด่นคือ กลุ่มช่างพื้นเมืองจังหวัดอุบลราชธานี คือ หัวนาคจะสะบัดปลายหงอน ปากนาคมีลักษณะแบบปากคีมกว้างแหลม และที่สำคัญคือการนิยมทำปีก
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม อยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่น รูปทรงสวยงามและมีความหมายจากคติความเชื่อ
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม คติความเชื่อทางพุทธศาสนาเรื่องนาค ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับน้ำ ความอุดมสมบูรณ์ และปกปักรักษาพุทธศาสนา
ช่อฟ้า เป็นชื่อเรียกส่วนตกแต่งบริเวณกลางสันหลังคาสิม หรือโบสถ์ ในอีสานนิยมเรียก "ช่อฟ้า" หรือภาษาเก่าเรียกว่า ผาสาดหรือปราสาท โดยมีหนึ่งช่อฟ้าต่อหนึ่งสิม วัสดุที่ใช้ทำช่อฟ้า ฝั่งลาวจะใช้ปูนปั้น ในขณะที่อีสานช่างพื้นถิ่นจะใช้ไม้ ช่อฟ้าอีสานมีรูปแบบแท่งๆ โดดๆ อันเดียวหรือแผงไม้แกะสลักเล็กๆ ไม่นิยมทำส่วนบริวาร โดยมีลักษณะคล้ายธาตุไม้ และมีตัวกาบกนกเป็นส่วนตกแต่งส่วนยอดเหล่านั้น รูปแบบของช่อฟ้าจะสะท้อนคติความเชื่อเรื่อง ศูนย์กลางจักรวาล อันมีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลาง มีปราสาทไพชยนต์ตั้งอยู่บนยอด ด้วยรูปลักษณะเป็นแท่งๆ แบบธาตุบัวเหลี่ยมจึงมีซุ้มคูหาประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดเล็ก ขนาบด้านข้างลดหลั่นเป็นรูปปราสาทบนยอดเขาบริวารที่เรียกว่า "สัตบริภัณฑ์" นอกจากนั้นในนิมิตความหมายที่เชื่อมโยงกับลัทธิถือผีของกลุ่มชนพื้นเมืองยังพบว่า ช่อฟ้าในแถบพื้นที่ภาคอีสานมีพัฒนาการที่สืบทอดคติเรื่องการเคารพบูชาไม้หลักบ้านหรือไม้หลัก
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม อยู่จุดที่เด่นที่สุดของอาคาร รูปทรงงดงามและมีความหมาย เป็นทรงปราสาทบนเขาพระสุเมรุหรือภูมิจักรวาล
ช่อฟ้า ของ สิม วัดจักรวาลภูมิพินิจ (วัดหนองหมื่นถ่าน) อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม สัญญลักษณ์แทนความเชื่อ ความศรัทธา ความอุดมสมบูรณ์ ธรรมชาติ และความเป็นสิริมงคล
ช่อฟ้า ของ สิมวัดเชียงทอง หลวงพระบาง สปป.ลาว
ขันกระหย่อง กะย่อง หรือ ขันกะย่อง เป็นภาชนะจักสานด้วยไม้ไผ่ ลักษณะคล้ายพานแต่มีเชิงสูง เป็นงานช่างฝีมือพื้นบ้าน มีหลายขนาดตามลักษณะการใช้งาน ใช้ประโยชน์ในการวางดอกไม้ธูปเทียน เครื่องบูชา หรือขันธ์ 5 บูชาพระพุทธรูป เป็นหนึ่งในเครื่องสักการบูชาอีสานโบราณ โดยสามารถพบเห็นได้ในวัดทั่วไปในภาคอีสาน เครื่องสักการบูชาอีสานโบราณประกอบด้วยขันกระหย่อง ต้นข้าวตอก ต้นดอกไม้ ขันหมากเบ็ง ต้นดอกผึ้ง ต้นเทียน เป็นการบูชาในวันพระ และจะมีขบวนแห่ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาหบูชา วันอาสาฬหบูชา
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม ขันกระหย่องมีทั้งเส้นตรงและเส้นโค้ง มีรูปทรงสัดส่วนคล้ายพาน ลวดลายเกิดจากการจักสาน คือ ตรงกลางคอด มีความโปร่งและเบา
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม การสักการบูชาในพุทธศาสนาและความคิดในเรื่องธรรมชาตินิยม ความสมถะ ความเรียบง่าย
เขียนโดย : ติ๊ก แสนบุญ
จาก : วารสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับ มกราคม 2549
เรื่องราวของศิลปะและวัฒนธรรมแขนงงานช่างพื้นเมืองบริสุทธิ์นั้น กล่าวได้ว่า มีอยู่มากมายหลายชนิด สำหรับแดนดินถิ่นอีสานนี้ เมื่อเราได้เข้าไปกราบนมัสการองค์พระประธานภายในหอแจก หรือแม้แต่ในสิม (โบสถ์) อาณาบริเวณส่วนด้านหน้าองค์พระประธาน ในอดีตจะประกอบไปด้วย ฮาวไต้เทียน (ราวเทียน) พระไม้ พระซุ้มโขง หรือแผงพระ นอกเหนือจากนี้ไม่พบว่ามีงานหัตถกรรมอื่นใด นอกจากงานเครื่องจักสานชนิดหนึ่งที่เรียกเป็นภาษาถิ่นอีสานว่า “กะย่อง” หรือ “ขันกะย่อง” ก็เรียก ซึ่งมีความหมายถึงภาชนะที่สานด้วยไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง สำหรับใส่เครื่องสักการบูชา มีพระพุทธรูปและค้ำคุณ มีคุด เขา นอ งา เป็นต้น เรียก “ขันกะย่อง” โดยมีลักษณะทางศิลปกรรมและประโยชน์ใช้สอยคล้ายกับ “ขันแก้วทั้งสาม” ซึ่งเป็นเครื่องประดับในศาสนสถาน (ใช้สำหรับวางเครื่องสักการะดอกไม้ธูปเทียน) ของทางภาคเหนือ นิยมทำด้วยวัสดุหลักจากไม้จริง โดยมีส่วนใบขัน ส่วนเอวและส่วนขาเป็นแปลนรูปทรงสามเหลี่ยมหรือวงกลม จำหลักลวดลายไม้เป็นรูปพญานาคขดในส่วนเอว ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มหัตถกรรมเครื่องเขิน (เป็นอิทธิพลศิลปะจากพม่าในยุคที่เข้ามาปกครองล้านนา)
“ขันกะย่องของอีสาน” ยังมีเอกลักษณ์และความหมายแตกต่างในมิติอื่นๆ เช่น ขนาดที่เล็กกว่า โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30 - 45 เซนติเมตร และสูงตั้งแต่ 35 - 65 เซนติเมตร รูปทรงเส้นรอบนอกมีลักษณะแบบโบกคว่ำโบกหงายแบบบัวปากพาน (ดูภาพประกอบ) วัสดุเป็นไม้ไผ่จักสานหลากหลายรูปแบบ (แตกต่างกับทางเหนือที่เป็นไม้จริง) มีลักษณะลายสานซึ่งเป็นแม่ลายสำคัญ เช่น ลายขัด ลายเฉลว ลายหัวสุ่ม ลายก้นหอย คุณค่าทางศิลปะของ “ขันกะย่อง” ยังบ่งบอกถึงตัวตนคนอีสาน ที่สื่อสารผ่านงานช่างในแขนงต่างๆ ที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของสังคมเกษตรที่เน้นถึงความเรียบง่าย อีกทั้งสัจจะทางวัสดุ หรือเรียกอย่างภาษาชาวบ้านว่า “สวยแบบซื่อๆ”
จังหวัดบึงกาฬ ส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ "ทำขันกระหย่อง"
ท่านที่สนใจต้องการชมกรรมวิธีการจักสานโดยผู้สูงอายุได้ร่วมทำกิจกรรมในยามว่าง "การจักสานขันกระหย่อง" เป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับตนเอง อีกทั้งเป็นการรักษาวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่น ที่ วัดสุดเขตแดนสยาม บ้านหนองแวง ตำบลวิศิษฐ์ อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ เนื่องจากการ “ขันกระย่อง” เป็นเครื่องใช้งานในทางพระพุทธศาสนา และยังสามารถนำไปดัดแปลงเพื่อประดับตกแต่งตามสถานที่ต่างๆ ได้หากมีการออกแบบให้สวยงาม
“ขันกระหย่อง” เป็นภาชนะคล้ายกระจาด แต่มีเชิงสูง สานจากตอกไม้ไผ่ ก้นของขันกระหย่องสานเป็นรูปวงกลมหรือรูปสี่เหลี่ยม เอวของขันกระหย่องเป็นเอวรัด ปากของขันกระหย่องจะบานออก ลักษณะการจักสานเป็นลายขัดธรรมดา สานเป็นช่องห่างๆ
"ขันกระหย่อง" มีไว้สำหรับใส่ดอกไม้ ธูปเทียน บูชาพระพุทธ เป็นหนึ่งในเครื่องสักการบูชา และเป็นงานช่างฝีมือของผู้เฒ่าผู้แก่ในสมัยโบราณ ซึ่งในปัจจุบันยังคงมีใช้อยู่ เป็นงานช่างฝีมือพื้นบ้านที่ทำไว้ใช้ในท้องถิ่น มีหลายขนาดตามลักษณะการใช้งาน จะพบเห็นได้ทั่วไปในวัดทางภาคอีสาน เวลาเราไปทำบุญที่วัดในจะเห็นมีขันกระหย่องตั้งไว้ด้านข้างพระประธาน โดยจะนำดอกไม้ ธูป เทียน และก้อนข้าวเหนียว วางบนขันกระหย่องเพื่อเป็นเครื่องบูชา
หอแจก หมายถึง ศาลาโรงธรรมประจำวัด เป็นสถานที่แจกธรรมะ กลางหอแจกจึงมีธรรมาสน์ให้พระสงฆ์สวดพระธรรมเทศนาให้ประชาชนฟัง นอกจากนั้น หอแจกยังเป็นอาคารเอนกประสงค์สาธารณะของผู้คนในชุมชน เพราะวัดเป็นศูนย์กลางกิจกรรมสาธารณะในสังคมไทย จึงทำหน้าที่รองรับกิจกรรมสาธารณะต่างๆ ของผู้คนในชุมชนด้วย เช่น การชุมนุมในงานประเพณีต่างๆ ได้แก่ บุญฮีตสิบสอง (ประเพณีสิบสองเดือนของชาวอีสาน) การประชุมชาวบ้าน การรวมกันผลิตสิ่งของของชาวบ้าน เป็นต้น ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของหอแจกจำแนกได้เป็น 3 ประเภท คือ หอแจกไม้ หอแจกปูน และหอแจกคอนกรีตเสริมเหล็ก
หอแจก วัดราษฎร์ประดิษฐ์ บ้านกระเดียน อำเภอตระการพืชผล อุบลราชธานี
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม รูปทรงฐานเป็นเสายกสูงระบายอากาศ ตัวเรือนเป็นสี่เหลี่ยมโปร่ง หลังคาทรงจั่ว
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม แนวคิดสถาปัตยกรรมที่คำนึงถึงสภาพดินฟ้าอากาศ การอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างชาญฉลาด และการประหยัดพลังงาน
หอแจก วัดกลาง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
เขียนโดย : ติ๊ก แสนบุญ
จาก : วารสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับ เดือนเมษายน 2552
ในวิถีสังคมชายขอบของอีสาน โดยเฉพาะวัดหรืออาฮามในพื้นที่อันห่างไกล ศาสนาคารที่ถือได้ว่าเป็นส่วนประธานหรือสิ่งก่อสร้างที่สำคัญที่สุดก็คือ "หอแจก" ซึ่งเป็นภาษาถิ่นที่คุ้นเคยของคนอีสานโบราณ แต่สำหรับคนรุ่นใหม่จะนึกถึง "ศาลาการเปรียญ" ซึ่งเป็นภาษาสำเนียงหลวงที่เข้ามาแทนที่ภาษาถิ่น แต่เมื่อจะกล่าวถึงชื่ออื่นๆ ที่ใช้เรียกศาสนาคารประเภทนี้ก็มีอยู่อีก เช่น ศาลาโรงธรรม ธรรมศาลา ก็เรียก
สำหรับพัฒนาการด้านรูปแบบความเป็นมาของหอแจก เราอาจเชื่อมโยงไปถึงสังคมดั้งเดิมในวิถีชนเผ่าที่เคารพบูชาผี ดังกรณีของ "หลักฆ่าควาย" โดยมีศาลากลางบ้านเป็นอาคารศูนย์กลางของชุมชนที่เรียก "หอผี" "หอก๊วน" หรือ "หอเกริ๊ง" ของชนเผ่าลาวเทิงซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัฒนธรรมมอญ แขมร์ พวกข่า หรือแม้แต่กลุ่มวัฒนธรรมไท-ลาว โดยเฉพาะกลุ่มไทดำที่นับถือผี ซึ่งมีหลักบ้านเป็นศูนย์กลางชุมชนเช่นกัน
หอแจก วัดราษฎร์ประดิษฐ์ บ้านกระเดียน อำเภอตระการพืชผล อุบลราชธานี
ดังตัวอย่างในอีสาน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ไทซึ่งเป็นอีกสาแหรกหนึ่งของไทดำ ก็เรียก "หลักบ้าน" นี้ว่า "บือบ้าน" หรือ "หลักบือบ้าน" และจะมีพิธีบุญซำฮะ หรืองานบุญที่ชำระล้างสิ่งอัปมงคลในช่วงเดือน 6-7 ของทุกปี ซึ่งในห้วงการทำพิธีจะมีการสร้าง "ตูบผาม" อยู่ใกล้ๆ หลักบ้าน เพื่อใช้ทำพิธีและเป็นที่นั่งสวดของพระ และวางเครื่องเซ่นไหว้ ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างชั่วคราวที่พัฒนามาเป็น "ศาลากลางบ้าน" ในเวลาต่อมา เพราะอยู่ในพื้นที่บ้านบริเวณใกล้ๆ กับหลักบือบ้าน และสืบคติกลายมาเป็นเสาหลักเมืองในสังคมปัจจุบันนั่นเอง ซึ่งทั้งหมดนี้คือร่องรอยจากคตินิยมของ "ศาสนาผี" ผสมผสานกับฮินดู-พราหมณ์ และเมื่อเปลี่ยนมารับนับถือพระพุทธศาสนา คตินี้ก็ยังเคารพควบคู่ไปด้วย
หอแจกหลังเก่า วัดขะยูงวนาราม ตำบลขะยูง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ภาพถ่ายปี 2485
โดยอาณาบริเวณวัดทั่วไปในภาคอีสาน และของ สปป.ลาว บางส่วน แผนผังของวัดจะให้ความสำคัญกับ "หอแจก" อยู่เป็นส่วนประธานโดยเฉพาะในเขตพุทธาวาส ส่วนสิมหรือโบสถ์จะอาศัยบริเวณห้วย หนอง คลอง บึง ในการสร้างให้มีขนาดเล็กๆ พอเพียงสำหรับประกอบศาสนากิจเฉพาะของพระสงฆ์ที่เรียกกันว่า "สิมน้ำ" หรืออาจไปใช้ร่วมกันกับวัดข้างเคียง ดังนั้นเราจึงไม่พบสิ่งก่อสร้างอื่นใดที่มีความสำคัญไปกว่าหอแจก
หอแจกวัดศรีนวลแสงสว่างอารมณ์ บ้านชีทวน อำเภอเขื่องใน อุบลราชธานี
แต่เมื่อพิจารณาในมิติทางสังคม การเมือง การปกครอง จะเห็นได้ว่า วัดที่ถูกสถาปนาหรือสร้างขึ้นด้วยกษัตริย์ หรือเชื้อพระวงศ์ รวมถึงเจ้าเมืองจะนิยมสร้างวิหารเป็นส่วนประธานในวัด แทนหอแจกหรือสิม เฉกเช่นที่ วัดหลวงของเมืองอุบลฯ และวัดมโนภิรมย์ เมืองมุกดาหาร เป็นต้น ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า คติการสร้างวิหารในภาคอีสานเป็นอิทธิพลภายนอกที่เข้ามา โดยเฉพาะวัฒนธรรมแบบราชสำนัก ซึ่งสอดคล้องกับบริบททางสังคมอีสาน โดยเฉพาะในสมัยวัฒนธรรมไท-ลาว ดินแดนแถบนี้ไม่มีกษัตริย์ปกครอง ดังนั้นรูปแบบและคติของช่างหลวงหรือช่างราชสำนักจึงเข้ามามีอิทธิพลน้อยมาก
ดังนั้น เราจึงเห็นได้ว่ารูปแบบงานช่างไม่ว่าจะเป็น งานสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม ในอีสาน ล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตนที่แตกต่างจากภาคอื่นๆ ซึ่งมีอิทธิพลราชสำนักครอบงำอยู่มาก จนเป็นที่มาของความหลากหลายทางด้านรูปแบบที่เป็นอิสระ ความงามที่เรียบง่าย
หอแจกในมิติประโยชน์ใช้สอยเราอาจกล่าวได้ว่า หอแจกเป็นอาคารสาธารณะ (ในวัด) ที่เป็นศูนย์กลางที่เชื่อมโยงชาวบ้านและพระสงฆ์เข้าด้วยกัน ทั้งในช่วงงานบุญ วันพระ ฟังเทศน์ฟังธรรมป็นที่ประชุมกิจกรรมต่างๆ ของชาวบ้าน และกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงเดือนสี่ (มีนาคม) จะมีงานบุญพระเวสหรือการเทศน์มหาชาติ ซึ่งหอแจกจะถูกตกแต่งเครื่องบูชาคาถาพันเป็นการจำลองเรื่องราวในชาดก มีการนำพืชพรรณที่มีลักษณะให้ผลดกครั้งละมากๆ เช่น มะพร้าว อ้อย กล้วย มาตกแต่งประกอบซุ้มคูหา อันมีนัยยะเรื่องความอุดมสมบูรณ์ในการทำมาหากินของชาวบ้านอีกด้วย
พระเจ้าใหญ่อินทร์แปลง วัดมหาวนาราม (ป่าใหญ่) จังหวัดอุบลราชธานี
โดยจะมี "หอธรรมาสน์" ตั้งเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นคติสัญลักษณ์ของปราสาทที่ประทับของพระพุทธองค์ และที่ขาดไม่ได้คือ องค์พระประธาน ที่เป็นเสมือนศูนย์กลางของหอแจก ที่ทำให้ครบไตรลักษณ์ คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ โดยพื้นที่ประทับของพระพุทธรูปจะมีผนังปิดล้อมเป็นส่วนใหญ่ แต่ส่วนอื่นๆ จะเปิดโล่ง จนเป็นประหนึ่งวิหารตามความหมายของวัฒนธรรมหลวง และเป็นที่น่าสังเกตว่า พระประธานที่อยู่ในหอแจกจะเป็นพระพุทธรูปสำคัญที่มีขนาดใหญ่ เช่น พระเจ้าใหญ่องค์หลวงที่หอแจกวัดหลวง และพระเจ้าใหญ่อินทร์แปลงของวัดป่าใหญ่ เมืองอุบลฯ เป็นต้น
ด้านรูปแบบทางงานช่างของหอแจกอีสาน จำแนกตามวัสดุก่อสร้างได้ 3 ประเภท คือ 1) แบบทรงเครื่องไม้ 2) แบบทรงเครื่องก่อ (ก่ออิฐถือปูน) 3) แบบทรงเครื่องไม้ผสมเครื่องก่อ หอแจกที่พบในภาคอีสานโดยเฉพาะช่างชาวไท-ลาว นิยมทำหอแจกเป็นเครื่องไม้ และสำหรับหอแจกทรงเครื่องไม้ที่ถือได้ว่าสุดยอดของงานโครงสร้างต้องยกให้ หอแจกวัดศรีมณฑา บ้านคำฮี จังหวัดมุกดาหาร ที่มีกลิ่นอายศิลปะไทยใหญ่เข้ามาผสมผสานกับความป็นอีสาน
หอแจก (เดิม) วัดศรีมณฑา บ้านคำฮี อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร
ในส่วนของหอแจกที่งดงามในแบบฉบับพื้นบ้านอีสาน เท่าที่ปรากฏหลักฐานน่าจะยกให้ หอแจกของวัดจอมศรี บ้านเปียด อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ปัจจุบันถูกรื้อไปแล้ว ส่วนหอแจกแบบทรงเครื่องก่อ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่างญวณเข้ามามีบทบาทค่อนข้างมาก มีตัวอย่างอันทรงคุณค่าอยู่ที่วัดธรรมละ อำเภอเหล่าเสือโก้ก และวัดบ้านกระเดียน อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี
แต่สภาวการณ์ในปัจจุบัน "หอแจก" อีสานก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับศาสนาคารอื่นๆ เช่น สิม ธาตุ หอไตร ที่ถูกครอบงำด้วยรูปแบบ "ศิลปะแห่งชาติ" (ลุ่มน้ำเจ้าพระยา) ที่ครอบงำวิธีคิดผ่านระบบการเรียนในทุกมิติ ทำให้คนอีสานโดยเฉพาะสมภารวัดซึ่งเป็นทั้ง "ผู้สร้างและผู้ทำลาย" ไม่เห็นคุณค่าจึงทำได้แค่ลอกๆ เลียนๆ ได้เหมือนกรุงเทพฯ จนเกิดวิกฤตศรัทธาที่ยากจะแก้ไข
หอแจก (หลังการบูรณะ) วัดศรีมณฑา บ้านคำฮี อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร